เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 13 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 12 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 13 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.200.173)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
พวกเราที่ใช้คอมพิวเตอร์อยู่เวลานี้ ทุกคนคงสามารถคลิ้ก เมาส์ได้จนชินแล้ว เว้นเมื่อจะพิมพ์ตัวอักษรก็ใช้คีย์บอร์ดพิมพ์เอา เมื่อราวสักสิบแปดปีก่อน เรายังไม่ได้ใช้เมาส์มากเท่านี้ ทั้งนี้ เพราะโปรแกรมรุ่นแรกๆมักจะอยู่บนแพลทฟอร์มของดอส หรือ วินโดวส์รุ่นแรกๆก็ยังไม่ได้มีแอพพลิเคชั่นมากนัก พอมีแอพพลิเคชั่นรุ่นใหม่ๆในปัจจุบันนี้ เราจึงใช้คีย์บอร์ดน้อย ยกเว้นพิมพ์ตัวอักษร และตัวเลข นอกนั้นบางคนใช้เม้าส์ทำงานแทบจะทุกอย่างทีเดียว ทีนี้ หากใครลองเอาเม้าส์ไปซ่อนเสีย หรือ หากเมาส์ที่ใช้อยู่เกิดเสียขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลย พวกเรามีใครที่จะใช้คีย์บอรดแทนเม้าส์ได้บ้าง โดยไม่ต้องเปิดคู่มือ อันที่จริง คีย์บอร์ด ก็สามารถใช้แทนเม้าส์ได้หลายอย่างเท่ากัน แม้จะช้าไปบ้าง แต่ก็ได้ผลดี

อย่างที่ผมบอกไปคราวก่อนว่าดวงชะตาพื้นฐานของเราประกอบด้วย วงกลมสองวงซ้อนกันอยู่ วงกลมแรกเป็น จักรราศี ที่แบ่งราศีเท่าๆกันเป็น 12 ราศี เกิดโดยกระแสธาตุ ที่เกิดจากลัคนา วงกลมนี้จะอยู่คงที่ และมีสภาพเป็นสนาม (field) ของธาตุ ซึ่งจะเป็นสิ่งแวดล้อมที่ปรากฏ ส่วน วงกลมที่สอง เป็นเรือน 12 เรือน ที่ขอบเขตเรือนนั้นมองไม่เห็น เกิดโดยอัตตาเอง แต่เวลาเราอ่านดวงชะตา เราจะอ่านพัวพันกันไปทั้งเรือนและดาว เพราะความเคยชินเช่นนั้น และเกิดจากไม่มีใครสอน ว่าอะไรเป็นอะไร เหมือนกับสอนให้คลิ้กเม้าส์ โดยที่ไม่ใคร่จะมีใครสอนให้กดคีย์แทน เนื่องจากขี้เกียจจำอะไรยากๆ นานๆเข้าก็เลยไม่มีใครรู้ นอกจากคนที่เรียนทฤษฎีมาโดยตรง ในวงกลมสองวงที่เป็นดวงชะตาของเรานี้ก็คล้ายกับคีย์บอร์ดและเม้าส์นั่นเอง

เราจะเห็นบ่อยๆว่า นักทำนายโหราศาสตร์ มักจะทำนายจากตำแหน่งของดวงดาวบนจักรราศี ไม่ว่าจะเป็นนิสัยใจคอ หรือ เหตุการณ์ รวมทั้งทัศนสัมพันธ์เชิงมุมของดาว อย่างโหราศาสตร์ตะวันตกที่ไม่มีเจ้าเรือนแบบโหราศาสตร์ไทย ก็จะไม่ใช้เจ้าเรือนเลยทีเดียว แต่ก็ใช้วิธีนี้ทำนายได้ทุกเรื่อง โหราศาสตร์ไทยกลุ่มที่ได้รับอิทธิพลการทำนายแบบนี้ ก็เอามาเปลี่ยนปรับใช้กับโหราศาสตร์ไทย ใช้ดาว และราศีในการทำนายคล้ายๆกัน โดยใช้ระบบเจ้าเรือนบ้าง เพียงแค่อ้างอิงความสัมพันธ์เรือนเล็กน้อย แค่ตื้นๆ นักเรียนรุ่นใหม่ๆจึงเข้าใจว่าโหราศาสตร์ดั้งเดิมแบบไทยเป็นเช่นนั้น พวกนี้แหละที่ผมอยากจะเปรียบเทียบว่าเป็นพวกใช้เม้าส์ เพราะทำงานกับสิ่งที่มองเห็นง่ายๆแบบไอคอนหรือ ลิ้งค์บนจอภาพ อยากรู้อะไรก็คลิ้กเอาง่ายๆ แต่ก็จะไม่รู้เรื่องการเรียนรู้พื้นฐานที่เกิดจากคีย์บอร์ด เช่น พวก สแกนโค้ดที่ใช้กับคีย์แต่ละตัว และก็ไม่รู้วิธีที่โปรแกรมเมอร์ใช้เขียนโปรแกรม หรือ แอพพลิเคชั่นที่ลึกซึ้งกว่า

โหราศาสตร์ดั้งเดิมนั้น เป็นเหมือนสถาปัตยกรรมของวงจรคอมพิวเตอร์เอง ที่มีความใกล้ชิดกับภาษาเครื่อง หรือ ภาษาassemblyมากกว่า ซอฟแวร์ในปัจจุบัน โหราศาสตร์ดั้งเดิมจับเอาความสัมพันธ์พื้นฐานของชีวิตกับธรรมชาติมาสร้างทฤษฎี และยังคงใช้ได้อย่างมีประสิทธิผลดี ก็เพราะว่า มนุษย์เราไม่มีความล้าสมัย หรือทันสมัย จิต และอัตตาของมนุษย์ก็ยังคงวนเวียนอยู่กับกิเลสความโลภโกรธหลง ไม่เปลี่ยนแปลงมานับหมื่นนับแสนปีแล้ว สิ่งที่เรียกว่าทันสมัยในโลกยุคปัจจุบันก็ยังคงใช้พื้นฐานปัจจัยปรุงแต่งเหมือนเดิม เช่นเดียวกับภาษาเครื่องที่เป็นดิจิตอลในชิปคอมพิวเตอร์นั้น โหราศาสตร์ไทยดั้งเดิมเป็นมรดกความคิดของโบราณที่ยังเหลืออยู่ และเป็นสิ่งที่น่าทึ่ง ความรู้เหล่านี้ ปัจจุบันมีผู้รู้น้อยมาก เพราะ ไม่มีใครสอน และเพราะว่ามันเข้าใจยาก จึงมีผู้เข้าใจว่า มีสิ่งที่ถูกซ่อนเป็นเคล็ดลับอยู่มากมาย หัวใจของโหราศาสตร์ดั้งเดิมที่เรียกได้ว่าเป็นแพลทฟอร์มของโหราศาสตร์ นั่นก็คือ ระบบเรือน และเจ้าเรือนนี่เอง เมื่อเรามองวงกลมที่เกิดจากเรือนของอัตตา และ เห็นความเป็นไปทั้ง 12 เรือน นั่นเรากำลังมองแพลทฟอร์มของโหราศาสตร์ที่ควบคุมด้วยคีย์บอร์ด ในขณะที่เรามองวงกลมของดาว และราศี นั่นคือ การทำงานที่รวดเร็วกว่าของเม้าส์ แต่ถ้ามีใครสังเกตจะเห็นได้ว่า ลำพังการพยากรณ์ดวงดาวอย่างเดียวจะไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเจ้าชะตาเท่าไรเลย หากไม่มีลัคนา และเรือนชะตา

ถ้าใครอ่านถึงตรงนี้แล้วฉุกคิดได้ว่า ผมกำลังจะบอกอะไร ผมกำลังบอกว่า ในระบบเรือนชะตาของโหราศาสตร์ไทยนั้น เราสามารถที่จะอ่าน เรือนชะตาด้วยตนเองล้วนๆ โดยไม่ต้องพึ่งดวงดาว เหมือนใช้คีย์บอร์ดโดยไม่มีเม้าส์ วิธีอ่านเรือนชะตานี่เองที่ เป็น”ทาง” อ่านดาวสำคัญที่โบราณาจารย์ใช้กัน และถ่ายทอดมานานมากแล้ว ในขณะที่พวกเรานักเรียนใหม่ถูกสอนโดยผิวเผินให้อ่านดาว และราศี จากข้อความสำเร็จรูป อยู่นั้น ก็เหมือนสอนให้ใช้เม้าส์คลิ้กเอา แต่พวกเซียนโปรแกรมเมอร์ทางโหราศาสตร์ไทยกลับไปใช้วิธีดูเรือนเป็นความรู้ระดับคลาสสิคชั้นครู เหมือนกับการใช้โค้ดพื้นฐานทางคอมพิวเตอร์ ความรู้เหล่านี้แหละที่เป็นทางอ่านดาวเดิม ดาวจร รวมทั้งเป็นที่มาของเกณฑ์สำคัญทั้งหลาย แต่คำพูดที่ว่า เราสามารถอ่านดวงชะตาด้วยเรือนล้วนๆนั้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะสมบูรณ์ หากเปรียบเทียบอีกที ต้องเปรียบเทียบกับรูปภาพระบายสี เรือนชะตานั้น คือโครงร่างซึ่งเป็นเส้นสายทั้งหมดที่ไม่ได้ระบายสี เหมือนเส้นร่างบนกระดาษขาวในสมุดหัดระบายสีของเด็กๆ ส่วนดวงดาวนั้นก็คือสีสารพัดสีที่เด็กบรรจงระบายลงไปนั่นเอง ดังนั้น เมื่อเราเห็นเพียงโครงร่างลายเส้น เราก็จะรู้ว่าเป็นภาพของอะไร โดยที่ยังไม่จำเป็นต้องรู้ว่าภาพนั้นสวยงาม หรือ สวยไม่สวยอย่างใด เพราะยังไม่ได้ระบายสี

เมื่อเราหัดอ่านดวงชะตา มีคำสอนง่ายๆว่า “เรือนเป็นเรื่องราว ดาวเป็นเรื่องขยาย ” ก็เพราะเหตุนี้เอง ต่างกับพวกเราที่เรียนกันมาจากตำราที่มีขายอยู่ มักจะเป็น “ดาวเป็นเรื่องราว เรือนเป็นเรื่องขยายหน่อยเดียว” ตามความเป็นจริงแล้วทั้งสองส่วนมีความสำคัญพอๆกัน แต่เรือนนั้นบังเกิดจากอัตตาของมนุษย์ ดังนั้น ดวงชะตาบุคคลจึงอ่านจากเรือนได้แม่นยำกว่า นี่จึงเป็นรากฐานของโหรระบบดั้งเดิม ซึ่งตกทอดกันมานาน แต่เนื่องจากการอ่านเรือนนั้นอ่านยาก เต็มไปด้วยเทคนิคลูกไม้แพรวพราวมากมาย สอนยาก ดังนั้น สิ่งเหล่านั้นจึงกลายเป็นความลับ และเคล็ดลับไปเสีย ส่วนการอ่านดวงดาวนั้น เห็นได้ง่ายกว่า ตัวเลขดาวนั้นปรากฏอยู่ในราศี สามารถวัดดาว วัดมุมได้ด้วยไม้บันทัด จึงเป็นสิ่งที่เปิดเผยเรียนรู้กันอยู่ทั่วไป โหรที่ชำนาญนั้น มักจะอ่านเรือนเป็นโครงร่างรู้เรื่องก่อนแล้ว แล้วจึงระบายสีบอกรายละเอียดของเรื่องราวให้ชัดเจนลึกซึ้งยิ่งขึ้นจากดวงดาวนั่นเอง

เราจะสังเกตได้ว่า หากพิจารณาจากระบบโหรแบบตะวันตกดั้งเดิม เช่น โหราศาสตร์สากลที่ใช้ดาว และทัศนสัมพันธ์ของดาว (aspects) เป็นพื้นฐาน เมื่อเทียบกับโหราศาสตร์คลาสสิคดั้งเดิม เช่นโหราศาสตร์ตะวันออก ที่ยึดถือเรือนชะตา จะแบ่งออกได้เป็นสองพวกเหมือนตำราโหราศาสตร์ถูกฉีกออกเป็นสองส่วนแล้วเดินทางจากกันไปคนละทิศทางของโลก ทั้งสองส่วนต่างพัฒนาออกไปอย่างสลับซับซ้อน เต็มไปด้วยเคล็ดลับมากมายที่ ไม่ได้ปรากฏเป็นตำรา ทางตะวันตกที่พัฒนาวิธีดวงดาวนั้นจึงสามารถดูเหตุการณ์ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ทำนายดวงโลก ดวงเมือง ได้อย่างกว้างขวาง เพราะราศีและดวงดาว คือ สนามของธาตุในสิ่งแวดล้อมนั่นเอง ในขณะที่ทางตะวันออก อย่างโหรไทย สามารถดูดวงชะตาบุคคลได้แม่นยำดีกว่า เพราะพัฒนาเรือนที่เกิดจากอัตตาของมนุษย์เอง การพัฒนาวิธีดูเรือนชะตานั่นเป็นสุดยอดการพยากรณ์ของโหรไทย โหรที่เก่งกาจบางท่านในสมัยโบราณสามารถอ่านเรื่องราวแทบทั้งหมดได้จากเรือนโดยไม่จำเป็นต้องดูจากดวงดาวเลย แต่ถ้าเรา แสวงหาปรีชาญาณเช่นนี้ในโลกตะวันตก เราก็จะทึ่งเหมือนกันว่า โหรตะวันตกบางท่านดูดวงบุคคลจากการใช้ดวงดาวล้วนๆ ได้แม่นยำ โดยไม่ต้องใช้เรือนชะตาเลยเช่นกัน

โหรที่มีความรู้เรื่องทั้งสองเรื่องอย่างลึกซึ้งจึงได้เปรียบมาก เพราะสามารถตรวจสอบเรื่องราวจากเรือน และดาวได้ตลอดเวลา ธรรมดาเมื่อเราอ่านดวงชะตา จะมีเรื่องราวหลากหลายที่ต้องตีความอยู่มากมาย โหรผู้ชำนาญเมื่ออ่านทางหนึ่งแล้ว จะพลิกกลับไปอ่านอีกทางหนึ่ง สอบกันไปตลอดเวลา ก็จะสามารถขัดเรื่องราวให้ชัดขึ้น แต่จะอ่านอย่างใด วิธีใด นั่นแหละคือ เคล็ดลับส่วนใหญ่ ที่พวกเราอยากรู้กัน มีคำกล่าวของครูโหรผู้ใหญ่ที่ได้ตกทอดบอกกล่าวกันมานาน อยากจะจารึกไว้ในอินเตอร์เน็ทนี้ เป็นคำบอกใบ้หลักสำคัญในโหราศาสตร์ว่า “ในเรือน(นั้น)มีดาว ในดาว(นั้น)มีเรือน” วันใดเราเข้าใจ “ข้อเท็จจริง” นี้หมด ก็นับว่าเรียนโหราศาสตร์ไทยจบบริบูรณ์แล้ว


วรกุล - 22 มกราคม พ.ศ.2549 05:02น. (IP: 203.107.200.173)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียนอาจารย์วรกุล

หนูมีความสงสัยขอเรียนถามอาจารย์วรกุลเกี่ยวกับการแบ่งค่ายการศึกษาโหราศาสตร์หรือศิษย์โหรในว่าในปัจจุบันนี้มีการแบ่งออกเป็นกลุ่มหรือค่ายหลักๆอย่างไร แล้วศาสตร์ในการพยากรณ์ในปัจจุบันจำแนกออกเป็นกี่ประเภท ได้แก่อะไรบ้าง (รวมทั้งศาสตร์ของไทยและสากล) อยากให้อาจารย์ได้ช่วยอธิบายเพื่อเพิ่มพูนความรู้ด้วยค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


pu - 24 มกราคม พ.ศ.2549 19:42น. (IP: 58.8.54.245)

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบ 2 คุณ pu...........คำถามแบบนี้ ตอบยากนะครับ กว้างมาก แล้วแต่จะแบ่งลักษณะไหน ไม่มีกระดานดำให้เขียนเสียด้วย ต้องเขียนเอง ผมแบ่งการพยากรณ์เอาเองออกเป็นกลุ่มใหญ่ก่อน คือ หนึ่งพวกที่ใช้วิธีโหราศาสตร์ คือ ใช้เวลา (ซึ่งรวมถึงจังหวะของเวลาด้วย) อีกพวกไม่ใช้โหราศาสตร์ ก็ไม่ใช้เวลานั่นแหละ อาจจะใช้ จิต ใช้ญาณหยั่งรู้ ใช้ผี วิญญาณ อะไรแบบนั้น พวกนี้แม่นกว่าโหราศาสตร์ แต่วัดไม่ได้ คำนวณไม่ได้ ไม่แน่นอนเท่า ตรวจสอบไปอดีต อนาคตยาก ถ่ายทอดความรู้ยาก ฯลฯ อาจจะเรียกว่าพยากรณ์ศาสตร์ (หรือ บางอย่างเป็นไสยศาสตร์ด้วย) พวกพยากรณ์ศาสตร์มักจะเชื่อว่า อนาคตนั้นบังเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ดูตอนท้ายข้อเขียนนี้ ในที่นี้จะพูดแต่พวกโหราศาสตร์ก็แล้วกัน

1/ โดยทฤษฎี พวกที่ใช้โหราศาสตร์ จะใช้ “เวลา” ในการศึกษา เวลาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ โหราศาสตร์จึงใช้การศึกษาธรรมชาติ โดยวัดตามเวลาและจังหวะของเวลา โหราศาสตร์แบ่งออกเป็น 2 พวก คือ หนึ่ง พวกที่ยึดเอาปรากฏการณ์ที่อยู่ในธรรมชาติเป็นเครื่องมือศึกษา เช่น ดวงดาว กระแสธาตุ พวกที่สอง ศึกษาจากวงรอบของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่สอดคล้องกับเวลา หรือ ความเปลี่ยนแปลงใดๆในธรรมชาติก็ได้ เมื่อเทียบกับเวลา ทั้งสองพวกนี้มีทั้งไทยและสากล พวกแรกที่ศึกษาดวงดาวนั้นกว้างขวาง แบ่งออกเป็น 3 พวก หนึ่งที่ใช้ระบบดาวเคราะห์ในจักรราศีของดวงอาทิตย์ เป็นหลัก สอง ใช้ดาวฤกษ์เป็นหลัก สาม ใช้ดวงจันทร์ เป็นหลัก การศึกษาทั้งสามกลุ่มใช้กรรมวิธีที่แตกต่างกัน ส่วนพวกหลังอาจจะใช้อย่างอื่นนอกจากดวงดาว โดยจับจากวงรอบการเกิดขึ้นในธรรมชาติอื่นๆ เช่นอาจจะเป็น แสง สี เสียง ต้นไม้ สัตว์ หรือ ชีพจรมนุษย์ก็ได้

ดังนั้น รายละเอียดของแต่ละวิชาจึงมีมาก และส่วนใหญ่ก็จะใช้หลายหลักการมาผสมปนเปใช้ด้วยกัน พวกโหราศาสตร์ตะวันตก ยุโรป เอเซียกลางและเอเชียใต้ เช่นอินเดีย ที่ใช้ดวงดาวประเภทดาวเคราะห์ในสุริยจักรวาล มักจะใช้วิชาดาราศาสตร์เข้ามาร่วมด้วย จึงใช้มุมระหว่างดาว และการโคจรของดาว ที่มีปฏิสัมพันธ์กันและกัน ส่วนพวกโหราศาสตร์ทางเอเชียตะวันออก แบบจีน เกาหลี ญี่ปุ่น จะใช้ การเคลื่อนย้ายพลังงานใน ดาวฤกษ์มาร่วมด้วย ส่วนพวกที่เป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นี้ พัฒนาระบบเรือนที่เกิดจากชีวิตมนุษย์ และวงจรธรรมชาติที่ไม่ได้ใช้ดวงดาว แต่ใช้วงรอบที่เกิดจากโลกและดวงจันทร์ โดยย่อๆ ถ้าว่าโดยทฤษฎี โหราศาสตร์ก็คงต้องสรุปได้แค่นี้

2/ หากจะแบ่งประเภทตามที่มีการใช้งานกันอยู่ในปัจจุบัน จะรู้จักกันได้ดีกว่า อย่างศาสตร์พยากรณ์อื่นๆ ที่ ไม่ได้ใช้ดวงดาว หรือ อุปกรณ์ เช่น ลายมือ ลายเท้า นรลักษณ์ โหงวเฮ้ง ชีพจร อะไรแบบนี้ เป็นการอ่านจากธรรมชาติของชีวิตโดยตรง แต่อีกพวกที่ใช้ดวงดาว เช่น ใช้จักรราศี และดวงชะตา ก็อย่างโหราศาสตร์สากล โหราศาสตร์ไทย รังสีดาว (เช่น ยูเรเนียน) หรือจะใช้อุปกรณ์อื่นเช่น ไพ่ ใบไม้ เซียมซี เป็นการอ่านจากธรรมชาติของชีวิตทางอ้อม ในกลุ่มนี้ แยกออกได้เป็นอีก 3 ทาง คือ หนึ่ง พวกใช้ธาตุ (อย่างโหราศาสตร์ไทย – จีน ส่วนใหญ่) สองพวกใช้ วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากดวงดาว ได้แก่ วันเดือน ปี เช่น เลข 7 ตัว เลข 12 ตัว สาม พวกที่ใช้ ปัจจัยที่เกิดจากโลกหมุนเข้ารับพลังงาน เช่น พวกกลุ่มวิชาโลกหมุน พวกที่ใช้ธาตุในพวกแรก มีลูกหลานเยอะที่สุด ดูเหมือนที่ตกทอดมาถึงปัจจุบัน ราวๆ 15 – 16 วิชา (เท่าที่รู้) อ่านเพียงแค่นี้คงจะไม่ได้เพิ่มพูนความรู้เท่าไร วิธีที่จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรจริงๆ ต้องลองทำตามดูให้ได้ทุกวิชา แล้วจึงจะรู้ว่า หลักการที่แบ่งแยกแต่ละวิชาเป็นอย่างไร เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง ยังมีวิธีปลีกย่อยอีกหลายอย่าง ซึ่งบรรยายให้ฟังในที่นี้ไม่ได้หมด

