เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 10 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 9 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 10 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ขอบคุณค่ะ ครั้งนี้เรียนถามอีกดังนี้

1.ที่ว่าลัคนา 4 ลัคนา คือ กรกฏ สิงห์ มังกร และ กุมภ์มักมีปัญหาในเรื่องชีวิตครอบครัว เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

2.จากคำตอบของอาจารย์ แสดงว่า เวลาอ่านดาวจร ไม่จำเป็นต้องอ่านทั้ง 10 ดวง ใช่ไหมคะ แต่ถ้าอ่านพื้นดวงเดิมต้องอ่าน(ดู)ดาวทั้ง 10 ดวง

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 8 ตุลาคม พ.ศ.2548 06:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
ผมพบดวงหนึ่งซึ่งทำให้ผมค่อนข้างสับสนตีความไม่ค่อยถูกอยากรบกวนถามสักหลายจุดครับ คือดวงเป็นแบบนี้ครับ

1 4 5 6 ราศีกรกฎ

7 8 ราศีสิงห์

3 ราศีเมถุน

2 ราศีเมษ

9 ราศีมีน

0 ราศีตุลย์

ลัคนาราศี สิงห์

ดวงนี้ได้ดวงเกณฑ์ จันทร์ ครู สุริยา ซึ่งดูแล้วน่าจะดีมี 1 2 เป็นมหาจักร 5 อุจน์ 6 ราชาโชค แต่ 8 เจ้าเรือนปัตนิติดประ ที่สำคัญ คือที่ภพวินาศน์มีดาวรวมกัน 4 ดวงคือ 1 4 5 6 ซึ่งเป็นเจ้าเรือนตนุ กดุมภะ สหัชชะ ปุตตะ มรณะ กัมมะ อีกทั้งเจ้าเรือนอริกับปัตนิเป็น 7 8 มาอยู่กุมลัคนา ดาวสองดวงนี้เป็นคู่มิตร แต่ดันเป็นเจ้าเรือนอริ แถมดาวปัตนิติดประ ดูแล้วตามดวงคิดว่าน่าจะมีความหมายเชิงแย่มากกว่าดี แต่ก็ได้ดวงเกณฑ์จันทร์ ครู สุริยา ซึ่งควรจะมีพื้นดวงที่ดีไม่ใช่หรือครับ แบบนี้ส่วนที่ไม่ดีควรจะต้องแปลไปในทางดี หรือยังไงครับ แล้วการที่เจ้าเรือนมรณะอยู่ภพวินาศน์ แปลได้ไหมครับว่าอายุยืน เพราะความมรณะวินาศน์ไป ขอคำชี้แนะด้วยครับ ขอบคุณครับ


ฟัด - 9 ตุลาคม พ.ศ.2548 00:42น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบ 1 คุณ ทิพย์..........1 / ถ้าถือเป็นข้อเท็จจริงแล้ว ต้องตอบว่าไม่ใช่ครับ เพราะต้องขึ้นอยู่กับดวงชะตาของแต่ละคน แต่ ถ้าถือเป็นธรรมชาติแล้ว ต้องบอกว่ามีแนวโน้มเช่นนั้นบ้าง เหตุผลเรื่องนี้เป็นเพราะลัคนาในราศีเหล่านี้ ทั้งสี่ราศี มีเจ้าเรือนตนุเป็นปฏิปักษ์โดยธรรมชาติกับเจ้าเรือนปัตนิ ซึ่งเป็นเรือนครอบครัว และ การครองคู่ ลองไล่ดูสิครับ เช่น ลัคน์สิงห์ ตนุ ๑ กับ ปัตนิ ๘ ลัคน์กรกฏ มี ๒ – ๗ ลัคน์มังกร มี ๗ – ๒ และ ลัคน์ กุมภ์ มี ๘ - ๑ ดังนั้น ก็จะเกิดผลมากบ้างน้อยบ้างตามดวงชะตาของแต่ละคน หากมีผลสัก 10 % ก็ถือว่ามากแล้ว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆที่สำคัญกว่ามาก บางทีก็พบเพียงการโกรธงอน ขัดกันเล็กๆน้อยๆเป็นประจำเท่านั้น

2 / ที่คุณสรุปมาก็ถูก แต่ถูกไม่หมด อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่า เราจะศึกษาลึกไปถึงระดับไหน อย่างเช่น เราพยากรณ์ว่า วันนี้จะมีคนเอาขนมอร่อยมาให้เรา แล้วก็มีคนเอามาให้เราจริงๆ แค่นี้ก็เป็นระดับที่ถือว่าแม่นแล้ว เป็นระดับการพยากรณ์โดยทั่วไป หรือ มาตรฐาน แต่ถ้าจะดูให้ระเอียดว่า ใครเอามาให้ เป็นขนมอะไร มาเวลาไหน เอามาให้กี่ชิ้น อะไรเช่นนี้ ก็ต้องดูดาวให้หมด 10 ดวงทั้งดวงเดิมและดวงจร แต่มักจะใช้ได้เพื่อการศึกษาเท่านั้น เวลาทำนายโดยไม่รู้ก่อนจะยากมากเกินไป หากสอนระดับที่ใช้งานจริง จึงไม่ควรดูให้ยุ่งยากเปล่าๆ เพราะอาจเสียประเด็นหลักไป

ที่ถูกต้องคือ ดวงเดิมนั้น ดาวทุกดวงจะมีปฏิกิริยาถึงกันหมด เพราะไม่ว่าดาวอยู่ตรงไหนใน 12 ราศี ก็จะมีผลต่อดาวดวงอื่นไม่ว่าทางตรงหรือ ทางอ้อม เราจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องดูให้หมดทั้ง 10 ดวง ใน ทุกมุมดาว และความสัมพันธ์ เพราะดวงเดิมนี้คือ กรรมเดิมเฉพาะของแต่ละคน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ ก็จะเกิดเพราะดวงเดิมแสดงผล แต่เวลาอ่านเราก็ไม่ต้องอ่านแสดงออกมาทั้งหมด อาจจะอ่านแค่เพียงไม่กี่ดาว ส่วนที่เหลือก็ปล่อยวางแต่จะต้องรับรู้อยู่ในใจ ทิ้งไม่ได้เลย และต้องพร้อมนำมาขยายความ หากมีสิ่งบอกเหตุที่สัมพันธ์ถึง ส่วนดวงจรนั้น ดาวจรเป็นดาวสาธารณะ เวลามันจรมา เราทุกคนก็มีดาวจรเป็นเหตุได้เท่าๆกัน แต่จะมีเพียงดาวจรไม่กี่ดวงที่ทำงานร่วมกับดวงเดิมของเราในคราวหนึ่งๆต่อเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ดวงใครดวงมัน ดังนั้น แม้ดาวจรก็จะต้องดูทั้ง 10 ดวงเหมือนกัน เพื่อให้รู้ว่ามันเข้ามาเกี่ยวข้องใกล้ชิดในเรื่องนั้นด้วยหรือไม่เท่านั้น แต่เราจะสนใจเพียงดาวที่มาทำปฏิกิริยาเด่นๆ (ไม่ว่าทางตรง หรือ ทางอ้อม) กับดวงของเราในเรื่องที่พิจารณาอยู่ ซึ่งมักจะมีเพียง 3 – 4 ดวงเป็นอย่างน้อย


วรกุล - 9 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:24น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ขอบคุณค่ะ

ยังไม่มีท่านใดเข้ามาถาม ก็ขอเรียนถามอีก เกรงใจค่ะ แต่คาดหวังว่าผู้อื่นเข้ามาอ่านน่าจะได้ประโยชน์ไปด้วย

1.อ่านกระทู้ก่อนๆที่ อาจารย์เขียนถึงเรื่องการมีบุตรว่า ในดวงทั้งพ่อและแม่ต้องแสดงว่าได้บุตรเมื่อมีบุตรมาเกิด ปัญหาที่จะถามคือ ถ้าในดวงคนเป็นแม่พื้นดวงแสดงว่า มีบุตรดี ดวงคนเป็นพ่อต้องแสดงด้วยไหมว่า มีบุตรดี คือทั้งพ่อและแม่ต้องมีพื้นดวงแสดงใช่ไหมคะว่ามีลูกดี

2.อ่านเรื่อง "พรหมเรขา" แล้วเกิดความสงสัยว่า จริงๆแล้วคนเรานี่จะเลือกทางของตัวเอง ตามกรรม และ วิบาก ชักนำไปใช่ไหมคะ (จริงๆคนเราไม่สามารถรู้ได้ว่า ได้ทำกรรมใดไว้บ้างในชาติก่อน)

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 9 ตุลาคม พ.ศ.2548 21:11น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบ 2 คุณฟัด..........คุณเข้าใจเรื่องเกณฑ์ผิดไป เหมือนนักศึกษาเป็นส่วนมาก คำว่า เกณฑ์ นี้ โหราศาสตร์ หมายถึง มาตรฐาน หรือ รูปแบบ หรือ จังหวะเวลา ก็ได้ เช่น มีเกณฑ์แต่งงาน ไม่ได้แสดงว่ามีโชคดี ดวงพินธุบาทว์ก็เป็นเกณฑ์ ไม่ได้แปลว่าดวงมีวาสนา ดาวมาเป็นฆาตเกณฑ์ถึงตาย ก็ไม่ได้แปลว่าดวงกำลังดี สรุปแล้ว เกณฑ์ ไม่ได้แปลว่าดี แต่พูดภาษาง่ายๆ ดาวที่เป็นเกณฑ์ คือดาวที่อยู่ถูกที่ ส่วนจะถูกที่แล้วดี หรือ ไม่ดี เป็นที่ดี หรือ ที่เลว ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จันทร์ ครุ สุริยา หรือ ๒ ๕ ๑ เป็นแหล่งพลังงานธาตุในดวงชะตา และเป็นจุดเจ้าชะตาด้วย ดังนั้น เมื่ออยู่ในราศีทวาร เป็นเกณฑ์ทางธาตุ ทำให้ดาวที่อยู่ในราศีเหล่านี้มี กำลังธาตุ สูงดี ก็ย่อมจะให้คุณระดับมาก แต่ความที่มันเป็นเจ้าเรือนใด และ มีความสัมพันธ์กับดาวดวงอื่น มันจึงอาจเป็นโทษด้วยก็ได้ แล้วแต่จะมองมุมไหน

ดวงชะตาที่ถามมา ไม่มีวันเวลามาด้วย ดังนั้น จึงชี้แจงในลักษณะการศึกษาได้อย่างเดียว ไม่ใช่การทำนาย พื้นดวงมีจันทร์ ครุ สุริยาอยู่ในราศีทวาร ซึ่งมีกำลังธาตุดี ทำให้ดวงชะตาไม่ตกต่ำวิบัติง่าย เนื่องจากธาตุของจุดเจ้าชะตาเข้มแข็งดี แต่การที่ อาทิตย์ พฤหัส อยู่เป็นวินาสน์ต่อลัคนา ทำให้การให้คุณนั้นมีผลเป็นความเสียหาย หรือ ต้องเสียหายร่วมด้วย ความเป็นเจ้าเรือน ตนุ กดุมภะ สหัชชะ ปุตตะ มรณะ กัมมะ ของดาว ๑ ๔ ๕ ๖ จึงมีสภาพเหมือนกันในเรือนวินาสน์ และยิ่งมีดาวหลายดวงสัมพันธ์ถึงตนุลัคน์เช่นนี้ วิถีชีวิตของผู้ที่เกิดเวลาใกล้เคียงกัน ลัคนาอยู่ในที่เดียวกัน จะยิ่งเปลี่ยนแปลงไปได้มาก ในขณะที่รูปดาวของจุดเจ้าชะตาดูดีอยู่นี้ ก็จะเห็นจุดเสียพลิกผันอย่างหักมุมอยู่ถึง 3 แห่งคือ หนึ่ง... เสาร์และราหูกุมลัคนา เสาร์เป็นอริ ราหูเป็นปัตนิ และเป็นประ แสดงถึงกำลังธาตุที่อ่อนลง ความเป็นคู่มิตรนั้น จึงชวนมิตรกันมาทำให้เจ้าชะตาเสียหาย เกิดปัญหาในชีวิตคู่ และการครองคู่ เมื่อกลับได้ตรีโกณกับจันทร์กำลังดาวที่สูงขึ้น จึงทำให้ดาวคู่นี้แสดงออกมามาขึ้น จนถึงกับบงการชีวิต เพราะกุมลัคนาอยู่

สอง....มฤตยูที่เป็นโยคหน้าลัคนา นั้น อันที่จริงก็ไม่เท่าไร แต่มฤตยูดวงนี้อยู่เรือนศุกร์ ศุกร์กุมร่วมอาทิตย์ตนุลัคน์ พลอยทำให้เกิดความผันผวนในชีวิต และยังทำให้มฤตยูแสดงผลไปในทางไม่ดีต่อความรักของศุกร์ได้แรงขึ้น สาม.....มฤตยูได้จันทร์พลังงานธาตุเล็งซ้ำ ทำให้กำลังดาวของมฤตยูสูงมาก และจันทร์เจ้าเรือนที่ ๑ ๔ ๕ ๖ อยู่นั้น ถูกมฤตยูเล็งเข้าเต็มเปา กลายเป็นแพบนลำน้ำเชี่ยว เมื่อมฤตยูตรีโกณเข้าหาอังคารพันธุ – ศุภะ เจ้าเรือนที่จันทร์อยู่ ชีวิตเจ้าชะตาจะผันผวน ดี ร้ายอยู่ตลอดชีวิต ไม่มีหมด

ดาวมรณะไปอยู่วินาสน์ ไม่ได้แปลว่า อายุยืนครับ เมื่อมรณะ คือโรคภัยไข้เจ็บไปอยู่เรือนวินาสน์ แปลได้หลายอย่าง เช่น หากดาวไม่ดี เมื่อเกิดโรคภัยแล้ว เจ้าชะตาวิบัติก็ได้ หรือ หากดาวดี โรคภัยเมื่อเกิดแล้วก็หายเร็ว เพราะโรคนั้นวิบัติไปเอง ดวงนี้ ต้องถือว่าดาว ๕ มรณะนั้นได้คู่มิตร แสดงว่าโรคนั้นมีมิตรมาร่วมเยอะ จึงมีโรคมาก และเป็นโรคเด่นๆ เพราะเกตุอยู่ในเรือนพฤหัสอยู่ด้วย แต่เพราะว่าอยู่วินาสน์ กุม ๑ ตนุ และ จันทร์ เจ้าเรือนวินาสน์ ทำจตุโกณเข้าหา จึงทำให้มีผลมากต่อชีวิตมาก จะเห็นได้ว่า ดวงชะตาเดียวกันนี้ หากลัคนาเลื่อนไปเพียงแค่อยู่ในราศีกันย์ วาสนาดวงชะตาจะเปลี่ยนไปดีเด่นได้คนละทางอย่างเหลือเชื่อ เป็นทางไหน ทิ้งไว้เป็นปริศนาให้คุณลองถอดดูจะได้ความรู้มากขึ้น


วรกุล - 10 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:40น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
ใน่าจะเป็นไปในทางรวยรึเปล่าครับชีวิตจะได้เงินเยอะอย่างไม่ลำบากอะไร แต่เรื่องความรัก อาจจะถือว่าไม่ดีมากใช่มั้ยครับ น่าจะอยู่ไกลกันและไม่ค่อยจะยอมกันและกันหรือเปล่าครับ


โกวเล้ง - 10 ตุลาคม พ.ศ.2548 15:42น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบ 4 คุณ ทิพย์..........1 / โดยทั่วไป ในดวงทั้งพ่อและแม่ต้องแสดงว่าได้บุตรเมื่อมีบุตรมาเกิด ถูกแล้วครับ แต่บุตรดีหรือไม่ดี อ่านจากดวงบิดา มารดาไม่ชัดเจน เราต้องพูดให้ละเอียดเรื่อง “ดี” หรือ “ไม่ดี” ในดวงของทุกคนเสียก่อน ถ้าหัวหน้าโจร ชมลูกน้องว่า “แกนี่ดีจริงๆ ข้าสั่งให้ฆ่าใครก็ไม่ลังเลเลย” แต่ ตำรวจกลับพูดว่า “***โจรนี่มันเลวจริงๆ ฆ่าเจ้าทรัพย์ทั้งๆที่ไม่ได้ต่อสู้เลย” ตกลงความดี กับ ความเลวมันอยู่ตรงไหนกัน บางคน ลูกตัวเองไปทำชั่วมา เช่น ไปเล่นการพนันรวยมาหลายสิบล้าน ก็ว่าลูกตัวเองดี

เรื่องดี หรือ ไม่ดี เป็นมุมมองของแต่ละคน อยู่ที่ความพอใจ เหมือนอย่างมีใครมาถามว่า คู่ครองดีหรือไม่ เราไม่มีทางทำนายให้แม่นได้ จะหมายถึงอะไรที่ว่า “ดี” เมื่อเราดูผู้อื่น จากอีกดวงชะตาหนึ่ง สิ่งที่ทำนายได้คือ คุณสมบัติทางธาตุ ซึ่งมองจากธรรมชาติของดาวอย่างเป็นกลาง ดังนั้น เราจึงมักดูดวงแม่ เพื่อทายนิสัยใจคอของลูก และเราดูดวงพ่อ เพื่อทายสุขภาพ และความเป็นไปในชีวิตของลูก เท่านั้น ส่วนคุณสมบัติอื่นๆทางดวงชะตาเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องคนที่ชำนาญจึงจะดูความสัมพันธ์นั้นได้ โดยทั่วไปก็ต้องดูทั้งดวงพ่อและแม่ด้วย หากมีลูกหลายคน ก็จะดูยาก บางคนอาจดี หรือ ไม่ดีก็ได้

2 / จริงๆแล้วคนเราเลือกทางใน “พรหมเรขา” ได้ครับ แต่เรามักไม่ได้เลือก ดวงชะตาของเรามักจะบังคับ หรือ เปิดทางให้เราเดินไปตามทางที่ชะตากรรมเลือกไว้ให้เสมอ และเราก็จะเดินไปตามทางนั้น โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ ไม่ได้หลีกเลี่ยง เนื่องจากเห็นดีเห็นงามไปกับทางนั้นเสียทุกครั้ง เพราะว่าดาวต่างๆในดวงชะตาของเรา จะสร้างชีวิตจิตใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดให้กับเรามา เป็นสำเนาเดียวกับโปรแกรมที่กำหนดชีวิตของเรานั่นเอง ดังนั้น จิตใจส่วนลึก หรือจิตใต้สำนึกของเรา ก็จะตัดสินใจทำไปตามครรลองนั้นเสมอ เราเองมีความสามารถที่จะเลือกฝืนทางได้ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้ต่างหากว่า ทางอื่นๆที่เราจะเลือกเดินไปนั้นนำไปสู่อะไรกันแน่ หรือ ไม่มีใครรู้ว่า เส้นทางที่เราฝืนเลือกมานั้น แท้ที่จริงก็เป็นเส้นทางในพรหมเรขาที่เป็น original และการฝืนเลือกของเราก็เป็นบทบาทที่กำหนดไว้ให้เราทำในพรหมเรขาด้วยหรือไม่ ไม่มีใครรู้ความจริงใน “พรหมเรขา” เลย เรื่องนี้ เป็น “หลุมดำ” (blackhole) ทั้งทางโหราศาสตร์ และปรัชญา อาจารย์.สส.เขียนไว้แล้วในความเห็นที่ 14 กระทู้ “กระทู้นี้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยได้ถามไถ่ (2)” โดย คุณ การเวก (กรวิก) ว่า พรหมเรขาเป็นสิ่งลึกลับทางโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง เมื่อเส้นทางหนึ่งถูกเลือกใช้แล้ว เส้นทางอื่นจะหายไป ไม่มีวันย้อนคืน และจะเกิดเส้นทางแขนงใหม่ขึ้นมาให้เลือกอีก

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 6 คุณ โกวเล้ง.........ไม่เฉลยนะครับ แต่ใครอ่านก็จะได้บทเรียนเอง ลองดู 2 ดวงเปรียบเทียบกันว่า อะไรที่เหมือนหรือต่างกันเพราะอะไร


วรกุล - 11 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:18น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 8


ตอบ 4 คุณ ทิพย์..........1 / โดยทั่วไป ในดวงทั้งพ่อและแม่ต้องแสดงว่าได้บุตรเมื่อมีบุตรมาเกิด ถูกแล้วครับ แต่บุตรดีหรือไม่ดี อ่านจากดวงบิดา มารดาไม่ชัดเจน เราต้องพูดให้ละเอียดเรื่อง “ดี” หรือ “ไม่ดี” ในดวงของทุกคนเสียก่อน ถ้าหัวหน้าโจร ชมลูกน้องว่า “แกนี่ดีจริงๆ ข้าสั่งให้ฆ่าใครก็ไม่ลังเลเลย” แต่ ตำรวจกลับพูดว่า “***โจรนี่มันเลวจริงๆ ฆ่าเจ้าทรัพย์ทั้งๆที่ไม่ได้ต่อสู้เลย” ตกลงความดี กับ ความเลวมันอยู่ตรงไหนกัน บางคน ลูกตัวเองไปทำชั่วมา เช่น ไปเล่นการพนันรวยมาหลายสิบล้าน ก็ว่าลูกตัวเองดี

เรื่องดี หรือ ไม่ดี เป็นมุมมองของแต่ละคน อยู่ที่ความพอใจ เหมือนอย่างมีใครมาถามว่า คู่ครองดีหรือไม่ เราไม่มีทางทำนายให้แม่นได้ จะหมายถึงอะไรที่ว่า “ดี” เมื่อเราดูผู้อื่น จากอีกดวงชะตาหนึ่ง สิ่งที่ทำนายได้คือ คุณสมบัติทางธาตุ ซึ่งมองจากธรรมชาติของดาวอย่างเป็นกลาง ดังนั้น เราจึงมักดูดวงแม่ เพื่อทายนิสัยใจคอของลูก และเราดูดวงพ่อ เพื่อทายสุขภาพ และความเป็นไปในชีวิตของลูก เท่านั้น ส่วนคุณสมบัติอื่นๆทางดวงชะตาเป็นเรื่องซับซ้อน ต้องคนที่ชำนาญจึงจะดูความสัมพันธ์นั้นได้ โดยทั่วไปก็ต้องดูทั้งดวงพ่อและแม่ด้วย หากมีลูกหลายคน ก็จะดูยาก บางคนอาจดี หรือ ไม่ดีก็ได้

