เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 12 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 11 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 12 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.196.238)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
เขียนเกี่ยวกับโหราศาสตร์และธรรมะแล้ว มาสลับเล่าเรื่องเก่าๆบ้างดีกว่า ตอนนี้การเมืองบ้าง การบ้านบ้าง กำลังร้อนแรง เถียงทะเลาะกันอุตลุด สมัยก่อน สื่อมวลชนยังมีเด่นๆแค่หนังสือพิมพ์กับวิทยุ เวลาเถียงกันมักไปไม่รอด เพราะโดนตัดเสียง หรือ บรรณาธิการหนังสือก็ตัดข้อความออก แล้วก็ช้า เพราะต้องตีพิมพ์ หรือรอคิวทีละคน ตอนนี้มีเว็บบอร์ดแล้ว จึงเถียงกันได้ง่ายมาก นึกอยากด่าใครก็ด่าง่ายๆ ทำให้ไม่ต้องคิดเหตุผลมาก แค่นิ้วไวก็พอแล้ว อยากจะเถียงกับใครก็ได้ คนสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเถียงหรือ โต้วาทีกันก็ตาม มักเถียงกันอย่างปราชญ์ หากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เป็นปราชญ์ เขาก็มักไม่เถียงด้วย คนที่ไม่มีใครเถียงด้วยนั้นแทนที่จะได้เป็นเจ้ายุทธจักร แต่กลับถูกนินทาว่า ไม่มีคุณค่าพอที่จะเถียง ลูกศิษย์ก็จะหนี สำนักก็จะล้มไปโดยอัตโนมัติ เป็นวิธีที่คนโบราณใช้ลงโทษทางสังคมนั่นเอง

การเถียงอย่างปราชญ์ นี้ อาจารย์ท่านหนึ่ง (เป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง) ท่านเอามาเขียนไว้นานแล้ว แต่ไม่มีใครร่วมมือด้วย ท่านก็เลย “ถกเขมร” ลงไปลุยโคลนกับเขาด้วยเหมือนกัน สมัยก่อนปราชญ์นั้นเป็นผู้มีความรู้ความคิดดี หากจะศึกษาเรื่องใด ก็มักศึกษาวิชาอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปรัชญา ธรรมะ โหราศาสตร์ หรือ ศาสตร์อะไรก็ตาม ทั้งนี้เพราะการที่จะชี้ว่าอะไรดีจริงๆนั้น ต้องรู้ว่าอะไรไม่ดีจริงๆให้หมดเสียก่อน จึงจะสรุปได้ ต่างกับสมัยนี้ เรียนอะไรมาอย่างเดียว หรือ ศรัทธาข้างไหน ก็สรุปว่าวิชาของข้า อาจารย์ของข้าดีที่ซู้ดด โดยไม่รู้เรื่องของคนอื่นเลย ดังนั้น สมัยก่อน เมื่อปราชญ์ต่อปราชญ์มาเถียงกัน แต่ละท่านจึงรู้หลักวิชาของฝ่ายตรงข้ามมาเป็นอย่างดี การพูดอะไรไปแต่ละอย่างต้องยกประเด็นให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ไม่หลุดยอมแพ้ด้วยเหตุผล ไม่ใช่กระโดดชกกัน หรือ กัดกัน งับหู งับหางกันเหมือนหมา และใช้กิริยา “ป่าเถื่อน” ด้วยเทคโนโลยีที่ “ทันสมัย” อย่างในอินเตอร์เน็ทตอนนี้

ดังนั้น ในยุคที่สังคมยังล้าสมัยใช้กระดานชนวน ผู้คนจึงศิวิไลซ์ กว่ายุคอินเตอร์เน็ทมาก เด็กๆ เมื่อได้ฟังผู้ใหญ่เถียงกัน ก็จะได้รับความรู้มาก และได้เห็นตัวอย่างที่ดีด้วย พวกเราลูกศิษย์นั้น จะเดินเข้าสำนักไหนก็ได้ เขาจะให้กินข้าวก่อนศิษย์ในสำนักตนเองเสียอีก เพราะถือว่าเป็นแขกผู้มาเยือนต้องให้กินอิ่มก่อนเจ้าของบ้าน บรรดาครูอาจารย์ก็มีเมตตา เราสามารถถามอะไรก็ได้ หากท่านตอบได้ก็จะตอบอธิบายให้ จนแม้กระทั่ง หากอาจารย์ของเราไม่อยู่ เพราะไปทำธุระที่อื่นนานๆ หรือ เสียชีวิตแล้ว หากท่านรู้ท่านก็จะสอนต่อให้ เพราะทุกอาจารย์ท่านก็จะรู้วิชาของเราด้วยเหมือนกัน จนแทบจะเรียกได้ว่ามีความรู้เสมออาจารย์ของเรา เพียงแต่ความชำนาญในการใช้นั้นด้อยกว่ากัน และไม่รู้เคล็ดลับบางอย่างเท่านั้น และวิชาที่ท่านสอนต่อให้ก็จะเป็นของแท้ ไม่มีวางยา รับรองได้ วัฒนธรรมเช่นนี้มีในหมู่คนไทยเรามานาน ไม่ว่าจะเป็นทางวิชามวย วิชาดนตรี และโหราศาสตร์ หากเราเองเรียนอยู่กับครูโหรท่านหนึ่ง เวลาที่มีเรื่องต้องทำความเข้าใจใน “ทาง” อื่น ครูท่านมักจะส่งต่อไปให้ ครูท่านอื่นที่รู้เรื่องดีอธิบายโดยตรง และครูท่านอื่นนั้น เมื่อท่านรู้ว่าเราเป็นศิษย์ของใคร ท่านก็จะอธิบายให้เป็นอย่างดี ทำให้ได้เห็นวิชาการหลายด้านในทางที่ถูก เป็นวิธีอนุรักษ์วิชาไว้ได้อีกทางหนึ่ง เผื่อว่าในภายภาคหน้า เราวกกลับไปเถียงกับศิษย์ของท่าน จะได้เถียงได้ถูกต้องตรงประเด็น ไม่เถียงมั่ว เพราะไม่รู้เรื่อง

การรับศิษย์ที่จะถ่ายทอดวิชานั้น มักจะมีสองอย่าง คือ เป็นบุตรหลานทายาท หรือ เป็น บุคคลอื่น โดยทั่วไปหากสอนโหราศาสตร์ไทย ครูอาจารย์ที่มีบุตรหลานมักจะบังคับให้เรียนเบื้องต้นทุกคน หากเราไม่ใช่บุตรหลานก็ต้องเรียนเบื้องต้นด้วยเหมือนกัน การเรียนเบื้องต้นทางโหราศาสตร์ไทยมักจะคล้ายกันหมด แล้วจึงแยกเข้าหลักรายละเอียดของแต่ละวิชา แต่หากเราเรียนจากที่อื่นไปแล้ว ถ้าจะเข้ารับการถ่ายทอดวิชา ก็ต้องไปเรียนเบื้องต้นมาใหม่ เพราะหากเรียนมาเองโดยเพี้ยนไปแล้ว เวลารับการถ่ายทอดจะมีปัญหามาก ระหว่างเรียนเบื้องต้นนี่เอง ครูอาจารย์จึงจะพิจารณาว่าจะให้วิชาขั้นสูงต่อไปหรือไม่ ไม่ใช่ถ่ายทอดให้ทุกคนไป คนที่จะผ่านเข้ารับการถ่ายทอดวิชาขั้นสูงนั้น ท่านจะพิจารณาภูมิธรรมเป็นอันดับแรก และสติปัญญาเป็นอันดับถัดไป การดู ดวงชะตานั้น เป็นเพียงเครื่องมือประกอบ การคัดเลือกศิษย์นี้ ท่านไม่ได้พิจารณาเพียงให้เรียนเท่านั้น แต่พิจารณาให้ “สืบทอด” ด้วย หมายความว่าต้องมีความสามารถเป็นอาจารย์ได้ ไม่ใช่เป็นศิษย์เพียงอย่างเดียว ดังนั้น บรรดาศิษย์สมัยก่อนจึงสามารถเป็นอาจารย์สมัยต่อมาได้แทบทุกคน การสงวนวิชาชั้นสูงบางอย่างเป็นความลับไว้นี้ บางคนวิจารณ์ว่าคนสมัยก่อนมีใจคอคับแคบหวงวิชา แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง การที่ถ่ายทอดให้แต่คนที่เหมาะสมเท่านั้น เป็นทางเดียวที่จะทำให้วิชาอันล้ำค่านั้น ถูกส่งต่อไปยังคนรู่นหลังได้อย่างเป็นผล และไม่ผิดเพี้ยน มานานหลายร้อยปีแล้ว

แต่มนุษย์เรานั้น หนีไม่พ้นรักโลภโกรธหลง โดยปกติอาจารย์ที่ท่านเคร่งจริงๆ แม้แต่บุตรหลานของตน หากคุณสมบัติไม่เหมาะสม ก็จะไม่ยอมถ่ายทอดให้เลย แม้ยอมปล่อยให้วิชาตายไปกับตัว แต่กรรมอันหนึ่งคือ ความรักในเลือดเนื้อเชื้อไขตนเอง ทำให้บางท่านตัดสินใจถ่ายทอดวิชาที่ดีที่สุด ให้แก่บุตรหลานนั่นเอง ที่ทำให้หลายวิชาที่ดีๆเสื่อมลงหายสาบสูญไปในเวลาต่อมา เพราะบุคคลที่มีคุณสมบัติไม่พอ เมื่อเรียนวิชาไปแล้ว ไม่เข้าใจลึกซึ้ง เมื่อสืบทอดแล้ว วิชาก็จะเพี้ยนไป การเลือกผู้สืบทอดลำดับต่อไปอีกก็จะหละหลวม เห็นแก่อามิสสินจ้าง ทำให้วิชาเสื่อมลง บางคนที่ได้วิชาต่อๆกันมาอีกหลายรุ่น จึงกลายเป็นพวกคนเลวๆ หรือ หมอดูโจร เห็นแก่ความดังในหน้าหนังสือพิมพ์และทีวี ทั้งโลภในลาภยศเงินทอง หรือสอนวิชาปลอมมาหลอกขาย อย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้


วรกุล - 11 ธันวาคม พ.ศ.2548 14:33น. (IP: 203.107.196.238)

ความคิดเห็นที่ 2
รบกวนอาจารย์ทีเถอะครับ ผมร้อนใจเรื่องเจ้าลูกสาวเค้าเกิดวันที่ 7 มีนาคม2527 เวลา 9.25 กรุงเทพ

ตัวผมเองศึกษาโหราศาสตร์อยู่บ้าง ดูดวงลูกสาวคนนี้แล้วก็กลุ้มใจเรื่องคู่ครองแทนเจ้าตัว ก็เตือนๆไป ให้เค้ามุ่งเรียนมุ่งงานดีกว่า แต่ตอนนี้ท่าทางเจ้าตัวจะไปรักใครเอาเข้าจริงๆทำให้มาเค้นความเอาจากผมอยู่เรื่อยว่าพ่อแน่ใจเหรอว่าต้องผิดหวังเรื่องคู่ มาบอกว่ามองไปมองมากับคนนี้มาสามปี ทั้งที่ยังไม่ได้คุยกันแต่มั่นใจว่าอีกฝ่ายชอบ แล้วมาบอกผมว่าหมอดูทุกคนที่ไปดูมาบอกว่าคู่ดี ที่ผมกลุ้มใจเพราะตอนนี้ลูกใกล้จะเรียนจบแล้วและเรียนดี เลยอยากให้ได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ เพราะผมมองว่าดวงลูกอยู่ในประเทศบ้านเกิดน่าจะไม่เจริญเท่าไร และตัวผมเองก็ไม่มีแรงจะส่ง จึงรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายเรื่องคู่ครองของลูกสาวคนนี้ให้ทีครับ ผมไม่สบายใจเลยเพราะปรกติลูกเป็นคนไม่จริงจังเรื่องผู้ชาย เคยเห็นลูกมีแฟนแต่ก็ตามประสาวัยรุ่น เป็นเด็กห้าวๆทโมน พอมาตอนนี้กลายเป็นดูแกหมกมุ่น กระวนกระวายกับรักครั้งนี้จริงๆ แม้ผมจะมองว่าดาวพฤหัสแกดีแต่ก็กลัวแกจะเสียเพราะเรื่องนี้โดยเฉพาะช่วงนี้ครับ ขอบคุณครับ


สาโรจน์ - 12 ธันวาคม พ.ศ.2548 01:20น. (IP: 61.91.167.229)

ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณอ. วรกุล มากครับ ที่ช่วยตอบข้อข้องใจเที่ยวที่แล้ว รู้สึกเข้าใจขึ้นกว่าเดิมพอควรเลยครับ

แต่สงสัยเล็กน้อยในย่อหน้าถัดไปของอ.ครับ ที่ว่า "ถึงจะไม่ใช่เสาร์ เป็น ราหู มฤตยู พฤหัส อังคาร อาทิตย์ก็ใช้ได้ แล้วแต่ดีกรี หากได้เสียกันไป ก็จะเป็นธาตุผสม ๒๗ หมายถึงการจากพรากแยกจากกัน อยู่ไม่ยืด ตามที่ท่านว่า"

มีอยู่สองประเด็นครับ อันแรกที่แวบเข้ามาเลย ก็คือ อ. หมายความในกรณีที่ ดาวต่างๆ โคจรพักรในเรือนจันทร์เหรอครับ แล้วทำไมเมื่อเกิดกับดาวอื่น ถึงกลายไปเป็น ๒๗ ไปได้ครับ

ประเด็นที่สอง ผมคิดต่อไปถึงเหตุการณ์ที่เราได้เสียกับหญิงขายบริการครับ โดยปรกติเหตุการณ์นี้ จะมีอะไรเกี่ยวพันกับการโคจรพักรรึเปล่าครับ หรือมันเกี่ยวกับอย่างอื่นมากกว่า

หลังจากพรุ่งนี้ไปประมาณเดือนนึง ผมอาจจะไม่สามารถมาติดตามอ่านได้บ่อยๆ แต่จะกลับเข้ามาเมื่อโอกาสอำนวยครับ แล้วถ้ามีอะไรสงสัยใหม่ๆ ก็จะตั้งกระทู้ถามครับ ขอบคุณมากๆครับ


โกวเล้ง - 12 ธันวาคม พ.ศ.2548 05:34น. (IP: 80.171.97.56)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

ดิฉัน นภาพร จากกระทู้ที่ 11ความเห็นที่ 50 ค่ะ ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ได้ชี้แนะและสั่งสอน ดิฉันชอบการตอบของท่านอาจารย์มากเลยค่ะ ไม่มีปกปิด ตกไปตรงมา และมีหลักการมาก ได้หลักในการทำความเข้าใจโหราศาสตร์มากขึ้น ดิฉันยอมรับเลยค่ะว่าดิฉันเองก็เป็นคนนึงที่คิดว่าหมดดูคู่หมอเดา เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าคนไหนจะทำนายตามหลักวิชาโหรอย่างแท้จริงโดยไม่มั่วไปเรื่อยก็อย่างที่ท่านอาจารย์ว่าแหละค่ะ เราจะไปรู้ได้ไงว่าคนไหนเป็นอาจารย์จริงๆ เพราะดิฉันสังเกตอย่างหนึ่งว่า มีการดูดวงมากมายหลายแบบเหลือเกิน บางอย่างแค่ดูวันเดือนปีที่เกิดก็ทำนายได้แล้ว แล้วคนที่เกิดวันเดือนปีเดียวกันมีอยู่กี่คนทั่วโลกหล่ะ จะมีชีวิตที่เหมือนกันได้หรือ ก่อนหน้านี้ดิฉันเชื่อการดูดวงที่ต้องใช้เวลาเกิด แต่พอมาอ่านคำชี้แนะของท่านอาจารย์ทำให้ได้ความรู้เรื่องหลักการทำนายมากขึ้น ดิฉันไม่เคยทราบมาก่อนเลยค่ะว่าจะมีการทำนายแบบสอบลัคนาตามกรรมด้วย แต่พอมาลองคิดดูตามที่ท่านอาจารย์บอกก็เข้าใจเลยค่ะ

ขอขอบคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะค่ะ


นภาพร - 12 ธันวาคม พ.ศ.2548 17:55น. (IP: 203.152.3.25)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบ 2 คุณสาโรจน์.........ระยะนี้มีคนใช้นามแฝงหลายชื่อเข้ามาโพสต์ในเว็บนี้ หลายกระทู้ ถามปัญหาบ้าง ดูดวงบ้าง ดูๆแล้วมีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณธารา นอกจากนั้นวันเดือนปีเกิดก็ตรงกัน ก็เลยสงสัยว่า ทำไมต้องใช้หลายชื่อ จะใช้ชื่อคุณธาราทั้งหมด ก็ไม่เห็นน่าจะมีปัญหาอะไร

ดวงชะตาของคนเราไม่ใช่เป็นเครื่องลิขิตชีวิตเรา เพียงแต่มีกรรมเดิมบางอย่างที่ติดมา และแสดงในดวงชะตา ไม่ได้หมายความ เมื่อเป็นเช่นนี้ กรรมเดิมจะมาบันดาลให้เราเป็นอะไรไปได้โดยที่เราไม่สามารถแก้ไขได้เลย แต่เหตุที่หมอดูมักจะทำนายได้ ก็เพราะเมื่อดวงชะตาเราแสดงอย่างไร ตัวเราก็จะมีความโน้มเอียงเป็นไป เพราะติดนิสัยมาเช่นนั้น เหมือนกับขอนไม้ไหลตามกระแสธรรมไปโดยไม่ได้ต้านทาน นิสัยเช่นนี้ ก็จะเกิดเป็น อนุสัย (กิเลสสันดาน) ในจิต จนกลายเป็นของธรรมดา ทำอะไรก็คิดเอาเองว่าตัวทำถูก ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครตามทัน ครั้นเมื่อดาวโคจรมาแสดงผลกับดวงเดิม เราก็ทำนายได้ว่าเขาจะเสียหายเนื่องจากดาวนั้น หมอดูก็จะดูแม่น เพราะเจ้าชะตาเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ตรงกับธาตุที่เห็นเสียในดวงชะตา

ทีนี้หากเรารู้ว่าธาตุเราเสีย หรือ รู้ว่ามันไม่ดี ถ้าเราแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี อนุสัยที่ไม่ดี ก็จะถูกแก้ให้ดีขึ้นได้ กลายเป็น บารมี คือ นิสัยส่วนดี และเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแก้ไปเช่นนั้นแล้ว คุณสมบัติก็จะกลับเป็นดีตามธาตุในตัวเรา เมื่อหมอดู ดูว่าธาตุเราเสีย จะเกิดเหตุการณ์อย่างไร ก็จะไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะดวงชะตาไม่ได้เป็นเครื่องกำหนดชะตาเรา ตัวเราต่างหากที่กำหนดชะตาชองเรา ธาตุในตัวเรา (ที่อ่านจากดวงชะตา) มีหลายชั้น มีทั้งที่สามารถแก้ได้ แก้ได้บางส่วน หรือแก้ไม่ได้ เช่นบางคนที่ตาบอดมาแต่กำเนิด แบบนั้นคือแก้ไม่ได้ หรือ แก้ยาก ส่วนที่แก้ได้ หรือ แก้ได้บางส่วน นั้นเกิดจากนิสัยและการกระทำส่วนตัวของเรา เช่น พวกพินธุบาทว์นี่เอง พินธุบาทว์คือ ดวงชะตามีจุดเสีย มีตำหนิ อย่างคนที่เสาร์ เล็งลัคน์ ชีวิตแต่งงานของเจ้าชะตามักไม่ปกติ เพราะมักเลือกมาก เอาแต่ความคิดของตัว ไม่มีเหตุผล แต่กลับไปเพ่งโทษเอาเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง หากผู้นี้เป็นหญิง ชายใดที่มาพึงพอใจแต่งงานด้วย ก็คงจะมีนิสัยคล้ายกัน จึงเรียกว่าได้คู่ไม่ดี หากคนไหนดีๆ ก็ย่อมไม่อยากมาสนใจคนเช่นนี้ ถึงแม้มีใครมาอยู่ร่วมด้วยแล้ว จึงมักมีเรื่องไม่สงบอยู่เนืองๆเพราะนิสัยตน ดังนั้น หมอดูจึงรวบรัดทำนายว่า เสาร์เล็งลัคน์มีคู่ไม่ดี หรือ แต่งงานไม่ดี จึงมักถูกเผง แต่หากใครแก้นิสัย หรือไม่มีนิสัยเช่นนั้น หมอดูก็ทายผิดอยู่เอง

คำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ต้องพูดให้ละเอียดว่า ดี หรือ ไม่ดีอย่างไร ต่อใคร ผีเน่าอาจจะดีและเหมาะสมกับโลงผุ เพชรมณี ย่อมดีต่อเรือนแหวนที่งดงาม หากเราอยากได้คนดีๆ ตัวเราเองนั้นดีด้วยหรือไม่ ถ้าจะกำหนดเอาคุณสมบัติที่ดีดีประดามี มาเพื่อให้เราเลือกเป็นของเรา ตัวเราจะเหมาะสมกับสิ่งดีๆสิ่งนั้นหรืออย่างไร อีกอย่างหนึ่ง คนที่ว่า “ดี” นั้นอาจจะไม่ได้ดีสำเร็จรูปมาเลย คนที่ดีๆ อาจจะผ่านการต่อสู้ฟันฝ่าจากลำบากยากแค้น ไปจนมีหลักฐานเป็นปึกแผ่นแน่นหนา หากได้ชายยากจนไม่มีการศึกษา แต่เราไปจบปริญญาโทจากต่างประเทศมา เราจะตัดสินว่าได้คู่ดี หรือ ไม่ดีอย่างไร ลองคิดแล้วตอบเอาไว้ล่วงหน้าก็ได้