3 / ในแง่แนวคิด เหตุที่แต่ละวิชา แต่ละทาง ทั้งพยากรณ์ศาสตร์ และโหราศาสตร์ที่สามารถทำนายอนาคตได้นั้น ขึ้นอยู่แนวคิด หรือ ปรัชญา ซึ่งเป็นข้อถกเถียงกันมานานแล้ว การพยากรณ์อนาคต เกิดจาก ความคิดที่ว่า เหตุการณ์ในธรรมชาติ เปลี่ยนแปลงไปตาม “เวลา หรือ กาล” ซึ่งเป็นตัววัดการบังเกิดของเหตุการณ์ แต่มีปัญหาว่า กาล เป็นสิ่งลวงหรือไม่ หากกาลเป็นสิ่งลวง ก็อาจจะหมายความว่า “อนาคตนั้นบังเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ไม่ได้เป็นผลจากอดีต และปัจจุบัน” ดังนั้น เราจึงจะดูอนาคตเมื่อไรก็ได้ แต่ “หากว่ากาลไม่ใช่สิ่งลวง อนาคตก็จะเป็นสิ่งที่เกิดจากอดีต และปัจจุบัน” เวลานี้หลักโหรที่เราใช้อยู่จึงแบ่งพวกออกเป็นสองพวก พวกแรก ทำนายอนาคต ด้วยการอ่านอนาคตที่มีอยู่แล้ว พวกหลัง ทำนายอนาคต ด้วยการพิจารณาผลของกรรมหรือ การกระทำในปัจจุบัน พวกไหนถูกผิดไม่รู้ เพราะมีเหตุผลมากมายทั้งสองฝ่าย อธิบายไปก็ยังไม่เป็นประโยชน์ตอนนี้ แต่ส่วนใหญ่พวกพยากรณ์ศาสตร์มักจะเชื่อว่า อนาคตนั้นบังเกิดขึ้นอยู่ก่อนแล้ว ต้องอธิบายกันยาว


วรกุล - 26 มกราคม พ.ศ.2549 04:35น. (IP: 203.107.200.143)

ความคิดเห็นที่ 4
ผมรู้แล้วว่า ทำไมฝรั่งจึงมีเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ๆ มากมาย

เพราะพอเขารู้แล้วเขาเปิดเผย เขียนเป็นตำราเอาไว้ ให้คนอื่นเอาไปอ้างอิง ศึกษาเพิ่มเติม เรียกว่า ต่อยอดความรู้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนคนไทย หรือคนจีน ต้องเป็นศิษย์ หรือ อย่างคุณวรกุล ซึ่งเรียกตัวเองว่าไม่ใกล้ฝั่ง แต่ก็ได้แต่มอง มอง มอง ความรู้ในเมืองไทย ตำราไทย วิชาต่าง ๆ จึงได้หายไป คุณคิดแต่เพียงว่า กลัวคนจะเอาไปใช้ในทางที่ไม่ดี หรือ อะไรก็ไม่อาจทราบได้

ผมเองอายุก็พึ่งจะ 35 อาจจะไม่มีความรู้ลึกซึ้งเหมือนคุณ แต่ผมก็สอนความรู้ให้คนอื่นโดยไม่ปิดบัง เทคนิคต่าง ๆ ก็สอนเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นกลเม็ด เคล็ดลับ ที่ไม่มีในตำรา หรือที่ได้ศึกษารู้ด้วยตนเอง และใครก็ตามที่มาเรียนด้วย ผมไม่หวงความรู้(ผมสอนเทคโนโลยีวิทยาการสมัยใหม่) ผมถือว่า ผมทำบุญด้วยความรู้ บางครั้งผมสอนคนที่ไม่รู้แล้วให้เขาได้รู้ ทำได้ ทำเป็น มันมีความสุข บางทีถึงขนาดขนลุกขึ้นมาเฉย ๆ เคยอ่านดู เขาว่า เป็นความปิติ ยินดี ตอนนี้ผมกำลังเขียน สร้างตำราให้กับนักเรียน นักศึกษา (โดยไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด ไม่ได้หมกเม็ดด้วย บอกจนหมดเปลือก เจาะจนถึงแก่นเลยหล่ะ) เพื่อที่คนไทยจะได้เท่าทันกับชาวต่างชาติ

ผมได้มาศึกษาโหราศาสตร์ ก็ไม่นานสักเท่าไหร่ ก็อ่านจากหนังสือเท่านั้น หรืออ่านศึกษาจากเว็บของคุณ เว็บอื่น ๆ ผมไม่ได้ลบหลู่คุณนะครับ ในทางตรงกันข้ามผมอ่านแล้วรู้สึกดี ดีมากด้วย แต่ถ้าจะให้ดี ผมก็อยากจะให้คุณ ๆ ที่เขียนในเว็บนี้ ได้เขียนเป็นตำราโหราศาสตร์ ระดับลึก สอดแทรกธรรมะต่าง ๆ เข้าไปด้วย เพื่อที่ความรู้จะไม่สูญหาย ก็คุณบอกว่าความรู้ที่เรียนกันแค่ 10% เท่านั้น แล้วอีก 90% หล่ะครับคุณจะให้มันหายไปกับกาลเวลาหรือ


นายชาญวิทย์ - 26 มกราคม พ.ศ.2549 16:03น. (IP: 58.11.84.165)

ความคิดเห็นที่ 5
เรียน อ.วรกุล

ได้อ่านตำราโหราศาสตร์หลายๆ เล่ม ซึ่งอาจารย์ผู้แต่งแต่ละคนจะใช้คำเรียกว่า "ภพ" บ้างหรือคำว่า "เรือน" บ้าง จึงอยากเรียนถามว่า ความหมายของทั้งสองคำนี้ มีความหมายที่แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร

ขอบคุณครับ


เสือ - 27 มกราคม พ.ศ.2549 10:16น. (IP: 203.113.36.10)

ความคิดเห็นที่ 6
จากความเห็นที่ 4ผมร่วมแสดงความเห็นด้วยนะครับ

ผมคิดว่าในการที่คนสมัยโบราณต้องมีการเลือกลูกศิษย์ในการเผยแพร่ความรู้ ศิลปวิทยาการต่าง ๆ นั้นมีหลายปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง โดยพื้นฐานแล้วผมว่าวิทยาการในสมัยก่อนมีความผูกพันธ์แน่นแฟ้นที่เป็นองค์รวมไม่ว่าจะเป็นปรัชญา ความคิด ความเชื่อ ศาสตร์และศิลป์ในหลาย ๆ แขนงโดยที่จะมีความลึกซึ้งในการอยู่กับธรรมชาติและเข้าใจธรรมชาติ เพราะฉะนั้นในการใช้ประโยชน์จากความรู้ต่าง ๆ จึงควรที่จะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและสังคม เพราะฉะนั้นในการถ่ายทอดวิทยาการในระดับสูงจึงมีการพิจารณาลูกศิษย์ที่มีความเหมาะสมซึ่งมีพื้นฐานจากศีลธรรมเป็นสำคัญ

และผมก็ไม่คิดว่าอาจารย์ในสมัยก่อนจะหวงวิชาเพราะต้องการที่จะเก็บความรู้คนเดียวแต่เป็นเพราะไม่มีคนเหมาะสมกับวิชานั้นเองต่างหาก นอกจากนั้นยังเป็นความหวังดีของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์และสังคมเพราะว่าจะได้ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น หรือกับตัวเอง (ที่ต้องรับผลกรรมอีกต่างหาก) ผมเชื่อว่าอาจารย์ท่านยอมให้ความรู้ตายไปกับท่านดีกว่ามีคนเอาวิชาความรู้ที่ท่านได้เรียนรู้ สะสมมาทำลายบ้านเมืองหรือสังคมหรือนำเอาไปแสวงหาผลประโยชน์อย่างมิชอบ

จะเห็นได้ว่าชาวตะวันตกจะใช้เทคโนโยลีและความรู้ต่าง ๆ เป็นกำแพงเพื่อที่จะกีดกัน และเอาเปรียบประเทศที่ด้อยกว่า การขโมยภูมิปัญญาความรู้ต่าง ๆ ของประเทศอื่นๆ มาเอารัดเอาเปรียบเช่นการจดลิขสิทธิ์ข้ามหอมมะลิ การขโมยทรัพยากรธรรมชาติไปใช้ทั้งทางตรงและทางอ้อม และอีกมากที่คนในสังคมไม่เท่าทัน ทั้งนี้ก็ผลมาจากการที่คนผู้มีความรู้ไม่มีศีลธรรมในการใช้และทำให้สังคมเดือดร้อนถ้วนหน้า

ถ้าคุณเป็นนักวิศวกรรมพันธุกรรมที่สามารถผลิตแบคทีเรียหรือไวรัสที่สามารถให้ผลดีอย่างยิ่งและอาจจะทำสร้างโรคติดต่อร้ายแรงได้ คุณจะสอนเคล็ดลับวิชานี้กับคนทุกคนไหม ?


เฟรด - 27 มกราคม พ.ศ.2549 17:53น. (IP: 61.91.213.240)

ความคิดเห็นที่ 7
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

อาจารย์คะ นานาจิตตัง นะคะ คนเรา ต่างจิต ต่างใจ คิดต่างกัน และ เลือกกระทำต่างกัน ตามวิธีการ และภูมิปัญญา ที่ตนเห็นว่าเหมาะสม

สำหรับดิฉัน ความรู้ที่อาจารย์ได้กรุณาถ่ายทอดไว้ใน web นี้ มีคุณค่า มากค่ะ ที่ไม่เคยได้ทราบ ก็ได้ทราบ ไม่เคยได้รู้ ก็ได้รู้ ไม่เคยเข้าใจ ก็ได้เข้าใจ แบบเป็นขั้นเป็นตอน บางเรื่องเป็นเรื่องพื้นฐาน ถึงแม้อาจารย์จะอธิบายซ้ำไป ซ้ำมา หลายรอบแล้ว แต่ในที่สุด ก็ยังมีคนเขียนมาถามปัญหาเดิมๆ อยู่ดี เหตุเพราะเรื่องพื้นฐานแบบนี้ ผู้คนสมัยโลกาภิวัฒน์ มักจะมองข้าม เพราะไม่เห็นความสลักสำคัญ ดิฉันเชื่อว่า ลูกศิษย์ on-line ของอาจารย์ ส่วนใหญ่ก็คิดหมือนดิฉันค่ะ ว่าเราอยากเป็นเมล็ดพันธ์ที่แข็งแรง และเจริญเป็นต้นกล้าที่สมบูรณ์ เพื่อจะเติบโตเป็นต้นไม้ที่มีรากและแก่นมั่นคง มากกว่าจะเป็นพวกพืชตัดต่อพันธุกรรมค่ะ

พรุ่งนี้วันตรุษจีนแล้ว ขอให้อาจารย์มีความสุขกาย สบายใจ สุขภาพแข็งแรง เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร ของพวกเรา ไปนาน แสนนาาาาาน นะคะ

ซิน เจีย ยู่ อี่ ซิน นี้ ฮวด ไช้ ค่ะ

ด้วยความเคารพ


สุธาวาส - 27 มกราคม พ.ศ.2549 18:33น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 8
ตอบ 5 คุณ เสือ...........คำว่า “ภพ” กับ “เรือน” ตอนนี้ใช้กันมั่วไปหมดแล้วครับ เป็นเพราะไม่มีกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับ ขืนไปทักท้วงใครมีหวังเถียงกันไม่จบแน่ มาทำความเข้าใจกันดีกว่า โหราศาสตร์ไทยเดิมนั้น ใช้คำว่า “เรือน” หมายถึง “เรือนเกษตร” ซึ่งเกิดจากราศี ในราศีจักร โดยไม่ได้คิดถึงองศา หรือ ลักษณะคือแบบดวงอีแป่ะที่เราใช้กัน เช่น หากลัคนาอยู่ราศีเมษ ราศีเมษก็จะเป็นเรือนตนุ ราศีพฤษภ เป็นกดุมภะ......เช่นนี้ไปเรื่อยจนครบ 12 เรือน ไม่ว่าลัคนามีองศากี่องศา ก็เป็นแบบนี้ เกษตรราศีเมษก็จะเป็นเจ้าเรือนเกษตรเรือนตนุไปด้วย พูดง่ายๆก็คือวัดตามราศีแบบไทย

ส่วนคำว่า “ภพ” หรือ “ภวะ” นั้น เป็นภาษาบาลีมคธ กระมัง ถ้ามาทางโหราศาสตร์ฝ่ายสากล หรือ ภารตะ จะหมายถึง “เขตราศีที่นับจากจุดเจ้าชะตาเป็นเกณฑ์” ในข้อความนี้มี 2 เงื่อนไข คือ หนึ่ง จุดเจ้าชะตา จะเป็นอะไรก็ได้ เช่น ลัคนา ตนุลัคน์ อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส ราหู สอง เป็น เกณฑ์ คือ เกณฑ์ที่ใช้วัดเขตราศี ยกตัวอย่าง เช่น สมมุติลัคนา อยู่ที่ 10 องศาราศีเมษ แล้วใช้เกณฑ์ สร้างภพ โดยให้ลัคนาอยู่ที่มัธยภพ หรือ กึ่งกลางภพนั่นแหละ ก็แสดงว่า ภพที่ 1 อาณาเขตเริ่มจาก 25 องศาเมษ ไปถึง 25 องศาพฤษภ ภพที่ 2 ก็จะ เริ่มจาก 25 องศาพฤษภ ไปถึง 25 องศามิถุน..........ไปเรื่อยๆ 12 ภพ ภพละ 30 องศานั่นเอง จะสังเกตว่า ถ้าเป็นแบบนี้ ภพก็จะไม่ตรงกับเรือนเกษตรแบบไทย และเงื่อนไขทั้งสองที่กล่าวนี้ ก็มีมากมายหลายแบบ เช่น จุดเจ้าชะตานั้น บางโหราศาสตร์มีตั้ง 20 – 30 จุด และ เกณฑ์วัดก็ต่างๆกัน เช่นที่นิยมใช้กัน นอกจากวางจุดเจ้าชะตาให้อยู่กลางภพแล้ว บางหลักก็วางไว้ ต้นภพ (คือ 0 องศา) หรือ ปลายภพ (30 องศา) หรือ องศาดาวอื่นๆก็มี พูดง่ายๆ ก็คือ การตั้งภพ นั้น ตั้งจากจุดที่มีความสำคัญ เหมือนกับเรามีสนามหญ้าเป็นที่โล่งๆอยู่ อยากจะตีเส้นเป็นสนามฟุตบอล หรือ สนามเปตอง หรือ สนามเด็กเล่น ก็ได้

แต่คำจำกัดความของ “ภพ“ เขาจะไม่เหมือน “เรือน” ของไทย จะสังเกตผมเรียกว่า “ภพที่ 1” “ภพที่ 2” ซึ่งโหราศาสตร์เหล่านั้นเขาก็เรียกกันอย่างนั้น ไม่ได้เรียกว่า ตนุ กดุมภะ ทั้งนั้ก็เพราะว่า ตนุ กดุมภะ ที่ใช้กันอยู่เป็นความหมายในเรือนเกษตรธาตุ ส่วนคำว่า “ภพ” เป็นความหมายจากจุดปัจจัยสำคัญ เดิมไทยเราใช้ จักรราศี ที่เขาให้เรียกว่า “จักรราศีแบบนิรายนะ” ส่วนจักรราศี แบบ “สายนะ” นั้นไม่ควรจะเรียกว่า “เรือน” เนื่องจากขอบเขตราศีเหลื่อมผิดไปแล้ว หากเรียกว่า “เรือน” แล้วก็เปลี่ยนดาวเจ้าเรือนไปด้วย คือแบ่งกันใหม่ ก็ไม่รู้ว่า ผู้ที่ใช้นั้น รู้เรื่องจักรราศีแบบเดิมดีหรือเปล่า แต่เขาเรียกว่าเขาเป็น “โหราศาสตร์ไทยประยุกต์” เนื่องจากโหราศาสตร์ไทยเดิมนั้นแก่ตายไปนานแล้ว เพราะมีดาวแค่ 7 ดวง แถม เนปจูน พลูโต ก็ไม่มี แล้วก็มีการเรียกเรือนว่า ภพ เรียกเจ้าเรือน ภพว่าเจ้าเรือนเกษตร และเรียกภพว่า “ภพตนุ” “ภพกดุมภะ” อะไรแบบนี้ ตกลงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว ใครอยากเรียกอะไรก็เรียกไปก็แล้วกัน หรืออยากจะสอนอะไรก็ตามใจ เพราะไม่มีกฎหมายห้ามไว้ เวลาเราอ่านก็ควรนึกหน่อยว่าเขาหมายถึงอะไร คำว่า “ภพ” ในวิชาโหราศาสตร์เดิมๆก็มี หมายถึงระบบของธาตุ อันนั้นเป็นอีกคนละอันกัน


วรกุล - 28 มกราคม พ.ศ.2549 04:38น. (IP: 203.107.200.115)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบ 6 7 คุณ เฟรด คุณสุธาวาส.........ขอบคุณทั้งสองท่านที่มาแสดงความคิดเห็น รวมทั้งให้พรตรุษจีนด้วย ขอ “ซิงเจีย อยู่อี่ ซิงนี้ฮวดใช้” ด้วยทุกท่าน และท่านที่อ่านด้วยนะครับ


วรกุล - 28 มกราคม พ.ศ.2549 05:47น. (IP: 203.107.194.189)

ความคิดเห็นที่ 10
เรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพ

ผมมีเรื่องที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ก็คือว่า ภรรยาผมได้ไปดูไพ่หมอยิบซี ก็ได้รับคำทำนายว่าคู่ครองคือตัวผมนั้นชะตาขาด (ได้ไพ่ dead) จากนั้นเธอก็กังวลจนต้องไปพบกับพระภิกษุที่วัดเพื่อให้ดูดวงชะตาของผม พระก็ทำนายว่าผมนั้นดวงชะตาขาด

หมอดูไพ่ยิบซี ได้บอกกับภรรยาผมว่า เขาอยากจะพบผมสักครั้ง ภรรยาผมรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมาก ก็เลยมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็คิดว่ารุ่งขึ้นก็จะลองไปพบเขาดู

ยังไงผมขอรบกวนท่านอาจารย์ ดูชะตาผมด้วยนะครับ ผมก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน

เกิดวันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน 2511 ที่กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 2 ทุ่มปีวอก เพศชาย

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


โอ - 28 มกราคม พ.ศ.2549 18:55น. (IP: 203.113.16.250)

ความคิดเห็นที่ 11
ขอแก้ไขข้อความ......ในความเห็นที่ 8 ย่อหน้าที่ 2 บันทัดที่ 4 ตรงที่ “ เช่น สมมุติลัคนา อยู่ที่ 10 องศาราศีเมษ แล้วใช้เกณฑ์ สร้างภพ โดยให้ลัคนาอยู่ที่มัธยภพ.....” แก้เป็น “ เช่น สมมุติลัคนา อยู่ที่ 10 องศาราศีพฤษภ แล้วใช้เกณฑ์ สร้างภพ โดยให้ลัคนาอยู่ที่มัธยภพ.....”

0000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 10 คุณโอ.........เสียดายจริงที่คุณไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์ จึงให้แค่วันเกิด เวลาเกิดมาทำนายแค่นี้ ดวงชะตาเกิดผูกแล้วก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวคุณ ตรงกับคุณหรือเปล่า จึงเสียเปรียบหมอดูไพ่ที่ภรรยาคุณไปด้วยตนเอง แต่ก็ไม่ได้ดีอะไรนัก เหมือนกัน การทำนายโหราศาสตร์ พวกใช้ไพ่ยิบซี จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์บางประการ มิฉะนั้น การพยากรณ์ก็ไม่มีประสิทธิผลอะไร และอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไร้สาระและถูกบิดเบือนโดยไม่ตั้งใจ หรือ ตั้งใจ ผมยังไม่เคยอธิบายเรื่องนี้ในกระทู้นี้ เพราะไม่อยากเสียเวลาเล่าเรื่องอื่น ดังนั้น จึงขอบอกไว้ก่อนว่า การใช้ไพ่นั้นใช้ยาก คนที่มีพรสวรรค์เช่นนั้น ไม่ต้องใช้ไพ่ยิบซีก็ได้ คนที่ใช้ไพ่ยิบซี ส่วนมากไม่มีพรสรรค์ 1000 คนมีคนเดียวนับว่ามากเกินไปแล้ว

แต่ถ้าเชื่อก่อนว่า คนที่ทำนายเขาใช้ไพ่เป็น พระที่ทำนายให้ เขาใช้วิชาอะไรหรือ หากใช้เพียงวันเดือนปีเกิด เวลาเกิดและให้ผมมานี้ ดวงชะตาคุณปิดดวงชะตาขาดโดยสิ้นเชิงช่วงอายุนี้ ไม่มีเลย หากไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆที่พยากรณ์ไปตามปกติแล้ว เหตุใหญ่ๆที่พบจากดวงชะตาคุณ (ที่ไม่รู้ว่าดวงถูกหรือไม่) ก็คือ คุณจะมีโชคลาภใหญ่สักก้อนหนึ่งที่อาจจะได้มาจากการใช้หนี้สิน หรือ รางวัลแจ้คพ่อตที่เขาจับรางวัลกันก็ได้ หากเป็นเรื่องไม่ดีสักหน่อย ก็คือ ภรรยาคุณนั่นเองจะมีอุบัติเหตุนิดหน่อย แล้วทางประกันภัย หรือ ฝ่ายตรงข้ามที่กระทำ เขาจ่ายเงินให้ ถือเป็นทุกขลาภ นี่ถือเป็นเรื่องแรงที่สุดแล้วในช่วงนี้ ดวงคุณยังไม่มีถึงตายจนกว่าอายุมากแล้ว ตามปกติมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่พบว่ามีอะไรที่ผิดไปจากปกติเลย ถ้าจะทำนายดวงชะตาตามปกติ ให้ลองถามอาจารย์ศุภกรดู ผมลองเปิดไปดูในกระทู้ของท่าน เห็นว่ายังมีคนถามรออยู่มากมาย เพราะท่านไม่ว่าง คอยสักสองสามวันก็คงได้รับคำทำนาย หากผมไม่วางใจว่าเป็นกรณีด่วนๆ ผมก็คงทำนายให้ตรงนี้อยู่แล้ว แต่ขอให้ถามทางนั้น เพราะต้องใช้เวลาทำคำนวณ ซึ่งอาจารย์ศุภกรทำเป็นประจำอยู่แล้ว ควรบอกรายละเอียดของตัวเองไปด้วยเพื่อให้ตรวจสอบดวงชะตาได้ เรื่องไม่ยาก

หากคุณยังไม่วางใจ แนะว่าต้องหาโหรลายมือที่เก่งๆ (ระดับท่านอาจารย์ปรีชา แดงบุพผา ที่สอนอยู่มูลนิธินี้ แล้วขอให้ดูให้) หากคุณมีปัญหาเรื่องพลังงานชีวิตอยู่ช่วงนี้ ลายมือจะปรากฏก่อนแล้ว และเห็นแน่นอนกว่า อย่าไปดูหมอดูเปรอะไปทั่ว คนที่เป็นบ้างไม่เป็นบ้างมีมาก ก็ทำให้เสียกำลังใจแบบนี้แหละ เห็นมาจนขี้เกียจจะเตือน


วรกุล - 30 มกราคม พ.ศ.2549 08:48น. (IP: 203.107.196.199)

