เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 15)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 14 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 15 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.204.67)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
สมมุติว่าเรากับเพื่อนขับรถเดินทางไปเที่ยวในวันหยุดด้วยรถ 2 คัน ออกจากกรุงเทพตรงไหนสักแห่งเป็นจุดตั้งต้น เมื่อผ่านไปหนึ่งชั่วโมง รถของเราอยู่ห่างจากจุดตั้งต้น 100 กิโลเมตร และรถคันที่สองอยู่ข้างหลังเราไป เพียง 1 กิโลเมตร หากเราวัดระยะทางจากจุดตั้งต้น รถคันที่สองก็จะอยู่ห่าง เป็นระยะทาง 99 กิโลเมตรใช่ไหม แต่พอผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง รถคันแรกอยู่ห่างจากจุดเริ่มต้น 237 กิโลเมตร รถคันที่สองอยู่ห่างจากจุดตั้งต้น 236 กิโลเมตร ระยะทางเช่นนี้ เราวัดจาก จุดอ้างอิงตั้งต้น เป็นค่าสัมบูรณ์ อยู่เสมอ แต่อันที่จริงความสนใจของเราและเพื่อนก็คือรถทั้งสองคันที่ไปเที่ยวด้วยกัน เมื่ออ้างอิงจากรถคันใดคันหนึ่ง เราอยู่ห่างกันเพียง 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง นี่เป็นค่าสัมพัทธ์ เมื่อเราไม่สนใจสิ่งแวดล้อมที่ผ่านไปในตอนนี้ เราใช้ค่าสัมพัทธ์คุยกันทางโทรศัพท์มือถือ เราก็จะรู้ว่ารถขับตามกันไปห่างจากคันข้างหน้าเพียงใด หลงกันหรือเปล่า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เราจึงเช็คระยะห่างที่เราอยู่จริงๆจากจุดตั้งต้นอีกครั้ง

โหราศาสตร์ทั่วไปนั้น ยึดทรงกลมฟ้าเป็นกรอบอ้างอิง ดังนั้น ดวงดาวก็ดี จักรราศีก็ดี ลัคนา หรือ เรือนชะตาก็ดี ล้วนแต่ยึดกรอบอ้างอิงจากทรงกลมฟ้า ระยะทางที่วัดในวงกลม หรือ ทรงกลมนั้น จึงไม่ใช่ระยะเชิงเส้น แต่เป็นระยะเชิงมุมเรเดียน หรือ ที่แปลงเป็นองศา ธรรมดาองศาย่อมมีหลักอ้างอิงที่จุดศูนย์กลางของวงกลม และตำแหน่งที่เริ่มต้นวัดมุม และเมื่อกำหนดองศาเริ่มต้นของการวัดมุม เราก็ได้ค่าองศาสัมบูรณ์ในการวัดนั้น หากต้องการค่าสัมพัทธ์ระหว่างปัจจัยสองอย่าง ก็นำมามาหักลบกัน เราจะได้ค่าสัมพัทธ์เชิงมุมที่แม่นยำตรงเผง นี่เป็นการมองในลักษณะเชิงวัตถุ (นิยม)โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานจากผู้สังเกตที่เป็นกลาง

แต่โหราศาสตร์ไทยไม่ได้ทำเช่นนั้น โหราศาสตร์ไทยมีสมมุติฐานว่า ดวงชะตาเป็นโมเดล (แบบจำลอง)ของธาตุในจักรวาล ไม่ใช่ท้องฟ้า ธาตุทั้งหลายไม่ได้มีเพียงวัตถุธาตุที่ไร้ชีวิต แต่ยังมีธาตุในจักรวาลนี้ที่ไม่ปรากฏรูปอยู่อีกมากมาย ทุกคนเราคงจะยอมรับว่า เราเองมีความทุกข์ โศก รัก สนุก เบิกบาน ซึ่งเกิดจากจิตที่รับรู้นามธรรม และแท้ที่จริง จิตใจหรือนามธรรมนั้นก็มีความสำคัญต่อชีวิตมากเท่า หรือ มากกว่ารูปวัตถุด้วยซ้ำไป ชีวิตเรานั้น มักจะถืออัตตาเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ถือศูนย์กลางของจักรวาลที่เป็นจุดอ้างอิงตั้งต้นดั้งเดิม ดังนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ถูกยึดถือเป็นอัตตา ก็จะถือเป็นจุดอ้างอิงได้ในชั่วขณะ อัตตาตัวตนเรา นั้น รวมหมายถืงอัตนียา คือ ของของเราด้วย ดังนั้น สิ่งใดเป็นอัตนียา ก็จะถือเป็นจุดอ้างอิงได้เช่นกัน และค่าต่างๆที่วัดได้ ก็จะเป็นค่าสัมพัทธ์ มุมมองนี้เป็นลักษณะของจิตนิยม + วัตถุนิยม ร่วมกัน หรือ พูดคร่าวๆได้ว่า ถือตามธรรมนิยาม

