เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 11 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 10 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 11 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.200.227)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์อยู่มักจะหนีไม่พ้นมีคนมาปรึกษา เรื่องที่ดูนอกเหนือจากวิชาโหราศาสตร์อยู่บ่อยๆ เช่น ความฝัน โชคลาง เรื่องเสื้อผ้า สิ่งของตามโฉลกดวงชะตา ทำเลที่อยู่ รวมทั้งเรื่องประเพณีวัฒนธรรม และเรื่องทางไสยศาสตร์บางส่วน เพราะหากไม่มาถามหมอดู ก็ไม่รู้จะไปถามใคร ส่วนใหญ่หมอดูรุ่นเก่า มักจะเจอคำถามมามากแล้ว ต่างคนก็ต่างต้องหาความรู้ และวิธีปฏิบัติกันเองนอกตำรา เมื่อเร็วๆนี้ อ่านพบว่ามีคนออกมาด่าโทษหมอดูในหนังสือนิตยสารฉบับหนึ่ง ว่าไปดูให้เขา ถึงเรื่องในชาติปางก่อน แล้วไปแนะให้เขาทำบุญแก้ดวงแก้เคล็ด แก้แล้วไม่เห็นดีขึ้น อ่านแล้วก็เห็นใจทั้งสองฝ่าย ฝ่ายมาดูหมอนั้น อาจจะเข้าใจผิด จึงเชื่อ และตั้งความหวังเอาไว้มากเกินไป ส่วนฝ่ายหมอดู อาจจะหวังดีก็ได้ จึงแนะให้ทำบุญแก้ดวงไม่ดี หากไม่ได้เจตนาหลอกลวงเอาเงินเขา แม้จะแก้ดวงไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะช่วยให้กำลังใจดีขึ้น ไม่กลัดกลุ้มใจในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผลที่กลายเป็นโทษนั้น อาจเป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว

ความจริงเรื่องที่จั่วหัวไว้ในย่อหน้าแรกนั้น มีทฤษฎีโหราศาสตร์อยู่ แต่ไม่ใคร่จะมีตำราสอนโดยตรง อย่างวัฒนธรรมประเพณีของเราส่วนมาก ก็มักจะอิงโหราศาสตร์และความเชื่อทางไสยศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการปลูกเรือน ทำบุญ ทำขวัญ โกนจุก ขึ้นบ้านใหม่ ตลอดจนประเพณีเกี่ยวกับการตาย ประเพณีทางศาสนาของเรานั้น หากวิเคราะห์กันจริงๆ ก็ไม่ได้ตรงกับคำสอนในพระพุทธศาสนาอยู่มากมาย เพียงแต่อนุโลมกันไป เพราะเป็นไปในทางดี อาจจะสร้างศรัทธาในพุทธศาสนาเพิ่มขึ้น เช่น การบวช ทำขวัญนาค อะไรแบบนี้ จนทำให้บางคนเกิดอุปาทานว่า สิ่งเหล่านี้เป็นคำสอนในพุทธศาสนา ครั้นพอไปเห็น ศาสนิกที่เคร่งในประเทศอื่น เช่น ทิเบต จีน ศรีลังกา พม่า กลับไปนึกว่าพวกเขาทำอะไรนอกศาสนากมี เพราะไม่ตรงกับที่เราทำอยู่

เรื่องความฝันนั้น พวกเราบางคนก็เคยเรียนมาจากชั้นมัธยมแล้วว่า โบราณเชื่อว่า เกิดจาก บุรพนิมิต จิตนิวรณ์ เทพสังหรณ์ ธาตุโขพภะ เป็น 4 สาเหตุหลัก (หวังว่าคงสะกดไม่ผิด ) บุรพนิมิต คือ สิ่งแสดงเหตุล่วงหน้า เช่น ลางบอกเหตุนั่นเอง จิตนิวรณ์ หมายถึง จิตที่ฝักใฝ่ในเรื่องนั้นๆอยู่ ก็เลยเอาไปฝัน เทพสังหรณ์ หมายถึง เทวดา (หรือ จิตเหนือธรรมชาติ) ที่มาบอกให้ทราบเรื่องที่จะบังเกิดขึ้น ธาตุโขพภะ คือ เป็นธาตุในกายวิปริต หรือ ขาดสมดุลย์ นั่นเองทำให้เกิดฝันไป เรื่องทั้งสี่นี้ ทางวิทยาศาสตร์ยอมรับอยู่เพียง 2 อย่าง คือ จิตนิวรณ์ ว่าเป็น กระสวน(pattern) พฤติกรรมของสมอง คือ จิต (คนละ “จิต” กับที่เราเข้าใจ) และอารมณ์ กับ ธาตุโขพภะ นั้นเป็นจริง เพราะส่วนมากคนเรามักฝันเกิดจากธาตุไม่ปกติ จากหลายสาเหตุ ได้แก่ กินอาหารน้อยเกินไป ออกกำลังมากไป หรือ ฮอร์โมนบางอย่างไม่สมดุลย์ ทำให้เมตะบอลึซึ่มผิดปกติ ก็เลยฝัน(มักร้าย) หรือ ไม่ก็นอนท่าไม่ดี เลือดไม่ไปเลี้ยงร่างกายบางส่วนและสมอง ทำให้เป็นเหน็บ ปวดเมื่อย สมองเลยส่งสัญญาณเตือน ดังนั้น หมอดูก็ต้องระวังและมีความรู้เอาไว้ด้วยนะครับ จะทำให้แปลฝันได้แม่นขึ้น ไม่ดำน้ำ ดำดิน มากเกินไป จนถูกเขาว่าเอาได้

เทพสังหรณ์ เป็นได้ทั้งทางไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ครับ ทางโหราศาสตร์นั้น ไม่มี “เทพ” แต่หมายถึง ธาตุทางโหราศาสตร์นั่นเองที่มีความหมายกำลังแสดงผลในดวงชะตา (เป็นคนละเรื่องกับธาตุในกายใน ธาตุโขพภะ) ดาวทุกดาวที่มีปฏิกริยาต่อ ดวงชะตาแต่ละคนก็แสดงผลเป็นความฝันได้ ไม่จำเป็นต้องมีเกตุ มฤตยู อะไรแบบนั้น เพื่อให้มีความหมายเป็นวิญญาณหรือ เรื่องลึกลับ ดาวบางเรือน เช่น มรณะ วินาสน์ ทั้งเจ้าเรือน หรือ ไปอยู่เรือน อาจจะหมายถึง วิญญาณ ความตาย สิ่งที่ตายแล้ว ซึ่งจะเป็นเทพ หรือ ผี ก็ได้ ดังนั้น เมื่อดาวเหล่านี้มีความหมายในทางคุ้มครองป้องกัน หรือ มาให้โทษก็ตาม ก็มักตรงกับทางไสยศาสตร์ที่ว่ามีเทพ หรือ วิญญาณมาเกี่ยวข้อง คนที่มีความรู้ทางไสยศาสตร์จึงจะรู้ว่า เป็น “เทพ” จริงๆ หรือ โดยอิทธิพลทางธาตุ ไม่ทักมั่วๆนะครับ “เทพ” ที่เป็นเทวดาจริงๆ ไม่ค่อยมาพบว่ายุ่งเกี่ยวกับคน หรือ มาเข้าทรงยิ่งหายากมาก แทบจะไม่ได้พบเห็นกันทั่วไปเลย และที่เขาเชิญเทวดามาทำพิธีกันนั้น ส่วนใหญ่จะเชิญไม่ค่อยสำเร็จ ยกเว้นคนพิเศษที่มีความสามารถมากจริงๆ พูดไปเดี๋ยวก็เดือดร้อนเปล่าๆ ธาตุที่กำลังทำงานในดวงชะตานี้ มีพลังงานมาก ทำให้กระตุ้นพลังงานธาตุไปทั่วตามความสัมพันธ์ในดวงชะตา เมื่อกระตุ้นถึง อังคาร และพุธ ก็ ผลิตเป็นความฝันได้ ดังนั้น การอ่านความฝันจากดวงชะตาที่เกิดจากธาตุนี้ ก็แปลความหมายได้ว่าเป็นเรื่องอะไร ทำให้ทำนายทางโหราศาสตร์ได้เช่นกัน อย่างเช่นที่ชอบทำนายกันว่าฝันเห็นงู จะพบเนื้อคู่ ก็เพราะงู คือ เสาร์ เมื่อเสาร์มีกำลังแรงคือ เป็นอุจในราศีตุลย์ภพปัตนิโลก ก็หมายถึงคู่ครองนั่นเอง

บุรพนิมิต จะคล้ายกับเทพสังหรณ์ แต่เกิดจากพลังงานของโครงสร้างเหตุการณ์ในดวงชะตาที่กำลังเพิ่มทวีพลังงานขึ้น เรื่องนี้เคยเขียนไปแล้ว พวก “ลาง” ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น เป็นส่วนของเรื่องราวที่มาแสดงออกก่อน เพราะโครงสร้างเหตุการณ์ที่ยังไม่สมบุรณ์ หรือยังรอปัจจัยองคประกอบอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์จากโครงสร้างย่อยๆที่เชื่อมโยงกัน เรื่องนี้ หากยังไม่เข้าใจระบบธาตุจากดาวจรจะเข้าใจยาก อยากจะสมมุติเปรียบเทียบกับภาษาสมมุติว่า มีคำว่า “เครื่องมือ” ซึ่งจะเกิดจากคำว่า “เครื่อง” + “มือ” หาก สองคำนี้สัมพันธ์กันสำเร็จ จะกลายเป็น “เครืองมือ” แต่ ถ้า โครงสร้าง"มือ" นั้นสำเร็จก่อนและมีพลังงานพร้อม “มือ”จะแสดงออกก่อน และหากแสดงออกเป็นความฝัน ก็จะฝัน เห็น “มือ” ล่วงหน้าได้ ในจำนวน “ลาง” ที่เกิดจากโครงสร้างย่อยๆที่มาแสดงก่อนนี้ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องเป็นเรื่องเดียวกับโครงสร้างเหตุการณ์ใหญ่ หรือ อาจจะเป็นเรื่องเดียวกันก็ได้ อย่างเช่น บางคนมีลางสังหรณ์ เมื่อกระจกตกลงมาแตก กับ อุบัติเหตุจริงที่มีการแตกหักของร่างกาย เพราะมีเรื่องการแตกหักที่มาแสดงก่อน นี่เป็นลางที่เหมือนเรื่องจริง หรือ บางทีพบว่ามีนกสีขาวมาบินวนอยู่ตรงหน้าขณะออกจากบ้าน อาจจะกลายเป็นได้โชคเพราะได้เลื่อนตำแหน่งก็มี อย่างหลังนี้เป็นลางที่เกิดจากการเปลี่ยนความหมายของเหตุการณ์