ดวงชะตาเรื่องคู่ของ “คุณธารา” นั้น ส่วนใหญ่เพราะปัญหามาจากตัวฝ่ายหญิง ดวงชะตามีจุดเสียที่นิสัยใจคอ ซึ่งหากจะไม่มีความสุขก็จะเนื่องมาจากผลการกระทำของตนเอง ชิวิตจะมีจุดหักเหอยู่หลายครั้ง และกว่าจะได้พบคู่ก็ต้องผิดหวังมาก่อน เพราะคิดเลือกตามที่หวัง สุดท้ายคนที่ได้คือคนที่ไม่อยากเลือก ดวงจะได้แต่งงานแน่ แต่คู่นั้นเป็นคู่กรรมที่เกิดมาเพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน คู่จะเป็นคนที่มีคุณสมบัติดี (เท่าที่สังคมยอมรับได้) แต่การครองคู่นั้นอาจไม่สงบสุขราบรื่น จะอยู่ทนกันไปจนแก่เฒ่าก็ได้ แต่จะอยู่ยืดยาวเพียงใดชีวิตข้างหน้าคงเป็นไปตามที่ทั้งสองฝ่ายลิขิตเอง

00000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 3 คุณโกวเล้ง.........ขอโทษคับ ผมเขียนย่อเกินไปไม่ชัดเจน หมายความว่า ดาวอื่นๆโคจรพักรในเรือนจันทร์ ก็มีผลต่อจันทร์ได้เหมือนเสาร์เพียงแต่ผลจะมีดีกรีไม่เท่ากัน แล้วแต่ดาว สำหรับเสาร์แล้ว แต่เมื่อยังไม่ได้เสียกัน เสาร์กับจันทร์ยังไม่มีปฏิกิริยาจริง แต่หากได้เสียกัน ๒๗ พักร ก็เกิดเป็นผลขึ้น เป็นความจากพรากแยกจากกันไป ดาวอื่นไม่เกี่ยวกับ ๒๗ ส่วน การร่วมเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับดาวพักร แต่มักจะเกี่ยวกับ อังคาร เป็นตัวเอก มีดาวอื่นๆมาเป็นตัวประกอบ แต่ดวงหญิง และดวงชายก็ดูไม่เหมือนกัน เราอย่าเอาข้อความในนิตยสารมาเป็นอารมณ์นักเลย เพราะหากแค่เสาร์พักรเรือนจันทร์แล้วได้เสียไม่ดี คนทั้งโลกก็ไม่ดีไปหมด มันขึ้นอยู่กับดวงเฉพาะแต่ละคน ที่อธิบายมาก็เพื่อให้เห็นว่าเรื่องมันมาจากไหนเท่านั้น


วรกุล - 13 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:36น. (IP: 203.107.201.70)

ความคิดเห็นที่ 6
กระผมเป็นพ่อครับ ธาราเป็นลูกสาวไม่ผิดแน่ เพราะผมแนะนำเอง

ขอบพระคุณท่านอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูงนะครับที่กรุณาตอบให้


สาโรจน์ - 14 ธันวาคม พ.ศ.2548 00:44น. (IP: 58.10.224.125)

ความคิดเห็นที่ 7
โหราศาสตร์ที่เป็นมาแต่โบราณ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน มีอยู่หลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป บางสิ่งนั้นเปลี่ยนแล้วก็ดีขึ้น เพราะความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่สามารถนำมาทำความเข้าใจธรรมชาติและชีวิตได้มากทีเดียว พลอยทำให้เรามีความรู้ที่กว้างขวางขึ้น เช่น เรื่องอาชีพ ที่คนโบราณส่วนมาก ไม่เป็นทหาร ก็เป็นพ่อค้า ไม่เป็นพ่อค้าก็เป็นขุนนาง หรือ ชาวไร่ชาวนา เวลาทำนายทีไร แค่ดูมือก็พอรู้ว่ามีอาชีพอะไร แต่เดี๋ยวนี้อาชีพหลากหลายมากขึ้นเป็นนับล้านอาชีพ อะไรๆ ก็นำมาทำเป็นอาชีพหมด การทำนายยากเข้า แต่ความรู้กว้างขวางขึ้นมาก รวมทั้งความรู้ เรื่องธรรมชาติ ก็มีมากขึ้น อะไรหลายอย่างที่โบราณเคยสงสัย และส่งต่อความสงสัยนั้นมา ก็สามารถทำความเข้าใจได้มากขึ้น

แต่บางสิ่งเปลี่ยนแปลงแล้วกลับเลวลง แต่เดิมชีวิตของเราอยู่กับแนวคิดอนาล็อก คือ มักเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แปรผันเชิงปริมาณ แต่พอล่วงสมัยต่อมา มนุษย์เราเริ่มมีการแบ่งแยกวิจัยละเอียดมากขึ้น ทำให้เกิดความคิดขีดขั้นเป็น***ส่วน แม้ยังคงความคิดแบบอนาล็อก แต่ปริมาณนั้นก็ยังถูกจำแนกแยกชั้นละเอียดขึ้น จนเข้าสู่ยุคดิจิตอลในสมัยต่อมา สิ่งเหล่านี้พลอยทำให้แนวคิดทางโหราศาสตร์ถูกเปลี่ยนแปลงไป อะไรที่เคยวางเป็นหลักไว้เพียงเพื่อสังเกตการณ์ กลับถูกตรึงกลายเป็นหมุดยึด ให้แยกจากกันชัดเจน สิ่งเหล่านี้ทำให้วิชาโหราศาสตร์แต่เดิม หายสาบสูญไป เขียนมาตั้งหลายบันทัด คนที่อ่านคงจะยังงงอยู่ว่าพยายามบอกอะไร

ยกตัวอย่างเรื่องจักรราศี เดิมจักรราศีแบบเก่า ไม่ได้แบ่งแยกอะไรกันขนาดสมัยใหม่คิด เมื่อโบราณกำหนดจักรราศีขึ้น ก็ไม่ได้คาดหมายว่าดาวจะต้องอ้างอิงกับราศีโดยเคร่งครัด แต่มักอ้างอิงกับสิ่งที่เป็นชีวิตอยู่บนพื้นโลก เช่น ดาวอังคารมาโคจร อยู่ตรงหัวเรา ดาวหางมาโคจรอยู่ในกลุ่มดาวลูกไก่ อะไรประมาณนั้น ดังนั้น การกำหนดองศา และราศีก็ไม่ได้กำหนดแบบเคร่งครัด แต่เมื่อมีดาราศาสตร์พัฒนาขึ้นมาละเอียดขึ้น จึงมีผู้นำมาสวมใช้กับโหราศาสตร์ด้วย กลายเป็นเรื่องรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพราะสูญเสียสิ่งอันล้ำค่าที่โหราศาสตร์วางรากฐานเอาไว้ สิ่งนี้เป็นพื้นฐานของวิชาที่แท้จริง โดยเฉพาะโหราศาสตร์ไทยเดิม แทบทุกวิชา นักศึกษาสมัยปัจจุบัน เมื่อยิ่งได้แนวคิดจากโหราศาสตร์ตะวันตก ที่ถูกทำลายหลักสำคัญไปแล้ว ก็หันมาทำลายโหราศาสตร์โบราณอย่างโหราศาสตร์ไทยให้ตายตามไปด้วย เพราะไปคิดเอาเองว่า อะไรที่ละเอียดก็ยิ่งดี อะไรที่คำนวณได้ทศนิยมสักสองร้อยตำแหน่ง ก็คงจะถูกต้องกว่า อะไรที่กำหนดเพียงดูหยาบๆ ไม่ใช้ทศนิยมเลย เวลานาฬิกาอะไรที่ใช้ เช่นเวลาเกิด ก็จับเวลาจนถึงระดับทศนิยมของวินาที (เช่นที่โรงพยาบาลเอกชนบางแห่งในกรุงเทพ) ก็เชื่อว่าจะทำนายดวงชะตาได้แม่นยำกว่าการที่โบราณดูแสงเงินแสงทองจับท้องฟ้า ไม่แน่นอนอะไร

อนิจจัง วตสังขารา สังขาร(สิ่งปรุงแต่ง)ทั้งหลายไม่เที่ยง นั้นเป็นจริงทีเดียว

ใครเคยขับรถออกจากจังหวัดที่ตัวเองอยู่บ้างไหม สมมุติว่า เราอยู่ในกรุงเทพ ขับรถออกไปทางปทุมธานี คุณเคยสะดุดบ้างไหมว่า เขตตรงไหน เป็นปทุมธานี ดินและหินกรวดก้อนไหนอยู่ในปทุมธานี หรือ กรุงเทพมหานครกันแน่ คลองที่ไหลข้ามจังหวัดมา สีของน้ำที่ไหลผ่านปทุมธานีมาในเขตกรุงเทพ มันเปลี่ยนสีบ้างไหม เวลามีฝนตก อุตุเคยพยากรณ์ได้ไหมว่า ฝนจะตกจนเปียกโชกในเขตปทุมธานี แต่หากข้ามเขตเข้ากรุงเทพแม้แต่เพียงเศษทศนิยมของมิลลิเมตร พื้นดินจะแห้งผาก เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะเขตจังหวัดที่เรากำหนดไว้ เป็นไปตามความเห็นของมนุษย์ต่างหาก อยากจะยืดหดขยายอย่างใดก็เป็นความพอใจของมนุษย์เอง แต่ฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า น้ำในแม่น้ำลำคลอง มันไม่ได้รู้เห็นด้วย มันก็ไหลไปตามธรรมชาติของมัน มันไม่เคยสนใจว่ามันอยู่ในเขตไหน ธรรมชาติมันไม่ได้รู้เห็นด้วย

ลองนึกดูบ้างสมมุติ ดาวพฤหัส กำลังโคจรอยู่ในราศีธนูเป็นอย่างดี โหรทำนายว่า พฤหัสเป็นเกษตร ก็ย่อมดี อุดมสมบูรณ์ มีพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติศฤงคารบ้านช่อง ถึงพร้อมด้วยสติปัญญา มหาศาล แต่พอพฤหัสจะยกย้ายเข้าราศีมังกร สมมุติเวลาเที่ยงคืนคืนนี้ตามเวลาที่กรีนิช ณ เวลา เที่ยงคืนกับอีก 0.00000001 วินาที พฤหัสจะเคลื่อนตัวเข้าราศีมังกร กลายเป็นนิจ พฤหัสกลายเป็นความอาภัพ อับปัญญา หาสมบัติอะไรไม่มี ต่ำต้อย ต้องไปขอทานเขากิน ราวกับว่า เมื่อพฤหัสกระโดดข้ามราศีจากธนูไปมังกร เพียง 0.00001 ฟิลิปดา พฤหัสจะโดนเชื้อโรคคำสาปอะไรสักอย่างหนึ่งทำลายไปหมดทั้งชีวิต เป็นเรื่องตลกไหม เมื่อพฤหัสเป็นประ ในราศีมิถุน จรเข้ากรกฏ เป็นมหาอุจ ก็ดูตลกคล้ายกัน นี่ถ้ายิ่งมันพักร เสริด ถอยหลังเดินหน้าคาบกันสองราศีนี้ มันก็คงจะจนๆรวยๆสลับกันไป จนถึงกับบางอาจารย์เอาไปสอนเอาไว้ในหนังสือว่า “รวยๆ จนๆ ไม่แน่นอน เช่นจนแล้วกลับรวย รวยแล้วกลับจน” แรกๆผมอ่านแล้วก็ทึ่งในความคิดดี แต่ดูดวงจริงแล้วหาคำอธิบายไม่ได้ หากมีคนนอกวงการโหราศาสตร์มาถาม เราจะอธิบายให้เป็นวิทยาศาสตร์ได้อย่างไร

ในโหราศาสตร์ไทย เส้นแบ่งราศีเป็นเพียงเส้นสมมุติที่ตีเส้นเอาไว้เหมือน milestones เท่านั้น คือใช้เพื่อบอกระยะว่าอะไรอยู่ตรงไหน เช่น หากดาวอังคารโคจรไป แล้วถ้าไม่มีเส้นบอกระยะ เราก็ไม่รู้ว่าดาวอังคารโคจรไปแล้วไกลเท่าใด อยู่ห่างจากดาวอื่นเท่าใด และหากจะวัดระยะเชิงมุม ก็ไม่รู้ว่าทำมุมกับดาวอื่นเป็นเท่าใด นอกจากจะต้องใช้เครื่องวัดมุมกันทุกครั้ง การบอกขอบเขตและมีชื่อราศี ทำให้ติดตามการโคจรของดาวได้ สิ่งที่สำคัญของโหราศาสตร์ไทยกลับไม่ใช่ราศี แต่เป็นเรือน เพราะ โหราศาสตร์ไทยมีหลักที่การใช้เรือน และเจ้าเรือนเกษตร และเรือนนี้ แม้ในเวลาปกติจะซ้อนทับกับราศี ในจักรราศี แต่เรือนของโหรไทยก็เคลื่อนที่ได้ เปลี่ยนแปลงได้ตามธาตุ ทำให้ดูเหมือนโหรไทยไม่ได้สนใจเรื่องราศี แต่สนใจที่ดาว หรือ ธาตุดาว ขณะที่ดาวเดินข้ามราศีที่แตกต่างกันนั้น มันไม่ได้เปลี่ยนคุณสมบัติธาตุของมันโดยฉับพลัน แต่จะค่อยปรับพลังงาน โดยการดูดซับ หรือ ปลดปล่อย เอาพลังงานธาตุ และธาตุที่หมุนเวียนอยู่ในดวงชะตา เข้ามา หรือ ออกไป ทำให้ตัวมันเปลี่ยนภพภูมิ ซึ่งทำให้เปลี่ยนคุณสมบัติไปได้ และการที่ดาวเข้าทำปฏิสัมพันธ์กัน ก็ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงขอบเขตราศี ดาวอาจจะจับคู่ขณะอยู่ต่างราศีที่ใกล้ชิดกันก็ได้ นอกจากนั้น ตำแหน่งดาวมาตรฐาน เช่น พฤหัสที่ย้ายจากราศีมิถุนเข้ากรกฏ บางดวงชะตาจึงอาจจะไม่เป็นมหาอุจ ซึ่งขัดกับกฎที่ท่องกันมา เพราะต้องดูกำลังดาว กำลังธาตุที่ได้รับ ไม่ใช่กลายเป็นดาวมาตรฐานไปโดยอัตโนมัติเพียงแค่จรข้ามราศี

ดังนั้น การที่ดาวแต่ละดวงจะเป็น ประ นิจ อุจ เกษตรประการใด โหรโบราณจะคำนึงถึงสภาวะ และธาตุที่แท้จริงของธาตุดาว ไม่ใช่อยู่ราศีใด ก็เปลี่ยนทันควัน แบบที่พวกเรานำเอาแนวคิดของโหรระบบอื่นมาใช้ ซึ่งทำให้เสียหลักวิชาโหราศาสตร์ไทยไป และพลอยทำให้ปิดกั้นหลักวิชาอีกจำนวนมากที่โหรไทยใช้ในการทำนาย และการที่โหราศาสตร์ระบบอื่น มาเจ้ากี้เจ้าการกำหนดให้โหราศาสตร์ระบบดั้งเดิมแบบไทย ว่าเป็นจักรราศีแบบ นิรายนะ แล้วเรียกตัวเองว่าสายนะ โดยไปยึดเอาจุดต้นจักรราศีว่าเป็นการวัดที่เคลื่อนที่ไปจากเดิม ที่เรียกว่า อายนางศะ เรื่องนี้จะยังไม่พูดถึง แต่ผลของการกำหนดราศีที่ไม่ตอกหมุดยึดแน่นนั่นเอง ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ปฏิทินโหราศาสตร์ไทย แตกต่างไปจากปฏิทินที่ได้จากดาราศาสตร์

แต่ในขณะที่จักรราศีแบบไทยเรา อาศัยความเคร่งครัดเรื่องเรือนและเจ้าเรือน แต่ไม่ได้เคร่งครัดที่เส้นแบ่งราศี ในขณะที่วงจรธาตุ อย่างเช่นมหาทักษา แต่ละภูมิธาตุนั้นกลับเป็นภูมิที่แยกกันอยู่โดยสิ้นเชิง อย่างสมมุติ มหาทักษา จากภูมิพุธ ไป ภูมิเสาร์ จะเป็นเส้นแบ่งเด็ดขาด นับว่าตรงกันข้ามกับการแบ่งเส้นราศี ทั้งนี้เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า แต่ละภูมิของธาตุไม่ใช่พื้นที่ที่ติดต่อกัน อย่างที่เราเห็นจากจักรราศีในท้องฟ้า แต่ละภูมิธาตุเช่นในมหาทักษา เป็นภูมิสมมุติที่เพียงเอามาเรียงต่อกันเท่านั้น หากจะสมมุติให้เห็น ก็ลองสมมุติว่า ภูมิพุธเป็น สวรรค์ ภูมิเสาร์เป็นโลกมนุษย์ อะไรประมาณนั้น เราไม่ได้เดินจากสวรรค์มาทะลุโลกมนุษย์ได้ เหมือนเส้นแบ่งจังหวัด แต่ ธาตุในแต่ละภูมิแยกกันอยู่เป็นเอกเทศ ไม่มาปะปนกัน การหมุนเวียนธาตุ ก็เป็นการหมุนชนิดที่ไปพร้อมกัน และเป็นการหมุนทางความคิด (concept) ไม่ได้เป็นการจำลองการเคลื่อนที่ของวัตถุจริงเช่น ธาตุดาว หรือดาวในดวงชะตา ในเมื่อการหมุนของเรือนชะตา และ มหาทักษา ไม่ใช่การหมุนของเทหวัตถุจริง ดังนั้น มันจึงไม่ได้ขึ้นกับ เวลานาฬิกาตามปฏิทิน (time / clock) แต่ขึ้นกับ คาบเวลา (period) อย่างใดอย่างหนึ่ง

เมื่อเราดูทักษาจร หรือ การนับอายุจร เรามักถูกสอนให้คำนวณอายุมาเข้ามหาทักษา เช่นบางคน นับอายุทางสุริยคติ เมื่อขึ้นอายุใหม่ก็จะเปลี่ยนภูมิพยากรณ์ทันที เช่น เกิดวันที่ 30 พฤศจิกายน หากปีนี้อายุย่าง 25 ปี ตกภูมิ พุธ เป็นบริวารจร พอวันที่ 1 ธันวาคม อายุย่าง 26 ปี ตกเสาร์เป็นบริวารจร พุธจะกลับเป็นกาลกิณีจรทันที กลายเป็นว่าพุธให้โทษเพียงข้ามวัน ต่างจากโบราณที่ใช้กำหนดเวลาจากจันทรคติ จันทรคตินั้นกำหนดจากรอบของจันทร์จร ซึ่งเป็นคาบเวลาที่เท่าๆกันเป็นจังหวะที่นำมาใช้สร้างวงจรธาตุตามธรรมชาติ ดังนั้น การดูอิทธิพลธาตุตามวงจร จึงต้องดูจากปัจจัยคือธาตุที่เปลี่ยนแปลงตามคาบเวลา ไม่ใช่เงื่อนไขคือตำแหน่งของเวลานาฬิกา ก็จะสอดคล้องกันกับโหราศาสตร์ไทยทั้งระบบ และเข้ากันได้ เมื่อนำมหาทักษา หรือ วงรอบธรรมชาติอื่นใด ไปใช้ในโหราศาสตร์ไทยระบบอื่นนั่นเอง

ดังนั้น การอ่านดาวในโหราศาสตร์ไทย แม้ดาวคู่หนึ่งจะเคยกุมกันอยู่ในราศี แต่เมื่อดาวหนึ่งเดินออกข้ามราศีไปแล้ว แต่องศายังอ่อนอยู่ ธาตุของดาวก็ยังคงมีอำนาจพอที่จะยังส่งถึงราศีเดิม เท่ากับดาวคู่นี้ยังคงกุมกันอยู่ ลักษณะนี้จะคล้ายกับการพิจารณาทางสากล ในลักษณะดาวต่อดาว แต่สิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของโหราศาสตร์ไทย ก็คือ ไม่ว่าดาวจะอยู่ในราศีใด องศาอ่อนแก่เพียงใด ก็จะสัมพันธ์กับเจ้าเรือนเกษตรที่ตนอยู่เสมอ แม้จะโคจรข้ามราศีมาเพียงนิดเดียวก็ตาม


วรกุล - 19 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:28น. (IP: 203.107.196.144)

ความคิดเห็นที่ 8
เรียน อ.วรกุล...