โหราศาสตร์ไทยแท้ๆมีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่ง คือ การอ่านเรื่องราวด้วยค่าสัมพัทธ์อยู่บ่อยมาก เวลาเราอ่านเรื่องราวในดวงชะตา เราจึงอ้างอิงด้วยจุดอ้างอิงที่ย้ายที่ได้ ภาษาสามัญเรียกว่า แก่น ถือเป็นจุดศูนย์กลางในการมอง อย่างเช่น สมมุติ มี ๖๗ คือ ศุกร์กุมกับเสาร์ ในดวงชะตา เราอาจจะตีความว่า คือ ความรักที่แน่นแฟ้น หรือ ๖๔ คือ ศุกร์กุมพุธ หมายถึงความรักที่หลงใหล นี่เป็นการมองโดยถือเอาศุกร์ (ความรัก) นั่นเองเป็น แก่น อันที่จริงการมองในลักษณะสัมพัทธ์เช่นนี้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก โหราศาสตร์ทั่วๆไปก็มีการมองเช่นนี้ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ โหราศาสตร์ทั่วไปมองแก่น (1) ที่แสดงอยู่ในกรอบอ้างอิงที่จำกัดเขตแน่นอน (rigid) ของ (2) ผู้สังเกตที่เป็นกลาง แต่กรอบการมองแก่นของโหราศาสตร์ไทยมองอยู่ใน (1) กรอบที่ยืดหยุ่น เกิดจากอัตตาที่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งเป็นการมองนามธรรมที่ความยืดหยุ่นยิ่งกว่ารูปธรรม หรือ วัตถุ และเป็นการมองจากทัศนะของ (2) อัตตาเอง กรอบที่ยืดหยุ่นของการมองในโหราศาสตร์ไทยนั้น จะแปรเปลี่ยนไปตามปัจจัยองคประกอบในแต่ละดวงชะตาที่มักไม่เหมือนกัน

การยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นแก่นเพื่ออ่านรายละเอียดที่ปรุงแต่งออกไป อาจจะทำทั้งดาว และเรือนก็ได้ อย่างเช่น การยึดเรือนกดุมภะเป็นแก่น หมายถึงการเงิน ดังนั้น กดุมภะ + ปุตตะ จึงหมายถึง รายได้จากการเสี่ยง กดุมภะ + มรณะ หมายถึง ทรัพย์สินมรดก กดุมภะ + ศุภะ หมายถึง เงินช่วยเหลือ ***้ยืม อะไรแบบนี้ ที่เราอ่านเรือนสัมพันธ์กันมา เป็นแบบการขยายความโดยมีแก่นเป็นกรอบเล็ก หรือ เมื่อชำนาญขึ้น ในการดูลัคนาจร ชันษาจร เราก็อาจจะเลือกใช้เรือนเป็นแก่น ตั้งเสมือนลัคนา เพื่ออ่านรายละเอียดรอบตัวที่กว้างกว่า ที่เรียกโดยสามัญว่า “การหมุนเรือน” หรือ บางอาจารย์เรียกว่า “โยก” เข้าหาแก่น แบบนั้นก็ได้ นี่เป็นเคล็ดที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทยเป็นส่วนมาก เรามักพบเห็นเทคนิคเช่นนี้ในการพยากรณ์จากดวงชะตา แต่ พวกวิชาวงจรธรรมชาติ ก็มีเคล็ดการใช้แก่นเช่นนี้เหมือนกัน

การมองแก่นโดยใช้สิ่งที่มองเห็นเป็นรูปธรรมนั้นไม่ยากนัก แต่การมองแก่นที่เกิดจากนามธรรมนั้นยากกว่า พวกอารมณ์ ความรู้สึก ความมุ่งหวัง ความชอบ ความเกลียด ล้วนเป็นแก่นที่จับยาก เพราะธาตุเองมีปฏิกิริยาต่อเนื่องไปหลายระดับ ดังนั้น เราจึงมักต้องการที่จะพยากรณ์เรื่องราวให้ถูกเสียก่อนที่จะบอกว่า เจ้าชะตารู้สึก หรือ มีความเห็นต่อสิ่งที่เกิดขึ้นไปในทางใด