เรื่องโชคลางบางอย่าง ที่คนสมัยก่อนเชื่อหรือสังเกตเห็น อาจจะไม่มีใครรู้เหตุผล เพียงแต่มักพบว่าเป็นจริงเท่านั้น หากเราเอาใจใส่บางเรื่องบางอย่างก็อาจจะเข้าใจได้ และเหตุผลของเรื่องนั้น บางครั้งก็ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล สามารถอธิบายได้ทางโหราศาสตร์หรือ วิทยาศาสตร์ด้วยซ้ำไป หากมีจังหวะดีๆ จะเล่าเรื่องนี้ต่อในคราวหลัง


วรกุล - 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 04:40น. (IP: 203.107.200.227)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน อาจารย์วรกุลที่เคารพ

ที่ว่า ดาวทุกดาวที่มีปฏิกริยาต่อดวงชะตาแต่ละคน และก็แสดงผลเป็นความฝันได้ แปลว่าเราสามารถตั้งดวง ณ เวลานั้นขึ้น แล้วตีความหมายของความฝัน จากดาวและเรือนในดวงนั้นได้ ใช่ไหมคะ

นับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 9 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 18:28น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบ 2 คุณสุธาวาส...........คำว่า “แสดงผลได้” นั้นเมื่อเหมาะสมและถูกที่เท่านั้น ปฏิกริยาที่เกิดกับดวงชะตา และผลที่จะมีต่อเรานั้นดูยาก การที่จะเกิดเป็นความฝัน เรื่องราวที่เกิดขึ้นจะต้องมีจังหวะพอดี และยังต้องกระทบธาตุที่ทำให้เกิดฝันได้ด้วย คล้ายๆกับ มีเชื้อไข้หวัดที่ลอยไปลอยมาอยู่ในอากาศ ถ้าเราไม่ได้หายใจเข้าไปอยู่ในจมูกหรือ คอ หรือ เข้าไปแล้วแต่ถ้าสภาพมันไม่เหมาะ หรือ ภูมิต้านทานร่างกายเรามันมากำจัดเสียก่อน ก็ไม่เป็นหวัด มีหลายชั้น ทุกวันนี้เราจะเห็นว่า มีดาวจรมากระทบดวงชะตาเดิมของเราตลอดเวลา หากดาวจรมีปฏิกิริยาต่อดวงชะตาได้พอดี แต่จะมีต่อส่วนไหน ลักษณะใด เช่นบางครั้ง เราอาจจะรู้สึกหงุดหงิดชั่วครู่แล้วก็หาย แต่ถ้าเกิดกับสมองขณะเราหลับฝันก็เป็นความฝันได้ การผูกดวงแล้วทำนาย โดยทฤษฎีก็สามารถทำได้ อย่างที่ใช้ใน ดวงกาลชะตา แต่เรื่องมันไม่ได้มีเรื่องเดียว ดวงที่ผูกอาจจะไม่สื่อความหมายถึงความฝัน การแปลความหมายจึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ “ความฝัน” จึงอาจจะเป็นเพียงความทรงจำของสมองเท่านั้น ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดจากปฏิกิริยาของดวงชะตาโดยตรง


วรกุล - 11 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 04:33น. (IP: 203.107.192.249)

ความคิดเห็นที่ 35
ตอบ 34 คุณสมบัติ...........เวลารู้สึกตัวได้สติคืนมา จะเอาสติไปใว้ที่การเคลือนใหวของกาย(ลมหายใจ) หรือ จะระลึกรู้อยู่กับปัจจุบัน(ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม) อันไหนจะดีกว่ากัน. อันนี้อยู่ที่เราจะทำอะไรครับ สำหรับคุณหากปฏิบัติ ควบคุมสติ แนวทางหลวงพ่อเทียน ควรตั้งสติปานกลางอยู่กับตัว ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ โดยไม่ควบคุมหรือวิ่งตาม จะดีกว่า ขอให้มองเฉยอยู่ เหมือนมองธรรมชาติอย่างหนึ่งที่เป็นอิสระ เห็นบ้างไม่เห็นบ้างก็ช่างมัน เพื่อให้จิตวางอารมณ์เข้าสู่สมาธิสูงขึ้นไป ส่วน ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้น เป็นฐานสำคัญที่เราจะต้องมีอยู่แล้ว เป็นเหมือนแบ็คกราวน์ที่จะทำให้สติควบคุมองค์ภาวนาดียิ่งขึ้น ตามปกติเมื่อร่างกายสงบ จิตไม่มีอะไรทำ จิตมันก็จะสนใจอะไรที่เคลื่อนไหว วิ่งไปวิ่งมาแถวนั้น เหมือนเด็กๆแหละครับ หากเราเอาตู้กตาไขลานมาเดินแถวนั้น แกก็จะมองตาม ถ้าเราเพียงแต่รู้ว่ามีอะไรมาวิ่งเฉยๆอยู่อย่าไปสนใจ จิตจะดิ่งเข้าสมาธิเอง ที่บอกวิธีให้คุณมานั้นไม่ได้ให้ทำเพียง 2 – 3 วันได้ครับ ทำ 2 – 3 ปีได้ก็ไม่เป็นไร แต่เราจะพัฒนาทักษะความชำนาญไปได้เรื่อยๆ การที่อ่านสิ่งที่ผู้อื่นเขียน จะไม่เหมือนที่ตนเองทำ เพราะจิตและกายคนเราไม่เหมือนกันเลยสักคนหนึ่ง ดังนั้น อย่าไปบังคับว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เหมือนคนอื่นด้วยเสมอไป หากไม่เหมือนแล้วคงจะผิด แต่ควรมีไหวพริบ หัดสังเกต คิดทางแก้สำหรับตนเอง อาจจะต้องลองผิดลองถูก แล้วไปถามอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติดีๆ บางทีจะมีคำตอบให้เหมาะสมกว่า เพราะการปฏิบัติของแต่ละคน ต้องแก้เฉพาะตัวจริงๆ ประสบการณ์ในการเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานของผมไม่มี ที่ผมเล่ามา เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้นเอง

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 35 คุณ วัชระ............ขอบคุณครับที่กรุณาบอก บังเอิญผมมีเวลาไม่มาก เลยไม่ได้ไปอ่านละเอียดครับ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณที่มีต่อผู้อื่นด้วย


วรกุล - 2 ธันวาคม พ.ศ.2548 05:10น. (IP: 203.107.192.214)

ความคิดเห็นที่ 36
สมัยนี้ เวลาเราอ่านหนังสือ หรือ ดูหนังจากทีวี วิดิโอ เรามักจะเห็นเรื่องต่างๆที่แสดงอยู่นั้นชัดเจนเท่ากันตลอดเรื่อง ต่างกับทีวิสมัยเมื่อ สัก 50 ปีก่อนหน้านั้น มักจะมีปุ่มปรับภาพชัด ภาพเบี้ยว ภาพล้ม ไว้ตรงด้านหน้าด้วย ซึ่งคนสมัยนี้ไม่เคยเห็นกันแล้ว ใครไม่เชื่อก็ไปถามคุณตาคุณยายดู พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์ แต่ประสบการณ์ยังน้อย เวลาดูดวงชะตามักจะคิดเรื่องต่างๆเสมอเท่ากัน อย่างเช่น เวลาเราอ่านเรื่องกดุมภะ สมบัติ เราก็อ่านเป็น อ่านเรื่องปัตนิ คู่ครองเราก็อ่านเป็น และก็ใช้หลักการอ่านเหมือนๆกัน แต่การอ่านดวงชะตา เมื่ออ่านๆไปเราก็จะพบว่า บางเรื่องก็ชัดเจนมาก แต่บางเรื่องไม่ชัดเจน กลายเป็นภาพล้ม ภาพเบี้ยว ทำนายไม่ออกก็มี นี่เพราะเกิดจากข้อเท็จจริงของดวงชะตาประการหนึ่ง คือ ดวงชะตาทางโหราศาสตร์มักจะมีเรื่องเด่นไม่ชัดเจนเท่ากันตลอดทุกเรื่อง เช่น หากเราทำนายเรื่องการเงินสมบัติถูก 100% แต่เรื่องคู่ครองเราอาจทำนายได้เพียง 50% ทั้งๆที่เป็นดวงชะตาคนคนเดียวกัน และใช้ความชำนาญกับ หลักวิชาเดียวกัน นี่เองทำให้หมอดูทำนายได้แม่นบ้าง ไม่แม่นบ้าง แตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล(ที่มาให้ดู) ด้วย

เคยอ่านเรื่องซึ่งมีผู้เล่าว่า ไปหาหมอดูแม่นๆซึ่งทำนายเรื่องธุรกิจมาให้ 4 เรื่อง ปรากฏว่าเรื่องแรก ถูกอย่างจังไม่ทันตั้งตัว ยังคิดว่าฟลู้คไป มาถึงเรื่องที่สอง ไม่ทันระวังก็ถูกอีก เลยไม่ได้กำไร เลยชักเชื่อว่าแม่น เรื่องที่สามกำลังจะมาถึงจึงลงทุนไปอย่างขนานใหญ่ ถึงวันเวลาที่ทำนายไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ขาดทุนยับ ก็ยังคิดว่า อาจจะมีพลาดไปบ้าง พอเรื่องที่สี่ก็ลงทุนใหญ่อีกเพราะเชื่อว่าแม่นมาก ปรากฏว่าไม่ได้เรื่องอีก รวมแล้วทั้งสี่เรื่องเจ๊งแทบหมดตัวเพราะสองครั้งแรกที่แม่น ไม่ได้เชื่อเลยไม่ได้อะไรมา คนดูและหมอดูจึงมีประสบการณ์ในทำนองนี้เสมอ หมอดูก็ถูกเขาแช่งชักหักกระดูกมามากมายแล้ว ใครไม่มีบุญคุ้ม เทวดารักษา ถูกเขาแช่งมากๆเพราะเจ็บใจ ก็เดือดร้อนไปได้เหมือนกัน