ขออาศัยโอกาสช่วงนี้เขียนสิ่งที่ติดใจสงสัยไม่เข้าใจเป็นรายข้อ ให้ อ.วรกุล กรุณาช่วยชี้แนะดังนี้ครับ

๑.) ยามกลางวัน ๑๖๔๒๗๕๓ (๘) และยามกลางคืน ๑๕๒๖๓๗๔ (๘) โดยเฉลี่ย เราแบ่งยามละ ๑ ชั่วโมง ๓๐ นาที แต่หากว่าเราไปอยู่สถานที่ ที่ระยะเวลากลางวันและกลางคืนต่างกันอย่างชัดเจน(เช่น นอร์เวย์ สวีเดน) เราจะยังแบ่งคาบเวลาเฉลี่ยของแต่ยามเท่ากันอยู่หรือไม่ครับ หรือว่านี่เป็นข้อจำกัดในวิชานี้ หรือว่ายังมีหลักเกณฑ์อื่นที่วางไว้ให้ทราบเฉพาะ

เพราะว่า อย่างหนึ่งที่ผมไม่แน่ใจ คือ เราจะเริ่มนับยามแรกของวันที่เวลา ๖.๐๐ น. หรือเมื่อยามเห็นแสงอาทิตย์ปรากฏ ซึ่งแต่ละฤดูกาลก็ไม่ตรงกันอีก ผมคาดว่าผมไม่เข้าใจหลักเกณฑ์ที่แท้จริงของหลักวิชานี้จึงทำให้เขียนเช่นนี้ออกมา

๒.) ผมได้พบ การวางยามทั้งกลางวันและกลางคืนในรูปแบบเดียวกับ แผนภูมิทักษาคู่ธาตุ โดยยามกลางวัน เริ่มวาง อาทิตย์ที่ทิศตะวันออกและวนทักษิณาวัตร พร้อมปิดท้ายด้วยราหู ในขณะที่ยามกลางคืนจะวาง อาทิตย์ที่ทิศตะวันตกพร้อมกับเดินคาบเวลาไปแบบอุตตราวัตร ปิดท้ายด้วยราหูเช่นกัน หากมองดูแล้วก็คล้ายกำหนด คาบเวลา โดยระหว่าง ราหูและอาทิตย์เป็นรอยต่อของคาบเวลาชุดหนึ่ง จุดนี้จะเป็นจุดกระโดดวกเข้าตากลางด้วย ผมสังเกตว่าจุดวกเข้าตากลางของยามกลางวันจะตรงกับจุดวกของแผนภูมิคู่ธาตุ ๑๒๓๔๗๕๘๖ นั่นคือสิ่งที่ผมสงสัยแต่ไม่ทราบว่าทั้งสองเรื่องจะเกี่ยวข้องกันหรือไม่อย่างไร (ก็อาจจะคนละเรื่องกัน และหลักวิชาต่างกัน)

๓.) วันในสัปดาห์เรียง ๑๒๓๔๕๖๗ แล้วเพราะอะไรถึงกำหนด ๑๒๓๔๗๕๘๖ มีวิธี เหตุ-ผล ให้เข้าใจได้หรือไม่ครับ หรือเป็นเรื่องยาวมากๆ

๔.) ข้อนี้ผมคิดแล้วขอนอกเรื่องโหราศาสตร์ไทยที่ อ.วรกุล สอนนะครับ อยากทราบว่าดวงเมือง รุ่งแล้ว เก้าบาท (๖.๕๔ น.) เป็นเวลาท้องถิ่นบางกอกและเป็นวันอาทิตย์ หากผูกดวงละเอียดตามเวลามาตราฐานประเทศไทยปัจจุบัน(อุบลราชธานี)โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปตอนนี้เราควรเพิ่ม ๑๘ นาทีเป็น ๗.๑๒ น. หรือเปล่าครับ อย่างน้อยลัคนาดาราศาสตร์คงจะเลื่อนไปประมาณ ๕ องศา

หากเราต้องการทราบยามย่อย สมัยโบราณเขาจะเลือกอย่างไรครับ ว่าเป็น เสาร์ หรือ พฤหัส

๕.) ข้อนี้ต่อเนื่องจากจาก ๑.) และ ๔.) ครับ สมมุติ วันนี้วันอังคาร เวลามาตราฐานประเทศไทย ๑๒.๔๕ น. (ดังนั้นเวลาท้องถิ่นกรุงเทพ ๑๒.๒๗ น.) ลำดับยามวันอังคาร ๓๑๖๔๒๗๕๓ หากพิจารณาเวลามาตราฐานและท้องถิ่นเราจะได้ยามใหญ่เป็นยามพุธ ส่วนยามย่อย เวลามาตราฐานเป็นยาม ๗ และเวลาท้องถิ่นเป็นยาม ๕ เราจะมีหลักเกณฑ์อย่างไรดีครับ

ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 20 ธันวาคม พ.ศ.2548 12:04น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 9
ขอโทษครับ สมมติเวลา ข้อ ๕.) ผิด ที่ถูกต้องเป็นเวลามาตราฐาน ๑๑.๔๕ น. และเวลาท้องถิ่น ๑๑.๒๗ น.


หนูน้อย - 20 ธันวาคม พ.ศ.2548 12:11น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 8 คุณ หนูน้อย คำถามน่าสนใจดี แต่ผมไม่มีเวลามาก จึงขอตอบโดยสังเขป

1/ เรื่องการนับยามจากไหน ต้องถือว่ามีการนับสองแบบ แต่จริงๆแล้วก็เป็นแบบเดียวนั่นแหละ แล้วแต่วัตถุประสงค์ในการนับ ปกติการนับยาม ที่เป็นอัตราของเวลา หมายถึงเป็นส่วนย่อยของ โมงยาม (คล้ายกับเรานับนาที วินาทีเป็นส่วนย่อยของชั่วโมง) โบราณจะนับจากพระอาทิตย์ขึ้น แล้วดูตำแหน่งอาทิตย์เทียบกับพื้นดิน หรือ นาฬิกาแดด จนไปถึงอาทิตย์ตก แล้วดูดวงจันทร์ และดาวแทน ดังนั้น เวลาเฉลี่ยของยามจึงไม่ใช่ 1 ชม 30 นาที และไม่เท่ากัน ระหว่างกลางวันกับกลางคืน เพราะการวัดแบบนี้ แปรผันไปตามฤดูกาล และ ท้องถิ่น

ส่วนการนับยามที่ใช้ทางโหราศาสตร์ โหรจะนับจาก เวลาประมาณ 6:00 น. เป็นเวลาอาทิตย์อุทัยปานกลาง เหมือนกับที่เราวางลัคนา เวลา 6:00 น.นี้มีที่มาจากค่าเฉลี่ยเวลาอาทิตย์อุทัยระหว่าง วสันตวิษุวัต กับ ศารตวิษุวัต (vernal equinox 21 มีนาคม, autumnal equinox 22-23 กันยายน) โดยอนุโลม เพราะประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศุนย์สูตรอยู่แล้วและเป็นเวลาท้องถิ่น เพราะสมัยก่อนยังไม่ได้ใช้เวลามาตรฐานกรีนิช การหาตัวเลข 6:00 น.ในวันใดนั้น ก็หาจากการคำนวณปรับเวลาจากอาทิตย์อุทัยกลับไปนั่นเอง เมื่อได้ตัวเลขอาทิตย์อุทัยปานกลางแล้วจึงเริ่มนับยาม ยามที่นับวิธีนี้คือ ยามที่ใช้ในวิชาโหราศาสตร์ ดังนั้นจะเท่ากันหมดทุกยาม ประเทศที่อยู่ไกลเส้นศูนย์สุตรก็ต้องปรับเหมือนกัน สนใจก็ลองค้นคว้าดูก็ได้

2/ เรื่องการนับดาวเข้ายาม หรือเรียกว่า “การเดินยาม” เป็นได้หลายแบบครับ พอๆกับการนับมหาทักษาในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ การเดินยามทางดาวมักจะเป็นพวกวิชาวงรอบธรรมชาติ ที่ใช้วันเดือนปี เช่นเลข 7 ตัว เมื่อนำวงรอบมาเข้ามหาทักษาก็ต้องเทียบรอบเวลาให้ตรงกันก่อน

3/ เรื่องนี้ไม่ยาวนัก แต่บังเอิญเป็นเรื่องสำคัญที่มีพื้นฐานมาจากวิชาธาตุ จะว่าเป็นเรื่องปกปิด ก็ได้ แต่ถ้าจะเปิด ก็ต้องเรียนรู้อยู่หลายเรื่องก่อนจึงจะเข้าใจได้

4/ ปกติเวลาฤกษ์ เขาต้องแจ้งเป็นเวลาท้องถิ่นอยู่แล้วครับ หากจะบวกเวลากลับไปอย่างคุณว่าเพื่อใช้เวลาประเทศไทยในโปรแกรมสำเร็จรูปก็ถูกตามที่คิด ส่วนเรื่องการเดินยาม (ดาวเข้ายาม) มีหลายแบบ ถ้าเป็นผมจะสนใจแต่ฤกษ์ และนาทีฤกษ์

5/ ข้อนี้ คำตอบก็อยู่ที่ข้อ 2 + ข้อ 4 ใครจะเดินยามอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวิชา ที่ตกมาถึงเราเป็นเพียงบางแบบ หากสงสัยต้องไปถามผู้ที่สอนวิชาครับ ถามทั่วไปไม่ได้ ผมไม่อยากใช้ยาม เพราะ หากลงไปที่ภพภูมิของธาตุแล้วจะสับสนมาก จะใช้พลังงานธาตุก็ต้องแก้ต้องปรับ การใช้ยามนั้น มีข้อสมมุติฐานบางอย่าง ซึ่งยังไม่อยากเอ่ยถึง เพราะจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องต่อความยาว รู้ไปก็ยังใช้ประโยชน์ได้ยาก


วรกุล - 22 ธันวาคม พ.ศ.2548 04:19น. (IP: 203.107.200.27)

ความคิดเห็นที่ 11
สวัสดีครับท่านอาจารย์วรกุล

ผมอยากสอบถามเรื่องของดาวที่เป็นประ เพราะดาวที่เป็นประมีอยู่สองแบบคือดาวที่เป็นประในเรือนธาตุตน เช่น 5 ในราศีกันเป็นประในราศีธาตุดิน และเป็นประในเรือนธาตุตรงข้าม เช่น 5 ในราศีเมถุนเป็นประในราศีธาตุลม ผมจึงเกิดความสงสัยว่าดาวที่เป็นประในเรือนธาตุทั้ง2แบบจะต้องมีความแตกต่างในการทำนายอย่าไรครับ อยากให้ท่านอาจารย์วรกุลช่วยกรุณายกตัวอย่างในการอธิบายเพื่อความเข้าใจด้วยครับ

ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์วรกุลอย่าสูงครับ


ธีร - 23 ธันวาคม พ.ศ.2548 08:55น. (IP: 203.151.140.121)

ความคิดเห็นที่ 12
ตอบ 12 คุณธีร...........ดาวที่เป็นประมีอยู่สองแบบคือดาวที่เป็นประในเรือนธาตุตน เช่น 5 ในราศีกันเป็นประในราศีธาตุดิน และเป็นประในเรือนธาตุตรงข้าม เช่น 5 ในราศีเมถุนเป็นประในราศีธาตุลม จริงๆแล้วไม่เห็นแปลกอะไร เหตุที่คุณสงสัย ก็เพราะเอาเรื่อง(สภาวะ)ธาตุของดาวมาปนกับ (สภาวะ)ธาตุของราศี (ไม่ใช่เรือน) นั่นเอง แล้วดาวเป็นเกษตรในราศีธาตุที่แตกต่างกันคุณไม่สงสัยบ้างหรือไร เพราะมันน่าแปลกยิ่งกว่า เช่น พุธธาตุน้ำ เป็นเกษตรราศีกันย์ธาตุดิน เกษตร หมายถึง เจ้าของบ้าน บ้านที่ตัวอยู่ไม่ยักเหมือนกับธาตุของตัวเอง แปลกแต่จริง เรื่องนี้น่าจะสงสัยกันมานานแล้ว ประ เสียอีกที่ไปอยู่บ้านคนอื่น ไม่น่าแปลก เรื่องนี้ยาว.... ผมเคยคิดจะอธิบายให้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ และไม่เหมาะจะอธิบายตรงนี้ จึงไม่อยากทำ คำถามของคุณก็คล้ายๆกับมีคนถามว่า “คนรวยกินข้าวได้หรือ” เป็นคนละเรื่องเอามารวมกัน สำหรับคำตอบที่ให้คุณ ก็คือ

หนึ่ง ดิน น้ำ ลม ไฟ เรียกว่า “สภาวะธาตุ” ซึ่งเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ในจำพวกธาตุหลายชนิด สภาวะธาตุนี้ เมื่ออยู่กับ (ธาตุ)ดาวใด ดาวก็มีสภาวะธาตุนั้น สำหรับราศี มีสภาวะธาตุที่เกิดจากสมดุลย์ของจักรวาล เป็นสภาวะธาตุส่วนที่ไม่ได้อยู่ใน(ธาตุ)ดาว ดังนั้น การที่ดาวใด ไปอยู่ในสภาวะธาตุราศีใดจึงไม่เกี่ยว กับสภาวะธาตุในตัวดาวเอง พูดง่ายๆ ก็คือ สภาวะธาตุดาว กับ สภาวะธาตุราศี เป็นคนละส่วนกัน

สอง ดาวที่มีฐานะเป็น เกษตร เกิดจาก ธาตุดาวนั้นตรงกับ เกษตรธาตุในราศี จึงมีคุณสมบัติเป็นเกษตร ประนั้นก็ตรงกันข้าม เกษตร ประ นั้นจึงไม่ได้เกี่ยวกับสภาวะธาตุในข้อหนึ่งเลย

ดังนั้น การทำนายดาวในราศีจึงต้องแยกดูเรื่องประเกษตรก็เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องสภาวะธาตุก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องชนิดของธาตุ ผมเคยอธิบายไปบ้างแล้ว ในกระทู้แรกๆ ลองเปิดหาดูนะครับ ที่จริงเรื่องเช่นนี้ เราควรจะได้เรียนตั้งแต่ชั้นประถมโหราศาสตร์ไทยกันแล้ว แต่กระโดดข้ามไปเรียนปริญญาเอกกันหมด จบแล้วก็เป็นอาจารย์กันเลย ชั้นประถมและมัธยมจึงไม่ได้เรียนอย่างนี้แหละครับ


วรกุล - 24 ธันวาคม พ.ศ.2548 05:00น. (IP: 203.107.206.91)

ความคิดเห็นที่ 13
สวัสดีครับท่านอาจารย์วรกุล

ขอขอบคุณมากครับ เพราะผมเพิ่งเริ่มต้นเรียนรู้ถ้าหากตั้งคำถามที่ดูไม่ค่อยเกิดประโยชน์ก็ขออภัยด้วยครับ ผมจะพยามติดตามข้อเขียนของท่านอาจารย์วรกุลต่อไปเพื่อเพิ่มความเข้าใจครับ

ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรกุลมากครับ


ธีร - 25 ธันวาคม พ.ศ.2548 07:50น. (IP: 203.151.140.121)

ความคิดเห็นที่ 14
กราบเรียนท่านอาจารย์วรกุล

วันนี้ไม่มีคำถามค่ะ เข้ามากราบสวัสดีปีใหม่ค่ะ ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยปกปักรักษาคุ้มครองให้สุขภาพแข็งแรง คิดหวังสิ่งใดขอให้สมมาตรปรารถนาค่ะ


เอวิตรา - 30 ธันวาคม พ.ศ.2548 12:05น. (IP: 58.136.204.28)

ความคิดเห็นที่ 15
เรียน อาจารย์วรกุล

สวัสดีปีใหม่คะในปีใหม่ 2549 นี้ขอให้อาจารย์วรกุล มีสุขภาพแข็งแรง มีความสุข เย็นใจ เย็นกาย ตลอดปีใหม่นี้นะคะ


moon - 31 ธันวาคม พ.ศ.2548 08:53น. (IP: 61.91.252.174)

ความคิดเห็นที่ 16
ขอบคุณ คุณ เอวิตรา คุณ moon (นึกว่าหายไปแล้ว) ที่เข้ามาอวยพร ขอให้ทั้งสองท่าน และผู้ที่เข้ามาอ่านกระทู้ทุกท่านจงประสบโชคดีตลอดปีใหม่ มีความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน มีความสุขสมหวัง คิดสิ่งใดสมความปรารถนา เจริญก้าวหน้าในชีวิต มีปัญญาเพิ่มพูน เห็นธรรมทุกท่าน พ้นจากทุกข์ภัย ปราศจากภยันตอันตรายทั้งสิ้นทั้งปวง

ผมเองเขียนอะไรไม่ค่อยได้ เพราะร่างกายแพ้อากาศเย็น ถึงฤดูนี้เป็นเสร็จทุกที เนื่องจากเกิดตอนหน้าร้อนจัด พอถึงเดือนธันวาก็จะมีงานเยอะด้วย จะเบื่อชีวิตช่วงนี้เป็นประจำทุกปี มักจะเจ็บป่วย ดวงชะตาเป็นอย่างนั้น-


วรกุล - 31 ธันวาคม พ.ศ.2548 14:42น. (IP: 203.107.160.215)

ความคิดเห็นที่ 17
สวัสดีปีใหม่ครับท่าน อ. วรกุล

และสวัสดีปีใหม่เพื่อนๆร่วมอ่านกระทู้ของ อ. ทุกๆท่านด้วย


กล้วย - 1 มกราคม พ.ศ.2549 01:49น. (IP: 203.113.67.71)

ความคิดเห็นที่ 18
วันก่อนไปตลาด คนขายหมูซึ่งว่างมากหน่อยเลยชวนคุยว่า ช่วงหลังขายหมูไม่ดี กำไรยาก (มาดีตอนไก่เป็นไข้หวัดนก) เขาพูดประโยคหนึ่งว่า “ถ้าผมไม่กำลังตกงานอยู่ตอนนี้ คงไม่มาขายหมูหรอก ” เท่าที่รู้ประวัติเขา เคยทำงานบริษัทมาอยู่ระยะหนึ่ง เผอิญบริษัทล้ม จึงมาช่วยครอบครัวขายหมูที่เขียงในตลาด เพราะสมัครงานที่ไหนก็ยังไม่ได้ อายุ 40 กว่าแล้ว หางานยากขึ้น ทุกวันนี้ก็ยังหางานอยู่ เมื่อตอนทำงานบริษัท เขาได้เงินเดือนไม่ถึง 2 หมื่นบาทยังไม่หักภาษี แต่ตอนนี้ขายหมูอยู่ กำไรวันละ เกือบสองพันบาท รายได้ดีกว่ากันตั้งเยอะ แต่เขาเจอผมทีไรก็บ่นว่า “เมื่อไรจะเลิกตกงานเสียที ”

เราเป็นหมอดู เราจะเจอคนแบบนี้เยอะทีเดียว ที่มักคิดว่า การที่ไม่ได้ไปทำงานบริษัท หรือ ทำราชการ มาหาเลี้ยงตัวเองแบบไม่มีตำแหน่งหน้าที่คือ การตกงาน เราอาจจะเข้าใจผิดคิดว่าหากเขาตกงานก็คงไม่มีเงิน แต่ตรงกันข้าม รายได้เขาดีกว่าตอนเป็นลูกจ้างคนอื่นด้วยซ้ำไป นี่เป็นเพราะค่านิยมของสังคมที่ต้องมีตำแหน่ง แห่งที่แน่นอนมีหน้าตา แต่เวลาเราพยากรณ์ดวงชะตาเราจะเอาค่านิยมเช่นนี้มาคิดไม่ได้ การดูการงานอาชีพนั้น เป็นเรื่องที่ดูยากที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะอาชีพในโลกทุกวันนี้มีหลากหลาย และจะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมอื่นๆมากมายจนบางครั้งเราจะแปลความหมายไม่ออก หมอดูที่ว่าเก่งๆ หากเราตามดูเขาไปเพื่อทำสถิติความแม่นยำ เขาอาจจะพยากรณ์อาชีพถูกได้เพียง 30 – 40 % เท่านั้น นี่เป็นข้อเท็จจริงที่น่าหัวเราะสำหรับโหราศาสตร์

วิธีพยากรณ์อาชีพในโหราศาสตร์ที่หมอดูทำกันอยู่ อาจจะทำได้หลายแนวทาง อย่างเช่น หนึ่ง พยากรณ์แบบเหตุการณ์ เช่น ต้องพบปะกับคนมากๆ ต้องเดินทางบ่อยๆ ต้องอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บ อะไรแบบนี้ โดยไม่ได้ระบุชื่อของอาชีพลงไป สอง โดยธรรมชาติหรือ ชนิดของสิ่งที่มาเกี่ยวข้อง เช่น ทำอะไรเกี่ยวกับน้ำๆ ที่ดิน เหล็ก ไฟฟ้า เครื่องจักร ยานพาหนะ สาม โดยลักษณะงาน เช่น ใช้แรงงาน เป็นลูกจ้าง เป็นเจ้าของ เป็นข้าราชการ ต้องขับรถ ต้องเดินทางบ่อย สี่ โดยสถานที่ หรือลักษณะของสถานที่ทำงาน เช่น โรงงาน โรงพิมพ์ ที่เก็บเงิน โกดัง ใกล้น้ำ ใกล้วัด ห้า ลักษณะของสิ่ง หรือ วัตถุที่เกี่ยวข้อง เช่น น้ำยาเคมี วัตถุเชื้อเพลิง อาหาร ขนม ยา วัตถุก่อสร้าง อิฐปูนทราย ของอ่อนๆ แบนๆ กลมๆ หก ลักษณะหน้าที่ เช่น ต้องดูแลควบคุม เป็นผู้ติดต่อ ให้บริการ บริหาร ออกแบบ ขายของ หรือ เจ็ด ระบุอาชีพ ลงไปเลย เช่น เป็น ทหาร นักดนตรี ครู หมอ อะไรแบบนี้ เป็นต้น

ในย่อหน้าที่แล้วเราอ่านดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะเป็นสิ่งที่เราพบเห็นกันอยู่แล้ว แต่จะน่าแปลกใจ หากเราจะกลับไปคิดว่า แล้วเราจะดูสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไรจากดวงชะตา หรือ ใช้โหราศาสตร์อย่างอื่นๆก็ตาม นี่เป็นคำถามที่เป็นปัญหาในวิชาโหราศาสตร์มานานแล้ว เพราะส่วนใหญ่ ผู้ที่มาดูหมอมักจะคาดหมายว่าเขาจะได้รับคำตอบอาชีพที่ชัดเจน ไม่ใช่คำตอบที่เป็นเหมือนปริศนาที่ต้องแปลกันหลายชั้น อย่างเช่น เขาถามว่าจะไปทำอาชีพอะไรดีจึงจะเหมาะกับดวง หมอดูตอบว่า ต้องไปทำเกี่ยวกับ น้ำๆ จึงจะรวย ลองนึกสิว่า ในโลกนี้มีน้ำเป็นองคประกอบอยู่ถึงสามในสี่ส่วน ลองไปดูสินค้าในซุปเปอร์มาเก็ตก็ได้ ว่ามีน้ำอยู่ในสินค้าจำนวนมากสักเท่าไร แล้วจะให้ไปทำอะไรดีล่ะที่เกี่ยวกับน้ำ แม้จะระบุอาชีพว่า เป็นทหาร ทหารก็มีตั้งหลายสิบหน่วย แล้วจะให้ไปเป็นทหารบก เรือ อากาศ อันไหนดี ทหารบางหน่วยก็เป็นช่าง บางหน่วยก็ทำบัญชี บางหน่วยก็ทำอาหาร บางหน่วยก็เล่นดนตรี ทหารราบในกองทัพเรือ (นาวิกโยธิน) ก็มี ในกองทัพอากาศ (อากาศโยธิน)ก็มี นักบินในกองทัพบก และกองทัพเรือก็มี อย่างนี้จะทายอย่างไรให้ถูก