ความคิดเห็นที่ 12
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณมากครับ คำตอบของอาจารย์ ทำให้ผมสบายใจขึ้นมาก โดยปกติผมก็ไม่ค่อยสนใจพวกไพ่ยิบซีนี้หรอก ผมคิดแต่ว่า ทำดี ประพฤติดี ไม่เบียดเบียนใคร และทำบุญกุศลบ้าง ก็ถือว่าดีที่สุดแล้วสำหรับมนุษย์โดยทั่วไปแล้ว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่ผู้หญิงก็เป็นเช่นนั้นล่ะครับ ทำให้เขาไม่สบายใจ มองในแง่ดีก็คือเขาเป็นห่วงเรา แต่มองอีกด้านหนึ่งก็ตกเป็นเครื่องมือเขาง่าย เพราะก็เคยได้ยินมาเหมือนกันว่า เคยมีคนสะเดาะเคราะห์เสียเงินไปจำนวนมากกับพวกมิจฉาชีพนี้ ยังไงผมคงต้องอบรมภรรยาผมให้เข้าใจบ้าง

ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


โอ - 30 มกราคม พ.ศ.2549 14:44น. (IP: 203.113.45.4)

ความคิดเห็นที่ 13
พวกเราแต่ละคนที่มาเรียนรู้โหราศาสตร์ บางคนที่หันมาศึกษาโหราศาสตร์ตอนอายุมาก มักจะมีประสบการณ์อันเลวร้ายจึงหันเข้าหาวิชาที่คาดว่าจะมีคำตอบให้แก่ชีวิต คนพวกนี้แหละที่พบได้ว่า เขาเรียนรู้โหราศาสตร์ได้ลึกซึ้งมากกว่า คนที่เรียนมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะประสบการณ์นั่นเองสอนเขาว่า ใครสอนอะไรจริง อะไรไม่จริง และมีความคิดเห็นที่กว้างไกลออกไป ในโหราศาสตร์ไทยเองนั้น ตัวเลขตัวหนึ่งที่เราเขียนลงในดวงชะตา มีเพียงเลข 10 ตัว แต่เลขทั้งสิบตัวนี้ สามารถแทนความหมายได้หลายมิติ หากคุณเข้าใจโหราศาสตร์ดี เลขมันจะมีชิวิต เหมือนแปรเปลี่ยนความหมายได้ตลอดเวลา และเมื่อเราเขียนเลขทั้งสิบตัวลงในดวงชะตา คนที่เรียนมาแล้วจะเห็นมันทำปฏิกิริยาสังสรรค์กันไปตลอดทั้งดวงชะตา เคลื่อนไหวไม่ได้อยู่นิ่งเลย

ถ้าเราลองหันไปมองใครสักคนหนึ่ง ใบหน้าของเขาที่ปรากฏ ทำให้เรามีความคิดความเข้าใจเขาไปอย่างหนึ่ง เช่นเห็นหญิงสาวสวยๆ น่ารัก เราก็นึกไปเองว่าเขาคงจะใจดี อ่อนหวาน แต่เมื่อได้พบปะพูดคุยด้วย เราจะเริ่มรู้จักพฤติกรรมนิสัยใจคอที่แสดงออกมา ซึ่งบางคนก็ไม่ตรงกับลักษณะหน้าตาที่เราคิดไว้ตั้งแต่ตอนแรก คนสวยๆบางคน ทั้งกระด้างและหยาบคาย กักขละจนน่าตกใจ และยิ่งคบกับเขาลึกซึ้งลงไปกว่านั้น เราก็อาจจะสังเกตได้ถึงนิสัยในส่วนลึกของจิตใจที่เขาซ่อนไว้ พระท่านว่า “ศีล รู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน” ศีล คือ ปกติ ปกตินั่นคือศีล หมายถึงความเป็นปกติธรรมดาของเขาที่แสดงออกมา และเป็นเนื้อแท้ของตัวตน (อัตตา) หญิงชายหลายคู่ที่แต่งงานกัน แล้วต้องหย่าร้าง นั่นเป็นเพราะทั้งสองเพิ่งจะได้รู้จักตัวตนของอีกฝ่ายหนึ่ง หลังจากได้อยู่ร่วมกันใกล้ชิดแล้ว ภาษาที่เราพูดกัน เราบอกว่า เขาเพิ่งรู้จัก “ธาตุแท้” ของอีกฝ่ายหนึ่ง

เลขดาว สมมุติอย่างเลข ๖ คือดาวศุกร์ ดาวศุกร์นี้เรารู้ว่ามันหมายถึง ความสวยสดงดงาม ยิ่งดาวศุกร์อยู่ในราศีมีน เป็นมหาอุจ ยิ่งเน้นความงามสดสวยมากกว่าเดิม หากเป็นตัวบุคคลก็จะหมายถึง หญิงสาวสวย หรือชายรูปงาม ดาวศุกร์มักหมายถึง ความสุข นี่คือลักษณะของดาวที่ปรากฏ แต่ ความเป็นธาตุแท้ของดาว อาจจะไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้ ทางโหราศาสตร์เรามีวิธีมองหลายชั้น เหมือนกับมองมนุษย์นั่นแหละ ลักษณะที่ปรากฏของดาว เราเรียกว่า “คุณสมบัติทางดาว” ส่วนใหญ่หนังสือตำราจะสอนคุณสมบัติทางดาวไว้ให้เราอยู่แล้ว เช่น ศุกร์เป็นความสวยงาม อังคารเป็นความกล้าแข็งขยัน อะไรเช่นนี้ นี่เป็นเพียงคุณสมบัติทั่วไป การนำคุณสมบัติทั่วไปของดาวมาใช้ทำนายในราศี ก็แม่นยำได้เพียงระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นเปลือกบางๆของผลส้ม แต่นักเรียนโหราศาสตร์ไทยต้องมองให้ลึกลงไปให้ได้อีกหลายชั้น ดังนั้น ใครที่ผลีผลามทำนาย เมื่อเห็นดาวอังคารกุมลัคนา ว่า “เจ้าชะตาเป็นคนขยันดี” จะว่าถูกก็ถูก แต่ถ้าถามกลับไปว่า คนที่ขยันแอบไปนอน ขยันอู้งาน ขยันโยนงานให้คนอื่น หรือ ขยันขอทาน จะเรียกว่าขยันได้หรือไม่ เราก็ต้องกลับมาคิดว่า อะไรคือ ธาตุแท้ของคำว่า “ขยัน”

ทฤษฎีโหราศาสตร์ส่วนใหญ่สร้างจากธาตุแท้ของดาว ตรงกันข้าม ลักษณะที่ปรากฏนั่นเองเป็นการตีความหมายส่วนหนึ่งมาจากธาตุแท้ของดาว ซึ่งความหมายนั้นจะเป็นจริงหรือไม่ก็ได้ คุณสมบัติทางดาว คือความหมายที่ปรากฏอย่างฉาบฉวย ของสิ่งที่เรียกว่า “ธาตุดาว” ฟังดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร เพราะดาว 10 ดวงก็ควรบรรยายธาตุดาวได้จบในหน้าเดียว แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่บรรยายจบได้ เพราะคำว่า ธาตุดาว เป็นความเป็นไปของธาตุในสิ่งแวดล้อมและจักรวาล มันประกอบไปด้วยส่วนผสมและคุณลักษณะทางรูปธรรมและนามธรรมอย่างมากมาย นอกจากตัวมันเองจะเป็นสิ่งที่แปรเปลี่ยนลักษณะได้รูปแบบจำนวนมากแล้ว มันยังผสมกับธาตุดาวอื่นๆที่ต่างกันได้อีก ดังนั้น ธาตุดาวที่ปรากฏอยู่ในดวงชะตา จึงแสดงให้เห็นว่าแต่ละคนมีชะตาชีวิตและนิสัยใจคอไม่เหมือนกันเลยแม้แต่คนเดียว แม้ว่าจะเป็นฝาแฝดที่เกิดมาพร้อมกันก็ตาม

สมมุติว่าคนเรามีเปลือก ลองคิดดูว่าคนเราคนหนึ่งมีเปลือกได้กี่ชั้น เช่น ชั้นแรกคือ รูปลักษณะที่ปรากฏ สวยงาม ขี้เหร่อย่างใด ซึ่งอาจจะไม่ตรงกับนิสัยจริงของเขา ชั้นสองคือ กริยาท่าทาง หรือบุคลิก จะเริ่มไม่เหมือนกัน ชั้นสามคือ รสนิยม และความถนัด ชั้นสี่ คือ ความประพฤติที่แสดงออกเอง หรือ จงใจปั้นแต่ง ดัดจริต ชั้นห้า คือ นิสัยที่อาจจะเก็บไว้ในใจ แต่ไม่ได้แสดงออกก็ได้ ชั้นห้าคือสันดานในส่วนลึก ที่เจ้าตัวอาจจะไม่รู้ก็ได้ ชั้นหก เป็นคุณภาพ (เจตสิก)ของจิต และอารมณ์ ที่อาจจะอุดมไปด้วยกิเลสและกรรมอีกมากมาย นี่เป็นแค่เปลือกที่แบ่งอย่างคร่าวๆ ลองนึกดูว่า หากมีใครมาถามว่าคนคนหนึ่งเป็นอย่างไร เราจะอ่านดวงชะตาจากอะไรได้บ้าง นั่นแหละเป็นสิ่งที่ล้วนแต่เป็นกรรมวิธีโหรที่ซับซ้อน ไม่ได้มีมุมเดียว นี่ยังไม่ได้เอ่ยถึงรูปธรรมของสิ่งแวดล้อมภายนอกอีกด้วยเลย

ความหมายของธาตุดาวจึงมีลึกซึ้งหลายชั้น อาจารย์บางท่านใช้คำว่า “นิสัยดาว” บ้าง “สันดานดาว” บ้าง “ธรรมชาติดาว”บ้าง “พฤติกรรมของดาว” บ้าง อาจจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่คนละระดับชั้นก็ได้ หลายท่านใช้คำว่า “ความหมายทางปรัชญา” เพราะไม่รู้จะใช้คำใดที่มีความหมายใกล้เคียงกว่านี้ ถ้าเราอยากรู้ว่าดาวแต่ละดวงมีธาตุแท้อย่างไร ก็ลองจับดูในหนังสือตำราที่มีก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะเขียนไว้ปะปนกันไปกับคุณสมบัติทางดาว หากเราแยกออกมาได้ หลายๆชั้น ตามเปลือกของมนุษย์ เราก็อาจจะเข้าใจโหราศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะทฤษฎีโหราศาสตร์มักจะเกี่ยวข้องกับธาตุแท้ของดาว หรือ ธาตุดาว อย่างเช่น ศุกร์นั้น ไม่ใช่ความสวยงาม แต่เป็น “ความสอดคล้องกลมกลืน” เมื่อ เป็นรูปลักษณ์จึงเป็นความสวยงาม เพราะความงามเป็นความสอดคล้องกลมกลืน นามธรรมของศุกร์จึงหมายถึงดนตรี และศิลปะ รวมทั้งความสุขด้วย เมื่อเป็นความสุข จึงหมายถึง ความมั่งมี อุดมสมบูรณ์ ซึ่งหมายถึง สมบัติ พัสถาน การเงินตามมา เมื่อกลับไปเป็นรูปธรรม เราจึงเห็นผู้คนที่สวยงาม และยิ้มแย้มแจ่มใส มีความสุขราบรื่น เราจะเห็นได้ว่า จากความหมายของ “ความสอดคล้องกลมกลืน” เพียงประเด็นเดียว สามารถแตกลูกออกไปเป็นความหมายได้อีกหลายระดับ ดังนั้น เมื่อเราดูความหมายของดาว เราจะต้องพิจารณาว่า เรากำลังมอง “ธรรม” นั้นในระดับใดอยู่ จึงจะเข้าใจวิธีโหราศาสตร์ หลักโหราศาสตร์บางอย่าง ยืนอยู่บนระดับเฉพาะอันใดอันหนึ่ง ไม่ได้ใช้ทุกระดับ ข้อนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างหลัก ที่นักเรียนใหม่มักจะพบเสมอๆ

ธาตุดาวนั้นมีคุณสมบัติพิเศษ เพราะสามารถเกิดปฏิกิริยากับธาตุอื่นได้อีกมากมาย แต่ธาตุทางโหราศาสตร์จะไม่เหมือนวิทยาศาสตร์ เพราะธาตุดาวสามารถมีคุณสมบัติได้ทั้งทางฟิสิกส์ที่ เรียกได้ว่า “รูปธรรม” และทางจิตใจ ที่เรียกได้ว่า “นามธรรม” แม้รูปธรรม และนามธรรมของโหราศาสตร์จะแตกต่างจากความรู้ทั่วไปของวิชาอื่นอยู่ แต่ก็คงแยกแยะให้ดูตรงนี้ไม่ได้ โหราศาสตร์จึงมักใช้คำว่า “รูปธาตุ” และ “นามธาตุ” เพราะ รูปธาตุและนามธาตุสามารถผสมกันได้ เหมือนเป็นสิ่งปรากฏ อย่างเราผสมกาแฟกับน้ำตาล นม ใส่น้ำร้อน เราอาจจะฟังดูทะแม่ง หากได้ยินว่า นามธรรมและปรัชญาเป็นสิ่งที่ปรากฏเป็นตัวตนได้ และสามารถผสมกันได้ด้วยเหมือนกาแฟ ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจ เพราะโหราศาสตร์จะใช้ รูปธาตุ และนามธาตุ แทน รูปธรรม และนามธรรมของปรัชญาวิชาอื่น ขึ้นอยู่ที่ว่ากำลังกล่าวถึงอะไร

โดยทั่วไปสิ่งที่เรามองเห็นรอบตัวอยู่ในทุกวันนี้ ไม่มีอะไรเป็นธาตุล้วนๆเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ ต้นไม้ บุคคล หรือ ปรากฏการณ์ใดๆ ล้วนเป็นส่วนผสมของธาตุ หรือ ธาตุดาวทั้งสิ้น รวมทั้ง นามธรรมอย่าง ความรัก ความโมโหโทโส ความทุกข์โศก สิ่งเหล่านี้สามารถแปรเปลี่ยนจากนามธรรมเป็นรูปธรรมได้ ในตอนต่อๆไปคงจะมีการกล่าวถึงเหตุผลและวิธีที่ธาตุเปลี่ยนแปลงว่ามีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับอะไรบ้าง จะเป็นการมองลึกไปกว่านี้


วรกุล - 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 05:16น. (IP: 203.107.200.108)

ความคิดเห็นที่ 14
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์วรกุล

ผมอยากถามความหมายของ ดาวที่ได้มาตรฐานวรโคตมนวางค์ ว่ามีความหมายอย่างไรและจะนำไปใช้ในการพยากรณ์อย่างไรบ้างครับ

ขอขอบพระคุณมากครับ


ธีร - 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 16:12น. (IP: 203.113.51.103)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบ 14 คุณธีร.........เรื่องนี้เคยตอบมาบางส่วนแล้วครับ ลองอ่านดูจากหนังสือโหราศาสตร์ส่วนมากก็จะมีบอกการทำดวงนวางค์นะครับ ปกติดาวใดที่อยู่ในราศีจักรราศีใด เมื่อทำดวงนวางค์แล้วอยู่ในราศีเดียวกันดังเดิม ก็เรียกว่าดาวนั้นอยู่ในวรโคตรนวางค์ อย่างเช่นสมมุติ ๕ องศา 2 องศา อยู่ในนวางค์แรกราศีเมษ เมษเป็นราศีธาตุไฟ เมื่อทำดวงนวางค์ ก็จะนับจากราศีต้นธาตุไฟ ก็จะได้ ๕ อยู่ในราศีเมษ ในดวงนวางค์ เหมือนเดิม แบบนี้เรียกว่า ๕ อยู่ในวรโคตรนวางค์ หรือ สมมุติ ๒ มีองศา 28 องศา ในราศีมิถุน ธาตุลม เป็นนวางค์ที่ 9 ในราศี นวางค์ในราศีมิถุน นับจากต้นธาตุลม คือ ตุลย์ มา 9 ราศี จะตกราศีมิถุน ดังนั้น ๒ ก็จะอยู่ราศีมิถุนดังเดิม เรียกว่า ๒ อยู่ในวรโคตรนวางค์

เขาถือว่า ดาวในวรโคตรนวางค์มีความดีเด่น ไม่ตกอับ มีบารมีดี ว่างั้นเถอะ แม้จะถูกทำลายด้วยดาวอื่นก็ไม่เสีย อะไรแบบนั้น ต้องไปดูฝอยทำนายดาวแต่ละดวง ในตำราดวงนวางค์ แต่มีข้อสังเกตว่า ดาวในนวางค์มีคุณค่าดี ก็ต้องระวังการคำนวณองศา เพราะ ปฏิทินดาว ยังไม่แม่น ไม่มีจุดลงเอย การที่จะไปชี้ชัดว่า ดาวใดอยู่ในนวางค์ใดแน่นอน มักไม่ชัดเจน ทำให้การทำดวงนวางค์เกิดความไม่แน่นอนตามไป ส่วนใหญ่ สมผุส(องศา) ดาวในแต่ละปฏิทินไม่ตรงกัน ดวงนวางค์ที่ผูกจากปฏิทินต่างแบบจึงไม่ตรงกันด้วย


วรกุล - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 05:00น. (IP: 203.107.192.26)

ความคิดเห็นที่ 16
สวัสดีครับ ท่านอาจารย์วรกุล

ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรกุลที่ให้ความรู้ครับ ผมขอสอบถามเพิ่มเติ่มในข้อสงสัยครับว่า ถ้าดวงที่ได้มาตรฐานวรโคตรนวางค์ แต่อยู่ในเรือนที่ทำให้เป็นประ หรือนิจ แล้วจะเป็นการแสดงถึงความมั่นคงในประหรือนิจด้วยหรือไม่ครับ

ขอขอบพระคุณมากครับ


ธีร - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 09:16น. (IP: 203.113.51.102)

ความคิดเห็นที่ 17
ตอบ 14 คุณธีร.........เรื่องการดูดวงนวางค์ต้องดูร่วมกับราศีจักรครับ ธรรมดา ดาวที่อยู่เป็นนิจ ประ ใน นวางค์ (หรือ เท่ากับอยู่เรือนประนิจด้วย) เป็นคนละเรื่องกับอยู่ในวรโคตรนวางค์ คือปกติประนิจ เป็นความมั่นคงส่วนหนึ่ง แต่ต้องถามว่าไม่มั่นคงเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องดีๆที่ไม่มั่นคง แบบนี้ถือว่าเสีย เช่น ตกจากอำนาจยศตำแหน่ง แต่หากเรื่องเสียๆแล้วไม่มั่นคง ก็ถือเป็นเรื่องดี เช่น เจ้าชะตายากจนเข็ญใจ เมื่อไม่มั่นคง ก็จะพ้นจากสภาพนั้นได้ แต่เรื่องของวรโคตรนวางค์ เป็นเรื่องของบารมี ไม่ใช่คุณธรรม ซึ่งเป็นได้ทั้งเรื่องสูงๆ หรือ ระดับธรรมดาก็ได้ เช่น ดาวที่อยู่ในวรโคตรนวางค์ มักจะมีกำลังดีและยาวนาน เหมือนถ่านไฟฉายชั้นดีไฟไม่หมดง่าย ดังนั้น เมื่อถูกดาวอื่นมากระทำบ่อนเบียนประการใด ก็ไม่หมดกำลังง่าย มักจะแน่นเหนียวคงทน อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างในกระทู้แรกๆว่า ดาวธรรมดา ตีศีรษะ ทีสองทีก็ตายแล้ว แต่ดาวในวรโคตรนวางค์ ต้องตีสักสิบทีจึงจะตาย ทรมานกว่ากันเยอะ โจรระดับพระกาฬหลายคนก็มีดาวในวรโคตรนวางค์ได้เหมือนกัน เขาเรียกว่า มีบารมีโจร

คุณยังสับสนเรื่องหน้าที่ของดาว ดาวมันเล่นบทคนละเรื่องอยู่ แม้เอาเรื่องมารวมกัน หากจะตอบตัดบทว่า ดาวที่อยู่ในวรโคตรนวางค์ แม้เป็นนิจ ประ ก็ฟื้นได้เร็ว คุณจะสังเกตว่า เวลาเรากล่าวถึงประนิจ เอ่ยถึงความตกต่ำ ไม่มั่นคง แต่ไม่มีกำหนดเวลา วรโคตรนวางค์นี่แหละ คือ กำหนดเวลา(ที่ฟื้นเร็วขึ้น) แต่ไม่ได้แก้ความเป็นประนิจ ลองคิดดูใหม่ว่าเข้าใจไหม การดูดวงนวางค์นั้นมาจากดวงราศีจักร ปกติควรเรียนดวงราศีจักรให้จบก่อน เวลาบอกเรื่องของดวงนวางค์ ก็จะเข้าใจง่ายว่าอะไรเป็นอะไร


วรกุล - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 04:44น. (IP: 203.107.200.45)

ความคิดเห็นที่ 18
สมมุติ บังเอิญเรามีเรื่องเดือดร้อนต้องการความช่วยเหลือ เช่น กำลังร้อนเงิน เรานึกถึงเพื่อน หรือ ใครที่รู้จัก หลายคนจำนวนมาก เราควรจะติดต่อใครบ้าง ปกติกรณีแบบนี้ หากเป็นเรื่องจริง ความคิดเราจะแล่นเร็วว่าจะไปติดต่อใครดี เรารู้ว่าเราเลือกเขา เพราะเชื่อว่าเขาจะช่วยเราได้เพราะอะไรบางอย่าง ในดวงชะตาก็เหมือนกัน ดาวทั้งหลายมีจำนวนถึง 10 ดวง แต่ละดวงมีคุณสมบัติแตกต่างกันไป หากสมมุติดาวเหล่านี้เป็นเพื่อนทั้ง 10 คน และตัวเราเองเป็น “ลัคนา” ดาวแต่ดวงอาจจะช่วยเราได้หรือไม่ได้ มาลองดูเหตุผลกัน

ข้อแรก เขาต้องมีกำลังในตัวเอง เพียงพอ หากดาวไม่มีกำลังในตัวเอง ง่อยเปลี้ย ไม่มีแรง การที่หวังให้ดาวนั้นไปมีอิทธิพลต่อใคร หรือ ช่วยเหลือใคร ก็หวังยาก แม้เขาจะมาอยู่ใกล้ชิดเราก็ตาม ดาวที่มีกำลังนั้น อาจจะเป็นอุจ เกษตร มหาจักร หรือ อื่นๆอีกมากมาย ก็พอมีกำลังเผื่อแผ่มาช่วยเรา แต่ถ้าตัวเขาเองยังเอาตัวไม่รอด เขาจะมาช่วยเราได้อย่างไร ข้อนี้เป็นข้อที่สำคัญที่สุดในการพิจารณาดาว และก็มีเรื่องราวที่พิจารณามากที่สุดด้วย

สอง หากเขาไม่มีกำลังเองก็อาจจะได้กำลังจากผู้อื่น ปกติดาวในดวงชะตา จะมีความสัมพันธ์กับดาวดวงอื่นอยู่แล้ว แม้ตัวมันเองไม่มีกำลังพอ แต่ได้กำลังดีจากดาวอื่นสนับสนุน ตัวมันก็มีพฤติกรรม เหมือนกับมีกำลัง เหมือน เพื่อนไม่มีสตางค์ แต่คุณพ่อเขารวย เขาก็มีเงินใช้จ่ายดูฟุ่มเฟือย เราก็ยังพอหวังพึ่งเขาได้ ดาวที่ไม่มีกำลัง แต่ได้ดาวอื่นร่วมกุม หรือสัมพันธ์ดีก็มีกำลังได้

