เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 14)

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 14)

00000000000000000000000000000000000000

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 13 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 14 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.205.70)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ตอนก่อนที่เล่ามาแล้ว เกี่ยวกับดาว หรือ ธาตุดาวที่ได้รับธาตุจากการอยู่ใกล้แหล่งธาตุทำให้คุณสมบัติดีขึ้น หรือที่เราเรียกว่า ดาวมี กำลังธาตุดีขึ้น และเมื่อดาวได้รับพลังงานธาตุ จากแหล่งพลังงานต่างๆ เราเรียกว่าดาวมีกำลังดาวดีขึ้น เมื่อเราอ่านตำราจากในที่ต่างๆแล้วพบเกณฑ์ของดาวหลายแบบ เราจึงควรพิจารณาเบื้องต้นว่า เป็นเกณฑ์ที่บอกถึงกำลังธาตุ หรือ กำลังดาว หรือ ทั้งสองอย่าง

ที่ยกตัวอย่างมานั้น เรามักจะอ้างอิงแหล่งธาตุที่สำคัญ คือ ลัคนา เพราะเป็นทางเข้า (ออก) ของธาตุดาว และธาตุต่างๆรวมทั้งพลังงานธาตุ แต่เมื่อเราจับดูตำราโหราศาสตร์มากๆเข้า เราจะพบคำๆหนึ่งที่ใช้บ่อยมาก คือ จุดเจ้าชะตา ลำพังพวกเกณฑ์ต่างๆในตำราที่อ้างถึงลัคนา เช่น ดาวนี้เป็น โยค เป็น ตรีโกณ แก่ลัคนาจะดี มีบุญวาสนา หรือ ดาวนั้นมากุม มาเล็งลัคนาจะโชคร้าย อะไรแบบนั้น หากจับเกณฑ์ต่างๆไม่กี่เกณฑ์ก็วุ่นวายอยู่แล้ว ตำรายังแถมให้อยู่บ่อยๆว่า “.....หรือ แก่จุดเจ้าชะตา” ด้วย คำว่า จุดเจ้าชะตา เท่าที่กล่าวกันมานั้น ปกติโหราศาสตร์ไทย หมายถึง ลัคนา ตนุลัคน์ ตนุเศษ หรือ ในโหราศาสตร์บางระบบอาจจะ รวมถึง อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส ตนุจันทร์ จุดกึ่งกลางฟ้า หรือ กัมมะ พันธุ ในดวงเดิม นอกจากนั้นยังมี ลัคนาจร ตนุลัคน์จร และอื่นๆอีกในดวงจร ซึ่งล้วนแต่อ้างเป็นจุดเจ้าชะตาจรทั้งสิ้น พลอยทำให้ผู้เรียนปวดศีรษะ เพราะเอาเข้าจริงๆ อะไรๆก็เป็นจุดเจ้าชะตา หากมาพิจารณาเกณฑ์จากจุดเหล่านี้เพิ่มเข้าไปด้วย กลายการจลาจลย่อยๆในดวงชะตาเท่านั้นเอง ปัญหาก็คือ จุดเจ้าชะตา คืออะไร?

ที่จริงคำตอบเป็นเรื่องไม่ยาก เป็นหญ้าปากคอกอยู่ตรงนี้เอง ดังที่เคยบอกไว้แล้วว่า ลัคนาเกิดจากอัตตา เพราะอัตตานี้เอง จึงเกิดเรือนทั้ง 12 เรือน การที่ลัคนา หมายรู้ว่าเป็นตัวตน ของตนนี้ เป็นผลทำให้เกิดเรื่องราวที่มีผลต่อเจ้าชะตา หรือ หมายถึง เจ้าชะตา เมื่อเรารู้แล้วว่า ลัคนา คือ เจ้าชะตา ก็ควรทบทวนด้วยว่า ในโหราศาสตร์ไทยนั้น ลัคนาไม่ได้เป็นจุด แต่มีอาณาเขตอำนาจตลอดราศีที่ลัคนาอยู่ การที่เราหาองศาลัคนา เป็นเพียงการอ้างอิงทางการคำนวณของเวลาเกิดเท่านั้นเอง

คุณสมบัติทางกำลังดาว และกำลังธาตุ เบื้องต้นเกิดจากธาตุในจักรวาลที่ส่งผ่านลัคนาเข้ามา ดังนั้น ธาตุดาวหรือ ปัจจัยใดที่ประพฤติตนเป็นแหล่งธาตุ และแหล่งพลังงานในดวงชะตาได้ ปัจจัยนั้นก็จะมีพฤติกรรมเสมือนเป็นลัคนา หรือ ที่เราเรียกว่า จุดเจ้าชะตา นั่นเอง อย่างเช่นที่เราทราบว่า ตนุลัคน์ ถือเป็นจุดเจ้าชะตา ก็เพราะเป็นเจ้าเรือนตนุที่ได้รับการถ่ายเทธาตุดาวมาจากเกษตรราศีที่เป็นเรือนตนุ ตนุเศษ ก็เป็น จุดเจ้าชะตาได้ เพราะ เป็นปัจจัยที่สัมพันธ์กำลังธาตุโดยเจ้าเรือน 2 ระดับ อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส เป็นแหล่งพลังงานธาตุในดวงชะตา ที่ธาตุอื่นจะมารับการถ่ายพลังงานได้ คล้ายลัคนา จึงเป็นจุดเจ้าชะตาไปด้วย ปัจจัยต่างๆ สารพัดที่เป็นจุดเจ้าชะตา ก็ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ ในการให้พลังงานธาตุ(เป็นส่วนมาก) หรือ ธาตุดาว ในทางใดทางหนึ่ง ทำให้กลายเป็นเหมือนลัคนาขึ้นมา ทั้งในดวงเดิมและดวงจร

จุดเจ้าชะตา จึงมีลักษณะเป็น 2 แบบ คือ จุดเจ้าชะตาที่เกิดประจำ และ จุดเจ้าชะตาชั่วคราว ซึ่งเป็นเรื่องราวมากมายอีกหลายหัวข้อ ที่หากจะเล่าก็อีกหลายตอนกว่าจะหมด จุดเจ้าชะตาที่เกิดประจำ นั้น จะหมายถึง ปัจจัยที่ได้รับ ธาตุและพลังงานที่ต่อเนื่องมาจากลัคนาไม่ขาดสาย ทำให้ตัวมันมีสภาพเป็นเหมือนจุดเจ้าชะตาไม่สิ้นสุด เช่น ตนุลัคน์ในดวงเดิม ส่วนจุดเจ้าชะตาชั่วคราวนั้น จะเกิดจากการได้รับธาตุและพลังงานเพียงช่วงเวลา หรือชั่วขณะหนึ่ง หรือ เกิดจากการมีอยู่ของธาตุและพลังงานสูงเกินกว่าปกติ อย่างใดอย่างหนึ่งในบางโอกาส มันจึงมีพฤติกรรมเป็นเหมือนจุดเจ้าชะตาที่เกิดจากเงื่อนไข เฉพาะเวลา

การพิจารณาจุดเจ้าชะตานั้น จะไม่เหมือนลัคนา เพียงแต่จะมีคุณสมบัติเพียงบางอย่าง เช่น ลัคนา สามารถสร้างเรือน และเจ้าเรือนได้ทั้ง 12 เรือน แต่พวกจุดเจ้าชะตา ไม่อาจสร้างเรือนได้ แต่ส่วนใหญ่จะสร้าง “ภพ” ที่เหมือนเรือนได้เพียงบางเรือน แต่จะไม่มีเจ้าเรือน หรือ หากมีดาวที่สัมพันธ์ถึงคล้ายเป็นเจ้าเรือน แต่คุณสมบัติก็จะแตกต่างจากเจ้าเรือนโดยลัคนามาก อีกอย่างหนึ่งก็คือ จุดเจ้าชะตาเหล่านี้มีตำแหน่งเกิดจากดาว หรือปัจจัย ที่เราเรียกง่ายๆว่า “จุด” ในขณะที่ลัคนาไม่ได้เป็นจุด และลัคนาเองเป็นทางผ่านของธาตุและพลังงานไม่ขาดสาย ในขณะที่จุดเจ้าชะตาส่วนใหญ่มีเพียงธาตุและพลังงานสะสมไว้เท่านั้น หากธาตุและพลังงานลดต่ำลง ก็ไม่แสดงตัวเป็นจุดเจ้าชะตาต่อไปอีก

พวกจุดเจ้าชะตาที่เกิดชั่วคราวนี้ บางโหราศาสตร์จึงเรียกว่า จุดอิทธิพล ซึ่งอันที่จริง จุดอิทธิพลอาจจะไม่เป็นจุดเจ้าชะตาก็ได้ เช่น พวกดาวที่เป็น อุจ เกษตร ดาวเด่น ดาวพักร มนฑ์ เสริด ซึ่งมักจะมีกำลังธาตุ กำลังดาว สูงต่ำอยู่ชั่วขณะ ก็อาจจะถือได้ว่าเป็นจุดอิทธิพลแบบหนึ่งซึ่งมีอยู่มากกว่า สำหรับดาวบางดวง เช่น อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส (หรือ จันทร์ ครุ สุริยา) ในดวงชะตา (ไม่ใช่ ในจักรวาล) ที่โหราศาสตร์ส่วนมาก ถือเป็นจุดเจ้าชะตานั้น เป็นธาตุดาวที่มีการสะสมพลังงานธาตุไว้มาก สามารถถ่ายเท หรือ เป็นแหล่งพลังงานให้ดาวอื่นได้ แต่ไม่ได้เป็นแหล่งของธาตุดาว เหมือนอย่างลัคนา ดังนั้น จุดเจ้าชะตาเหล่านี้ จึงไม่ได้ก่อเรือน การที่มีอาจารย์บางท่านมีมติให้ใช้ อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส แทนลัคนา แล้วตั้งเรือน ตั้งเกษตรดูเรือน จึงนับว่าผิดจากหลักทฤษฎี ดวงชะตา เพราะจุดเจ้าชะตาเหล่านี้ไม่ได้มีคุณสมบัติเป็นแหล่งธาตุเหมือนลัคนา นอกจากนั้น ดาวทั้งสามดวงนี้ ก็ยังต้องพิจารณาคุณสมบัติในการดำรงธาตุ และพลังงานอยู่ในดวงชะตา เพราะหากตัวมันอ่อนด้อยพลังงานลงในดวงชะตาใด หลักความเป็นจุดเจ้าชะตานี้ ก็ใช้ไม่ได้(เฉพาะ)ในดวงชะตานั้น ไม่ใช่ใช้ไปได้เรื่อยๆทุกดวงชะตา

ดังนั้น จึงอยากจะเน้นตรงนี้ว่า เมื่อพิจารณาดวงชะตาทั่วไป บางครั้งเราไม่อาจจะใช้หลักบางหลักได้ เพราะหลักเองก็มีข้อยกเว้น ที่เกิดจากเงื่อนไขคุณสมบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ การที่เราเรียนหลักจึงต้องรู้ข้อยกเว้นของหลัก ไม่เช่นนั้น การใช้หลักโดยไม่พิจารณาปัจจัยที่เป็นเงื่อนไข จะทำให้เกิดกรณีที่ทำนายไม่ถูก

จุดเจ้าชะตาที่เกิดชั่วคราวนี้ เป็นประโยชน์มากสำหรับพวกวิชาโหราศาสตร์ที่ใช้วงรอบธรรมชาติ เพราะวงรอบธรรมชาติ เป็นวงรอบของธาตุ และ/หรือ พลังงาน ซึ่งจะทำให้ธาตุดาวดวงใดดวงหนึ่งเด่นขึ้นมา ในช่วงเวลาหนึ่ง เช่น ตรีวัย ดาวเสวยอายุ เกณฑ์ชันษา ลัคนาจร เป็นต้น ก่อให้เกิดจุดเจ้าชะตาชนิดชั่วคราวขึ้นมาได้ แต่ก็ไม่ได้สร้างเรือน และเจ้าเรือน เหมือนอย่างลัคนาเดิมของเรา เรื่องนี้เป็นเรื่องรายละเอียดอีกยาวมาก แล้วแต่ชนิดของวงรอบธรรมชาติ หากมีโอกาส จึงจะอธิบายภายหลัง


วรกุล - 16 มีนาคม พ.ศ.2549 05:19น. (IP: 203.107.205.70)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียนอาจารย์วรกุล..เรื่องวงรอบธรรมชาติผมจะค่อยๆอ่านติดตามไปเรื่อยครับจะยังไม่ถามอะไรข้ามไปแต่จะกลับไปอ่านทบทวนสิ่งที่อาจารย์เขียนให้เข้าใจยิ่งขึ้นครับ...ยังมีอีกคำถามที่ผมสงสัยขออนุญาตถามย้อนกลับไปเรื่องการพยากรณ์ในส่วนที่ว่าด้วยนิทานโดยย่อของชีวิต...การตามเจ้าเรือนไปสองจังหวะนั้นทำให้เราทราบเรื่องราวต่างๆ(นิทานโดยย่อ) ว่าเป็นอย่างไร เช่น ลัคนาราศีมิถุน อ่าน ปุตตะ(มหาอุจจ์)-->กรรมะ(มหาอุจจ์)-->กดุมฎะ(เกษตร) เราก็พอจะทายโดยคร่าวๆได้ว่า การริเริ่ม/การเริ่มต้นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความพอใจที่เกี่ยวข้องกับดาวศุกร์เช่นบันเทิงเป็นต้นจะทำให้มีชื่อเสียงและรายได้จำนวนมาก...หากแต่ดาวในดวงชะตาได้มาตรฐานเกษตรมาก นิทานโดยย่อของชีวิตก็ดูเหมือนว่าจะอธิบายได้น้อยลงหรือสั้นลงไป เพราะไม่สามารถอ่านไปสองจังหวะหรืออ่านจังหวะถัดไปได้ ในกรณีที่เราอ่านตามไปไม่ได้แม้จังหวะเดียวหรือตามได้จังหวะเดียวก็ตาม เรามีวิธีการทายต่อไปอย่างไรครับเพื่อให้ได้รายละเอียดเนื้อหากว้างขวางเหมือนกรณีที่ตามอ่านสองจังหวะได้ ....เกี่ยวเนื่องกันเรื่องดาวลอยในเรือน ; จากกระทู้เก่า กรณีคุณบัวขาว ลัคนาราศีกรกฎ แล้วที่ราศีมกรเรือนปัตนิมีดาวลอยมาอยู่ถึงสามดวง ทำให้เราสามารถทายทักลักษณะคู่ครองได้เพิ่มเติมขึ้นมา...การมีดาวลอยในเรือนต่างๆทำให้เนื้อหาการพยากรณ์นิทานชีวิตโดยย่อกว้างขวางขึ้น...หากแต่ดาวในดวงชะตาได้มาตรฐานเกษตรมาก ทำให้การทายบางเรื่องราวที่ไม่สามารถอ่านตามไปสองจังหวะได้ และแถมเรือนนั้นไม่มีดาวลอยอีก เราจะมีวิธีการอ่านอย่างไร.. เราต้องอ่านตรีโกณ และจตุโกณประกอบด้วย ? ( ดาวa เป็น5กับดาวปัตนิ กับดาวa เป็น4กับดาวปัตนิ ทายต่างกันอย่างไร ? ).... เราต้องอ่านโยคหน้าโยคหลังด้วย? ( ดาวaโยคหน้ากับดาวปัตนิ กับ ดาวaโยคหลังดาวปัตนิ ทายต่างกันอย่างไร และหากกับตนุลัคน์ละครับ. )รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายชี้แนะแนวทางการอ่านด้วยครับ..... ศ.fa200


ศ.fa200 - 16 มีนาคม พ.ศ.2549 19:28น. (IP: 58.11.110.118)

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบ 2 คุณ ศ.fa200...........แสดงว่าคุณไม่ได้เรียนโหราศาสตร์ที่มีครูสอน การอ่านเรื่องที่มีดาวเกษตร จากลัคนาอ่านจังหวะต่อไปไม่ได้ เขาก็อ่านต่อจากตำแหน่งของตนุลัคน์แทนลัคนาเป็นจังหวะต่อไปนั่นเอง ส่วนกรณีที่อ่านเอารายละเอียดกว้างขวางหรือไม่ ไม่ได้เกี่ยวกับการอ่านจังหวะมากหรือน้อย การอ่านที่ตามไปสัมพันธ์กับเรือนอื่น แม้มีเรื่องมาก ก็เป็นเรื่องราวส่วนขยายให้มากขึ้น แต่หากไม่มีส่วนขยายก็แสดงว่าเรื่องมันเป็นไปตามครรลองของเรือนนั้นเอง เรื่องมันน้อยก็อ่านน้อย ชีวิตคนเราไม่ได้เหมือนกันทุกคนนี่ครับ สมมุติ คนคนหนึ่งเป็นทั้งนักกีฬา เล่นดนตรี ร่ำรวย เมียสวย จบปริญญาเอก เป็นนักการเมือง เป็นรัฐมนตรี ฯลฯ มีเรื่องราวหลากหลาย แต่อีกคนหนึ่งเป็นตาแก่ ทำไร่ทำนามาตลอดชีวิต วันพระก็ไปทำบุญที่วัดแค่นั้น แล้วจะเอาอะไรมาอ่านล่ะครับ

ส่วนการอ่านตรีโกณ จตุโกณอ่านยากขึ้น อย่างที่ผมตอบไว้ในความเห็นที่ 34 กระทู้ที่ 13 และเคยอธิบายไว้แล้วในกระทู้แรกๆ กับ ความเห็นที่ 37 กระทู้ที่ 13 เฉพาะในโหราศาสตร์ไทย ดาวที่เป็นตรีโกณกันจะช่วยทำให้ดาวมีกำลังเพิ่มขึ้น ส่วนดาวที่เป็นจตุโกณกันจะทำให้ธาตุเข้าร่วมสัมพันธ์กันได้เหมือนดาวกุมกัน แต่อ่อนกว่าดาวกุม อาจจะอ่านขยายเรื่องราวได้เหมือนดาวกุมกัน แต่ผู้อ่านก็ควรอ่านดาวเป็นอยู่ก่อนแล้วไม่อย่างนั้นจะยุ่งมากขึ้น ดาวโยคก็เหมือนตรีโกณแต่ให้กำลังอ่อนกว่าตรีโกณ ตอบแบบนี้มาหลายหนแล้ว การเรียนในระบบเรือนชะตาสัมพันธ์มักไม่ใช้ โยค ตรีโกณ จตุโกณ แต่โหรไทยระบบอื่นจะใช้ และโยค ตรีโกณ จตุโกณ ในโหราศาสตร์ไทยจะมีวิธีใช้ไม่เหมือนโหราศาสตร์ระบบอื่น (เช่น สากล ภารตะ) ซึ่งบางคนมักเข้าใจผิดเอาตำรามาปนกันเสมอ


วรกุล - 18 มีนาคม พ.ศ.2549 04:59น. (IP: 203.107.204.133)