เพราะเหตุนี้ การสอนโหราศาสตร์ไทยแท้ดั้งเดิมนั้น การที่ผู้ที่รับการถ่ายทอดจะสามารถเข้าใจการมองเหตุและผลที่เกิดจากนามธรรม จึงเป็นเรื่องยาก หากไม่ได้พบครูผู้สอนตัวต่อตัว ที่จะได้เรียนรู้ความคิดของผู้เรียนขณะที่สอนและมองไปด้วยกันแล้ว การสอนด้วยตัวหนังสือซึ่งใช้ตัวอักษรคำพูดตายตัวแทบจะเขียนไม่ได้ ยิ่งมาอยู่ในสมัยนี้ สมัยที่ผู้เรียนจำนวนหนึ่งเรียนไปเพื่อที่จะออกไปหารายได้พิเศษมาเสริมในครอบครัว ด้วยการตั้งโต้ะพยากรณ์ อยากจะได้อะไรที่ง่ายๆ อ้างตัวหนังสือได้ หรือ ผู้เรียนบางคนที่ไม่มีเจตนาเช่นนั้น แต่สิ่งแวดล้อมในโลกวัตถุดิจิตอลปัจจุบัน ก็อยากได้สิ่งที่แน่นอนชัดเจน มากกว่าหลักการที่ต้องมาคิดต่อ

แต่ตามความเป็นจริงนั้น การที่โหราศาสตร์ไทยใช้การพิจารณามากกว่าการตรึงหมุดยึดลงไปแน่นอนนั้น จะตรงกับความเป็นจริงในชีวิตมากกว่า เพราะการกระทำก็ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในธรรมชาติก็ดี ล้วนมีธรรมชาติเปลี่ยนแปลงผันแปรไปทั้งสิ้น ชะตากรรมของมนุษย์ ไม่ได้ลิขิตมาเข้มงวดจากท้องฟ้า แต่จะขึ้นอยู่กับตัวเราเองเป็นผู้เลือกกระทำตามโอกาสที่เปิดให้ ธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกแวดล้อมภายในให้เราระบายออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้น การกำหนดจุดศุนย์กลางจากตัวเรา หรือ ความรู้สึกไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเรา แล้วก่อกรรมออกมา จึงสามารถชี้สิ่งบังเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า ตรงกับความเป็นจริงมากกว่า และนี่ก็เป็นหลักการส่วนมากของโหรทางตะวันออกด้วย


วรกุล - 4 มิถุนายน พ.ศ.2549 13:47น. (IP: 203.107.204.67)

ความคิดเห็นที่ 2
ชอบความเห็นในครั้งนี้มากเลยครับ รู้สึกเข้าใจในธรรมชาติมากยิ่งขึ้นครับผม

หวังว่าอาจารย์คงเป็นร่มโพธิ์ร่มไทร ให้ความรู้ ข้อคิดดี ๆ อีกนาน ๆ นะครับ และหวังว่าสุขภาพอาจารย์คงแข็งแรงดี


เฟรด - 5 มิถุนายน พ.ศ.2549 13:37น. (IP: 58.8.183.231)

ความคิดเห็นที่ 3
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

สุดสัปดาห์นี้น่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสงบของบ้านเมืองเราที่สุด ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ นะคะ แล้วอาจารย์มีโอกาสได้หยุดพัก หรือ ไปชมขบวนเรือพระราชพิธี ความอลังการแห่งสายน้ำ บ้างไหมคะ...

อาจารย์คะ มีคำถาม ที่ขออนุญาตเรียนถามแบบงงๆ นะคะ คือไม่แน่ใจว่า ตั้งคำถามถูกหรือเปล่าค่ะ แต่เชื่อว่าอาจารย์เข้าใจหนูนะคะ...

ถ้าจิตคือนามธรรม (นามธาตุ) ที่ว่า “เมื่อชีวิตหนึ่งจบลง จิตจะมีการเปลี่ยนไปเป็นจิตอื่น หรือปฏิสนธิ” นั้น ถ้าจะมองทางโหราศาสตร์ไทย คือ การเปลี่ยน ระบบ และ ระดับของ จิต(นามธาตุ) หรือเปล่าคะ แล้วจิตที่ปฏิสนธิใหม่นั้น จะยังมีพลังงานธาตุจากจิตเดิมสะสม มาด้วยไหมคะ

การที่คนบางคนรับรู้จากมโนภาพของตัวเองว่า ตัวเองเคยเกิดในสมัยนั้น เป็น คนนั้น คนนี้ หรือเคยผูกพันกับ บุคคล หรือสถานที่นี้ จะมีความเกี่ยวพันกันกับ จิต(นามธาตุ) ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้หรือเปล่าคะ