ส่วนใหญ่พวกเรามักถูกสอนว่า ดูอาชีพให้ดู เรือน และเจ้าเรือน กัมมะนั่นยังไง แล้วเราลองไปอ่านดวงชะตาดูเทียบกับที่เขาเป็นอยู่จริงๆ บางคนจริงอยู่ชั่วเวลาสั้นๆ เพราะเขาเปลี่ยนอาชีพมาเกือบ สิบอาชีพแล้ว ใน 4 – 5 ปี เคยพบบางคน ทำทั้ง ที่เกี่ยวกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาจบครบ ขาดเพียงยังไม่ได้ไป อวกาศ เท่านั้น แล้วเราจะทายอย่างไรดี นอกจากนั้น บางคนยังมีงานอดิเรกที่ทำรายได้ให้เหมือนกัน อีกตั้งสองสามอย่าง อาชีพในโลกนี้มีตั้งร้อยแปดพันเก้า นับกันจริงๆอาจจะได้ราวสักพันล้านอาชีพ การดูจากเรือนกัมมะอย่างเดียว และลำพังดาว แค่ 10 ดวงก็คงไม่พอ อาจจะต้องใช้ดาวบนท้องฟ้าที่เราเห็นได้จริงทั้งหมดมาพยากรณ์จึงจะครบ ดังนั้น การพยากรณ์อาชีพจริงๆแล้วจึงทำให้ถูกต้องไม่ได้ นอกจากให้แนวทางเท่านั้น เพราะในดวงชะตามีความโน้มเอียงเช่นไร เจ้าชะตาก็จะมีโอกาสเข้าไปเกี่ยวข้องเช่นนั้น แต่เกี่ยวข้องแล้วจะเป็นผลดีได้เพียงไร ก็ต้องแล้วแต่ดวงชะตา ไม่ใช่ว่าจะรวยได้ทุกคนไป

สิ่งที่โหรอาชีพ ส่วนใหญ่ทำกันจริงๆ จึงไม่ได้ดูอาชีพจากเรือนกัมมะเพียงอย่างเดียว ลองคิดดูบุคคลคนหนึ่ง หากเขามีอาชีพค้าซีดีเพลง จะมีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาบ้าง เขาจะเกี่ยวข้องกับการขายของเล็ก เป็นแผ่นบาง มีเครื่องเสียงเอาไว้ลองแผ่น มีอุปกรณ์ไฟฟ้า ติดต่อกับลูกค้าเยอะ ต้องศึกษาตลาดและเพลงที่ออกใหม่ อยู่ในห้างใหญ่ แต่เป็นแผงเล็กๆ ต้องทำบัญชีเอง เช่นนี้เป็นต้น หากคนในอาชีพอื่น ยิ่งมีรายละเอียดมากมายกันไปใหญ่ ดังนั้น ดวงชะตาเขาต้องดูหมดทุกเรือน ดึงความหมายทั้งหมดเข้ามาหาเรื่องอาชีพทั้งหมด เรายังต้องดูราศี เรือน ธาตุ และดาวทั้งสิบดวง เพราะเป็นอาชีพได้ทุกดวง บางคนก็ดูถึงนวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ด้วย หากสอดคล้องกันก็ดีไป แต่หากไม่สอดคล้องกันจะทำให้ทำนายยากเข้าไปอีก หากเราไม่รู้มาก่อนจะรู้ไหมว่าอาชีพอะไร ตำราหนังสือก็ยังไม่มีใครเขียนละเอียดถึงอาชีพที่สลับซับซ้อน แต่มักพูดรวบกว้างๆแบบสมัยก่อน เช่นเป็นพ่อค้า เป็นคหบดี หรือเป็นทหาร อะไรสั้นๆเพียงเท่านี้ ดังนั้น เท่าที่เห็นมา ยังไม่มีใครทำนายอาชีพได้แม่นยำทุกคนไป ดังนั้น เราที่หัดใหม่จึงไม่ต้องตกใจหากทำนายแล้วผิด


วรกุล - 1 มกราคม พ.ศ.2549 05:10น. (IP: 203.107.196.205)

ความคิดเห็นที่ 19
สวัสดีปีใหม่ครับอ.วรกุล ขอให้อาจารย์มีความสุขมาก ๆ สุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของคนในสังคมโหราไทยไปนาน ๆ นะครับ ยังติดตามบทความของอาจารย์เรื่อย ๆ ครับ ได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณอาจารย์ที่เผยแพร่ความรู้นะครับ


เฟรด - 1 มกราคม พ.ศ.2549 06:41น. (IP: 202.133.139.93)

ความคิดเห็นที่ 20
รู้สึกขอบพระคุณอาจารย์วรกุลมากที่ตอบข้อข้องใจเรื่องการย้ายราศีของดาว"ในโหราศาสตร์ไทย เส้นแบ่งราศีเป็นเพียงเส้นสมมุติที่ตีเส้นเอาไว้เหมือน milestones เท่านั้น คือใช้เพื่อบอกระยะว่าอะไรอยู่ตรงไหน" เพราะว่าสงสัยมานานแล้วว่าอะไรจะเปลี่ยนปุ๊บปั๊บขนาดนั้น ทั้งที่การเดินขของดาว ไม่ใช่การหายตัวจากที่หนึ่งไปโผล่อีกที่หนึ่ง ดีใจจริงๆค่ะ

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยจงบันดาลให้อาจารย์มีสุขภาพดีตลอดไปนะคะ สวัสดีปีใหม่ค่ะ


ดาว - 1 มกราคม พ.ศ.2549 21:03น. (IP: 202.5.86.96)

ความคิดเห็นที่ 21
กราบสวัสดีปีใหม่ ท่านอ.วรกุล ครับ

ความตั้งใจและความปราถนาดีใดๆ ที่ท่านอ.วรกุล มีต่อผู้อื่นขอความตั้งใจดีอันนั้นแปรเปลี่ยนเป็นพรมงคลด้วยอำนาจแห่งพระรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ ขอให้อาจารย์นั้นมีสุขภาพแข็งแรง อายุขัยยืนยาว มั่งคั่งบริบูรณ์ด้วยมนุษย์สมบัติ อริยสมบัติ ฉลาดในศาสตร์ทั้ง

ปวง รู้แจ้งแทงตลอดทั้งทางโลกและทางธรรมสาธุ


นร. - 2 มกราคม พ.ศ.2549 21:06น. (IP: 58.8.251.103)

ความคิดเห็นที่ 22
สวัสดีปีใหม่ 2549 แด่ อาจารย์วรกุลฯ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บรบกวน คิดและปรารถนาสิ่งใดขอให้ได้ดังประสงค์ และขอให้อาจารย์ฯ เป็นที่พึ่ง ที่ปรึกษา สำหรับนักศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยทุกท่านในเวปนี้ด้วยครับ


การเวก (กรวิก) - 3 มกราคม พ.ศ.2549 08:15น. (IP: 203.152.57.2)

ความคิดเห็นที่ 24
ขอพรที่ทุกท่านให้ กลับเป็นบุญสนองตอบทุกท่านและผู้ที่อ่าน ขอให้สมประสงค์ในทุกสิ่ง ขอให้เลิศทางปัญญา เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ธนสารสมบัติ ถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ศฤงคาร ประกอบด้วยบุญญาบารมี ได้ดวงตาเห็นธรรม บรรลุถึงวิชาโหราศาสตร์โดยทั่วกัน


วรกุล - 3 มกราคม พ.ศ.2549 12:26น. (IP: 203.107.194.23)

ความคิดเห็นที่ 25
เริ่มต้นปีใหม่ได้ สามวันแล้ว เข้ามาทันน้อมรับพรจากอาจารย์พอดีเลยค่ะ

กราบขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดประทานพรอันประเสริฐ ให้ ท่านอาจารย์ วรกุล และครอบครัว ประสพแต่ความสุข มีพลานามัยที่แข็งแรงสมบูรณ์ คิดปรารถนาสิ่งใด ขอให้สมดังใจทุกอย่างนะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 3 มกราคม พ.ศ.2549 16:29น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 27
โอ้ ขออภัยอย่างรุนแรงค่ะ เขียนชื่อ อ.อรุณ ผิด หมอ เถา (วัลย์) ค่ะ อ่านมาร่วมหกเดือนได้ เห็นเป็นชื่อ หมอ (เถา) วัลย์ มาตลอดเลยค่ะ แย่จริงๆ


เปมะ - 4 มกราคม พ.ศ.2549 06:22น. (IP: 81.178.111.197)

ความคิดเห็นที่ 28
กราบสวัสดีปีใหม่ ๒๕๔๙ แด่ อ.วรกุล

ขอพรให้ อ.วรกุล และครอบครัวมีสุขภาพพลานามัย ร่างกาย สมบูรณ์แข็งแรง จิตใจสงบ ปลอดโปร่ง ผ่องใส ปราศจากภยันตรายทั้งปวง

ช่วงที่ปิดยาวปีใหม่ ผมได้ไปวัดศรีชุม สุโขทัยได้ไปไหว้ พระอจนะ ไม่น่าเชื่อจริงๆ จะหาคำบรรยายได้เช่นไร แม้ภาพถ่ายก็คงไม่อาจบ่งได้ถึงความรู้สึกขณะนั้น ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่เข้าใจสุโขทัย และความยิ่งใหญ่ที่ซ่อนอยู่

และขอสวัสดีปีใหม่ ๒๕๔๙ กับ พี่ๆ เพื่อนๆ และทุกๆ ท่านที่เข้ามาอ่านและแสดงความคิดเห็นเช่นกันครับ


หนูน้อย - 4 มกราคม พ.ศ.2549 10:00น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 29
ตอบ 27 คุณ เปมะ............ที่จริงไม่อยากให้ใครเรียกอาจารย์เลย ผมเขียนให้ข้อคิดทางโหราศาสตร์เท่านั้น หวังว่าจะมีคนเห็นประเด็นที่สื่อให้รู้ บางอย่างก็แฝงมาในข้อเขียน

1 / ถ้าเป็นข้อเขียนทางโหราศาสตร์ ตอนนี้ก็มีที่นี่ที่เดียวครับ ผมยังทำงานอยู่ใน 2 – 3 เว็บ เป็นงานวิชาการบางอย่าง (ไม่ใช่โหราศาสตร์) แต่ไม่อยากบอกเว็บ เพราะมีชื่อนามสกุลจริงอยู่ด้วย โดยทั่วไปไม่มีใครทราบว่าผมเรียนโหราศาสตร์ เว้นแต่ศิษย์บางคนที่เคยเรียนโหราศาสตร์กับผม(สมัยก่อน) และลูกหลานของเขาบอกต่อกันมาเท่านั้น

2 / อาจารย์ อรุณ ลำเพ็ญ เป็นผู้ใช้นามปากกาว่า “หมอเถา(วัลย์)” ผมเคยไปสนทนากับท่านสมัยที่ท่านมีชีวิตอยู่ บ่อยพอสมควร เอกสารที่ท่านสอนทางไปรษณีย์ เป็นการสอนโหราศาสตร์แนวทางเรือนสัมพันธ์ ซึ่งเป็นวิธีเก่าแก่ที่โหรไทยใช้กันมาแต่ก่อน ต่างกับตำราปัจจุบันที่มักเอาแนวคิดโหราศาสตร์ตะวันตกมา สวมเข้าให้กลายเป็นโหราศาสตร์ไทย ผมบังเอิญได้เรียนมาเหมือนกันตั้งแต่ยังเด็กเล็กๆอยู่ รู้อะไรหลายอย่างที่ไม่มีการสอนกันทั่วไป ก็เลยเอามาเขียนบ้างเป็นส่วนน้อย

3 / เอกสารที่อาจารย์อรุณท่านสอน มีคนเอาไปรวมเล่ม ใส่ปกหยาบๆขายก็มีครับ ในที่สอนโหราศาสตร์บางแห่งเอาไปใช้เป็นคู่มือก็มี แต่คิดเงินรวมกับค่าเรียน นานมาแล้วที่มีคนทำแบบนี้ ทั้งการลอก ถ่ายเอกสาร พิมพ์ซ้ำ พวกวิชาโหราศาสตร์จะโดนลอกเป็นอันดับหนึ่ง ดังนั้น ครูอาจารย์ท่านจึงเขียนเพียงเท่าที่เป็นพื้นฐาน และใช้ประโยชน์ได้พอสมควร ส่วนที่เป็นเรื่องสำคัญ จึงมักถ่ายทอดกันเป็นส่วนตัว เรื่องลิขสิทธิ์ บรรดาทายาทคงจะไม่อยากเป็นความ บางคนลอกเอาไปใส่ชื่อตนเองเป็นผู้แต่งก็มี ก็เห็นมีคนเขาเคารพนับถือเป็นอาจารย์กันทั่วบ้านทั่วเมือง เราคงทำอะไรไม่ได้

ผมอายุมากแล้วครับ เกิดก่อนปี 2500 นานพอดู ที่เขียนเรื่องเก่าๆเพราะเป็นเรื่องที่ผู้คน และนักเรียนโหราศาสตร์ปัจจุบันอาจจะไม่เคยพบเห็นกันแล้ว ในขณะที่รุ่นเด็กๆสมัยก่อนได้ยินได้ฟังจากครูอาจารย์และผู้ใหญ่กันบ่อยๆ การที่ผ่านมานานได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของวงการโหรในทางที่ไม่น่าจะดี ก็รู้สึกเสียดายความรู้เก่าๆที่แท้จริงที่กำลังหายสาบสูญไปเหมือนกัน

เราลองคิดดูว่า พวกเราที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบัน เรียนโหราศาสตร์มาจากไหน ส่วนมากก็จะเรียนจากที่สอนกันทั่วไป ตำราก็หาดูจากหนังสือบ้าง ข้อเขียนของบางท่านบ้าง ที่มีสอนกันก็วนเวียนกันอยู่กับวิชาที่มีผู้เผยแพร่อยู่แค่นี้ ลอกกันไปลอกกันมา แต่ผมเห็นภาพที่กว้างกว่า เพราะว่า เนื้อหาที่นำเอามาพิมพ์กันเป็นตำรา มีแค่สัก 10 % เท่านั้นเอง มีความรู้โหราศาสตร์อีกมากมายเหลือเกินที่ไม่ได้ถูกนำมาพิมพ์เป็นตำรา เพราะไม่สามารถสอนเป็นตัวหนังสือได้บ้าง ผู้ที่รู้ไม่ต้องการให้ถูกลอกไปขายบ้าง ดังนั้น ความรู้ทางโหราศาสตร์อีกเป็นจำนวนมาก จึงอยู่นอกวงการโหรในปัจจุบันอย่างมากมาย วงการโหรเองก็มักจะ แย่งชิงผลประโยชน์เรื่องตำรา และปฏิทิน มาจนถึงผลประโยชน์ชื่อเสียงส่วนตัวกันในปัจจุบัน ทำให้คนดีๆที่มีความรู้ จำนวนมาก ที่ไม่อยากทะเลาะกับใคร จึงออกไปอยู่นอกวงการเฉยอยู่ เวลาอ้างอะไรก็อ้างหนังสือเพียงไม่กี่เล่ม วนเวียนอยู่เช่นนั้น ผมเป็นเพียงแค่ไม้ริมฝั่ง แต่เห็นสระนี้มานาน ก็ย่อมที่สะท้อนใจเสียดายเป็นธรรมดา


วรกุล - 4 มกราคม พ.ศ.2549 10:38น. (IP: 203.107.196.68)

ความคิดเห็นที่ 30
สวัสดีค่ะ อาจารย์ วรกุล

จริงๆแล้ว ได้เริ่มสนใจวิชาโหราศาสตร์มาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ ตอนนั้นอายุ 16 ปี อยากรู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไรต่อไป ก็มีคนหาหนังสือมาให้ (บังเอิญอีกเช่นเคย) ตำราเล่มหนึ่งเป็นของ อ.สิงห์โต สุริยอารักษ์ (เล่มเรียนด้วยตนเอง ฉบับ ทูลเกล้าฯ) อีกเล่มไม่ระบุผู้แต่ง เป็นฉบับลายมือ คัดลอกเป็นกลอนทั้งเล่ม และมีรูปดวงประหลาดๆมากมายที่มาทราบทีหลังว่าเป็นดวงพิไชยฯเล่มสองนี่ตอนนั้นยังเด็กมากอ่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย ประกอบกับลายมือครูท่านอ่านยากมาก เลยหมดความเพียรไป สมัยนั้นจุดประสงค์ในการศึกษา เพียงเพื่อจะให้รู้ว่าจะเกิดอะไรต่อ ชีวิตจะเป็นอย่างไร มีแต่ความ "อยากรู้" แต่ไม่ได้ต้องการจะ "เข้าใจ" ในที่สุดศึกษาได้สักพักก็หยุดค่ะ เพราะสุดท้ายตอนนั้น คำถามที่ผุดขึ้นมาคือ ไม่รู้จะรู้ไปทำไม โดยเฉพาะดวงตัวเอง ที่มีทั้งดีและไม่ดีผสมๆกัน ที่ดีก็สบายใจไป ที่ไม่ดีก็ไม่รู้จะไปแก้ยังไง เวลาดูดวงเพื่อนๆ เวลาเขาถามว่าจะต้องทำไงล่ะ ถ้าดวงมันออกมาไม่ดี ก็ตอบเขาไม่ได้อีก เลยละทิ้งไปเสีย 10 ปี

ตอนนี้กลับมาศึกษาใหม่ ก็เอาตำราเก่าๆมาเปิดๆดู แต่ความตั้งใจใหม่ที่มีคือ อยากจะเข้าใจ "เหตุ-ผล" ของความเป็นไปในชีวิตมากกว่าที่จะอยาก "รู้" เพียงอย่างเดียวไปได้ตำรา อ. อรุณ ลำเพ็ญ (โดยบังเอิญ) ก็เอามาศีกษาใหม่ทั้งหมดระหว่างนั้นก็เหมือนทำ research เกี่ยวกับสายต่างๆของโหราศาสตร์ สับสนอยู่พักใหญ่ๆเชียวค่ะทางหนึ่งก็อิง เหตุ-ผล เห็นได้เป็นรูปธรรมทางวิทยาศาสตร์ มีมาตรวัดชัดเจน อีกทางหนึ่งอิง เหตุ-ผล ที่ใช้สามัญสำนึก ปรัชญาธรรมชาติ และ ปัญญาธรรม (นี่หนูเข้าใจไปเองนะคะ ผิดถูกอย่างไรช่วยแนะนำด้วยค่ะ)

สุดท้ายตัดสินใจว่า จะมุ่งมั่นกับ โหราศาสตร์ไทย แน่ๆ แต่เนื่องจากอายุมากขึ้นและมีคติของตนเองว่า จะพยายาม "เข้าใจ" ที่มาของ "หลักการ" และจะไม่เอาแต่ "จำ" ตัว "หลักการ" เพียงอย่างเดียว ปัญหาที่เจอจากการศึกษาโหราศาสตร์ด้วยตนเอง บางครั้งหนูว่าไม่ใช่เรื่องว่าครูบาอาจารย์ท่านไม่บอกเคล็ดลับอะไรหรอกค่ะ หนูว่าเหตุหนึ่งมาจากท่านบอกมาแต่ "หลักการ" แต่ท่านไม่ได้อธิบาย "ที่มา" (เพราะท่านไม่มีเวลาเขียน หรือเขียนไปอาจจะไม่มีใครอยากอ่าน ฯลฯ)หนูเลยรู้สึกว่ามันมักจะมี missing link อยู่เสมอ มาเจอข้อเขียนอาจารย์ในหลายๆเรื่อง ทำให้มีกำลังใจในการศึกษา โหราศาสตร์ไทยต่อไปอีก อีกประการหนึ่ง ไม่เคยมี "บุญ" ได้เจอข้อเขียนครูท่านอื่นที่ผูกเรื่อง โหราศาสตร์ พุทธศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ได้ แนบเนียน อย่างที่อาจารย์เขียน เช่น นั่งอ่านเรื่อง โครงสร้างดวงชะตา ที่อาจารย์กรุณา เล่าว่ามีโครงสร้างแฝง (ที่เราไม่เห็นและมาจากบุพการี) ทำให้ถึง บางอ้อ ว่าที่คนโบราณบอกว่า "กรรมมันจะมาตกที่ลูก" นั้น มันมาจากอะไร คุณปู่คุณตาก็พูดตั้งแต่หนูอยู่อนุบาลมังคะ แต่ไม่ได้อธิบายชัดเจนแบบนี้ (แต่ถึงตอนนั้นจะอธิบายก็คงไม่รู้เรื่องอยู่ดี) หรืออย่างที่อาจารย์ วรกุล อธิบายว่า ทำไมเราไม่ควรไปอยู่ในที่ๆเพิ่งมีอุบัติเหตุใหม่ๆในช่วง10 นาที - 2 ชม. เพราะดาวก่อเหตุอาจจะยังปล่อยพลังงานไม่หมดนั้น ก็เหมือนกับที่ คุณย่าคุณยาย เตือนนักเตือนหนาว่า "ที่ไหนเกิดอะไรขึ้นไม่ต้องไปมุงดูเลยนะ" แต่ก็เหมือนคุณปู่กับคุณตาคือ ไม่บอกว่าทำไม (***เราก็เชื่อตามแบบลมๆแล้งๆ)

โม้มาเสียเยอะแยะ สรุปว่าความมุ่งมั่นในการศึกษาโหราศาสตร์ในวันนี้ อยู่บนพื้นฐานที่อยากจะ "เข้าใจกรรม" ต้องการเข้าใจ "ผลที่เกิดไปแล้ว" ต้องการเข้าใจ "วิถี" อันเกิดจากกรรมเก่าๆในชาติก่อนๆ (และปัจจัยจรอื่นๆ)และหากจะมีแนวทางอะไรที่พอจะทำให้ การดำเนินชีวิต (กรรมดี) ในวันนี้ ส่งผลดีต่อไปในภายหน้า ก็จะได้ทำ

ถ้ามีโอกาสกลับบ้านแบบถาวรเมื่อไหร่ จะไปหาที่เรียนเป็นเรื่องเป็นราวค่ะ ไม่อยาก (ลักลอบ) เรียนด้วยตัวเองเหมือนที่เคยๆทำมา ระหว่างนี้ก็ขอให้ อาจารย์วรกุล ช่วยกรุณาผลิตข้อเขียนดีๆ แบบนี้เรื่อยๆนะคะ

สวัสดีค่ะ

ป.ล.