ความคิดเห็นที่ 4
ถึงตอนนี้เราจะออกนอกดวงชะตาชั่วคราว เพื่อไปดูธรรมชาติอีกธรรมชาติหนึ่ง คือ วงรอบธรรมชาติ เมื่อกล่าวถึง วงรอบธรรมชาติ ได้เคยเล่าให้ฟังมาบ้างแล้ว ว่าธรรมชาติของเรานี้มีลักษณะที่แปรปรวนอยู่เป็นวัฏจักรที่ซ้อนกันอยู่จำนวนมาก แต่ละวงรอบวัฏจักรอาจจะยาวนานนับหมื่นปีเลยก็ได้ หรืออย่างสั้นๆก็แค่เพียงอึดใจเดียว ดังนั้น การนำวงรอบธรรมชาติมาใช้ จึงมีข้อพิจารณาหลายอย่าง เช่น ต้องมีอายุวงรอบอยู่ในช่วงอายุที่ทำนาย หรือใกล้เคียง ต้องมีปัจจัยร่วมอยู่ในวิธีธรรมชาติที่ใช้ทำนาย ต้องตรวจวัดคำนวณได้แม่นยำพอ เช่นนี้เป็นต้น เพราะหากเราไปนำวงรอบธรรมชาติที่ไม่เกี่ยวข้องเลยมาวิเคราะห์วิจัย ก็ไม่สื่อความหมายถึงความเป็นไปของชีวิตที่เราต้องการทราบ อย่างสมัยโบราณ ที่ใช้การโคจรของดาวเคราะห์มาเพื่อการทำนายชีวิต ก็เพราะวงรอบเหล่านี้อยู่ในช่วงอายุของมนุษย์นั่นเอง อย่างเสาร์ที่โคจรรอบละ 30 ปีโดยประมาณ ในขณะที่มนุษย์อายุราวๆ 100 ปี ก็จะทำให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกัน ดีกว่าใช้ยุคน้ำแข็งที่ยาวนานหลายร้อยล้านปีมาทำนาย

วงรอบธรรมชาติที่เลือกมาใช้ทางโหราศาสตร์ ดังที่เคยบอกแล้วว่า ส่วนใหญ่ก็เป็นธรรมชาติที่มีการเกิด และดับ ตรวจวัดได้ เช่น วัน เดือน ปี หรือ การโคจรของดวงดาว เนื่องจากวงรอบเหล่านี้มีสิ่งที่ตรวจสังเกตได้แม่นยำพอสมควร วงรอบธรรมชาติเหล่านี้ เมื่อนำมาใช้ทำนาย เราจะเห็นได้ว่า มีเพียงแต่ช่วงเวลาที่ปรากฏเท่านั้นโดยไม่มีสิ่งอื่นใดอยู่เป็นส่วนย่อยของวงรอบ ดังนั้น การที่จะซอยแยกย่อยลงไป จึงใช้วิธีเทียบ ให้เกิดเสกลตามเวลาที่ตรงกัน โดยถือว่า ธรรมชาติเหล่านี้ย่อมมีความเกิดดับในแต่ละรอบสมนัยกัน อย่างเช่น สมมุติว่าเรามีวงรอบวัฏจักรของ ปัจจัย a b c d e f จำนวน 6 ปัจจัยในหนึ่งรอบ ซึ่งถ้าหากปัจจัยเหล่านี้ เป็นรอบการหมุนวนของปัจจัยทางโหราศาสตร์เช่น ธาตุ หรือ ดาว ด้วย เราก็อาจจะเทียบหาระยะเวลาที่แต่ละธาตุมีอิทธิพลอยู่ในช่วงเวลาหนึ่งได้ เช่น หากเทียบหนึ่งรอบวัน เท่ากับ 24 ขั่วโมง ก็จะได้ปัจจัยละ ราวช่วงละ 4 ชั่วโมง เป็นต้น

วงรอบธรรมชาติที่นำมาใช้ในโหราศาสตร์ไทย จะมีปัจจัยที่เป็นองคประกอบอยู่ 2 แบบ อย่างหนึ่งคือ วงรอบของธาตุ และ อีกอย่างหนึ่ง คือวงรอบของพลังงาน พวกเราที่อ่านกระทู้นี้มาในตอนก่อนๆ คงจะคุ้นชินกับคำสองคำนี้ในดวงชะตามาแล้ว การที่มาพบในวงรอบธรรมชาติเข้าอีก จึงไม่น่าแปลกใจ และก็คงจะเดาถูกว่าเหตุใดจึงเลือกปัจจัยสองอย่างนี้ เนื่องจาก การเลือกใช้วงรอบธรรมชาติที่มีปัจจัยสองแบบนี้ จะสอดคล้องกับ ธาตุ และพลังงานในดวงชะตานั่นเอง อันที่จริงรอบธรรมชาติยังมีอีกหลายชนิดที่นำเอามาใช้ทำนายกัน โดยไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับดวงชะตาราศีจักรที่ใช้ดวงดาวเลยก็มี แต่จะเป็นวิชาโดยใช้วงรอบล้วนๆ เพียงแต่ใช้ชื่อธาตุเป็นชื่อเดียวกับดาว เพราะสองอย่างนี้ถูกบัญญัติให้มีชื่อตรงกัน

วงรอบของธาตุ เกิดจากธาตุนั่นเองที่เปลี่ยนคุณสมบัติไป เช่น ธาตุ a เปลี่ยนเป็น b แล้วเปลี่ยนเป็น c .......ไปเรื่อยๆ การเปลี่ยนของธาตุนี้ ส่วนใหญ่จะเกิดเพราะความแปรปรวนของคุณสมบัติ เนื่องจากปัจจัยต่างๆมามีผลต่อมัน ทำให้มันเปลี่ยนคุณสมบัติบางอย่างไป อาจจะเป็นธาตุเดิมที่เปลี่ยนสภาพ (เช่น ต้นไม้ที่เปลี่ยนไปใน สี่ฤดู) หรือ ธาตุหลายอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอุนุกรมต่อเนื่องกันก็ได้ ในธรรมชาติของเรามีความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้อยู่เป็นนิจ นับไม่ถ้วน วิชาพยากรณ์หลายอย่างจึงนำเอาธรรมชาติเช่นนี้มาใช้ทำนายได้ ส่วนวงรอบของพลังงาน อันที่จริง พลังงานก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่ง แต่พลังงานเองนั้นมีวงรอบของตัวมันเองที่ตรวจวัดได้ และธาตุเองต้องใช้พลังงาน เมื่อนำวงรอบของพลังงานมาใช้ จึงสามารถพยากรณ์วงรอบของธาตุที่ใช้พลังงานได้ดีกว่า เพราะมีปัจจัยที่แน่นอนสองอย่างมาใช้ตรวจสอบ และที่สำคัญยิ่งก็คือ ปัจจัยที่เกิดวงรอบทั้งสอง เป็นเช่นเดียวกับดวงชะตา เราจึงนำมาปรับใช้ในดวงชะตาได้ วงรอบธรรมชาติที่ซ้อนระหว่างธาตุและพลังงานเช่นนี้ จึงนำมาใช้ทำนายได้เป็นวิธีที่เป็นเอกเทศ เช่น วงรอบประเภทนี้ที่รู้จักกันดี ก็คือ มหาทักษา นั่นเอง

การใช้วงรอบตั้งแต่สองชนิดขึ้นไป มาซ้อนประกบกันเพื่อหาธรรมชาติที่แท้ในการเทียบกับธรรมชาติอื่นมีในโหราศาสตร์ไทยมานานแล้ว บางเทคนิคใช้วงรอบถึง 12 ชั้นก็มี แต่ที่ใช้กันมากในดวงชะตาจะเป็นแบบ 2 วงรอบ โดยจะต้องใช้วงรอบหนึ่งเป็นฐาน แล้วใช้อีกวงรอบหนึ่งเป็นตัวเคลื่อน หรือ ตัวทำงาน โดยมีกาลจักรที่พิจารณาโดยช่วงชีวิตคนเรา ว่ามีอัตราก้าวหน้าคงที่ สำหรับพวกที่ใช้วงรอบมากๆ มักจะเพิ่มจำนวนวงรอบฐาน โดยใช้ตัวเคลื่อนวงรอบชนิดเดียว เป็นเทคนิคในการใช้วงรอบของวิชาจำพวกวงรอบธรรมชาติ ซึ่งเป็นวิชาใหญ่ๆ นอกเหนือจากวิชาดวงชะตาราศีจักร

เนื่องจากวงรอบพลังงานล้วนๆ ไม่ได้เป็นตัวหลักของเนื้อหาของธาตุในการทำนาย แต่พลังงานนั่นเองที่เป็นสิ่งที่ทำให้ธาตุทำงาน เราลองนึกถึงไฟราว คือไฟประดับที่ติดทีละดวงเรียงต่อกันไป เมื่อเราป้อนไฟให้แก่ดวงใด ดวงนั้นก็จะติดไฟสว่าง ดังนั้น เมื่อมีวงจรธรรมชาติของธาตุที่ต้องใช้พลังงาน ธาตุที่ใช้พลังงาน จะมีโอกาสทำงานก็เมื่อมีพลังงานป้อนมาถึงมัน อย่างมหาทักษานั้น ก็เป็นวงรอบสองอย่างซ้อนกันอยู่ วงรอบแรกก็คือ วงรอบของอนุกรมธาตุในธรณี ๑ ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ ๖ เป็นวงรอบของธาตุที่เปลี่ยนไป ตั้งเป็นฐาน แต่ตัวเคลื่อน หรือ การทำงานของวงรอบนั้น เกิดจากวงรอบของพลังงาน ที่หมุนวนมากระตุ้นให้ธาตุเกิดกำลังสูงพอที่จะทำงานได้ เป็นลำดับกัน เราจึงใช้ทักษาจร และเทวดาเสวยอายุ ได้จากวงรอบพลังงานที่หมุนวนไปตามวงจรของธาตุนั่นเอง แต่การหมุนวนเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเท่านั้น เมื่อนำวงจรของธาตุในธรณีมาใช้ในดวงชะตา วงจรหมุนวนของพลังงานธาตุจึงกระตุ้นเปลี่ยนไปตามธาตุดาว เนื่องจากธาตุถูกถ่ายเทเข้าสู่ระบบของดวงชะตา ดังนั้น เราจึงสามารถใช้ระบบธาตุในธรณีกับดวงชะตาได้ เพียงแต่ต้องปรับระยะเวลาระหว่างวงรอบเท่านั้น

(ทักษาจรปี กับ เทวดาเสวยอายุ ไม่เหมือนกันทีเดียว เป็นตัวอย่างหนึ่งของการที่ใช้วงรอบฐาน (คือ อนุกรมธาตุ) เหมือนกัน แต่ ใช้วงรอบตัวเคลื่อนของพลังงานต่างกัน เป็นอีกลักษณะหนึ่ง และเป็นคุณลักษณะของวิชามหาทักษา ซึ่งเป็นวิชาใหญ่วิชาหนึ่ง)

ในเมื่อวงรอบของพลังงานเองเพียงลำพัง ไม่ได้เป็นตัวบอกเหตุการณ์ แต่มันจะกระตุ้นธาตุในวงจร และดวงชะตาอีกต่อหนึ่ง ดังนั้น การจะเกิดเหตุการณ์ใด จำเป็นต้องพิจารณาตัวธาตุในดวงชะตาเอง ไม่ใช่ จากวงจรพลังงานและธาตุในมหาทักษา อย่างที่เราทราบแล้วว่า ธาตุดาวในดวงชะตาขณะใดขณะหนึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบหลายอย่างในดวงชะตา เราจึงพบว่า หลายครั้ง ธาตุดาวไม่ได้มีปฏิกิริยาทำงานเกิดขึ้น ทำให้ดูเหมือนการใช้ทักษาจรไม่ได้ผลอยู่บ่อยครั้งนั่นเอง เมื่อปัจจัยในดวงชะตาเป็นส่วนสำคัญในการตัดสินการเกิดปฏิกิริยาและเหตุการณ์ จึงทำให้อาจารย์บางสายตัดทักษรจรออกจากการพิจารณาไปเลย แต่การใช้มหาทักษาจรยังคงแม่นยำได้อยู่ หากเข้าใจและใช้เป็น

วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากธาตุและพลังงานนี้ เป็นส่วนสำคัญมากต่อการกำหนดวัย มากกว่าจะใช้ทำนายจร เพราะวงรอบนั่นเองแสดงความเปลี่ยนแปลงไปตามอายุของธาตุ ซึ่งสอดคล้องกับชีวิตของมนุษย์ การกำหนดวัย จึงเป็นการกำหนดฐานระดับธาตุและพลังงานในช่วงอายุหนึ่ง มีผลทำให้ระดับธาตุในดวงชะตานั้นสูงพอที่จะเกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องตลอดวัยหนึ่งๆได้ หรือ อย่างน้อยก็จะเป็น ปัจจัยสำคัญในดวงชะตาตลอดช่วงวัยนั่นเอง


วรกุล - 23 มีนาคม พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.205.48)

ความคิดเห็นที่ 5
เรียนท่านอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ดิฉันมีเวลาพัก 2 อาทิตย์ เข้ามาขอคำทำนายและแนะนำจากอาจาย์ศุภกร แล้วเลยมาอ่านของอาจารย์ ยากมากค่ะ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ข้อความอันไหนอ่านไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจก็ไม่อ่าน(โดยเฉพาะเรื่องธาตุและวงรอบธรรมชาติที่อาจารย์อธิบาย อ่านอย่างไรก็ไม่รู้เรื่อง ข้ามไปเลยค่ะ) อ่านที่ง่ายๆพอจะรับรู้ได้ แต่มีคำถามที่ขอคำอธิบายจากอาจารย์ค่ะ 2 ข้อนะคะ

1.ขณะนี้ที่เกิดสุริยคราสในราศีมีน คนที่ได้รับผลคือคนที่อยู่ราศีมีนกับราศีตรงข้ามคือกันย์ใช่ไหมคะ แล้วทีนี้ถ้าคนทั้ง 2 ราศีนี้ไม่ได้อยู่ที่ประเทศไทย สุริยคราสที่เกิดขึ้นส่งผลตามมายังคนที่ออกจากประเทศไทยไหมคะ

2.คู่ครองที่อายุมากกว่าเรา ในความหมายทางโหราศาสตร์หมายถึงมากกว่ากี่ปีจึงจะใช้ได้คะ

ขอใช้ชื่อใหม่นะคะ

กราบขอบพระคุณค่ะ


แก้วตา - 1 เมษายน พ.ศ.2549 04:28น. (IP: 68.107.18.16)

ความคิดเห็นที่ 6
ตอบ 5 คุณแก้วตา.........1 / สุริยคราส หรือ คราส เกิดที่ไหนก็แล้วแต่ คนที่ได้รับผลก็เป็นทั้ง 12 ราศี สุดแต่ว่า ราศีที่ถูกคราส และราศีที่ถูกผลกระทบอื่นๆเป็นอะไร ในดวงชะตาของคนเรา เรือนชะตาสัมพันธ์ไปถึงเรือนไหน เรือนนั้นก็มีผลด้วย คำว่า “มีผล” ไม่ได้แปลว่า มีผลเสีย ดวงที่ถูกคราส อาจจะมีผลดีได้รับโชค ชัยชนะก็ได้ คนอยู่ที่ไหนถ้าคนคนนั้นเกิดในโลก ก็รวมอยู่ในจักรราศีนี้ทั้งนั้นไม่ว่าประเทศไหน ประเทศอะไรก็ไม่เกี่ยว 2 / เรื่องนี้ไม่ได้มีหลักเกณฑ์แน่นอน หากเป็นโหราศาสตร์ทั่วไป ถือว่าอายุฝ่ายใดมากกว่า เกิน 5 ปี ถือว่าคู่อายุมาก หากอายุเกิน 9 ปีขึ้นไป ถือว่าได้คู่แก่ ทั้งชายและหญิง แต่ธรรมเนียมไทยทั่วไปถือว่าหากชายอายุมากกว่าหญิงสัก 3 ปี ถือว่ายังเท่ากันอยู่ เพราะการครองคู่ มักถือว่าชายจะแก่กว่า หากเกินกว่านั้นจึงถือว่าอายุมากกว่า

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

สัปดาห์นี้ไม่มีข้อเขียนโหราศาสตร์ เพราะดูชะตาบ้านเมืองแล้วสลดใจ และเสียใจ พูดเขียนอะไรไม่ได้ ผมป่วยทางกายอยู่ด้วย ขอเวลาพักหลบอยู่ในสมาธิไม่ให้จิตตก


วรกุล - 2 เมษายน พ.ศ.2549 04:53น. (IP: 203.107.205.101)

ความคิดเห็นที่ 7
ขอให้ อ.วรกุล สุขภาพแข็งแรงเร็ววัน...

ตัวหนูน้อยเอง ช่วงนี้คงจิตตก ฝึกจิต และวางเฉยไม่ค่อยได้(ในเรื่องส่วนตัว) ส่วนบ้านเมืองในความรู้สึกผมจากการรับฟังข่าวสารแล้ว กลัวจังตอนนี้คงต้องยอมรับความจริงว่าบ้านเมืองเราแตกแยกจริงๆ (ทางความคิด)เรื่องมันจะยุติแค่นี้ได้ไหม หากเป็นเช่นนี้ต่อไป การสมานฉันท์จะใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ตอนนี้ดูๆแล้วคล้ายๆ คนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเองเลย


หนูน้อย - 3 เมษายน พ.ศ.2549 17:41น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 8
เรียนท่านอาจารย์วรกุลที่เคารพ

กราบขอบพระคุณค่ะ ขอให้อาจารย์หายป่วยในเร็ววันและสุขภาพแข็งแรง มีความห่วงใยบ้านเมืองเหมือนคุณหนูน้อย


แก้วตา - 4 เมษายน พ.ศ.2549 01:43น. (IP: 68.107.18.16)

ความคิดเห็นที่ 9
เหตุบ้านการเมืองหลังจากวันที่นายกทักษิณประกาศไม่รับตำแหน่งนายก(4เมษายน) ดูเหมือนว่าจะลดระดับความรุนแรงลดไป..(?) .... หลังจากเดือนกรกฏาคมไปแล้ว(พ้นผ่านวันเกิดท่านนายก)เหตุบ้านการเมืองน่าจะดีขี้น (?)...หวังเอย..หวังว่า......


ศ.fa200 - 6 เมษายน พ.ศ.2549 18:06น. (IP: 125.24.9.11)

ความคิดเห็นที่ 10
นานๆจึงมีโอกาสเข้ามาอ่าน

ก็ขอให้ท่านอ.วรกุลหายป่วยไวๆ ด้วยอานุภาพแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยอันไม่มีประมาณ สาธุ


นร. - 10 เมษายน พ.ศ.2549 03:52น. (IP: 124.120.145.177)

ความคิดเห็นที่ 11
กราบสวัสดีปีใหม่ไทยค่ะ

อ่านจากด้านบน ทราบว่าอาจารย์ไม่ค่อยสบาย ขอให้สุขภาพแข็งแรงหายป่วยไว ๆ นะคะ และขออำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยคุ้มครองให้อาจารย์และครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญค่ะ


เอวิตรา - 12 เมษายน พ.ศ.2549 08:35น. (IP: 58.136.203.55)

ความคิดเห็นที่ 12
กราบอธิษฐานขอพรพระรัตนตรัย ให้อาจารย์และครอบครัว มีความสุข และขอให้อาจารย์หายจากความเจ็บไข้ได้ป่วย มีสุขภาพแข็งแรง มีพลังกาย พลังใจเต็มเปี่ยม ในการเป็นต้นแบบของไม้ค้อมที่คอยให้ความเมตตากรุณาสั่งสอนลูกน้อมทั้งหลายนี้ ไปนานแสนนานค่ะ ขอบุญบารมีของอาจารย์คุ้มครองลูกศิษย์ด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 12 เมษายน พ.ศ.2549 11:12น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 13
กราบสวัสดีปีใหม่ไทย ร.ศ.224แด่อ.วรกุล...