ที่อาจารย์บอกว่า “....ชะตากรรมของมนุษย์ ไม่ได้ลิขิตเข้มงวดจากท้องฟ้า แต่จะขึ้นกับตัวเราเองเป็นผู้เลือกกระทำตามโอกาสที่เปิดให้ ธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกแวดล้อมภายในให้เราระบายออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้น การกำหนดจุดศูนย์กลางจากตัวเรา หรือ ความรู้สึกไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเรา แล้วก่อกรรมออกมา จึงสามารถชี้สิ่งบังเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า ตรงกับความเป็นจริงมากกว่า......”

การยึดถือ อัตตา และ อัตนียา ที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมากมายนั้น ตัวการสำคัญคือ จิต ของเราเองใช่ไหมคะ

แล้วถ้าตัวการสำคัญคือจิต อย่างนี้แปลว่า โหราศาสตร์ไทยมุ่งการศึกษาธรรมชาติซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ จิต ทำหน้าที่หรือคะ และเป็นเพราะการอ่านจิต(นามธาตุ) เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เราจึงต้องศึกษาจากธรรมชาติเหล่านั้นแทนหรือคะ

ที่จริงยังมีอีกหลายคำถามมนะคะ แต่ขอรอความกระจ่างจากอาจารย์ก่อนดีกว่าค่ะ เพราะถ้าเพลี่ยงพล้ำตกคูตกคลองไปจะได้ปีนกลับขึ้นมาบนไหล่ทางทันค่ะ กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 7 มิถุนายน พ.ศ.2549 18:17น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียน อ.วรกุล ...

ผมอยากเรียนถาม อ.วรกุล ว่า แก่น ของความหมาย เรือน ทั้ง 12 เรือน มี แก่น ในความหมายของแต่ละเรือนอย่างไรครับ คล้ายจำได้ว่า อ.วรกุล เคยเขียนว่า ความหมายดาว ของ ดาวศุกร์ มายถึง สอดคล้องประสานกัน ทำให้ขณะนี้ผมมีความรู้สึกอยากทราบ "นัย ความหมาย" ของเรือนทั้ง 12 เรือน เท่าที่ทวนความทรงจำของผมได้ ณ.ขณะเวลานี้ อ.วรกุล เอง หรือ อ. สส เคยให้ใช้ความคิดในการอ่านตีความเอาเอง เพื่อ พุทธิปัญญา ของแต่ละบุคคล แต่ตอนนี้ อยากรบกวน อ.วรกุล เฉลย นัยแห่งความหมาย ทั้งเพียงผิวเผิน และในเชิง ลึกซึ้ง เพื่อความเข้าใจในการอ่านเรือนได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

หากแม้ว่ายังไม่ถึง บทเรียน ที่ อ.วรกุล วางไว้ว่าจะเขียน หรือ ยังไม่ถึงเวลา เพราะอาจเป็นการข้ามขั้นตอนในลำดับการเรียน ก็ขอ อ.วรกุล แนะนำด้วยครับ

ในความหมาย เรือน ตามตัวอักษร บางเรือน แปลตรงๆ ได้ความหมายเป็นภาษาไทยปัจจุบันได้ความหมาย แต่ บางเรือน เช่น อริ, มรณะ, วินาศน์ เราจะใช้ นัยความหมายอย่างไรครับ ในการเลือก เช่น

สมมติว่าผมเลือกการอ่านเรือน 2 จังหวะ ปุตตะ-มรณะ-วินาศน์ แล้วจับการแปลเป็นเรื่องเกี่ยวกับ ลูก(ปุตตะ)โดยตรง แล้วจะแปลอย่างไรครับ

ตัวผมเอง อาจจะแปลผิดๆ เข้าใจผิดๆ ผิดหลัก หรือ บกพร่อง ขอรบกวน อ.วรกุล แนะนำด้วยครับ

พิมพ์มาถึงตอนนี้นึกขึ้นได้ ถ้าผมเข้าใจไม่ผิดจากการตามอ่าน บทความของ อ. ผมคงต้องอ่านเรือนทั้ง 12 เรือนให้ครบก่อน แล้วนำมาแปล นิทานชีวิตรวมๆ ของเขาว่ามีแนวโน้มไปทางไหน โดย ความหมายของแต่ละเรือน อ่านอย่างไรก็ได้ เพียงแต่ความหมายไหนจะนำมาใช้ตอนช่วงใดของชีวิตขึ้นกับ นัย ปัจจัย อื่นๆ อีก