โครงสร้างแฝง หรือ โครงสร้างธาตุที่สืบต่อกันได้นี่น่ะค่ะ แปลว่าถ้า บิดา-มารดา มีกรรมดี/ไม่ดีลูกเราก็จะมีกรรมดี/ไม่ดีจากเราไปครึ่งหนึ่ง + โครงสร้างปรากฎตามกรรมของเขาเองอีกครึ่งหนึ่งหรือคะ ? ถ้าเป็นตามหลักการนี้ คู่ครองที่หมั่นทำดีนี่ก็ถือเป็นการสะสมสิ่งมีค่าให้ลูก (ในกรณีที่ยังไม่มีลูก) ยิ่งกว่าสะสมทรัพย์สมบัติอีกสินะคะ


เปมะ - 4 มกราคม พ.ศ.2549 22:58น. (IP: 81.178.121.153)

ความคิดเห็นที่ 31
ตอบ 31 คุณ เปมะ............ขอบคุณที่อุตส่าห์เล่าเรื่องตนเองมาให้ทราบครับ การที่ผู้อ่านท่านอื่นได้อ่านด้วยน่าจะเป็นประสบการณ์เพิ่มเติม ข้อเขียน (ไม่ใช่บทความ)ที่ผมเขียน หากไม่ใช่ในอินเตอร์เน็ท หรือ อยู่ในเว็บนี้ก็คงไม่ได้เขียน ลองคิดดูว่าหากเขียนเรื่องเหล่านี้ไปลงพิมพ์ในนิตยสารสักฉบับ ผู้ที่อ่านที่เป็นผู้คนหลากหลายความคิด อาจจะมีส่วนน้อยที่สนใจอ่าน ทางนิตยสารก็ต้องลงทุนพิมพ์ เสียหน้ากระดาษด้วย แม้จะเป็นนิตยสารทางโหราศาสตร์ก็ตาม แต่ที่นี่ ผู้ที่พิมพ์ก็ต้องทำงานเองอยู่แล้ว เนื้อที่ก็ได้มาจากเม็มโมรี่ไม่มากนัก ยิ่งช่วยให้แต่ละท่านแสดงความเห็นได้หลากหลายขึ้น

การเขียนเรื่องโหราศาสตร์ทั้งหมดในที่นี้ทำไม่ได้ เพราะอุปสรรคสำคัญ คือ การ “อธิบาย” ใครจะตอบได้บ้างว่าเราควรอธิบายลึกละเอียดขนาดไหน เพราะไม่เห็นตัวผู้มาอ่านแม้แต่คนเดียว ยิ่งไม่รู้เลยว่า แต่ละท่านมีความรู้กันมาแล้วสักเท่าใด อย่างเราอธิบายวิธีแกงอะไรสักหม้อหนึ่ง จะอธิบายเพียงสูตรและวิธีทำ พอกินได้อร่อย เพราะคาดว่าผู้อ่านแกงเองเป็นแล้ว หรือ จะอธิบายลงลึกไปจนส่วนผสมเครื่องปรุง ที่มา ปฏิกิริยาและ องคประกอบ ของสารเคมีที่ประกอบกันเป็นเครื่องปรุงอาหารทั้งหมดก็ย่อมได้ อธิบายหยาบไปก็เลื่อนลอย ดูไม่มีสาระ คนที่ละเอียดก็จะถามลึกไปจนถึงแก่นอณูของเรื่อง อธิบายละเอียดไป อ่านไปไม่เข้าใจ ดูแล้วก็จะเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ การลำดับเรื่องที่จะเขียน ทั้งหยาบและละเอียด ประกอบกับเวลาที่มีน้อย ล้วนแต่เป็นอุปสรรคมากต่อการเขียนในที่นี้ ผมเองเขียนเรื่องอื่นบางเรื่องในที่อื่นได้ความยาวหลายเท่าของที่นี่ ภายในเวลาเท่ากัน

โครงสร้างแฝง หรือ โครงสร้างธาตุที่สืบต่อกันได้นี่น่ะค่ะ แปลว่าถ้า บิดา-มารดา มีกรรมดี/ไม่ดี ลูกเราก็จะมีกรรมดี/ไม่ดีจากเราไปครึ่งหนึ่ง + โครงสร้างปรากฎตามกรรมของเขาเองอีกครึ่งหนึ่งหรือคะ? เรื่องโครงสร้างกรรม และโครงสร้างธาตุ ที่อยู่ในดวงชะตา เป็นความรู้ ขั้นสูงแล้ว ต้องเข้าใจอะไรหลายอย่างก่อนจึงจะอธิบายได้ กรรมของใคร วิบากกรรม(ผลกรรม)ก็จะตกเป็นของผู้นั้น เรื่องนี้จะอธิบายได้ง่ายที่สุดอย่างนี้ สมมุติเรามาเล่นเกมส์เด็กๆกัน ทุกคนที่มาเล่นให้แอบเขียนเลข หนึ่งตัวไว้ในฝ่ามือ เช่น ผมเป็นครู ผมเขียนเลข 4 แล้วกำไว้ บอกเด็กๆว่า หากใครเขียนเลขที่เหมือนกับในมือผมได้ตรงกัน ก็จะได้ขนม 1 อัน ครั้นแล้วให้ทุกคนเดินมาเปิดมือให้ดูทีละคน คนที่มีเลขตรงกับเลขในมือผม ก็จะให้ขนมเป็นรางวัล นี่เป็นการจับคู่ด้วยบางสิ่งที่ตรงกัน

ในดวงชะตาของเรา มีโครงสร้างของธาตุ และดาวที่ซับซ้อนกว่าเลขตัวเดียวมาก เช่น สมมุติว่า มีโครงสร้าง xx (ที่คุณยังไม่รู้วิธีอ่าน)ในดวงเรา บอกว่าบุตรจะเป็นชาย เป็นเด็กฉลาด โตขึ้นจะรูปหล่อ แล้วจะได้เป็นนายกรัฐมนตรี (1) คุณสมบัติโครงสร้างเช่นนี้ปรากฏในดวงชะตาของเรา เมื่อถึงเวลาที่เราจะมีบุตร สมมุติเป็นผู้หญิงตั้งครรภ์ การที่จะตั้งครรภ์ได้ (2) โครงสร้างนี้จะต้องปรากฏเป็นโครงร่างแล้วตามนี้ (3) จิตและวิบากกรรมใด (ที่เราเรียกทั่วไปว่า “วิญญาณ”) ที่มีโครงสร้างตามนี้ที่ตรงกัน คือ จะเกิดเป็นชาย ฉลาด รูปหล่อ จะเป็นนายกฯ ก็จะมาถือกำเนิดเป็นบุตรของเราได้ หากโครงสร้างอื่นที่ไม่ตรงกัน ก็มาเกิดไม่ได้ ประการที่ (1) (2) (3) นี้ก็จะเกิดเป็นเงื่อนไขเนื่องจากโครงสร้างธาตุในลำดับแรก

แต่โครงสร้างธาตุดังกล่าวนี้ จะเห็นได้ว่า เป็น “คุณสมบัติทางชีวิต” เท่านั้น แต่ เนื้อหาในโครงสร้าง เช่นสมมุติมีดาว ๑๔๕๓ อยู่ในโครงสร้างธาตุที่เป็นบุตรในดวงบิดา ดาว ๑ เป็น นิจในดวงบิดา บิดาเป็นชาวนา ยศศักดิ์ไม่สูง (๑ คือ ยศศักดิ์) แต่ดวงของเด็ก แม้จะมีโครงสร้างบุตร ๑๔๕๓ ที่เหมือนบิดา แต่เด็กนี้ มี ๑ เป็นอุจ เด็กคนนี้กลับมียศศักดิ์สูง ลูกชาวนาก็เป็นนายกได้ ความซับซ้อนในการดูดวงชะตา คือ ความรู้ที่ว่า เราจะดูดวงบิดามารดาอย่างใดจึงจะรู้ว่าบุตรจะมีชีวิตเป็นเช่นใด อันนี้เป็นความรู้ขั้นสูง เนื่องจากโครงสร้างธาตุนั้นเกี่ยวพันกัน เราจึงสามารถดูดวงบุตร เพื่อทำนายเรื่องราวของบิดาได้ด้วย โดยผ่านทางโครงสร้างธาตุนี้

แต่อย่าลืมว่า “วิญญาณ”ที่มาเกิดเป็นบุตร มีกรรมเป็นของตนเองติดมาด้วย ดังนั้น การที่เขาจะมาเกิดเป็นบุตรของบิดาได้ กรรมของเขาต้องส่งผลมาให้เกิดเป็นบุตร “ของชายที่จะจะมีบุตรเป็นนายกรัฐมนตรี” ตามโครงสร้างธาตุ แต่ผลบุญที่เขาเคยทำจะแสดงออกมาจากการกำเนิด ที่อ่านผลจากดวงชะตาได้เป็นเฉพาะของตน ผลของดวงชะตาที่เป็นเฉพาะของตนโดยไม่เกี่ยวกับบิดามารดานี้ คือ โครงสร้างกรรม ที่แฝงมา การอ่านโครงสร้างกรรม โดยแยกออกจากโครงสร้างธาตุนั้นยาก เพราะโครงสร้างกรรมเป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างธาตุ และบางส่วนก็ไม่เป็น การอ่านระดับนี้เป็นความรู้ในขั้นสูงกว่า กรรมในส่วนที่แฝงมาและคาบเกี่ยวอยู่กับธาตุด้วยนี้จึงเรียกว่า โครงสร้างแฝง

ดังนั้น ที่คุณถามว่าบุตรจะมีกรรมไม่ดีจากบิดามารดาไปครึ่งหนึ่งหรือไม่ จึงไม่ถูก กรรมของใครก็เป็นผลต่อผู้นั้น เพียงแต่ผู้ที่มีกรรมอันจะต้องมาสนองตอบนั่นเอง จะมาเกิดเพื่อรับเอาผลที่เป็นสิ่งเดียวกับที่บิดามารดากระทำกรรมไว้ “เป็นสิ่งเดียวกัน” เท่านั้น ไม่ใช่ “มารับกรรมแทน” เหมือนชาวสวนที่ปลูกแตงโมเอาไว้ เมื่อออกผลเป็นแตงโมสุกได้ที่ คนเดินทางที่จำเพาะแสวงหาแตงโมกินแก้กระหาย ก็กินได้พอดี แต่จะว่าแตงโมนั้นเป็นผลจากการปลูกของคนเดินทางนั้นย่อมไม่ถูก

ถ้าเป็นตามหลักการนี้ คู่ครองที่หมั่นทำดีนี่ก็ถือเป็นการสะสมสิ่งมีค่าให้ลูก (ในกรณีที่ยังไม่มีลูก) ยิ่งกว่าสะสมทรัพย์สมบัติอีกสินะคะ ชีวิตนั้นเป็นเรื่องละเอียดซับซ้อนที่สุด อย่างที่ผมเคยบอกแล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า ธรรมชาติในโลก เป็นไปตามนิยาม 5 ไม่ใช่กรรมนิยามเพียงอย่างเดียว แม้กรรมนิยามเองก็เป็นเรื่องซับซ้อนอยู่แล้ว กรรมบางอย่างอาจสนองตอบโดยพลัน กรรมบางอย่างอาจบังเกิดผลเนิ่นช้าออกไปหลายแสนชาติ ดังนั้น การที่เราทำดีนั้น ผลของกรรมอาจจะสนองตอบโดยพลัน หรือ อาจจะเนิ่นช้าไปก็ได้ ในวัฏสงสารนี้ เราทุกคนมีอยู่สองฐานะ คือ หนึ่ง เป็นผู้กระทำกรรม หรือ สอง เป็นผู้ถูกกระทำ ดังนั้น แม้กรรมที่ผู้อื่นกระทำ ก็อาจจะมีผลกระทบต่อเราได้ บิดามารดาที่ทำดี หากผลเกิดโดยพลัน ธาตุของเขาจะถูกเลือกปรับเป็นดี โครงสร้างธาตุที่ถ่ายทอดมายังลูกก็อาจจะดีได้ เช่น สมมุติ ๕ อยู่ในโครงสร้างบุตร หากบิดามารดาหมั่นทำอยู่ในศีล ในทาน พฤหัสถูกปรับธาตุให้ดี บุตรที่มาเกิดก็จะเป็นบุตรที่มีธาตุพฤหัส ดีนั่นเอง และเมื่อบุตรที่เกิดมาในกรรมนิยามเช่นนั้น ก็จะกลายเป็นบุญของบุตร

คุณอาจจะเคยได้ยินที่โบราณมักห้ามคนท้อง(มีครรภ์) ทำอะไรต่อมิอะไรมากมาย แม้แต่ สามีก็ถูกห้ามด้วย เช่น ห้ามตัดต้นไม้ใหญ่ ห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามเคาะโต้ะ ห้ามทำถ้วยชามของแตก อะไรเช่นนี้ ก็เพราะเขาเกรงว่ากรรมที่กระทำ จะเกิดมีผลต่อ ธาตุ(ต่างๆ) ของดวงชะตาในทันทีนี่เอง มีเรื่องเรื่องหนึ่งเล่าอยู่ใน ข้อสอบนักธรรมว่า หญิงมีครรภ์ผู้หนึ่ง มีครรภ์แก่ใกล้คลอด แพ้ท้องอยากกินปลาช่อนแห้งมาก จึงซื้อปลาช่อนมาแล่เนื้อตากแดดเอาไว้ มีสุนัขตัวหนึ่งหิวโหยผ่านมา จึงกระโดดงับคว้าเอาปลาช่อนนั้นไปกิน หญิงผู้นี้ เห็นเข้า ก็จึงคว้าเอาไม้ฟืนขว้างไป ถูกขาของสุนัขหัก กลายเป็นสุนัขพิการร้องวิ่งหนีไป เพราะกรรมอันนี้ เมื่อเธอคลอดทารกออกมาในวันนั้น ทารกนั้นมีขาที่หัก ข้างเดียวกับสุนัขตัวนั้น กลายเป็นเด็กพิการไปตลอดชาติ คำถามนักธรรม ให้อธิบายเรื่องนี้ ว่าเป็นกรรมของใคร ของหญิงนั้น ของเด็ก หรือ ของสุนัข เป็นข้อสอบอัตนัย คุณลองอธิบายในทางโหราศาสตร์ดูบ้างก็ได้


วรกุล - 5 มกราคม พ.ศ.2549 10:42น. (IP: 203.107.200.164)

ความคิดเห็นที่ 32
สวัสดีค่ะ อ. วรกุลคะ

ของลองตอบนะคะ นิทานเรื่องนี้ สอนว่า

- สิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตมีกรรมเป็นของตน ไม่ใช่จะพูดให้ มันเป็น cliche นะคะ เดี๋ยวอาจารย์จะหาว่า ตอบมาอย่างนี้เท่ากับไม่ได้ตอบอะไรเลย คือ สุนัข ก็อาจจะไปทำกรรมอะไรก่อนหน้านั้นมาสักอย่าง เช่นอาจจะไปกัดขาสุนัขแก่ตัวหนึ่งเมื่อหลายวันก่อน(ในกรณีนี้ไม่ทราบ) แล้ววิบากกรรมนั้นมาตกให้ผลในวันนั้น นั่นเป็นส่วนของสุนัข

- เด็กที่เกิดวันนั้น ต้องเป็นวิญญาณที่มีโครงสร้างแฝงที่จะต้องพิการอยู่แล้ว ก็ match กับมารดาที่มีโครงสร้างธาตุที่รองรับบุตรพิการ การที่มารดาตัดสินใจเขวี้ยงฟืนไปทำให้สุนัขขาหักในวันนั้น เท่ากับเป็นการ confirm รหัสในโครงสร้างธาตุของมารดา (ซึ่งอาจจะมีรหัสว่า "ลูกจะพิการ" + รหัสอื่น ฯลฯ) เมื่อ มารดา "ตัดสินใจเลือก" ที่จะขว้างฟืนและทำร้ายสุนัข รหัสเรื่อง "ลูกพิการ" นี้จึงปรากฏชัดเจนแน่นอน และเท่ากับเป็นตัวเร่งให้เด็ก "ต้อง" เพราะเด็กหรือวิญญาณนั้นมีโครงสร้างแฝงที่ match กับโครงสร้างธาตุของมารดามที่ได้ประกอบกรรมไว้พอดี มารดาคงมีรหัสโครงสร้างธาตุอื่นๆอีก เช่นเดียวกับเด็กหรือวิญญาณนั้นก็คงมีโครงสร้างแฝงอื่นๆอีกเช่นกัน แต่กรรมในวันนั้น (ที่มารดาตัดสินใจทำ) เปรียบเสมือนเป็นตัวเร่งให้ ผลกรรมที่มีรหัสเป็น "ความพิการ" นี้แสดงออกมาก่อนอย่างอื่น แต่ถ้ามารดา "เลือกที่จะไม่ทำร้ายสุนัข" โครงสร้างธาตุที่อาจจะมีรหัสไว้ว่า มารดาอาจจะมีโอกาสมีลูกพิการ ก็อาจจะไม่แสดงผล 100 เปอร์เซนต์ (ในขณะนั้น)เพราะมารดาเลือกที่จะไม่ทำกรรม เด็กหรือวิญญาณที่มีโครงสร้างแฝงที่มีรหัสว่า "อาจจะต้องพิการ" ก็อาจจะเกิดมาสมบูรณ์ดี แต่ ทั้งนี้ทั้งนั้น ความพิการก็อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคตอยู่ดีเพราะในส่วนที่รหัสของบุตรและมารดาที่มีตรงกันคือ"ความพิการของบุตร" อันนี้เป็นส่วน กรรมของเด็ก

- ส่วนมารดานั้น ไม่ทราบว่าการที่จะต้องมีบุตรพิการ หรือการมีรหัสในโครงสร้างธาตุว่า "จะมีบุตรพิการ" นั้นจะถือเป็นกรรมหรือไม่ เพราะหากมารดา "เลือกที่จะไม่ทำร้ายสุนัข" และตัวเร่งให้ รหัส"ความพิการ" ไม่แสดงผลในขณะเด็กเกิด (ซึ่งไม่ทราบว่าสามารถทำได้หรือไม่นะคะ แค่ลองคิดดู) หากมารดาหมดอายุขัยก่อนเด็กคนนั้นพิการ (สมมติว่าพิการตอนวัยกลางคน) ในรหัสโครงสร้างธาตุของมารดาก็ยังถูกอยู่ดีว่ามีลูกพิการ (เพื่อรองรับจิตวิญญาณที่มีกรรมพิการเป็นของตนมาเกิดในตอนแรก) แต่ตนเองไม่ต้องใช้กรรมเลี้ยงดูลูกพิการคนนั้น แต่หากมารดาเลือกที่จะ "ทำร้ายสุนัข" แล้ววิบากกรรมของมารดาส่งผลทันที การที่จะต้องเลี้ยงดูบุตรพิการก็คงถือเป็นกรรมของมารดา เช่นกันมังคะ

รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

อ้อจริงๆมีปัญหาจะมารบกวนถามอีกค่ะ ข้ามไปอ่านกระทู้อาจารย์ การเวก มา มีผู้ถามเกี่ยวกับเรื่องคู่แท้ จำได้ว่าอ่านทฤษฎี ใบไม้ครึ่งใบของอาจารย์แล้วยังมีข้อสงสัยอยู่ แต่รอให้เจ้าของคำถามเข้ามาถามอาจารย์เองดีกว่านะคะ ยกเว้นว่าถ้าเห็นนานเดี๋ยวอาจจะเข้ามาถามเสียเอง (เป็นคำถามเกี่ยวกับปรัชญาใบไม้ครึ่งซีกของอาจารย์วรกุลน่ะแหละค่ะ)

สวัสดีค่ะ


เปมะ - 6 มกราคม พ.ศ.2549 01:19น. (IP: 81.178.78.163)

ความคิดเห็นที่ 33
- เด็กที่เกิดวันนั้น ต้องเป็นวิญญาณที่มีโครงสร้างแฝงที่จะต้องพิการอยู่แล้ว ก็ match กับมารดาที่มีโครงสร้างธาตุที่รองรับบุตรพิการ การที่มารดาตัดสินใจเขวี้ยงฟืนไปทำให้สุนัขขาหักในวันนั้น เท่ากับเป็นการ confirm รหัสในโครงสร้างธาตุของมารดา (ซึ่งอาจจะมีรหัสว่า "ลูกจะพิการ" + รหัสอื่น ฯลฯ) เมื่อ มารดา "ตัดสินใจเลือก" ที่จะขว้างฟืนและทำร้ายสุนัข รหัสเรื่อง "ลูกพิการ" นี้จึงปรากฏชัดเจนแน่นอน และเท่ากับเป็นตัวเร่งให้เด็ก "ต้องเกิด"

ขอแก้ไขค่ะ ขาดคำว่า เกิด


เปมะ - 6 มกราคม พ.ศ.2549 01:21น. (IP: 81.178.78.163)

ความคิดเห็นที่ 34
คำตอบของนักธรรมก็จะตอบว่า เด็กที่เกิดมาพิการขาหัก เป็นกรรมของเด็กเองคะ

เพราะคนมี (กรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนกำเนิด) ไม่ใช่แม่ทำกรรมแล้วมาตกกับลูกคะ กรรมของใครก็ของคนนั้นคะ

ส่วนแม่ได้สร้างกรรมชาติปัจจุบัน โดยการทำร้ายหมา กรรมนี้ตกเป็นของแม่ทำให้แม่ต้องมีลูกพิการ เป็นการตอกย้ำว่าอดีตทำกรรมไว้เช่นไร แล้วมีผลกรรมนั้นอย่างไร กรรมบางอย่างแสดงผลเร็วไม่ต้องรอชาติหน้า