สาม อยู่ในตำแหน่งที่ให้คุณให้โทษได้ เช่น เพื่อนไปอยู่ต่างประเทศไกลๆ แม้เขาจะร่ำรวยเท่าไร เราติดต่อเขาไม่ได้ แบบนี้ก็ช่วยไม่ได้ ดวงดาวก็เช่นกัน ดาวที่ดีๆ มีกำลังดี มีกำลังสนับสนุนดี แต่หากดาวนั้นไม่ถึงลัคนา ไม่เกื้อกุลแก่ลัคนาเสียแล้ว เช่น ตกในอริ มรณะ วินาสน์ ก็เหมือนไร้ประโยชน์ เช่นที่พวกเรามักทำนายดาวในราศี ที่เป็นอุจ เกษตร เป็นศรี เดช ตามตำราว่าอะไรดีๆมากมาย แต่สงสัยว่าเจ้าชะตาไม่เห็นจะดี ก็เพราะว่าดาวเหล่านี้ไม่ถึงลัคนานั่นเอง ในทำนองเดียวกัน งูพิษ มีพิษร้าย แต่ถ้าอยู่ในป่า หรือถูกจับใส่ลัง ไม่ได้อยู่บ้านเรา ถึงจะมีพิษร้ายเท่าใด ก็ไม่มีผลต่อเรา

สี่ หน้าที่ตรงกับเรื่องที่ต้องการ เช่น เราร้อนเงิน แต่เพื่อนเล่นดนตรีเก่งจัง จะมาเล่นดนตรีให้เราฟังแล้วเราจะหายร้อนเงินไหม ข้อนี้ เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เพราะเวลาเราดูดาวในราศี บางคนมีดาวๆดีๆ แต่ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องราวที่เราต้องการ พวกเรามักถามว่า ดาวดวงนั้นดี ดาวนี้ดี เหตุใดเราจึงไม่รวย คำตอบที่มักตอบจนเบื่อก็คือ ดาวนั้นมันดีจริง แต่ไม่ได้เกี่ยวกันกับเรื่องที่ดูอยู่นั่นเอง เช่น ดาวมันเก่งศิลปะ แต่หุงข้าวไม่เป็น เราจะอิ่มได้อย่างไร

ห้า ไม่มีผลต่อผู้อื่น หรือไม่แสดงออกมา เราอาจจะสังเกตว่าเพื่อนบางคน ร้องเพลงเก่ง หรือ เล่นหมากฮอสเก่ง แต่ก็ไม่ได้มีผลอะไรให้เห็นเป็นประโยชน์เลย บางคนร้องเพลงเก่งกว่านักร้องอาชีพ แต่ไม่คิดอยากไปประกวดที่ไหน หรือบางคนสวยกว่า นางสาวไทย แต่เขาไม่เคยเข้าประกวดความงามเหมือนกัน ก็เหมือนดวงดาว ที่ดีเด่นจริง แต่เป็นดาวที่ไม่สัมพันธ์ส่งผลต่อใครเลย เป็นเกษตร อุจ ก็รวยอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครได้พึ่ง หรือไม่พึ่งใคร แม้จะมีดาวชนิดนี้อยู่มากมาย เจ้าชะตาก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร

หก อยู่ในวัยที่ไม่ให้คุณ ดาวบางดวงเหมือนกำลังเป็นเด็กอยู่ แม้เติบใหญ่เขาจะได้เป็นมหาเศรษฐี แต่ตอนนี้เขายังอ่อนอยู่เหมือนผลไม้ยังดิบๆ การที่จะทำนายว่าเจ้าชะตาจะรวยเมื่อนั้นเมื่อนี้ ต้องดูก่อนว่า ดาวที่ว่าดีนั้นมันถึงวัยเจริญที่จะให้คุณให้โทษ หรือยัง การที่จะดูว่าถึงวัยหรือยังนี้ มีวิชาอยู่มากมาย แต่ละวิชาก็เป็นเทคนิควิธีของเขา เนื่องจากสัมพันธ์กับการดูดวงชะตาที่แต่ละคนใช้ หากเรียนกับใครอยู่ ก็อย่าลืมถามอาจารย์ผู้นั้น เพราะการจะทำนายต่อไป ต้องดูเรื่องนี้บ่อยมาก

นี่เป็นเหตุผลง่ายๆในการดุดวงชะตาสำหรับผู้เรียนโหราศาสตร์ การที่เราจะรู้ว่าดาวมัน ดี หรือ ไม่ดี อย่างที่เรามักสงสัยกันบ่อยก็มาจากเหตุผลข้างบนนี้นี่เอง ส่วนมากโหรจะพูดถึงความดี หรือไม่ดี ของดาว เมื่อมันมีอิทธิพลต่อเจ้าชะตา เพราะหากมันไม่มีอิทธิพลอะไร ก็ไม่ถือว่าดี หรือไม่ดี อย่างเขา โชว์เครื่องเพชรราคาพันล้าน อยู่ในโรงแรม แต่ขอทานที่อยู่ใต้สะพานคนเดินหน้าโรงแรมไม่ได้ร่ำรวยขึ้นมาด้วยเลย ก็เหมือนดาวที่เป็นมหาอุจ เกษตร มหาจักร ของคนที่เกิดวันเดียวกัน บางคนจึงเกิดเป็นมหาเศรษฐี เพราะ เครื่องเพชรพันล้านมาอยู่เรือนกดุมภะของเขาพอดี ต่างจากบางคน เกิดมาเป็นขอทาน เพราะดาวที่ดี ๆไม่ได้ช่วยฐานะของเขา ดีไม่ดีเป็นเจ้าเรือนร้ายๆ เมื่อเป็นอุจเกษตร ก็ยิ่งทำให้เขาวิบัติมากโงหัวไม่ขึ้นด้วย

ถ้าเราหัดพิจารณาทั้ง 6 ข้อนี้ได้ชำนาญขึ้น พอแยกแยะได้แล้ว จึงนับว่าเรียนโหราศาสตร์พอใช้ได้ ไม่ใช่เห็นดาวก็ตะลุมบอนจนนัวเนีย ไม่รู้อะไรเป็นอะไร ทำให้ไม่รู้ว่าดาวใดดี ดาวใดเสีย ดี หรือ เสียด้วยเหตุใด ซึ่งเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาให้เป็น เพราะเมื่อเรียนชั้นสูงต่อไป การพิจารณาจะอยู่ในระดับที่ยากขึ้น เข้าสู่พวก รูปธรรม นามธรรมจำนวนมาก จะได้ไม่งง การที่ดาวดี หรือ ไม่ดี ส่งถึงลัคนานั่นเอง จึงจะพิจารณาเจ้าของดวงชะตาว่าจะมีชะตาเป็นอย่างไร ไม่ใช่พิจารณาเห็นดาวมาตรฐาน แล้วทายเลย ก็จะเกิดเป็นปัญหาตลอดไป


วรกุล - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 04:42น. (IP: 203.107.196.153)

ความคิดเห็นที่ 19
มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เป็นเรื่องที่เหมือนอะไรที่ซ้อนทับกันอยู่มากมายสะสางยาก คือ เรื่องดาวในราศี เราจะเห็นได้ว่า เราเรียนโหราศาสตร์มามากมาย หลายสิบตำราก็ล้วนแต่กล่าวถึงดาวในราศี ในแง่มุมและคุณสมบัติต่างๆกัน แต่จะมีใครสังเกตบ้างไหมว่า เรื่องต่างๆที่กล่าวถึงดาว บางเรื่องก็เป็นเรื่องเดียวกัน แต่บางเรื่องก็เป็นคนละเรื่องที่ดูเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน นักเรียนโหราศาสตร์ใหม่ๆจึงมักเอาเรื่องพวกนี้มายำปนกัน แล้วก็เกิดคำถามมากมายวนเวียนไม่รู้จบ อย่างที่เรามักเรียกว่า “ปัญหาโลกแตก” ลำพังแค่ตอบปัญหาโลกแตกของนักเรียนโหร ก็ไม่ต้องไปทำอะไรกินแล้ว ใครที่เลิกถามปัญหาโลกแตกได้ ก็จะเป็นตอนที่เรียนจบนั่นเอง

ดาวในราศีเป็นต้นเรื่องสำคัญในการพิจารณาดวงชะตา เพราะดาวนั้น ไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี ย่อมที่จะส่งผลให้แก่ดวงชะตาทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่นทำให้ดาวอื่นดี หรือ เสียไปด้วย ด้วยเหตุที่เรื่องราวมันมีมาก อาจจะเรียกได้ว่าเรียนกันค่อนของตำราเรียนเลยก็ได้ กว่าจะรู้ว่าอะไรดี อะไรเสีย ดังนั้น พอใครบอกว่า ดาวดี หรือ เสียโดยไม่มีเหตุผลประกอบ จึงพูดเหมือนกับคนที่ไม่ได้เรียน คนที่ได้ยินเขาจะนินทาเอาได้ว่า ไม่มีความรู้เลย เป็นลูกศิษย์ใคร เขาก็นินทาไปถึงอาจารย์ว่าไม่สั่งสอน

ในโหราศาสตร์ไทย ดวงชะตาจักรราศีนั้น เป็นรูปจำลองของจักรวาล จักรวาลนั้นมีธาตุหลายชนิดอยู่จำนวนมาก แต่ที่มีบทบาทสำคัญมากที่สุด คือ ธาตุดาวและเกษตรธาตุ (ผมเคยเล่าเรื่องธาตุหลายชนิดมาย่อๆบ้างแล้ว ) ธาตุดาว และเกษตรธาตุ ในดวงชะตาเป็นธาตุชนิดละเอียดที่ส่งผ่านจากจักรวาลมายังดวงชะตาโดยผ่านทางลัคนา แล้วเข้ามาสถิตตามราศี ส่วนของเกษตรธาตุนั้นสถิตในราศีแล้วแผ่กว้างออกเต็มราศี เราจึงเรียกว่า เกษตรราศี อีกส่วน คือ ธาตุดาว หรือ ที่เราเรียกว่า “ดาว” นั้น ไม่ใช่ดาว เนื่องจากดาวอยุ่บนฟ้า แต่ในดวงชะตาเป็นธาตุที่มาจากดาว เราจึงเรียกว่า ธาตุดาว อันที่จริง ธาตุดาว กับเกษตรธาตุ นั้นเป็นธาตุคนละส่วนต่างกัน แต่มีส่วนที่เหมือนกัน คือ เป็นธาตุที่ได้จากดาวเดียวกัน เช่น เกษตรธาตุของศุกร์ จะอยู่ในราศีพฤษภ และ ตุลย์ อยู่กับที่เต็มราศี เรียกว่าเป็นธาตุของศุกร์ ส่วนธาตุดาวศุกร์ เป็นธาตุของศุกร์เหมือนกัน แต่เหมือนเป็นก้อนเข้มกว่า สามารถเคลื่อนที่ได้เช่นเดียวกับดาวในท้องฟ้า ด้วยเหตุที่ ธาตุศุกร์ เป็นธาตุเดียวกับเกษตรราศีนี่เอง ทำให้ดูเหมือนว่า ศุกร์เป็นเจ้าเรือนราศีพฤษภ และตุลย์ เพราะปฏิกิริยาใดที่เกิดต่อราศีทั้งสอง จะกระทบธาตุศุกร์ ก็จึงสะเทือนถึงธาตุศุกร์ในธาตุดาวด้วยเช่นกัน เมื่อใดศุกร์จรถึงราศีทั้งสอง ธาตุศุกร์ก็จะลอยอยู่ใน(ราศี)ธาตุศุกร์ เราจึงเรียกว่า ศุกร์เป็นเกษตรเจ้าเรือน

ธาตุดาวนั้น เมื่อใดตัวมันสามารถแสดงออกคุณสมบัติในตัวเองได้เต็มที่ ดาวนั้นจะแสดงความดีออกมา หากเราขีดเส้นตรงดิ่งลงมาเป็นเสกล สูงต่ำ ส่วนที่อยู่บนก็คือ ธาตุดาวที่ดีที่สุด เป็นธาตุดี สามารถแสดงออกความหมายทางปรัชญาได้ดีที่สุด ส่วนที่อยู่ต่ำที่สุดก็คือ ธาตุดาวแสดงออกได้ในระดับต่ำ เป็นธาตุชนิดเลวนั่นเอง ดังนั้น เมื่อมองลงไปในดวงชะตา เราจะเห็นเลขดาวแต่ละดวงมี “ระดับ” ความดีเลวอยู่ด้วยโดยไม่จำเป็นต้องเขียนเป็น%ลงไป เพราะนี่เป็นการเริ่มมองเข้าสู่นามธรรมของดาว ความดี ความเลวนั้นวัดเป็นตัวเลขจริงๆไม่ได้ ดังนั้น เราต้องรับรู้ด้วยความรู้สึก และ “ใจ” ต่อไปการมองในระดับสูงขึ้นจะยากขึ้น

การที่ดาวจะดี หรือไม่ดีนั้น โดยพื้นฐานขึ้นอยู่กับสิ่งสามอย่าง อย่างแรกคือตัวธาตุดาวนั่นเอง ดาวที่ดี ต้องมีธาตุดาวอยู่อุดมสมบูรณ์ เรื่องนี้เข้าใจง่าย เพราะการที่มีธาตุปริมาณมาก ก็จะแสดงคุณสมบัติได้เด่นชัด อย่างที่สองคือ เกษตรธาตุในราศี ซึ่งดาวมาอาศัยอยู่ แต่การที่ธาตุดาวจะแสดงคุณสมบัติออกมาได้ขึ้นอยู่กับอย่างที่สาม คือ พลังงาน พลังงานในโหราศาสตร์เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า พลังงานธาตุ ซึ่งเคยเขียนมาแล้วหลายครั้ง หากธาตุดาวแม้จะมีอุดมสมบูรณ์เพียงใด แต่ได้รับพลังงานน้อย หรือไม่ได้รับเพียงพอ ก็เหมือนคนรูปร่างสูงใหญ่แต่ไม่มีอาหารกิน ร่างกายก็จะลีบฝ่อหมดแรง เป็นโรค ดาวในดวงชะตาก็คล้ายกัน พลังงานแม้ไม่ใช่อาหารของดาว แต่ก็เป็นสิ่งจะเป็นที่ต้องใช้หล่อเลี้ยงธาตุดาว ที่ใดมีพลังงานธาตุมาก หรือได้รับมาสะดวก ดาวก็จะแสดงความดีได้มาก แม้มันจะมีปริมาณน้อยนิดก็ตาม โลกเรานี้ประกอบไปด้วยสสาร และพลังงาน ในดวงชะตาก็ประกอบด้วยธาตุดาว(เกษตรธาตุ) และ พลังงานเช่นเดียวกัน

เมื่อดาวอยู่ในราศี เราจึงพิจารณาสามสิ่งนี้ก่อน อย่างเช่น ธาตุดาวที่อยู่ในราศีที่มีเกษตรธาตุเดียวกับมัน ที่เราเรียกว่าดาวเป็นเกษตร ความเป็นเกษตรนั้น เป็นเหมือนคุณสมบัติทางเคมีและฟิสิกส์ของดาวในราศี แต่ธาตุดาวนั้นต้องการพลังงานเพื่อดำรงอยู่ พลังงานธาตุ เข้าจากสู่ดวงชะตาทางลัคนา แล้วไหลวนตามจักรราศี มายังดาวและราศีต่างๆซึ่งจะดูดซับพลังงานเอาไว้ ราศีนั้นเป็นที่สถิตของเกษตรธาตุ สามารถรับเอาพลังงานไว้ได้ดีกว่าธาตุดาว ดังนั้น แต่ละราศีจึงมีพลังงานมาก เมื่อดาวอยู่ราศีธาตุของมัน เป็นเกษตร ธาตุดาวจึงได้รับพลังงานธาตุไม่ขาดตอน ดังนั้น ดาวเป็นมาตรฐานเกษตรจึงมักแสดงความดี ซึ่งจะมีผลทำให้แสดงออกโดยความหมายทางปรัชญาของดาวได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น เวลาพิจารณาดาว เราจึงต้องพิจารณาทั้งธาตุดาว ธาตุในราศี และพลังงาน ควบคู่ไปด้วยเสมอ ไม่ว่าดาวจะเคลื่อนย้ายไปอยู่ตำแหน่งใดในดวงชะตา กฏเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ที่พวกเราเรียนกันตั้งแต่เบื้องต้น ก็จะวนเวียนอยู่ที่คุณสมบัติดังกล่าวนี้นั่นเอง


วรกุล - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 04:42น. (IP: 203.107.200.152)

ความคิดเห็นที่ 21
ขอขอบคุณอาจารย์วรกุลค่ะ ที่ได้มอบความรู้ในเรื่องที่กำลังสงสัย ถึงแม้จะไม่ได้เข้ามาถามเอง แต่ก็ได้ความรู้จากที่ผู้อื่นถาม และตรงกับที่ตัวเองต้องการ ซึ่งอาจารย์ก็ได้ให้ความรู้ได้อย่างละเอียดดีมาก ...ขอให้อาจารย์เป็นที่ปรึกษาผู้ที่กำลังศึกษาโหราศาสตร์ต่อไปเรื่อย ๆ ด้วยนะคะ


นักศึกษา - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 09:51น. (IP: 203.144.146.98)

ความคิดเห็นที่ 22
เรียน อาจารย์ค่ะ

ดิฉันมีเรื่องสงสัยมากๆ ค่ะ คือว่า ดิฉัน เกิดวันที่ 28 ธันวาคม 2520 ปีมะเส็งเวลา 04.58 น. ซึ่งตามเวลาโลก ก็จะถือว่าเป็นเช้าของวันพุธ แต่บางหมอดู บอกว่าต้องเป็นวันอังคาร ดิฉันเลยไม่แน่ใจเลยว่า จะเกิดวันไหนดี วันอังคาร หรือ วันพุธ นะค่ะ

แล้วมีอีกเรื่องหนึ่งค่ะ อาจารย์ ดิฉันได้ไปรู้จักกับชาย ที่เกิดศุกร์ที่ 28 กันยายน 2516 ปีฉลู เวลา 14.00 น. ไม่ทราบว่า เขาเป้นคู่เวรคู่กรรม กับดิฉันหรืออย่างไรค่ะ ถึงมีแต่เรื่องวุ่นวายตลอดเลย เห้นตอนแรกก็เกิดอาการต้องตาต้องใจกัน แต่คบไปคบมา มีแต่เรื่องนะค่ะ เคยอ่านกระทู้เรื่องคู่เวร คู่กรรม คู่บุญ คู่บาป ยังไงช่วยตรวจดูให้ทีนะค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ


กุดจี่ - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 15:55น. (IP: 202.183.244.4)

ความคิดเห็นที่ 23
ตอบ 22 คุณกุดจี่...........เรื่องวันเกิดแล้วแต่หมอดูสิครับ ปกติที่เขาใช้วันเกิดแบบไทยก็ถือว่าตอนเช้าอาทิตย์ขึ้นจึงจะเปลี่ยนวันใหม่ ดังนั้น หากเกิดก่อนอาทิตย์ขึ้นก็เป็นวันอังคาร หลังอาทิตย์ขึ้นก็เป็นวันพุธ ใช้เพื่อทำนายทายทัก เราเองหากจะดูหมอ ก็บอกไปว่าเกิดวันพุธ แล้วหมอดูไปคิดเอาเอง แต่ถ้าดูเองทำนายตามนิตยสาร หนังสือพิมพ์ก็ดูที่เกิดวันอังคาร เป็นคนไทยทั่วไปก็ถือว่าเกิดวันอังคาร

ส่วนเรื่องดวงชะตา น่าจะไปให้อาจารย์ศุภกรดูให้นะครับ กระทู้นี้ไม่สะดวกในการพยากรณ์ เพราะเรื่องดวงชะตาต้องรู้เรื่องรายละเอียดหลายอย่างจึงจะเริ่มทำนาย คนสองคนที่สัมพันธ์กัน งานพยากรณ์จะหนักเป็น 3 – 4 เท่า ไม่ใช่ 2 เท่าอย่างที่ควรจะเป็น เพราะต้องดูไขว้สลับไปมา ยิ่งดูเรื่องคู่ ยิ่งงานยาก ดวงคุณทั้งสองคน ดูแล้วเป็นคู่กรรมกันจริงๆ อยู่ด้วยกันแล้วก็จะยังมีเรื่องยุ่งๆไม่สิ้นสุด แต่ถ้าต่างคนต่างไป ก็ต่างคนต่างไปยุ่งตามดวงของแต่ละคน เพียงแต่ฝ่ายหญิงมีภาษีดีกว่า คือมีความสุขแบบดูเบื้องหน้าเต็มไปด้วยความอุดมสมบุรณ์ มีครอบครัว มีความสุขดีกว่าคนอื่นที่ใครๆต้องอิจฉา แต่ว่าในใจเต็มไปด้วยเรื่องวุ่นวาย ต้องคอยแก้ปัญหาเรื่องรัก เรื่องใคร่ รวมทั้งคอยวิ่งตามดูสามี หน้าชื่นอกตรมอยู่ ดีไม่ดีตัวเองก็มีออฟไซด์มั่ง เป็นไปแบบนี้ ฝ่ายชายนั้นแย่หน่อย ดูเหมือนจะวุ่นวายได้ทุกข์อยู่ที่เรื่องพวกนี้แหละ เพราะตนเองชอบสะสมอะไรก็ไม่รู้ แทนที่ชอบสะสมแสตมป์เหมือนคนอื่นๆ แต่มาสะสมเอาเรื่องความรัก อาจจะแถมมีเพศที่สามเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เป็นคู่เวรคู่กรรมจริงๆ ทั้งๆที่ดวงชะตาก็ดี มีอาชีพการงานที่เจริญก้าวหน้า มีเกียรติได้ทั้งสองคน

ชีวิตเราขึ้นอยู่กับตัวเราลิขิตกรรมเอง ดวงดาวจะทำอะไรได้ เพียงแต่เราจะมีแรงต้านทานในใจพอที่จะฝืนไปในทางสงบดีกว่าได้หรือไม่ หากบังคับใจตัวเองได้ ทำแต่ผลกรรมดีที่เป็นบุญกุศล และอยู่ในศีลธรรม ดวงชะตาทั้งสองก็นับว่าเป็นดวงที่ดีมีวาสนาทั้งสองคน หาได้ยากอยู่เหมือนกัน


วรกุล - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 05:25น. (IP: 203.107.200.64)

ความคิดเห็นที่ 24
ขอบคุณคุณวรกุลมากค่ะ


กุดจี่ - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 09:10น. (IP: 202.183.244.4)