(ในกรณีนี้ ผมเลือกที่จะอ่านเกี่ยวกับ เรือน อย่างเดียว โดยไม่อ่านความหมายดาว )

- ผมจะต้องอ่าน เรือน มรณะ, และเรือน วินาศน์ แต่ละเรือนไล่ตามจังหวะต่อไปด้วย แล้วคัดออกมาที่สอดคล้อง (หรือเปล่าครับ) แล้วย้อนกลับมาให้ความหมายที่ ปุตตะ

- ถ้า ดาว เจ้าเรือนปุตตะ เป็นเจ้าเรือน 2 เรือน ต้องอิงความหมายอีกเรือนใส่ลงไปด้วยหรือไม่ครับ

สุดท้ายขอคำแนะนำจาก อ.วรกุล ครับ

อ.วรกุล เคยรู้สึก อยากละวาง(คือ ผมจะใช้ว่า "เบื่อ" ก็รุนแรงไป) จากเรื่องทางโหราศาสตร์บ้างไหมครับ คือ ไม่อยากอ่าน, ไม่อยากถาม, ไม่อยากคิด(เอง)

-ไม่อยากอ่าน เพราะหากอ่านเรื่องไม่มีเหตุผลที่มาที่ไปที่ดี ก็ทำให้เกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน หรือ ขัดแย้งกับหลักความคิด แถมอ่านแล้วนำมาคิดมาอีก

-ไม่อยากถาม เพราะ ถามไป บางทีก็มีคำตอบอยู่แล้ว หากได้ลองคิดตามดู หรือบางเรื่อง ความรู้ของตัวเรา ยังไปไม่ถึง ถามไป ก็ไม่ได้รู้มากไปกว่า สู้รอเวลา แล้วเรียนไปตามขั้นตอน ของบางเรื่องของบางสิ่ง เวลาที่ผ่านไปจะให้คำตอบเอง หรือกล่าวได้ว่า คือประสพการณ์ เพราะเป็นสิ่งที่ใครก็เอาไปจากเราไม่ได้ และก็ให้กันไม่ได้

-ไม่อยากคิดเอง เพราะ บางทีคิดเองหากปราศจากหลักที่ถูกต้องก็จะมั่ว และ บางเรื่องมันก็คนละเรื่อง เราจะเอามาปนกันไม่ได้ ต้องแบ่งให้ออก จะพูดกับใคร ก็คงต้องกำหนดกรอบวงกว้างให้แคบให้อยู่ในส่วนที่เราจะพูดถึง คิดเองหากคิดนอกกรอบ ก็กลายเป็นฟุ้งซ่าน ทั้งเสียเวลา และ สับสนปนเป

-นอกจากนี้ยังไม่อยากอ่าน ดวง หรือ อ่านนิทานชีวิตของใคร เช่น ผมลองไปอ่าน ที่กระทู้ อ.ศุภกร อ่านแล้วบางทีก็คิดว่า ชีวิตมันทุกข์ จริงๆ ทุกข์ อะไรก็ทุกข์ อ่านชีวิตของ คนอื่นๆไป บางทีก็นำความเศร้ามาสู่ตนเอง หรือ ไปอ่านตีความชีวิตของเขาต่างๆ นานา ผิดๆ ถูกๆ ฟุ้งซ่าน เลิกอ่านแล้วมีความสุขกว่า

*** แต่ที่เขียนทั้ง 4 ข้อ ข้างบน บางทีก็ย้อนกลับมาทำนะครับไม่ได้ ละได้ตลอดเวลา

คือ ที่ผมเขียนคล้ายๆ บ่น เพราะตอนนี้รู้สึกคล้ายๆ อย่างนั้นบ้าง ไม่รู้ว่าที่ผมเรียน อ่าน จาก บทความของ อ.วรกุล แล้วผมถดถอยลงในทางโหราศาสตร์หรือเปล่า ความตั้งใจเกี่ยวกับ เรื่องทางโหราศาสตร์ลดลงไปมาก (รู้สึกนะครับ) บางทีก็คิดว่าไม่จำเป็นต้องเรียนเลย ไม่ใช่สาระในชีวิต หรือว่าตัวผมนี่ จะไม่มีคุณสมบัติเป็นนักโหราศาสตร์แล้วหรือเปล่าครับนี่