เหตุที่มีภาพล้ม ภาพเบี้ยวในดวงชะตานั้น หากว่าไม่ได้เกิดจากความสามารถของหมอดู ก็เกิดจากธรรมชาตินี่เอง คือ รูปแบบของเรือนสัมพันธ์ (หรือ บางหมอดูเรียกว่า รูปดวง ซึ่งคำนี้โหลมาก) รูปแบบเรือนสัมพันธ์คือความสัมพันธ์ระหว่างดาวและเรือนที่อ่านเป็นชุดหนึ่งๆ เรารู้กันมาอยู่แล้วว่า ในดวงชะตาดวงหนึ่งๆ อาจจะมีรูปแบบเช่น หนึ่ง เป็นธรรมชาติที่เป็นสายเดียวกันโดดๆแล้วแบ่งแยกเป็นแขนงย่อย หรือ สอง เป็นหลายแขนงย่อยหลายแขนงก่อน แล้วมารวมกัน หรือ สาม อาจจะเป็นเรือนสัมพันธ์ที่(ดูเหมือน)แยกจากกันอิสระเป็นหลายสายก็ได้ ยกตัวอย่างสมมุติว่า ดวงชะตาหนึ่งมีลัคนาอยู่ราศีเมษ ๓ อยู่ธนู ๕อยู่กุมภ์ ๘อยู่มีน กระแสเรือนสัมพันธ์ คือ ลั – ๓ – ๕ - ๘ ตนุ ศุภะ ลาภะ วินาสน์ เป็นสายหนึ่ง ๖ อยู่กันย์ ๔ อยู่สิงห์ ๑๒ อยู่กรกฏ ๖ – ๔ – ๑๒ เป็นอีกสายหนึ่ง สองสายนี้ถือว่าแยกจากกัน แต่ถ้าหาก ๒ นั้นไม่ได้อยู่กรกฏ แต่ไปอยู่ที่มีนร่วมกับ ๘ ก็จะเห็นว่า สองสายนี้ร่วมกันอยู่ที่จุดเดียวกัน ลักษณะเหล่านี้จะแตกต่างกันหลายรูปแบบในดวงชะตา ซึ่งมีผลต่อการทำนายดาวและเรือน ดังนั้น หากแต่ละสายแยกกันอยู่ การที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นจริงชัดเจนในสายหนึ่ง อีกสายหนึ่งอาจจะไม่เกิดเหตุขึ้นเลยก็ได้ การที่แบ่งให้ดูเป็น 3 แบบนั้นเพื่อให้ง่ายเข้าเท่านั้น แต่ตามความเป็นจริงรูปแบบของดาวและเรือนยังอาจจะมีอีกเป็นจำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องจำกัดอยู่เฉพาะที่ยกมา

กรณีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นก่อนตามจุดแยกในแขนงย่อยๆ เหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดตามมาอาจจะไปไม่ถึงอีกแขนงหนึ่งเลย แต่ถ้าเหตุการณ์เกิดขึ้นตามจุดร่วม อาจจะเกิดเหตุการณ์ลามไปได้ในทุกสายที่ต่อเชื่อมกันกลายเป็นเรื่องขึ้นมาได้หมด เช่น บางคนเมื่อแต่งงาน หากการแต่งงานนั้นเป็นจุดร่วม วิถีชีวิตของเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเกือบทุกเรื่อง เช่น มีเงิน ย้ายบ้าน ได้งานใหม่ ได้มรดก ถูกล้อตเตอรี่ อะไรแบบนี้ และเมื่อเกิดเหตุไม่ดีก็เกิดขึ้นกับทุกเรื่องเหมือนกัน แต่ถ้ารูปแบบ เป็นหลายสายแยกจากกัน บางคนแต่งงานแล้วก็เหมือนเดิม ชีวิตไม่มีความเปลี่ยนแปลงเลย เราจะพบเห็นเช่นนี้บ่อยมาก ดังนั้น อาจารย์ส่วนมากมักจะสอนให้นักเรียนที่เริ่มเข้าจับการทำนายแล้ว ให้วิเคราะห์ดูรูปดวงก่อนที่จะทำนาย

การเกิดเหตุที่ทำนายได้ไม่แม่นนั้น จะมาจากหลายสาเหตุด้วยเหมือนกัน สาเหตุหนึ่ง คือการที่มีจุดร่วมมากเกินไป เกิดจากการที่มีดาวชุมนุมอยู่ในราศีหลายดวง ธรรมดาดาวที่ชุมนุมอยู่ด้วยกัน ในจุดร่วมมีมาก ทำให้หมอดูที่ไม่ชำนาญไม่รู้ว่า เรื่องราวจะแยกไปทางสายไหน จะสังเกตว่าเวลาเราอ่านเรือนสัมพันธ์จากดาวในดวงเดิม เช่นสมมุติ ถ้าหากมีดาวชุมนุมกัน สัก 7 – 8 ดวงในราศีเดียว เรือนจะสัมพันธ์ชุลมุนชุลเกไปหมด ไม่รู้จะผสมภพกระทบดาวอย่างไร เรือนทั้งหมด 12 เรือนและดาว 12 ดวง มาเทรวมกันเป็นกระปุก ครั้นพออ่านดวงจร ก็ทำนายยากว่า เรื่องจะไปโผล่ที่ตรงไหน หรือ หากทำนายง่าย ก็คือ ทายครอบจักรวาล ก็ไม่รู้ว่าจะถูกหรือไม่ ในอีกทางหนึ่ง หากรูปดวงแยกกันเป็นหลายสาย ก็ทายง่าย แต่มักจะพบความไม่สอดคล้องต้องกันในแต่ละสายทีเดียว เช่น เรือนสัมพันธ์สายหนึ่ง มีโชคถูกล้อตเตอรี่ แล้วได้รถเก๋ง แต่อีกสายหนึ่ง สอบตก แฟนตาย แม่ยายป่วย ทั้งสองเรื่องไม่สอดคล้องกัน การดูวงจรธรรมชาติประเภทอื่น เช่น มหาทักษา เลข 7 ตัว และ ดาวเสวยอายุจะทำนายยาก ว่าปีนี้ทำนายว่าจะดี หรือ จะซวยกันแน่ หมอดูที่เก่งๆ จะรู้วิธีแยกแยะเรือนสัมพันธ์ จึงไม่มั่วเหมือนคนที่ไม่รู้


วรกุล - 2 ธันวาคม พ.ศ.2548 05:12น. (IP: 203.107.192.214)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียน อาจารย์วรกุล

ขอบพระคุณท่านอาจารย์มากค่ะ ที่ให้ความรู้ ทางด้านธรรมะในเรื่องการเฝ้าดูจิตตัวเอง ดิฉันเริ่มสนใจเรื่องของธรรมะมากขึ้นทุกขณะ เริ่มอ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ อาจารย์จะลำบากใจไหมคะถ้าจะกรุณาแนะนำหนังสือธรรมะที่อ่านแล้วให้อะไรทางใจที่ทำให้ลด โลภะ โมหะ โทสะ ลง ดิฉันรู้ตัวว่ามีความกังวลในเรื่องกลัวรถหาย เวลาไปศูนย์การค้าซื้อของไม่ค่อยมีความสุข บางครั้งอยากนั่งแท๊กซี่ก็ไม่สะดวก แต่เรื่องโลภไม่มี ไม่อยากได้อะไรที่เกินไปกว่าความจำเป็นที่จะใช้ในชีวิตประจำวัน โทสะนี่พอจะโกธรจะเริ่มระงับได้คงเพราะเริ่มแก่

และมีปัญหาทางโหราศาสตร์ขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยค่ะ

การดูดวงชาวต่างประเทศนั้นเรื่องเวลาเกิดจะทำอย่างไรดีดวงนี้ เป็นเพศชายเกิดวันที่ 3 กรกฎาคม ปี 2517 เวลา 20.00 (สองทุ่ม)ที่ เมืองบอสตัน สหรัฐอเมริกา ต้องเทียบเวลาเกิดไหมคะ ดิฉันเข้าไปเทียบในเว๊บหนึ่งได้เวลาออกมาเป็นเช้า เวลา 07.03 แล้ววันละคะอาจารย์ คงยังเป็นวันพุธ เป็นเช้าวันพุธ ผูกดวงออกมาได้เป็นลัคนาราศีกรกฏกุมดาวอังคาร ราศีมิถุนมีดาว 1 4 7 ราศีพฤษกมีดาว 6 ราศีตุลย์มีดาว 0 อยู่ พิจิก ดาว 8 ธนู 9 และ 2 กุมภ์ มีดาว 5 อยากเรียนถามอาจารย์ว่าดิฉันจัดการวางลัคนาดวงนี้ถูกไหม ดวงนี้มีอาชีพเป็นนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ กึ่งวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ วิจัยพวกสเต็มเซลล์

ขอบคุณมากค่ะ


ทิพย์(แก่) - 3 ธันวาคม พ.ศ.2548 21:17น. (IP: 58.136.207.1)

ความคิดเห็นที่ 38
สวัสดีครับ อาจารย์ วรกุล

"ระลึกรู้อยู่กับลมหายใจ โดยไม่ควบคุมหรือวิ่งตาม " อันนี้ครับที่ผมต้องฝึกให้มากสร้างตัวระลึกรู้ให้มาก

"ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมนั้น เป็นฐานสำคัญที่เราจะต้องมีอยู่แล้ว เป็นเหมือนแบ็คกราวน์ที่จะทำให้สติควบคุมองค์ภาวนาดียิ่งขึ้น"อันนี้ทำได้เป็นส่วนมาก(๗๐-๘๐ เปอร์เซนต์) เหมือนกับผิวหนังทาด้วยแอลกอฮอตลอดเวลาครับ