และ สวัสดีปีใหม่ไทย พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ที่รวมกันอ่านบทความและแสดงความคิดเห็น ขออวยพรให้สุขสมหวัง ดังปรารถนาเทอญ

สง......กรานต์มาถึงแล้ว..........เร็วไว

กราน..กราบทานน้ำใจ..........จรดหล้า

สี่........พรหมวิหารไข............ข้อข้อง...หมองจิต

เกล้า....จบนพวันทา..............เทียมแทบ...แนบใจ


หนูน้อย - 12 เมษายน พ.ศ.2549 13:16น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 14
ขออ้างอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกสถานในสากลโลก เพื่อโปรดอำนวยพรให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในชีวิตและสมหวังในสิ่งอันควรปรารถนา ขอให้มีความสุขสมบูรณ์ อุดมทรัพย์โภคา มีปัญญาอันเลิศ มีลาภยศอันประเสริฐ ขออย่าได้มีทุกข์กายทุกข์ใจเลย ตลอดรอบปีมหาสงกรานต์นี้

0000000000000000000000000000000000000000000000

ผมไม่ได้เจ็บป่วยเป็นอะไรมาก แต่สังขารเสื่อมไปตามวัย พักผ่อนไม่ค่อยพอเพราะนาฬิกาชีวภาพในตัวมักจะรวน ตื่นๆหลับๆควบคุมยากเหมือนคนอายุมากทั่วไปทำให้ร่างกายไม่สบาย ทั้งยังต้องใช้ความคิดหลายอย่างเลยต้องพักสมองให้มาก การเขียนโหราศาสตร์ที่นี่เขียนได้ยาก บางอย่างก็ไม่ควรเปิดเผยในที่สาธารณะ ยิ่งดูชะตาบ้านเมือง และดูความคิดคนที่เรียนโหรสมัยนี้แล้ว ยิ่งไม่อยากจะเขียนอีก พอจะเขียนแล้วใจจะพักนิ่งวางเฉยอยู่ทุกที เลยเขียนต่อไม่ได้


วรกุล - 13 เมษายน พ.ศ.2549 08:08น. (IP: 203.107.203.3)

ความคิดเห็นที่ 15
สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์วรกุล ด้วยอำนาจของพระศรีรัตนตรัย โปรดอำนวยพระให้อาจารย์มีความสุขมาก ๆ นะครับ


เฟรด - 13 เมษายน พ.ศ.2549 08:13น. (IP: 58.8.190.52)

ความคิดเห็นที่ 16
ขอพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณอำนวยพรให้อาจารย์ดำรงชีวิตอยู่ด้วยความร่มเย็น ดีงาม สุขภาพแข็งแรงเป็นที่พึ่งของผู้คนในบ้านเมืองเช่นเดียวกับที่เคยเป็นมา ขอให้ความร้อนจากอากาศและจากภาวะการณ์ทางการเมืองไม่สามารถส่งผลกระทบในทางบั่นทอนกับทั้งร่างกายและจิตใจของอาจารย์ได้ค่ะ


ดาว - 20 เมษายน พ.ศ.2549 19:58น. (IP: 202.57.139.129)

ความคิดเห็นที่ 17
คิดถึงอาจารย์วรกุลจังครับ หวังว่าอาจารย์คงสบายดีผมยังคิดถึงอาจารย์เหมือนเคยนะครับ


เฟรด - 27 เมษายน พ.ศ.2549 17:12น. (IP: 58.8.191.175)

ความคิดเห็นที่ 18
คิดถึงอาจารย์วรกุลเหมือนกันคะ อาจารย์หายไปไหนคะ


moon - 2 พฤษภาคม พ.ศ.2549 21:32น. (IP: 124.121.123.177)

ความคิดเห็นที่ 19
ยังอยู่สบายดีครับ แต่ไม่อยากเขียนอะไรเท่านั้นครับ


วรกุล - 3 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:54น. (IP: 203.107.203.241)

ความคิดเห็นที่ 20
ผมจะรอวันที่อ. วรกุลกลับมาเขียนอีกครั้งนะครับ


โกวเล้ง - 4 พฤษภาคม พ.ศ.2549 19:31น. (IP: 134.28.65.12)

ความคิดเห็นที่ 21
ผมยังไม่ค่อยมีเวลา ต้องเอาเวลาที่พักผ่อนมาเขียน เวลาที่มีเหลือทำอะไรส่วนตัวก็มีน้อยมาก การเขียนเรื่องโหราศาสตร์ถ้าเขียนเรื่องทั่วๆไปก็ต้องเขียนกว้างๆ เพราะหากพอลงลึกไปในประเด็นที่สำคัญ ก็ต้องมีที่มาของหลักการ มิฉะนั้น จะดูเลื่อนลอยมากไปเหมือนกับพูดเพ้อเจ้อ จะจับข้อความตรงไหนมาก็จะกลายเป็นเรื่องเหลวไหลไปทั้งนั้น ครั้นจะเขียนอธิบายทฤษฎีอะไรให้เข้าใจก่อน ก็ต้องใช้เวลามาก สู้พูดปากเปล่าไม่ได้ เลยคร้านๆที่จะเขียน และอีกอย่างที่สำคัญมากก็คือ ไม่รู้จะเขียนให้ “ใคร” อ่าน ระดับความรู้แค่ไหน อ่านแล้วพอถูกถาม ก็ไม่อยากตำหนิคนที่ถาม เพราะเขียนแล้วไม่เคลียร์ก็ต้องถาม ถามเพราะไม่รู้ ไม่ตอบก็ไม่ดี

ที่จำเป็นต้องเล่าทฤษฎีมาบ้าง ก็เพราะเปิดทางเกี่ยวกับเรื่องที่จะเขียนได้มากขึ้น ไม่ถูกจำกัดอยู่กับเรื่องเดิมๆที่พวกเราเรียนกันอยู่แล้ว ไม่ใช่เพราะต้องการเขียนวิชาธาตุ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ดวงชะตาที่เราผูกขึ้นนั้นเป็นแผนภูมิของชีวิต เราควรรู้ว่า ดวงชะตาของแต่ละคนมีพลังงานในดวงชะตาไม่เท่ากัน และดวงชะตาของมนุษย์ก็มีพลังงานมากกว่าสัตว์ ดังนั้น แม้เราจะผูกดวงชะตาแต่ละชีวิตได้ดาวทั้ง 10 ดวงเหมือนกัน แต่พลังงานในดาวแต่ละดวง และพลังงานของดวงชะตาโดยส่วนรวมของแต่ละคนจะไม่เหมือนกันเลย

ดวงชะตาที่มีพลังงานสูง มักจะเป็นคนสำคัญ หรือมีชื่อเสียงทั้งทางดีหรือไม่ดี ส่วนคนที่มีพลังงานต่ำ จะแสดงความหมายออกมาไม่ได้ดี คนที่ใกล้จะตายเพราะหมดอายุ พลังงานในดวงชะตาจะมีน้อยมาก เมื่อพลังงานลดลงจนไม่อาจดำรงความสัมพันธ์ของธาตุอยู่ได้ ชีวิตก็สิ้นสุดลง พวกดวงชะตาที่พลังงานน้อยมักจะเกิดเป็นสัตว์ เพราะดวงชะตาของสัตว์นั้น ธาตุของมันจะมีพลังงานไม่ครบในทุกเรื่องของชีวิต ดังนั้น การที่มีหมอดูบางคนสร้างความฮือฮาด้วยการผูกดวงหมาแมวมาทำนายทายทัก จึงเป็นเครื่องแสดงว่า เขาไม่มีความรู้จริง เพราะหากจะผูกดวงชะตาหมาแมว (ซึ่งทำได้เพราะเป็นสิ่งมีชีวิต) จะต้องใช้กฏเกณฑ์ที่แตกต่างจากดวงชะตาคนโดยทั่วไป

ผมเคยเขียนเรื่องพลังงานธาตุมาหลายตอนแล้ว พลังงานมีส่วนสำคัญในการดำรงอยู่ของธาตุในดวงชะตา โหราศาสตร์ไทยถือการดำรงอยู่ของธาตุในดวงชะตาเป็นสิ่งสำคัญมาก อย่างที่เคยบอกแล้วว่าระบบธาตุในธรรมชาติ ได้แก่ ระบบธาตุจากดาวฤกษ์ ระบบธาตุในจักรวาล ระบบธาตุในธรณี และ ระบบธาตุในบรรยากาศ จะมีผลต่อธาตุในดวงชะตา ระบบธาตุในดวงชะตา นี้จึงเป็นเหมือนส่วนที่เป็นหัวใจของระบบทั้งหมด ทั้งนี้เพราะมันเป็นเครื่องแสดง และวัดสถานภาพของชีวิตมนุษย์ หากเราเข้าใจดวงชะตาได้ เราก็อาจจะเข้าใจปรากฏการณ์ที่เกิดกับชีวิตได้ โหราศาสตร์มอง “ธรรมชาติ” ว่าเป็นองค์ประกอบของธาตุหลายชนิด โดยที่ธาตุแต่ละชนิดมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่น ธาตุที่ผมเลือกจัดกลุ่มมาในการศึกษาดวงชะตาแบบไทย มี 8 ชนิด ได้แก่ พลังงานธาตุ เกษตรธาตุ ธาตุดาว สภาวะธาตุ วัตถุธาตุ ธาตุดาวและเกษตรธาตุในดวงชะตา ชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ ธาตุแต่ละธาตุที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันนั้น ล้วนใช้พลังงานธาตุไม่เหมือนกัน แม้ในธาตุเดียวกัน แต่ต่างสถานะ เช่น เป็น อุจนิจ หรือ เป็นเกษตรประ ก็มีพลังงานที่แตกต่างกัน

ที่เรามักนำมาใช้ในการพยากรณ์ เช่นเราลองสมมุติว่ามีดวงชะตาดวงหนึ่งมีดาวศุกร์กุมลัคนา โดยที่ยังไม่ดูธาตุดาวอื่นๆ สมมุติว่าเจ้าของดวงชะตาเป็นผู้หญิง เมื่อศุกร์กุมลัคนาเช่นนี้ หญิงผู้นี้ควรจะเป็นสาวงาม รูปร่างมีเสน่ห์ เป็นที่น่าชอบพอและนิยมชมชอบจากบุคคลทั่วไป รวมทั้ง มีฐานะร่ำรวย มีโชค มีสมบัติโภคทรัพย์มาก อาจจะมีอาชีพเป็นนักแสดง เป็นนางเอก นิสัยนุ่มนวลดี อ่อนโยน ชอบศิลปะ แต่ถ้าหากตามข้อเท็จจริง เมื่อนำเอาดวงชะตาคนที่ศุกร์กุมลัคนาหลายๆคนมาเปรียบเทียบกันดู บางคนอาจจะเป็นคนขี้เหร่ นิสัยเลวร้าย หลายคนเป็นคนจน ทำอะไรหยาบกระด้าง เมื่อจับเอาสถิติหลายๆคนเข้า ผู้พยากรณ์เองก็จะเกิดความไม่มั่นใจ และสงสัย เพราะไม่แน่ใจว่า ดวงชะตาที่ศุกร์กุมลัคน์ที่เห็นต่อไปนั้น จะมีรูปร่าง และนิสัยใจคอเป็นอย่างใด

หากอธิบายตามภพภูมิของธาตุ ธาตุของดาวศุกร์ที่เราเห็นกุมลัคนาในแต่ละคนนั้นจะมีพลังงานธาตุอยู่ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อม ดังนั้น ความหมายของศุกร์ที่แสดงออกมาจึงแตกต่างกัน พลังงานที่อ่อนที่สุดของธาตุดาวอยู่ในชั้น นามธาตุ คือธาตุของจิตใจและอารมณ์ ดังนั้น อย่างน้อยบุคคลที่ศุกร์กุมลัคน์ จะมีจิตใจ และอารมณ์ตามความหมายของศุกร์ พลังงานส่วนที่สูงขึ้นมาเป็น รูปธาตุ ที่แสดงออกเป็นกายที่ปรากฏ ดังนั้น จึงมีเพียงบางคนที่ดาวศุกร์มีพลังงานมากกว่าเท่านั้น ที่จะมีรูปสวยงามได้ ชั้นภูมิที่สูงขึ้นมาอีก เป็น ธาตุสังเคราะห์ หรือ ปฏิกิริยา ที่มีบทบาทต่อความสัมพันธ์กับผู้อื่น และ ชั้นภูมิสูงที่สุดคือการแสดงออกของเหตุการณ์ ที่จะอำนวยให้มีสมบัติและโภคทรัพย์มากได้ เราจึงเห็นได้ว่า การวิเคราะห์ว่าธาตุดาวแต่ธาตุเป็นเช่นใด จึงสามารถชี้ได้ว่า จะพยากรณ์ดวงชะตาที่ เกิดจากดาวในราศีหนึ่งๆไปอย่างใด

หากเราตั้งข้อสังเกตว่า ถ้าหากเป็นไปตามย่อหน้าที่แล้ว เหตุใด คนที่มีศุกร์กุมลัคน์บางคน มีหน้าตาสวยงามน่ารัก แต่กลับมีนิสัยใจคอร้ายกาจ จะไม่ขัดกับทฤษฎีทางธาตุหรือ เพราะการที่ธาตุจะแสดงออกทางรูปได้ ควรจะต้องมีพลังงานมากกว่า นามธาตุคือนิสัยใจคอ เรื่องนี้ในชั้นต้นเกิดจากภูมิธาตุในระดับนามธาตุนั่นเองที่มีปัจจัยทำลายให้เสียไป แต่ภุมิธาตุในระดับรูปธาตุยังมีกำลังดีอยู่ ทั้งนี้เพราะธาตุดาวในดวงชะตาไม่ได้เป็นอิสสระ แต่ขึ้นอยู่กับธาตุดาวอื่นๆที่สัมพันธ์ถึง และ ยังขึ้นอยู่กับพลังงานของดวงชะตาในขณะที่ถือกำเนิดขึ้นมา พลังงานธาตุในดวงชะตากำเนิดนี้ เป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างกรรม และ โครงสร้างธาตุ ในดวงชะตา ที่แก้ไขได้ยาก แม้จะได้รับพลังงานจากดวงชะตาจรก็จะเป็นคนละส่วนกัน ไม่อาจจะเข้าไปแก้ไขให้ดีได้มากนัก

มีเรื่องในดวงชะตาอีก 2 เรื่องที่จะยกเป็นอุทาหรณ์ อย่างเช่น เราจะเคยพบเสมอๆว่า คนที่พิการมาแต่กำเนิดบางคน ธรรมชาติมักจะชดเชยให้เก่งพิเศษในเรื่องอื่นๆชดเชยกัน เช่น คนที่ตาบอดพิการ หลายคนมีประสาทสัมผัสอื่น หรือ ความสามารถอื่นที่ดีเยี่ยมเกินกว่าคนทั่วไป ทั้งนี้ก็เพราะดาวอาทิตย์ และ จันทร์ ที่มีความหมายตามดวงชะตา หมายถึง ดวงตา นัยน์ตา เมื่อเสียไปในชั้นรูปธาตุขึ้นไป พลังงานที่มีอยู่สูงในดาวอาทิตย์ และจันทร์ (ซึ่งปกติเป็นดาวที่เป็นแหล่งพลังงานธาตุอยู่แล้ว) ที่แสดงออกในธาตุดาวตนเองไม่ได้ จะถูกส่งระบายถ่ายเทออกไปยังดาวอื่นที่สัมพันธ์ถึง ทำให้แสดงออกได้รุนแรง เช่น หากสัมพันธ์ถึงดาวศุกร์ ก็ทำให้มีความสามารถทางศิลปะ หรือดนตรี สูงขึ้นผิดปกติ หรือหากสัมพันธ์ถึง พุธ พฤหัส ก็อาจจะมีปัญญาดี เกินกว่าคนทั่วไป

สำนวนคำพังเพยจีน มักจะกล่าวประชดประชันบางคนที่ฉลาดมีเล่ห์เหลี่ยมว่า “ฉลาดเหมือน (คนที่)กำพร้าไม่มีพ่อแม่สั่งสอน” เพราะสังเกตว่า คนที่เป็นกำพร้าอาภัพบิดามารดา มักจะเฉลียวฉลาด นี่ก็คล้ายกับกรณีในย่อหน้าที่แล้ว เพราะ บิดาและมารดา เป็นความหมายของอาทิตย์ และจันทร์ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานธาตุสำคัญในดวงชะตา เมื่อบิดามารดายังอยู่ ดาวเหล่านี้ก็จะยังคงใช้พลังงานธาตุของดวงชะตาอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อบิดามารดาสิ้นไปแล้ว หรือ แม้แต่จากพรากไปแต่ยังเด็ก พลังงานธาตุในดาวทั้งสองก็จะถูกถ่ายเทไปยังดาวดวงอื่นแทนทำให้ดาวดวงนั้นเด่นขึ้นมาได้ หรือ อย่างน้อยก็แปรความหมายกลายเป็นยศศักดิ์ (อาทิตย์)แก่เจ้าของชะตาเอง เพราะไม่ต้องแสดงความหมายเป็น บิดา (อาทิตย์) อีกต่อไป แม้แต่ผู้ใหญ่บางคน จึงพบว่า หลังจากบิดาเสียชีวิตลง ตนเองได้รับการเลื่อนยศตำแหน่งสูงขึ้นมาก ซึ่งเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นกฎในทุกดวงชะตาไป แต่ขึ้นอยู่โครงสร้างในดวงชะตาเดิมของแต่ละคนเท่านั้น จึงกลายเป็นเคล็ดในการทำนายดวงชะตาอย่างหนึ่งว่า เมื่อดาวอาทิตย์เด่นในดวงชะตา หากไม่ถูกดาวอื่นถูกตัดแบ่งความหมายออกไป เช่น มีบิดาเป็นคนสูงศักดิ์อยู่ก่อนแล้ว หรือ อาทิตย์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับความหมายบิดาบุพการี ตัวเจ้าชะตาเองจะได้รับยศศักดิ์สูง เป็นต้น


วรกุล - 5 พฤษภาคม พ.ศ.2549 12:53น. (IP: 203.107.205.61)

ความคิดเห็นที่ 22
มีเรื่องติดค้างคำถามที่ 42 ของคุณ ศ.fa200 ในกระทู้ที่ 13 ซึ่งยังไม่ได้ตอบ คำถามมีว่า.. เราจะพิจารณาได้อย่างไรว่าเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนเรานั้น มีที่มาจากดวงเดิม หรือมีที่มาจากดวงจรครับ.... ( ช่วงชีวิตหนนึ่งของคนเรามีเหตุการณ์และเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายหลายเรื่อง...การแต่งงาน , การมีบุตร, การพลัดพราก, การเจ็บป่วย, การประสบอุบัติเหตุ, การได้รับตำแหน่ง, การโยกย้ายเปลี่ยนแปลง, การได้บ้านได้รถได้ทรัพย์สิน , การมีหนี้สิน, การมีปัญหาอุปสรรค , การประสบความสำเร็จ , การมีชื่อเสียง, การผิดหวัง เรื่องราวต่างๆเยอะแยะมากมายหลายเรื่องราว จะตรวจสอบได้อย่างไรว่ามีที่มาจากดวงอะไร ดวงเดิมหรือดวงจร ) ผมตอบโดยย่อไปแล้วว่า เหตุการณ์ที่เกิดกับเรานั้นเกิดจากกรรมเดิมบ้าง ผลกรรมใหม่บ้าง ดวงเดิมบ้าง ดวงจรบ้าง ไม่มีใครรู้ชัด เพราะมันแยกยาก โหรจึงมักใช้หลายทางมาพิจารณาร่วมกันเพื่อให้รู้ชัดขึ้น ดังนั้น เทคนิควิธีที่นำไปสู่สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นคำตอบทั้งหมดที่ใกล้เคียงเท่านั้นเอง