2 / จริงๆแล้วคนเราเลือกทางใน “พรหมเรขา” ได้ครับ แต่เรามักไม่ได้เลือก ดวงชะตาของเรามักจะบังคับ หรือ เปิดทางให้เราเดินไปตามทางที่ชะตากรรมเลือกไว้ให้เสมอ และเราก็จะเดินไปตามทางนั้น โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือ ไม่ได้หลีกเลี่ยง เนื่องจากเห็นดีเห็นงามไปกับทางนั้นเสียทุกครั้ง เพราะว่าดาวต่างๆในดวงชะตาของเรา จะสร้างชีวิตจิตใจตลอดจนความรู้สึกนึกคิดให้กับเรามา เป็นสำเนาเดียวกับโปรแกรมที่กำหนดชีวิตของเรานั่นเอง ดังนั้น จิตใจส่วนลึก หรือจิตใต้สำนึกของเรา ก็จะตัดสินใจทำไปตามครรลองนั้นเสมอ เราเองมีความสามารถที่จะเลือกฝืนทางได้ แต่จริงๆแล้วไม่มีใครรู้ต่างหากว่า ทางอื่นๆที่เราจะเลือกเดินไปนั้นนำไปสู่อะไรกันแน่ หรือ ไม่มีใครรู้ว่า เส้นทางที่เราฝืนเลือกมานั้น แท้ที่จริงก็เป็นเส้นทางในพรหมเรขาที่เป็น original และการฝืนเลือกของเราก็เป็นบทบาทที่กำหนดไว้ให้เราทำในพรหมเรขาด้วยหรือไม่ ไม่มีใครรู้ความจริงใน “พรหมเรขา” เลย เรื่องนี้ เป็น “หลุมดำ” (blackhole) ทั้งทางโหราศาสตร์ และปรัชญา อาจารย์.สส.เขียนไว้แล้วในความเห็นที่ 14 กระทู้ “กระทู้นี้สำหรับผู้ที่ต้องการศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยได้ถามไถ่ (2)” โดย คุณ การเวก (กรวิก) ว่า พรหมเรขาเป็นสิ่งลึกลับทางโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง เมื่อเส้นทางหนึ่งถูกเลือกใช้แล้ว เส้นทางอื่นจะหายไป ไม่มีวันย้อนคืน และจะเกิดเส้นทางแขนงใหม่ขึ้นมาให้เลือกอีก

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 6 คุณ โกวเล้ง.........ไม่เฉลยนะครับ แต่ใครอ่านก็จะได้บทเรียนเอง ลองดู 2 ดวงเปรียบเทียบกันว่า อะไรที่เหมือนหรือต่างกันเพราะอะไร


วรกุล - 11 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 9 คุณ โกวเล้ง.........ดวงชะตาทุกดวงที่มีความดีหรือไม่ดี มักจะอ่านได้เพียงชั่วเราพลิกองคประกอบนิดเดียว ดังนั้นเวลาเราเห็นดวงที่มีดาวดูดี หรือ ดูเลว ลองเปลี่ยนเวลาเกิดดู หรือ ขยับดาวบ้าง เราจะได้อะไรที่เป็นบทเรียนมากกว่าดวงธรรมดาทั่วไป ส่วน เรื่องเอกภพคู่ขนาน (parallel universe) นั้น เป็นเรื่องจินตนาการ การคิด 4 มิติ โดยที่คิดว่าเวลา เป็นมิติที่ต่อเนื่องและเป็นเกณฑ์วัดได้ เป็นเพียงตัวแบบ (model)ทางคณิตศาสตร์เท่านั้น สู้ความคิดของพวกพราหมณ์ไม่ได้ เพราะ พรหมเรขา ที่อยู่ใน 3 มิติ ส่วน เวลา ก็แยกออกไปเป็นกาลจักร อีกต่างหาก ยังพอเห็นข้อมูลในชีวิตจริงมากกว่า และก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า เวลา มีอยู่จริงหรือไม่ คืออะไร เวลา กับ นาฬิกา ไม่เหมือนกันครับ

000000000000000000000000000000000000000000000000000

คราวก่อนเขียนเรื่องกำลังดาว และ กำลังธาตุไปแล้ว เวลาอธิบายอะไรที่เป็นพฤติกรรมของดาวในดวงชะตาก็จะง่ายขึ้น ที่น่าสนใจสำหรับนักเรียนโหราศาสตร์น่าจะรู้ก็คือ ดาวพักร มนฑ์ เสริด ดาวพักร มนฑ์ เสริดนี้ พวกเรานักเรียนโหรมักฉงนสงสัย ว่าเอามาใช้อย่างไร อ่านตามฝอยในตำรา ก็ดูเป็นเรื่องพื้นๆ แต่บางอาจารย์กลับบอกว่า ดาวเดินแบบนี้เป็นเคล็ดพยากรณ์ แต่ก็ไม่บอกอะไรต่อ ทำให้สงสัยว่ามันเป็นเคล็ดอะไรกันแน่ บางท่านก็บอกเป็นปริศนาว่า ดาวพักรมีค่าเทียบเท่าอุจ แต่ไม่รู้ว่าเทียบอย่างไร

พวกเราหลายคนคงรู้แล้วว่า ดาวพักรมนเสริดเกิดจากอะไร ในบรรดาความรู้ทางโหรา – ดาราศาสตร์ เราต้องระวังว่าบางเรื่องไม่ใช่การเคลื่อนที่จริงของดวงดาว แต่เป็นภาพที่เห็น เพราะในกรณีนี้ ดาวทั้งหลายก็ยังโคจรไปตามความเร็ว และวงโคจรตามปกติ แต่เพราะความเร็วที่สัมพัทธ์กับความเร็วโลกที่เราอยู่นั้น มันไม่เท่ากัน ดังนั้น มุมมองที่เรามองจากโลกจึงทำให้เห็นว่าดาวนั้น เดินเสริดเร็วกว่าปกติ หรือ มนฑ์หยุดนิ่ง หรือ เดินพักรถอยหลังเลย เป็นอยู่บ่อยๆ เรียกว่า ดาวเดิน วิกลคติ เรารู้กันว่า ดาวที่ไม่เดินวิกลคติ ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ ราหู เกตุ นอกนั้นเดินวิกลคติได้หมด

เราต้องรู้ก่อนว่า เหตุใดดาวที่เดินวิกลคติจึงมีความสำคัญ เราได้รู้เรื่องกำลังดาว และกำลังธาตุมาบ้างแล้วในบทความก่อน จึงขอย้ำว่า ดาวที่เคลื่อนไปในจักรราศีนั้น เมื่อได้ถ่ายลงมาเป็นธาตุดาว และเกษตรธาตุในดวงชะตาแล้ว ดาวจะเป็นอุจ เกษตรนิจประ อย่างไรก็ดี ดาวเหล่านี้จะต้องได้รับธาตุที่มาจากสุริยจักรวาลผ่านทางลัคนา แล้ววนตามจักรผ่านมาถึงดาวแต่ละดวง ในกระแสธาตุที่วนผ่านมาในดวงชะตานี้ มีทั้งที่เป็น พลังงานธาตุ กับธาตุอื่นๆ เช่น ธาตุดาว หรือ เกษตรธาตุในสภาวะธาตุละเอียด กระแสธาตุวนมานี้ เกิดขึ้นในดวงชะตาเท่านั้น ดาวที่อยู่ในจักรวาลไม่ได้อยู่ในกฎเกณฑ์นี้ และดาวที่อยู่ในจักรวาลก็ไม่ได้เคลื่อนที่ผิดปกติเลยแม้สักดวงเดียว ทำให้บางคนที่เรียนดาราศาสตร์เป็นสรณะ ดูถูกโหราศาสตร์ไปเลยก็มี

การเดินผิดปกติของดาว หรือเรียกให้ถูกก็คือ ธาตุดาวที่อยู่ในดวงชะตา จึงมีผลต่อพลังงานที่ได้รับ และทำให้ธาตุของมันเปลี่ยนแปลงด้วย เมื่อดาวเดินปกติ อัตราการรับพลังงานจากกระแสพลังงานธาตุที่ไหลวนมา ก็จะเป็นไปตามคุณสมบัติดาวที่ควรเป็นเมื่อจรในราศี แต่เมื่อดาวเดินพักรย้อนจักร เหมือนเราเอาเชือกดึงวัตถุวิ่งทวนน้ำ น้ำจะถูกดันให้สูงขึ้นเพราะการปะทะของกระแสน้ำเข้ากับวัตถุ พลังงานธาตุถูกอัดเข้าหาธาตุดาว ทำให้พลังงานธาตุสูงเกินกว่าปกติ ดังนั้นดาวพักรและมนฑ์มีจึงมีกำลังดาวสูงขึ้นได้เอง จนบางท่านกล่าวว่า ดาวพักร เสมือนดาวเป็นอุจ อันนี้เป็นจริงแค่ครึ่งเดียว ส่วนดาวเสริด กระแสพลังงานธาตุจะยุบตัวลง เพราะดาวเดินล่วงหน้าจากอัตราปกติ เหมือนเราลากวัตถุเร็วกว่ากระแสน้ำ น้ำด้านหลังวัตถุจะยุบตัวลง ทำให้ดาวเสริด มีกำลังดาวอ่อนลง หรือ พูดง่ายๆก็คือ กำลังดาวอ่อนเพราะเดินเร็วไป เหมือนคนที่หมดแรงเพราะเดินเร็วนั่นแหละ

เมื่อดูกำลังธาตุ ดาวพักรนั้น ธาตุดาววิ่งถอยสวนกับกระแสธาตุที่มาเป็นแพ ธาตุดาวจะคุมตัวยาก ทำให้รับกระแสธาตุดาวมาไม่ดีพอ และเกิดการรวนเร ทำให้กำลังธาตุอ่อนลง ดาวที่เดินผิดปกติ ไม่ว่าพักรมนเสริด จะมีกำลังธาตุอ่อนลงทุกอย่าง ทำให้คุณสมบัติของมันเสียไปมากหรือน้อยแล้วแต่เรื่อง เช่น พฤหัส พักร สติปัญญาใช้ผิดทาง มักคิดอะไรไม่น่าคิด อะไรแบบนั้น ทีนี้ ถ้าเกิดดาวเป็นนิจประ เช่น พุธ อยู่ราศีมีน ปกติธาตุของมันจะมีน้อย และคุมตัวไม่ค่อยดี เมื่อเดินพักรด้วย หรือ มนเสริดก็ตาม ไม่ได้ช่วยให้กำลังธาตุดีขึ้น เพราะธาตุยิ่งรวนๆอยู่ อาจคิดฟุ้งซ่านมากเกินไป แต่กำลังดาวจะกลับดี เพราะธาตุที่อ่อนและฟุ้งกระจายนั้น มีประสิทธิภาพดี กลายเป็นคนที่บรรยายอะไร หลายแง่ หลายมุมพลิกแพลง ไม่รู้คิดมาได้อย่างไร

ดังนั้น ใคร(ไม่รู้)ที่สอนเด็กว่า ดาวเป็นนิจ ประ เมื่อเดินพักรแล้วจะกลายเป็นเกษตร อุจ ทำนองลบ กับ ลบ เลยกลายเป็นบวก จึงเป็นเรื่องไม่จริงอิงนิยาย เอาเรื่องมายำรวมกันเป็นยำทวาย หรือ ที่สอนกันโดยเอาพฤติกรรมของดาวมาเป็นพฤติกรรมของคน เช่นว่า ดาวพุธพักร พูดช้า เพราะดาวเดินถอยหลัง ดาวพุธมนฑ์ พูดติดขัด ดาวพุธเสริด พูดเร็วเขียนเร็ว เลยผิดพลาด เหตุผลทางธาตุก็ที่บอกข้างบนนั้นแหละ ลองคิดดู ถ้างงก็กลับไปอ่านทวนมาใหม่

ทีนี้มีค้างอยู่ในย่อหน้าบนว่า บางท่านกล่าวว่า ดาวพักร เสมือนดาวเป็นอุจ อันนั้นไม่ถูกทีเดียว เพราะเคยบอกมานานแล้ว ว่าดาวอุจ เกิดจากดาวโคจรใกล้โลก ดังนั้น ธาตุดาวจึงถูกส่งเข้ามาด้วยอัตราสูง ทำให้ธาตุดาวมีมาก นิจ ก็ตรงกันข้าม เมื่อธาตุมีมาก ก็จะรับพลังงานธาตุได้สูงตามไปด้วย พูดง่ายๆก็คือ ดาวอุจจะมีกำลังธาตุ และกำลังดาวสูง ต่างจากดาวพักร จะมีกำลังดาวสูง แต่กำลังธาตุต่ำลง มันต่างกัน ดังนั้นเวลาทำนายต้องระวังตรงนี้ให้ดีๆ หากสับสนก็กลับไปคิดเรื่องต้นตอของกำลังธาตุกับกำลังดาวมาใหม่ก็แล้วกัน คิดบ่อยๆสักพักก็เข้าใจ ถ้าเรามองให้ดีๆ จะฟันธง(ทันสมัยหน่อย)ได้ว่า ที่จริงดาวเดินพักร มนฑ์เสริด สำคัญ อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงกำลังดาว และ กำลังธาตุต่างหาก การเดินวิกลคติของดาวมีผลทำให้ธาตุดาวและ กำลังดาวผันผวนเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดปฏิกิริยาที่รออยู่แล้ว เหมือนกับน้ำที่ต้มจนเกินร้อยองศา c แต่ไม่ยอมเดือด หากกระเทือนนิดเดียว น้ำจะเดือดพลุ่งทันที


วรกุล - 12 ตุลาคม พ.ศ.2548 07:20น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบ 9 คุณ โกวเล้ง.........ดวงชะตาทุกดวงที่มีความดีหรือไม่ดี มักจะอ่านได้เพียงชั่วเราพลิกองคประกอบนิดเดียว ดังนั้นเวลาเราเห็นดวงที่มีดาวดูดี หรือ ดูเลว ลองเปลี่ยนเวลาเกิดดู หรือ ขยับดาวบ้าง เราจะได้อะไรที่เป็นบทเรียนมากกว่าดวงธรรมดาทั่วไป ส่วน เรื่องเอกภพคู่ขนาน (parallel universe) นั้น เป็นเรื่องจินตนาการ การคิด 4 มิติ โดยที่คิดว่าเวลา เป็นมิติที่ต่อเนื่องและเป็นเกณฑ์วัดได้ เป็นเพียงตัวแบบ (model)ทางคณิตศาสตร์เท่านั้น สู้ความคิดของพวกพราหมณ์ไม่ได้ เพราะ พรหมเรขา ที่อยู่ใน 3 มิติ ส่วน เวลา ก็แยกออกไปเป็นกาลจักร อีกต่างหาก ยังพอเห็นข้อมูลในชีวิตจริงมากกว่า และก็ยังถกเถียงกันอยู่ว่า เวลา มีอยู่จริงหรือไม่ คืออะไร เวลา กับ นาฬิกา ไม่เหมือนกันครับ


วรกุล - 12 ตุลาคม พ.ศ.2548 07:26น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
ครบ ๑ ปีแล้วนะครับ หลังจาก อ. สส ส่งข้อความแรก เมื่อ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๗ และ อ.วรกุลมาสานต่อ ขอขอบพระคุณในความเมตตากรุณาของอาจารย์ทั้งสองท่าน ที่สละเวลาและทำอย่างต่อเนื่อง อบรมสอนให้นักเรียนโหรได้เข้าใจธรรมชาติมากขึ้น ขออวยพรให้ท่านทั้งสอง มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง สภาพแวดล้อมรอบตัวสงบ และสมปรารถนาทุกประการ


หนูน้อย - 12 ตุลาคม พ.ศ.2548 10:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียนอาจารย์วรกุล

ขอเรียนถามดังนี้นะคะ

1.เมื่อก่อนใช้แผ่นจานหมุนหาลัคนาสำเร็จรูป ปัจจุบันมีโปรแกรมสำเร็จรูปและได้ไปซื้อมาใช้ เห็น คำหลายคำเรียนถามอาจารย์ กรุณาอธิบายด้วยค่ะ

เช่นคำว่า ลัคนากาลชะตา มีไว้เพื่อใช้ประโยชน์อะไร

ชันษาจร นี่รู้และเข้าใจ แล้ว คำว่า ชะตาจร ต่างกับชันษาจรอย่างไร

โหรสมัยก่อนนี่ท่านเก่งมาก ต้องเป็นผู้ที่เลิศทางด้านคำนวณอย่างยิ่ง เพราะในสมัยก่อนไม่มีอะไรช่วยนอกจากใช้มันสมองของท่านเท่านั้น ดิฉันชอบและสนใจโหราศาสตร์ มีความสุขและยินดีที่อ่านศึกษาไปเรื่อยๆ ดูพื้นดวงเดิมพอได้ แต่พอดูจรก็ดูได้แต่ดาวใหญ่ๆเท่านั้น

2.ยังติดใจเรื่องดาวอังคารอยู่ค่ะ ครั้งก่อน(คำถามสุดท้ายของกระทู้ที่ 9 )ที่เรียนถามอาจารย์ ลืมถามเรื่อง ดาวพฤหัสที่จรเข้ามาในราศีตุลย์ใกล้เคียงกับเวลาที่ดาวอังคารพักร์ และเข้ามาเล็งกับดาวอังคาร ลักษณะนี้ ดาวพฤหัสคงมีส่วนช่วยเสริม หรือทำให้เกิดสมดุล หรือจะทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลวร้ายกว่าเดิมไหม ตามลักษณะที่อาจารย์เรียกว่า เป็นไปตามดวงชะตาของแต่ละคน

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 12 ตุลาคม พ.ศ.2548 11:32น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบ 12 คุณ หนูน้อย.........ขอบคุณ คุณหนูน้อยที่มาอวยพรให้ ขอให้ความตั้งใจดีที่คุณมีต่อสาธารณะชน อุทิศตน และคำถามด้วยกุศลจิตเจตนา จงเป็นกุศลผลบุญส่งให้คุณได้ดวงตาเห็นธรรม และพุทธธรรมอันสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ในชาติภพนี้ ขอจงมีสุขภาพดีแข็งแรงทั้งกาย และ ใจ ตลอดจนครอบครัวมีความสุขโดยถ้วนทั่วกัน

0000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 13 คุณ ทิพย์.........ที่จริงใช้จานหมุนดีกว่ามาก เพราะเราได้เห็นรอบๆจุดที่เราวางลัตนาไปด้วย ว่าใกล้กับอะไร นวางค์ ฤกษ์อะไร หากมีความลังเลว่าเวลาเกิด หรือ วิธีที่เราวางถูกต้องหรือไม่ เราจะได้พิจารณาเปรียบเทียบดูรวดเดียว 3 – 4 ตำแหน่ง บนจานหมุนขณะนั้น

คำที่ถามมาอาจจะเป็นคำในความหมายเฉพาะที่เขากำหนดเอง น่าจะมีบอกไว้ในวิธีใช้โปรแกรมแล้วนะครับ ถ้าจะถามผมก็คงตอบตามความหมายทั่วไป ลัคนากาลชะตา คือ ลัคนาที่กำหนดจากเวลาถาม ที่มีผู้มาถามปัญหาเฉพาะหน้า เราก็ผูกดวงกาลชะตา วางลัคนาตามเวลาที่ถูกถามนั้น เพื่อพยากรณ์เฉพาะเรื่อง ส่วนใหญ่กาลชะตากำหนดวางลัคนาด้วยยามอัฐกาล หรือ จะใช้อันโตนาทีเฉพาะ เช่น ราศีละ 2 ชั่วโมงก็ได้

คำว่า ชันษาจร นี้ เข้าใจว่าใช้ในกลุ่มโหรสายทางท่านอาจารย์ประทีป อัครา และท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ หากเป็นทางโหรเก่า จะเรียกว่า ชันษา คือ “อายุ” นั่นเอง มีโหรหลายสำนักเรียกการทายจรว่า อายุจร ปีจร กาจร วัยจร หรือ ลัคนาจร ดังนั้นที่ท่านเรียกว่า ชันษาจร ก็คงเพื่อให้แตกต่างจากหลักวิชาอื่น ส่วน ชะตาจรนั้น เป็นคำกลางๆ เพราะเรามักเรียกดวงชะตากำเนิดเดิมว่า ชะตาเดิม แต่ดวงชะตาเดิมนี้เมื่อเคลื่อนไปเพราะการหมุน หรือ การนับ ใช้ดูจรได้ จึงเรียกว่า ชะตาจร เพื่อให้ต่างจาก ดวงจร ซึ่งมาจากดาวโคจรนั่นเอง ตามหลักการแล้ว ชะตาจร จึงมีความหมายไม่ต่างจากชันษาจร

สำหรับ พฤหัสจร ที่เข้าราศีตุลย์ มาเล็งกับอังคารจรในราศีเมษนั้น หากเป็นลักษณะดาวจร กับดาวจร ทางโหราศาสตร์ไทยทั่วไปไม่ใคร่จะดู แต่โหราศาสตร์บางระบบ เช่น โหราศาสตร์สากล ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้อง

ดู เหตุผลที่โหราศาสตร์ไทยเดิมไม่ดูนั้น เพราะระบบโหรไทยอาศัยเกษตรธาตุเป็นทางผ่านความสัมพันธ์ระหว่างดาว ไม่ใช่ใช้เชิงมุมระหว่างดาว เมื่ออังคารจรมา หรือ พฤหัสจรมาก็เช่นกัน มันจะทำปฏิกิริยาเข้าหาเรือนและราศีตามความสัมพันธ์ในดวงเดิมซึ่งเหมือนกับแผนที่อยู่ในดวงชะตาแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน

แต่ทั้งนี้ ไม่ใช่โหรไทยจะไม่ใช้ ดาวจร กับดาวจรเลย เพียงแต่การดูแบบดาวจรต่อดาวจร จะเป็นลำดับขั้นสูงอีกชั้นหนึ่ง ในเทคนิควิธีหลายอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้สอนกันทั่วไป เนื่องจากวิธีการซับซ้อนกว่ามาก และก็ไม่เหมือนการดูของโหรระบบอื่นๆ ส่วนใหญ่จะใช้ขยายความหมายซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นได้ทั้งทางดี และทางไม่ดี


วรกุล - 13 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:25น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
สวัสดีครับท่าน อ.วรกุล

ผมมีข้อสงสัยเรื่องดาวที่ถูกอาทิตย์กุมในองศาที่ไกล้กัน ที่เรียกว่าดาวดับอยากให้ท่าน อ.วรกุลขยายความและแนะนำเป็นข้อสังเขปด้วยว่าใช้ในการอ่านดวงชะตาอย่างไรครับ

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


ธีร - 13 ตุลาคม พ.ศ.2548 13:13น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบ 15 คุณ ธีร.........เรื่องดาวดับนี่ก็เป็นโหรา – ดาราศาสตร์อย่างหนึ่ง และก็ไม่ได้เป็นโหราศาสตร์ไทยเดิมโดยตรง เพราะโหรไทยไม่ได้ดูองศา แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ไทยอยู่ด้วย เป็นคนละทางกัน ก่อนอื่นคุณต้องนึกถึงดาว 3ดวง เอามาวางเรียงเป็นแนวเส้นตรง สมมุติว่า ดวงหนึ่งคือ อาทิตย์ ดวงหนึ่งคือโลก และอีกดวงหนึ่งเป็นดาวเคราะห์อะไรก็ได้ เรามีมุมมองจากโลกออกไปในจักรวาลก็จะถืออาทิตย์เป็นดาวดวงหนึ่งที่มีแสงสว่าง

1 / หากดาวอื่นมาอยู่ระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ เราก็จะเห็นดาวนั้นบังอาทิตย์อยู่ และเราจะเห็นทางด้านมืดของดาวหันมาหาโลก เพราะด้านสว่างนั้นหันไปหาดวงอาทิตย์ ดังนั้น ตามข้อเท็จจริงเราก็จะถือเสมือนดาวนั้นดับไป (ไม่สว่าง) แต่เป็นเป็นวงกลมดำๆ อยู่บนวงกลมของดวงอาทิตย์ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ดาวอยู่ด้านหน้าดวงอาทิตย์ หรือ โหราศาสตร์เรียกว่า ดาวดับ 2/ หากดาวอาทิตย์มาอยู่ระหว่างโลกกับดาวเคราะห์ หรือ เรียกว่า ดาวเคราะห์ไปอยู่ด้านหลังดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จะบังไว้ทำให้ไม่เห็นดาวนั้น ดาวก็จะมืดไปเช่นกัน เช่นนี้โหราศาสตร์ก็เรียกดาวดับเหมือนกัน แต่ดาวดับต้องมีองศาใกล้เคียงอาทิตย์ หากแค่ร่วมราศีถือว่าเป็นดาวกุมอาทิตย์เท่านั้น

ดาวดับ แม้อยู่ร่วมอาทิตย์ แต่ก็หันทางด้านมืดมาด้วย เราจึงมองไม่เห็น มีผลทำให้ดาวนั้น ส่งธาตุมายังโลก และมาสู่ดวงชะตาได้น้อย ดังนั้น ธาตุดาวจึงมีกำลังธาตุและกำลังดาวต่ำ เวลาทำนาย เราก็ทำนายคุณสมบัติตามความหมายของดาวนั้นในทางขาด พร่อง หรือ ด้อยไป ไม่ได้หมายถึงทางเลว เช่น ศุกร์ เป็นดาวดับ ความอ่อนหวาน นุ่มนวล ก็จะพร่องไป ด้อยไป คล้ายกับไม่มีดาวเพราะถูกบังไว้ ผู้หญิงที่ศุกร์ดับก็มักกระด้าง เป็นชายมักเข้ากับใครไม่ได้

ไหนๆพูดเรื่องนี้ ก็พูดถึงดาวเพ็ญเสียเลย ดาวเพ็ญ เป็นดาวที่ตรงข้ามกับดาวดับ ดาวอะไรที่อยู่ราศีตรงข้ามกับอาทิตย์ใกล้องศา ถือว่าเข้าสู่จุดเพ็ญ จะมีความเด่น เพราะรับแสงอาทิตย์มาก เราเคยคุ้นกับจันทร์เพ็ญ แต่ดาวอื่นๆ (เว้นแต่ ราหู และเกตุ) ก็เพ็ญได้เหมือนกัน ดาวเพ็ญจะมีกำลังธาตุ และกำลังดาวสูง แต่ไม่ได้แสดงว่าดีหรือ เลว เช่น คนไหนมีดาวเพ็ญ ก็จะเด่นดัง เป็นหัวหน้าได้ บุคคลใดมีพฤหัสเพ็ญ ก็จะมีปัญญาเห็นธรรม หรือ สติปัญญาสว่างไสว อะไรทำนองนั้น ในโหราศาสตร์ไทยจึงมีคำว่า อังคารเพ็ญ เสาร์เพ็ญ พฤหัสเพ็ญ และจันทร์เพ็ญ ส่วนพุธและศุกร์นั้น ปกติเดินพัวพันอยู่ห่างจากอาทิตย์ไม่เกิน 3 ราศี ดังนั้น เมื่อใดที่พุธ หรือ ศุกร์ อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด ก็จะเป็น พุธเพ็ญ ศุกร์เพ็ญ มีกำลังมากที่สุด เราอย่าไปสับสน ดาวเพ็ญ กับดาวดับ ไม่เหมือน ดาวเป็นอุจ กับนิจ และ เกษตร กับประ หรือ ดาวพักร กับ เสริด ล้วนเป็นคนละอย่างกัน เอามาบวกลบกันไม่ได้

ทั้งดาวดับ และดาวเพ็ญ ใช้พยากรณ์ได้ทั้งดวงเดิม และดวงจรได้ ส่วนใหญ่ใช้ดูวาสนา และดูวัย เมื่อถึงวัยของดาวนั้น รวมทั้งโหรบางท่านใช้เป็นเคล็ดลับดูจรด้วย โดยทั่วไปโหรไทยไม่ใคร่จะถือเรื่ององศา ดังนั้นส่วนมากจึงไม่สนใจเรื่องดาวดับหรือดาวเพ็ญ มีข้อสังเกตว่า ดาวดับ และดาวเพ็ญ หรือ กุม เล็ง นี้ เมื่อมีโลก คือราหู เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในแนวเดียวกันไม่ต้องสนิทองศาก็จะเกิดเป็นคราสได้ คราสชนิดนี้จึงเกิดได้กับดาวทุกดวง ที่เป็นดาวดับ และดาวเพ็ญ หรือ กุม เล็ง ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็น จันทรคราส สุริยคราส เท่านั้น แต่คราสพฤหัส คราสพุธ คราสศุกร์ คราสเสาร์ คราสอังคาร ก็เป็นได้ นี่เป็นเคล็ดลับของบางสำนัก ผมยังเกรงใจอยู่ไม่อยากเปิดวิชาของเขามากนัก ดูเป็นการไม่สุภาพ ดังนั้น จึงอย่าจำสับสนกัน โหรไทยไม่สนใจดาวดับ และ ดาวเพ็ญ จากองศา แต่สนใจคราสที่เกิดได้กับดาวทุกดวงโดยไม่ต้องดูองศา สรุปได้แบบนี้


วรกุล - 14 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
เรียน อาจารย์วรกุล

1.ขอเรียนถามเรื่องลัคนา คือจากการที่ผูกดวงโดยจานหมุนเมื่อวางลัคนาแล้วมีปัญหาเกิดขึ้น แม้ไม่บ่อยนัก คือนานๆจะเป็นสัก ดวง คือลัคนาไม่เป็นไปตามที่ชีวิตเขาเป็นไป ผูกดวงออกมาได้ว่าลัคนาเขาอยู่พิจิก แต่เหตุการณ์ในชีวิตเขาเป็นไปอย่างถูกต้องเมื่อวางลัคนาไว้ที่ตุลย์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างนี้ เป็นเพราะอะไร

2.เรื่องของดาวเพ็ญ มีข้อจำกัดใช่ไหมคะว่าต้องเป็นดาวที่อยู่ราศีตรงข้ามกับดวงอาทิตย์เท่านั้น โยคหน้า หรือตรีโกณไม่เข้ากฎเกณฑ์ใช่ไหมคะ(ยกเว้นดาวพุธ กับศุกร์ เนื่องเพราะวิถีการโคจร)

3.ดาวดับที่อาจารย์กล่าวถึง หากอาทิตย์กุมพุธ สนิทนี่แสดงว่า จะมีปัญหาเรื่องการพูด ถ้าพฤหัสหมายถึงปัญญาหรือคุณธรรมอาจด้อยลงใช่ไหมคะ เมื่อเป็นเช่นนี้แสดงว่า อาทิตย์กุมกับดาวต่างๆมีคุณภาพไม่ดี สู้อาทิตย์อยู่ตรงข้ามกับดาวต่างๆดีกว่า

4.ดาวที่แสดงถึงเรื่องราวเกี่ยวกับความรักนี่คือ ดาวศุกร์ ตัวเดียวเท่านั้นใช่ไหมคะ หรือดาวพฤหัสกับดาวอาทิตย์ ก็แสดงถึงความสมหวังได้

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 18 ตุลาคม พ.ศ.2548 00:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
ตอบ 17 คุณทิพย์...........1 / ผมเคยเขียนบทความเรื่องลัคนาไว้แล้ว ไม่รู้อยู่ตรงไหน เวลาเกิดคนเราที่เขาให้มา อาจจะไม่ใช่เวลาเกิดตามกรรมที่แท้จริง แต่เป็นนาฬิกาจับเวลา หรือ เข้าใจไม่ตรงกันจึงคลาดเคลื่อนได้มาก หรือ เป็นการเลือกเวลาผ่าตัดออกมาก็ตาม ลัคนาที่วางตามเวลา แม้จะเป็นเวลาที่คลอดจริง ก็ยังถือเป็น ลัคนาดาราศาสตร์ แต่ลัคนาที่จะทำนายได้จริงๆตามดวงชะตา คือ ลัคนาโหราศาสตร์ ซึ่งอาจจะใกล้เคียงกัน หรือ อยู่ห่างกันเป็นราศีก็ได้ โหราศาสตร์ไทยจะใช้ลัคนาชนิดหลังนี้ ซึ่งจะหาได้โดยการสอบลัคนา จากเรื่องราวที่ปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเจ้าชะตานั่นเอง บางคนเรียกว่าลัคนาแท้ แต่เรียกแล้วสับสนเปล่าๆ

2 / ดาวเพ็ญ ต้องถือว่าอยู่ราศีตรงข้ามอาทิตย์โดยองศาด้วย อนุโลมให้ราวหนึ่งนวางค์ หรือ ไม่เกิน 4 องศา ดาวโยค ตรีโกณไม่ถือว่าเป็นดาวเพ็ญ

3 / ดาวดับก็ต้องดูองศาเหมือนกัน อนุโลมให้ราวหนึ่งนวางค์ หรือ ไม่เกิน 4 องศา เช่นกัน ดาวดับไม่ได้เสียคุณสมบัติทั่วไป แต่เสียความหมายทางปรัชญา เช่น พุธเป็นความคิด พฤหัสเป็นปัญญาความรู้ คุณสมบัติอื่นๆยังคงอยู่ แต่ต้องเน้นว่า โหรไทยไม่ได้สนใจ เรื่องดาวดับ หรือ ดาวเพ็ญทีเดียว หากไม่เกิดเป็นคราส เพราะใช้เกษตร และธาตุดาวซึ่งไม่ได้ใช้ตำแหน่งโดยองศาดาว แม้ดาวดับ หรือ เพ็ญ ก็ยังแสดงคุณสมบัติได้ครบถ้วน ความรู้เรื่องดาวดับ หรือ เพ็ญ มาจากทางภารตะ หรือพวกที่นำมาดูแบบองศามากกว่า เรื่องดาว ดี หรือไม่ดี ต้องกลับไปอ่านให้ละเอียด ดาวเพ็ญ หากเป็นในดวงคนไม่ดี เช่น เป็นโจร ก็เป็นหัวหน้าโจร หรือ โกงเก่งก็ได้ คำว่า ดี หรือ ไม่ดี อย่าพูดโดยไม่ได้แจกแจงความหมายเพราะมันกว้างเกินไป

4 / ความรัก คือ ดาวศุกร์ ถูกแล้ว แต่ความสมหวังนี่ถือเป็นความรักด้วยหรือ หากจะเอาใกล้เคียงความรักแบบนั้นก็เป็นได้ทุกดวง บางตำราบอกให้เอา ๑ + ๕ เท่ากับ ๖ เอาแบบนั้นหรือ


วรกุล - 19 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
เรียนอาจารย์วรกุล

ขอบคุณมากค่ะ และอ่านพบบทความที่อาจารย์เขียนถึงลัคนาแล้วค่ะ print ทุกกระทู้มาอ่านแล้ว ถ้าไม่print ออกมาก็จะลืม แล้วอ่านไม่สะดวก เสียดายที่กระทู้ที่ 2 ของคุณ กรวิก ที่ อาจารย์ สส.พูดถึงเรื่องพรหมเรขา print ไม่ได้ ข้อความตกจากกระดาษ

ขอเรียนถามอีกนะคะว่า

1.เมื่อเราดูดวงชะตาคนและเราอ่านได้ว่า เขามีคู่ครอง เราบอกเจ้าของดวงชะตา ว่าเขาจะพบคู่ ทีนี้เขาย้อนถามเราว่า เขาจะมีโอกาสได้แต่งงานไหม(ถ้าเป็นลูกหลานเราเราก็รู้ เพราะเราต้องเกี่ยวข้องในเรื่องการจัดงาน) เราจะเอาเกณฑ์อะไรมาตอบว่า เขาจะได้แต่งงานหรือไม่ หรือจะต้องดูเรือนพันธุประกอบไปด้วย เรือนศุภะก็น่าจะเกี่ยวข้องด้วยนะคะยากจัง

ดิฉันดูให้เพื่อนๆของลูก เพื่อนๆของญาติที่รู้จัก แต่อะไรที่หนักหนาไม่กล้าตัดสินใจพูด และตระหนักดีว่า ถ้าโหราศาสตร์ง่ายๆทุกคนที่อ่านหนังสือออกคงเป็นโหรกันไปหมดแล้ว

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 19 ตุลาคม พ.ศ.2548 10:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
เรียน อาจารย์วรกุล ครับ

ที่ อ.บอกว่า " โหรไทยไม่สนใจดาวดับ และ ดาวเพ็ญ จากองศา แต่สนใจคราสที่เกิดได้กับดาวทุกดวงโดยไม่ต้องดูองศา "

ผมสงสัยว่า ถ้าสมมุติว่า มีราหูกุมอยู่กับดาวหลายดวงในราศีเดียวกัน แล้วมีอาทิตย์เล็ง อย่างนี้ เวลาเกิดคราสเนี่ยครับ ในโหราศาสตร์ไทยถือว่า ดาวทั้งหมดในราศีนั้นโดนคราสหมดเลยหรอครับ ถึงแม้ว่าอาจจะมีบางดาวที่องศาห่างจากองศาเกิดคราสมากก็ตาม แล้วถ้าไม่โดนทุกดาว เราจะมีวิธีตรวจสอบอย่างไรบ้าง ว่าดาวดวงไหนไม่โดนอิทธิพลของคราส

แล้วก็ขอความกรุณาให้ อ.อธิบายผลกระทบของคราสที่เกิดขึ้นด้วยครับ

ขอบพระคุณมากครับ


ton - 19 ตุลาคม พ.ศ.2548 11:01น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
ตอบ 19 คุณทิพย์..........กระทู้ที่พิมพ์ไม่ได้ลองเซฟเป็น text file แล้วค่อย print หรือ เอาเมาส์คลิกลากระบายข้อความเป็นสีดำ copy แล้วมา paste ใส่ word ปรับข้อความแล้วค่อย print จะได้ครับ...........เรื่องเกี่ยวกับคู่ครองมีรายละเอียดเยอะนะครับ คือคนเราตั้งแต่แรกก็จะ 1 / เจอคู่แต่ไม่สนใจ 2 / รู้จักคู่ แต่ไม่สนใจอีก 3 / รู้จักคู่ สนใจ แต่ยังไม่รัก 4 / รักแล้วข้างเดียว อีกฝ่ายยังไม่มาบอก 5 / รักกัน แต่ไม่ได้เสีย 6 / ได้เสีย แต่ไม่ได้รัก 7 / รักกัน และได้เสีย แต่ไม่ได้แต่งงาน 8 / แต่งงานแต่ไม่ได้รัก 9 / รักกัน แต่งงานกัน แต่ยังไม่ได้ได้เสีย 10 / รักกัน แต่งงานกัน เพิ่งได้เสียกัน 11 / แต่งแล้วยังอยู่บ้านเดิม 12 / แต่งแล้วแยกไปอยู่บ้านอื่น 13 /.......ฯลฯ

ที่จริงจะเอารายละเอียดปลีกย่อยยังมีมากกว่านี้อีก อาจจะมีอีก 20 – 30 ออปชั่นก็ได้ หมอดูเองยิ่งดูหมอมานานๆตอบคำถามเหล่านี้จนเบื่อจัง มีคนถามลึกลับกว่านี้อีกจะเอามาเล่าก็ไม่สุภาพ หมอดูทายแค่พบคู่แล้ว พบเมื่อไร แต่งงานได้เมื่อไร ปีไหนก็พอแล้ว คุณอยากเป็นหมอดู ลองตอบคำถามสัก 12 ข้อที่ยกมานั่นก็ได้ว่าเป็นคุณจะดูดาวอย่างไร

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 20 คุณ ton .........คุณต้องกลับไปทบทวนเรื่องคราสว่าหมายความว่าอะไรก่อนนะครับ ทางโหราศาสตร์ คราสเกิดได้กับดาวทุกดวง เมื่อเกิดคราส องศาของราหู และอาทิตย์ กับ ดาวนั้น ไม่จำเป็นต้องตรงกัน เพราะเงาของ คราส มันกว้าง มีดาวกี่ดวงก็เกิดคราสได้ ถ้าอยู่ในตำแหน่งบริเวณคราส แต่ใครอยากจะไปตรวจสอบองศาอะไรก็ตามใจ ทางโหราศาสตร์ไทย (ที่ไม่ใช่ดาราศาสตร์)ไม่ได้สนใจว่าองศาจะห่างหรือ แคบ เพราะไม่ได้สนใจองศา ถ้ามีปัญหาวิชาการนัก ผมเปลี่ยนชื่อ คราส ทางโหราศาสตร์ เป็น จึ้กกึ๋ย ก็ได้ บัญญัติไว้ตรงนี้เลย เพราะไม่อยากโต้แย้งกับใคร เมื่อดาวถูกคราส ธาตุมันจะป่วนไประยะหนึ่ง ทำให้พยากรณ์เหตุการณ์ได้ แต่จะพยากรณ์อะไร อย่างไร ไว้พบใครสอนก็ลองถามเขา ก็แล้วกัน


วรกุล - 20 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:20น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
กราบขออภัย อาจารย์วรกุล ครับ

ผมเพิ่งเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ ได้ไม่นาน มิได้ตั้งใจ จะลบหลู่ หรือเอาข้อวิชาการทางดาราศาสตร์มาถกเถียง อ. น่ะครับ ผมติดตามกระทู้ของ อ.เกือบทุกวัน ได้ประโยชน์ดีมากครับ ได้มุมมองแนวคิดที่ไม่มีในหนังสือเล่มอื่นอธิบายเลย สาเหตุที่ผมถามเรื่องคราสเพราะ ดาวในดวงผมมันเป็นอย่างนั้นผมก็เลยถามขึ้น เพราะเห็น อ.พูดถึง ดาวดับ พอดี ต้องขออนุญาติบอกก่อนเลยว่า ผมไม่มีความรู้เรื่องคราสที่เป็นทางโหราศาสตร์เลยครับ เข้าใจแต่ในทางวิทยาศาสตร์ ประกอบกับที่ อ.บอกว่า

"ราหู ถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ในแนวเดียวกันไม่ต้องสนิทองศาก็จะเกิดเป็นคราสได้ " จึงอาจจะมีเข้าใจเรื่องคราสไปทางดาราศาสตร์ จึงได้ถามคำถามไปอย่างนั้น ต้องกราบขออภัยจิงๆ ถ้าหากแปรเจตนาผิดไปครับ

สุดท้ายขอให้กระทู้ของ อาจารย์อยู่ยืนยง เป็นประโยชน์ให้กับผู้ศึกษาโหราศาสตร์ต่อไปครับ

ขอบคุณครับ


ton - 20 ตุลาคม พ.ศ.2548 10:02น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียนอาจารย์วรกุล

ขอบคุณมากค่ะ ทำวิธี paste ใส่ word แล้วก็ไปจัดเรียงข้อความให้ดูดีสามารถ print ออกมาอ่านได้เรียบร้อยแล้วค่ะ

การจะเป็นหมอดูของดิฉันคงอีกยาวไกลและเป็นไม่ได้ นอกจากเป็นอาสาสมัครเล่นๆในวงเพื่อนๆญาติๆเท่านั้น แต่ดิฉันไม่เลิกสนใจที่จะอ่านและศึกษานะคะจนกว่าจะแก่มากๆแล้วสังขารทำให้เบื่อไปเอง (ดิฉันเรียนโหราศาสตร์ไทยสายท่านอาจารย์อรุณ ลูกศิษย์ท่านสอนให้ เรียนดวงอีแปะค่ะ เวลาเรียนก็เรียนการอ่านดาวจรด้วย แต่พอเจอแบบฝึกหัดโดยไม่มีครูก็อ่านไม่ค่อยจะเป็น) อ่านกระทู้วิชาการและปรัชญาของอาจารย์แล้วได้ความรู้มากบางทีอ่านแล้วก็ยิ้มออกมาได้ และหลายครั้งต้องตั้งสมาธิอ่าน print ออกมาแบ่งเป็น 3 เล่ม เล่มที่ 1 กระทู้ที่ 1- 3 เล่มที่ 2 กระทู้ที่ 4-6 เล่มที่ 3 กระทู้ที่ 7-9