ส่วนหมาขาหัก ก็เป็นกรรมของหมาคะ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมเป็นแดนเกิด เหมือนกัน

ตอบแบบ คนที่มีความรู้ธรรมะ อันน้อยนิด คำตอบทางโหราศาสตร์เดี๋ยวไปคิดก่อนคะ


moon - 6 มกราคม พ.ศ.2549 09:24น. (IP: 58.9.209.77)

ความคิดเห็นที่ 35
ขอหนูน้อยร่วมตอบปัญหา อ.วรกุล ด้วยคนนะครับ

อธิบายในแบบกรรม(ตามความเข้าใจของผม) กรรมของ ปลาช่อน,สุนัข, ผู้หญิง และทารก เป็นกรรมของแต่ละสิ่งมีชีวิต เป็นกรรมของตัวเอง ถึงผู้หญิงไม่ขว้างฟืนไปถูกขาของสุนัข ทารกนั้นก็อาจจะมีขาที่พิการก็ได้ ถึงสุนัขไม่งับเอาปลาช่อนไปกินก็อาจโดนฟืนขว้างมาขาหักก็ได้ เพราะ การกระทำ(ที่หมายถึง กรรม) อาจบังเกิดจากการกระทำในอดีต รวมถึงการสร้างกรรมใหม่ในปัจจุบันนี้ นั่นคือ การที่สุนัขขาหักอาจเป็นกรรมที่เคยทำไว้กับผู้หญิงในอดีตหรือผู้หญิงคนนี้สร้างกรรมใหม่ในปัจจุบัน ทั้งนี้รวมถึงกรณีสุนัขกับปลาช่อน หรือปลาช่อนกับผู้หญิงด้วยเช่นกัน

ส่วนอธิบายในแบบโหราศาสตร์ (ตามความเข้าใจของผม) หากเราพิจารณาสิ่งมีชีวิตทั้ง ๔ นี้อยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกัน และจะมามีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกัน ดังนั้น

แบบที่หนึ่ง ปลาช่อน, สุนัข, ผู้หญิง, ทารก ย่อมมี ธาตุดาวบางอย่างในดวงชะตาทำงาน ทำหน้าที่คล้ายกัน เป็นโครงสร้างเนื้อเรื่องเดียวกัน คือ "ถูกกระทบ กระดูกหัก" (ซึ่งอาจเป็นความหมายดาวอังคาร และเสาร์ ) สุนัขงับปลา-ผู้หญิงขว้างสุนัข-ผู้หญิงอุ้มครรภ์ทารกขว้างสุนัข) แต่ว่าปัญหาคือ ใครในที่นั้นจะเป็น ฝ่ายกระทำ หรือเป็นฝ่ายถูกกระทำเอง

อีกแบบคือ ธาตุในธรณี เป็นตัวควบคุมการกระทำ เพราะระบบของสิ่งมีชีวิตทั้ง ๔ ซึ่งอาจถือว่ามีขนาดเล็กถูกคลุมด้วยสภาพแวดล้อม(ที่ใหญ่กว่า)ขณะนั้น จากตัวอย่าง อาจเป็นว่าสภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ บังคับให้ผู้หญิงอยากกินปลาช่อน สุนัขอยากเดินมาหาอาหาร เด็กทารกเกิดสภาวะพิการ เป็นไปตามสภาพแวดล้อมเอง


หนูน้อย - 6 มกราคม พ.ศ.2549 16:32น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 36
อาจารย์คะ

พยายามคิดตาม เรื่องโครงสร้างกรรม กับโครงสร้างธาตุ ที่อาจารย์อธิบายค่ะ ซับซ้อนมากๆค่ะยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไรดี แต่กำลังตั้งคำถามกับตัวเอง ในสองด้านค่ะ

1. ในด้านของกรรม

- ถ้าบุคคลต่างมีกรรมเป็นของของตน เมื่อกระทำกรรมได้ไว้ย่อมได้รับผลของกรรมนั้น ดังนั้น ผู้ที่มีกรรมร่วมกันในเรื่องนี้ น่าจะเป็นระหว่าง คุณแม่ผู้มีโทสะ กับ สุนัขผู้หิวโหย เท่านั้น เจ้าสุนัขอาจจะเคยกระทำกรรมไม่ดีไว้ในชาติก่อนก็ดี หรือชาตินี้ก็ดี จึงต้องได้รับผลกรรมกลายเป็นสุนัขขาพิการในชาตินี้ โดยมีความหิวโหยและปลาช่อนเป็นเหตุปัจจัย

- ส่วนคุณแม่ เมื่อได้ทำร้ายสุนัข จนถึงกับพิการไปแล้ว กรรมที่เธอจะได้รับ ก็คือ ความทุกข์ ที่จะต้องกัดกร่อนกินใจเธอ ไปตลอดชาติ เพราะมีบุตรขาพิการเป็นพยานบุคคล คอยตอกย้ำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยังไม่นับรวมถึงปัญหาต่างๆ ที่จะตามมาอีกในภายหลัง

- สำหรับตัวเด็กน้อย น่าจะมีกรรมเป็นของตัวเอง ไม่เกี่ยวกับเรื่องของคุณแม่และสุนัข และอีกอย่างความผิดปกติทางร่างกาย น่าจะเกิดขึ้นก่อนที่จะมีศึกแย่งชิงปลาช่อน เมื่อเกิดมาเป็นคนขาพิการ ก็น่าจะเป็นการรับผลกรรมของตัวเองมากกว่า

- เมื่อนำ วัฏฏะนี้ เมื่อนำมาเรียงต่อกัน ก็อาจจะเริ่มได้จาก เหตุคือ การแพ้ท้องอยากทานปลา ของคุณแม่ เป็นเหตุให้คุณแม่เกิดทุกข์ เมื่อไม่ได้ทานปลาก็เกิดทุกข์=> พร้อมกับเกิดความโมโหเจ้าสุนัข จึงขว้างไม้ออกไป=> เจ้าสุนัขได้รับความทรมาน ก็เกิดทุกข์ อันเป็นผลจาก เหตุ ที่ได้ไปขโมยของเขา => +++=> เมื่อคลอดบุตรออกมาเป็นเด็ก ขาพิการ ตัวเด็กก็เป็นเหตุ ให้ คุณแม่เกิดทุกข์ วนเวียนอย่างนี้เรื่อยไป

แต่ที่สำคัญก็คือ น่าจะต้องมีกุญแจไขรหัส +++ สักอย่าง ที่นำเอาโครงสร้างกรรมของคุณแม่และสุนัข มาสัมพันธ์กับ กรรมของเด็กได้

2. ในด้านของธาตุ

- โครงสร้างธาตุ น่าจะเป็น น่าจะเป็นคำตอบ (สุดท้าย) ที่เป็นตัวโยงให้เกิด วัฏฏะ นี้

- อย่างที่คุณหนูน้อยตอบ ในโครงสร้างธาตุนั้น ที่เห็นชัด ก็น่าจะต้องประกอบด้วย อังคาร ๓ ทำให้คุณแม่เกิดโทสะ จนต้องใช้กำลังเข้าจัดการกับสุนัข เพราะนึกถึงแต่ความต้องการของตัวเองเป็นหลัก ไม่ได้มีความเมตตาสงสาร เจ้าสุนัขผู้หิวโหยเพราะ พฤหัส ๕ อาจจะด้อยในขณะนั้น และ เสาร์ ๗ ในโครงสร้างของสุนัข และ บุตร คงจะเสียอยู่แล้ว เมื่อได้รับการกระตุ้นจากธาตุ อังคาร ๓ ของคุณแม่ จึงทำให้เกิดความเสียหายหนักขึ้นไปอีก

ถ้าแนวทางที่คิดนี้ไม่ถูกต้อง อาจารย์ช่วยกรุณาแก้ไขด้วยนะคะ

ขอบพระคุณค่ะ


สุธาวาส - 6 มกราคม พ.ศ.2549 19:34น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียนอาจารย์วรกุล คืออยากทราบว่า ในการทำนายดวงชะตาให้ผู้อื่น ไม่ว่าเรื่องดี หรือเรื่องร้าย จะมีผลกระทบต่อดวงชะตาของผู้ทำนายหรือไม่ ระหว่างผู้มีเจตนาที่จะช่วยเหลือคนที่มีความทุกข์ใจจริงๆ โดยไม่รับเงินกับหมอดูที่ทำเป็นอาชีพ และถ้ามีผลกระทบเราจะสามารถแก้ไขได้อย่างไรอาจารย์ช่วยแนะนำให้ด้วยค่ะ


เด็กใหม่ - 6 มกราคม พ.ศ.2549 20:05น. (IP: 202.5.86.26)

ความคิดเห็นที่ 38
ตอบ 33 คุณ เปมะ 35 คุณmoon 36 คุณหนูน้อย 37 คุณสุธาวาส...........นี่แสดงว่าคนอ่านแล้วคิดตาม ดีจริงๆ แบบนี้ถ้าพวกเราไปสอบนักธรรมหรือ เปรียญ คงได้กันมาทั้งเว็บกระมัง ใครอย่ามาลองภูมิไม่ได้เลยทีเดียว แต่คำถามที่ผมทิ้งท้ายไว้ให้คิด ไม่ได้ต้องการให้ตอบเป็นคำตอบกลับมานะครับ เพราะคำถามชนิดนี้ เป็นกระทู้ปัญหา ซึ่งเมื่อตอบแล้วทางใดทางหนึ่งก็จะเกิดเป็นคำถามซ้อนขึ้นมาในคำตอบ ไม่ว่าจะตอบไปในทางใดก็จะมีคำถามต่อไปเช่นกัน ดังนั้น ธงคำตอบจึงไม่ใช่ “คำตอบสำเร็จรูป” ที่เตรียมไว้ เพื่อให้คะแนนว่าถูก หรือ ผิด แต่จะเป็น “หลักการคิด”ที่นำมาใช้ เมื่อตอบแล้วจะเกิดคำถามซ้อนในแนวทางที่เลือกตอบ ก็จึงเป็นสิ่งที่โหรนั่นเองจะต้องตรวจสอบว่า มีคำตอบนั้นกำหนดมาในดวงชะตาหรือไม่

ในการพยากรณ์ดวงของบุคคลก็ต้องตรวจตราเช่นนี้ เช่น หากเด็กที่พิการคนนั้น ขณะนี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มาถามเราว่า เขากำลังจะแต่งงาน จะทำให้บุตรที่เกิดมาขาพิการไปด้วยหรือไม่ นี่คือ “คำถาม” หากเราตอบ “คำถาม” ที่มีผู้มาถาม ร้อยคำถาม พันคำถาม ก็จะเป็นเรื่องที่ไม่รู้จบ แต่ถ้าเราตอบ “ปัญหา” ที่เกิดขึ้นได้ คำถามทั้งหมดอาจจะไม่ต้องถามเลยก็ได้ เมื่อหมดปัญหาแล้ว คำถามก็หมดไปเอง เวลาเราเรียนโหราศาสตร์ก็เช่นกัน หากเราถามว่า “อาทิตย์ กุมลัคน์แปลว่าอะไร” ก็ต้องถามกันไม่รู้จบสำหรับดาวทั้งสิบดวง พอดาวหลายดวงร่วมกันก็ถามใหม่อีกหลายรอบ แต่ถ้าเราเห็นปัญหาว่า เกิดจากความไม่รู้ว่าดาวอยู่ในเรือนและราศีทำนายได้อย่างไร และทำไม เมื่อรู้แล้ว ก็จะไม่เกิดคำถามอีก

ส่วนคำถามทางธรรมะนั้น ปกติเขาถามเพื่อทดสอบการอธิบายให้อยู่ในกรอบของการเรียนเท่านั้น ว่าผู้ตอบอธิบายโดยยกข้อธรรมมาอธิบายได้ถูกต้องหรือเปล่า ไม่ได้ถามโดยปรมัตถ์ ว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร เพราะคำถามเช่นนี้ ระดับการศึกษาไม่เท่ากันก็ตอบไม่เหมือนกัน เช่น เด็กๆที่โรงเรียนอาจจะตอบว่า อันที่จริงเด็กที่พิการนั้นเป็นวิบากกรรมเดิมมาจากชาติก่อนอยู่แล้ว เพราะอยู่ในท้องมาเก้าเดือนตั้งแต่ก่อนคลอด เพิ่งมาคลอดในวันนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับหมาและแม่เด็กที่ขว้างหมาขาหัก ส่วนแม่เด็กนั้น ก็เพิ่งกระทำกรรมในวันนั้น จะมีผลเป็นวิบากกรรมต่อในภายหน้า แต่กรรมที่บุตรพิการนั้น ก็เป็นวิบากกรรมอีกส่วนหนึ่งที่เคยทำมาแล้วในอดีต เพียงแต่มาพ้องกัน เพราะ จิตเจตนามักเกลียดหมา อาจจะเคยขว้างหมาตัวอื่นขาหักมาก่อนแล้ว ส่วนหมาที่ขาหักนั้น อาจจะมีวิบากกรรมเดิมมาสนอง หรือ อาจจะเคยจองเวรกับหญิงผู้นั้นมาแต่ชาติก่อน หรือ ไม่มีกรรมเลย แต่มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่กลายเป็นผู้ถูกกระทำในชาตินี้ เป็นไปได้ทุกอย่าง เราไม่ได้สอบนักธรรมเพียงคิดเล่นๆก็ดีแล้ว

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 33 คุณ เปมะ............คุณก็สรุปจากการอ่านได้ตรงตามที่ต้องการให้เข้าใจในขั้นนี้ ส่วนคำถามเรื่อง “คู่แท้” นั้น เรื่องคู่เคยเขียนไว้ใน ความเห็นที่ 10 กระทู้ที่ 5 และ ความเห็นที่ 6 กระทู้ที่ 7 การดูคู่แท้ นั้นไม่ง่าย เพราะต้องใช้ความรู้ในการอ่านธาตุ และกรรมที่มีมาร่วมกัน พอๆกับเรื่องมารดา บิดา และบุตร แต่มีสิ่งที่ยากกว่า ก็เพราะ คู่ที่เจ้าชะตาอยู่กินด้วยอาจจะไม่ใช่คู่แท้ทีเดียวก็ได้ และบางคนอาจจะมีคู่ได้หลายคน ถึง หลายสิบคน วิธีที่จะดู คงจะบอกในขั้นนี้ไม่ได้

ผมเองต้องใช้เวลาเขียนข้อเขียนทางโหราศาสตร์ สลับกับการตอบคำถามบ้าง ถ้าเห็นว่าคำถามใดพออธิบายได้เลยก็อธิบายไปก่อน ให้พอเข้าใจเพียงพอแก่ความข้องใจ แต่หากจะแยกออกไปอธิบายแต่ละเรื่องโดยละเอียด ก็เหมือนเดินออกไปนอกเส้นทางมากเกินไป เมื่อกล่าวถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ยังไม่เคยกล่าวถึง ก็จะถูกถามดึงออกนอกทางไกลออกไปอีก เหมือนเรากำลังจะเดินทางไปไหว้พระ ที่เชียงใหม่ แต่หากเพียงแค่เดินออกจากบ้านแล้วก็แวะเวียน เก็บดอกไม้ข้างทาง อยู่แถวละแวกบ้านทั้งวัน ก็คงเดินไม่ได้ไกลไปถึงไหน เวลาเราเรียน โหราศาสตร์ก็ต้องมีสมาธิในเรื่องที่เรียนเช่นนี้เหมือนกัน


วรกุล - 7 มกราคม พ.ศ.2549 04:42น. (IP: 203.107.200.71)

ความคิดเห็นที่ 39
ขออนุญาตพูดเรื่องตัวเองนะคะ

จากการสังเกต นะคะ คนที่เรียนโหราศาสตร์ โดยที่ไม่ได้อยากจะหมอดูเป็นอาชีพ จะเป็นคนอยากรู้อยากเห็น โดยธรรมชาติอยู่แล้ว อยากรู้ไปซะหมดทุกอย่างแม้กระทั่งอนาคตของตัวเอง รวมทั้งของคนอื่นด้วย พอทำนายได้ถูกต้องก็ เอะทำไมทายถูก เอะทำไมผิด มีคำถามตลอดเวลา

และระหว่างทางการเรียนโหราศาสตร์นะคะ moon เองก็ชอบแวะเก็บดอกไม้สวย หอมๆ ข้างทางตลอดเลยคะ มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมมะ ฟังพระเทศน์ ไปปฏิบัติธรรม(โดยการบังคับและไม่ได้สมัครใจ) แวะนานไปหน่อย เพลินๆ ก็ตอบคำถามตัวเองว่าดวงเราเป็นแบบนี้เพราะเราได้ทำกรรมมาแบบนี้ เป็นเหตุเป็นผลเสมอ และจากการศึกษาโหราศาสตร์มา และอ่านดวงตัวเองเห็นว่า วิบากกรรมกำลังจะเกิดในปี 2548 ที่ผ่านมา moon เองได้ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ทำให้แก้ปัญหาได้ด้วยตัวเองและรอบคอบ และผ่านไปได้ด้วยดี ทำให้รู้ว่าการเรียนโหราศาสตร์ทำให้เราใช้ชีวิตโดยการไม่ประมาท และเรียนรู้ว่า “ไม่มีอะไรขึ้นสูงสุดแล้วคงอยู่อย่างนั้นตลอดไป เมื่อขึ้นสูงสุดแล้วก็จะตกลงมา เป็นธรรมชาติ”คำพูดนี้moon ได้ยินจากอาจารย์ของ moon คะ moon จำเอามาใช้ตลอดเลยคะ


moon - 7 มกราคม พ.ศ.2549 08:48น. (IP: 58.9.210.242)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบ 38 คุณ เด็กใหม่............โหรหรือ หมอดู หรือนักพยากรณ์ไม่ได้รู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริงๆ การกล่าวทำนายอะไรออกไปในสิ่งที่ไม่รู้จริง หากมองละเอียดก็เป็นการผิดศีลครับ วจีกรรม ก็เป็นกรรมแรงอย่างหนึ่ง ยิ่งหากผู้ที่ฟังแล้วเชื่อเรา ไปกระทำ หรือไม่กระทำจนเป็นผลเสียเพราะคำของเรานั้นเป็นต้นเหตุ ก็จะยิ่งส่งผลให้กรรมนั้นมีผลกระทบกลับมาสู่เรามากขึ้น แม้เขาทำแล้วเป็นผลดี ผลกรรมดีที่กลับมาหาเราก็อ่อน ไม่ได้รับเต็มที่ แต่มีกรรมอีกส่วนหนึ่ง คือ มโนกรรม ที่เกิดจากจิตเจตนาของเราเอง กรรมนี้มีผลแรงที่สุด หากเราวางจิตไว้ในพรหมวิหารธรรม คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา มีความตั้งใจดีต่อเขาจริงๆ พรหมวิหารนี้จะเป็นเกราะป้องกันเราจากสิ่งไม่ดีหลายสิ่ง และมโนกรรมก็จะบริสุทธิ์ได้ ผลกรรมที่เกิดขึ้นจะกลายเป็นบารมี เจริญขึ้นจนถึง โพธิสัตวิ์บารมี วิบากจากมโนกรรมนี้ จะช่วยส่งผลให้พ้นจากวัฏสงสารได้เช่นกัน

หมอดูที่ทำเป็นอาชีพ ไม่มีทางรวยเพราะอาชีพหมอดูหรอกครับ ที่เขารวยจึงอาจจะเพราะไม่ได้ทำอาชีพหมอดู แต่ ทำอกุศลกรรมจากวจีกรรมอยู่ คุณต้องแยกให้ออก เหมือนอย่างพระที่บวชอยู่ เป็นพระ รับอาหารบิณฑบาตอย่างเดียวจะไปรวยได้อย่างไร ในทางโหราศาสตร์เอง คนที่เก่งธรรมะ เก่งโหราศาสตร์เองจะไม่รวย หากรวยจะไม่เก่ง เพราะมัน เป็น interlock กันเองอยู่ เหมือนอย่างไฟเขียวไฟแดงจราจร เขาจะต่อวงจรเป็นอินเตอร์ล้อค หากไฟเขียวอีกฟากหนึ่งไม่ดับก่อน ไฟแดงพร้อมไฟเขียวของอีกฝั่งหนึ่งจะไม่มีวันสว่างขึ้นได้ เพราะอาศัยการตัดไฟดับจากไฟเขียวนั่นเองมาเปิดสวิทช์ไฟแดงและไฟเขียวของอีกฝั่งหนึ่ง โหรคนใด ยังละความโลภ โกรธ หลง ไม่ได้ ก็เข้าถึงโหราศาสตร์สูงสุดไม่ได้ ยิ่งกิเลสเหล่านี้เบาบางลงเท่าไร ความรู้โหราศาสตร์จึงจะเพิ่มพูนขึ้นในทางตรงข้ามได้

คนที่ใช้วิชาโหราศาสตร์ นอกจากจะต้องเสียสละรับผลกรรมที่เกิดจากการกระทำครั้งนี้แล้ว ไม่ว่าจะเจตนาดี หรือไม่ดี ยังจะต้องเสี่ยงต่อ จิต วิญญาณอื่น เช่น ผี สาง เทวดา เพราะจิตพร้อมอยู่ด้วยกรรมเหล่านี้ แม้จะไม่เกี่ยวกับผลกรรมของเรา แต่เขาก็ยังมีอคติอยู่ คนที่ทำบาปกรรมไม่ดี ไม่จำเป็นที่บาปกรรมจะมาสนองโดยทันที แต่เป็น จิตพร้อมอยู่ด้วยกรรม เหล่านี้เองที่มา อวยพร หรือสาบแช่ง ก่อให้เกิดผลทางไม่ดีได้ ดังจะเห็น หมอดูบางคน ฟันธงเขามาบ่อย อดีต เคยถูกไฟไหม้บ้าน อนาคตก็มีโอกาสถูกไฟไหม้บ้านอยู่ แต่ไฟสมัยนี้เหมือนไฟอิเล็คทรอนิคส์ เทวดาท่านก็ใช้รีโมทเป็น ดวงตกเมื่อไร หมดกำลังธาตุตามวัย ไฟก็ไหม้หมดตัวได้ ไม่เหลือแม้ชื่อเสียงและเกียรติคุณที่หลงใหลอยู่ เพราะกฏแห่งกรรมนี้ เป็นกรรมนิยามที่แน่นอนมาก ถือเป็นเอกใน นิยาม 5 หรือ กฎธรรมชาติ (กรรมนิยาม ธรรมนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม และ อุตุนิยาม) นิยาม ก็คือ กฎ