หากเป็นนักเรียนโหราศาสตร์ที่เรียนมาอย่างใช้เหตุผลตั้งแต่ตอนเริ่มแรก จะเข้าใจเลยว่า แท้ที่จริงดวงกำเนิดเดิมของคนเรา เป็นแค่เครื่องแสดงอย่างหนึ่งที่จะทำให้เราคาดหมาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้เท่านั้นเอง หากไม่มีการแก้ไขปรุงแต่งอะไร ผลที่บังเกิดขึ้น ก็น่าจะเป็นไปตามครรลองนั้น แต่ว่าตลอดเวลาที่เราเกิดมาจนเติบใหญ่ แล้วแก่ตาย เรายังได้กระทำกรรมอีกมากมายนับไม่ถ้วน กรรมเหล่านี้ก็มีผลเป็นเหตุการณ์ด้วยเช่นกัน ดังนั้นโอกาสที่จะพยากรณ์ ผลที่เกิดจากกรรมที่เราไม่รู้นั้นจึงยากมาก เวลาเกิดเหตุการณ์ในชีวิตประจำวันเราจึงชี้ชัดไม่ได้ว่าเป็นผลมาจากไหน ในวงการหมอดู เราจึงมักมีปัญหาการพูดตำหนิ หรือ อวดโอ้กัน ว่าหมอดูคนนั้นแม่น คนนี้ไม่แม่น อาจารย์คนนั้นเก่งกว่าคนโน้น คนนี้ ซึ่งอันที่จริง มีเหตุผลอยู่มากมายที่ทำให้พยากรณ์ได้แม่นหรือไม่แม่น แต่มีข้อสังเกตบางเรื่องของโหรรุ่นเก่า มีทั้งเป็นความคิดของโหรไทย และต่างประเทศ ที่น่าจะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ศึกษาโหราศาสตร์ ซึ่งเราควรรู้ไว้บ้าง มีดังนี้

ข้อแรก.......เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญของชีวิต เรามักตรวจสอบได้จากโหราศาสตร์หลายระบบได้ตรงกัน อย่างเช่น คนที่เสียชีวิต หากเอาดวงชะตา วันเดือนปี ไปดูโหงวเฮ้ง ดูลายมือ หรือ ดูด้วยวิธีโหราศาสตร์ระบบไหนๆ ก็มักจะได้ผลพยากรณ์ตรงกัน (หากผู้พยากรณ์มีความสามารถจริง) เหตุผลก็เพราะโหราศาสตร์มาจากการพิจารณาธรรมชาติหลายกระแสที่สมนัยกัน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอ่านจากธรรมชาติระบบใด ก็จะอ่านได้ตรงกันหมด แม้เราจะไม่บอกล่วงหน้าว่าเป็นเรื่องใด

ข้อสอง........การพยากรณ์ที่เกิดจากการตรวจสอบย้อนหลัง แม่นกว่าการตรวจสอบล่วงหน้า นี่เป็นเรื่องแปลกแต่จริง พูดง่ายๆก็คือว่า หากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วและจบลงแล้ว เราจะทำนายได้แม่นกว่า กรณีที่เหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นเลย แม้ว่าจะใช้หลักวิชาเดียวกัน ข้อมูลเท่ากัน ผู้ทำนายคนเดียวกัน และไม่บอกว่าเป็นเหตุการณ์อะไรเลย รวมทั้งผู้ทำนายไม่มีอคติ ในเรื่องนี้ พวกที่ยึดถือเรื่องกรรม มักอธิบายว่า การทำนายล่วงหน้า หรือ พูดอะไรออกไปแล้ว ทำให้เหตุการณ์นั้น “บังเกิด” ขึ้นแล้วโดย “วจีกรรม” ทำให้ กรรมของเหตุการณ์อ่อนแรงลง ทำให้มีไม่พอที่จะก่อตัวขึ้นเป็นเหตุการณ์ใหญ่ เหมือนในกรณีที่มีผู้แนะนำว่า การแก้เคล็ดไม่ให้รถชน เวลาออกรถใหม่ ก็แกล้งเอาอะไรมาให้ชนเบาๆ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำอีก แต่พวกที่ยึดถือทฤษฎีปัจจัยของเหตุการณ์ จะอธิบายว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วจะมีจังหวะความสอดคล้องต้องกันของปัจจัยบางอย่างที่เราไม่รู้ และยังคงเหลือพลังงานของเหตุการณ์อยู่ ดังนั้น การตรวจสอบย้อนหลังจึงมักลงตัว แต่การตรวจสอบล่วงหน้า เราไม่สามารถตรวจสอบปัจจัยลึกลับเหล่านี้ได้ ดังนั้น จึงทำนายไม่แม่น สรุปว่า เรามักจะทำนายเมื่อหวยออกแล้ว แม่นกว่าตอนหวยยังไม่ออก

ข้อสาม........ดวงชะตาของผู้ทำนาย(โหร)มีส่วนต่อเหตุการณ์ ข้อนี้เคยเล่าไปบ้างแล้ว บางคนตั้งข้อสังเกตว่า หมอดูบางคน ดูให้ตนเองแม่นกว่าหมอดูคนอื่น ทั้งนี้ เกิดจากดวงชะตาของหมอดูนั่นเอง เป็นผู้ที่สอดคล้อง (สมพงศ์) กับผู้มาให้ดู ทำให้เขาเองถูกผลักดันให้พยากรณ์ได้แม่น และอาจจะเป็นเฉพาะกับลูกค้าผู้นี้เท่านั้น แต่ไปทายคนอื่นก็แม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ดังนั้น ดวงหมอดูที่ดี ที่แม่น ก็ต้องมีคุณลักษณะพิเศษที่สอดคล้องกับคนหมู่มากได้ด้วย ดังจะเห็นว่า มีอาจารย์บางท่าน สอนเก่งทีเดียวแต่พอให้ทำนายกลับไม่ได้เรื่อง สู้ลูกศิษย์ไม่ได้ รู้เพียงนิดหน่อย แต่ทำนายได้แม่นยำมาก นอกจากนั้น มักมีผู้ตั้งข้อสังเกตเห็นเสมอๆว่า หมอดูทักทำนายไม่ดี มักจะแม่น แต่พอทำนายดี จะไม่แม่น นี่ก็เกิดจากดวงหมอดูมีดาวให้โทษอยู่ การไปทำนายให้ใครก็เหมือนแช่ง คนสมัยก่อนจึงไม่ใคร่จะดูหมอกันมากเหมือนคนสมัยนี้ นอกจากนั้น หมอดูเองก็ต้องมีดวงชะตาคุ้มกันโทษภัย เพราะไปทำนายอะไรไม่ดี บางทีก็ตกมาถึงตัวเอง หรือ ครอบครัวได้ เคยเล่าไปแล้ว

ข้อสี่..........โหรเก่าๆมักถือคติว่า “หากไม่ถามก็ไม่ตอบ” เพราะถือว่าการพยากรณ์เป็นการก่อวจีกรรมอย่างหนึ่ง จึงพยากรณ์เท่าที่จำเป็นต้องทำ เพื่อไม่ให้มีผลกรรมตกแก่ผู้ทำนาย คตินี้เป็นของพญาพิเภก ที่โหรหลายสำนักถือเป็นครู เวลาครอบครู ต้องครอบด้วยเศียรของพิเภก ซึ่งเป็นยักษ์ ไม่ใช่ใช้เศียรฤาษีองค์ใดๆมาครอบแบบพวกเรียนวิชาอื่น การที่ไม่ตอบสิ่งที่ไม่ถามนี้ แฝงความนัยทางโหราศาสตร์ โดยเฉพาะพวกที่เชื่อทฤษฎีปัจจัยของเหตุการณ์ เพราะเรื่องที่ถาม หากตั้งใจถามและมีปัญหาจริง จะเป็นเบาะแสที่แสดงว่า เหตุการณ์นั้นในดวงชะตาเริ่มก่อตัวขึ้น จะสามารถบอกความเป็นไปต่อจากนั้นได้ การพยากรณ์จึงทำได้แม่นตรงประเด็น การถามที่ว่านี้ แม้จะไม่ถามเป็นเรื่องราว แต่เพียงรู้สึกไม่สบายใจในเรื่องใด หรือ ไม่สบายใจโดยหาสาเหตุไม่ได้ก็ใช้ได้ นอกจากนั้น โหรบางท่านยังมีเคล็ดลับจากการอ่าน/ฟังคำถามด้วย เมื่อถามแล้วก็วางลัคนาได้ตรงดวงชะตาได้ในทันที


วรกุล - 5 พฤษภาคม พ.ศ.2549 12:54น. (IP: 203.107.205.61)

ความคิดเห็นที่ 23
อยากทราบวันเกิดตัวเองครับ ว่าตรงกับไหน ไม่รู้วันที่และเดือนจริงๆ ซะที เพราะ แจ้งเกิด ไม่ตรงกับที่เกิดจริงครับ

เนื่องจากทราบมาจากพ่อแม่บอกมาว่า ผมเกิด วันพุธกลางคืน ก่อนจะเช้าขึ้นเป็นวันพฤหัสบดี ประมาณ 2 ชั่วโมง ดูเหมือนว่าจะเป็น ขึ้น 3 ค่ำ แปดหลัง ปีมะแม พ.ศ. 2522

ใครทราบรบกวนแจ้งรายละเอียดให้ทราบหน่อยครับ โดยแจ้งมาได้ที่ [email protected] ครับ

ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ


graci - 5 พฤษภาคม พ.ศ.2549 13:11น. (IP: 203.170.228.231)

ความคิดเห็นที่ 24
ดีใจมากค่ะที่อาจารย์กลับมาให้ความรู้เช่นเดิม วันนี้มีปัญหาขอความกรุณาจากท่านอาจารย์ให้ความกระจ่างค่ะ

เมื่อช่วงหัวค่ำวันนี้ดูทีวีเกี่ยวกับประเทศทางกลุ่มสแกนดิเนเวีย ที่มีช่วงของอาทิตย์เที่ยงคืน หรือก่อนเที่ยงคืนว่า ช่วงกลางคืนจะเป็นช่วงที่มีแสงอาทิตย์ยาวนาน ทำให้กลางวันยาวกว่าส่วนอื่นๆของโลก แล้วลักษณะเช่นนี้ ถ้าเราใช้วิชาทางโหราศาสตร์ เราจะมีปัญหาในการผูกดวงวางลัคนาคนกลุ่มนี้ไหมคะ เพราะคนที่เกิดช่วงเดียวกันนี้ต้องมีลัคนากุมดาวอาทิตย์เหมือนกันหมด จะต่างกันที่ดาวจันทร์ที่จะเปลี่ยนไปในแต่ละ 2 วันครึ่ง แล้วเราจะมีหลักการอย่างไรในการดูดวงคนกลุ่มนี้ ดิฉันคิดว่า อาจใช้ทักษาดูแต่ละวันที่เกิดแม้ลัคนาอาจจะอยู่ที่เดียวกัน

กราบขอบคุณค่ะ


ทิพย์(แก่) - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:27น. (IP: 58.136.207.59)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบ 26 คุณทิพย์...........บังเอิญผมไม่มีเวลามาก เรื่องนี้ที่จริงถ้าจะให้เข้าใจต้องอธิบายยาว เรื่องวางลัคนาเราต้องเข้าใจว่าโหราศาสตร์ไทย หรือ ในกลุ่มที่ยึดถือแนวระวิมรรค จะคิดเฉพาะแนวที่ดวงอาทิตย์โคจรรอบโลก (ตามที่เห็น) ซึ่งจะขึ้นทางทิศตะวันออกไปตกทางทิศตะวันตก และจะมีการปัดเหนือปัดใต้ตามฤดูกาล ทำให้เกิดเป็นเหมือนแถบเข็มขัด หรือ ริบบ้อน พันรอบโลกตรงเส้นศูนย์สูตร นี่เป็นแนวอาทิตย์โคจร ดังนั้นการวางลัคนา ตามเวลา ก็จะวัดเวลาจากดวงอาทิตย์อุทัยขึ้นไปทางทิศตะวันตกตามแนวระวิมรรคนี่เอง พวกประเทศที่อยู่ในแถบเส้นศูนย์สูตรก็จะวางลัคนาได้ตามหลักโหราศาสตร์ที่เราใช้กัน ไม่คลาดเคลื่อนมาก

แต่ในกรณีที่ประเทศอยู่สูง หรือ ต่ำกว่าแนวระวิมรรคไปมาก เช่น ขั้วโลกเหนือ หากวัดจากแนวของดวงอาทิตย์ขึ้นตรงเส้นศูนย์สูตร ก็จะเป็นเส้นเฉียงสูงขึ้นไป ทำให้การคิดเวลาตามแนวเส้นศูนย์สูตรจะผิดไป หากเราจะหาลัคนาของคนที่เกิดในประเทศเหล่านี้ เราจึงมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง (ที่จริงมีอีกหลายทาง) ทางแรก คือ หากจะยังใช้การคำนวณตามแนวเส้นศูนย์สูตร เราก็ต้องทำ “เงา” หรือ projection ของตำแหน่งที่เป็นตำบลที่เกิดขั้วโลกเหนือ ลงมายังแนวเส้นศูนย์สูตร ตกที่ตำแหน่งใด ก็ใช้ตำแหน่งนั้นเป็นตำบลเกิด ลัคนาแบบนี้ก็ยังเป็น อาทิตย์จึงอาจจะไม่กุมลัคน์ คิดง่ายๆ สมมุติมีเด็กเกิดที่ใด ก็ให้วางลัคนาเสมือนเด็กมาเกิดที่ประเทศที่อยู่แถวเส้นศูนย์สูตรที่มีเส้นแวงเดียวกัน ก็ถือเป็นลัคนาโหราศาสตร์ แบบยึดระวิมรรคเป็นหลักได้

ทางที่สอง คือการวางลัคนาแบบสากล จะคำนึงถึงสถานที่เกิดที่อยู่นอกแนวระวิมรรค คือ เหมือนตามเส้นเฉียงที่ลากจากดวงอาทิตย์ไปยังตำบลที่เด็กเกิดจริงๆ ตามความโค้งกลมของผิวโลกด้วย วิธีคำนวณแบบนี้ต้องใช้เวลาและตำแหน่งทางภูมิศาสตร์พร้อมกัน เวลาที่ใช้จึงเป็นเวลาจริงที่เทียบตามเวลานักษัตรของท้องถิ่นที่เกิด ในเมื่อเวลาที่เห็นดวงอาทิตย์เป็นเวลาจริง แต่เวลาที่อาทิตย์อุทัยซึ่งคิดตามเส้นศูนย์สูตรจะเคลื่อนผ่านไปแล้ว ดังนั้น เมื่อวางลัคนาโหราศาสตร์ แม้จะเห็นอาทิตย์กำลังอุทัยในขณะเวลา 4 – 5 ทุ่มก็ตาม ก็ไม่ได้อาทิตย์กุมลัคน์ เหมือนวิธีแรก

อย่างไรก็ตามที่เราเรียกว่าลัคนาทางโหราศาสตร์ โดยยึดแถบโคจรของระวิมรรคเป็นหลักนั้น ก็เพราะการศึกษาปฏิทินการโคจรของดาว เรายึดเอาแนวระวิมรรค ซึ่งเป็นระนาบของจักรวาลโดยประมาณ แต่หากจะวางลัคนาดาราศาสตร์ ในพื้นที่ต่างๆของโลก ไม่จำเป็นที่จะต้องยึดแนวเส้นศูนย์สูตร แต่จะยึดตำแหน่งปรากฏจริงของดวงอาทิตย์ ดังนั้น แนวเส้นเวลาที่คำนวณลัคนา ก็จะไปตามมุมที่เป็นของตำบลที่เกิดนั้น เทียบกับดวงอาทิตย์จริง แบบนี้อาทิตย์อาจจะกุมลัคน์ได้ ขึ้นอยู่กับตำบลที่เกิดและเวลาที่เห็นดวงอาทิตย์ ทำให้โหราศาสตร์ตะวันตกบางระบบนำลัคนาแบบดาราศาสตร์นี้มาใช้พยากรณ์

การวางลัคนาของพื้นที่ส่วนต่างๆของโลกจึงมีความคลาดเคลื่อนเสมอ ยิ่งผูกดวงชะตาของคนในประเทศส่วนต่างๆก็ต้องระวัง เรื่อง time zone ส่วนโค้งของโลกตามพื้นที่ และการปัดเหนือปัดใต้ของดวงอาทิตย์นอกจากนั้น แถบระวิมรรคที่ใช้อ้างอิงในการคำนวณลัคนา ก็ยังมีพื้นฐานที่แตกต่างกัน มีทั้งวงกลม วงรี วงแคบ วงกว้าง ทำให้การหาลัคนาคลาดเคลื่อนได้ทั้งนวางค์ ฤกษ์ หรือ ราศี พูดไปก็จะเกิดศัตรูเปล่าๆ


วรกุล - 7 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:43น. (IP: 203.107.204.195)

ความคิดเห็นที่ 26
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

กราบขอบคุณมากค่ะ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง และขอความกรุณาพึ่งพิงเป็นแหล่งความรู้สำหรับผู้ต้องการเรียนรู้ต่อไป


ทิพย์(แก่) - 8 พฤษภาคม พ.ศ.2549 11:04น. (IP: 58.136.208.72)

ความคิดเห็นที่ 27
เรียนท่านอาจารย์วรกุลที่เคารพ

มีปัญหาเกี่ยวกับโหราศาตร์ขอความกรุณาจากอาจารย์อีกแล้วค่ะ นั่งๆอ่านตำราไปก็เลยสงสัยขึ้นมาเกี่ยวกับดาวที่เป็นเรื่องของการพนัน ที่อ่านๆดวงผ่านมาเจอแต่เรื่องความรักและเกี่ยวกับดาวศุกร์ ทีนี้ดาวราหูเป็นดาวที่เกี่ยวกับการพนัน นอกจากราหูแล้ว มีดาวตัวอื่นเข้ามาประกอบไหมคะ แล้วดาวราหูถ้าเป็นเกษตรกุมลัคน์ราศีกุมภ์คนนั้นจะเป็นนักพนันได้ไหม จากที่อ่านที่อาจารย์เขียนมาอาจารย์ไม่ให้สนใจดาวดวงเดียวให้ดูทั้ง10 ดวงในดวงคน แต่ตั้งแต่ดูดวงมาก็ไม่เคยมีใครมาถามเกี่ยวกับนักการพนันเลย ลูกๆหลานคนรู้จักที่มาดูส่วนมากเป็นเรื่องความรักทั้งนัน้ เลยสนใจว่าดาวอะไรที่เป็นเรื่องของการพนันและดาวอะไรที่ชี้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับดาวการพนัน แล้วเวลาดูดวงนี่จะรู้ได้ไหมว่าคนนี้เป็นนักการพนัน

ขอความรู้จากอาจารย์นะคะ แล้วกราบขอโทษที่รบกวนอาจารย์อีกค่ะ

กราบขอบคุณค่ะ


ทิพย์(แก่) - 8 พฤษภาคม พ.ศ.2549 14:09น. (IP: 58.136.208.72)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบ 29 คุณทิพย์...........ปกติดาวที่มักเกี่ยวกับอบายมุขก็คือ ราหู ชึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับการพนันอย่างเดียว เพราะราหู เมื่อเสีย และส่งผลต่อชะตา จะทำให้เจ้าชะตาหลงมัวเมา มองไม่เห็นธรรม จึงถูกชักจูงไปในทางที่ตรงข้ามกับศีลธรรมได้ง่าย เช่น เป็นนักพนัน กินเหล้า เป็นนักเลงอันธพาล หรือ อย่างน้อยๆก็มักติดอะไรสักอย่าง แต่จะเห็นได้ว่า ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าชะตามีดาวอื่นที่ไม่สามารถยับยั้งได้ เช่น พวกดาวสติปัญญา หรือ จารีตประเพณี สังคมแวดล้อม เพราะหากดาวเหล่านี้ดี สติปัญญาเหล่านั้นก็พอจะเตือนให้เจ้าชะตาไม่ไปในทางอบายมุขได้

นี่เองที่เราต้องดูดาวทั้ง 10 ดวงทุกครั้ง ไม่ใช่ดูดาวดวงเดียว พวกดาวศีลธรรมเช่น พฤหัส – ปัญญา พุธ – สติ จันทร์ – เมตตากรุณา ศุกร์ – เอื้อเฟื้อ อาทิตย์ – ทาน เสาร์ – ความสงบ อังคาร – ความเพียร อะไรเหล่านี้ ถ้าดี และอยู่ในตำแหน่งดี ก็ยังยั้งราหูไม่ให้เป็นไปทางอบายมุขได้ และถ้าดาวเหล่านี้เสียเสียเอง ก็ไปทางการพนันได้ โดยไม่ต้องโทษราหู เช่น ศุกร์ จันทร์ พฤหัส อาทิตย์ เสีย ก็เป็นนักพนันได้ทั้งนั้น หากราหู หรือ ดาวที่เสียเหล่านี้ เมื่อเป็นไปในทางการพนันมักจะอยู่ในเรือน หรือ สัมพันธ์กับเรือน ปุตตะ กดุมภะ กัมมะ ลาภะ ปัตนิ สหัชชะ ก็เป็นได้ เพราะเกี่ยวกับการเงิน หารายได้ หรือ สังคม ความชอบที่ทำให้มีอิทธิพลต่อเจ้าชะตานั่นเอง