นอกจากนี้ยิ่งอ่านมากๆ(อ่านหนังสือ อื่นนะครับ)บางทีก็สะดุดที่ พุทธธรรม เพราะอะไรไม่ทราบ ผมกลับรู้สึกว่ายิ่งอ่านพุทธธรรมแล้ว ก็ยิ่งอ่าน บทความของ อ.วรกุล เข้าใจมากขึ้น ไม่รู้ว่าหลงตัวเองหรือ เปล่า แต่อย่างน้อยก็ทำให้จิตใจของเราสงบได้มากขึ้น ตอนนี้ก็รู้สึกว่าเวลาในชีวิตเราจะทุ่มเทให้อะไรดี เพราะมีตั้งหลากหลายอย่าง ทั้งหน้าที่, การงาน, ศาสตร์อื่นๆ นอกจากโหราศาสตร์ เช่น สังคม การเมือง ประวัติศาสตร์, ตอนนี้ก็พุทธธรรม แต่อย่างไรก็ดีอ่านไม่จบสักอย่าง อนึ่งจากการอ่านพบว่า กระบวนการการเรียนรู้ในทางพุทธศาสตร์ รุ้สึกจะมากมายจริงๆ การจะอ่าน ศึกษา จบได้ก็คงต้องให้ เวลามาก หรือต้องทั้งชีวิตเลยที่ผ่านมา ไม่เคยลองอ่านงานเขียนของ พระพรหมคุณาภรณ์มาก่อนเลย แต่พอได้ลองอ่านแล้วรู้สึกเข้าใจ หลักธรรม ได้มากขึ้น หากว่านำแนวคิดมาใช้ ในชีวิต ก็รู้สึกเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น เช่น หลักธรรมชุดหนึ่ง ก็ต้องนำมาใช้ทั้งหมดไม่ใช่แบ่งเป็น 3-4 อย่าง ใช้ทีละอย่าง แต่ต้องใช้ให้ครบทั้งหมดชุด ก็เลยนำมาพิจารณาในกรณีอื่นๆ ด้วย รวมถึง ย้อนกลับมาคิดเวลาอ่านบทความของ อ.วรกุล ทางที ก็ต้องมองภาพรวม ไม่ใช่ว่ามองแต่ส่วนรายละเอียดย่อยๆ เท่านั้น

เขียนเพิ่มมาตั้งเยอะ ตั้งแต่ที่เขียนว่า สุดท้าย เพียงอยากทราบว่า อ.วรกุลเคยรู้สึก อาการ คล้ายๆ แบบนี้บ้างไหมครับ แล้วแก้อย่างไรครับผม

ปล. ช่วงหลังๆ เคยตั้งใจจะเขียนหา อ. หลายครั้งแล้วครับ พอเขียนไปก็ไม่ได้ส่งสักที เพราะไม่รู้จะส่งทำไป ก็แค่ปัญหาหนึ่งๆ ก็เลยทิ้งไว้ไม่ได้ส่ง ข้อความอันนี้ที่กำลังพิมพ์จะส่ง ก็ปะติดปะต่อ เขียนเพิ่มตรงโน้นทีตรงนี้ที อาจไม่ต่อเนื่อง หรือ ขาดไปบ้าง ต้องขออภัยต่อ อ.วรกุล ไว้ก่อนด้วยครับ รีบส่งเพราะเดี่ยวไม่อยากจะส่งอีก ทั้งหมดนี้ก็เป็นความคิดเห็นของผมตอนนี้ ดูๆ ฟุ้งซ่านยังไงไม่ทราบครับ แต่อาจจะไม่ใช่ก็ได้ อาจจะเป็นเพราะอยากเขียนแสดงตัวแก่ อ.วรกุล นะครับ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


หนูน้อย - 8 มิถุนายน พ.ศ.2549 12:08น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบ 3 คุณสุธาวาส............สมัยก่อน มีการเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปทำพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐินที่วัดอรุณฯทุกปี แล้วไปเสด็จขึ้นที่ท่าราชวรดิษฐ์เสด็จกลับทางสถลมารค บ้านผมอยู่ในสวนฝั่งธนใกล้แม่น้ำเจ้าพระยา ก็เลยได้มาดูขบวนเรือพระราชพิธีทุกปีครับ มาภายหลังเขายกเลิกไป คงเพราะค่าใช้จ่ายสูง และเรือไม่สมบุรณ์ เพิ่งมาซ่อมเมื่อไม่นานมานี้ ตอนเด็กๆผมเรียนโรงเรียนวัดวิ่งเล่นอยู่ไม่ไกลจากวัดอรุณฯแถวนั้นแหละ นั่งเรือข้ามฟากมาเที่ยววัดแจ้ง วัดโพธิ์ แล้วก็มาซื้อหนังสือโหรเก่าๆใกล้ท่าช้าง ก่อนมีกำเนิดตลาดนัดสนามหลวงมั้ง ดูขบวนเดี๋ยวนี้แล้วนึกถึงแต่ความหลัง ได้ไปยืนรับเสด็จในหลวงที่หน้าโบสถ์วัดแจ้งทุกปี จึงได้เห็นพระบารมีเป็นมงคลของชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้