โหร จึงต้องมักไหว้ครู เพื่อขอบารมีครูคุ้มครองจาก จิตวิญญาณ ไม่ดีที่จะมาซ้ำเติม พึงจำไว้ด้วยว่า คำว่า “ครู” หมายถึง “วิชา” ด้วย วิชา คือ ครู วิชานั้น มีจิตวิญญาณของครูทุกท่านอยู่ ผู้ไม่เคารพวิชาก็คือไม่ได้เคารพครู แม้จะไปไหว้ครูอีกสิบพาน ครูผู้สอนนั้น ก็ยังเป็นเพียงครูน้อย ที่เป็นศิษย์ของ ครูวิชา อีกทีหนึ่ง ครูที่ใหญ่สุด คือ พระพุทธเจ้า และพระรัตนตรัย พระธรรมที่ทรงสอนเรา จึงเป็นตัวแทนครูผู้ใหญ่ หากเราไม่ประพฤติธรรม ก็คือปิดกั้นตัวเราจากวิชาที่จะเข้ามาหานั่นเอง นี่ก็เป็นอินเตอร์ล้อคกันอยู่เห็นไหม ทางวิชาเก่าๆ เช่น นาฏศิลป์ โหราศาสตร์ ดนตรี ไสยศาสตร์ จึงต้องไหว้ครูทุกปี โหรเอง ต้องไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน เพื่อขอบารมี “ครู” คุ้มครอง นี่คือ ทางแก้ไขครับ


วรกุล - 8 มกราคม พ.ศ.2549 05:26น. (IP: 203.107.193.201)

ความคิดเห็นที่ 41
ขอบพระคุณอาจารย์วรกุลที่แนะนำค่ะ


เด็กใหม่ - 8 มกราคม พ.ศ.2549 20:56น. (IP: 202.5.83.71)

ความคิดเห็นที่ 43
อาจารย์คะ

ตั้งใจว่าจะพยายามทำความเข้าใจเรื่องธาตุ เพื่อจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนโหราศาสตร์ ค่ะ เมื่อวานเลยรวบรวม ข้อเขียน และคำตอบของอาจารย์ในกระทู้ เก่าๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องธาตุ copy/paste ทั้งหมด ตั้งแต่เริ่มต้นค่ะ

ด้วยความเมตตาของอาจารย์ ตอนนี้ได้เป็นตำราเรื่องธาตุ ขนาด กระดาษ a4 ความหนา45 หน้า แล้วนะคะ

ขอพรจากอาจารย์ อ่านแล้วขอให้เกิด สติปัญญา เข้าใจได้อย่างถูกต้องด้วยค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


สุธาวาส - 10 มกราคม พ.ศ.2549 10:48น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 44
กราบเรียนอาจารย์ วรกุล ที่เคารพ

สงสัยเรื่องธาตุของดาวเกตุ ๙ ค่ะว่า เมื่อ เกตุ ๙ เป็นดาวที่ไม่มีตัวตน แต่เป็นจุดคำนวณทางโหร ถ้าเช่นนั้น เขาจะมีธาตุดาวไหมคะ ถ้ามีกลไกที่เกตุ ๙ รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วส่งผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา เหมือนดาวดวงอื่นๆ ไหมคะลักษณะการสะสม / แพร่กระจายพลังงาน ออกมา ทำงานอย่างไรคะ

อาจารย์เคยสอนว่า ในทางโหราศาสตร์ ถือว่า นามธรรม จะสามารถมีตัวตนได้ เพราะเป็นสถานะของธาตุที่มีพลังงานระดับหนึ่ง และนามธรรม สามารถ เปลี่ยนเป็นรูปธรรมได้เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงพลังงานธาตุ เกตุ ๙ เข้าข่ายนี้ใช่ไหมคะ

ในตำราโหราศาสตร์บอกว่า เกตุ ๙ มักจะไม่เป็นตัวของตัวเอง แต่จะอาศัยเรือนราศี และดาวดวงอื่นสร้างความหมายพิเศษขึ้นแต่เกตุ ๙ ไม่มีคู่ธาตุดาว และไม่ได้เป็นเจ้าเรือนเกษตร แสดงว่า เกตุ ๙ รับกำลังธาตุจากเจ้าเรือนราศี และดาวที่กุมกัน หรือคะ แล้วมีการส่งกำลังธาตุ จากตัวเองกลับออกไปไหมคะ

ขอความกรุณาอาจารย์อธิบายด้วยค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


สุธาวาส - 10 มกราคม พ.ศ.2549 20:00น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 45
สวัสดีค่ะ อาจารย์วรกุล

มาส่งข่าวเฉยๆนะคะอาจารย์ พึ่งมีโอกาสได้เข้ามาเช็คอินเตอร์เนตวันนี้ค่ะ ยังไม่ได้หายไปไหนนะคะ เดี๋ยวจะกลับมาอ่านข้อเขียนอาจารย์ หรือมาถามปัญหาใหม่ ช่วงนี้ยุ่งๆอยู่กับเรื่องเรียนค่ะ

สวัสดีค่ะ


เปมะ - 11 มกราคม พ.ศ.2549 04:27น. (IP: 81.179.244.119)

ความคิดเห็นที่ 46
ตอบ 45 คุณ สุธาวาส............คำถามนี้ความจริงดี แต่การอธิบายก็ยังลงลึกไม่ได้ เรื่องธาตุนั้นมีหลายชั้น เวลากล่าวถึงอะไรอย่างหนึ่ง อธิบายไปแล้ววันหลังก็ต้องกลับมาพูดถึงใหม่ แล้วลงลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง หากอธิบายหมดทีเดียวจะไม่เข้าใจสิ่งที่เกี่ยวข้องมากมาย ดังนั้น เวลาอ่านแล้วก็ยังคงงงๆอยู่ทุกข้อเขียน ต้องรู้จนหมดแล้วมาอ่านใหม่จึงจะเข้าใจว่าแต่ละข้อความหมายความว่าอย่างไรจริงๆ

ในส่วนของดาวเกตุ เกตุนั้น ต่างกับดาวมฤตยู และดาวอื่นๆ เพราะเกตุไม่ได้มีวัตถุเป็นดาวเคราะห์ที่โคจร แต่ดาวทุกดวงในโหราศาสตร์ไทยไม่จำเป็นต้องมีวัตถุเป็นเครื่องแสดงเป็นรูปธรรม คือเป็นนามธรรมอย่างเดียวก็ได้ พูดง่ายๆก็คือ ธาตุดาวในโหราศาสตร์ไทยล้วนแต่มี “ธาตุ (ธรรม)” ซึ่งจะอยู่ในสถานะเป็น รูปธาตุ (รูปธรรม) หรือ นามธาตุ(นามธรรม) ก็ได้ เหมือนกันหมด ไม่ได้แตกต่างกันในแง่ความเป็นธาตุ และก็ไม่ใช่มีแต่ดาว แค่ 10 ดวงเท่านั้น อันที่จริง ธาตุในโหราศาสตร์ไทยมีปัจจัยคล้ายดาวอยู่หลายดวงที่หลายๆคนยังไม่รู้จักเลย ต้องเรียนไปอีกหลายชั้นก่อนจึงจะรู้ว่า มีอะไรบ้าง

ดาวทั้ง 10 ดวงนี้ แบ่งเป็นสองพวก คือ พวกที่มีวัตถุแสดง ได้แก่ดาว ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๐ กับพวกที่ไม่มีวัตถุแสดง คือ ๙ และ ๘ ทั้งสองพวกมีคุณสมบัติทำนองเดียวกัน แต่ส่งผลต่อดวงชะตาต่างกัน เพราะพวกที่มีวัตถุแสดง คือดาวที่โคจรนั้น รับพลังงานธาตุจากดวงอาทิตย์ได้มากกว่า เนื่องจากมีวัตถุธาตุ (คือดาว) เป็นตัวรับ เมื่อรับได้มากกว่า ก็จึงมีช่วงการแปรเปลี่ยนระหว่างรูปธรรม และนามธรรมได้หลากหลายกว่า สามารถสร้างสรรค์ สรรพสิ่งบนโลกได้มาก ต่างกับเกตุ และราหู ซึ่งไม่มีวัตถุธาตุ (ดาว) จึง สามารถรับพลังงานธาตุในจักรวาลได้น้อย และไม่สม่ำเสมอ (แต่ก็รับได้ และส่งผ่านทางลัคนาได้เช่นกัน) ทั้งเกตุ และราหูจึงต้องอาศัยธาตุในโลกที่ดาวอื่นเพื่อรับพลังงานธาตุ โดยตัวมันเองต้องผสมธาตุของมันเข้าไป เพื่อรับพลังงานธาตุจากดาวนั้น แต่การทำเช่นนี้ ก็เหมือนต้องยืมจมูกผู้อื่นมาหายใจ เกตุ และราหูจะเข้าไปร่วมกับใครก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าธาตุตัวมันจะเข้ากันได้ หรือมันจะพอใจทุกธาตุ จะมีเพียงดาวที่มันถูกธาตุด้วยเท่านั้นที่มันจะได้พลังงานธาตุดี มันจึงจะมีกำลังดี เพราะการถ่ายเทพลังงานธาตุต้องใช้เวลา ดาวที่มันถูกธาตุด้วยก็คือ คู่ธาตุ(สภาวะธาตุ) คู่มิตร คู่สมพล เช่น ของ ราหู ก็คือ ๓ ๗ ๒ แต่ มีพิเศษ คือราหูใช้เกษตรธาตุดาวเสาร์ได้ ส่วน เกตุ มีความเป็นกลางมากกว่า ไม่ใคร่จะเป็นมิตร หรือ ศัตรูกับใคร ดาวที่มันถูกธาตุมากหน่อยจึงเป็น ดาว ๒ ๕ กับ ๐ และมี เกษตรธาตุดาวจันทร์ ที่เกตุไทยจะใช้แทนได้ ส่วนดาวอื่นๆมีเกษตรธาตุของตนเองอยู่แล้ว นอกจากข้อแตกต่างที่กล่าวมาแล้ว พฤติกรรมการถ่ายเทธาตุ ของเกตุไทยและราหู ก็เหมือนดาวอื่นทั่วไป ที่ควรรู้ในชั้นนี้ก็มีเท่านี้

เกตุ และ ราหู ไม่ใช่เพียงจุดคำนวณทางโหรอย่างที่ว่ากัน เพียงแต่ เกตุและราหู เป็นดาวที่ไม่มีวัตถุธาตุให้มองเห็นเท่านั้น ดาวทุกดวง ในปฏิทินโหราศาสตร์ไทย ล้วนแต่เป็นจุดคำนวณทางโหรทั้งสิ้น แต่มีเพียงดาวที่มีวัตถุธาตุจำลองให้เห็นเท่านั้น วัตถุไม่ใช่สิ่งสำคัญในการแสดงธาตุ (อย่าสับสนกับปัจจัยทางโหราศาสตร์ เช่น คราส อันนั้นจึงเป็นจุดคำนวณทางโหรล้วนๆ) ดังนั้น จึงเคยมีปริศนาของ อาจารย์ สส. (อยู่ตรงไหนสักแห่ง ในกระทู้ก่อนๆตอนแรกๆ) ถามว่า หากเราเคลื่อนย้ายสลับที่ดาวกัน เช่น สลับที่ระหว่างดาวพุธ กับ ดาวอังคาร บนท้องฟ้า เราจะต้องเปลี่ยน กฏเกณฑ์ทางโหราศาสตร์หรือไม่ คำตอบก็คือ ไม่เปลี่ยน อันนี้เป็นคำตอบสากล แต่ก็มีข้อโต้แย้งทางปรัชญากันเยอะ หลายแง่หลายมุม เหตุผลสำคัญทางด้าน ของโหราศาสตร์ไทยก็คือ วัตถุไม่ใช่สิ่งสำคัญในการแสดงธาตุ ที่บอกมานั่นเอง

ที่จริงเรื่องของธาตุในดวงชะตา เป็นเรื่องเยอะที่น่าสนใจทั้งนั้น เมื่อรู้แต่ละเรื่องจึงจะเข้าใจว่า หลักโหราศาสตร์ที่เราเรียนมาทั้งหมด มีที่มาอย่างไร ก็จะเข้าใจวิธีพยากรณ์ได้ ไว้ข้อเขียนถัดๆไป จะค่อยๆนำเอาเบสิคมาเล่าให้ฟัง หากเข้าใจเบสิคแล้ว จะรู้ว่า การดูดาวในดวงนั้นก็จะไม่ยากอะไรนัก ถ้าไม่ไปสนใจวิชาการ(ที่จำเป็นต้องอธิบาย)มากเกินไป เอาเพียงความเข้าใจ ก็อ่านดวงได้เข้าใจมากขึ้น เหมือนเข้าใจมนุษย์คนหนึ่งนั่นเอง


วรกุล - 12 มกราคม พ.ศ.2549 05:30น. (IP: 203.107.201.126)

ความคิดเห็นที่ 47
สวัสดีครับอาจารย์ วรกุล ขออนุญาตถามคำถามพื้นฐานนะครับ

1)คือสงสัยราศีกุมภ์ ที่เป็นได้ทั้งเกษตรของราหู และ เสาร์ แล้วจะถือว่าดาวใดเป็นดาวเจ้าเรือนครับ เช่นถ้าผมอยู่ราศีสิงห์ แล้ว จะดูว่าเจ้าเรือนปัตนิ ไปอยู่เรือนใด จะต้องตามดูเสาร์ หรือ ราหูครับ

2) ถ้าลัคน์อยู่ราศีสิงห์ แล้ว มีเสาร์ หรือ ราหูมาอยู่เรือนปัตนิ เล็งลัคน์ มักว่าไม่ดี แต่ก็เป็นเกษตรด้วย ควรทายอย่างไรดีครับ

ขอฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยครับ


วัชระ - 12 มกราคม พ.ศ.2549 07:25น. (IP: 203.209.115.135)

ความคิดเห็นที่ 48
อาจารย์คะ ขอบพระคุณมากค่ะ ได้อ่านคำตอบของอาจารย์ทำให้พอจะทราบพื้นฐาน และในการคิดที่แยบยล ลึกซึ้งของครูโบราณค่ะ แต่คงต้องอ่านซ้ำๆ หลายๆ ครั้ง ถึงจะเข้าใจค่ะ เหมือนจะง่ายแต่ยากจริงๆ ค่ะ แต่ก็จะพยายามต่อไปค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 12 มกราคม พ.ศ.2549 09:04น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 49
ตอบ 48 คุณ วัชระ...........1) คำถามนี้ดูง่ายๆ แต่ก็ดี ถ้าตอบกันง่ายๆธรรมดา ก็ต้องตอบว่า ราหูเป็น “เจ้าเรือน” ราศีกุมภ์ ใครที่เรียนมาว่ามีดาวอื่นเป็นเจ้าเรือนราศีกุมภ์ก็ต้องปฏิบัติตามหลักวิชาของดาวนั้น เช่น พวกที่ใช้ดาวอื่นมาร่วมพยากรณ์ด้วยก็จะใช้ มฤตยู เป็นเกษตรราศีกุมภ์ โบราณใช้ เสาร์เป็นเกษตร ราศีกุมภ์ และบางอาจารย์ก็ใช้ทั้ง เสาร์และ ราหูเป็นเจ้าเรือนราศีกุมภ์ จะเห็นว่า ทุกคนมักเข้าใจกันว่า เกษตร กับความเป็นเจ้าเรือนนั้นเหมือนกัน แต่อันที่จริงไม่เหมือนกัน และความหมายเกษตรที่แต่ละคนใช้กันนั้นไม่เท่ากัน พวกที่ใช้เกษตรก็เลยใช้เป็นเจ้าเรือนไปด้วย เรื่องนี้จะอธิบายก็ต้องรื้อฟื้นคำทั้งสองว่า “เกษตร” กับ “เจ้าเรือน” ต่างกันอย่างไร ดังนั้น ในโหราศาสตร์ไทยทั่วไป ต้องถือว่า ราหูเป็นทั้งเกษตร และเจ้าเรือนราศีกุมภ์ ก็จะไม่ผิด หากเรียนชั้นสูงแล้ว จึงจะเปลี่ยนมตินี้ ดังนั้น ตามคำถามของคุณ ราหูจึงเป็นเจ้าเรือนปัตนิ ให้ดูราหู ไม่ดูตามเสาร์

2) ดาวเจ้าเรือนเป็นเกษตร กับ ดาวดี หรือไม่ดี นั้นเป็นคนละเรื่องกันครับ ถ้าอ่านมาตลอดจะเห็นว่าผมเน้นตรงนี้บ่อยมาก ดาว เสาร์ หรือ ราหูเล็งลัคนา มักแสดงโทษนั้นมักเป็นคุณโทษทางดาว เพราะเสาร์ ให้โทษทุกข์ ราหูให้ความเปลี่ยนแปลงไม่มั่นคง ส่วนความเป็น เกษตรนั้นเป็นสถานะของเรือน หมายถึงความสม่ำเสมอ ยาวนาน เมื่อดาวอะไรมาให้คุณก็ให้คุณสม่ำเสมอยาวนาน หรือ ดาวอะไรมาให้โทษก็ให้โทษสม่ำเสมอยาวนาน ดังนั้น คุณก็ตอบเองได้แล้ว

ทีนี้ พอคุณตอบจบ ผมจะถามคุณต่อบ้างว่า ยังสมมุติตามคุณว่าลัคนาอยู่ราศีสิงห์ ราหูอยู่ราศีกุมภ์ 1 / หากราหูเป็นศรีทางทักษา เขามักว่าดี ในกรณีนี้ราหูเป็นเกษตรจะทายดีหรือไม่ดี 2 / หากอาทิตย์เป็น ประ เขาว่ามักไม่ดี แต่มาอยู่ราศีกุมภ์ ร่วมกับราหู ซึ่งเป็นเกษตรแบบนี้ จะทายดี หรือไม่ดี 3 / หาก อังคารเป็นกาลกิณี เขาว่าไม่ดี แต่มาอยู่ราศีกุมภ์ธาตุลม ที่ราหูเป็นเกษตร(จะเป็นศรี) และได้คู่อสีติธาตุลมแบบนี้ จะทายดีหรือไม่ดี 4 / หากพุธ เป็นคู่ศัตรูราหู คู่ศัตรูเขามักว่าไม่ดี มาร่วมราหูเป็นเกษตรในราศีกุมภ์แบบนี้ จะทายดีหรือไม่ดี 5 / หากเสาร์เป็นคู่มิตรกับราหู คู่มิตรเขามักว่าดี แต่เสาร์เป็นเจ้าเรือนอริ เขามักว่าไม่ดี เมื่อไปกุมราหูในราศีกุมภ์อยู่แบบนี้ จะทายดีหรือไม่ดีกันแน่

เอาเบ่าะๆแค่ 5 คำถามก็พอ ไว้ว่างๆ คุณลองตอบตัวเองดูสิครับ ที่ความเห็น 39 ในกระทู้นี้ ผมเคยบอกแล้วว่า อะไรคือ “คำถาม” อะไรคือ “ปัญหา” จะได้เข้าใจ เมื่อตอบได้ ทีนี้ก็ดูดาวเป็นละ ใครอยาก ลับสมอง หรือ เรียนโหราศาสตร์จบแล้ว หรือ เป็นอาจารย์แล้ว จะช่วยคุณวัชระตอบเงียบๆก็ได้ หรืออยากตอบอีกจะให้ถามต่ออีกก็ได้


วรกุล - 13 มกราคม พ.ศ.2549 04:23น. (IP: 203.107.193.15)

ความคิดเห็นที่ 50
ขอบพระคุณครับอาจารย์

ถ้าอย่างนั้น ผมเกิดลัคน์สิงห์ มีเสาร์เจ้าเรือนอริ อยู่ปัตนิ (กุมภ์) เป็นเกษตรด้วย ก็ต้องทายว่า เสาร์ให้โทษทุกข์ อย่างสมำเสมอยาวนาน เพราะทะเลาะกับคู่ครองใช่ไหมครับ

ส่วนราหูเจ้าเรือนปัตนิไปเป็นนิจอยู่ที่พฤษภ เรือนกัมมะ ก็แสดงว่าความรักไม่ค่อยดี และเกี่ยวพันกับที่ทำงาน เช่นบ้างานมากไป หรือได้ความรักมาจากที่ทำงาน หรือครับ

การบ้านห้าข้อ ผมขอรับไปคิดสักสองวันก่อนมาส่งนะครับ เกร็งๆกลัวจะตอบผิด


วัชระ - 13 มกราคม พ.ศ.2549 22:25น. (IP: 203.146.232.34)

ความคิดเห็นที่ 51
ตอบ 48 คุณ วัชระ...........เวลาทำนายดาวกับเรือน พยายามแยกเป็นเรื่องๆสิครับ อย่าเอาหลายเรื่องมาปนรวมกัน ที่เราเห็นเป็นเลขในดวงชะตานั้น มีอยู่หลาย ฐานะ หรือ บทบาท หรือ หน้าที่ เหมือนกับคนเรานั่นเอง เลขๆหนึ่ง ในช่องหนึ่งๆ ของดวงชะตา ในขั้นต้น อาจมีฐานะทาง 1 / เป็น ดาว (เช่น เสาร์ โทษทุกข์) 2 / เป็นเรือน หรือ เจ้าเรือน (เช่น เสาร์เจ้าเรือนอริอยู่เรือนปัตนิ) 3 / เป็นธาตุดาว (เช่น เสาร์ เชื่องช้า จำกัด) 4 / เป็นสภาวะธาตุ (เช่น เสาร์ธาตุไฟ กระตือรือล้น) 5 / เป็นสถานะของดาวในราศี (เช่นเสาร์ เป็นเกษตร) 6 / เป็นดาวเกณฑ์บางอย่าง (เช่น เสาร์พินทุบาทว์) 7 / เป็นธาตุในธรณี (เช่นเสาร์เป็นกาลกิณี) 8 / เป็นธาตุในจักรราศี (เช่น เสาร์ ธาตุดิน) 9 / เป็นคู่มิตร คู่ธาตุ คู่ศัตรู คู่สมพล (เช่น เสาร์ราหูคู่มิตร) 10 / เป็นดาววัย (เช่น เสาร์เสวยอายุ) 11 / เป็นจุดเจ้าชะตา (เช่น เสาร์เป็นตนุเศษ) 12 / เป็นปัจจัยตามกฏอื่นๆ (เช่น นวางค์ ตรียางค์ ยาม ฤกษ์) ขั้นต้นเอา 12 หน้าที่แค่นี้ก็พอ อย่าเอาแต่เรื่องมาปนกันนะครับ