ขอบคุณมากค่ะ


ทิพย์ - 20 ตุลาคม พ.ศ.2548 10:57น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
สวัสดีครับท่าน อ.วรกุล

ผมมีข้อสงสัยอยากสอบถาม ท่าน อ.วรกุลครับ พอดีผมได้อ่านเจอในตำราหนึ่งกล่าวถึงดาวในตำแหน่งต่างๆที่ว่าดี มีอยู่ตำแหน่งหนึ่งที่ทำให้เกิดข้อข้องใจว่า ดาว ๒ อยู่ในราศีมังกร ซึ่งเป็นตำแหน่งประ จึงกล่าวว่าดีครับ ขอให้ท่าน อ.วรกุลช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


ธีร - 20 ตุลาคม พ.ศ.2548 13:42น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบ 22 คุณ ton .........คุณคงเพิ่งมาอ่านไม่นานเลยไม่ชินกับที่ผมเขียน เวลาตอบคำถามของใคร ผมมักเขียนอะไรแทรกเข้าไปด้วย ดังนั้นข้อความในคำตอบจึงไม่ได้คุยกับคุณคนเดียว แต่คุยกับคนที่มาอ่านด้วย บางทีผมก็ด่าลมด่าแล้ง ประท้วงสังคมก็มี หากคำตอบที่ตอบไปทำให้คุณคิดว่าผมว่าอะไรคุณก็ต้องขออภัยจริงๆ อย่างเรื่องคราส ต้องสมมุติว่าคุณรู้ความหมายดีแล้ว จึงไม่กลับไปบรรยายตั้งแต่เริ่มอีกละ เพราะศัพท์ทางโหราศาสตร์ พอเอามาพูดกันทางดาราศาสตร์ หรือวิชาการแล้ว จะเห็นว่า โหราศาสตร์ให้ความหมายหลวมมาก พอเขียนอะไรคร่าวๆ ก็จะเปิดช่องให้มีคนยกมือค้านได้ เดี๋ยวนี้ไม่ใคร่จะมีใครมาถามต่อ เพราะอ่านนานๆก็เริ่มรู้ละว่า คำหลายคำมีความหมายเฉพาะในโหราศาสตร์ แม้ในโหราศาสตร์ต่างระบบ แม้ศัพท์เหมือนกัน ก็มีขอบเขตความหมายไม่เท่ากัน ถ้าขืนมาหยุดให้คำจำกัดความกันทุกคำพูด ก็เบื่อเหมือนกัน00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 23 คุณ ทิพย์ .........คุณพยายามมองอะไรให้ได้หลายๆมุมหน่อย อย่าพยายามพยากรณ์ แต่ให้เรียนรู้ชีวิตจริงๆ คำพยากรณ์มันมาทีหลังครับ โหราศาสตร์ต้องเดินตามเรา ไม่ใช่เราไปเดินตามโหราศาสตร์

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 24 คุณ ธีร .........ดาวทุกดาวอยู่ทุกราศีก็ดีได้ และเสียได้ มันอยู่ที่เราจะมองในแง่มุมไหน อยากให้ฝึกมองให้ละเอียด แล้วเอามาคิด ถ้ามองจันทร์ธาตุดินอยู่ราศีมังกรธาตุดิน อยู่ตรงธาตุของมัน จะดีก็ได้เสียก็ได้ ผมพยายามปรับความเข้าใจพวกเราที่อ่านมาตั้งแต่แรก หลายครั้ง จนเอือมระอากันไปทั้งสองฝ่ายมานานแล้วว่า อย่าพูดว่า อะไรดี หรือ ไม่ดี โดยไม่ได้แจกแจงรายละเอียด หากจะเรียนโหราศาสตร์ (ไทย) ก็เลิกพูด แบบนี้เสียที ประ นิจ อุจ เกษตร ก็ไม่เกี่ยวกับดี หรือ ไม่ดี นี่ก็พูดมาจะครบปีแล้ว ใครมองอะไรหลายมุมได้ ในคราวเดียวกัน จึงจะเรียนโหราศาสตร์ได้ดี หากมองไม่ออก ก็ต้องไปเรียนวิชาอื่นครับ นี่เป็นข้อแนะนำจริงๆ ไม่ได้ขับไล่ไสส่ง เพราะโหราศาสตร์มีตัวเลขอยู่แค่ 10 ตัว ในช่อง 12 ช่องเท่านั้น แต่ใช้ทายตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบพ่วงเรือสินค้า เหตุการณ์ เรื่องราวหลายร้อยเรื่องรวมอยู่ในดวงวงกลมๆ วงเดียว ถ้าไม่มีพรสวรรค์ในการมองหลายมุมก็ไม่น่าเรียนหรอกครับ เสียสุขภาพเปล่าๆ นี่ไม่ได้ว่าคุณนะ ผมคุยกับคนที่มาอ่านด้วยเท่านั้น


วรกุล - 21 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
เรียนอาจารย์วรกุล

ขอบคุณมากค่ะในคำสอนที่อาจารย์แนะนำ ดิฉันจะพยายามปฏิบัติให้ได้ เพื่อจะได้เรียนโหราศาสตร์ได้

ดิฉันอ่านกระทู้ทุกกระทู้หมดแล้ว อาจารย์มีดวงจิตที่มีความเมตตาสูงมากค่ะ มีอารมณ์ขันด้วย ขณะเดียวกันก็มีวินัย และมีความดุด้วยค่ะ กราบขออภัยด้วยค่ะถ้าทำให้อาจารย์ไม่พอใจ

ทุกชีวิตที่เกิดมามีกรรมกำหนดเส้นทางมาแล้ว แต่ถ้าเราเลือกทำอะไรให้เป็นธรรม(ตามที่อาจารย์สอนไว้ในกระทู้) กรรมบางอย่างอาจเปลี่ยนไปได้ และเป็นไปอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ในกระทู้ว่า โหราศาสตร์ไม่ได้มีไว้เพื่อทำนาย แต่มีไว้เพื่ออ่านชีวิตคนจากดวงดาว เพื่อเข้าใจธรรมชาติของชีวิตมนุษย์ การจะอ่านชีวิตคนได้ดีก็ต้องเข้าใจอะไรหลายๆอย่างๆ ต้องมีมุมมองที่หลากหลาย การจะมีมุมมองที่หลากหลายนี่แหละเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝนนอกจากยากแล้วต้องอดทน พรแสวงเห็นจะสู้พรสวรรค์ไม่ได้นะคะ เป็นความจริงนะคะคนที่เป็นหมอดู(หมดดูจริงๆ)ได้นี่คือคนที่มีพรสวรรค์จริงๆ หยิบดวงขึ้นมาดูพูดไปได้เยอะแยะไปหมดและก็ถูกเสียด้วย

ดิฉันอาจจะเปลี่ยนความตั้งใจ(เมื่ออ่านกระทู้ทุกกระทู้ของอาจารย์จบและบางกระทู้อ่านหลายครั้ง เพราะมีข้อคิดปรัชญาแทรกอยู่)ที่ว่าจะอ่านและศึกษาโหราศาสตร์ไปจนแก่และเบื่อไปเอง เป็นว่าจะพยายามลองดูอีกประมาณ 1-2 ปี ถ้าดูแล้วตัวเองไม่มีทีท่าว่าจะเดินทางสายนี้ได้ ดิฉันจะเปลี่ยนเส้นทางไปอ่านหนังสือด้านอื่นๆที่สนใจ ดิฉันไม่ชอบไปวัดแต่ไม่ได้หมายความว่าไม่สนใจเรื่องธรรมะ หนังสือมีเยอะแยะให้เราอ่าน

ขอบคุณค่ะ




ทิพย์ - 21 ตุลาคม พ.ศ.2548 12:53น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27


ไม่แน่ใจว่าถามถูกกระทู้รึปล่าวนะคะ แต่คิดว่าอาจารย์วรกุลน่าจะให้ความกระจ่างได้เลยเข้ามาความกรุณาค่ะ

อยากเรียนถามอ.วรกุลค่ะ ว่าสีต่างๆมีอิทธิพลพลต่อชีวิตจริงหรือ....

ไม่ใช่ในแง่จิตวิทยา เช่นสีเขียวให้ความรู้สึกเย็นตา สีแดงให้ความรู้สึกร้อนแรงอะไรแบบนั้นนะคะ แต่หมายถึงสีที่เป็นมงคลหรือกาลกิณีตามวันเกิดน่ะค่ะ มันมีอิทธิพลต่อความเป็นไปในชีวิตจริงๆหรือคะ อย่างเช่นดิฉันเกิดวันพฤหัสบดี ก็ไม่ควรใส่สีดำ แต่เวลาไปสมัครงานเราก็ต้องใส่สูท ซึ่งส่วนมากชุดสูทก็มักจะเป็นสีดำเพราะดูเรียบ สง่า แล้วใช้ได้หลายโอกาส ... อย่างนี้ถ้าเราใส่สูทดำไปสัมภาษณ์งานก็จะไม่ผ่านเลยหรอคะ อยากให้อาจารย์กุลช่วยให้ความกระจ่างที หรือว่าเป็นเคล็ดเฉยๆเหมือนที่บางท่านใส่สีตามวัน

ขอบพระคุณค่ะ


โบว์ - 22 ตุลาคม พ.ศ.2548 22:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบ 27 คุณ โบว์ .........เรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับชีวิตและโหราศาสตร์เราก็คุยได้ทั้งนั้นครับ เรื่องสี เป็นเรื่องสำคัญจริงๆตามโหราศาสตร์ครับ แต่ว่าต้องพูดให้ละเอียด เพราะหากคนฟังฟังแล้วฉวยเอาคำตอบวิ่งตื๋อไปเลยก็อาจจะทำให้เข้าใจผิดได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องยาวที่เป็นหลักโหราศาสตร์ สอนกันนานพอสมควร หากจะเรียนให้ละเอียดก็ต้องใช้เวลามาก ดังนั้นจึงจะสรุปมาให้ฟังสั้นๆเพียงพอแก่ความเข้าใจเบื้องต้น

หากเราถามว่าสีมีอิทธิพลต่อชีวิตจริงไหม เราต้องถามไปด้วยว่า เป็นสีประเภทไหน มีอิทธิพลต่อใครบ้าง มากน้อยแค่ไหน เมื่อไร อย่างไร มีอิทธิพลนานไหม เราควบคุมได้ไหม แล้วจะใช้สีอะไร อย่างไร ฯลฯ จึงจะค่อยได้ความเข้าใจครบถ้วนนะครับ สีนั้น เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลตามธรรมชาติ เพราะธรรมชาติเองมีองคประกอบหลายอย่างที่แสดงออกมาเป็นสี ดังนั้น หากเราจะพูดว่า “สีมีอิทธิพล” ก็แสดงว่าเราพูดผิด เราต้องพูดใหม่ว่า “สิ่งที่มีสีนั้นต่างหากที่มีอิทธิพล” เช่น หากดินมีอิทธิพลต่อต้นไม้ ดินมีสีดำ เราจะพูดว่าสีดำมีอิทธิพลต่อต้นไม้นั้นไม่ถูก โหราศาสตร์ก็ถือเรื่องสีตามนี้ ดังนั้น จึงตอบใหม่ว่า “สีไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตเลย” แต่ “วัตถุที่มีสีต่างหากที่มีอิทธิพลต่อชีวิต”

ลองพลิกคำตอบกลับอีกที นั่นแสดงว่า เมื่อมีของสองสิ่งที่เป็นสีแดง เหมือนๆกัน ของสองสิ่งนี้ สิ่งหนึ่งอาจจะมีอิทธิพล แต่อีกสิ่งอาจไม่มีก็ได้ นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของสีที่มีอิทธิพลต่อชีวิต ต้องเป็นสีแท้ที่ธรรมชาติรับรู้ต่างหาก อย่างสีเขียวของใบไม้เป็นสีเขียวแท้ในสายตาของธรรมชาติ เพราะธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง แต่สีที่เราบรรจงผสม และวาดรูปใบไม้อย่างดิบดี แม้จะเป็นใบไม้สีเขียวเหมือนกันเปี๊ยบเลย ธรรมชาติจะมองไม่เห็นเป็นสีเขียวนะครับ แต่ธรรมชาติอาจจะเห็นเป็นสีฟ้าก็ได้ เพราะ สีฟ้าเป็นสีของศุกร์ ศิลปะที่เกิดจากจิตรกรรม หรือ เราเอากล้องดิจิตอลถ่ายรูปใบไม้นั้นอย่างดิบดีเหมือนจริง ธรรมชาติก็กลับมองไม่เห็นใบไม้ที่ปรากฏอยู่นั้นเลย เพราะกลายเป็นของใสเหมือนมฤตยู ลองหยุดคิดตรงนี้สักนิด จะเข้าใจว่าโหราศาสตร์หมายความว่าอย่างไร

สีที่เรารู้จักตามความหมายของดาวในโหราศาสตร์นั้นเกิดจากธาตุ การที่ธาตุแสดงออกเป็นสีนั้นเป็นสีตามธาตุพื้นฐานเท่านั้น อย่างเช่นสมมุติ เราบอกว่าอาทิตย์เป็นสีแดงนั้น มีความหมายคล้ายแม่สี แต่เราหาแม่สีบริสุทธิ์เช่นนั้นจริงๆในธรรมชาติมาไม่ได้เลย เพราะธาตุไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวธาตุเดียวในธรรมชาติ แต่มีความสัมพันธ์กับธาตุอื่นๆอยู่มากมาย กลายเป็นส่วนผสมที่นับไม่ถ้วน ชีวิตก็เช่นกัน ชีวิตเกิดมาจากธรรมชาติที่มีความแปรปรวนไปด้วยปัจจัยปรุงแต่งมากมาย ดังนั้นจึงไม่ได้มีธาตุใดที่เป็นอิสระพอที่จะแสดงออกโดดเดี่ยวอันเดียวได้ ที่เราใช้หรือไม่ใช้สีตามวันเกิด ที่เป็นศรี หรือ กาลกิณีก็ตาม สมมุติว่า สีที่เราใช้นั้นถูกต้องในวันเกิดจริง แต่ชีวิตเราไม่ได้หยุดอยู่แค่วันเกิดวันนั้น หากตอนนี้เราอายุ 24 ปี บัดนี้ วงจรมหาทักษาหมุนวนไปไม่รู้กี่พันรอบแล้ว ยกตัวอย่างเช่น เราเกิดวันอาทิตย์ พุธสีเขียวเป็นศรี ศุกร์สีฟ้าเป็นกาลกิณี นับไปอีกเพียงแค่เจ็ดวัน ถึงวันเสาร์ สีเขียวกลับกลายเป็นกาลกิณี และสีฟ้ากลับกลายเป็นศรีเสียแล้ว จุดสำคัญมันอยู่ที่ว่า ถ้าเราเชื่อว่าการใช้สีที่ถูกธาตุจะทำให้เกิดอิทธิพลต่อชีวิตได้จริงๆ เราควรจะต้องมีวิธีที่แยบยลกว่านี้ในการดูว่า ขณะที่เราใช้สีนั้นๆ มันถูกตามธาตุที่มีอิทธิพลในขณะนั้นด้วยหรือไม่

ธาตุนั้นมีอิทธิพลต่อชีวิตในดวงชะตาของเรา และก็มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อมด้วย การที่เราไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมเช่นนั้นได้อย่างสงบสุขก็เพราะธาตุอยู่ถูกที่ของมันนั่นเอง ยกตัวอย่างเช่น หากเรานึกอยากบวช ก็เพราะธาตุพฤหัสของเรา เมื่อถึงวัย หรือ เวลานั้นเกิดแสดงอิทธิพลออกมา เมื่อเราบวชเข้าไปอยู่ในวัด เราจะรู้สึกสงบสบายพอใจ เพราะทั้งวัดและพระสงฆ์ที่อยู่รอบกายของเราเป็นธาตุพฤหัส ไปเกือบหมด ทำให้ธาตุพฤหัสในตัวเราคงอยู่สมดุลโดยธรรมชาติ แต่หากเรายังหลงแสงสีมีกิเลสอยากเที่ยวสำราญอยู่ตามธาตุศุกร์ เราบวชอยู่ไปก็ไม่สงบเพราะธาตุขัดกัน โหรพยากรณ์อาชีพการงาน หรือ ดูดวงชะตาได้ก็ด้วยการวินิจฉัยความสัมพันธ์ และธรรมชาติของธาตุที่เป็นอยู่นี่เอง ดังนั้น การที่เราไปสมัครเข้าทำงานที่ใด แล้วได้งาน ก็เพราะธาตุในสถานที่นั้นกำลังเปิดรับให้ธาตุของเราเข้าไปร่วมด้วย ตามความเป็นจริงแล้ว ระบบธาตุมีความซับซ้อนมากกว่าตัวอย่างที่ยกมานั้นมากมาย เราไม่อาจจะรู้ได้เลยว่า ธาตุในสถานที่นั้นเปลี่ยนแปลงไปอย่างใดในวันนั้น ผู้ที่มารับสมัครและสัมภาษณ์เรากำลังมีธาตุอย่างใด และธาตุในตัวเราถูกปรุงแต่งไปอย่างใด หากเราแต่งตัวตามสีของธาตุเพื่อจะให้ได้ผล เราจะแต่งสีใดดีที่เหมาะกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด

บางคนอาจจะนึกค้านทันทีว่า ถ้าเช่นนั้น ในการทำพิธี โหรกำหนดให้ประธาน หรือ ผู้ทำพิธีนุ่งผ้าสีนั้น สีนี้ไปทำไม คำตอบก็คือว่า การทำพิธีตามฤกษ์นั้น ดวงชะตาตามฤกษ์เป็นองคประกอบของธาตุที่คิดคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้ว ดวงชะตาฤกษ์ที่วางไว้อย่างถูกต้องนั้น จะมีปฏิกิริยาสั้นมาก แต่ให้ผลยาวนาน ในช่วงปฏิกิริยาของฤกษ์นี่เองที่ ธาตุส่งผล ดังนั้นสีตามธาตุจึงส่งผลต่อดวงฤกษ์ด้วย อีกอย่างหนึ่ง เครื่องบูชาและอาหาร หากถือเคล็ดเรื่องสี เขามักใช้สีธรรมชาติ ไม่ใช่สีที่เกิดจากวิทยาศาสตร์ (ยกเว้นเป็นพิธีไสยศาสตร์) การเลือกผู้ทำพิธี ก็ต้องพิจารณาธาตุให้เหมาะกับดวงชะตาฤกษ์ พร้อมกับธาตุในสถานที่สิ่งแวดล้อมด้วยเช่นกัน เราจึงเห็นได้ว่า เขาไม่ได้เคร่งครัดสีเสื้อผ้าของผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีเลย เพราะเกี่ยวข้องด้วยน้อย (ยกเว้นเพียงบางกรณี) น่าสังเกตว่า ในเมืองนอก เวลาเปิดสถานบันเทิง เขามักเชิญดาราดังๆที่มีชื่อเสียงมาทำพิธีเปิด แต่บ้านเรา แม้แต่โรงอาบอบนวดก็มักนิมนต์พระสงฆ์มาทำพิธีเปิด แม้จุดประสงค์จะต่างกัน แต่ถ้าดวงฤกษ์พิธีนั้นมีผลจริง ก็อาจทำให้กิจการไม่เจริญ หรือ บ้านเมืองเกิดอาเพศได้ง่าย อีกอย่างหนึ่ง เครื่องบูชาและอาหาร หากถือเคล็ดเรื่องสี เขามักใช้สีธรรมชาติ ไม่ใชสีที่เกิดจากวิทยาศาสตร์

ย้อนมาเรื่องสมัครงานตามที่คุณยกตัวอย่างมาอีกที ดวงคนเราที่จะได้ทำงานอะไรเป็นอาชีพ หมอดูทำนายได้ก็เพราะอ่านจากธาตุในดวงชะตาคุณนั่นเอง ดังนั้นการที่ เราใส่ชุดสีแดง สีดำ อย่างไรก็ดี ไม่มีกำลังมากพอที่จะผลักดันเบี่ยงเบนธาตุที่กำลังแสดงอิทธิพลในดวงชะตาได้ พูดอย่างง่ายๆ ก็คือดวงจะได้งาน แม้เผลอใส่รองเท้าแตะฟองน้ำมา หรือ วิ่งกระหืดกระหอบเข้าผิดห้อง หรือ ตื่นเต้นใส่รองเท้ามาข้างละสี หากชะตาคุณจะได้งานในที่นั้น เขาก็ถูกอิทธิพลธาตุผลักดันให้รับคุณได้ การสอบเอ็นทร้านส์ก็เหมือนการสมัครงานเช่นกัน บางคนตอบผิดกลับกลายเป็นถูก ก็มีอยู่มากมาย เพราะเขามีชะตาชีวิตที่จะต้องไปทำงานในอาชีพนั้นอยู่แล้ว

ดังนั้น การที่เราใช้การแต่งกายและสีเพื่อให้มีอิทธิพล จึงควรเลือกผลทางจิตวิทยามากกว่าโหราศาสตร์ เราควรคิดว่าหน้าที่การงานที่เราสมัครเข้ามานั้น เราควรจะแต่งกายให้ชักจูงเขาให้เข้าใจเราแบบใด เช่น ไปสมัครเป็นนักข่าว หากแต่งชุดสายเดี่ยว กระโปรงสั้น (เหมือนคุณจิตรลดา) จีบระบายสีเขียวอื๋อ(เพราะเกิดวันพุธ) เขาจะคิดว่าเราเป็นเชียร์ลีดเดอร์อาชีพหรือไม่ หรือถ้าเราสมัครเป็นพีอาร์โรงแรม หากเราใส่เสื้อยืดกางกางยีนสีแสดสด (เพราะเกิดวันศุกร์อังคารเป็นศรี) แล้วจะไปรอดไหม อย่างคุณอยากใส่สูทสีดำ ถ้าชักจูงใจเขาให้ดูเราเป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบในหน้าที่ได้ก็ควรจะใส่ แต่ดูให้เหมาะสมกับตำแหน่งและสถานที่นั้นด้วย เพราะอิทธิพลทางจิตวิทยานั้นแรงกว่าสีเสื้อผ้าที่มีอิทธิพลทางโหราศาสตร์ เมื่อมองทางอ้อมแล้ว จิตวิทยานั้นก็เป็นผลจากโหราศาสตร์นั่นเอง แต่เป็นโดยกลไกธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดเอาเองโดยมักง่าย