ถ้าจิตคือนามธรรม (นามธาตุ) ที่ว่า “เมื่อชีวิตหนึ่งจบลง จิตจะมีการเปลี่ยนไปเป็นจิตอื่น หรือปฏิสนธิ” นั้น ถ้าจะมองทางโหราศาสตร์ไทย คือ การเปลี่ยน ระบบ และ ระดับของ จิต(นามธาตุ) หรือเปล่าคะ แล้วจิตที่ปฏิสนธิใหม่นั้น จะยังมีพลังงานธาตุจากจิตเดิมสะสม มาด้วยไหมคะ

คำถามนี้ปนกันระหว่าง พุทธธรรมกับโหราศาสตร์ ทางพุทธธรรมสอนว่า จิตของเราจะเกิดดับตลอดเวลาทำให้ดูเหมือนเป็นจิตดวงเดิม เพราะมันถี่เร็วมาก จนดูเหมือนว่ามันยังเป็นจิตเช่นเดิมในภาพรวมอยู่อย่างนั้น เรียกว่า สันตติ คือสืบต่อกัน อันที่จริง จิตเกิดแล้วจะดับ แต่เพราะอวิชชายังมีอยู่ จะบังเกิดจิตขึ้นใหม่อีกทุกรอบ เรียกว่าปฏิสนธิจิต นี่เป็นภาพในระดับอนุภาค แต่เวลาเราพูดถึงจิตในโหราศาสตร์ เป็นจิตที่มองในภาพใหญ่ที่เกิดต่อเนื่องเป็นสันตติแล้วต่างหาก โหราศาสตร์เองก็ไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับจิต นอกจากพวกเจตสิกที่เป็นจิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยใจ เกิดกับใจ ที่เรียกว่า นามธาตุ นามธาตุสามารถเปลี่ยนแปลงภพ(ระบบ)ภูมิ(ระดับ) และมีปฏิกิริยาได้ เมื่อเราเกิดคือ ปฏิสนธิ เป็นทารก (ไม่ได้กล่าวถึงปฏิสนธิจิต) รูปธาตุ นามธาตุก็เกิดขึ้นเนื่องจากกรรม พลังงานธาตุเป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ติดมาเกิดพร้อมกับกรรม ไม่ได้มีจิตเดิม จิตใหม่ แต่เกิดมาพร้อมกับกรรมเก่าส่วนหนึ่ง และก็ยังได้พลังงานธาตุจากจักรวาลตลอดเวลา เมื่อชีวิตดับ รูปธาตุนามธาตุก็ดับ สลายสู่ธรรมชาติ พลังงานธาตุก็กลับไปเป็นของธรรมชาติของจักรวาลดังเดิม

การที่คนบางคนรับรู้จากมโนภาพของตัวเองว่า ตัวเองเคยเกิดในสมัยนั้น เป็น คนนั้น คนนี้ หรือเคยผูกพันกับ บุคคล หรือสถานที่นี้ จะมีความเกี่ยวพันกันกับ จิต(นามธาตุ) ที่เปลี่ยนแปลงไปนี้หรือเปล่าคะ

ธรรมดาเหตุการณ์ที่เกิดแล้ว จะมีพลังงานที่เลี้ยงตัวเหตุการณ์อยู่ในธรรมชาติ ให้คงสภาพอยู่ได้อย่างเจือจาง 2 แห่ง แห่งแรกคือ ในธรรมชาติเอง แห่งที่สอง คือในจิตใดจิตหนึ่ง เป็นสัญญา(ความจำได้หมายรู้) เหมือนกับการอัดเทปเอาไว้ ดังนั้น การที่เกิดมโนภาพขึ้นได้ก็จะเกิดจากสองแห่งนี้ เช่นหากเกิดจากแห่งแรก คือธรรมชาติ แล้วจิตเราไปรับเข้ามาได้ (เพราะธาตุที่ตรงกัน) เราก็จะเห็นเหตุการณ์นั้นได้ หรือ จากแห่งที่สอง คือ ในจิตเราเอง เป็นสัญญาอยู่ลึกๆในจิต เมื่อได้รับพลังงานเพียงพอ (จากหลายสาเหตุ) เราก็เห็นภาพนั้นได้เช่นกัน แห่งแรกที่อยู่ในธรรมชาตินั้น หากผู้ก่อกรรมมีบารมีสูง และธรรมชาติเองกำลังมีพลังงานเหตุการณ์สูงด้วย เหตุการณ์นั้นจะอยู่นานมาก เช่น เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ผู้มีคุณสมบัติพิเศษก็เห็นได้เหมือนเรื่องจริงครับ ผู้ที่นั่งทางในเป็น ก็อาจจะเห็นเรื่องต่างๆได้จากสองแห่งนี้ แห่งใดแห่งหนึ่ง