วรกุล - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2549 05:09น. (IP: 203.107.203.238)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

กราบขอบคุณค่ะ กระจ่างขึ้นมากทีเดียวค่ะ จะนำความรู้นี้ไปค่อยๆแกะจากดวงจริงที่พบและรู้จักชีวิตจริง(ของเขา)ที่เห็นอยู่ใกล้ตัว


ทิพย์(แก่) - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2549 09:41น. (IP: 58.136.208.39)

ความคิดเห็นที่ 30
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพครับ

จากที่อาจารย์ได้อธิบายเรื่องเกี่ยวกับราหู ในความเห็นที่ 30 นั้น

ผมขอรบกวนให้อาจารย์ช่วยกรุณาตรวจดวงชะตาของผม (ผมเกิดวันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน 2530 เวลา 15.10 น. ที่กรุงเทพฯ ครับ) ดวงชะตาของผม ลัคนาราศีมีน มีดาวพฤหัส (เกษตร,วรโคตมนวางค์) และราหู กุมลัคนา อยากทราบว่า ราหูในดวงชะตาของผม ให้คุณ/โทษ อย่างไรบ้าง

ขอขอบพระคุณมากครับ


นกกระจิบ - 10 พฤษภาคม พ.ศ.2549 12:49น. (IP: 161.200.118.226)

ความคิดเห็นที่ 31
ตอบ 33 คุณนกกระจิบ...........กระทู้นี้ไม่อยากตรวจดวงชะตา หรือ วิจารณ์ดวงเลยครับ แต่เห็นใจที่ดวงคุณไม่ปกติ ราหูกุมพฤหัส และลัคนาราศีมีนอยู่ด้วย ๒ อริ-สิงห์ ๑๓๙๔ มรณะ-ตุลย์ ๖๗๐ ศุภะ-พิจิก ราหูดวงนี้ มักแสวงหาความรู้ความเข้าใจในชิวิตและโลก ถ้าไปทางธรรมก็เพียรทดลองปฏิบัติอยู่หลายทาง แต่มักลองผิดลองถูกผิดทาง อยู่ในวังวน ชอบเลี่ยงบาลี หากไปทางโลก ก็แสวงหาทางเหนือโลก เหนือคนอื่น ไม่ฟังเสียงใคร เชื่อตัวเองมากไป อยู่ไม่เป็นสุข ควบคุมอารมณ์ตัวเองยาก ไม่แน่ใจว่าจะไปทางไหนดี ชีวิตครอบครัวเพศตรงข้ามจะผันผวนไม่สงบ ที่ให้โทษมากหน่อยคือเกรงจะมีเหตุร้ายและอุบัติเหตุแรงๆในชีวิตอยู่หลายหน จึงไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมายและศีลธรรม ช่วงอายุตอนนี้ ปีนี้ และอายุ 26 – 27 ขอให้ระวังหน่อย อย่าไปมีเรื่องขัดแย้งทะเลาะวิวาท หรือ ขับยวดยานซิ่ง แข่งกับใคร มีอันตรายบาดเจ็บรุนแรงได้ ทั้งจากยวดยานและอาวุธ ถ้าหมดภาระทางบ้าน และครอบครัวก็ควรไปทางธรรมเถอะ จะปลอดภัยสงบสุขกว่าอยู่ในทางโลก


วรกุล - 11 พฤษภาคม พ.ศ.2549 05:04น. (IP: 203.107.204.54)

ความคิดเห็นที่ 32
จะเขียนถึงเรื่อง ฤกษ์ สักหน่อย เพราะมักมีคนวิจารณ์เรื่องเหตุการณ์ต่างๆว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป รวมทั้งในบทความบางแห่งก็มักยกเอาเหตุการณ์บางอย่างมาวิเคราะห์วิจัย แต่ใช้ศัพท์ว่า วิเคราะห์ฤกษ์ เช่นสมมุติมีศาลตัดสินว่าเรื่องเป็นอย่างไร หรือ มีเหตุฟ้าร้องฟ้าผ่า ก็จับมากลายเป็น “ฤกษ์” ไปหมด ความหมายในที่นี้ เขาตั้งใจจะหมายถึง “ดวงชะตาฤกษ์” หรือ “ดวงฤกษ์” นั่นเอง

ที่จริง “เหตุการณ์” ไม่ใช่ดวงฤกษ์ เหตุการณ์ที่เราเอามาวิเคราะห์เพื่อพยากรณ์ได้ มักจะเป็น “ผล” จากเหตุการณ์อันก่อนๆที่เป็น “ต้นเหตุ” แต่ตัวมันเองจะส่งผลต่อไปให้เราพยากรณ์ได้หรือไม่นั้นไม่แน่ หากจะพยากรณ์เราควรจะต้องเลือกเอาต้นเหตุของเรื่องมาพยากรณ์จะแม่นกว่า ยกตัวอย่างกรณีที่รูปปั้นองค์พระพรหมถูกทุบทำลายเมื่อเดือนก่อน หากเราผูกดวงเวลาที่เกิดเหตุ ก็ต้องถือว่าดวงชะตาจรนี้เป็นผลมาจากดวงชะตาของ “ฤกษ์” กำเนิด หรืออัญเชิญองค์พระพรหมมาประดิษฐานนั่นเอง เพราะเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้วมักสิ้นสุดลง เพราะพลังงานในดวงชะตาจรมีอยู่จำกัดในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่มีผลต่อเนื่องยาวนาน ยิ่งไม่มีผลต่อดวงประเทศ หรือ ชะตาสำคัญที่มีพลังงานกำเนิดสูงกว่า ดังนั้น การวิเคราะห์ที่ถูกจึงควรวิเคราะห์กำลังของชะตาจรนั่นเอง ให้รู้ว่า ดาวจรใดกำลังมีกำลัง หรือ แสดงผลในท้องฟ้าดี หรือ ไม่ดี แล้วจึงเอาคุณภาพดาวนั้นมาวิเคราะห์ดวงชะตาเดิมแต่ละดวงที่ต้องการอีกที แม้แต่ดวงของแต่ละคน เช่นดวงของเราเอง

โดยทั่วไป เหตุการณ์จะเกิดขึ้นรอบตัวเราตลอดเวลา เป็นผลมาจากธรรมชาติ เมื่อมีสิ่งหนึ่ง กระทบ หรือ สังสรรค์กับอีกสิ่งหนึ่ง ก็จะเกิดเป็น “ผล” ผลนี้อาจจะเป็นเหตุการณ์ที่ส่งอิทธิพลต่อเนื่องไป หรือเกิดเรื่องใหม่ หรือเรื่องสิ้นสุดลง หรือไม่เกิดผลอะไรเลยก็ได้ ส่วนดวงฤกษ์นั้น แต่หมายถึงเหตุการณ์สำคัญที่จะบังเกิดผลยาวนานต่อการเกิดเหตุการณ์อื่น เดี๋ยวนี้ สังคมไทยนิยม ไปให้หมอดูวางฤกษ์ผ่าตัดเด็กเพื่อทำคลอด เพราะเชื่อว่าฤกษ์เวลาผ่าตัดที่เด็กออกมาจะทำให้ดวงดี ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด หมอดูเองก็มีรายได้ดี จนถึงกับโรงพยาบาลเอกชนบางแห่ง มีรายชื่อ “โหร” เอาไว้บริการแนะนำแก่พ่อแม่ ที่ประสงค์จะได้ลูกมีบุญญาธิการ สามารถเรียกพบ “โหร”ได้ง่าย และทาง รพ.ยังมีบริการบันทึกเวลาเกิดแม่นยำถึงเศษทศนิยมของวินาที พร้อมทั้งผูกดวงและทำนายโดย “โหราจารย์” ให้อีกด้วย ซึ่งก็ต้องว่า “ดี” แน่นอนอยู่แล้ว เพราะโหราจารย์แกวางฤกษ์ผ่าตัดให้เอง

“เหตุการณ์” นั้นยังไม่ใช่ “ฤกษ์” แต่เราสร้างฤกษ์ได้จากเหตุการณ์ที่มักจะกำหนดรู้ล่วงหน้า หรือ พูดง่ายๆว่า ทำเหตุการณ์ให้เป็นฤกษ์ วิธีทำเหตุการณ์ให้เป็นฤกษ์ (ซึ่งคือ เหตุการณ์สำคัญที่จะบังเกิดผลยาวนานต่อการเกิดเหตุการณ์อื่น) ไม่ง่ายนัก ผู้ที่เชี่ยวชาญในการสร้างฤกษ์ มักจะเป็นโหรที่เชี่ยวชาญ หรือ นักไสยศาสตร์ หรือ พราหมณ์ และควรที่จะรู้ว่า ผู้ที่สร้างฤกษ์ได้สำเร็จดี ต้องเริ่มด้วยการวางฤกษ์เป็น ซึ่งไม่ใช่แค่การไปซื้อหนังสือมาเปิดดูฤกษ์ แต่จะต้องเข้าใจวิธีการทำฤกษ์เป็นอย่างดี รู้ว่าเมื่อสร้างฤกษ์แล้ว ฤกษ์นั้นจะมีคุณค่าอย่างใด มีกำลังเท่าใด สามารถส่งผลอยู่ได้นานกี่ปี มีเงื่อนไขใดที่วางไว้ในฤกษ์ที่ต้องกระทำต่อไป เพื่อที่จะรับผลดีของฤกษ์ และต้องรู้จุดอ่อนของฤกษ์ที่อาจจะส่งผลร้ายได้ รวมทั้งวิธีที่จะป้องกัน เช่นนี้เป็นต้น

การสร้างฤกษ์ ต้องรู้จุดประสงค์ของฤกษ์ บางเรื่อง บางวัตถุประสงค์ จะวางฤกษ์ไว้ให้ส่งผลในเวลาสั้นๆ เหมือนจุดประทัดเท่านั้นก็เพียงพอ แต่บางฤกษ์ก็วางไว้ยาวนานมาก เช่น การวางฤกษ์สร้างดวงเมือง ฤกษ์ชนิดหลังนี้ ดวงฤกษ์เองจะสามารถรับพลังงานธรรมชาติเข้าสู่ดวงชะตาได้ตลอดเวลา ทำให้ดวงชะตาไม่เสื่อม ฤกษ์บางอย่าง ที่เกี่ยวข้องกับ วิญญาณ หรืออำนาจเหนือธรรมชาติ ก็ต้องรู้เรื่องเหล่านั้นดีด้วย ไม่ใช่นึกอยากจะวางฤกษ์ ทำพิธีตั้งโต้ะบูชา ร่ายคาถาเรียก เชิญเทวดาแล้วก็ต้องมา โหรรับเงินแล้วก็ไป เรียกอะไรมาไว้บ้างก็ไม่รู้ โหรใหญ่โตแค่ไหน นึกอยากจะเรียกใช้ใครในจักรวาลมาก็ได้

ใครที่เคยไปหาฤกษ์ บางคนจะงงว่าทำไมต้องจ่ายค่าป่วยการไม่เท่ากัน โหรบางคนให้ฤกษ์คิดฤกษ์ละ หนึ่งแสนบาทขึ้นไปก็มี แต่โหรบางท่าน คิดแค่พัน - สองพันบาท ส่วนที่คิด 50 – 100 บาทนั้น คงจะเป็นแค่เปิดปฏิทินคู่มือบอกฤกษ์ ที่หาง่าย แล้วดูว่าเวลาไหนทำอะไรดีหรือไม่ดี เท่านั้น โดยทั่วไปฤกษ์ที่ได้จากโหรจะมี 2 ประเภท ในสองประเภทนี้อาจจะแบ่งได้เป็นหลายชนิดตามแต่เรื่องที่วางฤกษ์ จะมีรายละเอียด และเทคนิคต่างๆกัน

ประเภทแรก คือ ฤกษ์กระทำการ เป็นการกำหนดเวลาที่จะทำเหตุการณ์ไว้ล่วงหน้า อันที่จริงฤกษ์แบบนี้ ไม่ใช่ฤกษ์ที่สร้างขึ้น แต่อาศัยการกระทำตามธรรมชาติเป็นเครื่องมือสร้างฤกษ์ ฤกษ์แบบนี้อาศัยการคำนวณดวงชะตาฤกษ์เอาไว้ล่วงหน้า แต่ต้องเข้าใจว่า จุดประสงค์ก็เพื่อให้การกระทำนั้นราบรื่นเท่านั้นเอง เช่น ฤกษ์เปิดงาน ฤกษ์ผ่าตัดคลอด ฤกษ์ปลูกบ้าน ฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าว เจ้าสาว เวลาที่เริ่มกระทำตามฤกษ์จะเป็นเวลาที่ดีๆ ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความเสียหายที่ไม่คาดคิด รวมทั้งเป็นผลดีต่อเจ้าภาพเจ้าของงาน หรือ อาจจะส่งผลให้เกิดโชคในเวลาสั้นๆ ก็ได้ หากผ่าตัดก็เพื่อไม่ให้มีอุปสรรค หมอ พยาบาลพร้อม แม่ และ เด็กไม่มีอุบัติเหตุจากดาวจรไม่ดี แต่ไม่ได้หมายความว่า ดวงฤกษ์นั้น คือดวงชะตาของเด็ก ฤกษ์พวกนี้ไม่แพง หมอดูเก่งหน่อยก็วางฤกษ์ให้ได้ แต่ความเฮงซวยรวยจน จะขึ้นอยู่กับชะตาเดิมของเจ้าของงาน หรือ เจ้าภาพ พ่อ แม่ เด็ก หรือ เจ้าบ่าวเจ้าสาวนั่นเอง ไม่ใช่วางฤกษ์ดีแล้ว เด็กได้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะรักกันไปจนตาย

ประเภทที่สอง คือ ฤกษ์กำเนิด ฤกษ์แบบนี้มีหลายชนิด ค่าสร้างฤกษ์มีราคาแพง ทำได้ยาก ที่ทำง่ายหน่อยก็คือ ฤกษ์ที่ไม่มีวิญญาณมาเกี่ยวข้อง และที่ยากที่สุด คือ ฤกษ์ที่มีธาตุหลายชนิด รวมทั้ง มีวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติ เข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สังคมไทยเรามักพบบ่อยคือ หมอดูจำนวนมาก ชอบรับตั้งศาลพระภูมิ แต่หาน้อยคนที่จะรู้เรื่องฤกษ์ที่จะใช้ เพียงรู้แต่พิธีกรรมที่จำทำตามกันมา นอกจากจะใช้คนทรง หรือ เจ้าทรงตั้งให้ แบบนั้นเป็นแบบแพ้กเกจ คืออาศัยอำนาจขององค์ทรงนั้น เหมาหมดทั้งสร้างฤกษ์ และเชิญวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตัวอย่างฤกษ์ที่สร้างครบทุกอย่างคือ การสร้างดวงเมือง ซึ่งต้องอาศัยการเตรียมการนานหลายปี ต้องรู้เรื่องธาตุ กระแสธาตุ และความเปลี่ยนแปลงในจักรวาล รวมทั้งระบบธาตุทุกระบบ การวางดวงเมืองต้องควบคู่ไปกับการทำพิธีกรรมตามฤกษ์ ซึ่งต้องเสร็จสมบูรณ์ ภายในระยะเวลาอันสั้น ผิดพลาดไม่ได้ เพื่อให้ดวงเมืองสามารถส่งผลอยู่ได้นานนับร้อยปี หรือ พันๆปี ไม่เสื่อมสลาย ต้องปิดจุดอ่อน (ที่ต้องมี) ได้ด้วยวิธีธรรมชาติ ต้องเชี่ยวชาญ ทุกเรื่องทั้ง ชัยภูมิ ไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ ตำราพิไชยสงคราม สารพัดด้าน

ดวงชะตากำเนิดของเรา ก็เป็นฤกษ์กำเนิดอย่างหนึ่งที่เกิดโดยธรรมชาติโดยอัตโนมัติ แต่ไม่ใช่เราจะสามารถเปิดปฏิทินผูกดวงที่เวลาใดๆขึ้นมาถือเป็นดวงชะตากำเนิดได้ ดวงชะตากำเนิดของสิ่งมีชีวิต เกิดได้เพราะมี ชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ เข้ามาสู่ดวงชะตา ไม่มีใครทราบว่า “ชีวิต” คืออะไร แต่โหราศาสตร์ทราบว่า ชีวะธาตุ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธาตุ และวัตถุเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้ ในธรรมชาติ ชีวะธาตุส่งผ่านมาจากจักรวาลได้ตลอดเวลา แต่ตามปกติมีเพียงสิ่งมีชีวิตเท่านั้นที่รับชีวะธาตุไว้ การทำให้สิ่งไม่มีชีวิตรับชีวะธาตุไว้ได้ ก็คือวิธีพิเศษที่ใช้สร้างดวงฤกษ์นั่นเอง การสร้างฤกษ์กำเนิดขึ้นจากเหตุการณ์ใดๆ จึงต้องมีความรู้ในการรับชีวะธาตุเข้าสู่ฤกษ์ด้วย ดังนั้น ดวงเมืองจึงมีชีวิตและอำนาจ เหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่มองไม่เห็น เหมือนรูปเคารพ ผู้ใดทำให้ผิดไปจากทำนองคลองธรรมของดวงเมือง ก็มักเป็นโทษและไม่เจริญ เหมือนกับดำรงชีวิตอยู่ในที่ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อดวงชะตา แต่เราไม่ได้ดูชะตาประเทศจากดวงเมืองทีเดียว เรื่องนี้เคยเล่ามาบ้างแล้วจะไม่เล่าซ้ำอีก

ยังไม่ได้กล่าวถึงนักษัตรฤกษ์ในจักรวาล ที่เป็น หมู่ดาวฤกษ์ 27 ฤกษ์ (ที่มักเรียกว่า ฤกษ์บน เช่น เรวดี อัศวินี ภรณี เป็นต้น) ที่รวมเป็น ฤกษ์ของจักรราศี 9 หมวดฤกษ์ (ที่มักเรียกว่า ฤกษ์ล่าง เช่น เทวี ภูมิปาโล ราชา เป็นต้น)ซึ่งโหราศาสตร์หลายกลุ่มนำมาใช้ทำนายดวงชะตา และใช้ในการให้ฤกษ์ หาฤกษ์ด้วย ซึ่งหากเราสังเกตให้ดี จะเห็นว่า โหราศาสตร์ไทย มักจะใช้ฤกษ์บน ฤกษ์ล่าง เฉพาะกับฤกษ์ที่สร้างขึ้น คือ เป็นของสถานที่ เช่น ดวงเมือง หรือ หากเป็นดวงบุคคล ก็ในเหตุการณ์ที่สำคัญ เช่น ฤกษ์ราชาภิเษก ฤกษ์พุทธาภิเษก หรือ ฤกษ์กระทำการสำคัญ ที่เกี่ยวกับส่วนรวม เป็นต้น ไม่ได้ใช้กับดวงชะตาบุคคลโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทำนายชะตาชีวิต หรือ ดูเรื่องราวของเจ้าชะตา