อ่านแบบเอาเรื่องเป็นหลัก ยึดแก่นของเรื่อง เช่น เสาร์มาเล็งลัคนา เป็นอย่างไร ว่าให้หมดหน้าที่ก่อน จากคำถามของคุณ เสาร์ ให้โทษทุกข์ (คุณสมบัติทางดาว) ในการต่อสู้บากบั่น พากเพียร (อริ เป็นความหมายทางเรือน) เพื่อสร้างครอบครัว (ปัตนิ เป็นความหมายทางเรือน) แล้วจึงค่อยไปอ่าน ราหูไปอยู่เรือนกัมมะ ก็เอา เรื่องมาอ่านใหม่ เพิ่มคำว่า “จากการทำอาชีพการงาน” (กัมมะเป็นความหมายทางเรือน) เข้าไป สรุปก็คือ เสาร์เล็งลัคน์เป็นผลให้เป็นทุกข์ ที่จะต่อสู้บากบั่นพากเพียรสร้างครอบครัว จากการทำงานอาชีพ

อ่านให้ถูกก่อน แต่จะอ่านแล้วภาษาจะฟังดูดี หรือไม่ดี อย่าเพิ่งไปกังวล เมื่ออ่านเพิ่มขึ้น ก็จะได้ความขยายเรื่อง จากเสาร์เล็งลัคนาเป็นหลัก ไปอีกเยอะ เพราะเรายังไม่ได้อ่านเรื่องอื่น เช่น เรื่องคู่ครอง(ภรรยา) หรือ อาชีพการงานเลย เพราะเราเพิ่งอ่านไปเรือนเดียว คือดาวมาเล็งลัคนาว่าไม่ดี (ตามข้อ 2 คหห 48) แล้วอ่านต่อเนื่องยาวออกไปจากตรงนั้น และจะเห็นได้ว่า ดาวดวงเดียวกันนั่นแหละ ให้โทษบ้าง ให้คุณบ้าง ไม่ให้โทษ ไม่ให้คุณบ้าง แล้วแต่มันทำหน้าที่อะไร ถ้าอ่านตรงไหน แล้วชี้ไม่ได้ว่าอ่านในฐานะอะไร แบบที่ผมวงเล็บไว้นั้น ถือว่าอ่านผิด ขอให้อ่านใหม่ อย่าอ่านหลายเรื่องหลายบทบาทมาปนกันโดยไม่สอดคล้องกัน

การอ่านแต่ละเรื่องนั้น ต้องหยิบเอาแก่นของเรื่องมาตั้งเป็นหลัก จะเอาบทบาทไหนมาตั้งเป็นแก่นก่อนก็ได้ เช่น หากจะอ่านปัตนิ ก็ต้องอ่านปัตนิให้จบ หรือ อย่างตัวอย่างที่อ่านให้ดูนั้น คือ ผลของเสาร์ต่อเจ้าชะตา (ลัคนา) ก็ต้องยึดตรงนี้เป็นแก่น ส่วนเรื่องอื่นไม่ว่าจะเป็นบทบาทอะไร แม้เราจะอ่านมากมายสักเท่าใด ก็เอามาขยายความเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น ต้องถือว่ามีพระเอกคนเดียว เรื่องอื่นใดเอามาอ่านร่วมด้วยต้องลดบทบาทลงเป็นส่วนขยายทั้งหมด อย่าวอกแว่ก ออกไปทางอื่น จึงจะถือว่าเป็นเรื่องเดียวกัน อย่างที่คุณอ่าน เสาร์ให้โทษทุกข์ อย่างสม่ำเสมอยาวนาน เอามารวมกับ อริ อย่างไรครับ แล้วไปทะเลาะกับคู่ครองอย่างไร พอไปอ่านราหู เป็นความรักอย่างไร บ้างานอย่างไร กลายเป็นที่ทำงานได้อย่างไร คุณอ่านสถานะดาว เป็นพระเอกถึง 8 เรื่องมารวมกันอย่างสับสน แบบนี้ไม่ถูก ต้องลองดูทีละขั้นๆ จะเห็นง่ายกว่า

การบ้าน 5 ข้อ คิดกี่เดือนก็ได้ครับไม่ต้องตอบกลับมาหรอก เอาไว้ตอบตัวเอง ถ้าตอบไม่ได้เลยแสดงว่ายังไม่รู้วิธีดูดาว คงต้องไปหาเรียนเบื้องต้นก่อนครับ แนะนำอย่างใจจริง เพราะดูว่าคุณคงเรียนเอง หากจะอธิบายให้ฟังเป็นตัวหนังสือ จะลำบากมาก เพราะไม่รู้ว่าคุณเดินไปทางไหน คิดอย่างไร อีก 3 เดือนก็ไม่รู้เรื่อง แต่หากเรียนต่อหน้าผู้สอน สัปดาห์เดียวก็พอจะเข้าใจได้แล้ว


วรกุล - 15 มกราคม พ.ศ.2549 04:25น. (IP: 203.107.193.4)

ความคิดเห็นที่ 52
พวกเราที่เรียนดวงชะตาอยู่ทุกวันนี้ มักจะถูกย้อมความคิดมาอย่างไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกๆ โดยเฉพาะคนที่เรียนเองจากตำรามักจะเข้าใจเอาเองจากข้อความในหนังสือ ส่วนคนที่เรียนจากที่มีผู้สอนก็เสี่ยงอยู่เหมือนกัน หากผู้ที่สอนนั้นไม่เข้าใจโหราศาสตร์ แล้วเอาความเข้าใจของตนเองมาสอนผู้อื่นต่อ ก็ยิ่งทำให้ไม่ความเข้าใจโหราศาสตร์ขยายวงกว้างออกไปและหยั่งรากลึก พอเอาไปแต่งเป็นตำราจึงกลายเป็นเรื่องของงูกินหางต่อไปเรื่อยๆ อันที่จริงหนังสือที่เราเรียนมานั้น มักจะเอาความรู้ขั้นกลางมาสอน แต่ความรู้พื้นฐานว่าอะไรมาจากไหน และเป็นพื้นฐานสำคัญต่างหากที่ไม่มีใครสอน ดังนั้น ตำราสอนดูดวงชะตาจึงกลายเป็นสูตรสำเร็จรูปไป

ในดวงชะตาโหราศาสตร์ไทย มีดาวอยู่ เพียง 10 ดวง และเรือนราศี เพียง 12 ราศีเท่านั้น ดูง่ายๆ เพราะเหตุที่มันง่ายอย่างนี้ แต่ต้องแปลความออกมาได้ ร้อยแปดพันเรื่อง กลายเป็นภาพหลายมิติ นั่นจึงเป็นสิ่งยาก ปมสำคัญที่เป็นความรู้ อยู่ที่การมองมันให้ออกทุกมิตินี่เอง ดาวทั้ง 10 ดวง หรือ จะมีเพิ่มอีกกี่ดวงก็ตาม คือ สิ่งที่อยู่แวดล้อมตัวเราอยู่ทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดเลยที่รอดพ้นไปจากดวงดาวทั้งหมดที่เรานำมาใช้พยากรณ์ เรือนทั้งหมดก็มีอยู่ 12 เรือน ไม่มีเรื่องราวใดในชิวิตมนุษย์ที่จะรอดพ้นเรื่องราวในเรือนทั้ง 12 นี้ไปได้ ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้แหละให้กว้างขวางลึกซึ้งยิ่งขึ้น ยิ่งสึกมากเท่าไรก็ได้ความรู้มากขึ้น เป็นเคล็ดลับที่สำคัญกว่าเคล็ดอื่นใดทั้งหมด

เรือนทั้ง 12 เรือนนั้น เรานับจากตำแหน่งที่เป็นลัคนา เรื่องลัคนาพูดมามากแล้ว แต่ยังไม่จบได้ง่ายๆ เพราะลัคนาเป็นเรื่องกว้างและลึกมาก ลัคนาเกิดซ้อนทับกับอัตตา ที่เราหมายรู้ธรรมชาติสาธารณะมายึดถือเอาว่าเป็นตัวตนของเรา เมื่อมีอัตตา จิตที่มีโมหะก็จะหลงยึดเอาธรรมชาติสาธารณะอื่นๆอีกมาเป็นสร้างอัตนียา คือสิ่งที่เป็นของเรา อัตนียาจะบังเกิดและแปรปรวนต่อไป เนื่องจากปัจจัยที่ปรุงแต่งมัน ได้แก่ ธรรมชาติของเรือนทั้ง 12 เรือน คือ ปัจจัยที่ปรุงแต่งธรรมชาติสาธารณะที่อัตตาไปหลงยึดเอาไว้ เมื่อใดละอัตตาเสียได้ เรือนทั้ง 12 ก็ไม่มี เมื่อเรือนไม่มีเสียแล้ว ดาวก็ไม่มีที่จะสถิตอยู่ ดังนั้น โชคชะตาใดๆก็ไม่อาจมากำหนดชีวิตผู้ที่ละอัตตาได้แล้ว มีเพียงวิบากกรรมเดิมที่ส่งผลมาโดยธรรมนิยามเท่านั้น

เรือนทั้ง 12 นี้อันที่จริงก็เป็นสิ่งลวงที่ปรากฏแก่อัตตาเท่านั้นเอง และเราก็มองขอบเขตุเรือนของอัตตาไม่เห็นด้วย อัตตาไม่จำเป็นยึดติดเรือน 12 เรือน เลย แต่เพราะอัตตาทั่วไปไม่กล้าแข็งพอที่จะต้านกฎของธรรมชาติสิ่งแวดล้อม(ธรรมนิยาม)ที่มันอาศัยอยู่ หากเราไปเกิดในระบบดาวฤกษ์อื่นที่ไกลโพ้น มีดาวเคราะห์อยู่รอบดวงอาทิตย์สัก 30 – 40 ดวง อัตตาก็อาจจะถูกบังคับให้สร้างเรือนมากกว่า 12 เรือนได้ ในที่นั้น เราก็สามารถสร้างระบบโหราศาสตร์ไทยได้ใหม่ แต่ที่ต้องการเน้นย้ำในส่วนที่เราจำเป็นต้องเข้าใจคือเรือนทั้ง 12 เรือนที่เกิดจากจักรราศีในสุริยจักรวาลนี้ เมื่อเรือนชะตา เกิดจากอัตตา เราจึงสามารถทำความเข้าใจความหมายหลายประการจากเรือนของอัตตานั่นเอง

เมื่ออัตตาสร้างเรือนทั้ง 12 เรือน ที่เรามองไม่เห็น โหราศาสตร์จึงจำเป็นต้องสร้างตัววัดขนาดเรือนซึ่งสามารถมองเห็นได้ เพื่อที่จะกำหนดไว้เป็นเกณฑ์ จึงต้องเลือกหาวงรอบธรรมชาติที่เป็น จังหวะ 12 มาใช้ด้วย เพราะการเคลื่อนของธรรมชาติ ที่เป็นสิ่งแวดล้อมนี้ จะได้สอดคล้องกับเรือนของอัตตา พูดง่ายๆให้เห็นภาพก็คือ การที่จะอ่านอัตตาที่แสดงออกในรูปวงรอบ 12 เรือน ที่เรามองไม่เห็นเขตเรือน เราจึงหาแผ่นใสรูปวงกลมมาหนึ่งแผ่น ที่มีเส้นแบ่งเป็น 12 ส่วนมาเหมือนกัน เมื่อเอาแผ่นใสมาซ้อนทับกับวงรอบของอัตตา เราจึงจะพอกำหนดได้ว่า เรือนแต่ละเรือนของอัตตา อยู่ที่ใด แผ่นใสนี้คือ เสกล 12 ราศีที่เรารู้จักกัน เราอนุมานเอาว่า แต่ละราศีคือ แต่ละเรือน ที่มีขนาดเท่าๆกัน แต่โดยข้อเท็จจริงนั้นไม่ใช่ มีความรู้ในโหราศาสตร์ไทยอยู่ว่า เรือนแต่ละเรือนนั้นไม่เท่ากันทุกเรือน และเรือนเองยังแปรขนาดได้ไปตามอัตตาปรุงแต่งของผู้เป็นเจ้าของเรือนชะตา แต่ความรู้เช่นนี้ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างเกณฑ์ มาตรฐานในวิชาโหราศาสตร์ ข้อความนี้จึงจำกัดบอกให้แก่เฉพาะผู้ที่ผ่านวิชามาจนเข้าใจแยกแยะได้แล้ว จึงจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ สำหรับเราในขั้นนี้ พึงเข้าใจตามพื้นฐานไปก่อนว่า เรือน กับราศี สวมกันเข้าพอดี ราศีแบ่งตามองศาได้ราศีละเท่าๆกัน นี่เป็นเกณฑ์มาตรฐานที่ต้องใช้ในการคำนวณ

หลักเกณฑ์ที่เราเรียนมาข้างต้น สามารถใช้ได้กับอัตตาโดยทั่วไป อย่างที่บอกแล้วในย่อหน้าที่ผ่านมาว่าอัตตาทั่วไปไม่กล้าแข็งพอที่จะต้านกฎของธรรมชาติ หรือ ธรรมนิยามได้ ดังนั้น หลักเกณฑ์คำทำนายในโหราศาสตร์จึงเป็นการกำหนดจากธรรมนิยามที่เกิดจากสุริยจักรวาล เป็นเบื้องต้น เพราะธรรมนิยามเป็นเช่นใด อัตตาก็มีทางโน้มจะคล้อยตามไปเช่นนั้น การจัดจักรราศีเป็นจังหวะ 12 นั้น เป็นไปตามเกณฑ์ สุริยาตร หรือการโคจรของดวงอาทิตย์ ที่หมุนรอบจากทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นทิศวงรอบของกระแสพลังงานธาตุที่ถ่ายทอดจากจักรวาลเข้ามาสู่ดวงชะตาทางลัคนาด้วย

สรุปอย่างง่ายๆก็คือ ในรูปดวงชะตาวงกลมทางโหราศาสตร์ไทยที่เรามองเห็นนั้น เป็นวงกลมสองวงซ้อนกันอยู่ วงกลมแรกเป็น จักรราศี ที่แบ่งราศีเท่าๆกันเป็น 12 ราศี เกิดโดยกระแสธาตุ ที่เกิดจากลัคนา วงกลมนี้จะอยู่คงที่ และมีสภาพเป็นสนาม (field) ของธาตุ ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ส่วน วงกลมที่สอง เป็นเรือน 12 เรือน ที่ขอบเขตเรือนนั้นมองไม่เห็น เกิดโดยอัตตาเอง นี่เป็นวงกลมสองวงแรกที่เราควรรู้เป็นเบื้องต้น ไปจนสิ้นสุดการเรียนโหราศาสตร์ไทย เราอาจจะเข้าใจทฤษฎีโหราศาสตร์ไทยได้ดีกว่านี้มากเมื่อรู้ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่ในวงกลมสองวงนี้ และยังจะมีวงกลมอีกจำนวนมากที่กำเนิดซ้อนทับกันอยู่บนวงกลมพื้นฐานทั้งสองนี้ภายใต้เงื่อนไขต่างๆกัน


วรกุล - 17 มกราคม พ.ศ.2549 04:45น. (IP: 203.107.196.58)

ความคิดเห็นที่ 53
ผมเคยถามในเว็บนี้มาบ้าง นานแล้วผมอยากจะขอความคิดเห็น อาจารย์ศุภกร อีกครั้ง เรื่องมีอยู่ว่า

ผมเป็นอาจารย์สอนโทคโนโลยี ที่โรงเรียนเอกชน แล้วการงานก็ไม่ได้มีรายได้มากสักเท่าไหร่ คนเรียนน้อยลงมาก รายได้ก็ลดลงมากเช่นกัน ตามลำดับ ผมก็กำลังมองหางานอื่นเสริม เพิ่มรายได้ด้วย

ผมพึ่งจะมาอ่าน ศึกษา วิชาทางโหราศาสตร์ แต่ยังไม่มีเวลาไปเรียนจริงจัง ได้แต่อ่านจากเว็บบ้าง ซื้อตำราไปอ่านบ้าง เป็นการศึกษาด้วยตนเองไปก่อน แต่รู้สึกชอบมาก ยังไม่มีความรู้ทางด้านนี้เท่าไหร่

เพื่อนมาชวนไปขายประกันชีวิต บอกว่ารายได้ดี ยังมีความรู้สึกไม่ชอบงานขาย แต่เขาบอกว่ารายได้ดีจริง ๆ

อยากจะถามว่าถ้าดูดวงผมตามหลักโหราศาสตร์แล้วเนี่ย ดวงผมถ้าจะทำงานทางด้านโหราศาสตร์นี่จะได้ไหม ดีไหม หรือเป็นครูสอนช่างเทคนิคต่อไป ตอนนี้ก็เป็นอยู่ ก็ชอบงานนี้อยู่นะครับ แต่รายได้ก็ไม่ค่อยดีหรือ ไปเรียนโหราศาสตร์ ไปเป็นนักพยากรณ์ หมอดู หรือไปขายประกันดีนะ ไปทางไหนจึงจะเหมาะถึงจะดี มีอนาคตที่ดี มั่นคง ถูกโฉลกกับตัวเอง

ช่วยแนะนำหน่อยครับ

ผมเกิดอังคารที่ 27 เม.ย. 2514 เวลาประมาณ 20.00 น. ที่อุดรธานี


กัปตัน - 17 มกราคม พ.ศ.2549 17:15น. (IP: 58.11.84.177)

ความคิดเห็นที่ 54
ถามผิดกระทู้หรือเปล่าครับ กระทู้อาจารย์ศุภกรอยู่อีกที่หนึ่งครับ


วรกุล - 18 มกราคม พ.ศ.2549 05:31น. (IP: 203.107.194.156)

ความคิดเห็นที่ 55
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 13....ครับ..........


วรกุล - 22 มกราคม พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.200.173)

ความคิดเห็นที่ 56
เรียนอาจารย์วรกุล

หนูมีความสงสัยขอเรียนถามอาจารย์วรกุลเกี่ยวกับการแบ่งค่ายการศึกษาโหราศาสตร์หรือศิษย์โหรในว่าในปัจจุบันนี้มีการแบ่งออกเป็นกลุ่มหรือค่ายหลักๆอย่างไร แล้วศาสตร์ในการพยากรณ์ในปัจจุบันจำแนกออกเป็นกี่ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง (รวมทั้งศาสตร์ของไทยและสากล) อยากให้อาจารย์ได้ช่วยอธิบายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


pu - 24 มกราคม พ.ศ.2549 19:40น. (IP: 58.8.54.245)

ความคิดเห็นที่ 58
อยากรู้มากๆเลยว่าวันเสาร์นี่ค่ะ

ดาวอะไรคะ


นลินีนาพ - 17 มิถุนายน พ.ศ.2549 17:30น. (IP: 58.9.193.185)

ความคิดเห็นที่ 57
อยากรู้มากๆเลยว่าวันเสาร์นี่ค่ะ

ดาวอะไรคะ


นลินีนาพ - 17 มิถุนายน พ.ศ.2549 17:30น. (IP: 58.9.193.185)

ความคิดเห็นที่ 59
พั่ดพะร่เคี้รามท่มตนามท่บงใส่


เพ้กพด้ะพ - 6 กันยายน พ.ศ.2549 19:22น. (IP: 124.157.204.79)

ความคิดเห็นที่ 60
โอ๊ละหนอ โอถอดเสื้อใน ถอดกาเกงในโยนไว้ในบ่อ โอ๊ความรักสุขสันนิรันดอลปิดประตูไส่กอนแล้วก็นอนเย็บกัน คุณพี่อยู่ข้างล่างคุณน้องอยู่ข้างบน ผัดกันอมแล้วก็ผัดกันเลี้ย มีความรักกันใน้บนเตียง ผัดกันเลียแล้วก็ผัดกันอม เอา***นั้นเอายัดลงไป เอาเข้าออกให้ได้อาร๊มณ์ มีเสีงอ๊าโอ้กันเบาๆ จน พี่ทนไม่ไหวน้ำแตกคารู ร้องแบบเพลงนะคับเพื่อความมันทำไปด้วยเลยก็ได้นะ


คนเคยทำ - 6 กันยายน พ.ศ.2549 19:37น. (IP: 124.157.204.79)

ความคิดเห็นที่ 61
โอ๊ละหนอ โอถอดเสื้อใน ถอดกาเกงในโยนไว้ในบ่อ โอ๊ความรักสุขสันนิรันดอลปิดประตูไส่กอนแล้วก็นอนเย็บกัน คุณพี่อยู่ข้างล่างคุณน้องอยู่ข้างบน ผัดกันอมแล้วก็ผัดกันเลี้ย มีความรักกันใน้บนเตียง ผัดกันเลียแล้วก็ผัดกันอม เอาอันนั้นเอายัดลงไป เอาเข้าออกให้ได้อาร๊มณ์ มีเสีงอ๊าโอ้กันเบาๆ จน พี่ทนไม่ไหวน้ำแตกคารู ร้องแบบเพลงนะคับเพื่อความมันทำไปด้วยเลยก็ได้นะ


ผิดไปนิด - 6 กันยายน พ.ศ.2549 19:38น. (IP: 124.157.204.79)