"การที่อ่านสิ่งที่ผู้อื่นเขียน จะไม่เหมือนที่ตนเองทำ เพราะจิตและกายคนเราไม่เหมือนกันเลยสักคนหนึ่ง" ใช่ครับ พยายามหาอ่านในลานธรรมไม่มีใครอธิบายได้ละเอืยดตรงเหมือนอาจารย์ครับ จึงตามมารบกวนที่นี่

ขอโทษท่านผู้อ่านทุกๆท่านและอาจารย์ด้วยครับ ที่เขียนถามนอกเรื่อง ที่ไม่เกื่ยวกับโหราศาสตร์

ขอกราบขอพระคุณอาจารย์ครับ


สมบัติ - 4 ธันวาคม พ.ศ.2548 03:19น. (IP: 24.15.242.44)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบ 39 คุณสมบัติ...........ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทำอ่อนๆ ร่างกายจะไม่เครียด ถามเรื่องธรรมะก็เกี่ยวกับโหราศาสตร์ครับ เพราะโหราศาสตร์ก็มองธรรมชาติและชีวิต ไม่ใช่เพื่อการพยากรณ์ การพยากรณ์เป็นเพียงการใช้ประโยชน์เพียงน้อยนิดของโหราศาสตร์เท่านั้นเอง แต่เหตุที่ผมไม่อยากเปิดกระทู้ทางธรรมะก็เพราะประสบการณ์ต่างๆในอดีตยังคอยเป็นบทเรียนเตือนอยู่ การพูดถึงธรรมะนั้น ใครๆก็พูดได้ นักธรรมบางคนสอนธรรมะขั้นสูงโดยไม่ได้ปฏิบัติ หรือได้ผลทางปฏิบัติ(ปฏิเวธ) เลย เวลาใครถามก็ตอบตามพระสูตรบ้าง พระอภิธรรมบ้าง เถียงกันมามากมายแล้วก่อนที่จะใช้อินเตอร์เน็ทกันเสียอีก ใครจะมาชี้ผิดก็ไม่ได้ ก็เขาลอกมาตามตัวหนังสือ จะว่าผิดได้อย่างไร การที่คนที่ศึกษามามาก ก็เต็มไปด้วยกิเลส ใครมาพูดอะไรผิดหูเป็นไม่ได้

สมัยที่ อาจารย์ธรรมะของผมยังอยู่ ท่านไม่ได้สอนเนื้อความที่เป็นปริยัติให้ก่อนเลย แต่ ท่านจะชี้เหตุผลการปฏิบัติให้ไปสังเกตเอง เมื่อมีประสบการณ์ปฏิเวธเข้าใจจริงแล้ว จึงจะเอาปริยัติมาให้ดู เป็นวิธีที่แปลกดี แต่วิธีเช่นนี้มักจะเป็นของพระป่า ที่สอนกันในหมู่ผู้ที่ปฏิบัติจริง ไม่เหมือนการเรียนกันในสถาบันที่หวังเปรียญธรรมปริญญา

ปริยัติ (คำสอนที่รู้จริง) ปฏิบัติ (การกระทำที่ถูกจริง) และ ปฏิเวธ (ความเข้าใจที่เป็นผลจริง) นั้น สำคัญทั้งหมด หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แม้คำจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองแท้ๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่ผิด (ในจิตเรา) หรือ หากแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาตรัสแก่เราเองต่อหน้าเราเดี๋ยวนี้ ธรรมวาทีเหล่านั้นก็ชี้ได้ว่าผิด การกราบไหว้พระพุทธรูป หรือ หันหลังให้พระพุทธรูปก็จะมีคุณค่าสำหรับผู้นั้นเท่ากัน เหตุที่ผิดเพราะ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ก็ต้องเกื้อกุลปริยัติ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป พระไตรปิฎกก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลยต่อผู้นั้น อย่าว่าแต่ คำสอนธรรมะในเว็บ ที่มีอยู่มากมาย หรืออยู่ในหนังสือ ที่มีมากเท่าใด แม้ผู้แต่งมีความรู้อีกสิบปริญญาเอก ร้อยเปรียญธรรม ก็ไม่มีคุณค่ามากไปกว่าการปฏิบัติแล้วได้เห็นจิตตนเองเพียงแค่ชั่วขณะเดียว

000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 38 คุณทิพย์.............คำตอบคุณเอามาไว้หลังคำตอบของคุณสมบัติ เพราะอยากจะบอกว่าไม่มีหนังสือใดที่ทำให้เราละความโลภโกรธหลงลงได้ นอกจากการพิจารณาดูชีวิตอย่างตรงไปตรงมา หากเรามีสติไม่หลงตามอารมณ์ไป หมั่น ทำทาน รักษาศีล ภาวนาให้เกิดผล เมื่ออ่านหนังสือเล่มใดๆ แม้บทสวดมนต์ธรรมดา ก็ทำให้เราละโลภ โกรธ หลง ลงได้ทั้งนั้น หนังสือที่ดีๆ ไม่จำเป็นที่คนอ่านจะต้องนิยมชมชอบ เพราะแง่มุมในการมอง หรือสำนวนเขียนที่จับใจคนอ่าน (ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่) อย่างที่มีคนโปรโมทกันในสังคมทุกวันนี้ แต่เทศนาของทุกท่านที่ผ่านการปฏิบัติจริงมานานแล้ว ล้วนแต่มีประโยชน์ เท่าที่เคยเห็นพอจะซื้ออ่านได้ก็มีหลายเล่ม ของโรงพิมพ์มหามงกุฏ แถวหน้าวัดบวร (ไม่รู้ยังอยู่หรือไม่) หรือ ตามวัดต่างๆมักจะมีห้องสมุด ที่เขาแจกกันก็มีมาก ตามเว็บต่างๆก็มี แม้ข้อความจะสั้น แต่ก็เป็นข้อความที่มาจากการปฏิบัติจริงๆ ส่วนของท่านพุทธทาส ไม่อยากจะแนะนำให้อ่าน เพราะหากคิดไม่เป็น ก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นความวุ่นวายใจไปเปล่าๆ หลงว่าตัวเองรู้แล้ว ไว้จิตใจมั่นคงมากขึ้น แล้วกลับมาอ่านความเห็นของท่าน จะกลับกลายเป็นคุณประโยชน์มากในการปฏิบัติ

สมัยที่ อาจารย์ธรรมะของผมยังอยู่ ท่านไม่ได้สอนเนื้อความที่เป็นปริยัติให้ก่อนเลย แต่ ท่านจะชี้เหตุผลการปฏิบัติให้ไปสังเกตเอง เมื่อมีประสบการณ์ปฏิเวธเข้าใจจริงแล้ว จึงจะยกเอาปริยัติมาให้ดู เป็นวิธีที่แปลกดี ความสำคัญเริ่มแรกจึงอยู่ที่การลองปฏิบัติ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องนี่แหละดีนัก เมื่อติดปัญหา (แน่นอน)ไม่เข้าใจ เวลาไปอ่านหนังสือ จะกลั่นกรองได้เองว่า ใครสอนดี หรือ ไม่ดี แก้ปัญหาให้เราได้ไหม ไม่หลงเฟ้อตามไป เวลาเลือกหนังสือให้ดูว่า มีคำอธิบายปัญหาการปฏิบัติบ้างไหม อธิบายโดยปริยาย หรือ อธิบายให้ปฏิบัติเป็น หากอธิบายโดยปริยาย ยกทฤษฎีขึ้นมาว่า หนาเป็นศอก หนังสือนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนนับแสน นับล้าน เรียนมาแล้วก็ตายเน่าไปเปล่าๆเป็นจำนวนมากมายแล้ว มิสู้ไม่รู้อะไรก็เหมือนกัน หนังสือใดอ่านได้สั้นๆแต่สอนให้ปฏิบัติเป็นจะดีกว่า ลองคิดดูว่า หากเราเรียนหนังสือธรรมะตั้งแต่ขั้นอนุบาลจนจบปริญญา ตายไปแล้วหากไปเกิดก็ต้องไปเริ่มเรียนอนุบาลใหม่เพราะความรู้นั้นไม่ได้ติดตัวไปด้วยเลย แต่หากเราปฏิบัติธรรมตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตายไปแล้วเกิดใหม่ จิตของเราก็ยังอยู่ในระดับสูง ไม่ต้องสอบใหม่

ความกังวลอะไร ก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ให้รู้จิตตัวเองว่ากังวลอยู่ ไม่ต้องไประงับขจัดกังวล หาวิธีล้อครถตัวเองทางแม็คคานิคส์สัก 2 – 3 ชั้น ก็พอจะแก้ไขได้ เมื่อกังวลนั้นหมดไป ก็ให้รู้ว่ากังวลนั้นหมดไป ต่อไปความกังวลใหม่จะจางลงไปเอง เพราะเมื่อเรากำหนดรู้อารมณ์ของจิตอยู่ จิตจะดูจิต จิตจะวางอารมณ์เอง ด้วยปัญญา


วรกุล - 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:52น. (IP: 203.107.200.59)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบ 39 คุณสมบัติ...........ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทำอ่อนๆ ร่างกายจะไม่เครียด ถามเรื่องธรรมะก็เกี่ยวกับโหราศาสตร์ครับ เพราะโหราศาสตร์ก็มองธรรมชาติและชีวิต ไม่ใช่เพื่อการพยากรณ์ การพยากรณ์เป็นเพียงการใช้ประโยชน์เพียงน้อยนิดของโหราศาสตร์เท่านั้นเอง แต่เหตุที่ผมไม่อยากเปิดกระทู้ทางธรรมะก็เพราะประสบการณ์ต่างๆในอดีตยังคอยเป็นบทเรียนเตือนอยู่ การพูดถึงธรรมะนั้น ใครๆก็พูดได้ นักธรรมบางคนสอนธรรมะขั้นสูงโดยไม่ได้ปฏิบัติ หรือได้ผลทางปฏิบัติ(ปฏิเวธ) เลย เวลาใครถามก็ตอบตามพระสูตรบ้าง พระอภิธรรมบ้าง เถียงกันมามากมายแล้วก่อนที่จะใช้อินเตอร์เน็ทกันเสียอีก ใครจะมาชี้ผิดก็ไม่ได้ ก็เขาลอกมาตามตัวหนังสือ จะว่าผิดได้อย่างไร การที่คนที่ศึกษามามาก ก็เต็มไปด้วยกิเลส ใครมาพูดอะไรผิดหูเป็นไม่ได้