ทั้งนี้ก็เพราะเหตุผลที่ว่า ดวงชะตาของบุคคลนั้น มีชีวะธาตุที่ จะเข้าสู่ดวงชะตาโดยกรรมของผู้นั้นอยู่แล้วโดยธรรมชาติ ดังนั้น กรรมและความเป็นไปของบุคคลก็จะเป็นไปตามดวงชะตาตามระบบธาตุในดวงชะตา ซึ่งจะได้รับผล หรือ อิทธิพลมาจากระบบธาตุอื่นๆ เช่นระบบธาตุในธรณี บรรยากาศ จักรวาล และดาวฤกษ์ ร่วมกัน ไม่ใช่เกิดจากดาวฤกษ์แต่เพียงอย่างเดียว แต่ ดวงชะตาฤกษ์ ที่เราวางสร้างขึ้นเอง ไม่ว่าจะเป็น ดวงฤกษ์กระทำการ หรือ ฤกษ์กำเนิดก็ตาม เป็นการทำให้เหตุการณ์ตามธรรมชาติ กลายเป็นดวงฤกษ์ ขึ้นมา ดังนั้น จึงต้องคำนึงถึง ธาตุต่างๆที่ได้จากระบบดาวฤกษ์ ซึ่งสัมพันธ์กับดวงชะตาที่จะสร้างขึ้นบนโลก เช่น ชีวะธาตุส่วนที่เข้มมาก และเป็นส่วนที่จะให้กำลังแก่ดวงฤกษ์ประเภทนี้นั้น มาจากอาทิตย์และหมู่ดาวฤกษ์นี่เอง แต่ไม่ใช่วิธีที่กำหนดกันง่ายๆ แค่วางลัคนา หรือจันทร์ อาทิตย์ เกาะฤกษ์เท่านั้นก็พอ ดังที่พวกเราใช้วิธีเปิดปฏิทินฤกษ์ดูกันโดยตรง หากแต่ต้องเข้าใจ ระบบธาตุจากดาวฤกษ์ เป็นอย่างดี เพราะการดูดาวที่เกี่ยวข้องกับฤกษ์ ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ครองนวางค์ ตรียางศ์ หรือ บาทฤกษ์ จะมีกฏเกณฑ์ที่จะพิจารณาการส่งผ่านอิทธิพลของธาตุ มาสู่ดวงชะตา เช่นพวกวิชาอินทภาส – บาสจันทร์ เป็นต้น ไม่ใช่การดูโดยตรง

สรุปได้ว่า หากจะดูดวงบุคคล ตามวิธีโหรไทยทั่วไป ก็ไม่จำเป็นต้องดูลัคนา หรือ จันทร์ ฯลฯ ในกลุ่มฤกษ์ พูดภาษาง่ายๆ ก็คือ เกิดฤกษ์อะไรไม่ต้องดู (เลยก็ได้) เพราะระบบธาตุของดวงชะตาบุคคล จะมีผลในการทำนายดวงชะตามากกว่าฤกษ์ ส่วนการคำนวณวางดวงฤกษ์ หรือ การพยากรณ์ดวงฤกษ์ประเภทที่สร้างขึ้น เราจึงจะดูฤกษ์บน ที่สัมพันธ์กับฤกษ์ล่าง กับดวงชะตา การพยากรณ์ดวงชนิดนี้ เช่น ดวงเมืองก็จึงต้องเข้าใจระบบธาตุของดาวฤกษ์ด้วย จะเห็นได้ว่า โหราศาสตร์ที่เข้าใจระบบธาตุดาวฤกษ์ จึงมักทำนายดวงเมือง หรือ ชะตากรรมของ กษัตริย์ หรือผู้นำประเทศ (ภายใต้ชะตาเมือง) ได้แม่นยำ


วรกุล - 14 พฤษภาคม พ.ศ.2549 05:06น. (IP: 203.107.205.51)

ความคิดเห็นที่ 33
กราบเรียน อาจารย์ วรกุล ที่เคารพ

ขออนุญาตย้อนกลับไปถึงเรื่อง ทฤษฎีวงรอบธรรมชาติ และ วงรอบพลังงาน ที่อาจารย์เคยอธิบาย เมื่อ 23 มี.ค. 49

เกี่ยวกับเรื่องของ มหาทักษา ค่ะ

“...อย่างมหาทักษานั้น ก็เป็นวงรอบสองอย่างซ้อนกันอยู่ วงรอบแรกก็คือ วงรอบของอนุกรมธาตุในธรณี ๑ ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ ๖ เป็นวงรอบของธาตุที่เปลี่ยนไป ตั้งเป็นฐาน แต่ตัวเคลื่อน หรือ การทำงานของวงรอบนั้น เกิดจากวงรอบของพลังงาน ที่หมุนวนมากระตุ้นให้ธาตุเกิดกำลังสูงพอที่จะทำงานได้ เป็นลำดับกัน เราจึงใช้ทักษาจร และเทวดาเสวยอายุ ได้จากวงรอบพลังงานที่หมุนวนไปตามวงจรของธาตุนั่นเอง แต่การหมุนวนเช่นนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติเท่านั้น เมื่อนำวงจรของธาตุในธรณีมาใช้ในดวงชะตา วงจรหมุนวนของพลังงานธาตุจึงกระตุ้นเปลี่ยนไปตามธาตุดาว เนื่องจากธาตุถูกถ่ายเทเข้าสู่ระบบของดวงชะตา ดังนั้น เราจึงสามารถใช้ระบบธาตุในธรณีกับดวงชะตาได้ เพียงแต่ต้องปรับระยะเวลาระหว่างวงรอบเท่านั้น...”

ขอเรียนถามเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ ว่า

ระยะเวลาในการหมุนวน ของพลังงานธาตุ ในมหาทักษา คือระยะเวลาที่เทวดาเสวยอายุแต่ละองค์ทำหน้าที่ตามกำลังของตนใช่ไหมคะ? ไปค้นกรุหนังสือเก่าที่บ้าน พบหนังสือที่เป็นตารางการนับเทวดาเสวยอายุ ว่าในช่วงที่เทวดาเสวยอายุทำหน้าที่ นั้นจะมีเทวดาแทรก ด้วย เช่น พระอาทิตย์ ๖ ปี แต่ในช่วง ๖ ปีนั้น อาทิตย์เสวยตัวเองเพียง ๔ เดือน / จันทร์แทรก ๑๐ เดือน/ อังคารแทรก ๕ เดือน ๑๐ วัน / พุธแทรก ๑๑ เดือน ๑๐ วัน / เสาร์แทรก ๖ เดือน ๒๐ วัน / พฤหัสแทรก ๑ ปี ๒๐ วัน / ราหูแทรก ๘ เดือน / ศุกร์แทรก ๑ ปี ๒ เดือน.....แสดงว่า เทวดาเสวยแทรก นี้ เป็นวงรอบพลังงานย่อย ที่ซ้อน กับ วงรอบพลังงานใหญ่ (เทวดาเสวย) อีกที ใช่ไหมคะ? แล้วระยะเวลา ที่กำหนดว่า เทวดาแทรก แต่ละองค์จะทำหน้าที่นานเท่าไร มีที่มาที่ไปอย่างไรคะ? หรือเกิดจากการคำนวณคะ?ถ้าความเข้าใจในข้อ 1 และ 2 ถูกต้อง ขอเรียนถามว่า ในการนำวงรอบพลังงานของมหาทักษา มาใช้ในการกำหนดวัย เพื่อทำนายชาตาชีวิตของมนุษย์นั้น จะใช้วงรอบไหนคะ เทวดาเสวย / หรือ เทวดาแทรกคะ?ถ้าคำถามข้างต้นมีส่วนไหนที่เป็นความเข้าใจซึ่งไม่ถูกต้อง ขอความกรุณาอาจารย์แก้ไขให้ด้วยนะคะ เพราะค่อนข้างคิดช้าค่ะ กว่าจะ เขียนถามอาจารย์ได้ ต้องอ่านบทความของอาจารย์ช้าๆ หลายๆ รอบ บางครั้งต้องวาดรูปตาม ถึงจะรู้สึกว่าพอจะเริ่มเข้าใจค่ะ แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีค่ะ ว่าที่เข้าใจนั้นถูกทางหรือเปล่า

อาจารย์คะ ถ้าอาจารย์ยังติดเขียนเรื่องอื่นอยู่ ยังไม่ต้องรีบตอบก็ได้นะคะ รอให้อาจารย์มีเวลาว่างๆ ก่อนก็ได้ค่ะ ที่สำคัญที่สุดคือเวลาพักผ่อนที่เพียงพอเพื่อรักษาสุขภาพของอาจารย์ค่ะ

กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 17 พฤษภาคม พ.ศ.2549 19:22น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 34
ตอบ 37 คุณสุธาวาส........... อ่านแล้วสงสัยถามบ้างก็ดีครับ ถ้าไม่ถาม ผมก็นึกไม่ออกว่าเขียนอะไรไปแล้วเข้าใจหรือเปล่า 1 / ระยะเวลาในทักษาจรเกิดจาก(อัตราวงรอบของ)พลังงาน(ธาตุ) แต่ระยะเวลาในเทวดาเสวยอายุ เกิดจากธาตุที่ได้รับพลังงานแล้ว มีปฏิกริยายาวนานตามกำลังดาวเสวยอายุ ครับ 2 / เทวดาเสวยแทรก นี้ เป็นวงรอบพลังงานย่อย ที่ซ้อน กับ วงรอบพลังงานใหญ่ (เทวดาเสวย) อีกที ใช่ครับ ส่วนระยะเวลาที่เสวยแทรกก็ง่ายมาก คือคิดคำนวณอัตราส่วนจากวงรอบใหญ่ลงไปแยกย่อยตาม***ส่วนกำลังดาว เช่น อาทิตย์เสวยอายุ 6 ปี แต่ปกติรอบดาวเสวยอายุทั้งหมด คือ 108 ปี ก็เทียบ 6 ปี เท่ากับ 108 ปี อย่าง สมมุติ อังคาร กำลัง 8 ปีใน 108 ปี ก็เท่ากับ ( 8 หาร 108 แล้วคูณกับ 6ปี เท่ากับ) 0.444 ปี ของระยะเวลา 6 ปีของอาทิตย์ แปลงเป็นเดือน ก็ ได้ 5 เดือน 9.84 วัน นี่เป็นที่มาของตัวเลข แต่ที่มาของดาวเสวยแทรก ก็เกิดจากวงรอบย่อยที่ลดพลังงานลงเป็นรอบย่อยๆ เหมือนเราเอายางลบผูกเชือกแล้วแกว่ง วงรอบมันจะย่อยเล็กลงนั่นเอง

3 / เรื่องการนำเทวดาเสวยอายุแทรกมาใช้ทำนายมีอยู่ 2 ทาง คือใช้ทางมหาทักษาล้วนๆ ก็พิจารณาทั้งดาวเสวยอายุ และดาวเสวยแทรกร่วมกัน เช่น ศุกร์ (๖) เสวยอายุ เสาร์ (๗) เสวยแทรก อย่างที่เรียก พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก แบบนี้ ต้องดูว่าดาวเสวยแทรกเป็นศัตรูกับกับ ดาวเสวยอายุหลัก จะเกิดทุกข์ร้อน คือต้องยึดเอาดาวเสวยหลักเอาไว้ก่อน สมมุติเหมือนผู้หญิงมีความสุขสนุกสนาน (ศุกร์) อยู่ตลอดเดือน แต่พอถึงวันสำคัญมีเมนประจำเดือน พระเสาร์ คือความทุกข์ ลำบากเข้าเสวยแทรกเสีย 2 – 3 วัน แล้วก็กลับไปเป็น สุข (ศุกร์) ใหม่อีก

ส่วนการใช้ในดวงชะตา ส่วนใหญ่มักจะสอนให้ใช้ดาวเสวยแทรกอย่างเดียว ซึ่งในทางปฏิบัติจะมีทั้งสามแบบ คือใช้ 2 อย่าง หรือ อย่างใดอย่างหนึ่ง ตามหลักก็ควรต้องใช้สองอย่างเหมือนกัน แต่เป็นวิชาที่เขาใช้ดาวเสวยแทรกด้วยเท่านั้น เพราะมีบางวิชาก็ใช้เพียงดาวเสวยอายุ แต่ไม่ใช้ดาวเสวยแทรกเลย เพราะถือว่าพลังงานอ่อน ก็ไปใช้ทางอื่นแทน หรือบางวิชาไม่เชื่อถือ หรือไม่ใช้ดาวเสวยแทรกเลยก็มีเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับหลักการวิธีการพยากรณ์


วรกุล - 19 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:45น. (IP: 203.107.205.37)

ความคิดเห็นที่ 35
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ข้อ 1 และ ข้อ 2 เข้าใจและคำนวณได้แล้วค่ะ

ส่วนข้อ 3 ขอเรียนถามเพิ่มเติมค่ะ

3.1 การใช้ทางมหาทักษา คือเราจะต้องดูความสัมพันธ์ว่าดาวแทรก เป็นคู่มิตร คุ่ศัตรู กับดาวเสวยใช่ไหมคะ การทำนายก็จะบอกสภาวะได้กว้างๆ ตามความสัมพันธ์ของคู่ดาว แล้วสามารถบอกเรื่องราวที่จะเกิดได้ไหมคะ ถ้าได้ต้องพิจารณาจากอะไรคะ

3.2 การใช้ในดวงชะตา ในกรณีที่อ่านทั้งดาวเสวยและดาวแทรก หลักการคือจะยึดดาวเสวยเป็นหลักเช่นเดียวกับ 3.1 ใช่ไหมคะ แล้วการอ่าน จะต้องอ่านจากทั้งดวงเดิมและดาวจรด้วยใช่ไหมคะ ซึ่งถ้าใช่ จะมีโครงสร้างที่อ่านออกมาได้หลายโครงสร้าง ปัญหาใหญ่อยู่ตรงการสรุปโครงสร้างเหล่านั้นออกมาเป็นคำทำนายนี่สิคะ จะ focus อย่างไรคะ

มีความสงสัยอีกหนึ่งเรื่องค่ะ การที่ผู้คนสมัยนี้คลั่งไคล้การบูชาพระราหูตามกระแสนิยมนี้ แสดงว่าใช้ความศรัทธาอย่างเดียว ไม่ได้อ้างอิงหลักของทักษาหรือมหาทักษาเลยใช่ไหมคะ เพราะในเมื่อวงรอบพลังงานของแต่ละดวงชาตาย่อมแตกต่างกัน ก็ไม่น่าจะให้ผลเหมือนกัน ใช่ไหมคะ

กราบขอความกรุณาอาจารย์ให้แนวทางเพิ่มเติมด้วยนะคะ

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 19 พฤษภาคม พ.ศ.2549 10:39น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 36
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ข้อ 1 และ ข้อ 2 เข้าใจและคำนวณได้แล้วค่ะ

ส่วนข้อ 3 ขอเรียนถามเพิ่มเติมค่ะ

3.1 การใช้ทางมหาทักษา คือเราจะต้องดูความสัมพันธ์ว่าดาวแทรก เป็นคู่มิตร คุ่ศัตรู กับดาวเสวยใช่ไหมคะ การทำนายก็จะบอกสภาวะได้กว้างๆ ตามความสัมพันธ์ของคู่ดาว แล้วสามารถบอกเรื่องราวที่จะเกิดได้ไหมคะ ถ้าได้ต้องพิจารณาจากอะไรคะ

3.2 การใช้ในดวงชะตา ในกรณีที่อ่านทั้งดาวเสวยและดาวแทรก หลักการคือจะยึดดาวเสวยเป็นหลักเช่นเดียวกับ 3.1 ใช่ไหมคะ แล้วการอ่าน จะต้องอ่านจากทั้งดวงเดิมและดาวจรด้วยใช่ไหมคะ ซึ่งถ้าใช่ จะมีโครงสร้างที่อ่านออกมาได้หลายโครงสร้าง ปัญหาใหญ่อยู่ตรงการสรุปโครงสร้างเหล่านั้นออกมาเป็นคำทำนายนี่สิคะ จะ focus อย่างไรคะ

กราบขอความกรุณาอาจารย์ให้แนวทางเพิ่มเติมด้วยนะคะ

มีความสงสัยอีกหนึ่งเรื่องค่ะ การที่ผู้คนสมัยนี้คลั่งไคล้การบูชาพระราหูตามกระแสนิยมนี้ แสดงว่าใช้ความศรัทธาอย่างเดียว ไม่ได้อ้างอิงหลักของทักษาหรือมหาทักษาเลยใช่ไหมคะ เพราะในเมื่อวงรอบพลังงานของแต่ละดวงชาตาย่อมแตกต่างกัน ก็ไม่น่าจะให้ผลเหมือนกัน ใช่ไหมคะ

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 19 พฤษภาคม พ.ศ.2549 10:43น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 38
ตอบ 42 คุณสุธาวาส...........3.1 การทำนายจะบอกสภาวะได้กว้างๆ ตามความสัมพันธ์ของคู่ดาว ถูกแล้วครับ แต่การบอกเรื่องราวนั้น ปกติไม่ได้อ่านจากวงจรมหาทักษานี้ เพราะวงจรธรรมชาติมักบอกเพียงลำดับของดาวที่ได้รับพลังงาน และมีกำลังที่จะแสดงออกเท่านั้น ส่วนการจะไปแสดงออกทางใด เรื่องเป็นอย่างใด ส่วนใหญ่จะต้องไปดูจากนิทานเรื่องราวที่จะได้จากทางอื่น ตำราเก่าเขาเปรียบเทียบว่า เหมือนกับดูลิเกสักเรื่องหนึ่ง พวกดาวเสวยอายุ ดาวเสวยแทรก ก็เหมือนตัวแสดงที่ถึงคิวออกมาหน้าฉากลิเก แต่จะเล่นเป็นตัวอะไร เรื่องอะไร ต้องไปดูบทลิเกว่าวันนั้นเราเล่นเรื่องอะไร

พูดง่ายๆก็คือ โหราศาสตร์โดยทั่วไปที่ใช้ทำนายกันอยู่ ต้องใช้ 2 ส่วน คือ หนึ่ง ตัวแสดง สอง เรื่องราวที่จะเล่น วิชาทำนายทั่วไปจะมีสองส่วนนี้ จึงจะทำนายเป็นเรื่องราวได้ แต่บางคนเห็นว่าตัวแสดงจากอีกที่หนึ่งเล่นได้เด่นกว่า ก็จะเอาข้ามระบบเข้ามาเล่นในวิชาของตน ทำให้เล่นเรื่องได้หลากหลายมากขึ้น เช่นจะเล่นแต่ตัวแสดงจากทักษาเลยก็ได้ หรือ จะเล่นร่วมกับตัวแสดงในวงรอบธรรมชาติที่มีอยู่เดิมในวิชานั้นก็ได้ ไม่มีใครห้าม พวกวงจรธรรมชาติเองก็มีวิชาที่สร้างนิทานชีวิตในตัวเองเหมือนกัน แต่คุณอาจจะไม่เคยเห็นวิชาของมหาทักษาล้วนๆ เพราะหาคนรู้และสอนยาก ทั้งๆที่เดิมก็เป็นของโหรชาวบ้าน เพียงแต่คุณมักเห็นดวงชะตา ลายมือ โหงวเฮ้ง อะไรพวกนี้ ซึ่งล้วนแต่เป็นนิทานที่มีตัวแสดงในตัวของตัวเอง ไม่ต้องเอาทักษามาเล่นก็ได้ แต่ถ้าเราเอาตัวแสดงมาจากมหาทักษาเข้ามาในนิทานที่เล่าเรื่องเหล่านี้ ก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่งทำให้ทำนายได้หลากหลายแปลกไป หรือ ละเอียดกว่าเดิม