ความคิดเห็นที่ 25
คราวที่แล้วสรุปได้ว่า การที่ดาวจะดี หรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับธาตุดาว เกษตรธาตุในราศี และพลังงาน ถึงตรงนี้เราจะเป็นต้องไปดูในราศีก่อน เพราะเป็นที่สถิตของดาว หรือธาตุดาว ธาตุดาวก็เหมือนคนที่มาอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง หากเป็นบ้านของตนเองก็เรียกว่าเป็นเกษตร มันจะอยู่สบาย เพราะถูกธาตุของตัวเอง ทำให้ไม่ต้องปรับตัวมาก และสามารถรับพลังงานจากราศีได้สม่ำเสมอดี แต่ถ้าธาตุดาวไปอยู่ราศีของดาวอื่น สภาพดาวก็จะเปลี่ยนไปได้ทั้งทางดี หรือ ไม่ดี หากราศีมีเกษตรธาตุที่ดี และมีพลังงานสมบูรณ์ ก็จะทำให้ธาตุดาวอยู่สบายและมีกำลัง ก็จะแสดงคุณสมบัติที่ดีออกมา ตรงกันข้าม หากราศีเป็นราศีที่เสีย ทั้งธาตุในราศี และ พลังงาน ก็จะทำให้ธาตุดาวที่มาอยู่มีความทุกข์โศก ไม่สบายไปด้วย เมื่อใดดาวมีความเป็นอยู่ไม่ดี มีพลังงานต่ำไป ก็จะแสดงคุณสมบัติเป็นโทษ หลักโหรโดยย่อๆก็มีแค่นี้ แต่รายละเอียดนั้นมีมากมายนัก

ก่อนที่จะไปคุยเรื่องดาวดี กับไม่ดีต่อ ต้องไปดูคำอีกสองคำที่ นักเรียนโหรมักจะเข้าใจสับสนกัน คือ คำว่า ความเจริญ กับ ความเสื่อม ตามปกติในดวงชะตา คำว่าดาวดี หรือ ไม่ดี จะเป็นผลลัพธ์สุดท้าย ของปัจจัยต่างๆ เช่น เหมือนที่พวกเราชอบใช้คณิตศาสตร์ผิดๆว่า เสีย บวก เสีย เป็นดี อะไรแบบนั้น คำว่าดาวดี ไม่ดี หมายถึงคิดสรตะบวกลบคูณหารแล้วตัดสินว่าดาวนั้นอยู่ในสภาพดีหรือไม่ดี เป็นความดี -ไม่ดีตลอดไป เช่น นิโกรที่เกิดมาผิวดำ ก็จะดำไปอย่างนั้นตลอดชีวิต หรือ สมมุติว่า ดาวเป็นความโง่ในดวงชะตาของเขา ก็มักจะโง่ไปอย่างนั้น แบบนี้โหรจะเรียกว่า ดาวดี หรือ ดาวเสีย เป็นการพูดในแง่มุมที่ตายตัว

แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว หลักในตำราโหราศาสตร์ที่เราเรียนแทบไม่ได้หมายถึง ดาวดี หรือ ดาวเสียเลย ที่มีกล่าวถึงบ้างก็น้อยมาก ที่เราเรียนกันมามักแปลความกันผิดๆแล้วสอนกันต่อๆมา ข้อความในตำราโหราศาสตร์มักจะหมายถึง เจริญ หรือ เสื่อม หมายความว่า สถานะเดิมเป็นอย่างหนึ่งอาจจะเสียอยู่ ต่อมาจะเจริญขึ้น กลายเป็นดี หรือ กลับกัน ซึ่งเราจะเห็นลักษณะเช่นนี้ในดวงชะตาทุกดวง เพราะดวงชะตาของคนเรามีสถานะที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา เนื่องจากปัจจัยต่างๆในดวงชะตามีความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเป็นสามัญญลักษณะ ที่เราบางครั้งเห็นอะไรที่เสียไปโดยตลอดก็เพราะปัจจัยที่มาช่วยนั้นอ่อนกำลัง หรือช่วยไม่ใคร่ได้ หรือ ที่ดี ก็เพราะดาวมันมีกำลังในตัวเอง และยังมีแบตตารี่ไฟแรงไม่มีหมด บางคนจึงรวยตั้งแต่เกิด จนตายแล้วก็ยังรวยต่อไปถึงชาติหน้าได้ด้วย แต่โหรมักใช้ภาษาธรรมดาๆ เรียกว่า ดาวดี หรือ ไม่ดี เพราะ เมื่อเจริญ เรียกว่าดี เมื่อเสื่อมคือไม่ดี ดาวดี หรือไม่ดี (เจริญ หรือ เสื่อม) จะเป็นผลของปัจจัยหลายอย่าง แต่ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ต้องสนใจก่อน มีอยู่ 3 ประการ คือ หนึ่ง ธาตุเจ้าเรือน สอง ธาตุดาวและราศีที่มันอยู่ สาม ธาตุดาวสัมพันธ์กัน สามประการนี้เป็นบทใหญ่ในการดูดวงชะตาให้ทราบความดีเลวของดาวในขั้นพื้นฐานนี้

หนึ่ง ธาตุเจ้าเรือนนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเรือน (คือราศี) ดังนั้น เมื่อเจ้าเรือนมีธาตุดาวที่อ่อนแข็งอย่างใด เรือนของมันเองก็จะมีธาตุเป็นไปคล้ายกัน เหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าในดวงชะตานั้น ธาตุดาว และเกษตรธาตุ ซึ่งเป็นของดาวเดียวกัน เช่น สมมุติ ธาตุ พุธ ก็จะมีเพียงสองแหล่ง คือ ในราศี (มิถุน กันย์) แห่งหนึ่ง กับใน ธาตุดาวอีกแห่งหนึ่งที่เคลื่อนที่ไป ดังนั้น ธาตุพุธที่ไหลวนเวียนในดวงชะตาก็จะมีที่ไปที่มาอยู่เพียงสองแห่งนี้เอง และการถ่ายเทธาตุก็จะทำให้ทั้งสองแห่งถูกปรับสภาพให้เสมอเหมือนกัน เช่น หากธาตุดาวพุธเป็นนิจ มันก็จะดึงเกษตรธาตุพุธจากราศีมาหาตัวมัน เพื่อเพิ่มพูนธาตุขึ้น หากราศีมีธาตุน้อยอยู่ ราศีก็จะมีธาตุเป็นนิจไปด้วยกัน ดังนั้น การที่ธาตุดาวเป็นอุจ นิจ เกษตร ประ หรือ ดาวเสียดีอย่างใด จึงดี เสียไปถึงเรือนด้วย และเมื่อใด ที่ราศี หรือดาวที่ใดที่หนึ่งมีสภาพฟื้นขึ้น จึงส่งผลฟื้นขึ้นต่อทั้งสองที่เหมือนกัน ดังนั้น การที่ธาตุดาวพุธ ถูกทำให้ดี หรือเสียจากดาวอื่น หรือ เหตุอื่นใด เช่นถูกคราส เรือน หรือราศีก็จะถูกคราสไปด้วย ภายในระยะเวลาอันใกล้ เมื่อธาตุถูกถ่ายเทไป นี่เป็นหลักสำคัญที่ควรจำไว้

ย่อหน้าที่แล้ว เราพิจารณาเพียง 2 อย่าง คือ ธาตุ ดาวกับ ธาตุในราศี แต่ยังไม่ได้พิจารณาพลังงาน พลังงานธาตุนั้นแตกต่างไปจากธาตุดาวกับเกษตรธาตุในราศี เพราะพลังงานธาตุไม่ใช่เป็นของเฉพาะธาตุใดธาตุหนึ่ง แต่หมุนเวียนถ่ายเทไปได้กับธาตุอื่นๆด้วย พลังงานธาตุนั้นเคยเล่าแล้วว่า ผ่านเข้าทางลัคนา ไหลวนอยู่ในดวงชะตา แต่จะเก็บสะสมไว้ในธาตุดาวบางดวง เช่น อาทิตย์ พฤหัส จันทร์ หรือ ลัคนาเอง ธาตุดาวจึงอาจจะได้รับพลังงานธาตุมากหรือน้อยในดวงชะตา ดังนั้น พลังงานธาตุ ในราศี (เช่น ในมิถุน กันย์) จึงไม่จำเป็นต้องเท่ากับในธาตุดาวพุธที่เคลื่อนที่อยู่ นี่เป็นหลักสำคัญอีกข้อหนึ่งที่ต้องจำไว้ กฎเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันจำนวนมากจะมาจากกฎหลัก 2 ข้อนี้

สอง ธาตุดาว กับ ราศีที่มันอยู่ ข้อนี้เป็นการพิจารณาการสถิตของดาวหนึ่งในราศีหนึ่ง หากเรือนที่มันอยู่เป็นราศีที่มีธาตุเดียวกับมัน เราก็เรียกว่ามันว่าเป็น “เกษตร“ แต่หากเป็นราศีอื่นที่ไม่ใช่ธาตุของมัน เราก็ยังคงพิจารณาในสองประการดังเดิม อย่างหนึ่งคือธาตุดาว กับธาตุของราศีที่มันอยู่ เช่นสมมุติว่า ศุกร์อยู่ราศีมังกร ในราศีมังกรเต็มไปด้วยเกษตรธาตุของเสาร์ ซึ่งเป็นคู่ศัตรูของศุกร์ เมื่อศุกร์อยู่ในบ้านของศัตรูก็ย่อมก็จะขาดกำลังธาตุ และไม่สามารถแสดงคุณสมบัติทางปรัชญาของศุกร์อย่างเต็มที่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือ พลังงานธาตุของดาวศุกร์ที่มันมีอยู่ พลังงานธาตุของศุกร์ได้จากดวงชะตาเช่นที่กล่าวในย่อหน้าที่แล้ว หากศุกร์ได้พลังงานธาตุดีๆ ก็อาจจะฟื้นคุณสมบัติได้

บางคนอาจจะสงสัยว่า ดาวอยู่ในราศีหนึ่งๆ ยังมีสภาพที่แตกต่างเช่น เป็นสภาวะธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟเหตุใดจึงไม่นำมาพิจารณาในตอนนี้ นั่นก็เป็นเพราะ สภาวะธาตุ เป็นความแตกต่างด้านลักษณะคุณสมบัติในการแสดงออกของปฏิกริยา เช่น ธาตุไฟ - รวดเร็ว ธาตุลม - ฟุ้งกระจาย อะไรประมาณนั้น ไม่ใช่คุณสมบัติทางปรัชญาของธาตุดาว และ เกษตรธาตุ ดังนั้น เราจึงไม่นำมาพิจารณาร่วมด้วยในตอนนี้ พูดง่ายๆก็คือ มันไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ ความดี (เจริญ) หรือ ไม่ดี (เสื่อม) ของดาวโดยตรงนั่นเอง

สาม ธาตุดาวที่สัมพันธ์กัน ธรรมดาธาตุดาวหนึ่ง กับ อีกธาตุดาวหนึ่ง ก็จะเป็นธาตุต่างชนิดกัน ดังนั้น เรื่องการถ่ายเทธาตุจึงไม่มี เราจึงพิจารณาเพียงความเป็นเรื่องสอดคล้อง หรือขัดกันของดาว ที่เรามักเรียกว่า คู่ธาตุ คู่มิตร คู่ศัตรูนั่นเอง นอกจากนั้น การขัดกันหรือสอดคล้องในนิสัยดาว ไม่ว่าจะเป็นศุภเคราะห์ บาปเคราะห์ ก็ตาม ก็จะทำให้ธาตุดาวเสีย หรือ ดีขึ้นได้ ขอให้ระวังความเป็นคู่ดาวให้มาก เพราะเมื่อคู่ดาวใด ที่มีดาวเสีย หรือ ดีอยู่ด้วย ก็ย่อมจะชักจูงให้ธาตุดาวที่ร่วมอยู่เสียหรือดีไปด้วย ทั้งนี้ สาเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ในธาตุดาวและพลังงานนั่นเอง การที่ดาวสัมพันธ์กันนี้ เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะดาวที่ทำความสัมพันธ์อื่นแก่กัน เช่น โยค ตรีโกณ จตุโกณ ก็มีส่วนส่งผ่านธาตุ และพลังงานด้วย ทำให้เกิดหลักการทำนายที่เกิดจากโยคเกณฑ์ของดาวต่อดาวขึ้นมา

เพียงเข้าใจในหลัก สามประการนี้ ก็นับว่าเราได้เดินทางมาถูกแล้ว หลักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่ที่สอนกันในเบื้องต้น มักจะมีเหตุผลเริ่มแรกมาจากสาเหตุข้างต้นนี้ เพราะเกี่ยวกับโครงสร้างกายภาพ ในดวงชะตาโดยตรง แต่ยังมีหลักโหราศาสตร์ ที่เอาธรรมชาติอื่นเข้ามาทำนายร่วมด้วย นั่นจึงเป็นเรื่องจำเป็นที่จะต้องศึกษาสูงขึ้นต่อไปจากนี้อีก


วรกุล - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 04:51น. (IP: 203.107.193.68)

ความคิดเห็นที่ 26
ผมคอยติดตามขอเขียนของท่านอาจารย์วรกุลมา ก็รู้สึกดีใจทุกครั้งที่ได้อ่านบทความใหม่ๆ ซึ่งให้ความรู้ในเชิงลึกเสมอ ผมขอเป็นกำลังใจให้ท่านอาจารย์วรกุล ได้คลอดบทความใหม่ๆให้พวกเราได้ศึกษาไปนานๆนะครับ

ขอบพระคุณมากครับ.


ธีร - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 22:58น. (IP: 203.113.51.103)

ความคิดเห็นที่ 27
สวัสดีค่ะอาจารย์วรกุล

ดิฉันมีเรื่องสงสัยอยากเรียนถามอาจารย์เรื่องดาวเสาร์ค่ะ ตามหลักโหราศาสตร์ ดาวเสาร์ถือว่าเป็นดาวโทษทุกข์ใช่ไหมค่ะ ถ้าจรไปกระทบดาวไหนหรือภพไหนก็จะสร้างความเสียหายหรือเปลี่ยนแปลงให้กับภพหรือดาวนั้นๆถูกต้องหรือไม่ค่ะ แล้วดาวเสาร์นี้ไม่มีอะไรดีเลยหรือค่ะอาจารย์ มีแต่ทุกข์อย่างเดียวหรือค่ะ ดิฉันอ่านตามกระทู้ต่างๆ ของหลายๆเว็บก็มักจะกลัวดาวเสาร์กันอย่างสุดขีด ทำเอาดิฉันจะวิตกจริตไปด้วยเพราะตอนนี้ดาวเสาร์จรมากระทบดาว 5 ของดิฉัน (เป็นอุจจ์ภพศุภะ)ซึ่งเป็นเจ้าเรือนกดุมภะและปุตตะ แต่ต่อไปถ้าเสาร์ย้ายเข้าราศีสิงห์เมื่อไหร่จะจรมากระทบดาวเสาร์และราหูที่ปักหลักอยู่ที่ราศีสิงห์ภพกัมมะ แล้วอย่างนี้จะเกิดอะไรแย่ๆ ละค่ะ เห็นว่าเสาร์จรกระทบเสาร์ร้ายแรงนัก ดิฉันเลยกลัวอยู่เหมือนกันค่ะ ตอนนี้ชีวิตก็แย่พอแล้วไม่อยากจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้วค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


นภาพร - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 00:07น. (IP: 210.246.72.11)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบ 28 คุณนภาพร.......... ดาวทุกดวงมีทั้งข้อดีข้อเสียทั้งนั้น หากเราเรียนเบื้องต้น ตำราก็สอนว่าดาว เสาร์ ดาวราหู ดาวอังคาร อะไรต่างๆที่เป็นดาวบาปเคราะห์ล้วนแต่ร้ายนัก เพราะการสอนง่ายๆแบบนี้ก็เลยเข้าใจผิดกันไปใหญ่ หากเราเรียนสูงลึกซึ้งขึ้นไป เราจะรู้ว่าดาวทุกดวงล้วนมีคุณและโทษ คำว่าบาปเคราะห์ ศุภเคราะห์นี่ก็ทำให้เราเข้าใจผิดมาก ทำให้เกิดอคติต่อดาวมากเกินไป ยิ่งได้ผู้ไม่รู้อะไร ถ่ายทอดความรู้ที่ผิดๆด้วย เราก็เลยรังเกียจดาวเสาร์กันไปใหญ่

มาคุยเรื่องความดีของดาวเสาร์กันหน่อยก็ได้ ดาวเสาร์เป็นประธานบาปเคราะห์ที่มีเรือนครอง คือเป็นเจ้าเรือนราศีมังกร เสาร์ให้ความมั่นคงแบบไม่คลอนแคลน ลองคิดดูว่าหากบ้านใครอยู่แล้วโย้เย้ โยกไปโยกมา แล้วเราจะนอนหลับไหม เมื่อเสาร์มั่นคงดี สมาธิเราจะดี นำความสุขมาให้ ลองคิดดูว่า หากใจเราฟุ้งซ่านคุมไม่อยู่ เราจะมีความสุขไหม เหตุที่คนเป็นโรคประสาทเสีย กลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เพราะเสาร์เสีย เสาร์ไม่มีกำลัง ต่างหาก จึงทำให้เราเต็มไปด้วยความทุกข์ เสาร์เดินช้า เพราะมันมั่นคง เวลาจะเคลื่อนย้ายสักที จึงขยับช้าๆ เสาร์จึงเป็นความสุขุมรอบคอบ หากไม่ได้เสาร์ช่วยเรา เราจะดำเนินชีวิตผิดพลาดตลอดเวลา แม้ดาวอื่นๆจะดี หากไม่มีเสาร์มาช่วยสักดวงเดียว บางคนก็วิบัติเสียหายไปทั้งชีวิต เสาร์นั้น มีคุณมากเช่นกัน หากไม่เห็นว่าเสาร์มีคุณ ก็แสดงว่ายังเรียนโหราศาสตร์ได้ไม่ลึกพอ เหมือนกับหมอยา ที่ไม่รู้คุณค่าของสมุนไพรที่สำคัญ คนที่ร่ำรวยมหาศาลจำนวนมาก ก็เพราะเสาร์นี่เอง ต่างจากดาวอื่นที่รวยเล็กๆน้อยๆ สู้เสาร์ก็ไม่ได้ เพราะเสาร์รวยจริง รวยทน ไม่ได้แกล้งรวยหวือหวาแล้วเจ๊ง

เหตุที่เสาร์เป็นประธานบาปเคราะห์ (เหมือนที่พฤหัสเป็นประธาน ศุภเคราะห์) ก็เพราะเสาร์นั้นเป็นหลักควบคุมดาวบาปเคราะห์อื่นได้ หากดวงชะตาใครมีเสาร์มีกำลังดี จะคุ้มภัยจากราหูได้ชะงัดนัก เสาร์เป็นดาวสมถะ สงบเสงี่ยม คนที่เสาร์ให้โทษเป็นเพราะฝืนธรรมชาติของเสาร์ เป็นธรรมดาของคนเรา ชอบความสะดวกสบายและรวดเร็ว วันๆต้องการความเร็ว ชนิดกดปุ่มเอา วันๆไม่ต้องทำอะไรมีแต่ความรื่นรมย์ความสุขก็คงจะดี ต่างจากเสาร์ที่เป็นธาตุพื้นฐานของมนุษย์ ต้องทำงาน ออกกำลัง อาศัยหยาดเหงื่อ แบกรับความรับผิดชอบ และอดทนต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งค้ำจุนชีวิต เราเองไม่ชอบ จึงดูเหมือนเป็นโทษทุกข์

เสาร์นั้นเป็นคู่ธาตุของ อาทิตย์ (ชีวิต) หากเสาร์อ่อนแรง ชีวิตก็อยู่ในอันตราย เสาร์เป็นคู่สมพลของ พุธ (สติ) หากขาดเสาร์ สติจะวูบหายได้ง่าย ไม่เป็นผู้เป็นคน จะสังเกตเห็นได้ว่า ทั้งอาทิตย์และพุธนั้น เป็นศัตรูกับดาวร้ายคือ ราหู หากไม่มีเสาร์คู่มิตรคอยสยบราหูเอาไว้ ราหูจะรุกฆาต เอาชีวิตเจ้าชะตาได้เลย ดวงชะตานั้นสำคัญที่ชีวิตและความดำรงอยู่ ต่อให้ ศุกร์ พุธ จันทร์ พฤหัส อังคาร ดีเท่าไร คนตายแล้ว จะเอาแก้วแหวนเงินทองไปทำอะไรได้ ดวงคนรวยๆ หรือที่ว่าดีๆ หากไม่มีเสาร์ทำงานปิดทองหลังพระอยู่ก่อนแล้ว ก็ไม่มีทางดีได้ แต่พอดวงดีขึ้นมา ดาวดวงอื่นก็เอาคำชมไปกินเสียหมด เสาร์เป็นประสพการณ์ของชีวิต เมื่อรู้จักเสาร์เสียสักครั้งสองครั้ง ต่อไปจะทำให้ชีวิตแข็งแรง ไม่ล้มง่าย

ดวงคุณ เสาร์ราหูอยู่ที่ราศีสิงห์ภพกัมมะ เป็นกล่องดวงใจของอาทิตย์พอดี เสาร์ทับเสาร์ ก็ทำให้เหน็ดเหนื่อยเป็นทุกข์ในการงาน ราหูเป็นประ ธาตุอ่อนกำลัง จึงแสดงโทษให้ต้องรับผิดชอบมาก เสาร์เองในราศีนี้ไม่มีกำลังดีเท่าที่ควร แต่หากไม่ได้เสาร์ยันราหูเอาไว้ จะอันตรายมากกว่า เมื่อเสาร์จรมาทับราหูคู่มิตรซ้ำอีก ราหูจึงสะสมพลังงานธาตุสูงขึ้น แสดงความดีออกมา หากตำแหน่งแป้กมานาน ก็จะได้เลื่อนเอาตอนนี้แหละ แต่ก็จะเป็นเหมือนทุกขลาภเพราะกว่าจะได้ตำแหน่ง หรือ ได้แล้ว ก็ต้องเหน็ดเหนื่อย รับผิดชอบมากทั้งการงานและ ญาติพี่น้อง แต่นี่เป็นการดูดาวเดิมแค่ 2 ดวง และดาวจร 2 ดวง เวลาดูดวงชะตาต้องดูดาวทั้ง 10 ดวง ใน 12 ราศี ทั้งดาวเดิม และดาวจร โดยเฉพาะ อาทิตย์เจ้าเรือนที่เสาร์อยู่ด้วย และ ลัคนาพิจิก ที่เป็นตัวเจ้าชะตา เสาร์จรสำหรับคุณจึงไม่น่ากลัว หากเข้าใจและมองดูโลกตามความเป็นจริงของชีวิต ถึงเวลาอาจจะไม่อยากให้เสาร์เดินหนีไปเลยก็ได้


วรกุล - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2549 04:45น. (IP: 203.107.196.234)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียน อ.วรกุล