สมัยที่ อาจารย์ธรรมะของผมยังอยู่ ท่านไม่ได้สอนเนื้อความที่เป็นปริยัติให้ก่อนเลย แต่ ท่านจะชี้เหตุผลการปฏิบัติให้ไปสังเกตเอง เมื่อมีประสบการณ์ปฏิเวธเข้าใจจริงแล้ว จึงจะเอาปริยัติมาให้ดู เป็นวิธีที่แปลกดี แต่วิธีเช่นนี้มักจะเป็นของพระป่า ที่สอนกันในหมู่ผู้ที่ปฏิบัติจริง ไม่เหมือนการเรียนกันในสถาบันที่หวังเปรียญธรรมปริญญา

ปริยัติ (คำสอนที่รู้จริง) ปฏิบัติ (การกระทำที่ถูกจริง) และ ปฏิเวธ (ความเข้าใจที่เป็นผลจริง) นั้น สำคัญทั้งหมด หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป แม้คำจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าเองแท้ๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่ผิด (ในจิตเรา) หรือ หากแม้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จมาตรัสแก่เราเองต่อหน้าเราเดี๋ยวนี้ ธรรมวาทีเหล่านั้นก็ชี้ได้ว่าผิด การกราบไหว้พระพุทธรูป หรือ หันหลังให้พระพุทธรูปก็จะมีคุณค่าสำหรับผู้นั้นเท่ากัน เหตุที่ผิดเพราะ ปฏิบัติ และปฏิเวธ ก็ต้องเกื้อกุลปริยัติ หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป พระไตรปิฎกก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลยต่อผู้นั้น อย่าว่าแต่ คำสอนธรรมะในเว็บ ที่มีอยู่มากมาย หรืออยู่ในหนังสือ ที่มีมากเท่าใด แม้ผู้แต่งมีความรู้อีกสิบปริญญาเอก ร้อยเปรียญธรรม ก็ไม่มีคุณค่ามากไปกว่าการปฏิบัติแล้วได้เห็นจิตตนเองเพียงแค่ชั่วขณะเดียว

000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 38 คุณทิพย์.............คำตอบคุณเอามาไว้หลังคำตอบของคุณสมบัติ เพราะอยากจะบอกว่าไม่มีหนังสือใดที่ทำให้เราละความโลภโกรธหลงลงได้ นอกจากการพิจารณาดูชีวิตอย่างตรงไปตรงมา หากเรามีสติไม่หลงตามอารมณ์ไป หมั่น ทำทาน รักษาศีล ภาวนาให้เกิดผล เมื่ออ่านหนังสือเล่มใดๆ แม้บทสวดมนต์ธรรมดา ก็ทำให้เราละโลภ โกรธ หลง ลงได้ทั้งนั้น หนังสือที่ดีๆ ไม่จำเป็นที่คนอ่านจะต้องนิยมชมชอบ เพราะแง่มุมในการมอง หรือสำนวนเขียนที่จับใจคนอ่าน (ที่ยังมีกิเลสหนาอยู่) อย่างที่มีคนโปรโมทกันในสังคมทุกวันนี้ แต่เทศนาของทุกท่านที่ผ่านการปฏิบัติจริงมานานแล้ว ล้วนแต่มีประโยชน์ เท่าที่เคยเห็นพอจะซื้ออ่านได้ก็มีหลายเล่ม ของโรงพิมพ์มหามงกุฏ แถวหน้าวัดบวร (ไม่รู้ยังอยู่หรือไม่) หรือ ตามวัดต่างๆมักจะมีห้องสมุด ที่เขาแจกกันก็มีมาก ตามเว็บต่างๆก็มี แม้ข้อความจะสั้น แต่ก็เป็นข้อความที่มาจากการปฏิบัติจริงๆ ส่วนของท่านพุทธทาส ไม่อยากจะแนะนำให้อ่าน เพราะหากคิดไม่เป็น ก็ไม่เข้าใจ กลายเป็นความวุ่นวายใจไปเปล่าๆ หลงว่าตัวเองรู้แล้ว ไว้จิตใจมั่นคงมากขึ้น แล้วกลับมาอ่านความเห็นของท่าน จะกลับกลายเป็นคุณประโยชน์มากในการปฏิบัติ

สมัยที่ อาจารย์ธรรมะของผมยังอยู่ ท่านไม่ได้สอนเนื้อความที่เป็นปริยัติให้ก่อนเลย แต่ ท่านจะชี้เหตุผลการปฏิบัติให้ไปสังเกตเอง เมื่อมีประสบการณ์ปฏิเวธเข้าใจจริงแล้ว จึงจะยกเอาปริยัติมาให้ดู เป็นวิธีที่แปลกดี ความสำคัญเริ่มแรกจึงอยู่ที่การลองปฏิบัติ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องนี่แหละดีนัก เมื่อติดปัญหา (แน่นอน)ไม่เข้าใจ เวลาไปอ่านหนังสือ จะกลั่นกรองได้เองว่า ใครสอนดี หรือ ไม่ดี แก้ปัญหาให้เราได้ไหม ไม่หลงเฟ้อตามไป เวลาเลือกหนังสือให้ดูว่า มีคำอธิบายปัญหาการปฏิบัติบ้างไหม อธิบายโดยปริยาย หรือ อธิบายให้ปฏิบัติเป็น หากอธิบายโดยปริยาย ยกทฤษฎีขึ้นมาว่า หนาเป็นศอก หนังสือนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คนนับแสน นับล้าน เรียนมาแล้วก็ตายเน่าไปเปล่าๆเป็นจำนวนมากมายแล้ว มิสู้ไม่รู้อะไรก็เหมือนกัน หนังสือใดอ่านได้สั้นๆแต่สอนให้ปฏิบัติเป็นจะดีกว่า ลองคิดดูว่า หากเราเรียนหนังสือธรรมะตั้งแต่ขั้นอนุบาลจนจบปริญญา ตายไปแล้วหากไปเกิดก็ต้องไปเริ่มเรียนอนุบาลใหม่เพราะความรู้นั้นไม่ได้ติดตัวไปด้วยเลย แต่หากเราปฏิบัติธรรมตั้งแต่อนุบาลไปจนถึงมหาวิทยาลัย ตายไปแล้วเกิดใหม่ จิตของเราก็ยังอยู่ในระดับสูง ไม่ต้องสอบใหม่

ความกังวลอะไร ก็เป็นอารมณ์ชนิดหนึ่ง ให้รู้จิตตัวเองว่ากังวลอยู่ ไม่ต้องไประงับขจัดกังวล หาวิธีล้อครถตัวเองทางแม็คคานิคส์สัก 2 – 3 ชั้น ก็พอจะแก้ไขได้ เมื่อกังวลนั้นหมดไป ก็ให้รู้ว่ากังวลนั้นหมดไป ต่อไปความกังวลใหม่จะจางลงไปเอง เพราะเมื่อเรากำหนดรู้อารมณ์ของจิตอยู่ จิตจะดูจิต จิตจะวางอารมณ์เอง ด้วยปัญญา


;id6] - 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:52น. (IP: 203.107.200.59)

ความคิดเห็นที่ 41
ตอบ 38 คุณทิพย์.............(ขอโทษครับ คำตอบขาดไป โพสต์ไม่ครบ) สำหรับดวงชะตาของคนที่เกิดในต่างประเทศ เมื่อเราวางลัคนาก็ทำเหมือนที่ทำอยู่กับคนที่เกิดในประเทศไปตามปกติ เพียงแต่หากจะใช้องศา ก็ต้องรู้ว่าเวลาเกิดที่บอกมา ใช้เวลาที่ใด ต้องตัดเวลาเป็นเวลาท้องถิ่นหรือเปล่า กรณีไม่ได้สนใจองศา ก็วางไปตามปกติเช่นนั้น เช่น ดวงชะตาของคนที่คุณยกตัวอย่างมา หากผูกตามปฏิทิน และเวลาเกิด ลัคนาเขาก็อยู่ในราศีพิจิก ตามปฏิทินสุริยาตร ๘ กุมลัคน์ราศีพิจิก ๒๙ อยู่ธนู ๕ อยู่กุมภ์ ๔๖ อยู่พฤษภ ๑๗ อยู่มิถุน ๓ อยู่กรกฎ ๐ อยู่ กันย์ คุณว่า ดวงนี้มีอาชีพเป็นนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ กึ่งวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ วิจัยพวกสเต็มเซลล์ ก็แสดงว่าลัคนาเขาอยู่ราศีพิจิก ถูกต้อง ดังนั้น ใครเกิดที่ส่วนไหนของโลก เราก็หาลัคนาได้ทั้งนั้น หาไปตามปกติและไม่จำเป็นต้องย้ายลัคนามาเมืองไทย หากมีดาวยกย้าย เวลาเท่าใด ก็ต้องเทียบเวลาให้รู้ว่าดาวอยู่ราศีไหนเท่านั้น เว้นไว้เสียแต่ว่า คุณจะไปใช้มหาทักษา จะใช้วันอะไร อันนั้นจะต้องใช้ความรู้มหาทักษาด้วย ดาวตามที่คุณผูกมาไม่ใช่ปฏิทินสุริยาตร แต่จะผูกปฏิทินอะไรก็ตามใจ ขึ้นอยู่กับวิชาที่ใช้เหมือนกัน


วรกุล - 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 15:46น. (IP: 203.107.201.67)

ความคิดเห็นที่ 42
สวัสดีครับ อาจารย์ วรกุล

"พิจารณาดูชีวิตอย่างตรงไปตรงมา หากเรามีสติไม่หลงตามอารมณ์ไป"

"ความสำคัญเริ่มแรกจึงอยู่ที่การลองปฏิบัติ ทั้งๆที่ยังไม่รู้เรื่องนี่แหละดีนัก เมื่อติดปัญหา (แน่นอน)ไม่เข้าใจ เวลาไปอ่านหนังสือ จะกลั่นกรองได้เองว่า ใครสอนดี หรือ ไม่ดี แก้ปัญหาให้เราได้ไหม"