3.2 ทำนายโดยใช้มหาทักษาในดวงชาตา ...กรณีที่เราใช้ทั้งดาวเสวยและดาวแทรก จะต้องใช้ดาวเสวยเป็นหลัก ถูกตามหลักพื้นฐานครับ แต่ว่าอย่างที่ตอบไปในความเห็นครั้งก่อน การใช้ดาวเสวยอายุ และดาวเสวยแทรก มี 3 แบบ คือ มีทั้งที่ใช้ 2 อย่าง / ใช้ดาวเสวยอายุอย่างเดียว หรือ / ใช้ดาวเสวยแทรกอย่างเดียว แล้วแต่ไปใช้ในทางไหน และก็จาก 3.1 เราจะเห็นได้ว่า การดึงเอาดาวเสวยเข้ามาพิจารณาในดวงชะตาที่กำลังดูอยู่ เรากำลังดูมันเล่นในบทไหน วิชาดูดวงชะตามีหลายสิบวิธีครับ ก็เหมือนกับมีบทละครหลายสิบเรื่อง อย่างบางคนใช้ดาวเสวยแทรกอย่างเดียว โดยใช้เพียงในดวงจรก็มี พอระดับสูงขึ้นมา แทนที่จะใช้ดาวเสวยมาเล่นด้วย ก็กลับไม่ใช้ เพราะเห็นว่าตัวแสดงของวิชาตัวเองเล่นดีกว่า การเล่นจึงมีหลากหลายครับ ส่วนใหญ่ในดวงชะตาถ้าจะเล่นตัวแสดงจากมหาทักษามักจะเล่น ทักษาจร อย่างที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งเป็นวงจรคนละแบบกับพวกดาวเสวยอายุ พอจะดูวัย ก็หันไปใช้ทางอื่น ไม่ใช้ดาวเสวยอายุ

พวกเราส่วนใหญ่เรียนหลายวิชาปนกันอยู่ เหตุเพราะแต่ละวิชาจะมีจุดอ่อนจุดแข็งไม่เหมือนกัน บางอาจารย์จึงเอาข้อดีๆหลายระบบมาเล่นรวมกันด้วย เพราะต้องการพัฒนาวิชาเป็นเฉพาะของตนเอง ก็เลยทำให้ลูกศิษย์เล่นตามอาจารย์นั่นแหละ โดยไม่รู้ต้นตอว่ามาจากไหน จึงกลายเป็นเคล็ดลับที่ต้องบอกเฉพาะตัว การใช้วิชาเดียวที่พัฒนามาบนฐานอย่างเดียวกัน แม้จะมีจุดอ่อน แต่ก็จะกลมกลืนกันหมดไม่ว่าจะเป็นการดูวัย การดูดวงเดิม และดวงจร แต่การนำเอาหลายวิชา หลายระบบมารวมกัน แล้วเลือกเอาจุดเด่นแต่ละวิชามาใช้ ข้อดีคือประสิทธิภาพสูง แต่ขาดความกลมกลืน ต้องปรับฐานการคิดให้เปลี่ยนไปตามเทคนิคที่ใช้ด้วย จึงกลายเป็นเคล็ดลับไป

ตามปกติโหราศาสตร์ไทย มีกำเนิดจากระบบธาตุอยู่แล้ว ระบบธาตุในที่ต่างๆ เช่น ในธรณี ในจักรวาล ในบรรยากาศ และ ดาวฤกษ์ จะวางหลักโดยมีฐานคำนวณต้นตอเดียวกัน การปรับจึงปรับไม่มาก อย่างเช่น ปรับวงรอบเวลาที่ใช้ ปรับการใช้ทางจันทรคติดั้งเดิม และสุริยคติ ส่วนการนำเอาระบบโหร และหลักการจากระบบอื่นมาใช้ร่วมด้วย และยังเอาปฏิทินกับการคำนวณดาราศาสตร์สมัยมาใช้ด้วย ผุ้ใช้ต้องเข้าใจวิธีคิดให้ดี ใครที่เรียนเข้าใจข้อกำหนดของระบบ ก็จะปรับใช้ได้เสมอ ไม่ว่าจะใช้เครื่องมือของระบบไหน


วรกุล - 21 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:57น. (IP: 203.107.204.211)

ความคิดเห็นที่ 39
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

พอจะเข้าใจหลักการที่อาจารย์เปรียบเทียบค่ะ ขอกลับไปตั้งหลักทบทวนและทำความเข้าใจเรื่องระบบธาตุที่อาจารย์เคยสอนไว้ และจะไปฝึกหัดใช้ตัวแสดงเล่นละครสั้นแบบตอนเดียวจบดูก่อนนะคะ ถ้ามีข้อสงสัยเพิ่มเติมจะเข้ามากราบขอความกรุณาอาจารย์อีกค่ะขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 22 พฤษภาคม พ.ศ.2549 17:03น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 40
เรื่องที่ควรจะเขียนในที่นี้มีทั้งในแนวราบกว้าง และแนวลึก พวกเราบางคนมักจะคิดว่าเคล็ดลับทางโหราศาสตร์อยู่ในแนวลึก ยิ่งลึกยิ่งสำคัญ แต่อันที่จริงแล้ว ความเข้าใจในแนวราบกว้างก็มีความสำคัญ ทำให้เราเข้าใจว่าอะไรอยู่ตรงไหนเป็นอย่างไร เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง เหมือนเราต้องการขุดบ่อน้ำในแนวลึก เราก็ต้องรู้ว่าที่ดินที่เราจะขุดนั้นบริเวณไหนเป็นอย่างไร ตรงไหนเป็นหิน ตรงไหนเป็นดินเหนียวดินทราย เพราะพื้นที่กว้างบนพื้นดินนี่ต่างหาก ที่เป็นปากทางของบ่อน้ำที่เราจะขุดในแนวลึก

สมัยก่อน เราจะพบการประกวดประชันการทำนายพยากรณ์อยู่หลายครั้ง มาจนปัจจุบันก็ยังพบอยู่ เพียงแต่ทุกวันนี้เขาไม่ได้จัดเป็นกิจจะลักษณะเท่านั้นเอง พวกที่เรียนโหรไทยเดิม จะมีข้อห้ามอยู่ข้อหนึ่งว่า ไม่ให้ประกวดประชันขันแข่งพยากรณ์กับใคร เหตุผลหลักก็เพราะว่า เขาถือว่าวิชาโหราศาสตร์มีไว้เพื่อศึกษาเข้าใจชีวิตคน ไม่ได้มีไว้เพื่อพยากรณ์หรือ ลองวิชา โหรจะพยากรณ์ในสิ่งที่ยังไม่รู้และคาดว่าจะเป็นไปเท่านั้น ไม่ใช่พยากรณ์ทำนายสิ่งที่รู้แล้ว แต่มาปกปิดไว้ไม่ให้รู้ เพราะถือว่าเป็นการลองวิชา ดังนั้น จึงมีเพียงผู้ไม่ถือข้อห้ามนี้ เข้าแข่งขันบ้าง เพราะดูเหมือนเป็นเรื่องท้าทายความสามารถ

อันที่จริง การแข่งขันพยากรณ์ที่จัดอยู่ทุกแห่งนั้น แต่ละแห่งมักจะวางกรอบกฏเกณฑ์ โดยให้ข้อมูลวันเดือนปีเวลาเกิด และสถานที่เกิดของดวงชะตาที่เป็นปริศนามาให้ แล้วถามเหตุการณ์จร หรือ คุณสมบัติอันใดอันหนึ่งของเจ้าของชะตา ผู้ที่จะแข่งขันต่างได้รับโจทย์เช่นนี้เท่ากันหมด ให้ใช้เวลาเท่ากัน ใครจะตอบตามวิชาใดที่ตนถนัดก็ได้ ผู้ที่ตอบได้ตรง หรือ ใกล้เคียงธงคำตอบมากที่สุดถือเป็นผู้ชนะ เก่งที่สุด กฎเกณฑ์แบบนี้ฟังดูก็ยุติธรรมดี เพราะกรรมการตัดสินก็เลือกได้คนที่มีความยุติธรรมน่าเชื่อถือ

แต่เมื่อเราเห็นข้อกำหนดในการแข่งขันแบบนี้ลองคิดไปถึงสังคมของเราทุกวันนี้ ก็จะเข้าใจว่า หากมีความเข้าใจในการดูดวงชะตาเช่นนี้ แพร่หลายกระจายไปทั่ว นักศึกษาโหราศาสตร์ ก็พลอยนึกไปว่าสิ่งที่กำหนดดังกล่าวก็คือพื้นฐานที่ต้องรู้ในการทำนายดวงชะตานั่นเอง และผลการแข่งขันเช่นนั้นเป็นเครื่องแสดงว่า “ใครแน่กว่าใคร” มีบางสิ่งที่แฝงอยู่ เป็นความไม่เข้าใจธรรมชาติของโหราศาสตร์ตรงนี้ ทำให้ทุกวันนี้ ผู้มาหาโหรเพื่อทำนายดวงชะตาก็เข้าใจผิดตามไปด้วย จะแยกให้ดูเป็นข้อๆ ลองคิดตามดูหน่อย

ข้อแรก การบอกวันเดือนปีเวลาเกิด สถานที่เกิด จะสอดคล้องโหราศาสตร์เพียงบางระบบเท่านั้น โดยโหราศาสตร์บางระบบจะใช้ข้อมูลตรงนี้เป็นหลักเพื่อพยากรณ์ แต่ก็มีโหราศาสตร์บางระบบที่ไม่ได้ใช้ข้อมูลตรงนี้ “เป็นหลัก” เช่น โหราศาสตร์ไทย จะใช้การสอบลัคนา ซึ่งจำเป็นต้องรู้ข้อมูลอื่นๆเกี่ยวกับเจ้าชะตา ที่ถัดออกไปจากวันเดือนปีเกิด หรือ โหราศาสตร์ที่ใช้การเสี่ยงทายไพ่ หรือ โหงวเฮ้ง หรืออุปกรณ์อื่น ควรมีตัวเจ้าชะตาอยู่ด้วยในขณะนั้น เพราะจะต้องอาศัยธรรมชาติในตัวเจ้าชะตาเพื่อต่อสัมพันธ์กับธรรมชาติปัจจุบันที่ใช้ในการทำนาย แม้โหราศาสตร์ในระบบเดียวกัน ก็ยังมีเทคนิคแยกย่อยไปอีกหลายประการ ดังนั้น การกำหนดกฎเกณฑ์เพียงข้อมูลเวลาเกิด จึงไม่พอเพียงแก่โหราศาสตร์บางระบบที่ใช้เหตุและผล ไม่ได้ใช้สถิติเป็นหลัก ยิ่งนำมาใช้แข่งขันเพียงเพราะคิดเอาเองว่ายุติธรรมแล้ว จึงไม่ถูก ทำนองเดียวกับ เชิญ นักกีฬาแชมป์โลกเทนนิส ฟุตบอล ว่ายน้ำ ปิงปอง หมากรุก ให้มาตีกอล์ฟ แข่งขันกับ แชมป์โลกกอล์ฟ คิดว่าเพื่อความยุติธรรมก็ให้ทุกคนมีไม้กอล์ฟเหมือนกัน อุปกรณ์ตีกอล์ฟเท่ากัน เพราะว่าเป็น “นักกีฬา” เหมือนกัน

ข้อสอง เป็นความเข้าใจผิดว่า มนุษย์เราเป็นพวกเดียวกันหมด แต่ความจริงมนุษย์มีหลายพวก ข้อนี้เป็น หลักการเฉพาะของโหราศาสตร์ตะวันออกดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบัน บรรดาครูโหรก็ยังใช้อยู่ ข้อเท็จจริงก็คือมนุษย์เราที่เห็นอยู่ทั่วไปนี้ ไม่ใช่พวกเดียวกันหมด แม้ว่าเราจะดูเหมือนมีหน้าตา รูปร่างจิตใจเหมือนกัน ทำอะไรต่ออะไรคล้ายกันก็ตาม ฟังดูเหมือนกับเป็นเรื่องตลก แต่เมื่อเรียนความรู้โหราศาสตร์ลึกๆเข้าเราจะรู้ว่า เรื่องบางเรื่อง โหราจารย์ ตั้งแต่สมัยโบราณจำแนกบุคคลตามกลุ่มพวก เพราะอะไร อย่างเช่น การ จำแนกราศีประเภท อำพุ ปัศวะ กีฏะ นระ หรือ มีการจำแนกเกณฑ์คำนวณต่างๆหลายแบบ เช่น จำแนกตามธาตุบ้าง ตามราศีบ้าง พวกเราส่วนใหญ่คิดว่าการจำแนกเหล่านี้ ก็คือ สิ่งเดียวกัน แต่คุณสมบัติต่างกัน แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว นี่คือการจำแนกสิ่งที่ไม่ใช่พวกเดียวกัน พอๆกับบอกว่า เรามีมนุษย์จากดาวดวงอื่นคนละดาว มาอยู่ร่วมกันนั่นเอง ต่างจากโหราศาสตร์ เช่นทางตะวันตก มักจะใช้วิธีทำนายมนุษย์ที่เท่าเทียมกันหมด

นี่เป็นข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ ในเมื่อมนุษย์เรามีหลายพวก การทำนายหรือหลักที่ใช้จึงมีหลายวิธี หรือ เรียกแบบปัจจุบันก็คือ มีหลายมาตรฐานด้วย บรรดาโหรรุ่นเก่าจึงมีวิธีดูดวงชะตาหลายวิธี ตามแต่ชนิดของดวงชะตา ผู้ที่ชำนาญ เมื่อตรวจพบว่าดวงชะตาที่เห็นตรงหน้า ไม่อาจจะใช้วิธีใดได้ ก็จะหันไปใช้อีกวิธีหนึ่ง จึงจะใช้ได้พอเหมาะพอดี มีแต่บางคนที่เรียนหลายตำรามากๆเข้า ก็จะเอาวิธีพยากรณ์มารวมกันหมด แล้วใช้หมดทุกวิธีเพราะคิดว่าเป็นวิชาเดียวกัน หรือไม่ก็ใช้วิธีเดียวในการทำนายทุกดวงชะตา ในเมื่อมนุษย์เรามีหลายพวก การนำเอาดวงชะตาใดชะตาหนึ่งมาทำนายด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง จึงอาจจะแม่น หรือไม่แม่น เพราะดวงชะตานั้นเอง และวิธีที่ไม่เข้ากันก็ได้

ข้อสาม มนุษย์เราอยู่ในกฎธรรมชาติที่มีหลายกฎ เช่น กฎแห่งกรรมด้วย ดังนั้น ชะตากรรมของคนผู้หนึ่ง ก็จะเป็นผลมาจากกรรม หรือ เหตุปัจจัยที่รับเอามา หรือกระทำหลายอย่าง ผลนั้นเกิดจากเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเหตุธรรมชาติ หรือ เหตุที่เจ้าชะตากระทำ ก็ทำให้ผลเปลี่ยนแปลงไปได้ การที่พิจารณาดวงชะตา แล้วพยากรณ์เอาว่า เจ้าชะตาจะมีเหตุดังนั้นเกิดขึ้น เป็นเพียงการอนุมานเอาเท่านั้นเอง โดยเชื่อว่าหากเป็นไปตามเหตุเหตุเดียวนี้ ก็จะเกิดผลเป็นดังนั้น แต่โหราศาสตร์ดั้งเดิมเชื่อว่าเหตุนั้นมาจากหลายทางเป็นหลายเหตุ จึงไม่ได้ชี้ผลได้ชัดเจนแน่นอน ดังที่มีในพุทธประวัติ บรรดาพราหมณ์ที่เป็นโหราจารย์พยากรณ์ว่า พระกุมารสิทธัตถะ หากครองสมบัติทางโลกก็จะได้เป็นมหาจักรพรรดิ์ หรือ หากออกบวช ก็จะบรรลุธรรมได้เป็นพระพุทธเจ้า โหราศาสตร์ไทยเดิมก็เช่นกัน ครูโหรจะสอนให้ตรวจความเป็นไปของเจ้าชะตา ทั้งดวงเดิม และดวงจร ให้รู้ทางเดินจริงของชะตา ที่เจ้าชะตาได้เดินมา โดยไม่รู้ผลความเป็นไปล่วงหน้า เมื่อรู้แล้วจึงจะให้พยากรณ์ทางที่จะก้าวเดินต่อออกไป ดังนั้น การที่ โจทย์ บอกเพียงวันเดือนปีเกิด แล้วให้ทำนายผลแน่นอนจากข้อมูลนี้ จึงข้อมูลเหตุที่ไม่กระจ่างชัด

ข้อสี่ โหราศาสตร์ไม่ได้เรียนรู้ทุกปัจจัยธรรมชาติ โหราศาสตร์ส่วนใหญ่ใช้ดาวเพียง 7 – 10ดวง หรือ บางระบบก็ใช้ปัจจัยอื่นร่วมด้วยอีกหลายสิบหลายร้อย โหราศาสตร์ไทยแบบดวงอีแป่ะเองแม้จะใช้ดาว 10 ดวง และ ราศี 12 ราศี ดูง่าย แต่ เพียงปัจจัยแค่นี้ ยังสังเคราะห์ให้เกิดปัจจัยสำคัญที่เป็นส่วนร่วม หรือ เอกเทศได้ อีกหลายสิบปัจจัยที่ใช้พิจารณาดวงชะตาดวงเดียว หรือ ประเด็นเดียว แต่ที่นักเรียนมักนึกว่าปัจจัยที่ตนใช้ แค่ไม่กี่อย่างนั้น คือ “ทั้งหมด” แล้ว เวลาโพสต์เถียงกับใคร วิเคราะห์หรือทำนายอะไร มัก “ฟันธง” ด้วยดาวดวงเดียว หรือ แค่ 2 – 3 ดวงเท่านั้นเอง พอใครถูกใครผิดก็มักเย้ยหยันกันกลายเป็นเรื่องของใครเก่งกว่า ใครแน่กว่าใคร ในขณะที่ครูโหรเก่าๆ แม้อาจจะตรวจสอบดวงชะตาดวงหนึ่งๆนานนับเป็นสัปดาห์ ก็ยังไม่เคย “ฟันธง” ให้ใครเลย นักวิเคราะห์ดวงชะตาบางคนก็มักใช้ดาวแค่ดวงเดียวหรือสองดวงมาอธิบาย แล้วก็พลอยตำหนิคนที่ไม่ทำอย่างเดียวกันว่าเป็นคนใจคับแคบเพราะเหตุที่ไม่อธิบายว่าทำนายโดยใช้ดาวดวงไหน

ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ชีวิตของเราทุกวันนี้ มาจากปัจจัยที่ซับซ้อนมากมาย วิธีที่โบราณสร้างโหราศาสตร์ให้เราใช้นั้น ได้เลือกสิ่งที่เป็น ส่วนเล็กน้อยในธรรมชาติของสิ่งที่เรา “พอรู้”เท่านั้นเอง เพียงแต่สิ่งที่เราเลือกมาสร้างโหราศาสตร์นั้น มีความสอดคล้อง “ใกล้เคียงที่สุด” เท่าที่เราพอจะหาได้ แต่ไม่ใช่สิ่งที่ “ตรงที่สุด” เราจึงสันนิษฐานได้ว่า มีสิ่งที่สำคัญแต่เรายังไม่รู้อยู่อีกมาก ดังนั้น เหตุการณ์ธรรมชาติ หรือ เหตุการณ์ที่เราเข้าไปมีส่วนร่วมหลายอย่าง เราจึงทำนายไม่ได้ด้วยระบบโหราศาสตร์สามัญที่ใช้กันอยู่ อย่างเช่น เมื่อเราเอาดวงชะตาของคนทั้งแสนคนที่ถูกคลื่นยักษ์สึนามิพรากชีวิตไปเมื่อสองปีก่อนมาทำนาย หากเราพยากรณ์ได้แม่นตรงจริง เราจะต้อง “ฟันธง” ได้ว่าคนทั้งหมด “เสียชีวิต” แน่นอน ทั้งแสนดวงชะตา