ติดตามข้อเขียนของท่านอาจารย์มาตั้งแต่เริ่มต้น ยิ่งนานวันมีความรู้สึกศรัทธามากครับ ความรู้ที่ท่านให้ ทำให้มองโหราศาสตร์ไม่ใช่เรื่องงมงาย หรือเป็นเรื่องที่จับต้องไม่ได้ แต่ตรงข้ามการชี้แนะจากท่านอาจารย์ทำให้มีความอยากรู้ในวิชาโหราศาสตร์มากขึ้น ขวนขวายหาความรู้จากหนังสือโหราศาสตร์ที่มีจำหน่ายเกือบจะหมดจากแผงหนังสือ โดยใช้หลักสำคัญๆที่อาจารย์ได้แนะนำไว้ มาเป็นเครื่องกรองเพื่อแยกแยะความรู้ที่ได้จากการอ่านตำราโหราศาสตร์จากท่านผู้รวบรวม ป้องกันไม่ให้ตนเองหลงทาง ว่ากำลังอ่านหลักการของแนวทางโหราศาสตร์ใดอยู่ ด้วยความศรัทธาในวิชาธาตุที่อาจารย์กล่าวอยู่เสมอ อยากจะศึกษาให้มากขึ้นก็ทำได้ยาก ด้วยหาหนังสือและอาจารย์ที่จะสอนไม่พบเลยครับ คงต้องเอาคำแนะนำของอาจารย์มาใช้ คือรอว่าวันไหนจะมีโอกาสได้พบอาจารย์โดยท่านเดินผ่านมา เพราะส่องกระจกแล้วเห็นในกระจกคงยากที่จะเดินพ้นขอบอ่าง วนเวียนอยู่อย่างนี้แหละครับ ที่เขียนถึงอาจารย์คงไม่ใช่คำถาม แต่อยากจะแสดงออกบ้าง และเชื่อว่าคงมีผู้ที่อ่านเว๊บนี้จำนวนมากจะรู้สึกเช่นกัน อย่างไรก็ตามขอให้อาจารย์เขียนบทความโหราศาสตร์ให้นานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้นะครับ รออ่านบทความจากอาจารย์ด้วยใจจดจ่อเสมอ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพสมบูรณ์และจิตใจที่อิ่มเอิบตลอดไปครับ

ด้วยความเคารพและศรัทธาอย่างสูง


รังสรรค์ - 2 มีนาคม พ.ศ.2549 11:17น. (IP: 203.155.21.15)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบ 30 คุณรังสรรค์..........ผมดีใจที่ข้อเขียนที่ผมเขียนมีประโยชน์บ้าง แต่ก็เสียใจที่ต้องเขียนไปคิดไป ไม่ได้เปิดเผย สิ่งที่ควรจะต้องรู้อีกมาก ผมอยากพักผ่อนมากกว่านี้ และยังคงต้องทำงานสำคัญอีกหลายอย่างเท่าที่ยังมีเวลาอยู่ ในใจจริงๆแล้วจึงไม่อยากเขียนต่อไปอีก อันที่จริงความรู้เหล่านี้ไม่ใช่ของผมเอง แต่เป็นของเก่าที่ถ่ายทอดกันมานานแล้วในวงจำกัด แม้ในปัจจุบันก็ยังคงมีผู้รับการถ่ายทอดอยู่ อันที่จริงโบราณนั้นต้องการเผยแพร่ความรู้ออกไป แต่ติดอุปสรรคอยู่ที่ผู้รับเหมือนกันทุกครั้ง เพราะควรจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมที่จะรับ และสามารถส่งต่อได้โดยไม่ผิดเพี้ยน เพราะยิ่งเรียนวิชาลึกเข้าไป ยิ่งจำเป็นต้องใช้ความคิดที่ซับซ้อนมากขึ้น คุณสมบัติเช่นนี้สะท้อนออกมาอยู่ที่ ความคิดอ่าน และ ความประพฤติในตัวคนเหล่านั้นนั่นเอง ทำให้ต้องเลือกคนที่จะถ่ายทอดต่อไป เพื่อสอนตามคุณสมบัติเฉพาะบุคคล จึงไม่อาจจะเขียนเป็นตำราให้คนทั่วไปใช้ได้ แต่ก็มีบางส่วน ที่ไม่ใช่เป็นเรื่องยากลำบากอะไร กลับถูกซ่อนเป็นความลับอยู่โดยไร้เหตุผล

ในสังคมทุกวันนี้ ผู้คนเต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน ไม่ต้องกล่าวถึงโมหะ หลายๆคนที่โลภ อยากจะได้วิชา โดยไม่คิดจะให้อะไรแก่ใคร รู้อะไรสักหน่อยก็เก็บซ่อนเสีย ในขณะที่ใครที่มักปรารภว่า หาอาจารย์ยากหนักหนา แต่ผมเองรู้จักอาจารย์ระดับที่รักษาต้นวิชามาแล้วหลายท่าน แต่ละท่านล้วนแต่เต็มใจถ่ายทอดวิชาให้โดยไม่ปิดบัง ขอเพียงเรามีความจริงใจ สนใจที่จะมองโลกตามความเป็นจริง และเห็นอกเห็นใจผู้อื่นเท่านั้น ตรงกันข้าม มีคนจำนวนหนึ่งที่มุ่งเรียนวิชา เพื่อที่จะไปสร้างตัวเองให้เป็นผู้วิเศษ เพื่อลาภผลประโยชน์ส่วนตน คนเหล่านี้แหละที่มาชี้หน้าดูถูกครูอาจารย์ ว่าหวงวิชา ปกปิดวิชา ถึงกับพาพวกเข้าปล้นเอาตำราก็มีมาแล้วในอดีต เพียงเพื่อที่จะสนองตอบตัณหาเพื่อรู้เฉพาะในตนเองเท่านั้น ลองคิดดูเถิดว่า หากพวกเขาเรียนไปแล้ว วิชาที่ถ่ายทอดต่อไปสู่ศิษย์รุ่นหลังจะเป็นอย่างไร อันที่จริง วิชานี้มีอาถรรพ์ ผู้ที่ไม่เคารพครูอาจารย์ (คือวิชา) วิชาก็จะปิดไว้ไม่ให้เห็น ต่อให้บอกเคล็ดลับทั้งหมดไป ก็ไม่มีทางรู้เรื่อง แต่จะเสื่อมไปเอง ไม่ได้ผล

ผมยอมรับว่า ยังมีเนื้อหาในวิชาซ่อนอยู่ในโหราศาสตร์ไทยอีกมากมาย แต่เอามาบอกตรงนี้ไม่ได้ ไม่ใช่เพราะหวงวิชาอย่างที่คนใจคอคับแคบบางคนคิด แต่เพราะเนื้อหาที่ซ่อนอยู่มีมาก หากจะอธิบายต้องใช้อาจารย์สัก 20 คนเป็นอย่างน้อย อธิบายสัก 10 ปี ก็อาจจะหมดความรู้เท่าที่มีตกทอดมา นอกเหนือไปจากการอธิบายยาก เพราะบางอย่างต้องการกรรมวิธีพิเศษในการมองให้เห็น ซึ่งต้องฝึกฝนและทำความเข้าใจ หากบอกออกไป คนที่ควรจะให้กลับไม่ได้รับ คนที่ไม่อยากจะให้ จะกลับคว้าเอาไปเสียก่อนโดยที่คุณไม่รู้ แต่ก็จะไม่รู้วิธีใช้ ดีแค่ลอกเอาไปพิมพ์ขายเท่านั้น การทำเช่นนั้น ก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร ผมเองยังไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้เขียนถึงส่วนที่ยากที่สุดไว้ในกระทู้นี้หรือไม่ เพราะยังต้องพาคนอ่านไต่บันไดขึ้นไปอีกหลายร้อยขั้น กว่าจะไปถึงตรงนั้นได้ การเปิดเผยเนื้อหาแต่ละอย่างนั้น จำเป็นต้องเปิดเผยให้เห็นทุกส่วนพร้อมกันไม่ให้ขาดหายไป ดังนั้น ผู้เรียนต้องอดทนเรียนทั้งหมดให้ได้ในครั้งเดียว และต้องมีคุณสมบัติที่พร้อมในการคิดตาม ไม่ว่าจะกินเวลากี่สิบปี ข้อเขียนของผมนั้นเขียนยาก เพราะพยายามจะส่งต่อให้แก่ผู้รับ ที่ไม่เห็นหน้าและไม่มีพื้นความคิดในระบบธาตุ จึงทำให้เสียเวลามาก และผมก็ไม่มีเวลามากนักด้วย จึง หวังอยู่ว่า คนที่มีไหวพริบและจิตใจเหมาะกับวิชา ครูอาจารย์ (คือวิชา) จะเปิดให้แก่ผู้นั้นเห็นความจริงเอง


วรกุล - 3 มีนาคม พ.ศ.2549 05:06น. (IP: 203.107.204.31)

ความคิดเห็นที่ 31
ตอนก่อนๆ เราได้เรียนรู้เรื่อง ดาวที่อยู่ในราศี และการดูว่า ดาวดี หรือไม่ดี (เจริญ หรือ เสื่อม) ว่ามาจากผลของปัจจัยหลายอย่าง แต่ปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่ต้องสนใจก่อน มีอยู่ 3 ประการ คือ หนึ่ง ธาตุเจ้าเรือน สอง ธาตุดาวและราศีที่มันอยู่ สาม ธาตุดาวสัมพันธ์กัน สามประการนี้เป็นบทใหญ่ในการดูดวงชะตาให้ทราบความดีเลวของดาวในขั้นพื้นฐานนี้ แต่ความดีความเลวทั้งหลายของดาวที่พิจารณามาแล้ว ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลักสองประเภท คือ หนึ่ง ธาตุของดาว และ เกษตรธาตุ สอง คือ พลังงานธาตุ ที่เคยกล่าวมาแล้วนั่นเอง เป็นเหมือนสิ่งที่ทำให้ดาวทั้งหลายดำรงอยู่ได้

บางคนอ่านถึงตรงนี้ อาจจะงง ดูเหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจว่ามีปัญหาอะไรที่ยังต้องมากล่าวถึงอีก เรามาลองนึกดูว่า วันๆหนึ่งเรากินอาหารเข้าไปเท่าไร ดื่มน้ำเข้าไปเท่าไร เรากินและดื่มทำไม เหตุก็เพราะว่า ร่างกายของคนเรามีความเกิดและตายอยู่เป็นนิจ เซลล์ในร่างกายของเราเกิดและตายอยู่ทุกวินาที ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารและน้ำเข้าไปเพื่อเสริมสร้างเซลล์ใหม่ และให้มีพลังงานในการดำรงชีวิตใช่ไหม

ในดวงชะตาของคนเราก็เช่นกัน เมื่อดวงชะตาของเราเกิดขึ้นแล้ว เหมือนทารกแรกเกิดขึ้นมา เราก็ยังต้องการธาตุ และพลังงานเข้ามาเสริมสร้างดวงชะตา รูปดาวที่เห็นในดวงชะตาของเรานั้น เป็นเพียงเกณฑ์ หรือ แหล่งสำหรับรับธาตุต่างๆเท่านั้นเอง พูดง่ายๆก็คือ มันแสดงความสามารถที่จะรับธาตุจากจักรวาล หรือ ความจุธาตุ (capacity) ที่มันรับไว้ได้ เช่นสมมุติ เรามีลัคนาอยู่ราศีกรกฏ ดาว ๓ อยู่มิถุนในเรือน สหัชชะ มีดาว ๔ อยู่ราศีมีนเรือนศุภะ เอาแค่ 2 ดาวเป็นตัวอย่างก็พอ ดาว ๓ เป็นมหาจักร สมมุติเป็นตัวเลข มี ความจุธาตุ รับธาตุอังคารได้สูงถึง 80% ดาวพุธเป็นนิจประ มี ความจุธาตุ รับธาตุพุธได้เพียง 40% ดังนั้น เมื่อมีธาตุดาวอังคาร และ พุธ จากจักรวาลเข้ามายังดวงชะตา ผ่านทางลัคนา แล้วไหลวนทวนเข็มนาฬิกาผ่านเรือนทั้ง 12 เรือน ธาตุดาวอังคาร และพุธ ก็จะถูกดาวจับรับเอาไว้ ได้เพียงไม่เกิน 80% และ 40% ตามลำดับ (อีกส่วนหนึ่ง คือพลังงานธาตุที่ซับซ้อนกว่าจะยังไม่กล่าวถึงตอนนี้) ธาตุจากดาวที่ไหลวนเข้ามามีสองแบบ คือ เกษตรธาตุ และธาตุดาว ดังที่เคยบอกแล้ว (ราศีในดวงชะตาก็จะจับเกษตรธาตุไว้ในทำนองเดียวกัน) ดังนั้น แม้ว่าจะมีธาตุจากจักรวาลผ่านเข้ามาเท่าไร ส่วนที่เหลือจากที่ถูกจับไว้ในดาว เมื่อไหลวนครบรอบหนึ่ง ก็จะเคลื่อนผ่านเลยออกไปจากดวงชะตา กลับสู่จักรวาลทางลัคนา

คำว่า “รับได้” หรือ “ไม่เกิน” เท่านั้นเท่านี้ เป็นเพียงความสามารถตามความจุธาตุ ของดาวเท่านั้นเอง แต่ความเป็นจริง ธาตุดาวมีความสามารถรับธาตุได้เกิน หรือ ต่ำกว่านั้นก็ได้ เมื่อเกิดความแปรผันจากปัจจัยที่มากระทบ ธาตุเหล่านี้เมื่อดาวรับไว้แล้ว เมื่อดาวมี กิจกรรม (activities) แสดงออกเมื่อใด ธาตุของมันจะเปลี่ยนรูปไปเป็นรูปอื่น ทำให้ปริมาณธาตุในตัวดาวลดลง ดังนั้น จึงต้องมี supply ของธาตุที่ไหลวนเข้าสู่ดวงชะตาอย่างไม่สิ้นสุด เพื่อหล่อเลี้ยงธาตุดาวเอาไว้ (สำหรับเกษตรธาตุในราศีก็ทำนองเดียวกัน) แต่เราเองไม่ต้องไปพะวงกับ ความจุธาตุ และปริมาณธาตุในดาวจริงๆ เพราะ ปกติดาวเองได้รับ และใช้ธาตุอยู่ทุกขณะ เราจึงไม่จำเป็นต้องไปนั่งตรวจวัดว่าขณะนี้ดาวกำลังมีธาตุอยู่ในตัวมันเท่าใด เว้นไว้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกที่เรียนวิชาระดับสูงทางวิชาธาตุ ที่ต้องคำนวณเอา ซึ่งเขาก็คำนวณเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะธาตุในดาวนั้น ขณะใดขณะหนึ่งได้แปรรูปกลายเป็นหลายรูปอย่างซับซ้อน แต่ สำหรับเรา จะเห็นได้ว่า ดาวแต่ละดวงจะมีความได้เปรียบ ที่จะแสดงคุณสมบัติออกมาเมื่อมันรับธาตุได้มาก เหตุที่มันรับธาตุได้มาก เกิดจากความสะดวกอย่างหนึ่ง และเกิดจากตำแหน่งที่มันอยู่ใกล้ช่องทางของแหล่งธาตุที่ป้อนให้เป็นอีกอย่างหนึ่ง

นี่จึงเกิดเป็นกฏเกณฑ์ของดาวที่ว่าด้วย ตำแหน่ง หรือ เกณฑ์ แหล่งธาตุที่ป้อนให้แก่ดาวที่เราทราบแน่ๆก่อนแล้ว ก็คือ ลัคนา เพราะลัคนา เป็นทางเข้า (และออก) ของธาตุ เหมือนกับตาน้ำที่มีน้ำไหลออกมาไม่ขาดสาย เมื่อเราอยู่ใกล้ตาน้ำ เราก็จะรองรับน้ำได้ง่าย และเพียงพอใส่เต็มตุ่มได้เร็วกว่า ดังนั้น ดาวที่อยู่ในราศีที่ลัคนาอยู่ ที่เราเรียกว่าดาวกุมลัคนา จึงเป็นดาวสำคัญ เหตุที่มันสำคัญ เพราะมันนั่งเฝ้าอยู่ที่แหล่งทางเข้าของธาตุ มันจึงมีโอกาสที่จะเติมธาตุของมัน ให้เต็มความจุ ในชั่วขณะได้สูงกว่าอัตราที่ใช้ไป แม้ว่าตัวมันจะมีความจุต่ำๆ เช่น เป็นนิจประ แต่เพราะการที่มันกุมลัคนา มันก็จะฟื้นได้ เพราะรับธาตุได้รวดเร็ว ชดเชยความจุธาตุ (capacity) ที่ีอน่ำึงkd c9jgrikt8;k,ltf;dd,ul^ี่ต่ำมากนั่นเอง โบราณจึงสอนว่า ดาวกุมลัคนา เป็นดาวสำคัญมีกำลัง เช่น แม้เป็นนิจประก็ฟื้น

เมื่อเราเรียนตำราถึงตรงนี้ นักเรียนหลายคนมักพาซื่อ โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่า ดาวนิจประที่กุมลัคนานั้น “ฟื้น” ขึ้นได้เพราะเหตุใด เราจะเห็นได้ว่า มันฟื้นขึ้นเพราะเงื่อนไข การที่มันอยู่ใกล้แหล่งธาตุ เท่านั้นเอง แต่ไม่ได้คิดเลยไปถึงว่า แม้มันอยู่ใกล้แหล่งธาตุ แต่ capacity ของมันก็ยังคงต่ำอยู่ และเรายังไม่ได้พิจารณาอัตราการใช้ไปของธาตุ รวมทั้งยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณาอีกมาก ดังนั้น บางคนก็จึงชอบจับจากสถิติบ้าง โดยการคิดเอาเองบ้าง เพื่อพิสูจน์ว่ากฎเกณฑ์ต่างๆ เป็นจริงหรือไม่จริง จากนั้นก็ตั้งมติของตนเองเป็นตำรา โดยไม่ทราบเหตุผลที่มาของเกณฑ์ เกณฑ์ต่างๆที่เราเรียนในตำราดั้งเดิม ล้วนมีเหตุผลที่ซับซ้อนแต่เป็นหลักเป็นฐานอธิบายได้ด้วยกันทั้งนั้น บางเกณฑ์ ต้องอธิบายที่มาที่ไปหลายชั้นอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ได้เกิดจากสถิติที่จับเอาง่ายๆ แบบซ้ำๆ โดยไม่ได้พิจารณาเหตุผลอื่นๆประกอบ

นอกจากการกุมลัคนาแล้ว เราจึงเห็นได้ว่า ดาวที่อยู่ใกล้แหล่งธาตุอื่น เช่นอยู่ในราศีที่ตนเองเป็นเจ้าเรือน หรือที่เรียกว่า “เกษตร” นั้น ก็เป็นแหล่งธาตุที่ดี เพราะ ธาตุดาว และ เกษตรธาตุ ในราศีเป็นธาตุที่เหมือนกัน ดาวจึงมีกำลังธาตุสูงดี นอกจากนั้น ในกรณีของพลังงานธาตุ หากดาวอยู่อยู่ใกล้แหล่งพลังงานธาตุ คือดาวอื่น หรือ อยู่ในเกณฑ์ที่ได้รับการถ่ายเทพลังงานได้ดี ดาวก็จะมีกำลังสูงดีด้วยเช่นกัน

นอกจากดาวที่อยู่ใกล้แหล่งธาตุจะได้เปรียบแล้ว เรายังคงต้องพิจารณาการใช้ หรือ สูญเสียธาตุออกไป เพราะหากมันใช้ธาตุมากกว่าได้มา ธาตุในดาวก็ไม่เพิ่มพูนสูงขึ้น และอาจจะกลายเป็นเสียได้ ดังจะเห็นได้ว่า บางคนสามารถทำอะไรได้ดี ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่น การคิดคณิตศาสตร์ การวาดรูป การทำงาน แต่หากปล่อยเวลาให้เนิ่นนานออกไป เขาจะคิดไม่ออก วาดรูปไม่เป็น ทำงานไม่ได้ เหมือนคนที่หัดใหม่เลย หากเราอ่านดาวออก ก็จะทำนายได้ดีขึ้น รวมทั้งการทำนายเหตุการณ์ต่างๆก็เช่นกัน การใช้ธาตุของดาวเกิดจากหลายกรณี อย่างเช่น ใช้เพื่อการดำรงอยู่ในราศี ใช้เพื่อทำปฏิกิริยากับดาวอื่น และใช้เพื่อสนับสนุนดาวอื่นก็มี แต่ละกรณีที่ดาวใช้ธาตุไป ก่อให้เกิดกลไกในดวงชะตาที่สัมพันธ์กับดาวอื่นเป็นลูกโซ่ เพราะเกณฑ์ระหว่างดาวแต่ละแบบนั่นเอง อาจจะสนับสนุน หรือ บ่อนทำลายดาวอื่นๆได้ จากกิจกรรม (activities) ที่สัมพันธ์กัน ได้

ข้อสรุปในตอนนี้ เราจึงเห็นง่ายๆได้ว่า การที่ดาวจะมีธาตุอยู่มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะแสดงออกความหมายของดาวได้ดี หรือ เลว ขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัย คือ หนึ่ง การรับเข้า สอง มีความจุในการเก็บไว้ได้มากน้อยเพียงใด และ สาม การใช้ออกไป เพียง 3 ปัจจัยนี้นั่นเองที่เป็นต้นเรื่องมากมายในการศึกษาโหราศาสตร์ ในตำราที่เราถืออยู่


วรกุล - 3 มีนาคม พ.ศ.2549 05:07น. (IP: 203.107.204.31)

ความคิดเห็นที่ 32
เรียน อ.วรกุล

ขอบคุณครับที่ให้เวลาตอบกระทู้ ขอเรียนถามอาจารย์ดังนี้ "....เมื่ออ่านเกษตรเจ้าเรือนไปสองจังหวะแล้ว.......เราก็จะมองเห็นโครงสร้างของเรื่องของเจ้าชาตาได้บางส่วน....จากนั้นก็กลับมาดูที่ดาวที่อยู่ในเรือนตามจังหวะข้างต้น ก็จะทำให้ได้ข้อมูลมาประกอบเพิ่มอีก เรื่องราวก็จะมีความชัดเจนมากขึ้น และจากนั้นมาพิจารณาโยค-เกณฑ์ ที่มีผลต่อเรือนที่กำลังพิจารณาว่าจะส่งผลสนับสนุนหรือเป็นอุปสรรค........." มีคำถามที่ต้องขอคำแนะนำจากอาจารย์ครับ

1. ดาวลอยที่อยู่ในเรือนที่พิจารณาอยู่นั้น ต่างก็เป็นเกษตรเจ้าเรือนอยู่เหมือนกัน(ยกเว้นเกตุและมฤตยู) เราต้องนำความเป็นเจ้าเรือนนั้นๆ มาผูกเป็นโครงสร้างร่วมกับที่ได้มาจากการไล่เรียงในสองจังหวะครั้งแรกด้วยหรือไม่ หรือพิจารณาเฉพาะลักษณาการของดาวนั้นๆ และความเป็นคู่มิตร คู่ศัตรู

2. โครงสร้างเจ้าเรือนที่ได้มา ทำให้ผูกเรื่องที่มีความน่าจะเป็นไปได้สำหรับเจ้าชาตานั้นมากมาย เราจะทำอย่างไรเพื่อกรองให้เหลือเรื่องที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด (ยกตัวอย่างความเข้าใจ ดาวศุกร์เป็นอุจจ์ในเรือนกัมมะ ถ้าหากเจ้าชาตายังไม่มีวี่แววว่าจะเข้าสู่อาชีพการแสดง หรือตามลักษณาการของดาวศุกร์ เราก็ยังไม่สามารถจะทำนายได้ว่า เจ้าชาตาจะมีอาชีพไปในทางนั้น เพราะอาจจะทำงานที่เกี่ยวข้องกับการเงินก็ได้)