" มีคำอธิบายปัญหาการปฏิบัติบ้างไหม อธิบายโดยปริยาย หรือ อธิบายให้ปฏิบัติเป็น"

" เมื่อเรากำหนดรู้อารมณ์ของจิตอยู่ จิตจะดูจิต จิตจะวางอารมณ์เอง ด้วยปัญญา "

ข้อน้อมรับคำแนะนำของอาจารย์ไปปฎิบัติครับ และขอไปเร่งทำความเพียร เพราะติดขัดอย่างไรพอจะมีอาจารย์ค่อยถามไถ่ได้ ยังไม่ติดขัดอะไร คิดมาก ถามมาก ก็ฟุ้งมาก ไม่ไปถึงใหน

ขอขอบพระคุณอาจารย์มากครับ


สมบัติ - 5 ธันวาคม พ.ศ.2548 21:32น. (IP: 24.15.242.44)

ความคิดเห็นที่ 43
เรียน อาจารย์วรกุล

ช่วงนี้อาจารย์คุยเรื่องเกี่ยวกับธรรมะ และสมาธิ ไม่ทราบว่าจะขอถามผิดจังหวะหรือไม่

คือว่า ผมเคยเห็นดวงที่ขับจากดวงจักรราศี ที่เรียกว่า "ดวงธาตุ" ก็อยากจะทราบว่ามีการขับดวงอย่างไร ใช้ธาตุดาวหรือธาตุราศีเป็นตัวขับ คิดว่าอาจารย์คงอาจจะเคยผ่านตามาบ้าง ก็จะขอความกรุณาอาจารย์ขยายความไว้เป็นความรู้บ้างครับ

นับถือ


อ่อนหัด - 6 ธันวาคม พ.ศ.2548 08:45น. (IP: 203.155.250.186)

ความคิดเห็นที่ 44
สวัสดีครับ อาจารย์วรกุลผมมีปัญหาที่จะเรียนถามดังต่อไปนี้ 1.ทักษาเจ้าฟ้ากับทักษาที่ใช้กันในปัจจุบันคือเมื่อหาภูมิอายุที่ตกได้แล้วแล้วนับเดือนแรกที่เกิดที่ภูมิอายุแล้วไล่เวียนไป ไม่ทราบว่าอย่างไหนจะแม่นยำในการพยากรณ์มากว่ากันหรือแบบไหนเหมาะสำหรับการพยากรณ์ประเภทใดแลมีวิธีให้ให้ถูกต้องและเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการพยากรณ์ได้อย่างไรขอคำอธิบายประกอบด้วยครับ

2.การพยากรณ์เป็นวันว่าวันนี้จะเกิดอะไรขึ้นทำอย่างไร ใช้พระจันทร์และพระอาทิตย์จรประจำวันใช่หรือไม่ เช่น หากเข้าเรือนกดุมพระก็ให้ทายในเรื่องการเงินใช่หรือไม่ ถ้าหากในเรือนกดุมพระนั้นมีดาวบาปเคราะห์ เช่นอังคารหรือเสาร์จะทำนายในทางที่เสียหายเรื่องการเงินใช่หรือไม่ หากไม่ใช่จะมีวิธีการทำนายอย่างไร


ตั้ม - 6 ธันวาคม พ.ศ.2548 21:44น. (IP: 202.5.89.166)

ความคิดเห็นที่ 45
ตอบ 44 คุณอ่อนหัด..........เรื่อง “ดวงขับ” เคยตอบคุณไปแล้วใช่ไหม ดวงขับ เป็นชื่อเรียกธรรมดาสำหรับดวงที่มีการเคลื่อนย้ายของปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นดาวหรือลัคนา โดยที่เป็นเกณฑ์อัตราเฉพาะอันใดอันหนึ่ง ตามวัตถุประสงค์ที่ต่างกัน ซึ่งต้องรู้วิธีที่นำไปใช้ด้วย เรื่องดวงขับนั้นมีมาก และส่วนใหญ่ก็เป็นของเก่าๆทั้งนั้น เนื่องจากโหราศาสตร์รุ่นเดิมๆมีดาวใช้เพียง 7 – 8 ดวง ดังนั้น จึงต้องหาอิทธิพลดาว และราศีเพื่อขยายความให้ชัดออกไป รวมทั้งใช้ในดาวจรด้วย เพราะการคำนวณหาดาวจรสมัยนั้นไม่ได้ง่ายๆ เหมือนเราที่เปิดปฏิทินดูสมัยนี้ ดังนั้น บางดวงขับ จึงเป็นขั้นการคำนวณตามพระคัมภีร์สุริยาตร์นั่นเอง เมื่อจะนำไปใช้ก็เพียงบวกลบอีกเพียงเล็กน้อย ก็จะทราบดาวจรได้ เหมาะสำหรับการทำงานเร็วในสมัยก่อน เพราะหากมาเริ่มต้นใหม่ อาจจะใช้เวลานานถึง 3 – 7 วัน โดยเฉพาะเรื่อง ธาตุ จะเสียเวลานานมากจริงๆ

คำว่า “ดวงธาตุ” ก็เหมือนเราเรียกว่า “แกง” เป็นดวงชนิดหนึ่ง เหมือนเป็นอาหารจำพวกหนึ่ง เป็นแกงอะไรก็ไม่รู้ ใส่อะไรบ้างก็ไม่รู้ ผมเรียนดวงธาตุมามากมาย แต่จะยกตัวอย่าง ก็จะต้องอธิบายส่วนผสมด้วย ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้ว่าอะไร เป็นกะทิ ขิง ข่า เมื่อดวงขับที่ทำจากธาตุ ก็จะเปลี่ยนแยกย่อยไปอีก ดวงขับที่ยกตัวอย่างง่ายที่เราเห็นกันบ่อยมาก และก็ทำเป็นคือ “ดวงนวางค์” ที่เรียกผิดกันว่า “ดวงนวางค์จักร” นั่นเอง อันนั้นขับตามนวางค์ ส่วนใหญ่ทำเป็น แต่จะดูเป็นหรือไม่ก็แล้วแต่แต่ละคน อีกอย่างคือ พวก “กาลจักรลัคน์จร” ที่ขับตามวงรอบธรรมชาติ โดยใช้เกณฑ์ราศี

ส่วนพวกที่ขับตามธาตุ จะยกตัวอย่างให้ดู “ดวงธาตุ”อย่างหนึ่ง คือขับตามมหาทักษาดาวเสวยอายุ ใช้กับการทำนายจร เช่นสมมุติ ดวงคนคนหนึ่ง ลัคนาอยู่ราศีมีน ตอนนี้พฤหัสกำลังเสวยอายุ พฤหัสกำลังจรอยู่ราศีตุลย์ เรือนมรณะ ให้นับจากราศีตุลย์ไปตามกำลังดาว พฤหัสมีกำลัง 19 นับไป 19 ราศี จะตกราศีเมษ แสดงว่าพฤหัส เมื่อขับตามธาตุจะตกราศีเมษ เมื่อทับเล็งดาวใดก็เหมือนพฤหัสจรนั่นเอง และราศีเมษเป็นกดุมภะ แสดงว่า เจ้าชะตาอาจจะได้มรดก หรืออะไรมาสักอย่างหนึ่งในปีนี้ เพราะ “มรณะ” นั้นเป็น “กดุมภะ” โดยธาตุ วิธีนี้เป็นเคล็ดลับที่ใช้กันในวิชาที่ตกทอดมาจากทางเหนือ ดูเหมือน ท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ นำมาเขียนไว้ในชุดหมอเถา(วัลย์) อยู่นิดเดียว นี่เป็นส่วนเล็กน้อย แต่วิชาเต็มๆยังมีเยอะกว่านี้อีกมากมายนัก เพียงแต่จะให้เห็นว่า โหรสมัยก่อนไม่ต้องใช้ดาวจร ละเอียดองศาเลยก็ได้ เพราะใช้ดวงขับได้แม่นยำมาก นับนิ้วเดี๋ยวเดียวก็ได้เลย เคยเห็นโหรคนหนึ่งแถวชลบุรี ใช้วิธีนี้อยู่ พอผมทักเขา เขาก็ตกใจว่ามีคนรู้ วิชานี้จะนับคล้ายกับ “ดวงพิไชยสงคราม” เพียงแต่เกณฑ์นับไม่เหมือนกัน แต่เขามักใช้กับเรื่องใหญ่ๆ ส่วนดวงบุคคลจะมีเคล็ดลับ เป็นกุญแจต่างหาก


วรกุล - 7 ธันวาคม พ.ศ.2548 05:22น. (IP: 203.107.193.102)

ความคิดเห็นที่ 46
ขอบคุณครับสำหรับคำแนะนำ

การอ่านดาวจรในแนวที่ท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ใช้นั้น ผมพอทราบแล้วครับ พอดีเพื่อนๆ วานให้ช่วยดู "ดวงธาตุ" ในแนวท่านอาจารย์ ส. แสงตะวัน ซึ่งจะแตกต่างจากแนวอื่นที่ใช้ธาตุดาว

ตามรูปดวงธาตุที่เห็น ดูคล้ายกับการขับธาตุราศีมากกว่าการขับธาตุดาว ที่สนใจเรื่องนี้เพราะเพียงแค่อยากรู้เท่านั้นครับ


อ่อนหัด - 8 ธันวาคม พ.ศ.2548 08:52น. (IP: 203.155.250.186)

ความคิดเห็นที่ 47
สวัสดีครับอ. วรกุล

วันนี้บังเอิญผมได้อ่านคอลัมน์โหราศาสตร์ของคุณยอดทงในเนชั่นสุดสัปดาห์ครับ แกเขียนเรื่องของดาวเสาร์พักรไว้ ทำให้ผมเกิดความสงสัยขึ้นมาครับ เลยขออนุญาติยกสิ่งที่แกเขียนมาไว้บนบอร์ดเลยนะครับ

"การโคจรถอยหลังของดาวเสาร์ในตำราโหราศาสตร์ไทย ท่านห้ามการกระทำ ทุกอย่างที่ต้องการสิริมงคล ความราบรื่น และความสำเร็จ แม้แต่การแต่งงานในระยะดาวเสาร์พักรถอยแบบนี้หรือไปรณรงค์สงครามท่านห้ามหมด นอกจากจะไม่เป็นสิริมงคลแล้วยังจะก่อให้เกิดเสนียดจัญไรในชีวิต และมีอันเป็นไปต่างๆ นานาด้วย