การที่โหราศาสตร์ระบบหนึ่ง ต่างจากระบบอื่น โดยอาจจะมีข้อจำกัดมากน้อยกว่ากัน ไม่ใช่ความผิด เหมือนกับการใช้ตัวอักษร และไวยากรณ์ในภาษาที่แตกต่างกันในชนชาติต่างๆ เพราะโหราศาสตร์เป็นการศึกษาธรรมชาติที่แตกต่างกันคนละกระแส หากจะนำมาเปรียบเทียบกัน เราก็ต้องเข้าใจให้ถูกต้องด้วย การที่จะพยากรณ์คนทั่วไปนั้น ที่จริงโหราศาสตร์ทุกแขนงก็ต้องการข้อมูลมากทั้งนั้น เพราะเป็นวิชาที่ใช้เหตุผล แต่ด้วยเหตุที่มักมีเรื่องเล่าขานกันถึงการพยากรณ์แบบ “ไม่ต้องบอกอะไรก็รู้” รวมทั้งมีการโอ้อวดกันมากในสังคมเพื่อโฆษณาตัวเอง ทำให้ผู้คนเข้าใจกันผิดๆ ผู้ทำนายจึงมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับผู้วิเศษ รวมทั้งมีผู้นำเสนอวิชาที่ทำนายโดยที่ผู้ถามไม่ทันถาม ทำนองเดียวกับ วิชา “กาลชะตา” ซึ่งมีวิชาโหราศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้นักเรียนโหราศาสตร์เชื่อเป็นจริงเป็นจัง เป็นตุเป็นตะ ใครไปบอกว่า “ไม่จริง” เป็นอันต้องทะเลาะกัน อันที่จริงวิชาเหล่านั้น เช่น กาลชะตา ก็ดี ต้องใช้โดยมีโอกาส รวมทั้งจังหวะที่เหมาะสม และเป็นความสามารถพิเศษเฉพาะตัวของผู้ใช้ และเพียงใช้ทำนายเรื่องบางเรื่องโดยสังเขปเท่านั้น ผู้ที่ใช้โดยไม่รู้ อาจจะเข้าใจผิดได้


วรกุล - 25 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:57น. (IP: 203.107.204.37)

ความคิดเห็นที่ 41
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับระบบธาตุในมนุษย์ค่ะ ในกรณีที่คนๆ หนึ่งต้องประสบเคราะห์กรรม ด้วยอุบัติเหตุ หรือ ถูกทำร้ายโดยกระทันหัน จนทำให้ตกอยู่ในอาการ deep-coma อาจจะคงมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ ไม่รู้สึกตัวเลย แต่เวลามีคนไปพูดที่ข้างหู เขากลับมีน้ำตาไหลออกมา หรือมีบางกรณีที่มีสภาพเป็น เจ้าชาย/เจ้าหญิงนิทราทั้งหลายนั้น อธิบายเหตุผลทางระบบธาตุของโหราศาสตร์ได้อย่างไรคะ แล้วอย่างนี้ จิต (ที่ไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์) ของเขายังทำงานอยู่หรือเปล่าคะ

ถ้าต้องจบชีวิตลง การดับของธาตุทั้งหมดในมนุษย์ จะต้องผ่านออกจากทางลัคนา เหมือนเมื่อเวลาเกิดหรือไม่คะ

กราบขอความกรุณาอาจารย์อธิบายกลไกการทำงานของธาตุให้ฟังด้วยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 25 พฤษภาคม พ.ศ.2549 11:48น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 42
ตอบ 47 คุณสุธาวาส...........เวลาพูดถึงระบบธาตุของมนุษย์ กับ ระบบธาตุในโหราศาสตร์ นั้นต่างกันนะครับ ระบบธาตุของมนุษย์ที่เราเห็นเป็นสิ่งปรากฏนั้น แม้จะมีองค์ประกอบเป็นรูปธรรมนามธรรมอย่างใด ก็เป็นไปตามธรรมชาตินั่นเอง ความเปลี่ยนแปลงทางรูปธรรมก็ต้องยึดถือสิ่งที่วิทยาศาสตร์และปรัชญาได้ศึกษาเอาไว้ ส่วนที่เป็นนามธรรมก็อธิบายไว้ทั้งในเชิงศาสนา และปรัชญาด้วยเหมือนกัน แต่ระบบธาตุทางโหราศาสตร์ หรือ โหราศาสตร์ทุกระบบ มีลักษณะเป็นแบบจำลอง (model) ของธรรมชาติ เพื่อที่จะใช้อธิบายเหตุและผลที่เป็นปัจจัยองคประกอบของเรื่องในขอบเขตจำกัดที่เรากำลังพิจารณา

คุณรู้จักคำว่า แบบจำลอง (model)ไหม หากที่เราเห็นกันทั่วไป ง่ายๆหน่อย ก็คือแบบจำลองของบ้าน เวลาเขาขายบ้าน จะมีโมเดลเล็กๆทำด้วยกระดาษให้ดู แต่บางคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์จะรู้จักแบบจำลองทางเศรษฐกิจ หรือที่ ลึกมากหน่อย อาจจะเป็นแบบจำลองทางเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่หุ่นเล็กๆรูปประเทศ แต่เป็นรูปแบบสมการทางคณิตศาสตร์ ที่เราอาจจะใช้เพื่อพยากรณ์ผลที่จะเกิดขึ้น เมื่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ อะไรต่ออะไรเปลี่ยนแปลง บางคนที่เรียนวิชาอื่นก็อาจจะเจอโมเดลทางคณิตศาสตร์ และ โมเดลฟิสิกส์ของจักรวาลบ้างก็มี

ระบบโหราศาสตร์ก็เป็นโมเดลชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่อาจจะไม่เหมือนกันทุกระบบทีเดียว โหราศาสตร์ตะวันตกอาจจะใช้ดวงชะตาเพื่อสื่อความหมายของดาวและท้องฟ้า ทั้งทางปรัชญาและสิ่งที่ปรากฏ เมื่อคำนวณทางตัวเลขคณิตศาสตร์ก็พยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นจากปัจจัยดังกล่าวได้ แต่โหราศาสตร์ไทย ที่มีพื้นฐานมาจากธาตุซึ่งจะมีข้อกำหนดที่แตกต่างออกไป ดวงชะตาที่เห็นเป็นดวงชะตาแบบไทยที่มีเส้นขนานตัดกันเป็นช่องสี่เหลี่ยมตรงกลางนั้น เป็นโมเดลของธาตุในจักรวาล ไม่ใช่ท้องฟ้า การที่มีข้อกำหนดว่าธาตุไหลเข้าไหลออกทางลัคนานั้น ไม่ได้มีความเป็นอยู่จริงๆ ลัคนาก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติอย่างหนึ่ง โหราศาสตร์กำหนดว่าลัคนาเองเป็นเพียงปัจจัยที่คล้ายดาวเท่านั้น แต่ไม่ว่าดวงชะตาของโหราศาสตร์ระบบใดก็ไม่ใช่ของจริงทั้งนั้น เช่น เราบอกว่า “เสาร์ทับจันทร์ จะพลันร้าย......” ดาวเสาร์จะมาทับดวงจันทร์ได้อย่างไร ขืนทับจริงจักรวาลเราก็พังไปนานแล้ว ถ้าใช้ภาษาสามัญ ก็ต้องพูดว่า ดวงชะตาทางโหราศาสตร์ทุกระบบ เป็นเพียง “สมมุติบัญญัติ” เท่านั้นเอง

คนผู้หนึ่งที่ต้องสูญเสียคุณสมบัติของร่างกายเพราะอุบัติเหตุ หรืออะไรก็ตาม เมื่อเขายังไม่เสียชีวิต ชีวิตที่ดำเนินไปโดยขาดอวัยวะ หรือ การทำงานบกพร่องไป ก็เหมือนคนพิการ ธาตุส่วนที่เป็นอวัยวะนั้นเมื่อแทนที่ด้วยดาว เช่นสมมุติคือ อังคาร – ศีรษะ สมอง ก็แสดงว่าดาวนั้น เมื่อแสดงเป็นรูปธรรม รูปธรรมนั้นก็สูญสิ้นไป หรือหยุดชะงัก แต่ดาวแต่ละดวงแสดงได้หลายความหมาย อังคารเองอาจจะเป็น การงาน ญาติพี่น้องของเขา หรือ การขับถ่าย การขับถ่ายของเขาก็ยังดำเนินได้อยู่ หากอังคารมีความหมายเป็นสิ่งปรุงแต่งจิต ก็ยังเป็นกิเลส ความอยาก อะไรต่อมิอะไรติดอยู่ จะลบออกไปไม่ได้ เพราะหากลบกิเลสได้วิธีนี้ เราทำลายศีรษะ (อังคาร) ทิ้งเสีย ก็สิ้นกิเลส เพราะไม่คิดอะไรต่อไปอีกได้หรือเปล่า ดังนั้น เมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ จิตก็ยังอยู่ โหราศาสตร์ก็ยังอ่านจิตใจของเขาได้อยู่ หากเขาเสียชีวิตแล้วจิตก็เปลี่ยนเป็นจิตอื่น หรือ ปฏิสนธิ ดวงชะตาที่เคยเป็นโมเดลสำหรับตัวเขา ก็ไม่เกิดความหมายอีกต่อไป

เมื่อชีวิตสิ้นสุดลง ธาตุเดิมทั้งหมดที่ไม่มีผู้ยึดถือเอาก็กลับสู่ธรรมชาติ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นมหาภูตรูปก็กลับสุ่ธรรมชาติ เมื่อความหมายรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นตัวตนขาดหายไป ลัคนาที่บังเกิดเพราะความยึดเอาอัตตาก็หายไป จิตก็ไปยึดสิ่งอื่นๆเป็นอัตตาต่อไปใหม่ เมื่อลัคนาหายไป โมเดล คือดวงชะตานี้ก็ไม่ได้แสดงความเป็นตัวเจ้าชะตาอีก การที่โมเดลสมมุติว่าธาตุ เข้าทางลัคนา แล้วไหลเวียนทวนเข็มนาฬิกาไปออกทางลัคนาซ้ำอีกก็ไม่ได้คงสภาพเป็นโมเดลอีกต่อไป ไม่มีอะไรเข้าอะไรออก ไม่มีอะไรหมุนเวียน ก็เหมือนโมเดลบ้านทำด้วยกระดาษที่ถูกถอดออกเป็นชิ้นๆสูญไป ส่วนบ้านจริงๆนั้น จะเป็นอย่างไรก็เปลี่ยนแปรผันสลายไปตามกฎธรรมชาตินั่นเอง


วรกุล - 27 พฤษภาคม พ.ศ.2549 04:56น. (IP: 203.107.204.33)

ความคิดเห็นที่ 43
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ที่กรุณาอธิบายเปรียบเทียบ คิดว่าเข้าใจได้ชัดเจนขึ้นอีกหน่อยแล้วค่ะเหมือน “เส้นผมบังภูเขา” นะคะ อย่างนี้เองที่อาจารย์พร่ำสอนว่า การเรียนโหราศาสตร์จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์ เพื่อคอยสั่งสอน และชี้แนวทาง ไม่ให้พลัดหลงเข้าพงเข้าป่า เพราะความเข้าใจคลาดเคลื่อนเพียงนิดเดียว

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 29 พฤษภาคม พ.ศ.2549 17:05น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 44
เรียนท่านอาจารย์วรกุล ที่เคารพครับ

ผมอยากทราบว่า มาตรฐานดาว "มหาจักร" นั้น มีที่มาอย่างไร (คืออยากทราบว่า ทำไมดาวนี้จึงต้องเป็นมหาจักรที่ราศีนี้, ดาวโน้นเป็นมหาจักรที่ราศีโน้น)

ขอขอบพระคุณมากครับ


นกกระจิบ - 30 พฤษภาคม พ.ศ.2549 16:31น. (IP: 161.200.118.226)

ความคิดเห็นที่ 45
ตอบ 51 คุณ นกกระจิบ...........เข้าใจสิ่งที่คุณอยากทราบ แต่คำถามนี้ตอบง่ายๆไม่ได้ครับ ขอไม่อธิบายเรื่องที่มาของ “มหาจักร” ตัว มหาจักรเองไม่ใช่ความลับอะไรนัก แต่มีเทคนิคบางอย่างที่เกี่ยวกับดาวบางตำแหน่ง หรือ ดาวมาตรฐานบางอย่าง มีกฎเกณฑ์ซ้อนมาหลายกฎเกณฑ์ ถ้าบอกก็ต้องอธิบายให้หมด ไม่อย่างนั้นก็ไม่เข้าใจอะไร ถึงจะไม่รู้ที่มา แต่คุณนำมาใช้เป็นดาวที่ดีเด่นธรรมดาก็พอใช้ได้พอสมควร ดาวมหาจักร มีอยู่ในวิชา “มหาจักร” ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งในโหราศาสตร์ไทย จะถือเป็นทรัพย์สินทางปัญญาอย่างหนึ่งก็ได้ บ้านเราไม่ค่อยจะมีศีลธรรมจรรยา อย่างหนังสือตำรา ลอกได้ก็ลอกแล้วใส่ชื่อตัวเองเป็นคนแต่ง และแถมเขียนด่าคนที่ให้ลอกด้วย ก็มีคนเคารพนบไหว้เป็นศิษย์กันทั่วบ้านทั่วเมือง


วรกุล - 31 พฤษภาคม พ.ศ.2549 05:03น. (IP: 203.107.205.70)

ความคิดเห็นที่ 46
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จะต้องขึ้นข้อเขียนใหม่ จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 15....ครับ..........


วรกุล - 4 มิถุนายน พ.ศ.2549 13:43น. (IP: 203.107.204.67)

ความคิดเห็นที่ 47
สวัสดีค่ะ อาจารย์วรกุล

ดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามอาจารย์เรื่องการทำบุญค่ะ ดิฉันอยากทำบุญให้แม่ค่ะ (ยังมีชีวิตอยู่) เนื่องจากว่าพ่อแม่ดิฉันเลิกรากันไปตั้งแต่ดิฉันยังเล็กอยู่แล้วดิฉันอยู่กับพ่อมาตลอด ไม่ค่อยได้ติดต่อกับแม่เลย (พ่อกับแม่เลิกกันไม่ค่อยดีค่ะ) ถ้าจะได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อแม่มาหาเท่านั้น ซึ่งก็นานๆ ที แม่ไปอยู่กับพี่ๆ ของแม่ในช่วงแรกๆตอนหลังก็มาอยู่คนเดียวแต่อยู่บ้านของพี่สาวแม่เพราะพี่ๆของแม่ทุกคนก็มีครอบครัวของตัวเอง ดิฉันทราบมาตลอดว่าแม่ก็มีชีวิตที่ลำบากพอสมควร แต่เนื่องจากดิฉันอยู่กับพ่อ แล้วพ่อห้ามไม่ให้คุยหรือติดต่อกับแม่ค่ะ ทุกครั้งที่แม่มาหาดิฉัน พ่อจะอารมณ์เสียและด่าทุกครั้งเลยค่ะ ด่าแม่บ้าง ด่าดิฉันบ้าง (เค้าไม่เจอกันค่ะ เวลาแม่มาดิฉันก็จะพาแม่ออกไปทานข้าวแล้วคุยกันข้างนอกค่ะ) พอพ่อรู้ว่าดิฉันให้เงินแม่ใช้บ้าง พ่อก็ว่าดิฉันว่าไม่สำนึกบุญคุณที่เค้าเลี้ยงมา ดิฉันเคยบอกพ่อไปว่าถ้าการงานดิฉันดีกว่านี้ดิฉันจะหาบ้านให้แม่อยู่และให้เงินใช้แม่จะได้ไม่ต้องไปอยู้บ้านพี่สาวอย่างนั้น ส่วนพ่อดิฉันก็จะดูแลและอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้แหละ ปรากฏว่าพ่อดิฉันโกรธมาก ด่าดิฉันว่าเป็นลูกอกตัญญู เนรคุณพ่อ เพราะพ่อต้องลำบากเลี้ยงดิฉัน แต่แม่ไม่ได้เลี้ยง ถ้าอย่างนี้ เอาไปทิ้งข้างถนนไม่ต้องลำบากเลี้ยงก็ดีหรอก ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อยังโกรธ เกลียด และเคียดแค้นแม่อยู่ได้ ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยมา 20 ปีแล้ว ดิฉันเบื่อเวลาที่พ่อพูดถึงแม่แล้วก็ด่าแม่ตลอด หาว่าเพราะแต่งงานกับแม่ชีวิตพ่อถึงไม่เจริญเท่าที่ควรบ้าง อื่นๆ อีกบ้าง

ดิฉันขอคำแนะนำจากอาจารณ์ด้วยค่ะว่าจะทำอย่างไรดี คนนึงก็พ่อที่เลี้ยงเรามา ให้มีกินมีอยู่ได้เรียนหนังสือจนจบ แต่อีกคนก็แม่บังเกิดเกล้าถึงไม่ได้เลี้ยงมา แต่แม่ก็ดีกับดิฉันไม่น้อยเลยค่ะเท่าที่ดิฉันจำความได้ แล้วตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่สามารถจะหาบ้านและเลี้ยงแม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้เพราะติดที่ตอนนี้ก็ต้องผ่อนบ้านที่อยู่กับพ่อค่ะ (เพิ่งซื้อได้ไม่นาน) ก็ได้แต่หวังว่าถ้าธุรกิจที่ทำอยู่ดีขึ้นก็คงจะได้ทำตามเจตนารมณ์ของตัวเอง ตอนนี้ก็ได้แต่ให้เงินแม่ใช้เท่าที่จะให้ได้ แต่ต้องแอบให้ค่ะ ไม่ให้พ่อรู้ ไม่ทราบว่าอาจารณ์พอจะมีคำแนะนำอะไรให้ดิฉันได้บ้างไม๊ค่ะ แล้วเรื่องการทำบุญด้วยค่ะ ว่าต้องทำยังงัยบ้าง ดิฉันไม่ค่อยได้ทำบุญเท่าไหร่ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะบริจาคเงินช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนป่วยหรือสัตว์ค่ะดิฉันอยากทำบุญให้แม่ เผื่อถ้าแม่ได้รับบุญแล้วอาจทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น ในระหว่างที่ดิฉันยังดูแลแม่ได้ไม่มากนัก (แม่สุขภาพเริ่มจะไม่ค่อยดีค่ะ)

ดิฉันขอความกรุณาจากอาจารณ์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


นภาพร - 21 มิถุนายน พ.ศ.2549 18:40น. (IP: 210.246.73.233)

ความคิดเห็นที่ 50
แม่เกิดวันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2521 เวลา ตี - 3

พ่ อเกิดวันอังคารที่ 3 มกราคม 2516 เวลา ตี - 3

ตอนนี้ตั้งท้องได้ 8 เดือนกว่าแล้วค่ะ

กำหนดผ่าคลอดวันที่ 19 พฤศจิกายน 2550 - 10 ธันวาคม 2551 อ

ยากจะได้วันและเวลาคลอดที่เหมาะกับเด็กที่จะเกิดค่ะ ขอบคุณค่ะ รบกวนด้วยค่ะ ส่

งคำตอบได้ที่ [email protected]


smartgirl74 - 13 ตุลาคม พ.ศ.2550 21:31น. (IP: 58.64.120.59)

ความคิดเห็นที่ 51
เกิดวันที่ 13 กันยายน 2510 เวลาประมาณ ดี 4-5 คิดว่าเป็นราศีสิงห์ ชีวิตจะเป็นไงบ้าง ตอนปีใหม่จะเปลี่ยนงานทำจะดีไหม เคยศึกษาเรื่องลัคนาบ้างแต่คนสอนหลายคนจึงสับสนและไม่ได้อะไรมาก ไม่ทรบว่าเปิดสอนหรือเปล่า แพงไม่ค่ะคิดว่าตัวเองพอจะว่างลัคนาได้ แต่ดีความได้ไม่เก่ง และลัดนาจรยังอ่านไม่ได้ ไม่ทราบว่าตำรา ของอ.ทองเจือใข้ได้หรือไม่ค่ะ ช่วยตอบด้วย อยากได้อาจารย์เก่ง ๆ ค่ะ


หมวย - 17 ธันวาคม พ.ศ.2550 14:01น. (IP: 58.8.37.177)