ความเป็นตัวตนของเรานั้นกำหนดสีของเราตามธรรมชาติอยู่แล้ว อย่างเช่น หากเราเป็นทหาร(โดยอาชีพและจิตใจ) เราจะมีสีส้มตามธาตุอังคาร แม้เราจะใส่สีเขียวขี้ม้าก็ตาม หากเราเป็นศิลปินนักแสดงโดยพรสวรรค์ ธรรมชาติก็จะเห็นเรามีสีฟ้า(ศุกร์) ทั้งกลางวันกลางคืน แม้เราจะใส่สีดำก็ตาม การเห็นสีของธรรมชาตินี้จึงจะมีผลทางโหราศาสตร์ ซึ่งจะแตกต่างจากสีที่ตาคนมองเห็น หากคุณเป็นทหารอาชีพ และไม่มีวิญญาณนักแสดง แต่ไปสมัครเป็นนักแสดง ธรรมชาติจะมองเห็นสีคุณแตกต่างออกไป เขาก็ไม่รับคุณอยู่ดี เพราะบรรดาผู้ที่อยู่ในที่นั้นเขาล้วนแต่มีสีฟ้าเช่นเดียวกันหมด ถึงคุณจะไปแต่งกายสีอะไรก็แก้ไม่ได้


วรกุล - 24 ตุลาคม พ.ศ.2548 05:07น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
มีบางอย่างที่พวกเราเข้าใจผิดและต้องทำความเข้าใจกันต่อ (ตามนโยบายของกระทู้นี้) หลายๆคนเวลาพูดถึงเรือนและดาวมักจะมีอคติอยู่เสมอ เช่นมักจะคิดว่า “ดาวร้ายๆ” เช่น อังคาร ราหู เสาร์ “ดาวดีๆ” เช่น พฤหัส ศุกร์ จันทร์ อะไรประมาณนั้น พอพูดมากๆเข้า ก็เลยทำให้ทำนายผิดทาง ไปจากแนวทางที่ควรจะเป็น เวลา ราหูมาทับ หรือเล็งลัคนาทีไรก็กลัวกัน ได้แต่ถามว่าเมื่อไรราหูจะออก หากราหูมาได้ยินเข้า คงจะนึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่ามันมาทำอะไรให้มนุษย์ ถึงได้รังเกียจกันนักหนา หรือ อย่างเรือนชะตา ก็คิดเอาว่า อริ มรณะ วินาสน์ เป็นเรือนเสีย รวมทั้งดาวเจ้าเรือน 3 เรือนนี้ก็เป็นผู้ร้าย หรือตัวซวย ต้อง กดุมภะ ศุภะ ลาภะ ถึงจะดี เพราะรวยเร็ว ชีวิตมนุษย์ต้องถือเรื่องรวยเป็นใหญ่ หารู้ไม่ว่า อริ มรณะ วินาสน์ นี่แหละเป็นตัวรวยได้เรื่อยๆ ลาภะ กดุมภะ ศุภะ เป็นตัวซวยก็บ่อยๆ ยิ่งกาลกิณีนี่แหละรวยดีนัก พวกศรีอย่างดีก็ถือกะลาขอทานกันเยอะแยะ ลองไปสังเกตุดู

อันที่จริงเราต้องจำไว้ว่า ดาวทุกดาว เรือนทุกเรือน ล้วนแต่เป็นกลางกันทั้งนั้น เพียงแต่มันมีหน้าที่เฉพาะตัวของมัน เป็นคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากกัน ทำให้เกิดเรื่องราวหลากหลายร้อยแปดพันเก้าในดวงชะตา การที่เราไปคิดว่ามันดี หรือ ไม่ดี เพราะเอากิเลสส่วนตัวไปวัด คนเรามักจะกลัวลำบาก กลัวเหนื่อย กลัวไม่มีจะกิน หรือ อยากได้อะไรเยอะๆ พอคิดว่า ดาวอะไรมาทำให้ขัด หรือตรงข้ามกับสิ่งเหล่านี้ก็คิดว่ามันไม่ดี ข้อเท็จจริงก็คือ ดาวก็ตาม เรือนก็ตาม มีส่วนดี 100%และ ไม่ดี 100% อยู่ในตัวมัน ทั้งนั้น หากอะไรที่สอดคล้องกับมันและส่งผลดี เราก็จะตัดสินว่าดี ในบรรดาดาวทั้งหมดที่เรามีอยู่ ล้วนแต่มีพฤติกรรมแปลกแยกไม่เหมือนกัน ที่เราแยกเป็นบาปเคราะห์ และศุภเคราะห์นั้น เป็นเพียงลักษณาการที่แข็งกร้าว หรือ นุ่มนวลกว่าเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าจะให้คุณหรือให้โทษตามพวก แต่ดาวอาจจะให้คุณ หรือ โทษได้แล้วแต่มันเข้าไปปรุงแต่งอย่างใด เหมือนอย่างเหล้านั้น จะถือเป็นพิษก็ได้ หรือ เป็นยารักษาโรคก็ได้ มีดพร้าจะถือเป็นคุณประโยชน์ก็ได้ หรือ เป็นอาวุธล้างผลาญก็ได้ สุดแต่เราจะหันปลายและคมของมันไปในทางใด

ธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่นี้ มันสามารถสร้างกลไกอัตโนมัติได้ เพื่อขับเคลื่อนตัวมันเองไปสู่แนวทางที่กำหนด ดังนั้น เมื่อมีอะไรทำให้สูงขึ้นแล้ว มันก็จะสร้างอะไรที่ทำให้ต่ำลงได้เป็นของแก้กัน อะไรช้าก็จะมีอะไรทำให้เร็ว เร็วไปก็ทำให้ช้าได้ อะไรมีน้อยก็ให้มีเพิ่มขึ้น ที่มีมากไปก็ทำลายทิ้งเสีย ดังนั้นธรรมชาติจึงสามารถควบคุมตัวเองให้ดำเนินต่อไปได้มานานหลายหมื่นล้านปีแล้ว โหราศาสตร์เป็นวิชาที่เรียนรู้ธรรมชาติอยู่หลายแง่มุม ส่วนใหญ่ตำราที่เราเรียนอยู่นั้นแปลความจากธรรมชาติว่าดาวอะไร เรือนอะไร หมายความว่าอย่างไร การแปลความเหล่านี้ แม้จะสำคัญ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะจริงๆแล้วสิ่งที่เราจะต้องเรียน ก็คือพฤติกรรมของดาวและเรือน ว่าจะมีผลต่อชีวิตเราอย่างไร และอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมาก ก็คือพฤติกรรมที่ธรรมชาติ บริหารตัวเอง โดยอาศัยปัจจัยที่ปรุงแต่งตลอดเวลา ปัจจัยที่ว่านี้ทางโหราศาสตร์อ่านได้จากดาวและเรือนนี่เอง

พวกเราส่วนใหญ่ บางทีมีข้อข้องใจสงสัยมากกว่าบางครั้งดวงตก ยากลำบาก จึงรอว่าเมื่อไร พฤหัสจะจรมาทับลัคนาเสียที หรือ รอให้อายุเข้าวัย ศุกร์ พุธ จันทร์ จะได้ดวงดีขึ้นบ้าง พอถึงเวลานั้นจริงๆกลับรอเสียเปล่า เพราะแทนที่จะดี บางทีดวงตกหนักกว่าเดิมอีก แต่พอพวกเสาร์ ราหูมาทับเล็งลัคนา กลับได้เลื่อนตำแหน่ง หรือ เงินเดือนขึ้น ทั้งนี้เพราะเราไม่ได้มองธรรมชาติที่เป็นอยู่จริง แต่ไปยึดเอาตำราที่กล่าวถึงเรื่องทั่วๆไป เราลองคิดดูว่า ความตกต่ำที่เป็นมาในชีวิตที่เป็นอยู่นี้ เหมือนเส้นกราฟที่ดำดิ่งลงไป เหมือนรถยนต์ที่กำลังไถลจากเนินไปลงสู่เหวลึก หากมีดาวมาช่วยเสริมให้ราบรื่น ขยายให้สิ่งที่เป็นอยู่เป็นไปอย่างรวดเร็วเพิ่มขึ้น นั่นย่อมหมายความว่า ความตกต่ำที่เป็นอยู่นี้ย่อมขยายออกไปไม่สิ้นสุด สิ่งที่เราต้องการก็คือ การหยุดยั้งความตกต่ำอันนี้เสียที นั่นย่อมหมายความว่า เราต้องเหยียบเบรค ไม่ใช่เหยียบคันเร่ง เมื่อมีดาวแรงๆ มาร่วมทำงานด้วย ชีวิตเราจึงอาจพลิกกลับไปในด้านดีได้ เมื่อชีวิตพลิกกลับเป็นขาขึ้น เหมือนรถยนต์ที่หันหัวขึ้นจากเหว หรือ เส้นกราฟที่โงหัวขึ้น จึงต้องเหยียบคันเร่งเพื่อให้ชีวิตก้าวหน้า คราวนี้ ดาวที่ช่วยเสริมให้ราบรื่นจะกลับกลายให้คุณ ดาวที่อาจเป็นอุปสรรคจึงควรอยู่ห่างๆไปเสียจะดีกว่า เพราะขืนเข้ามาตอนนี้ ขาขึ้นอาจจะกลับกลายเป็นขาลง ดังนั้น คนที่ดวงไม่ดีจริงๆ เราจึงมักพบว่าดาวที่เดินมาไม่ได้จังหวะเสียทุกที จึงกลายเป็นซ้ำเติมชีวิตให้ย่ำแย่ลงไป

ดังนั้น บางคนที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บร้ายแรงอยู่ พฤหัสทับลัคน์แทนที่จะดีก็อาจจะถึงตายได้ คนที่ทำงานมานานๆ ตำแหน่งและเงินเดือนไม่ได้ขึ้นเลย เมื่อได้ ราหู หรือ เสาร์มาทับลัคน์บ้างอาจจะกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นในตอนนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นกฎที่เอาไปบังคับได้ในทุกดวงชะตา และ เหมือนกันทุกรอบที่ดาวเหล่านี้มาทับ เพราะข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า พฤติกรรมของดาวแต่ละดวงที่โคจรมานั้น จะมีพฤติกรรมต่อบุคคลแต่ละคนแตกต่างกันตามแต่พื้นดวงเดิม และดาวอื่นที่ร่วมจรด้วยในแต่ละครั้ง ไม่เหมือนกันทีเดียวทุกครั้ง อย่างเช่น ราหูที่ทับลัคนาคนราศีมีนอยู่ในขณะนี้ ก็จะมีทั้งคนที่ดวงขึ้น และดวงตก อยู่ทั้งสองพวก นอกจากนั้น ยังขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในดวงจร ซึ่งจะต้องรู้ข้อเท็จจริงพอสมควร อย่างเช่น คนคนหนึ่ง มีดาวเสาร์เข้าเรือนปัตนิ หากเขายังไม่ได้แต่งงาน ช่วงนั้นก็อาจจะได้คู่ครอง แต่ถ้าแต่งงานแล้ว ช่วงนั้นก็อาจจะต้องแยกจากกันไป จะเห็นได้ว่า เมื่อในดวงชะตาเกิดเป็นเงื่อนไขตามธรรมชาติเช่นนี้ จึงจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากทั้งสองฝ่าย คือ ผู้มาดู และ หมอดู ช่วยวิเคราะห์ร่วมกัน การดูหมออย่างที่พวกเรานิยมทำกันอยู่ในปัจจุบัน คือบอกแค่วันเดือนปีเกิด และบางคนยังแถมโกหกหมอดูเสียอีก จึงไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย หากดูหมอเสียเงิน ก็เสียเปล่า ยิ่งดูฟรีด้วยแล้ว ก็ไม่รู้จะดูไปทำไมให้กังวลเพราะทำนายไปก็ไม่แน่นอนอะไร

เรือนทั้ง 12 เรือนก็เหมือนดาวเช่นกัน ในบรรดาเรือนทั้งหมด เรือนทุสถานะ คือ อริ มรณะ วินาสน์นั้น ดูเหมือนเป็นเรือนที่สังคมรังเกียจนัก แต่จริงๆแล้ว ธรรมชาติของดวงชะตาจะใช้เรือนเหล่านี้เพื่อใช้ควบคุมวิถีทางของชีวิตในดวงชะตาเองให้ไปสู่จุดหมายปลายทาง เหมือนระบบนำทางของจรวดที่ไม่มีคนขับ หากไม่มีเรือนทุสถานะทั้งสามเรือนนี้แล้ว ยังนึกไม่ออกจริงๆว่าชีวิตทั้งหมดในโลกจะเป็นอย่างไร ดังนั้น บรรดาเรือนทั้ง 12 เรือนนั้น ทุกเรือนก็จะมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน และสามารถผลักดันให้ชีวิตสูงขึ้นหรือตกต่ำลงได้เช่นเดียวกันหมด เมื่อมันทำงานร่วมกับดาวทั้ง 10 ดวง จึงทำให้ชีวิตขึ้นๆลงๆ แต่ก็โน้มไปตามวิถีที่ดวงชะตากำหนดไว้ได้

โหรบางท่าน ที่ชำนาญในการดูเรือนชะตาล้วนๆอย่างพลิกแพลงได้หลายรูปแบบก็มี โดยดูดาวเข้าประกอบเพียงเล็กน้อย แต่ก็มีบางท่านถนัดในการดูดาวมากกว่าเรือน เหมือนกับเซียนหมากรุกที่อาจจะถนัดใช้ม้า หรือ โคน เรือ แล้วแต่ทักษะความชำนาญ ดังนั้น การที่เราศึกษาตำรา หรือ ดูการทำนายของใคร จึงควรสังเกตไว้ในใจด้วย อย่าไปนึกว่าทุกอาจารย์ใช้ “ทาง” เดียวกันหมด จะเป็นเหตุให้เราจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่อาจารย์ที่เป็นอาจารย์จริงแล้วมักใช้ได้ทุกรูปแบบ ดังนั้น เมื่อ “ทาง” หนึ่ง อ่านแล้วไม่ชัด ก็ไปออกอีก “ทาง” หนึ่ง พวกเราที่ชอบเอาบทความ หรือ ข้อเขียนบางอาจารย์มาวิเคราะห์วิจัย เพื่อจับเคล็ดลับหลักวิชา จึงหลงทางเข้าป่าไปมากมายแล้ว เนื่องจากเพราะเอา “ทาง” หลายทางมาพันกันเหมือนลิงทอดแห แหก็จะพันหัวหูนัวเนียจนแก้ไม่ออก สังเกตได้บ่อยๆจากคำถามหรือคำตอบนั่นเอง


วรกุล - 27 ตุลาคม พ.ศ.2548 05:00น. (IP: 203.107.196.146)

ความคิดเห็นที่ 30
ขอความกรุณาอาจารย์ วรกุล อธิบายในเรื่องทักษาทั้ง มหาทักษา กับทักษาที่นับช่องละปี มีวิธีการใช้อย่างไรให้เกิดความแม่นยำแล้วที่ว่ามีวิชาปลอมเยอะนั้นไม่ทราบว่ามีวิชาใดบ้างและที่จริงเป็นอย่างไรครับและใครที่รู้และสอนวิชาที่เป็นของแท้บ้างครับในขณะนี้ หากอาจารย

ไม่สะดวกที่จะตอบในนี้ ตอบใน [email protected] นะครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง


รักโหราสาสตร์ - 27 ตุลาคม พ.ศ.2548 09:03น. (IP: 202.5.88.145)

ความคิดเห็นที่ 31
ขอบพระคุณท่านอาจารย์วรกุล มากครับที่ให้ข้อคิด ผมจะจำไปใช้ว่าควรจะดูอะไรให้รอบด้าน จึงค่อยตัดสิน แต่ก็ได้รับความรู้จากท่านอาจารย์วรกุลมากครับ


ธีร - 27 ตุลาคม พ.ศ.2548 17:09น. (IP: 203.151.140.118)

ความคิดเห็นที่ 32
ตอบ 30 คุณ รักโหราศาสตร์...........เรื่องมหาทักษา หรือที่เรียกกันว่า ทักษาคู่ธาตุ นั้น มีวิธีใช้อย่างไร เป็นเรื่องยาวมากครับ เพราะมหาทักษาเป็นวิชาโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง และยังแตกออกเป็นวิชาย่อยอีกมากมาย ที่เรานำมาใช้กันนั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาหลัก และก็มีบางคนเอาวิชาย่อยมาใช้ก็มี มหาทักษาสามารถใช้ด้วยวิชาตัวมันเองล้วนๆ เพราะเป็นวิชาธาตุอย่างหนึ่ง ประเภทวงรอบธรรมชาติ หรือ อาจเอาใช้ร่วมกับดวงชะตา หรือ วิชาอื่นได้อีกมากด้วย ส่วน ทักษา นั้น เป็นคำกลางๆ เนื่องจาก ทักษาเป็นวงรอบการหมุนเวียนของปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่ง สุดแต่ว่าเป็นปัจจัยอะไร แม้แต่เราเองก็อาจสร้างทักษาขึ้นใช้เองได้ หากเข้าใจ

การพูดถึงมหาทักษา ต้องพูดถึงสองอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญมาก คือ หนึ่ง.....นับอย่างไร สอง....นำไปใช้อย่างไร สองประการนี้ต้องเข้าคู่กัน หากนับวิธีหนึ่ง แล้วเอาไปใช้อีกวิธีหนึ่ง จะไม่ได้ผล เท่าที่มีการนับจากมหาทักษาอย่างเดียว เวลานี้มีอยู่นับสิบแบบ และยังมีที่ไม่ได้เปิดเผยอยู่อีกหลายแบบ แต่การจะนับอย่างไรนั้น ต้องเข้ากับส่วนสำคัญว่านำไปใช้อย่างไร ใครที่เรียนโดยมีอาจารย์ ต้องขอให้อาจารย์ทำให้ดูใช้ทำนายได้อย่างไร ส่วนคนที่เรียนเองก็จะเสียเปรียบหน่อย เพราะบางตำราที่สอนกันอยู่อาจจะเขียนผิด และพิสูจน์ไม่ได้ อันที่จริงยังมีส่วนที่สำคัญและต้องตอบให้ได้ก่อนการนับ คือ นับไปเพื่ออะไร หากตอบได้ก็ลองถามต่อก็ได้ว่า ทำไมต้องนับอย่างนั้น หากได้คำตอบอธิบายทั้งหมดจึงจะนับว่าได้เรียนวิชามหาทักษาอย่างสมบูรณ์

ส่วนเรื่องวิชาปลอมนั้น บางส่วนมีมานานก่อนเราเกิดแล้วครับ บางเรื่องก็เป็นเพียงมติของโหรบางท่าน หรือมีผู้แต่งเอาไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทั้งทางดี หรือร้ายก็ตามแต่ หรือ บางท่านลอกเขามาเผยแพร่โดยไม่รู้ก็มี ปัจจุบันในยุคเราก็มีผู้แต่งวิชาปลอมออกพิมพ์ขาย สมัยก่อนบางอาจารย์ท่านก็แฉกันเอง ทำให้โกรธกันไปเลย พวกมือใหม่หัดปลอมก็มีครับ แต่ไม่เนียน เพราะไม่รู้จักของจริง ส่วนวิชาที่เป็นจริงนั้นชี้ยาก เพราะวิชาที่ปลอมนั้น มักปลอมแทรกเข้าไปในส่วนที่จริง ทำให้เราแยกแยะได้ยาก

คนที่รู้วิชาจริงส่วนใหญ่จะรู้ที่มา และที่ไป สามารถตอบได้ว่าอะไรมาจากไหน เพราะอะไร ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แล้วต้องพิสูจน์ได้ ไม่ใช่พิสูจน์ความแม่นยำ แต่พิสูจน์ความเป็นเหตุเป็นผลของหลักการที่ใช้นั้น การเรียนเช่นนี้ จำเป็นต้องสอนกันเฉพาะตัว ปัจจุบันก็ยังมีการสอนอยู่ครับ แต่ใครจะสอนบ้างนั้นไม่ทราบ เพราะวิชาต่างๆที่สำคัญๆ ก็ยังพบว่ามีผู้สืบทอดกันอยู่ ผู้ที่รู้อยู่บ้างพอแยกแยะได้ก็เป็นเหมือนพวกนักเลงพระเครื่อง รุ่นเก่า พอจะดูออกว่าพระปลอม หรือ พระแท้ คือรู้ว่าพระแท้นั้น มีมวลสารและตำหนิตรงไหนบ้าง มีวิธีสร้างอย่างใด แต่จะให้ปลุกเสกสร้างพระทั้งหมดนั้นเอง คงไม่มีปัญญาทำได้


วรกุล - 28 ตุลาคม พ.ศ.2548 05:08น. (IP: 203.107.200.28)

ความคิดเห็นที่ 33
ขอบคุณอาจารย์มากครับ


รักโหราศาสตร์ - 28 ตุลาคม พ.ศ.2548 07:24น. (IP: 202.5.88.156)