แม้แต่หญิงชายที่รักกันปานจะกลืน ท่านห้ามเด็ดขาดว่าอย่ารีบไป "ได้เสีย" กันระยะนี้อย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ทำมาหากินไม่ขึ้น อยู่ด้วยกันไปไม่ยืด ต้องตายจากกันหรือแยกจากกัน (ยกเว้นแต่จะได้เสียกันมาก่อนวันเสาร์พักรไม่เป็นไร ดำเนินการไปได้ตามปกติ)"

ที่ผมสงสัย ก็***เรื่อง "ได้เสีย" นี่แหละครับ ว่ามันเป็นจริงๆหรือครับ ที่ห้ามได้เสียกันครั้งแรกในช่วงดาวเสาร์เดินพักร ไม่งั้นจะไม่ดี อ.พอจะอธิบายเพิ่มเติมตรงจุดนี้ในเชิงโหราศาสตร์ได้รึเปล่าครับ ที่ผมพอจะคิดไปก็คือ น่าจะเกี่ยวกับกำลังธาตุของดาวในช่วงเดินพักร และคุณสมบัติของดาวเสาร์ แต่ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ครับ


โกวเล้ง - 9 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:08น. (IP: 80.171.157.184)

ความคิดเห็นที่ 48
ตอบ 48 คุณโกวเล้ง.........ธรรมดาดาวพักร กำลังดาวจะสูงขึ้น กำลังธาตุต่ำ ยิ่งเป็นประ กำลังธาตุก็ต่ำอยู่แล้ว ปกติดาวเสาร์พักร ไม่เกี่ยว กับ เรื่องได้เสีย ยกเว้นเสาร์เป็นประ อย่างที่กำลังอยู่ในกรกฏตอนนี้ เพราะพักรในเรือนจันทร์ ธรรมดาโหราศาสตร์ไทยระบบดาว 7 - 8 ดวง เขาจะใช้จันทร์เป็นดาวเจ้าการเกี่ยวกับการครองคู่ การแต่งงาน ทั้งโดยประเพณีหรือไม่ใช่ประเพณีก็ได้ ดังนั้น เมื่อดาวอะไรมาก่อเหตุในเรือนจันทร์ ก็อาจจะหมายถึงการมีคู่ ตามธรรมชาติได้ เมื่อเสาร์พักร และเป็นประ จึงหมายถึงการได้เสียกันแบบไม่ยั้งคิดนั่นเอง นี่คือ คำตอบ ดังนั้นเรื่องนี้ จึงเกี่ยวกับจันทร์ ไม่ได้เกี่ยวกับดาวเสาร์ทีเดียว เพียงแต่เสาร์ให้ความเป็นจารีตประเพณี เมื่อเสาร์ประ ก็ไม่ค่อยคำนึงถึงธรรมเนียมเท่าไร พอเสาร์พักรเรือนจันทร์ ทำให้จันทร์พักรด้วย (ผมเคยบอกแล้ว) จันทร์จึงวุ่นวาย เพราะกำลังธาตุอ่อนแอลง ได้เสียกันแล้ว วันหลังจึงมักมีปัญหา ที่ไม่ดี เว้นแต่จันทร์เดิมเข้มแข็งดี จันทร์ใครจันทร์มัน ก็ไม่มีผลเสียอะไร

ถึงจะไม่ใช่เสาร์ เป็น ราหู มฤตยู พฤหัส อังคาร อาทิตย์ก็ใช้ได้ แล้วแต่ดีกรี หากได้เสียกันไป ก็จะเป็นธาตุผสม ๒๗ หมายถึงการจากพรากแยกจากกัน อยู่ไม่ยืด ตามที่ท่านว่า เราจะสังเกตว่าดาวคู่ของจันทร์ พวก ๒๕ ๒๓ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๐ ๒๙ ๒+เนปจูน มีความหมายเรื่องคู่ผัวเมีย การแต่งงาน ได้เสียทั้งนั้น แต่เป็นแบบธรรมชาติ โดยพฤตินัย ถ้าเป็นการแต่งงานสมัยปัจจุบัน ประเภทดูฤกษ์ แห่ขันหมาก ยกขันหมั้น แต่งในโรงแรม จดทะเบียนในสถานทูต หวังรวบสมบัติของอีกฝ่าย หรือ อยากได้ลูกเขยนามสกุลดัง โดยมากเป็นนิตินัย เจ้าสาวท้อง 7 – 8 เดือน แล้วค่อยแต่ง มักไม่เกี่ยวกับจันทร์ แต่จะเป็น พวก ศุกร์ อังคาร อาทิตย์ นั่นแหละ


วรกุล - 10 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:29น. (IP: 203.107.200.13)

ความคิดเห็นที่ 49
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

ดิฉันไม่ค่อยมีความรู้เรื่องโหรราศาสตร์มากนักจึงอยากจะขอรบกวงท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยค่ะ

1. ดิฉันเคยเข้าไปอ่านในเว็บบอร์ดของพยากรณ์ดอทคอม มีนักพยากรณ์ท่านหนึ่งกล่าวว่า ถ้าในดวงของหญิงใดมีดาว 2 กุมหรือเล็งกับดาว7 ก็ให้พยากรณืไปเลยว่าจะต้องมีการหย่าร้างกันแน่นอน ความเห็นนี้จะเป็นจริงเสมอไปในทุกดวงที่มีดาว2กุมหรือเล็งกับ7หรือค่ะ แล้วดาวดวงอื่นๆ ในดวงจะไม่เข้ามาเป็นตัวแปรหรือมีผลให้การพยากรณ์เปลี่ยนไปได้บ้างหรือค่ะท่านอาจารย์

2.ดิฉันมีความสงสัยเป็นอย่างมากค่ะว่า การดูดวงที่จะให้ผลแม่นยำและใกล้เคียงความจริงที่สุดนั้นจะต้องตัดเวลาท้องถิ่นไหมค่ะ เพราะดิฉันสังเกตดูบางทีนักพยากรณ์บางคนบอกว่าต้องตัดเวลาท้องถิ่น แต่บางคนก็บอกว่าไม่ต้อง ดิฉันขอความเห็นจากมุมมองของท่านอาจารย์ด้วยค่ะ แล้วสำหรับตัวท่านอาจารย์ละค่ะ ใช่วิธีแบบไหนหรือค่ะ

ดิฉันขออภัยค่ะถ้าคำถามของดิฉันทำให้ท่านอาจารย์ต้องเสียเวลา เพราะความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ของดิฉันกับท่านอาจารย์นั้นคงเทียบได้กับปรมาจารย์ด๊อกเตอร์กับเด็กอนุบาลเลยหล่ะค่ะ

ขอขอบคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้ค่ะ


นภาพร - 10 ธันวาคม พ.ศ.2548 17:43น. (IP: 203.152.4.56)

ความคิดเห็นที่ 50
ตอบ 45 คุณ ตั้ม.........ขอโทษด้วยจริงๆนะครับ บังเอิญมีโพสต์ทับตามหลังคำถามไป เลยหลงไม่ได้ตอบคำถามของคุณอยู่หลายวันค้างอยู่ 1 / เรื่องทักษาเจ้าฟ้า ขอไม่พูดถึงนะครับ ทักษาปัจจุบันที่นับปีเกิด หากจะนับลงเดือนเกิด ก็เพียงเป็นการบอกอิทธิพลของธาตุจร ความแม่นยำจะอยู่ที่การนำไปใช้ว่าจะใช้กับอะไร หากเป็นวิชามหาทักษา ก็ดูตามวิธีมหาทักษา หรือ หากใช้กับดวงชะตา ก็อาจจะใช้กับดาวจร หรือ ดาวเดิมได้ หากนำไปใช้กับ ระบบอื่น ก็อยู่ที่กำหนดจุดดูจร ของแต่ละแบบ เรื่องการใช้ให้ถูก และเกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น จึงอธิบายไม่ได้หรอกครับ วิธีดูดวงชะตามีอยู่ร้อยแปดพันเก้า ดูดวงเดิมก็ไม่เหมือนกันแล้ว ดู ดวงจรยิ่งแตกต่างกันเข้าไปใหญ่

2 / การพยากรณ์รายวันก็เหมือนกันครับ ไม่ได้ดูเพียงง่ายๆอย่างที่คุณว่า อย่างที่ทำนายกันตามหนังสือพิมพ์ และนิตยสารก็มีหลายวิธี ตามระบบโหราศาสตร์ ซึ่งแยกกันตามวันเกิดบ้างราศีเกิดบ้าง บางท่านใช้ดาวจรตามนวางค์ หรือ ตามองศาอาทิตย์ บางท่านก็ใช้เกณฑ์ดาวเข้าหาดาววันเกิด บางท่านใช้ จันทร์ หรือ อาทิตย์ เป็นอิทธิพลจร แล้วดูตำแหน่งดาวตนุลัคน์ของเจ้าชะตาวางเป็นลัคนา โดยไม่ได้ดูดวงเดิม หากคุณจะทำนายเฉพาะเรื่อง เป็นคราวๆไป ก็ต้องใช้พวกกาลชะตาครับ สังเกตจากคำถาม เข้าใจว่าคุณยังเรียนเรื่องดวงชะตาพื้นฐานไม่หมดดี การทำนายจร ถึงกับดูรายวัน คงยังทำไม่ได้หรอกครับ ถ้าเอาแบบเขียนกันทั่วไป อันนั้นเอาไว้อ่านเล่นๆ เท่านั้น