3. เรื่องราวในแต่ละเรื่องเมื่อผูกความสัมพันธ์ทางเรือน และดาวแล้วจะเห็นว่า บางเรื่องดาวทั้งสิบดวงทำงานกันครบทีม ซึ่งยากมากๆในการแปลความหมายจากธรรมชาตินี้เราจะใช้ ดาวเกษตรเจ้าเรือนที่เป็นประธานของเรื่องและไล่เรียงความสำคัญไปตามลำดับจากกุมกัน อยู่ในราศีเดียวกันร่วมธาตู เป็นโยค และจัตุเกณฑ์ อย่างนี้ถูกต้องมั้ยครับ

4. วิมโสตตรีทศา นำมาใช้ร่วมกับจักรราศี มีข้อควรสังเกตุและระมัดระวังอย่างไรบ้างครับ นอกจากที่บอกว่าต้องใช้เกตุอยู่ตรงข้ามกับราหู(อ่านจากหนังสือของ อ.เทพย์)

ขอรบกวนอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำครับ และถ้าหากการตั้งคำถามไม่ชัดเจน หรือบ่งบอกว่าเข้าใจผิดในเรื่องใดๆ อาจารย์แนะนำตรงๆด้วยครับว่าผมควรกลับไปเริ่มต้นใหม่อย่างไร ก่อนที่จะสายเกินแก้ไข

ด้วยความเคารพและศรัทธาภูมิปัญญาและเมตตาธรรมของท่านอาจารย์อย่างสูง




รังสรรค์ - 4 มีนาคม พ.ศ.2549 11:25น. (IP: 203.155.21.98)

ความคิดเห็นที่ 33
ตอบ 33 คุณ รังสรรค์............1 / เราต้องรู้ว่า วัตถุประสงค์ของการอ่านอยู่ในระดับใดก่อนนะครับ การอ่านเจ้าเรือน 2 จังหวะก็เพื่อเอามาเป็นแกนเรื่องในการอ่านเรื่องราวในชุดหนึ่ง ดังนั้น ดาวลอยต่างๆที่อยู่ในเรือนก็จะมีส่วนร่วมในเรื่องราว เพียงแต่จะลดบทบาทลงเป็นเพียงส่วนขยายเรื่อง ดังนั้น ไม่ว่า ความเป็นเจ้าเรือน หรือ ลักษณาการของดาว หรือ ความเป็นคู่ดาว ก็ต้อง “นำมาพิจารณา” ร่วมด้วยทั้งนั้น แต่คำว่า “นำมาพิจารณา” ไม่ได้แปลว่า นำมา “ร่วมอ่าน”ด้วยทั้งหมด อะไรที่ไม่ควรอ่านก็ไม่ต้องอ่าน อย่างเช่น ผมอ่านว่า “เจ้าชะตาพิศวาสเพศตรงข้ามอย่างสร้างสรรค์ เข้าข่มขืนโดยประมาท” อะไรแบบนี้ เป็นการขยายที่ฟุ่มเฟือย ไม่มีประโยชน์อะไร ดังนั้น คำขยายใดๆที่เป็นไปได้นั้น เป็นเพียงโอกาสที่จะตีความหมาย ไม่ใช่การบังคับ เหมือนอย่างความหมายจากเจ้าเรือน 2 จังหวะแรก

2 / คุณตั้งข้อสังเกตถูกแล้ว การกรองความหมาย เป็นเทคนิคอย่างหนึ่งครับ ต้องเรียนรู้สูงขึ้นไปอีก โดยหลักการกรองความหมายจะเลือกวิธีที่ไม่มีปัจจัยที่เป็นอิทธิพลร่วมเกี่ยวข้องกับการอ่านอันแรก หากอ่านได้สองทาง หรือ หลายทางตรงกัน ความหมายก็จะแคบลง โหรจะอ่านหลายทางเพื่อสอบกันเสมอ เป็นเทคนิคของแต่ละคน แต่ในกรณีที่คุณยกตัวอย่างมา หากอ่านในทางเดียว ในเบื้องต้นมักแนะนำให้ตรวจเจ้าเรือน กดุมภะว่าเกี่ยวข้องกับศุกร์ ด้วยหรือไม่ หากใช่ ดาวศุกร์ก็จะโน้มไปทางการเงินมากกว่า ศิลปะ เป็นต้น นอกจากนั้น ศุกร์อยู่เรือนเกษตรของอะไร ก็ช่วยบอกแนวโน้มให้ด้วย เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องยาว หากเรียนกับอาจารย์ต่อหน้า จึงจะอธิบายได้ ถ้าเรียนเองก็ต้องดูตัวอย่างมากหน่อย

3 / กลับไปดูข้อ 1 / อีกที คำตอบเดียวกันครับ แต่ต้องตัดเรื่อง โยค ตรีโกณ จตุโกณออกก่อน คนที่เอาโยคเกณฑ์มาขยายเรื่องได้ ควรอ่านเรื่องเป็นแล้ว เหมือนเรียนไวยากรณ์ จะเขียนคำขยายแต่ละวรรคอย่างไร ต้องเข้าใจเบื้องต้นมาหมดก่อน จึงสอนต่อกันให้ได้

4 / ขอไม่ตอบคำถามนี้ อย่าเพิ่งใช้ “ทศา” กับระบบเรือนสัมพันธ์ครับ เป็นคนละ “ภาษา” กัน คนไม่รู้ใช้ ปนกันไปจะไม่ได้ประโยชน์ แต่จะทำให้หลงวนเวียนสับสน

ผมไม่ทราบว่าคุณเรียนเองหรือ อย่างไร หากจะจับตำราเอง ต้องมีความคิดว่องไวในการจำแนกลักษณะข้อเขียนในตำรา บางข้อความมาจากเรื่องหนึ่ง ดูเหมือนเรื่องเดียวกัน แต่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ต้องเรียนรู้มากจนเข้าใจ นอกจากนั้น ตำราบางตำราก็เอาเรื่องที่ดาษดื่นมาพิมพ์ ให้มากเข้าไว้ ไม่มีคุณค่าอะไร เหมือนกับอำกัน คนที่รู้แล้วก็อำกันต่อๆมา แต่ผู้เรียนใหม่จะไม่รู้ ไปยึดจับถือไว้ กลายเป็นภาระของสมองเปล่าๆ ไม่ทราบจะทำอย่างไร คุณเป็นคนหนึ่งในคนจำนวนมากเหล่านั้น หากเรียนกันต่อหน้าต้องให้พูดออกมา จะได้ช่วยโยนทิ้งให้เบาตัวบ้าง


วรกุล - 5 มีนาคม พ.ศ.2549 05:21น. (IP: 203.107.205.114)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียน อ.วรกุล

กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูง คำตอบทั้งสี่ข้อเหมือนแสงสว่างส่องเข้าไปในห้องมืด ผมเรียนโหราศาสตร์ด้วยการอ่านหนังสือจากที่มีจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป และที่ร้านเขษมบรรณกิจ ถ้านำหนังสือมาตั้งซ้อนกันน่าจะสูงท่วมหัวแล้วครับ และก็อ่านซ้ำไม่น้อยกว่าสามรอบ เป็นระยะเวลาเกือบสองปีแล้วครับ อ่านเกือบทุกวันๆละไม่น้อยกว่า 2-3 ชม. นึกถึงแล้วก็อดคิดถึงที่โบราณกล่าวไว้ไม่ผิด " ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด " แต่ไม่ท้อแท้หรือเบื่อหน่ายน่ะครับ กลับรู้สึกเพลิดเพลินและมีสมาธิมากกว่าอ่านหนังสือทั่วๆไปเสียอีก สนใจโหราศาสตร์เพราะชอบดูดวง และเคยใช้แนวทางจากการพยากรณ์มาตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตประสบความสำเร็จได้ จึงทำให้เกิดความศรัทธาและปรารถนาจะเรียนรู้บ้าง จะได้มีโอกาสสร้างกุศลและเป็นทานบารมีช่วยเหลือคนใกล้ตัวและที่จะมีมาเพราะลิขิตได้

กราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูงอีกครั้งหนึ่งครับ หากกุศลกรรมของผมมีสะสมในทางบารมีโหราศาสตร์ ผมคงมีโอกาสได้พบกับผู้ที่จะถ่ายทอดในเร็ววันนี้


รังสรรค์ - 5 มีนาคม พ.ศ.2549 09:27น. (IP: 58.9.58.178)

ความคิดเห็นที่ 35
คราวที่แล้ว เรารู้แล้วว่า การที่ดาวจะมีความสามารถแสดงออกคุณสมบัติของมันได้ดี ก็เพราะมีธาตุดาวอยู่มาก การที่จะมีธาตุดาวอยู่ได้มาก เหตุหนึ่งก็คือมันรับเข้ามามาก เนื่องจากอยู่ใกล้แหล่งธาตุ เช่น ลัคนา หรือ อยู่ในราศีเกษตรของมันเอง พูดอย่างง่ายๆ ก็คือ ดาวที่กุมลัคนา และดาวที่มีฐานะเป็นเกษตร จึงมักจะเป็นดาวที่มีธาตุในตัวมันมาก หากมีความจุธาตุสูงพอที่จะเก็บธาตุไว้ มากกว่า หรือ เพียงพอแก่การใช้ออกไป เราเรียกว่า ดาวมี กำลังธาตุ สูง ธาตุดาวนั้น เป็นเพียงการได้รับ เก็บไว้ และใช้ไป มีการถ่ายเทธาตุกับเกษตรราศีได้ แต่ไม่ได้ถ่ายเทกับดาวอื่น เพราะเป็นธาตุคนละชนิดกัน

อย่าสับสนกับ กำลังดาว ที่เกี่ยวกับพลังงานธาตุ พลังงานธาตุเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งที่เป็นพลังงานของดาว หรือ ธาตุดาว ซึ่งสามารถได้รับ เก็บไว้ และใช้ไปได้เหมือนกัน แต่เป็นของกลางที่สามารถถ่ายเทไปสู่ธาตุดาวอื่น หรือ ราศี พลังงานธาตุเป็นสิ่งสำคัญในการส่งให้ธาตุดาวมีกำลังที่จะแสดงคุณสมบัติออกมา ไม่ว่าในทางดี หรือ ไม่ดี แต่ส่วนใหญ่แล้ว ดาวที่มีพลังงานธาตุสูง จะทำให้ธาตุดาวมีคุณสมบัติดีขึ้น ดังนั้น เราจะสรุปง่ายๆเอาว่า ดาวที่มีพลังงานธาตุสูง ทำให้ดาวมีคุณสมบัติดีขึ้นก็ได้ เพียงแต่คุณสมบัติที่กล่าวถึงนั้น มักจะเป็นปฏิกิริยาที่รวดเร็ว ยาวนาน คงทน และส่งอิทธิพลไปกว้างขวางกว่า ซึ่งส่งผลทางอ้อมต่อคุณสมบัติทางปรัชญาของดาวเอง

พลังงานธาตุนั้น ส่งผ่านจากจักรวาลเข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนาเช่นกัน แต่แหล่งของพลังงานธาตุมีหลายแห่งมากกว่า ธาตุดาว หรือ เกษตรธาตุ คือ นอกจากลัคนา ที่เป็นทางเข้าของพลังงานแล้ว เกษตรราศีเองก็มีพลังงานสูง และยังมีดาวหลายดวงที่เป็นแหล่งสะสมพลังงานในดวงชะตา ที่เคยเล่าไปบ้างแล้ว ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส ซึ่งการที่ดาวได้รับพลังงานธาตุตรงจากดาวเหล่านี้ ก็มีกำลังดาวสูงขึ้นได้ ทำให้เกิดเกณฑ์ดาวที่แปลกแตกต่างไปจากเกณฑ์ของกำลังธาตุ ดังนั้น ในตำราโหราศาสตร์ที่มักมีเกณฑ์หลายๆแบบ หลายชนิดปะปนกัน เราต้องแยกแยะให้ดี ข้อสังเกตเบื้องต้นที่หากเกิดจากตำแหน่งดาว เช่น พวก จันทร์ ครุ สุริยา หรืออ้างเอาตำแหน่งของปัจจัยจุดเจ้าชะตา ก็มักจะเป็นเกณฑ์ที่เกี่ยวกับกำลังดาว บางเกณฑ์ที่อ้างถึงดาว หรือ ธาตุในธรณี รวมทั้งราศี มักจะเป็นเกณฑ์ทางด้านกำลังธาตุ มีเพียงการอ้างอิงถึงลัคนา ที่อาจจะเป็นได้ทั้งสองอย่าง เนื่องจากเกณฑ์ที่ใช้ในโหราศาสตร์มีอยู่มากมาย โดยเฉพาะโหราศาสตร์ระบบอื่นๆอาจจะมีสูตรอยู่หลายร้อย หลายพันแบบ ดังนั้น จึงควรหาว่าแต่ละเกณฑ์นั้นมีจุดประสงค์ใด เพราะหากอ้างเอาเกณฑ์จากจุดต่างๆโดยไม่บอกเป้าหมาย ก็ไม่ควรนำมาพิจารณาให้ยุ่งยาก โดยเฉพาะในโหราศาสตร์ไทยระบบเรือน มักจะใช้ด้วยกันไม่ได้

ในระบบเรือน จะมี เกณฑ์ที่โหรอาชีพมักใช้กันบ่อย เช่น โยค ตรีโกณ นั้นเป็นเกณฑ์ของกำลังดาว เพราะการส่งผ่านถ่ายเทของพลังงานธาตุจะส่งผ่าน วงจรตรีโกณได้ดี ในขณะที่ วงจร จตุโกณ นั้น ปกติเป็นเกณฑ์ของกำลังธาตุ แต่ก็สามารถส่งผ่านพลังงานธาตุช่วยเพิ่มกำลังดาวได้ด้วย เพียงแต่ไม่ดีเท่าตรีโกณ แต่เกณฑ์ทุกเกณฑ์มักจะมีข้อยกเว้นเสมอ ข้อยกเว้นของเกณฑ์ต่างๆ ควรที่จะติดไปกับตัวเกณฑ์ เหมือนกับใบแก้คำผิดของหนังสือที่พิมพ์ผิด แต่เมื่อนานเข้า ข้อยกเว้นของเกณฑ์ต่างๆ กลับถูกทำให้หลุดหายไป จากการถ่ายทอดนานมาแล้ว ไม่ว่าโดยเจตนาหรือไม่ ทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสนขัดกันเรื่องตำแหน่งดาวในเกณฑ์ต่างๆกันอยู่ทุกวันนี้ เกณฑ์บางอันซึ่งเป็นข้อยกเว้นของเกณฑ์อื่น กลับถูกแยกเอามาไว้เป็นเกณฑ์แยกต่างหากก็มี ทำให้ใช้กันผิดๆ

ในตอนที่กล่าวมานี้ เรากล่าวถึงระบบธาตุในเรือนชะตาเท่านั้น แต่ยังไม่ได้กล่าวถึงระบบธาตุในระบบอื่น เช่น ธาตุในธรณี ธาตุในบรรยากาศ หรือ ธาตุในจักรวาล ซึ่งระบบจะแตกต่างกัน โดยเฉพาะเกณฑ์ถ่ายทอดกำลังดาว ดังนั้น โหรบางกลุ่มบางพวก บางครั้งจึงตัดระบบธาตุอื่นออกไปจากการพิจารณาเลยก็มี เช่น ไม่ใช้มหาทักษา หรือ ไม่ใช้ระบบธาตุราศีในจักรวาล แต่ละเน้นที่ระบบธาตุในดวงชะตาเป็นหลัก ดังนั้น บางครั้งที่เราจับตำรา ก็ควรตั้งข้อสังเกตความแตกต่างเหล่านี้เอาไว้ด้วย เนื่องจากการนำระบบอื่นมาใช้ร่วมกัน เช่น ใช้มหาทักษากับดวงชะตา หรือใช้มุมดาวในจักรวาล ต้องไม่สับสนปนกันกับ ระบบเรือนที่ใช้ธาตุและเกษตรธาตุเป็นหลัก การเรียนการศึกษาโหราศาสตร์ที่ได้ผลดี จึงควรเรียนกับอาจารย์ที่รู้การใช้วิธีการของแต่ละระบบอย่างแท้จริง เพราะหากการใช้เทคนิคที่สับสนปนเป ก็จะทำให้ผู้เรียนสับสน ใช้วิธีถูกผิดตามไปด้วย

พึงเข้าใจว่า การที่ไม่ได้นำธาตุในธรณี หรือ ในจักรวาลมาพิจารณานั้น เป็นเพียงการตัดตอนของเราเองเท่านั้น แต่ในธรรมชาติแล้ว สถานะของธาตุในที่อื่นๆเหล่านั้น จะมีผลต่อดวงชะตามาก ทั้งดวงชะตาเดิม และ ชะตาจร เนื่องจากธาตุที่ส่งถ่ายระหว่างระบบจะแลกเปลี่ยนธาตุและพลังงานกันมาก่อนแล้ว ดังนั้น จึงควรเข้าใจว่า การตัดสินใจทำนายดวงชะตาจากการวิเคราะห์ดวงชะตาทีเดียวอาจจะผิดพลาดได้หลายระดับ ส่วนใหญ่แล้วโหรมักจะพบกันมามาก แต่ก็ไม่อาจจะทำให้ละเอียดลงไปทุกดวงชะตาได้ เนื่องจากกินเวลามาก การทุ่มเทคำนวณทุกระบบมักจะทำกับดวงสำคัญๆ เช่น ดวงเมือง หรือ ดวงผู้นำ อาจจะต้องใช้เวลาหลายเดือน เพื่อที่จะคำนวณสักดวงชะตาหนึ่ง ดังนั้น การดูดวงชะตาเมือง หรือ ดวงผู้นำอย่างฉาบฉวย แล้วนำมาวิพากษ์วิจารณ์ล่วงหน้าอาจจะไม่ได้ผล อาจจะทำได้ก็เพียงการวิจารณ์ตามหลัง เพื่อหาเหตุผลหลังจากที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นแล้วเท่านั้น


วรกุล - 9 มีนาคม พ.ศ.2549 05:21น. (IP: 203.107.205.9)

ความคิดเห็นที่ 36
เรียน อ.วรกุล...

ช่วงนี้ในส่วนตัวผม บทความของ อ.วรกุลอ่านยากจริงๆ ครับ ส่วนหนึ่งอาจเพราะผมไม่ค่อยมีสมาธิด้วย คือ ให้เวลาน้อยและความรู้พื้นฐานก็ไม่ดี

จริงๆ ไม่อยากถามคำถามอะไรเลย อยากอ่านไปเรื่อยๆ เพราะถามไปอาจจะรบกวนการผลิตบทความดีๆ ของ อ.วรกุล แต่ก็ยังไม่ได้หายไปไหนนะครับ เลยต้องขออนุญาติถามนะครับ

ในกระทู้นี้มี คคห. หนึ่งที่ อ.วรกุล บอกว่า ต้องเรียนกับ อาจารย์ 20 ท่าน ซึ่ง(ตอนที่อ่านตอนนั้น) แปลความหมายที่ อ.วรกุลให้ ว่าต้องศึกษา วิชาเฉพาะ อย่างน้อย 20 วิชา (ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่) หากเข้าใจถูก อยากเรียนถาม อ.วรกุล ครับว่า 20 วิชาที่ต้องศึกษานี่ มีรายชื่อ เป็นแบบโบราณ เป็นตำราเฉพาะ(ชื่อโบราณๆ เช่น โชติยศาสตร์) หรือว่า เป็นกลุ่มวิชาครับ(การเมือง, เศรษฐกิจ,จิตวิทยา, ยาสมุนไพร)

*** ยังเขียนไม่ครบเท่าไรแต่ขอรีบส่งก่อนนะครับ ตอนนี้save ข้อความไม่ได้ หากเขียนอะไรไม่ถูกไม่ควร ขออภัยไว้ก่อนครับ


หนูน้อย - 9 มีนาคม พ.ศ.2549 17:31น. (IP: 58.11.70.59)

ความคิดเห็นที่ 37
ผมเองก็เป็นอีกคนก็ยังเฝ้าติดตามอ่านบทความของอาจารย์อยู่ครับ... รู้สึกเหมือน"หนูน้อย"เหมือนกัน คือยังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่ก็พอมองเห็นแสงสว่างอยู่ปลายทาง ไม่รู้สึกเคว้งคว้างหรือหลงทาง กลับมีแต่ความมั่นใจในความรู้ที่ได้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆจากการได้อ่านบทความของอาจารย์... รู้สึกดีใจที่ได้อ่านบทความของอาจารย์.....


ศ.fa200 - 10 มีนาคม พ.ศ.2549 20:22น. (IP: 58.11.110.51)

ความคิดเห็นที่ 38
ตอบ 38 คุณ หนูน้อย............ที่ผมบอกว่า อาจารย์ 20 ท่าน อธิบาย 10 ปี (ตรงนี้) จึงจะหมด เป็นแค่คำพูดเปรียบเทียบให้เห็นปริมาณเนื้อหาเท่านั้นเอง จะได้นึกภาพออก วิชาในโหราศาสตร์มีตั้งเยอะ แค่เรียนวิชา สองวิชา ก็แก่แล้ว หากอธิบายคนเดียว ผู้เรียนอายุเกินสองศตวรรษก็คงเรียนได้หมดกระมัง นี่เป็นแค่คำเปรียบเทียบ โดยปกติ ความคิดเร็วกว่าคำพูด คำพูดเร็วกว่าการเขียน การถ่ายทอดวิชาโหร ถ้าหากใช้วิธีพูดให้ผู้เรียนตั้งใจคิดตาม สอนตัวต่อตัว หากทั้งผู้สอนและผู้เรียนทำได้ดี ภายใน 2 – 3 ปีก็คงเรียนจบครบถ้วนได้วิชาใหญ่ๆได้วิชาหนึ่ง

ตอบ 39 คุณ ศ.fa200 ...........อ่านเอาจากข้อเขียนแบบนี้ เข้าใจได้ช้า และยากครับ ไม่เหมือนเวลาคนเราสนทนากัน ลองนึกดูเหมือนกับว่า ผมพูดกับคน สัก 20 – 30 คน ที่มีความคิดไม่เท่ากัน ไม่รู้ใครมีพื้นความรู้แค่ไหน อย่างไรมาบ้าง กว่าจะนำความคิดเข้ามาสู่ภาพที่ต้องการให้เห็นก็ลำบาก ไม่เหมือนการสนทนาตัวต่อตัว จะได้รู้ว่าคิดไปถึงไหน คิดอย่างไร การทำความเข้าใจก็จะง่ายกว่า ทุกวันนี้ผมก็เขียนยาว และยากแล้ว พอจะเข้าไปเรื่องยากกว่านั้น เลยยังไม่กล้า เพราะกว่าจะเข้าได้ ไม่รู้ต้องเขียนอีกกี่บทกี่ตอน ผมจึงรู้สึกว่าน่าเสียดาย ยิ่งมีบางคนที่มาใหม่ๆ คิดว่า เขียนบอกเคล็ดลับมาเลยดีกว่า เขาจะได้อ่านๆ แล้วก็ไป ไม่เสียเวลาแบบนี้ แสดงว่าเข้าใจผิดมาก ที่เขียนอยู่นี่แหละ เมื่อไรที่คุณรู้สึกเข้าใจ ก็จะเห็นสิ่งที่เป็นเคล็ดลับเอง


วรกุล - 11 มีนาคม พ.ศ.2549 05:12น. (IP: 203.107.203.227)

ความคิดเห็นที่ 39
เรียนอาจารย์วรกุล..ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ เคล็ดลับต่างๆ(การสรุปสั้นๆ)มันไม่มีน่าจะมีหรอก.. หากเข้าใจในเหตุและผล หากเข้าใจในที่มาที่ไป.. อยากให้อาจารย์เขียนอธิบายเรื่องราวต่างๆยาวๆ ยิ่งยาวเท่าใหร่ยิ่งดี.. อาจจะทำให้สับสนไปบ้างแต่ก็เกิดประโยชน์มากหากได้นำไปคิดแล้วทำความเข้าใจ.........มีข้อความเป็นจำนวนมากที่ไม่เข้าใจแต่พอได้คิดทบทวนอ่านไปอ่านมาก็เกิดความเข้าใจขึ้น... บางข้อความจะยังไม่เข้าใจในวันนี้ แต่สักวันก็คงจะเข้าใจมัน.........วันนี้ผมมีคำถามข้อสงสัยมีเรียนถามอาจารย์อยู่หลายเรื่องครับรบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายชี้แนะปรับความเห็นที่ผิด(?)ให้ถูกต้องด้วยครับ..