ความคิดเห็นที่ 34
พวกเราที่หัดเรียนโหราศาสตร์ใหม่ๆมักจะมีความมุ่งหวังหลายๆแบบ หลายคนอาจจะคิดว่า หากได้รู้โหราศาสตร์แล้วจะทำนายทายทักเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ทั้งหมด เมื่อเรียนจนสุดปลายทางแล้วบางคนก็ยังเชื่อเช่นนั้นอยู่ ที่เชื่อสุดโต่งข้างหนึ่งมักเชื่อว่าอะไรๆก็เกิดจากกรรม ดังนั้นหากเราอ่านกรรมได้หมดก็คงจะรู้สิ่งที่จะบังเกิดขึ้นทั้งสิ้นได้ หรือ พวกที่เชื่อสุดโต่งอีกข้างหนึ่งมักเชื่อว่าเกิดจากอิทธิพลของดวงดาว เทพเจ้า หรือ ตัวเราเองที่จะกำหนด ดังนั้นหากเราวิเคราะห์ดาวที่ทำมุม หรือ มีความสัมพันธ์กันได้ทุกรูปแบบ ก็อาจจะใช้คอมพิวเตอร์ประมวลสถิติออกมาได้ แล้วเราก็จะพยากรณ์อนาคตได้ทั้งหมดเช่นกัน ที่นี้เรามาลองดูกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเรานั้น เกิดมาจากอะไรได้บ้าง

ข้อแรก เหตุการณ์นั้นเกิดจากธาตุ(ดาว) โลกได้รับธาตุ และมีการจัดเรียงตัวของธาตุอยู่ตลอดเวลาทุกขณะ ขณะใดขณะหนึ่งเมื่อเราเกิดมา องคประกอบของธาตุในขณะนั้น จึงปรากฏเป็นตัวเราโดยเฉพาะ หากเราเกิดช้ากว่านั้นนิด เร็วกว่านั้นหน่อย องคประกอบของธาตุจะแปรเปลี่ยนไปอย่างมากมาย ธาตุที่เป็นองคประกอบของตัวเราที่ปรากฏเห็นเป็นดวงชะตานี้มีผลอย่างมากมาย เพราะธาตุจะมีธรรมชาติที่บังคับเราให้ประพฤติปฏิบัติไปตามที่ธาตุทำงาน ยกตัวอย่าง เช่น หากเราเกิดมาในขณะที่ดาวอังคารมีกำลังธาตุแรง กำลังดาวสูง เช่นเป็นมหาอุจ เราก็จะรู้สึกว่าต้องการที่จะทำกิจกรรมต่างๆอยู่ตลอดเวลา จึงเรียกกันว่าขยัน แม้ในจิตส่วนนอกของเราจะขี้เกียจ แต่เราจะอดรนทนไม่ได้เมื่อมีสิ่งเย้ายวน หรือ เกิดการผลักดันจากจิตส่วนลึกที่เกิดจากธาตุตลอดเวลา ดังนั้น เหตุการณ์ที่เราเลือกเล่นกีฬาก็ดี มีโทสะง่ายชกต่อยวิวาททำร้ายกันก็ดี เกิดจากธาตุผลักดันไป หากเรามีเรื่องวิวาทถึงเป็นคดี จึงไม่จำเป็นต้องอ่านว่ามีกรรมเดิมแสดงอยู่แล้ว แต่หมอดูที่มีทักษะความชำนาญมักจะรู้ว่า ธาตุของอังคารขณะนั้นมีกำลังแรงสูง หากขาดการยับยั้งจากธาตุอื่นที่มีหน้าที่แตกต่างออกไปมาควบคุมไว้ เจ้าชะตาก็อาจมีเรื่องวิวาทเลือดตกยางออกได้ เรื่องของธาตุนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกที่พัฒนาไปเป็นระบบ โหราศาสตร์อย่างกว้างขวางหลายสาขา ส่วนใหญ่เราจะพบว่า ธาตุเกี่ยวข้องกับนิสัยใจคอ และพฤติกรรมของสิ่งเหล่านี้ และสามารถดูเรื่องสุขภาพร่างกายได้แม่นยำ เพราะความไม่สมบูรณ์ของธาตุนั่นเองมักแสดงออกในทางโรคภัยไข้เจ็บ แต่เราก็อาจหลีกเลี่ยงแก้ไขได้ด้วยการควบคุมธาตุ ไม่ว่าจะเป็นทางร่างกาย และจิตใจ อาหาร หรือ การออกกำลังกาย การดูดาวจร ก็จะพบว่าดาวทับเล็งถึงดาวเดิมนั้นมีผลมากต่อสิ่งเหล่านี้

ข้อสอง เหตุการณ์ที่เกิดจากเรือน เรือนทั้ง 12 เรือนนั้น เรานับจากตำแหน่งที่เป็นลัคนา เรื่องลัคนาพูดมามากแล้ว แต่ยังไม่จบได้ง่ายๆ ลัคนาเกิดพร้อมกับ อัตตา ที่เราหมายรู้ธรรมชาติสาธารณะมายึดถือเอาว่าเป็นตัวเรา เมื่อมีอัตตา จิตที่มีโมหะก็จะหลงยึดเอาธรรมชาติสาธารณะอื่นๆอีกมาเป็นสร้างอัตนียา คือ ของเรา อัตนียาจะแปรปรวนต่อไป เนื่องจากปัจจัยที่ปรุงแต่งมัน ธรรมชาติของเรือนทั้ง 12 เรือน คือปัจจัยที่ปรุงแต่งธรรมชาติสาธารณะที่อัตตาและอัตนียา ไปหลงยึดเอาไว้ เมื่อใดละอัตตาเสียได้ เรือนทั้งหมด ก็ไม่มี เมื่อเรือนไม่มีเสียแล้ว ดาวก็ไม่มีที่จะสถิตอยู่ ดังนั้น โชคชะตาใดๆก็ไม่อาจมากำหนดชีวิตผู้ที่ละอัตตาได้แล้ว มีเพียงวิบากกรรมเดิมที่ส่งผลมาโดยธรรมนิยามเท่านั้น เมื่อเรือนเกิดจากอัตตา หากอัตตาเคลื่อนไป มันก็จะไปสร้างเรือนใหม่ได้ นี่เองเป็นการพัฒนาของหลักวิชาที่อยู่ในกลุ่มวงรอบธรรมชาติที่เกี่ยวกับลัคนาจรทั้งหลาย เรือนมีอิทธิพลต่อเรา ทำนองเดียวกับดาว ในข้อแรก จึงทำให้เราต้องอ่านทั้ง เรือน และดาวไปด้วยกัน ดังนั้นเรือนจึงมีอิทธิพลต่อนิสัยใจคอ และพฤติกรรมของเจ้าชะตา และสุขภาพทั้งทางร่างกายและจิตใจด้วย นักเรียนที่หัดใหม่มักสงสัยว่า จะอ่านนิสัยจากเรือน หรือดาวดีกว่ากัน จึงพึงเข้าใจว่า ต้องอ่านทั้งสองอย่างนั่นแหละ การดูจรนั้น เรามักดูดาวจรเข้าเรือน เพราะดูเรือนทับเรือนไม่ได้ ดังนั้น นักดูเรือน จึงมักดูเรือนทับเรือนจากวงรอบธรรมชาติ เช่นพวก เกณฑ์ชันษาจร ลัคนาจร เพื่อใช้ทำนายเหตุการณ์จรนั่นเอง

ข้อสาม เหตุการณ์ที่เกิดจากกรรมเดิม เป็นเรื่องลึกๆที่ซ่อนอยู่มากกว่า เรามักจะอ่านจากดวงชะตาได้ยาก แต่อาจจะสังเกตเห็นได้เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้ว อย่างเช่น คนคนหนึ่งเดินไปแล้ว มีชิ้นส่วนเครื่องบินตกลงมาที่ศีรษะพอดี ถึงแก่ความตาย อาจเป็นโอกาสที่เป็นไปได้แค่ 1 ใน 5000 ล้าน แต่ก็เกิดขึ้น เพียงแต่เขาเดินเลยไปหรือ ช้าไปสักวินาทีเดียว ก็จะไม่ตาย ลักษณะเช่นนี้การตรวจจากดวงชะตาล่วงหน้า ผู้ตรวจต้องชำนาญมากขึ้น เพราะต้องชี้ความสอดคล้องของเหตุการณ์ จากดาวหลายๆตำแหน่งได้ เหตุการณ์ที่เกิดจากกรรมเดิมนี้มักจะดูจากดาวดวงเดิม และวงรอบธรรมชาติ หากพร้อมที่จะแสดงผล ก็ต้องระวังไว้ แต่อาจจะไม่มีผลก็ได้ หากเราสร้างกรรมใหม่ ซึ่งจะมีผลแรงกว่า เช่น มีการระวังป้องกันอย่างสูง เมื่อจังหวะเวลาผ่านไปก็อาจพ้นได้ แต่การณ์มักเกิดจากเราไม่รู้ล่วงหน้า และยังมีปัจจัยละเอียดที่มีผลต่อเหตุการณ์อีกมาก จึงมีสิ่งที่ต้องเตือนนักเรียนที่มักชอบวิเคราะห์ดวงเกิดเหตุการณ์เพื่อจับหลักโหราศาสตร์ ว่ามักจะไม่ได้ผล เพราะลอจิกในกรณีนี้ หากพบว่า b บังเกิดขึ้น เมื่อ มี a เราจะสรุปว่า เมื่อพบว่าเมื่อมี a เกิดขึ้นแล้ว จะต้องเกิด b นั้นไม่ได้ เพราะอาจจะต้อง มี c d e f g อีกด้วย จึงจะเกิดเหตุการณ์ ตำราโหราศาสตร์ของเราส่วนมาก จะไม่ได้บอกอิทธิพลปัจจัยปลีกย่อยอื่นๆ คนที่ชอบยึดติดข้อความคำสอน ถ้ากับท้าเผาตำรานั้น วิญญาณครูบาอาจารย์มักอยากจะคืนชีพมาเขกกระบาลเขา ดังนั้น เราจึงควรใช้วิจารณญาณในการเลียนแบบ

ข้อสี่ เหตุการณ์ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เราอาจจะพบว่าหลายครั้งเกิดเหตุการณ์ขึ้นโดยไม่พบในดวงชะตาของผู้นั้นเลยก็มี เพราะเจ้าชะตาเข้าไปร่วมอยู่ในเหตุการณ์ที่เป็นธรรมชาติใหญ่กว่าธาตุในดวงชะตามาก เช่น การเกิดคลื่นซึนามิ แผ่นดินไหว หรือ พายุเฮอริเคน หากเราผูกดวงชะตาของคนทั้งหนึ่งแสนคนที่ตาย จึงไม่จำเป็นที่จะต้องพบว่า ดวงชะตาถึงคราวต้องตายไปทุกคน อย่างเบาะๆ เพียงแค่เหตุการณ์อุบัติเหตุทางรถยนต์ หรือ จลาจล แต่มีผู้ที่ไม่ปรากฏเหตุการณ์ในดวงชะตาเดิมก็มี ส่วนมาก เหตุการณ์ในข้อนี้จะเกิดจากปฏิกิริยาดาวจร ต่อ ดาวจร ไม่ว่าจะเป็นดาวจรเล็กหรือ ใหญ่ก็ตาม ส่วนมากนักโหราศาสตร์ต่างประเทศ เช่น โหราศาสตร์สากล รังสีดาว และ ระบบธาตุดาวฤกษ์ จะพัฒนาองค์ความรู้ด้านนี้มาก จึงสามารถทำนายเหตุการณ์โลก หรือ เหตุการณ์จรที่เกิดจากกระแสธาตุของโลกได้ดี พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์ไทยก็จำเป็นต้องระวังเช่นกัน แต่เนื่องจากเป็นเพราะระบบโหราศาสตร์ไทยพัฒนาความสัมพันธ์ดาวและเรือนผ่านทางเกษตรธาตุ ซึ่งไม่อ่านอิทธิพลทางดาวจรโดยตรง ซึ่งมักจะสอนกันในระดับสูงขึ้นไป ตำราเบื้องต้นที่มักสอนทำนายดาวจรต่อดาวจร เหมือนวิธีทำนายดาวเดิมจึงไม่ได้ผล การหลีกเลี่ยงเหตุการณ์จากสิ่งแวดล้อมนี้ทำได้โดยการหนีไปให้พ้น เช่น อพยพหนีพายุ เมื่อรู้ล่วงหน้า หรือ กรณี เกิดอุบัติเหตุ และจลาจล ก็อย่าเอาตัวเองเข้าไปเป็นไทยมุง เป็นต้น

ข้อห้า เหตุการณ์เกิดจากผู้อื่น เราส่วนมากมักเข้าใจว่าเหตุการณ์ต่างๆจะเกิดจากการอ่านดวงชะตาของเราเท่านั้น แต่เหตุการณ์จำนวนมากที่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วยจะซับซ้อนกว่ามาก อย่างเช่น การทะเลาะวิวาท หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งระงับยับยั้งได้ เหตุการณ์นั้นจะไม่เกิดขึ้น หรือ การข่มขืน ถ้าหญิงคนหนึ่งไม่มีดวงถูกข่มขืนเลย แต่ไปแต่งตัวโป๊ๆ เดินลอยชายในที่เปลี่ยว หากไปเจอฆาตกรข่มขืนเข้า ก็อาจจะเกิดเรื่องได้ ดังนั้น เราจึงไม่ควรนำตัวเข้าไปเสี่ยงต่อเหตุการณ์เหล่านี้ เหตุผลนั้นเป็นโดยสามัญสำนึกอยู่แล้ว ต่างจากนักโหราศาสตร์บางกลุ่มที่คิดว่าอะไรๆก็เป็นเพราะกรรมเดิมอย่างเดียว มักจะวิเคราะห์ดวงชะตาเหตุการณ์ไม่ออก นอกจากจะลากเอาดาวดวงนั้นดวงนี้มาอธิบายทำให้เสียหลักวิชาไป หากจะอธิบายจริงๆ ควรจะอธิบายจากดวงชะตาทั้งสองฝ่าย แล้วกลับขึ้นไปดูตั้งแต่ข้อแรกในข้อเขียนนี้มาใหม่ จะได้ประโยชน์กว่ามาก

00000000000000000000000000000000000000000000000000


วรกุล - 31 ตุลาคม พ.ศ.2548 05:03น. (IP: 203.107.160.147)

ความคิดเห็นที่ 35
เรียน อาจารย์ วรกุล

ดิฉันเพิ่งมีโอกาส ได้เข้ามาเยี่ยม web board เป็นครั้งแรกค่ะ ประทับใจในการอธิบาย ของอาจารย์ ที่ทำให้เรื่องยาก เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดิฉันเพิ่งเริ่มตันศึกษาโหราศาสตร์(ระดับประถมต้น) แต่มีความสนใจ ตั้งใจแน่วแน่ และรักที่จะศึกษาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น โดยอยากเป็นศิษย์มีอาจารย์ มากกว่า เรียนรู้ด้วยตัวเองเพราะบางครั้ง การอ่านแต่ตำรา ยังรู้สึกเหมือนเป็นเส้นผมบังภูเขาค่ะ จึงไม่อยากหลงทางค่ะ

ไม่ทราบว่าอาจารย์ ยังรับสมัครลูกศิษย์อยู่ไหมคะ จะติดต่อสมัครเรียนได้ที่ไหนคะ ขอความกรุณาอาจารย์แนะนำด้วยค่ะ

ดิฉัน เกิดวันศุกร์ ที่ 13 ธันวาคม 2506 เวลา 12.03 น. กรุงเทพฯ ลัคนาราศีมีน พระ ๕ กุมลัคน์ มีเกตุ และ มฤตยู อยู่ภพอริ ชาตาแบบนี้ จะเอื้ออำนวยต่อการศึกษาโหราศาสตร์ไหมคะ

ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


สุธาวาส - 31 ตุลาคม พ.ศ.2548 15:13น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 36
ตอบ 35 คุณสุธาวาส...........ดวงคุณหากเป็นครูอาจารย์ ก็มีความคิดความสามารถดีจริง แต่เกตุ มฤตยูที่อยู่ราศีสิงห์นั้นไม่ให้กำลังเท่าที่ควร พลอยจะทำให้คิดมากไป ใช้ความคิดแล้วไปได้ไกลแต่ไม่กว้างขวางลึกซึ้งพอ ดวงคุณเรียนโหราศาสตร์ ต่อไปจะเป็นนักพยากรณ์ที่มีชื่อเสียงได้ แต่ถ้าจะรับวิชาที่ลึกๆลงไปนั้น หากเจออาจารย์ดีคงต้องเคี่ยวเข็ญกันอยู่มาก ผมเองไม่ได้สอนโหราศาสตร์ทั่วไปมานานแล้ว ส่วนวิชาเฉพาะนั้นยังไม่เคยสอนให้ใคร เพราะต้องสอนส่วนตัวและใช้เวลานาน ที่เรียนโหราศาสตร์มีหลายแห่ง ผมไม่รู้ว่าใครสอนที่ไหนบ้าง และก็ไม่รู้คุณภาพการสอนและค่าใช้จ่าย จะแนะนำก็ไม่กล้า สมัยที่ผมสอนอยู่ก็เหนื่อยมาก ไม่ได้คิดเงิน และกว่าจะสอนให้คนคิดเป็นได้สักคนหนึ่งยากกว่าวิ่งมาราธอนเสียอีก คุณยังมีวาสนาทางนี้อยู่ หากไม่ทิ้งไป อนาคตก็คงได้เรียนลึกซึ้งขึ้น


วรกุล - 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 07:37น. (IP: 203.107.196.160)

ความคิดเห็นที่ 37
ขอบพระคุณอาจารย์ มากค่ะ คำแนะนำของอาจารย์ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นช่องเล็กๆ ที่มีแสงสว่างส่องเข้ามาในห้องที่ปิดมืด ดิฉันจะเสาะหาที่เล่าเรียนศึกษาเบื้องต้นต่อไป และหากมีข้อติดขัดอย่างไร จะขออนุญาตเรียนถามอาจารย์อีกนะคะ ตั้งปณิธานไว้ว่า ถ้ามีความรู้เพียงพอ จะใช้วิชาความรู้ช่วยผ่อนทุกข์ให้กับผู้คนรอบข้าง หรือคนที่ต้องการความช่วยเหลือค่ะ อย่างน้อยก็เป็นการสร้างสมบุญของตัวเองค่ะ

และด้วยวาสนาที่อาจารย์เห็นว่ายังมีอยู่บ้าง ขออธิษฐานว่า ถ้าวันใด บุญส่งถึง คงได้มีโอกาสได้กราบขอเป็นศิษย์ของอาจารย์ค่ะ

ด้วยความเคารพ


สุธาวาส - 1 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 08:19น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 38
เรียน อาจารย์ วรกุล ที่เคารพ

ดิฉันมีคำถามระดับเด็กประถม เรื่อง ธาตุของดาว ที่พยายามดูย้อนหลังในกระทู้เก่าๆ แต่ไม่พบ อาจเป็น basic ที่ทราบกันอยู่แล้ว แต่มือใหม่ ยังเห็นภาพสลัวๆ อยู่เลยค่ะ ขอความกรุณาอาจารย์อธิบายด้วยนะคะ

ในบทเรียนโหราศาสตร์พื้นฐานบอกว่า

- ดาวพฤหัส และ จันทร์ เป็น คู่ธาตุดิน

- ดาวศุกร์ และ พุธ เป็นคู่ธาตุน้ำ

- ดาวอังคาร และ ราหู เป็นคู่ธาตุลม

- ดาวอาทิตย์ และ เสาร์ เป็น คู่ธาตุไฟ

อยากทราบว่า ในความเป็นธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ของดาวแต่ละคู่นี้ (เช่น ไฟของอาทิตย์ กับ ไฟของเสาร์)ธาตุของดาว แต่ละดวงเมื่อแยกแยะโดยละเอียดลงไปแล้ว มีคุณสมบัติต่างกันอย่างไร และธาตุดาวเหล่านี้ แสดงผลออกมาต่างกันอย่างไรคะ โดยเฉพาะเวลาเข้าเรือนชาตา และราศีแล้ว

หากอาจารย์เคยอธิบายเรื่องนี้ ไว้แล้ว ในกระทู้เก่า กรุณาแนะนำด้วยค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาอาจารย์มากค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

-

-


สุธาวาส - 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 14:38น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบ 38 คุณสุธาวาส...........เรื่องธาตุนั้นปกติที่เรียนกันเบื้องต้นทั่วไป ประถม มัธยม ก็เป็นตามที่ว่านั้น หากเป็นโหราศาสตร์ไทยทั่วไป ทั้งแบบใช้ดวงชะตา หรือ ไม่ใช้ดวงชะตา ก็หมายถึง ธาตุที่เป็นคุณสมบัติในแง่มุมต่างๆ เช่น เป็นลักษณาการ (ลักษณะ + อาการ) ธาตุ ลม เร็ว ว่องไว....ธาตุน้ำ เหลว ปรับตัวได้.....ธาตุไฟ ร้อน รวดเร็ว แผ่กระจาย...ธาตุดิน หนักแน่น มั่นคง ดังนั้น เมื่อลักษณาการเหล่านี้มาตรงกับเรื่องใด ก็ปรับความหมายเป็นดังนั้น เช่น เป็นบุคคลธาตุไฟ มักมีนิสัยใจร้อน รักเกียรติ ทะเยอทะยาน เป็นต้น หากเป็นธรรมชาติ ธาตุดิน ก็เช่น เรือกสวนเกษตรไร่นา เป็นสถานที่ ธาตุน้ำ ก็เป็นที่ริมน้ำ ในคลอง เป็นสัตว์ พืช สิ่งของ นิสัยใจคอ ทรัพย์สมบัติ ยศตำแหน่ง เป็นต้น เป็นความหมายได้มากมาย หากนำเอาธาตุสองชนิดขึ้นไปมาผสมกัน ก็แตกเรื่องไปอีก หนังสือโหราศาสตร์ส่วนมากก็จะมีบอกไว้ เป็นส่วนขยายเรื่องราวที่เราอ่านจากเรือนและดาวนั่นเอง และเมื่อเข้าดวงชะตาแล้ว ยังมีธาตุของราศีมาเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องพิจารณาความเป็นอยู่ของดาวในราศี อย่างเช่น อังคารเป็นกัมมะธาตุลม แสดงว่าเจ้าชะตาทำงานว่องไว เมื่ออยู่ธาตุดิน มีความละเอียดรอบคอบ และสม่ำเสมอ เป็นต้น ความเป็นมิตรธาตุ หรือ ปรปักษ์ธาตุ ก็อีกเรื่องหนึ่ง