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 50 คุณนภาพร............1/ ดาว ๒ เล็งกับดาว ๗ ก็เล็งกันอยู่ทุกเดือนแหละครับ เดือนละ 2 – 3 วัน ทำไมไม่คิดว่ามีคนกี่ล้านคนที่เกิดพร้อมกันทั่วโลกแล้วดาว ๒ เล็งกับดาว ๗ เหมือนๆกัน แล้วต้องหย่าร้างกันแน่นอนทุกคนหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่” เหตุที่ไม่เพราะดาวอื่นๆก็ยังมาร่วมแสดงผลด้วย รวมทั้งลัคนา กับสิ่งแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน พอๆกับมีจิ้กโก๋โง่ๆ บอกว่าผู้หญิงคนไหนแต่งตัวเปรี้ยว แสดงว่า “ง่าย” และเป็น “ของฟรี” คุณเป็นผู้หญิงตอบได้ไหมว่า จริงหรือไม่จริง อ่านแล้วคิดเอาหน่อยเดียวก็รู้แล้ว ว่าใครว่าอะไรถูกหรือไม่ ใครเชื่อก็โง่ละ ระวังตำราและคนตอบปัญหาบางกระทู้ ในบางเว็บ สอนให้คนโง่(เหมือนเขา)มากกว่าฉลาด ใครเรียกว่า “อาจารย์” ก็อาจจะเป็นอาจมก็ได้ พวก “ปรมาจารย์กำมะลอ” ก็มีอยู่ถมไป

2 / ผมเขียนเรื่องเหล่านี้ไปหมดแล้วในกระทู้ก่อนๆ เรื่องการวางลัคนาจากเวลาเกิดนั้น เราต้องเข้าใจว่าเวลาที่เราใช้อยู่ไม่ใช่เวลาจริงในสถานที่ที่เราอยู่ แต่เป็นเวลาสมมูติที่อ้างอิงที่อื่น อย่างเช่น คุณเกิดที่กรุงเทพตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้น วิทยุบอกว่า 6:00น. ตามเวลาประเทศไทย เวลาประเทศไทยปัจจุบันเขาถือเส้นแวงของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นหลัก หากถือตามนี้ก็เหมือนกับคุณเกิด 6 โมงเช้าที่อุบลราชธานี ถ้าเป็นเวลาที่กรุงเทพจริง ก็ต้องหักออก 18 นาที คือ เวลา 05 : 42 น. หรือ คิดว่ากว่าโลกจะหมุนเอากรุงเทพไปถึงเส้นแวงจังหวัดอุบลต้องใช้เวลา 18 นาที คนที่ไม่ตัดเวลาอาจจะเห็นว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเวลาไม่แน่นอน ตัดก็ได้ไม่ตัดก็ได้ ถ้ายังงงๆอยู่ สมมุติรัฐบาลเกิดฟิตอยากไปร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจกับสหรัฐ แล้วใช้เส้นแวงของสหรัฐเป็นเวลาประเทศไทย คุณเกิดตอนเช้าพระอาทิตย์ขึ้นพอดี วิทยุไทยประกาศว่าขณะนี้เป็นเวลา 6 โมงเย็น (ตามเวลาของสหรัฐ) คนที่บอกว่าไม่ต้องตัดเวลาน่ะ จะผูกดวงถูกไหม บางคนบอกว่า ไม่ต้องตัดเวลาเลยทั้งหมด เขาบอกเวลาอะไรก็เอาตามนั้น ถ้าไม่มีอะไรแอบแฝงก็แสดงว่าไม่รู้เรื่องนาฬิกาเอาเสียเลย เพราะเวลาตามนาฬิกาเป็นเพียงเรื่องสมมุติ จะตั้งเป็นเท่าใดก็ได้ การที่อ้างอิงเวลามาตรฐานกรีนิช ก็เพื่อให้ทุกคนเทียบเวลาตรงกันเท่านั้น จะได้กำหนดการทำอะไร หรือ ทำปฏิทินได้เข้าใจกันถูก

บางทวีปพื้นที่กว้างๆ เช่น สหรัฐ หรือออสเตรเลีย เวลาจะต่างกันมาก จากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก บางทีต่างกัน 4 - 5 ชั่วโมง หากคุณเกิด 6 โมงเช้าที่ฝั่งตะวันตก แต่ถ้าเอาเวลาตามเส้นแวงที่ฝั่งตะวันออกเป็นเวลาของประเทศ เขาบอกว่าคุณเกิดเวลา 11:00 น. แบบนี้หากไม่ตัดเวลาจะผูกดวงได้ถูกไหม ดังนั้น หากจะผูกดวงตามเวลาเกิดให้ถูก ต้องปรับเป็นเวลาท้องถิ่นเสมอ ไม่ว่าอยู่ที่ใดในโลก จะ เพิ่ม หรือ ตัด ก็แล้วแต่ หรือ จะใช้เวลานักษัตรตามเส้นรุ้งเส้นแวงก็ได้ ไทยเราไม่เคยเปลี่ยนเวลาประกาศทางวิทยุ แต่พวก อเมริกา ยุโรป หรือ ออสเตรเลีย ที่มีฤดูกาล 4 ฤดู จะมีการประกาศ “daylight saving time” ให้ทุกคนพร้อมกันตั้งนาฬิกา เพิ่มลดให้ช้าเร็วราว หนึ่งชั่วโมง ตามฤดูกาล ปีละ 2 ครั้ง เพื่อให้ รถไฟ เครื่องบิน รถไฟฟ้า หรือ ธุรกิจทุกแห่งเข้าใจตรงกัน ดังนั้น เด็กที่เกิดเวลา (วิทยุประกาศ) เวลาใด ก็ต้องปรับให้เป็นเวลาท้องถิ่นจริง ตามเวลาที่กรีนิช gmt บวกลบตามเส้นแวง หรือ ใช้เวลานักษัตรตามพื้นที่กำเนิดก็ได้ แล้วจึงเอาเวลาท้องถิ่นนั้นมาผูกดวงชะตา ใครที่ไม่ยอมปรับเวลา ขืนไปดูดวงเด็กฝรั่งจะยิ่งเลอะใหญ่

ทีนี้คุณถามว่า การดูดวงที่จะให้ผลแม่นยำและใกล้เคียงความจริงที่สุดนั้นจะต้องตัดเวลาท้องถิ่นไหมคะ นี่เป็นความเข้าใจผิดของนักเรียนโหราศาสตร์ เพราะเรื่อง “เวลา” ไม่ได้เกี่ยวกับการ “ดูดวงให้แม่นยำ” เลย คนเรามาเกิดเพราะผลของกรรม แม้จะเกิดเวลาใด ก็เป็นผลของกรรมเหมือนกัน ดวงชะตาจากเวลาเกิดไม่ได้แสดงชะตาชีวิตที่เป็นผลกรรม ดังนั้น ต่อให้ไปจับเวลาแม่นแค่ไหน หรือ ตัดเวลาเป็นเสี้ยววินาทีอย่างไร ดวงที่ผุกขึ้นมาก็เพียงเอาไว้ดูประกอบ เท่านั้นเอง โหรไทย(เดิม)ไม่ได้สนใจ จะตัดเวลา ไม่ตัดเวลา ไม่รู้เวลา หรือตัดแล้วไปอยู่ราศีไหน ไม่ได้สนใจทั้งนั้น ก็เพราะ “เวลา” มันไม่เกี่ยว หากเวลาสามารถกำหนดชะตาชิวิตได้จริง ก็หาฤกษ์ ผ่าตัดทำคลอดออกมาเป็นเศรษฐีทุกคนไม่ดีหรือ ตอนมีชีวิตอยู่ก็ทำบาปทำกรรมอย่างไรก็ได้ พอถึงเวลาแก่ตัว ก็ผูกคอตายตามฤกษ์ (อย่างอาจารย์ศุภกรท่านว่า) จะได้ไปเกิดเป็นเทวดาสบายไปเสียอีก อย่างนี้นี่แหละทำให้คนนอกวงการเขาดูถุกพวกโหรว่า “โง่เง่า” กันไปหมด

ดิฉันขอความเห็นจากมุมมองของท่านอาจารย์ด้วยค่ะ แล้วสำหรับตัวท่านอาจารย์ละค่ะ ใช่วิธีแบบไหนหรือคะ ผมมองแบบโหรไทย (เดิม)ครับ คือ ดวงชะตาที่ทำนายได้ดีพอสมควรต้องมีลัคนา แต่ไม่ใช่ลัคนาที่ผูกจากเวลาเกิดตามนาฬิกา ที่เขาเรียกว่าลัคนาดาราศาสตร์ ซึ่งเอาไว้ดูภูมิศาสตร์ และดาราศาสตร์ อย่างที่องค์การนาซ่า และวงการสื่อสารดาวเทียมใช้กันอยู่ แต่ลัคนาที่ใช้ทำนายดวงชะตาซึ่งจะแสดงกรรมของเราบางส่วน คือ ลัคนาโหราศาสตร์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับเวลา เลยครับ เพียงแต่เราพอจะสังเกตได้ว่า ลัคนาโหราศาสตร์ปกติมักจะอยู่ใกล้ๆกับลัคนาดาราศาสตร์ ในกรณีที่ทารกคลอดตามธรรมชาติ หรือ บางทีก็อาจจะห่างถึง 7 ราศีก็ได้ หรือ วันกำเนิดตามโหราศาสตร์ บางทีก็ห่างกับวันเกิดที่โรงพยาบาลห่างกันเป็นเดือนๆก็ได้ หาก ไปผ่าตัดตามฤกษ์ออกมาเสียก่อน ดังนั้น โหรไทย (เดิมๆ) จะหาลัคนาและดวงชะตากำเนิดที่แท้จริง(ที่ควรเป็นตามกรรม) โดยการสอบลัคนาเท่านั้น ไม่ได้สนใจเรื่องเวลา (ก็เพราะเวลามันไม่เกี่ยวอะไรเลยนี่) การสอบลัคนาก็เพื่อหาว่าลัคนา (จริงๆ) ตามกรรมอยู่ราศีไหน หรือ หากวางลัคนาแล้ว อ่านดาวแล้วยังผิดอยู่ ต้องหาว่า วันเกิด (จริงๆ) ตามกรรมอยู่วันเดือนปีไหนแน่ การสอบลัคนาก็สอบจากเรื่องราว คุณสมบัติที่เป็นจริง ซึ่งจะชี้ว่าชีวิตจริงๆของเขาควรเป็นอย่างไร มีอยู่เท่านั้น


วรกุล - 11 ธันวาคม พ.ศ.2548 14:05น. (IP: 203.107.201.161)

ความคิดเห็นที่ 51
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 12....ครับ..........


วรกุล - 11 ธันวาคม พ.ศ.2548 14:30น. (IP: 203.107.196.238)