เรื่องที่1..จากกระทู้เก่าๆ.."โหราศาสตร์ทางธาตุจะใช้รอบธาตุจากสุริยจักรวาล โดยมีอาทิตย์เเป็นแหล่งธาตุในจักรวาลเดินครบรอบ60ปี เพื่อเติมธาตุให้พฤหัสจนครบทุกรอบ""..... ผมมีความสงสัยในหลายเรื่องย่อยรบกวนอาจารย์ช่วยคลี่คลายความสงสัยด้วยครับ.. ข้อ1. การเติมพลังงานธาตุให้พฤหัสนั้นเป็นการเติมให้พฤหัสในจักรวาลแล้วพฤหัสในจักรวาลจะส่งพลังงานธาตุผ่านมาสู่ดวงชะตาอีกที ? ข้อ2.ต่อเนื่องจากข้อ1 วงรอบพฤหัส5รอบจักรวาล(12ราศี)ใช้เวลา60ปีเป็น1ยุคพฤหัส..จากวงรอบธรรมชาตินี้โหราศาสตร์ทางธาตุได้นำมาใช้เพื่อดูความเป็นไปของชีวิตโดยการปรับอัตราการจรของพฤหัสให้สอดคล้องเข้ากันกับวัฐจักรวงรอบของชีวิต? ข้อ3. วงรอบธรรมชาติที่ถูกปรับนั้น เป็นวงรอบที่นำใช้เน้นการตรวจดูการเติมธาตุโดยเฉพาะ ? เราสามารถนำมาใช้เพื่อตรวจปริมาณธาตุดาวในดวงชะตา ณ.เวลาต่างๆเพื่อพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตในช่วงระยะเวลาต่างๆ ? ข้อ4. การตรวจวงรอบธรรมชาติเพื่อการพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตตามข้อ3นั้น เป็นเรื่องของการเติมธาตุโดยเฉพาะและถือเป็นการพิจารณาเหตุการณ์จากดวงเดิมซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเรื่องการเคลื่อนที่ของเจ้าชะตา หรือเรื่องสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปรไป ? ข้อ5.หากธาตุดาวในดวงชะตาได้รับการเติมธาตุจากพฤหัสแล้วตามข้อ2 จึงจะถือได้ว่าธาตุดาวนั้นสามารถทำงานได้ตามภูมิตั้งต้นตามที่มีแผนไว้ในดวงชะตา ? ข้อ6.กฎเกณฑ์เรื่ององค์เกณฑ์จำนวนมากเช่นธรรมเกณฑ์ รวมทั้งการพิจารณาวัยที่ให้คุณให้โทษนั้น สามารถอธิบายได้จากมุมมองของการที่ธาตุดาวและเกษตรธาตุดาวในดวงชะตาได้รับการเติมธาตุพลังงานจากดาวพฤหัสและดาวอื่นๆในจักรวาล......จาก ศ.fa200


ศ.fa200 - 12 มีนาคม พ.ศ.2549 20:01น. (IP: 58.11.110.122)

ความคิดเห็นที่ 40
เรียนอาจารย์วรกุล..ผมขออนุญาตตั้งคำถามเรื่องที่2ต่อไปนะครับ..จากกระทู้ที่1ความเห็นที่64ในการพิจารณาทำนายทางโหราศาสตร์มีวิธีการทำนายได้หลายวิธีตามที่แยกออกได้3ประเภทคือ 1.ใช้ดวงเดิมหรือดวงเกณฑ์ชะตา 2.ใช้ดวงจร และ3.ใช้ทั้งดวงเดิมและดวงจร. อันเนื่องมาจากแนวคิดที่แตกต่างกัน.......ผมมีเรื่องสงสัยอยากจะสอบถามอาจารย์ว่า.. เราจะพิจารณาได้อย่างไรว่าเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรานั้น มีที่มาจากดวงเดิม หรือมีที่มาจากดวงจรครับ.... ( ช่วงชีวิตหนนึ่งของคนเรามีเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง...การแต่งงาน , การมีบุตร, การพลัดพราก, การเจ็บป่วย, การประสบอุบัติเหตุ, การได้รับตำแหน่ง, การโยกย้ายเปลี่ยนแปลง, การได้บ้านได้รถได้ทรัพย์สิน , การมีหนี้สิน, การมีปัญหาอุปสรรค , การประสบความสำเร็จ , การมีชื่อเสียง, การผิดหวัง เรื่องราวต่างๆเยอะแยะมากมายหลายเรื่องราวจะตรวจสอบได้อย่างไรว่ามีที่มาจากดวงอะไร ดวงเดิมหรือดวงจร ) รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายให้ข้อคิดด้วยครับ....


ศ.fa200 - 12 มีนาคม พ.ศ.2549 20:22น. (IP: 58.11.110.122)

ความคิดเห็นที่ 41
เรียนอาจารย์ครับ

อยากทราบว่าชาติที่แล้วเกิดเป็นอะไรอ่ะคับแล้วดวงความรักปีนี้เป็นยังไง

เกิดวันอาทิตย์ที่14เมษายน2534 03.03น. คับ


เจ้าไกร ณ เชียงฟ้า - 12 มีนาคม พ.ศ.2549 23:34น. (IP: 203.118.123.109)

ความคิดเห็นที่ 42
ตอบ 41 คุณ ศ.fa200............เวลาอ่านเรื่องธาตุแล้วสงสัย คำตอบเบื้องต้นที่ควรคิดก่อน ก็คือ “ธาตุมีหลายอย่าง หลายชนิด” 1/ พลังงานธาตุจากดวงอาทิตย์ส่งไปที่(ไม่ใช่เติม)ดาวพฤหัสในจักรวาล แล้วจึงมาเติมที่พฤหัสในดวงชะตา และยังมีพลังงานธาตุสายอื่นอีก รวมทั้งมีธาตุอีกหลายชนิดที่ต้องมาสู่ดาวในดวงชะตา ตอนนี้ พยายามพูดจำกัดอยู่ที่ ธาตุดาว เกษตรธาตุ และพลังงานธาตุ เท่านั้น

2 / เรื่องยุคพฤหัส ใช้ในโหราศาสตร์ทางธาตุบางระบบเท่านั้น เพราะเหตุที่มันเป็นแนวโน้มช่วงยาว แต่ชีวิตมนุษย์ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญอย่างอื่นๆอีก การใช้ยุคพฤหัส ขึ้นอยู่กับหลักการทำนายของระบบที่อ้างอิงธาตุของพฤหัส ส่วนเรื่องการปรับอัตราจรของพฤหัส ไม่ได้ใช้ตรงๆแบบนั้น การกำหนดวงรอบของชีวิตยังมีทั้งแบบคงที่ (เช่น กำหนดไว้ 108 ปี หรือ 96 ปี) หรือ แบบเปลี่ยนแปลงตามอายุบุคคล โหราศาสตร์ที่ใช้ยุคพฤหัสมักใช้แบบคงที่

3 / 4 / วงรอบธรรมชาติมีเรื่องอีกเยอะ การเติมธาตุก็เป็นอย่างหนึ่ง เอาไว้อีกสักสองตอนจะแวะไปพูดเรื่องวงรอบธรรมชาติสักนิดหน่อย การเขียนตอนนี้ยังอยู่ในดวงชะตา ไม่อยากกระโดดไปกระโดดมาอ่านแล้วจะงง ตอนนี้พูดสั้นๆได้ว่า วงรอบธรรมชาติที่เรามักใช้ เป็นวงรอบของธาตุและพลังงาน ทำให้ดวงชะตาเดิม และจร เปลี่ยนแปลง

5 / ธาตุที่เติมจากดวงอาทิตย์มีหลายชนิดครับ ที่สำคัญๆ เช่น ชีวะธาตุ วิญญาณธาตุ หรือ บางโหราศาสตร์(เช่น จีน) มักเรียกธาตุเหล่านี้ว่า ธาตุของชีวิต มีหลายรูป จะไม่เข้ามาสู่ดวงชะตาเต็มทีเดียว แต่บางครั้งก็จะเข้ามาได้ในทางจร เรื่องนี้เยอะยืดยาว ผมจึงไม่อยากกล่าวถึงก่อน ขอให้จำไว้ว่า ธาตุมีหลายชนิด บางชนิดมีผลทำให้ธาตุดาว และเกษตรธาตุทำงานได้สมบูรณ์ ธาตุของชีวิตมีวงรอบของมันเอง อีกอย่างที่คุณเขียนว่า “เติมธาตุจากพฤหัส” นั้น คุณเริ่มสับสนแล้ว การเติมให้พฤหัส กับพฤหัสส่งให้ดาวอื่น เป็นคนละเรื่องกัน ธาตุมีหลายชนิด ครับ ถ้าจับไปทีละเรื่องทีละตอนจะไม่งง ผมจึงพยายามไม่กระโดดไป กระโดดมา ขนาดคุณเองนับว่าอ่านละเอียด ยังสับสน เห็นไหม หากพูดเรื่องธาตุทั้งหมดในคราวเดียว โดยไม่มีกระดานเขียนให้ดู รับรองว่างงแน่ แนะนำว่าอย่าเพิ่งสนใจการเติมธาตุตอนนี้ เพราะหากไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร จะไม่รู้เรื่อง โหราศาสตร์ โดยภาพรวมก็คือ วิชาที่ว่าด้วยการถ่ายเท และ เปลี่ยนแปลงของธาตุ (หลายชนิด) นั่นเอง

6 / เรื่องเกณฑ์ ดูจากการ “ถ่ายเทธาตุ” ในดวงชะตา ได้ ถูกแล้ว (ไม่ใช่ “การเติมธาตุ” ชึ่งเติมมาจากภายนอกดวงชะตา) และไม่จำเป็นต้องเป็นพฤหัส ดาวต่างๆล้วนเติมพลังงานให้แก่กันได้ (คือ พลังงานธาตุ) ส่วนเรื่องวัย เป็นเรื่องของวงรอบธรรมชาติ ที่ทำให้ธาตุและพลังงานในอนุกรมวงรอบของมัน มีผลต่อธาตุในช่วงเวลาหนึ่ง การเกิดคุณโทษ ต้องแล้วแต่ดวงชะตาแต่ละคน ไม่เหมือนกัน แม้จะมีวงรอบธรรมชาติเดียวกัน ไว้จะเขียนเรื่องวงรอบธรรมชาติที่ใช้กับดวงชะตาให้ อีกสองสัปดาห์หน้าครับ เพื่อให้เกิดไอเดีย แต่บรรยายยังไม่ได้ เพราะเป็นวิชาใหญ่ที่มีมาก่อนวิชาดวงชะตาเสียอีก

ส่วนคำถามตามความเห็นที่ 42 ตอบตรงนี้ไม่ได้ครับ ไว้จะเขียนแทรกบ้าง เหตุการณ์ที่เกิดกับเรานั้นเกิดจากกรรมเดิมบ้าง ผลกรรมใหม่บ้าง ดวงเดิมบ้าง ดวงจรบ้าง ไม่มีใครรู้ชัด เพราะมันแยกยาก โหรจึงมักใช้หลายทางมาพิจารณาร่วมกันเพื่อให้รู้ชัดขึ้น ดังนั้น เทคนิควิธีที่นำไปสู่สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นคำตอบทั้งหมดที่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง


วรกุล - 14 มีนาคม พ.ศ.2549 05:05น. (IP: 203.107.205.108)

ความคิดเห็นที่ 43
เรียนอาจารย์วรกกุล...ความเข้าใจผิดของผมยังมีอยู่มาก ต่อไปจะอ่านข้อความต่างๆซ้ำแล้วทำความเข้าใจให้มากขึ้นคำถามที่ผมถามไปเกิดจากการที่ผมตั้งประเด็นไว้ผิด...ผมยังมีคำถามที่คิดว่ามันยังเกี่ยวเนื่องอยู่กับวงรอบธรรมชาติ อยากให้อาจารย์ช่วยอธิบายหรือค่อยๆเขียนเป็นลำดับๆไปก็ได้ครับ.. เรื่องมหาทักษา...จากกระทู้เก่า "ธาตุในธรณี(มหาทักษา) คือลำดับของธาตุในธรณีที่เข้ามามีอิทธิพลต่อธาตุในดวงชะตา" ผมมีความสงสัย/เข้าใจว่า..วงรอบธรรมชาติมหาทักษาหรือเทวดาเสวยอายุนั้นมีวงรอบเท่ากับ108ปี ส่วนวงรอบของชีวิตคนเรานนั้นปัจจุบันจบลงที่อายุ80ปีก็หายากมากแล้ว ดังนั้นวงรอบ2วงรอบนี้จึงไม่เท่ากัน การนำเทวดาเสวยอายุมาใช้พยากรณ์เพื่อให้รู้ว่าวัยใดขของชีวิตมีแนวโน้มขึ้นลงอย่างไร หรือที่เรียกว่าดูวัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมของชีวิตนั้น ต้องมีการปรับอัตราใหม่หรือไม่ ?...หากไม่ปรับตัวเลขในตารางมหาทักษาก็ดูเหมือนว่าชีวิตหนึ่งของคนเราจะได้รับอิทธิพลจากธาตุในธรณีไม่ครบวัฎจักรใหญ่....ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียดายหากชีวิตต้องมาจบลงโดยที่ไม่มีโอกาสได้รับอิทธิพลจากธาตุในธรณีในส่วนที่ดี..........ขอถามเพิ่มเติมกับสิ่งที่ยังค้างคาใจ....1.ธาตุในธรณีที่เข้ามาสู่ดวงชะตาบนโลก มีผลยาวนานหรือเปลี่ยนแปลงชีวิตบนโลกมากน้อยแค่ใหนครับ และหากเปรียบเทียบกับธาตุในจักรวาลแล้ว ธาตุทั้งสองแสดงผลในดวงชะตาต่างกันอย่างไรครับ....2.ธาตุในธรณีเข้าสู่ดวงชะตาโดยไม่จำเป็นต้องเข้าทางลัคนาใช่หรือเปล่าครับ?...รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายชี้แนะด้วยครับ....ศ.fa200


ศ.fa200 - 14 มีนาคม พ.ศ.2549 18:16น. (IP: 58.11.110.129)

ความคิดเห็นที่ 44
ตอบ 46 คุณ ศ.fa200............ผมยังต้องไปเขียนเรื่องวงรอบธรรมชาติของธาตุที่เกี่ยวกับดวงชะตาอีก ต้องรอไปอีกหน่อยครับ คำถามคุณแบ่งคำถามไม่ชัด ต้องอธิบายรวมกันไปก่อน ปัญหาก็คือ คุณอ่านสิ่งที่ผมเขียนมาหลายๆตอนแล้วยังวางโครงภาพ หรือ แผนภูมิของธาตุไม่ได้ ตอนนี้จะเอาคร่าวๆ ลำดับแบบคิดง่ายๆ ตัดสิ่งที่ซับซ้อนออกไป จะได้ใช้เป็นคำตอบเบื้องต้น

1 / ระบบธาตุภายนอกทั้งหมดมี 4 ระบบ คือ ธาตุจากดาวฤกษ์ ธาตุในจักรวาล ธาตุในบรรยากาศ และธาตุในธรณี ทั้งสี่ระบบส่ง(และส่งต่อ)ธาตุมายัง ระบบธาตุภายใน คือ ดวงชะตาของเรา หรือ คือโลกเฉพาะตัวเรา ผ่านเข้ามาทางลัคนาเหมือนกันหมด ดวงชะตาของเราก็เป็น ระบบที่มีการแลกเปลี่ยนธาตุ และกระจายธาตุอยู่ภายในด้วย

2 / ส่วนมากโหราศาสตร์ไทยทั่วไป จะเกี่ยวข้องกับ ธาตุในจักรวาล (ดาวโคจร) มีบ้างที่นำธาตุในธรณี (เช่น มหาทักษา) มาพิจารณา แล้วแต่ที่คิดว่าอะไรสำคัญ พวกโหราศาสตร์ทางธาตุจะพิจารณาธาตุในบรรยากาศร่วมด้วย ส่วนธาตุจากดาวฤกษ์นั้น โหราศาสตร์ในประเทศอื่น (เช่น จีน ญี่ปุ่น เกาหลี) มักใช้ ไทยเราส่วนมากใช้เพียงผลลัพธ์สุดท้ายที่ลงมาอยู่ในชั้นบรรยากาศแล้ว และที่เกี่ยวกับฤกษ์ เท่านั้น

3 / ระบบในดวงชะตาของเราสัมพันธ์กับชีวิตของเรา ประกอบด้วยฐานของธาตุหลายชั้น ตั้งแต่ ชั้นสามัญ ที่เป็น นามธาตุ รูปธาตุ ชั้นของธาตุสังเคราะห์ต่างๆ ชั้นธาตุที่เกิดมีปฏิกริยากัน แล้วก็ชั้นที่ แสดงออก เป็นผล หรือ เหตุการณ์

4 / พวกระบบธาตุในข้อ 1 / ล้วนแต่สามารถเข้ามาอยู่ในดวงชะตาได้เหมือนกัน แต่ไม่เท่ากัน พวกธาตุในธรณีจะมาอยู่ในฐานชั้นแรกๆมาก ส่วนธาตุในบรรยากาศ กับ ธาตุในจักรวาลจะวิ่งขึ้นลงได้ทุกชั้น เพราะพลังงานสูง มักเป็นผู้ทำปฏิกิริยาบ่อยครั้งกว่า ผลในชั้นสุดท้าย มักจะมาจากชั้นปฏิกริยา และชั้นอื่นทางอ้อม ดังนั้น บางท่านจึงตัดธาตุในธรณีทิ้งไป จะทำให้คลาดเคลื่อนบ้าง แต่เหมาะกับการใช้หากินแบบอาชีพ

โครงร่างเรื่องธาตุ อย่างง่ายที่สุดก็มีแค่นี้เอง คุณหากระดาษเปล่ามาเขียนแผนผังเอาไว้ จะได้ไม่งง

ทีนี้มาตอบข้อสงสัยของคุณ ต้องเข้าใจก่อนว่า ธาตุในธรณีมีผลต่อดวงชะตาทุกธาตุอยู่แล้ว แต่มักอยู่ในฐานชั้นแรกๆ เมื่ออาศัยธรรมชาติของธาตุและพลังงานส่งเสริม มันจึงขึ้นมายังฐานชั้นสูงขึ้นได้นาน เช่นอาศัยวงรอบของเทวดาเสวยอายุ เทวดาเสวยอายุ ไม่เหมือนทักษาคู่ธาตุทีเดียว เพียงแต่ใช่แผนภูมิร่วมกัน เทวดาเสวยอายุ เกิดจากวงรอบธรรมชาติของพลังงานที่มาสังเคราะห์เข้ากับวัฏจักร(ทักษา)คู่ธาตุ จึงเป็นวงรอบธรรมชาติของธาตุและพลังงานร่วมกัน ทำให้ธาตุบางภูมิขึ้นมาทำงานในฐานชั้นบนๆ ได้ในช่วงอายุหนึ่งๆ เมื่อมันเข้ามาอยู่ในฐานชั้นบน จึงทำงานอยู่ในระบบของดวงชะตาที่มีธาตุในจักรวาลส่งมาทำงานอยู่แล้ว เพราะเหตุนี้ ทำให้ธาตุในธรณีเข้าเสริมเหตุการณ์ที่ธาตุจากจักรวาลมีกำลังไม่ถึง หรือ มีกำลังแรงอยู่แล้วให้แรงที่สุดนั่นเอง

เมื่อธาตุเข้ามาสู่ดวงชะตาแล้ว ธาตุทั้งหมดก็เสมือนเป็นธาตุเดียวกัน ไม่ว่าธาตุจากธรณี หรือ จักรวาลก็มีผลเหมือนกัน เพียงแต่ธาตุในธรณีจะเกิดผลนานกว่าเท่านั้น ไม่ว่า ส่วนดี ส่วนไม่ดีของธาตุ ก็มาจากระบบอื่นได้เหมือนกัน เพราะดี หรือ ไม่ดี ที่แท้จริงเกิดจากดวงชะตาของเรา ไม่ได้เกิดจากที่อื่น (เคยเล่าแล้ว) แม้ธาตุในธรณีก็เข้าสู่ดวงชะตาเราทุกวัน ทุกธาตุอยู่แล้ว เรื่องเทวดาเสวยอายุเป็นคนละเรื่อง เพราะเป็นเพียงทำให้วงจรธาตุที่มีกำลังขึ้นเท่านั้น อาจจะไม่มีผลปรากฏถึงชั้นแสดงผล ก็ได้ ไว้ไปอ่านเรื่องวงรอบธรรมชาติที่จะเขียนแทรกให้อีกที ทุกเรื่องที่เขียนในคำตอบนี้ ล้วนแต่เป็นเรื่องยาวทั้งนั้น

ผมจะต้องเขียนเรื่องจุดเจ้าชะตาให้ในตอนต่อไป ก่อนที่จะโดดออกไปเขียนเรื่องวงรอบธรรมชาติได้ เก็บตรงนี้เอาไว้ก่อน อ่านทีละเรื่องก่อนครับ จะได้ลำดับเรื่องให้ต่อเนื่องกัน

000000000000000000000000000000000000000000000000000000

.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 14....ครับ..........


วรกุล - 16 มีนาคม พ.ศ.2549 05:15น. (IP: 203.107.205.70)