ความแตกต่างของธาตุที่เป็นคู่กันนั้น ส่วนใหญ่แสดงความเป็นธาตุหยาบ หรือ ละเอียด อีกที เช่น อาทิตย์เป็นเปลวไฟ ส่วน เสาร์เป็นความร้อน (ไฟรุม) จันทร์เป็นดินเหนียว พฤหัสเป็นดินหนา ดินดาน ศุกร์เป็นน้ำใส เช่นน้ำฝน พุธเป็นน้ำแอ่ง เช่น น้ำบ่อ หรือ ทะเล ราหูเป็นลมละเอียด เช่น ลมในลูกโป่ง ในกระเปาะ ช่องว่าง อังคารเป็นลมพัด ลมแรง อย่างไต้ฝุ่น เฮอริเคน ความหมายพวกนี้เป็นคุณสมบัติเบื้องต้นเท่านั้น หากดาวมีการผสมกับธาตุอื่นก็จะกลายเป็นสิ่งต่างๆอีกมากมายที่แปรเปลี่ยนรูป และพลังงานไป ถ้าเรียนเพียงเท่านี้ก็จะต้องเรียนไปจนจบชั้นสูง เหมือน ปริญญาตรี จึงจะผสมเป็นวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด

ถ้าจะเรียน ปริญญาโท โหราศาสตร์ทางธาตุเพิ่มเติมอีก ก็ต้องย้อนกลับมาทำวิทยานิพนธ์ ถึงที่มาของธาตุ ชนิดของธาตุในสากล ปฏิกริยาระหว่างธาตุ และ ดวงชะตา วัฏจักรธาตุและ ดวงชะตา ภูมิ และภพ ของธาตุและกำลังธาตุทั้งหมด การแปรเปลี่ยนหมุนเวียนทางธาตุ รูปธาตุ และนามธาตุ ในแต่ละชั้นธาตุ ฯลฯ จาระไนไม่หมด เมื่อเรียนแยกไป ก็ต้องเรียนการวิจัยใช้ธาตุ และรูป อรูป ทั้งหลาย กับชีวิตและดวงชะตา มีอีกเยอะมาก แล้วแต่วิชาแยกไปทางไหน รวมทั้งไสยศาสตร์ ด้วยนะครับ พวกนี้เวลาเข้าเรือนชะตาและราศี ก็มีผลความหมายหยาบละเอียดอีกมากมาย เรียนจบก็ได้ ปริญญาเอก แต่สาขาละครับ อย่างเช่นได้ ด้อกเตอร์ทางโหรา -ไสยศาสตร์ โก้ดีไม่หยอก เรียนจบแล้วผมจะหงอกทั้งศีรษะ เดินหัวเราะร่วนได้ทั้งวัน


วรกุล - 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 05:06น. (IP: 203.107.192.195)

ความคิดเห็นที่ 40
ขอบพระคุณอาจารย์มากเจ้าค่ะ พอจะจับแนวทางสำหรับไปฝึกทำความเข้าใจในเรื่อง ลักษณาการ และ สภาวะธาตุในรูปแบบต่างๆ ได้ ค่ะ

ขอมักน้อย หวังแค่สามารถอ่าน เรื่องราวและความสัมพันธ์ จาก เรือน ดาว และ ธาตุของราศี ได้ถูกต้องก่อนก็พอค่ะยังไม่อยากให้อาจารย์มีลูกศิษย์ ชื่อ ดร.เพี้ยน ค่ะ

แต่อาจารย์คะ ขออนุญาตอีกหนึ่งคำถาม นะคะถ้าคนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับ "ห้องเย็นแช่แข็งอาหาร ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ" เหล่านี้ จะจัดเป็น ธาตุของ อะไรคะ ใช่ ไฟ (๗) ไหมคะ แต่สิ่งเหล่านี้ให้ความเย็นออกมา หรือว่า ๗ เขาไปผสมกับธาตุอื่นคะเข้าข่ายเรื่องการแปรเปลี่ยนรูป และพลังงาน ที่อาจารย์กล่าวถึงไหมคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 3 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 18:46น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 41
สวัสดีคะ

ดิฉันกำลังหาข้อมูลเกี่ยวกับดวงพิชัยสงครามอยู่คะ ลองหาข้อมูลมาเยอะแล้วเจอแต่เรื่องข้อดี และ พิธีกรรสกสรทำคะ แต่อยากทราบว่า การเอาดวงไปทำพิชัยสงครามนั้นจะมีข้อเสียหรือไม่คะ หรือมีแต่ข้อดีคะ

หรือจะหาข้อมูลดังกล่าวได้เพิ่มจากที่ใดคะ

ขอบพระคุณคะ


มือใหม่หัดดู - 4 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 16:53น. (IP: 61.90.101.142)

ความคิดเห็นที่ 42
ตอบ 40 คุณ สุธาวาส...........อาชีพ กับสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยเป็นเรื่องใหญ่นะครับ การดูเรื่องธาตุเรามักจะดูสิ่งแวดล้อมและองคประกอบของเรื่องไม่ว่าจะเป็น ประเภทของวัตถุสิ่งของหรือ อะไร แต่การชี้ตัววัตถุนั้น ส่วนใหญ่จะต้องดูเรือน ดูดาวมาก่อนเป็นหลักก่อน เมื่อจับเรื่องราวได้แล้วจึงดูธาตุลึกลงไป เช่น ที่คุณยกตัวอย่างมา ต้องรู้ก่อนว่าคนที่ไปเกี่ยวข้องกับ แอร์ ตู้เย็นนั้น เป็นการขาย ซื้อ ขนส่ง ผู้ผลิต หรือเป็นช่างซ่อม เป็นผู้ใช้แช่อาหาร หรือไม่ เป็นต้น หรือ เขาจะตายเพราะถูกไฟ (ตู้เย็น) รั่วดูดตายหรือเปล่า นี่เป็นการดูในดวงชะตา

ทีนี้ หากเราพอเข้าใจเรื่องที่แสดงบทบาทในดวงชะตาแล้ว จึงค่อยมาพิจารณาวัตถุธาตุ ระดับการแปลความหมายที่ใช้กันอยู่ ก็จับเอาธาตุที่วัตถุใช้นั้นมาเป็นหลักก่อน เช่น ตู้เย็น คือ ๑๓๗๕๔๖๐ มีไฟฟ้า เหล็ก คอมเพรสเซอร์ น้ำยาแอร์ อะไรประมาณนั้น ดาวแบบนี้ ใครๆก็มีในดวงชะตา ต่างแต่ว่ามันเรียงตัวอยู่ในรูปอย่างไร ดังนั้น การแปลธาตุวัตถุในดวงชะตาจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และก็ไม่ใช่ดาวเดียวจบ หรือ แม้มีบางตำราให้สูตรสั้นๆ ของวัตถุมามากมาย ก็ไม่ใช่สูตรที่ตายตัว เพราะธรรมดาในดวงชะตาก็มีดาวเป็นโยค ตรีโกณ ทำมุมอะไรกันวุ่นวาย ร่วมอยู่กับสภาวะธาตุในราศีอยู่แล้ว การที่จะแปลอย่างใด และเอาไปอย่างใด จึงต้องอาศัยทักษะการอ่านดวงชะตาสูง ขณะที่เรายังพูดกันอยู่ในกระทู้นี้ราวๆ เท่ากับเรียนชั้นต้นเท่านั้น จึงควรฟังเอาไว้เป็นความรู้ก็พอ


วรกุล - 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 08:16น. (IP: 203.107.160.181)

ความคิดเห็นที่ 43
อาจารย์คะ

หนูได้ศึกษาเรื่องเลข 7 ตัว และการทำนายจากตัวเลข โดยอ่านจากหนังสือทั่วไป แล้วทำนายให้คนใกล้ชิด ทั้งนี้ หนูพยายามเน้นเสมอว่าดูเล่นๆ ไม่แม่นนะ อย่าเชื่อมาก และจะไม่ทำนายให้เกิดผลเสียหาย

ได้อ่านเกร็ดความรู้ที่อจ.ให้ไว้แต่ยังไม่ครบถ้วน เลยอยากเรียนถามโดยตรงว่า

เคยได้ยินมาว่า ไม่ควรดูดวงของคนที่ไม่ได้ร้องขอจริงหรือไม่ และสิ่งที่หมอดูสมัครเล่นอย่างหนูต้องระวังและ ควรทำมีอะไรบ้าง

ปัจจุบันดูให้คนใกล้ชิด และดูของคนที่เราสนใจ(แต่ไม่บอกผลแก่คนอื่น),ดูเลขที่บ้านข้างเคียง อันนี้คุยผลที่ดูกันในครอบครัว อารมณ์ประมาณตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ เมื่อเห็นผลว่าตรงกับเรื่องที่เรารู้ซะมากกว่าจะไปใช้อะไร

ไม่เคยเรียกร้องเงินทอง แต่ไม่รู้ว่าต้องมีค่ายกครูหรือไม่ เคยคิดเหมือนกันว่าถ้ามีคนให้หรือคนมาดูเยอะก็จะตั้งกล่องรับเงินเอาไปทำบุญ หรือจะบอกเขาว่า เวลาทำบุญก็อุทิศให้ครูบาอาจารย์ด้วยได้ไหม

แต่ส่วนตัวเวลาทำบุญก็จะอุทิศให้ครู อาจารย์ และผู้มีพระคุณอยู่แล้ว

ขอบพระคุณล่วงหน้าสำหรับคำตอบค่ะ


มือสมัครเล่น - 5 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 23:58น. (IP: 203.151.140.120)

ความคิดเห็นที่ 44
ตอบ 41 คุณ มือใหม่หัดดู.........ไม่เห็นบอกว่าจะเอา “ข้อมูล” ไปทำอะไร เพราะเรื่องข้อมูลมันมีเยอะ หลายระดับ หากจะทำวิทยานิพนธ์ก็จะต้องเป็นหลักเป็นฐานสักหน่อย หรือจะเพียงเอาไปประกอบสารคดี หรือ หนังสืออะไรสักอย่าง “ดวงพิไชยสงคราม” ก็มีรายละเอียดหลายแง่หลายมุมด้วย ไม่รู้จะเอาเรื่องอะไร แค่ไหน กว้าง หรือ แคบ หรือ จะเรียนเพื่อทำพิธีเอง หากเกิดไปถามคนอื่นอีก คุณก็ควรชี้แจงไปหน่อย เผื่อมีคนรู้จะได้ชี้เบาะแสให้

นอกจากแนะให้ลองหาจากอินเทอร์เน็ทเพิ่มเติมแล้ว ผมเองก็รู้น้อย ไม่ได้รู้เรื่องอะไรดีกว่าผู้อื่น แต่ก็พอให้ความเห็นส่วนตัวได้บ้าง ส่วนใหญ่รู้กันแต่ว่า “ดวงพิไชยสงคราม” เป็นการผูกดวงละเอียด แจกแจงองศา ลิปดา ฟิลิปดา มักจะวางรูปดวงอยู่ในภาพหลายรูป เช่น รูปดวงใต้ฉัตร (นิยมที่สุด) รูปในท้องสิงห์ รูปในตัวไก่ ฯลฯ และ/หรือ ประกอบยันต์บางอย่าง ที่มีความหมาย ทางโหราศาสตร์ จะมีการคำนวณวางลัคน์ และลงรายละเอียดของดาวในดวงทุกดวง รวมทั้งเวลา นาที นวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ ราศี นักษัตร รวมทั้งเกณฑ์คำนวณสำคัญต่างๆ ส่วนใหญ่เขาผูกดวงบุคคล เพื่อเอาไปใช้ทำพิธีต่างๆเพื่อความเป็นสิริมงคล หรือ ใช้ในดวงสถานที่สำคัญ และ ดวงเมือง ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการทำสงคราม ซึ่งมีบางท่านอธิบายว่า สมัยก่อนเกี่ยว แต่เดี๋ยวนี้ไม่เกี่ยว เพราะไม่ใช้แล้ว อันนี้ก็ต้องฟังหูไว้หูเอาไว้ก่อน

คุณจะสังเกตเห็นชื่อที่ใช้ เท่าที่เห็นภาษาสมัยก่อนใช้คำว่า “ดวงพิไชยสงคราม” และ ชื่อในหนังสือเก่าๆมักสะกดคำว่า “พิไชย” ไม่ใช่ “พิชัย” พอมาสมัยหลังๆนี้ คนมักสะกดคำว่า “พิชัย” มากกว่า เพราะคงคิดว่าเหมือนกัน เพราะ “พิชัย” หรือ “วิชัย” แปลว่า ชัยชนะ อย่าง “มารวิชัย“ คือชนะมาร “พิชัยสงคราม” จึงหมายถึง ชัยชนะในสงคราม ตำราพิชัยสงคราม เป็นตำรากลยุทธ และจิตวิทยาทางวิชาทำสงคราม อันนี้ไม่สงสัย แต่ ตำราพิชัยสงคราม มักจะกล่าวถึงโหราศาสตร์ในเรื่องธาตุ และชัยภูมิ เช่น ครุฑนาม นาคนาม ซึ่งเป็นนามธาตุ ส่วนจะต้องผูกดวงชะตาเพื่อทำพิธีโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ด้วยหรือไม่นั้น อาจจะไม่ได้เกี่ยวกับตำราพิชัยสงครามเลย เพราะเป็นเรื่องโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ ดังนั้น หากเป็นการใช้เพื่อสองศาสตร์นี้ ก็จะเป็นไปได้ทั้งในทางมงคล และอัปมงคลได้ทั้งสองทาง เพราะหากผูกดวงแม่ทัพฝ่ายเรา และดวงเมืองฝ่ายเรามาทำพิธีเพื่อให้เข้มแข็งมีชัยชนะ ก็เป็นพิธีมงคล หากเป็นการผูกดวงแม่ทัพฝ่ายศัตรู และดวงเมืองของศัตรู เอามาสาปแช่งให้อ่อนแอพ่ายแพ้ก็เป็นอัปมงคล พิธีต่างๆก็เป็นในทางร้ายๆทั้งนั้น เช่น พิธีตัดไม้ข่มนาม ตัดศีรษะหุ่นแม่ทัพฝ่ายตรงข้าม จะถือเป็น “ข้อดี” หรือ “ข้อเสีย” ที่คุณอยากรู้หรือไม่ ก็ลองคิดดู

แต่ที่ผมสงสัย คือ คำว่า “พิไชยสงคราม” ที่เขียนกันมานั้น อาจจะเกิดจากความเข้าใจผิด และภาษาไทยรุ่นใหม่ไม่ยอมรับคำว่า “พิไชย” มีแต่คำว่า “ไชย” คำว่า “ไชย” นี้มีมาในโหราศาสตร์นานแล้ว เช่น คำว่า ไชยฤกษ์ ไชยพฤกษ์ และ (ดวง)ไชยชาตา เพราะ “ไชย” (อ่านว่า ไช หรือ ไชยะ) เป็นคำวิเศษณ์ หรือ คุณศัพท์ ก็ได้ แปลว่า ดี เจริญ (วิเศษณ์/คุณศัพท์) หรือ ดีกว่า เจริญกว่า (คุณศัพท์) การผูก ดวงไชยฯ นั้นทำเพื่อศิริมงคล ถูกต้องเลย และไชยฤกษ์ นั้นคือ ฤกษ์ดี ถูกต้องแล้ว ไชยพฤกษ์ นั้นก็หมายถึงไม้มงคล แต่ภายหลังอาจจะเป็นโหรเองที่ไม่รู้ภาษาไทย แต่เกิดเอาภาษาบาลี มคธ มาปนกัน คำว่า “ชัย” มาจาก “ชย” (อ่านว่า ชัย หรือชะยะ) หมายถึง ความชนะ “วิชัย” “พิชัย” ก็หมายถึง ชัยชนะ เลยจัดการเปลี่ยน “(ดวง)ไชยชาตา ” ที่นำมาใช้ ในพิธีของ “ตำราพิชัยสงคราม” เป็น “ดวงพิไชยสงคราม” ไปเลยหรือ เปล่าก็ไม่รู้ ต่อมาคำนี้ก็เลยเป็นคำสะกดผิด ผู้รู้ทางภาษาเห็นแล้ว (แน่ละ) ต้องเปลี่ยนให้เป็น “ดวงพิชัยสงคราม” ให้ถูกหลักภาษา และตามชื่อของ “ตำราพิชัยสงคราม” และยังแถมโยนทิ้งชื่อเดิมอื่นๆที่มีคำว่า “ไชย” ทิ้งไปหมด เปลี่ยนเป็น “ชัยพฤกษ์” “ชัยฤกษ์” กลายเป็นไม้ชนะ ฤกษ์ชนะ ไปหมดเลย ทั้งๆที่เป็นคนละความหมายกัน เพราะในโหราศาสตร์นั้น โหรไม่ได้จะหาฤกษ์ชนะ ไม้ชนะ ไปทำพิธีผูกดวงชนะ ในคนทั่วไป แต่จะหาฤกษ์ดี ไม้มงคล ไปผูก ดวงเจริญ หรือ เพื่อใช้ในดวงเมือง หรือ ดวงสถานที่สำคัญ โดยไม่ได้เกี่ยวกับการทำสงครามแต่ประการใด ตอนนี้ โหราศาสตร์ก็เลยไม่มีคำว่า “ไชยฤกษ์ ” เสียแล้ว โหรรุ่นใหม่เลยบัญญัติคำว่า “ศุภฤกษ์ ” มาใช้แทน คนที่ชื่อ “ไชยะ” ที่หมายถึง คนดี เลย ถูกแปลว่า “ชัยยะ” หมายถึง คนชนะ คนที่ชนะอาจไม่ใช่คนดีก็ได้ กลุ้มใจจริงๆนิ คนที่ชื่อ “ศุภไชย” ซึ่งความหมายถูกต้องกว่า “ศุภชัย” ก็เลยไม่พบเห็นแล้ว มีคลินิกหมออยู่แถวสะพานเหลือง ชื่อ “ไชยแพทย์” อันนี้ถูกต้องเลย หากเปลี่ยนชื่อ เป็น “ชัยแพทย์” ยังไม่รู้ว่าใครจะแพ้ เป็นตัวโรค หรือ คนไข้ ก็ยังไม่รู้

ที่น่าสังเกตคือระยะหลังๆมีการทำดวงประเภท “พิไชยสงคราม” เป็นแบบการพาณิชย์ เปรอะไปหมด บางแห่งโฆษณารับทำ (และปลุกเสก) ดวงโดยเกจิอาจารย์ และพระ ในหนังสือนิตยสารต่างๆด้วย คุณอาจจะเห็นมาจากหลายแห่ง บอกสรรพคุณเหมือนไสยศาสตร์ คือทำให้เจริญรุ่งเรือง มียศถาบรรดาศักดิ์ บารมี อายุยืน และร่ำรวย อะไรแบบนั้น แล้วแต่จะประดิษฐ์คำโฆษณากันเข้าไป มีราคาตั้งแต่ 5,000 ถึง หลายแสนบาทก็มี มีนักการเมือง ข้าราชการ และคนรวย นิยมทำกันมาก

การทำเช่นนี้ ทางโหราศาสตร์ไม่ได้มีผลอะไร เพราะอย่างไร ใครก็หนีกรรมตนเองไม่พ้น แต่ทางไสยศาสตร์นั้นอาจจะมีผลได้ เพราะว่าหากทำไสยศาสตร์จริงๆ ไม่ได้หลอกเอาเงินแบบทำปลอม ก็จะกลายเป็นผลเสียได้ เพราะมักทำเกินไป ถึงขนาดกำหนดบารมีให้เทียบกับกษัตริย์ หรือ พระพุทธเจ้า ใส่ฉัตรชั้นสูงสำหรับกษัตริย์ และทำรูปช้างแก้วม้าแก้วบริวาร เป็นดวงที่ให้เก็บตั้งเอาไว้บูชา คิดดูเถิด คนทุศีลบ้าง โกงกินบ้านเมืองบ้าง คนเลวระยำไม่มีศีลธรรม เอาไปทำยกย่องขนาดนั้น เวลาทำก็ต้องอัญเชิญเทวดา และบารมีพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มาสถิตย์ แบบนั้นแหละดีนักหนา เพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่อมไม่เข้าข้างคนเลว เท่ากับเชิญท่านมาสาปแช่งเจ้าของดวงชะตาให้ฉิบหาย ตายโหงเร็วเข้าไปอีกจากกรรมที่ก่อไว้ และบางคน ทำไสยศาสตร์ก็ยังเรียนได้แค่อนุบาลเลย แต่รับทำดวงเพราะเงินดี ยิ่งกลายเป็นเรียกผี และเปรตที่ยังไม่หมดกรรมมาทำให้เกิดอาเพทแก่เจ้าของดวงชะตาเข้าไปใหญ่ เท่าที่เคยเห็น บางคนก็คุ้มดีคุ้มร้าย เหมือนที่สักยันต์กันผิดๆ หรือ ตายไม่ดีกันหลายคน เป็นนักการเมืองแหละเยอะมาก คิดว่าจะโกงเท่าไรก็ไม่มีปัญหา เพราะ “ทำดวง” เอาไว้แล้ว แบบนี้ เป็นคำตอบ เรื่อง “ผลดี” หรือ “ผลเสีย” ที่คุณอยากได้ข้อมูลหรือเปล่า


วรกุล - 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 07:06น. (IP: 203.107.193.143)

ความคิดเห็นที่ 45
ขอบคุณ คุณ วรกุลมากค่ะ ที่ช่วยให้ข้อมูลเสริม

ความจริงที่หาข้อมูลไปนั้นเพราะสนใจจะทำให้แก่ตัวเองค่ะ เลยอยากทราบว่า การทำ ดวงพิไชยสงครามนั้น จะมีผลไม่ดี หรือไม่ จากคำตอบที่ได้จาก คุณวรกุล แล้วก็ทำให้สบายใจ ได้ว่า จะไม่มีผลเสีย ถ้าไม่ได้ทำสิ่งไม่ดีหรือสิ่งชั่วร้าย เพราะอย่างไรก็หนีเรื่องกรรมไม่พ้นอยู่แล้ว

นอกจากนี้ เคยได้ยินมาว่า การทำดวงพิไชยนั้น จะไม่ส่งผล ถ้าผู้ที่ทำนั้น มีการเปลี่ยน นามสกุล หรือ ยศศักดิ์ เพราะถือว่าไม่ตรงกับ นามสกุล หรือยศศักดิ์ ที่เคยทำนั้นเป็นความจริงหรือไม่ค่ะ

คงจะรบกวนคุณวรกุลอีกสักครั้งนะค่ะ

ขอบคุณอย่างสูงค่ะ


มือใหม่หัดดู - 6 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 08:28น. (IP: 61.90.98.149)

ความคิดเห็นที่ 46
ตอบ 43 คุณ มือสมัครเล่น .........ไม่ควรดูดวงของคนที่ไม่ได้ร้องขอจริงหรือไม่ หมายความว่า ไม่ควรดูแบบเปิดเผย คือไปทำนายให้เขาโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอครับ นี่เป็นมารยาทและคุณธรรม หมอดู ก็เหมือนหมอรักษาโรค การที่ใครเขาไม่ได้มาให้เรารักษา หรือ มาปรึกษาเรา เราจะเที่ยวไปแหกหูแหกตาตรวจร่างกายเขาได้อย่างไร.....สิ่งที่หมอดูสมัครเล่นอย่างหนูต้องระวัง และ ควรทำมีอะไรบ้าง ที่ต้องระวังคือรู้จักมารยาท และจรรยาบรรณ ส่วนใหญ่ก็คือไม่พยายามไปทำให้เขารู้สึกกังวลเป็นทุกข์ เช่น ไปทายเรื่อง สามีภรรยา ว่าเหมาะสมดี หรือไม่ดี เพราะหากเขาเลิกกัน หรือ ไปแต่งกันแล้วไม่ดีก็เป็นบาป ไม่ไปทายคนเขาว่าจะอายุสั้น จะถึงที่ตาย ทายแล้วหดหู่ กังวลใจ หมดหวัง ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่ไปทายเด็กตัวเล็กๆว่าจะมีอนาคตดีเลวอย่างไร เพราะทำให้พ่อแม่รู้สึกมี อคติ ต่อลูก จึงอาจกลายเป็นผลเสียต่อชีวิตเขาขึ้นมา เพราะเอาใจมากไป หรือ โทษความผิดของเขา บางคนทายว่าลูกจะมาผลาญสมบัติ แบบนี้พ่อแม่ทำใจไม่ได้ถึงกับฆ่าลูกก่อนก็มี เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องท่องจำ แต่เวลาทำนายอะไร ไม่ว่าจะรู้ดี หรือ ไม่รู้ดี ก็ต้องระวังคำพูดของเราด้วยไม่ว่าเรื่องอะไร ทุกเรื่อง ยอมเป็นหมอดูเฮงซวยทายไม่ถูก (ทั้งๆที่รู้) ให้เขาชี้หน้าด่า ดีกว่าไปทำให้ใครเป็นทุกข์ หรือ ยอมตกนรก เพราะพูดความจริงเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่นไว้ ดีกว่าอมพะนำไม่ยอมเตือนในสิ่งที่เห็นว่าควรเตือน หากจะเรียนเป็นโหร ต้องปิดทองใต้ฐานพระให้ได้ครับ โบราณบอกใบ้ไว้ว่า ใต้ฐานพระนั้นมีวิชา ใครยกพระขึ้นก็ได้วิชานั้นไป

การดูดวงคนอื่นเพื่อศึกษาโดยไม่ได้ไปบอกเขา(หากเขาไม่ได้มาขอกับตัวเราเอง) หรือ ไม่ได้บอกคนอื่นนั้นทำได้ครับ แต่ถ้าหากบุคคลนั้นเป็น ดารา หรือ บุคคลสาธารณะ ที่ทุกคนรู้จัก แม้เขาจะประกาศวันเดือนปีเกิดให้คนรู้ เราก็ไปดูให้เขาไม่ได้ เป็นมารยาทที่ต้องรักษาให้เข้มงวด บางที เขาอาจจะมาให้ใครดูหมออยู่ต่อหน้าเรา เราก็ไม่มีสิทธิชะโงกหน้าเข้าไปดู โดยที่เขาไม่อนุญาต มีมารยาทและจรรยาบรรณหมอดูอยู่หลายระดับที่ต้องรักษาไว้ และเมื่อเป็นหมอดูแล้ว สิ่งที่ต้องห้ามอย่างสำคัญมาก คือ เกิดโมหะ ไปทำให้เขาสำคัญผิดในดวงชะตาของเขา เช่น ไปหลอกแกล้งเลื่อนลัคนาของเขา เพราะไม่อยากให้ใครได้ดี หรือ ไปปั้นเรื่องมาทายฟันธงซี้ซั้วเพียงเพื่อให้ตัวเองโด่งดังจากความทุกข์ของผู้อื่น หรือ ไปยกย่องเชิดชูเขาเพราะโลภะ อยากได้ค่าตอบแทน หรือ ไปทำนายให้เขาฉิบหายไม่ได้ผุดได้เกิด เพราะโทสะในใจตน สามสิ่งนี้แหละที่ทำให้หมอดู มีบั้นปลายไปสู่อบายภูมิ เนื่องจากทำวจีกรรมรุนแรง โบราณท่านเตือนเอาไว้ (ไม่ได้แช่ง) นานแล้วนะครับ และมีบางอาจารย์ใหญ่รับกรรมไปแล้วด้วย

ธรรมดาหมอดูนั้น เป็นผู้ทำวจีกรรม อยู่แล้วจากการทำนายที่ไม่รู้จริง เป็นบาปแรง ดังนั้น จึงต้องบูชาครู เพื่อขอขมาโทษ และให้คุ้มครองตนจากโทษภัย ค่ายกครู จะมี หรือ ไม่มีก็ได้ เพราะไม่ได้เป็นธรรมเนียมโหรไทยแต่โบราณ การบูชาครู เพียงตั้งใจเอ่ยและยกมือไหว้เคารพครูก็ถือว่าได้บูชาครูแล้ว หมอดูก่อนทำนายต้องสำรวมใจยกมือไหว้นึกถึงพระคุณครู และวิชา (ก็คือ ครู) ก่อนนะครับ ไม่เดินข้ามหนังสือ ไม่ด่าครู ไม่ท้าใครมาลองวิชา(ครู) ไม่(เอาครูไป)ประลองวิชากับใคร ไม่ใช้ไปในทางทุจริต ผิดศีลธรรม หรือ อบายมุข เช่นวางฤกษ์ให้โจรปล้น หรือ เล่นการพนัน ที่ถือเคร่งจะไม่รับเงินทองของตอบแทนจากการทำนายด้วย หากมีค่ายกครูก็เพื่อจุดประสงค์สองอย่าง คือ เป็นเงิน(เท่าที่จำเป็น)เพื่อทำบุญให้แก่ครูผู้ต้นคิดวิชาให้แก่เรา และ เพื่อให้คุณค่าแก่วิชา ไม่ต้องการให้ใครเห็นว่า ดูหมอฟรี แล้วไม่มีคุณค่าอะไร มีอาจารย์บางท่านจึงตั้งราคาค่าดูเอาไว้หลายพันบาท แต่ดูแล้วก็ไม่เคยเก็บเงินใครจริงจัง เพราะต้องการให้คนที่มาดู ตั้งใจจริงๆที่จะดู ไม่ใช่ดูสนุกเล่นไปวันๆเท่านั้น

000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 49 คุณ มือใหม่หัดดู.........สรุปคำตอบครั้งที่แล้ว คือ ไม่มีทั้งผลดี และ ผลเสีย จากการทำดวงพิไชยสงครามครับ ความดี หรือ เสีย เกิดจากพิธี หรือ วิธีการที่เอาดวงพิไชยสงครามไปใช้ต่างหาก ดวงชะตาที่ผูกโดย เพียงแค่คำนวณวางดาว ลงรายละเอียดแค่นั้น ไม่ได้มีผลอะไรต่อชีวิต เพราะดวงชะตาเพียงแค่แสดงกรรมเท่านั้น เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง เราจะเอาไปลับมีด ก็เป็นผลดีเป็นประโยชน์ หากเอาไปขว้างหัวใคร หรือ เอาไปรองหลุมส้วม ก็เป็นผลเสียเป็นโทษ

เรื่องนามสกุล ยศศักดิ์ อายุ หรือ ถิ่นที่อยู่ นั้นก็ไม่เกี่ยว เช่น เขาที่ทำดวงพิไชยสงครามก็เพื่อยศศักดิ์อยู่แล้ว จากร้อยตรี จะให้เป็นพลเอก ขืนเลื่อนยศเป็นร้อยโทแล้วต้องมาทำกันใหม่ทุกขั้น ก็แสดงว่าไม่ได้เรื่อง นอกจากจะทำไม่เป็น หรือ อยากได้เงินเพิ่มอีกเท่านั้น เรียกว่า เสริมดวง ชื่อ นาม สกุล ยศศักดิ์ อายุ ถิ่นที่อยู่ เป็นการกำหนดในภาวะปัจจุบันในขณะที่ทำเท่านั้นเอง เมื่อทำแล้ว ก็หมายรู้ เอาตัวเจ้าของดวงชะตาผู้นั้น จากวันเดือนปีเกิด เวลาเกิด ชื่อ นามสกุล อายุ ให้เทวดารู้ว่าเป็นคนไหนกันแน่ ต่อไป แก่แล้ว จะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนเสียง ผ่าตัดใบหน้า เลื่อนยศ ปลดย้ายอย่างไร บางคนก็มีถิ่นที่อยู่ย้ายบ้านข้ามประเทศ ไปเป็นทูตานุทูตที่อื่นก็มีเยอะ อันนั้นเทวดาท่านก็ไม่เกี่ยวอีก เพราะให้พรไว้แล้วตั้งแต่อายุ 25 แม้หากเชิญผีเปรตมา แทนที่จะเป็นเทวดา ผีเปรตมันก็จำได้เหมือนกันว่าเป็นคนไหน เหมือนมีรอยสักเอาไว้กลางหน้าผากนั่นแหละ หลังๆเขาดัดแปลงมาเป็นการ สักดวง เป็นภาษาสมัยใหม่ แทนคำว่า พิธีเสกดวงพิไชยสงครามนั่นแหละ รอยสักนี้จะติดอยู่คงทน ต่อให้คุณไปเปลี่ยนชื่อ เลื่อนยศ ย้ายที่อยู่ รอยสักนี้ก็ยังคงอยู่ พิธีนี้เป็นพิธีไสยศาสตร์ ผมว่าไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปทำหรอกครับ ดวงที่ทำนั้น เวลาตาย ลูกหลานก็ต้องเผาไปให้พร้อมกับตัว มิฉะนั้นก็ไม่สงบสุข หรือ หากจารบนแผ่นทอง แล้วเกิดมีตีนแมวมาย่องเบามาขโมยไปขายร้านของเก่ายิ่งจะแย่

อย่างการวาง ดวงเมือง ก็เป็นการทำดวงพิไชยสงครามเหมือนกัน ดังนั้น ต่อให้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่ไหน หรือ ตั้งนครสุวรรณภูมิ ก็ไม่ได้แก้ดวงเมือง หรือ เป็นการวางดวงเมืองใหม่ เพราะจะวางดวงเมืองใหม่ ต้อง “ถอน” ดวงเมืองเก่า ออกก่อนครับ คือ บอกเทวดาว่าของเก่าไม่เอาแล้วนะ เหมือนกับลบรอยสัก ปานแดง ปานดำ ด้วยเลเซอร์อะไรประมาณนั้น


วรกุล - 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 05:14น. (IP: 203.107.201.252)

ความคิดเห็นที่ 47
ขอบพระคุณ อ.วรกุล อย่างสูงค่ะ


มือใหม่หัดดู - 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 14:12น. (IP: 58.10.64.180)

ความคิดเห็นที่ 48
ขอบพระคุณสำหรับคำแนะนำเรื่องธาตุค่ะ ตั้งหลักได้แล้วค่ะ จะใช้แนวทางที่อาจารย์สอน ให้"ดูเรือนชาตา และดวงดาวเป็นหลัก แล้วใช้ธาตุเป็นส่วนขยายความ" ค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 18:27น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 49
สวัสดีครับ อ.วรกุล

ไม่ทราบว่าเคยมีคนถามไปแล้วหรือยังครับ ผมลองดูๆ ไปแล้วเพิ่งสังเกตุว่า จันทร์กับพฤหัส เป็นคู่ธาตุกัน และในขณะเดียวกันก็เป็นคู่ศัตรูด้วย แบบนี้ ถ้าสมมติว่าดาวพฤหัสมาจากเรือนที่ดี แล้วไปอยู่อุจน์ จะทายดีได้เพราะเป็นคู่ธาตุได้ไหมครับ ถ้าอย่างนั้นความหมายคู่ศัตรูนี่จะทำยังไงหรือครับ การตีความแบบที่เป็นทั้งคู่ธาตุกับคู่ศัตรูนี่ ต้องตีความว่าเป็นศัตรูร้ายกาจเสมอไปหรือเปล่าครับ


ฟัด - 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 00:03น. (IP: 138.243.201.1)

ความคิดเห็นที่ 50
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

เคยเข้ามาถามคำถามกับอาจารย์แล้วครั้งหนึ่ง อาจารย์ตอบคำถามให้ละเอียดและอ่านเข้าใจง่าย รู้สึกขอบพระคุณเป็นอย่างมากค่ะ

คราวนี้จะถามว่า ดวงของคนที่มีดาวเกตุกุมลัคน์ มีผลดีหรือร้ายกับเรื่องความรักหรือไม่อย่างไรคะ คือดิฉันมีดาวเกตุกุมลัคน์อยู่ และมีคนบอกว่าจะคิดมากเรื่องความรัก และจะไม่สมหวัง ไม่ทราบจริงเท็จอย่างไรคะ ดิฉันเกิดวันพฤหัสที่ 9 กุมภาพันธ์ 2510 เวลา 04.00น.ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ


นารี - 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 15:02น. (IP: 202.142.206.252)

ความคิดเห็นที่ 51
ตอบ 53 คุณฟัด..........คุณต้องเข้าใจว่าดาวเป็นคู่ศัตรูนั้นเป็นเป็นได้หลายแบบ เหมือนกับคนเรา มีความขัดแย้งความเห็นกันบ้าง อยู่ฝ่ายตรงข้ามกันบ้าง ไม่ชอบขี้หน้ากันบ้าง เป็นหนี้กันบ้าง หรือ เป็นศัตรูจะฆ่ากันก็มี บางทีกลางวันเป็นคู่ศัตรู ทุบโต๊ะเถียงกันในห้องประชุมแทบเป็นแทบตาย ตกเย็นเป็นคู่มิตรไปเมาอยู่ใน ผับ ร้องคาราโอเกะถึงเช้าก็เป็นได้ หรือ นักมวยเป็นเพื่อนกัน ต่อยกันบนเวทีเลือดสาด พอลงจากเวทีแล้ว เอาเงินที่ชนะน้อคเพื่อน เอาศอกฟันหัวเพื่อนเลือดอาบ แล้วแอนตาซิลจ่ายให้ (เพราะความดีที่ฟันหัวเพื่อนนั่นแหละ) เอาเงินมาเลี้ยงเพื่อน มันแปลกดีนิ หรือ ใครมาตีเรา เราก็ถือเป็นศัตรู แต่พ่อแม่ตีเรานั้น เป็นมิตร หรือ ศัตรู คิดดูดีๆ

ไม่เฉพาะคู่ธาตุอย่าง จันทร์กับพฤหัส แต่ อาทิตย์ กับ เสาร์ ศุกร์ กับ พุธ อังคาร กับราหู ก็เป็นคู่ศัตรูได้ทั้งนั้น มันสำคัญที่ว่า เรากำลังดูเรื่องอะไรอยู่ต่างหาก ที่เราท่อง คู่มิตรคู่ศัตรู เหล่านั้น เป็นการมองมุมเดียว สำหรับเรียนเบื้องต้น บางคนเรียกว่า คู่มิตร คู่ศัตรูใหญ่ คือ เป็นศัตรูจริงๆ ไม่ใช่แค่เพื่อนที่ขัดใจกันอย่างที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น เพราะคนที่เรียนเบื้องต้นส่วนมาก มักมองหลายมุมไม่เป็น ก็เลยต้องบอกว่าอะไร “ดี” “ไม่ดี” ให้ชัดแจ๋ว ไม่ยังงั้นเรียนไม่ออก แต่คนที่ชำนาญแล้ว ต้องดูจากเรื่องและมุมที่เรามองด้วย บางคนใช้วิธีอธิบายอย่างที่คุณว่า เช่นหาก จันทร์ หรือ พฤหัส เป็นอุจ เกษตร มหาจักร หรือ ศรี เดช มนตรี ให้ทายว่าเป็นคู่ธาตุ ให้คุณ หากตัวใดเป็น บริวาร กาลกิณี มูละ อุตสาหะ นิจ ประ เป็นดาวตกอริ มรณะ วินาสน์ ให้ถือเป็นคู่ศัตรูให้โทษ การสอนแบบนี้ จะว่าไปก็เป็นแบบเบื้องต้นเหมือนกัน บางคนก็ตอบว่า เหตุผลคือมาจากนิทานชาติเวร ก็ต้องถามอีกว่า นิทานชาติเวรมาจากอะไร หากคำตอบก็คือ เขาสอนกันมายังงั้นนานแล้ว คำตอบแบบนี้ ไม่ได้ให้ความรู้อะไรเลย

เราต้องเข้าใจเหตุผลว่า คู่ธาตุ นั้น เป็นสภาวะธาตุ ดิน ลม น้ำ ไฟ เดียวกัน เช่น จันทร์ และ พฤหัสเป็นคู่ธาตุดิน เป็นความสัมพันธ์โดยกำเนิด หากดาวคู่ธาตุ ร่วมกุมเล็ง หรือ ถึงกันได้มุมดีๆ การถ่ายเททางธาตุระหว่างดาวจะดี กำลังธาตุ ดี ความหมายทางธาตุของดาวก็เข้มแข็ง แม้ดาวใดดาวหนึ่งของคู่ธาตุมี(สภาวะ)ธาตุอ่อนกำลังลง ก็ไม่เสีย เพราะมีเพื่อนคู่ธาตุช่วยให้กำลัง เรื่องทางธาตุก็จะหยุดอยู่แค่นี้ก่อน เมื่อมาพิจารณาเรื่องทาง ธาตุดาว หรือ ธรรมชาติของดาว จันทร์ นั้นเหลว อ่อนไหวง่าย ไม่อยู่นิ่ง เอาแต่อารมณ์เหมือนวัยรุ่นชอบซิ่ง เมื่อ มาร่วมสัมพันธ์กับพฤหัส ผู้ใหญ่ ที่ชอบนั่งสมาธิ สงบนิ่ง สมถะ ใช้สติปัญญาและเหตุผล ไม่ใช้ชอบอารมณ์ ขืนอยู่ร่วมห้องกันหากเด็กไม่ต่อยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ต้องตีเด็กแน่ ดังนั้น จึงเป็นศัตรูอยู่โดยธรรมชาติ เพราะเป็นนิสัยสันดานที่แก้ไม่ได้ทั้งสองฝ่าย จึงถือเป็นคู่ศัตรู ทะเลาะกันแล้วก็เหนื่อย กำลังดาวก็ลดลง พลอยทำให้ความหมายเรือน และ ธาตุดาวตามธรรมชาติของมันถูกบั่นทอนไป แต่ความเป็นศัตรูนี้ ไม่จำเป็นต้องฆ่ากัน เพราะเป็นคู่ธาตุที่ช่วยกำลังธาตุแก่กัน ความสัมพันธ์โดยกำเนิดของมันก็ช่วยไว้ คล้ายกับพี่น้องหรือพวกเดียวกัน มีเลือดกรุ้ปเดียวกัน ทะเลาะขัดใจกันไม่ถึงกับตาย นี่ก็เป็นแค่เหตุผลเบื้องต้น เหตุผลลึกๆยังมีอีกหลายชั้น แต่ยังอธิบายให้ฟังไม่ได้

ดาวคู่อื่นๆ ก็มีเหตุผลของมันทั้งนั้น หากตำราไม่ได้สอนเอาไว้ ว่างๆก็ลองเอามาคิดดูเองก็ได้ จะได้เข้าใจโหราศาสตร์ไทยได้ดีขึ้น หัดคิดหลายๆแง่มุมให้มาก ไม่ใช่ท่องจำเอาเฉยๆ เหตุผลมันก็วนเวียนอยู่ในคำตอบข้างบนนี่แหละ

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 54 คุณนารี..........เกตุ มีธรรมชาติขยายเรื่องราวความหมายจากดาวอื่นให้แรงขึ้น หรือ ตัวมันเองก็มีความหมายในทาง เรื่องราวอดีตที่ล่วงเลยมานาน ในเมื่อเกตุกุมลัคน์ ก็ทำให้มีนิสัยมักชอบเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนั้น หากไม่ได้เกี่ยวข้องกับศุกร์ หรือ ดาวความรักใด ก็ไม่ได้ทำให้เกิดอะไรขึ้น บางคนให้ความเห็นว่าเกตุ เกี่ยวกับความรู้สึกทางเพศ แต่ก็เป็นเพียงความเห็นเท่านั้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว (ปกติไฟล์เซฟที่ ราว 300 kb up) ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 11....ครับ..........


วรกุล - 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 04:37น. (IP: 203.107.200.227)

ความคิดเห็นที่ 52
เรียนอาจารย์ วรกุล

ผมอยากทราบว่านักโหราศาสตร์ ใช้วิธืใดในการแยกดวงคู่แฝดหรือแฝดสามคนออกจากกัน ในขณะที่เวลาที่ใช้อยู่ไม่แน่นอนเพราะมีหลายหลักที่จะยึดถือบางเรือน บางสถานที่ก็คลาดเคลื่อนมากบ้างน้อยบ้างต่างๆกันไป


วีระศักดิ์ นักสิทธิ์ - 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 02:09น. (IP: 203.113.71.8)

ความคิดเห็นที่ 53
ผมอยากทราบวิธีหาชะตากาล ครับ


c - 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 14:33น. (IP: 124.121.112.117)