ที่อาจารย์บอกว่า “....ชะตากรรมของมนุษย์ ไม่ได้ลิขิตเข้มงวดจากท้องฟ้า แต่จะขึ้นกับตัวเราเองเป็นผู้เลือกกระทำตามโอกาสที่เปิดให้ ธรรมชาติจะเป็นสิ่งที่สร้างความรู้สึกแวดล้อมภายในให้เราระบายออกมาโดยไม่รู้สึกตัว ดังนั้น การกำหนดจุดศูนย์กลางจากตัวเรา หรือ ความรู้สึกไปยึดถือสิ่งใดว่าเป็นเรา แล้วก่อกรรมออกมา จึงสามารถชี้สิ่งบังเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า ตรงกับความเป็นจริงมากกว่า......”

การยึดถือ อัตตา และ อัตนียา ที่ทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตมากมายนั้น ตัวการสำคัญคือ จิต ของเราเองใช่ไหมคะ

ตอบตามธรรมะ ตัวการสำคัญคือ อัตตา ครับ จิตเป็นผู้ยึดอัตตาและอัตนียา จึงดูเหมือนจิตเป็นตัวการ เพราะที่แท้จิตเองก็ไม่มีตัวตนอยู่จริง แต่หลงว่าตัวเองนั้นมี ถ้าตอบตามโหราศาสตร์ ตัวการสำคัญก็คือ ธรรมชาติ ที่แสดงออกในรูปความสัมพันธ์ของธาตุ โหราศาสตร์ไม่ได้ศึกษาจิต คำว่า “จิต” ที่ใช้กันอยู่ในศาสตร์ต่างๆ เช่น แพทย์ศาสตร์ โหราศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นต้นนั้น คือ “เจตสิก” ซึ่งเป็นคุณสมบัติของจิต ไม่ใช่ตัวจิต มีเพียงพุทธธรรม ศาสนา หรือ ปรัชญา เท่านั้นที่ศึกษาเรื่องจิต ส่วนไสยศาสตร์จะศึกษาวิธีจัดการกับจิต เจตสิก และการนำคุณสมบัติของกายและจิตมาใช้

ธรรมชาติที่แสดงออกในรูปความสัมพันธ์ของธาตุจะเป็นไปตามกรรม เหมือนกับธรรมชาติเป็นแผ่นซีดีเปล่าๆ เราเองเป็นผู้กระทำสร้างข้อมูลและโปรแกรม write ลงบนแผ่นซีดีด้วยตนเอง เมื่อซีดีถูก run ตามโปรแกรมและข้อมูลเดิม เรามักคล้อยตามไป แต่เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ต่างๆได้บางส่วน กรรมที่เรานำพามาด้วยแบ่งคร่าวๆเป็น 3 ส่วนนะครับ ส่วนที่หนึ่ง มักแก้ยาก เพราะนอกเหนือความควบคุม เช่นอุบัติเหตุที่เราไม่ได้เป็นผู้ก่อ อยู่ดีๆมีของตกมาจากเครื่องบินลงหัวเราพอดี ส่วนที่สอง เราไม่ได้แก้ เพราะกรรมนั่นเองทำให้เรามืดบอด เช่น ชอบคนเลวเนื่องจากถูกจริตของเรามากกว่าคบคนดี สุดท้ายก็ตาย หรือ ติดคุก ส่วนที่สาม เราแก้ได้ เช่น เรานิสัยมักโกรธง่าย แต่หากมีปัญญาเห็นโทษภัยก็ฝึกให้ใจเย็นได้ พระพุทธเจ้าเน้นให้เราพัฒนาตรงนี้ก่อน เพราะเกิดจากธาตุนิสัยตนเอง ย่อมขัดเกลาได้ แล้วค่อยไปแก้ส่วนที่สองด้วยการอบรม ให้เห็นความเป็นจริง แล้วไปแก้ส่วนที่หนึ่ง เพื่อให้กรรมเบี่ยงเบนเบาบางลง สรุปแล้ว แทบทุกอย่างแก้ได้ เว้นแต่กรรมอันหนัก เมื่อรับผลกรรมแล้วก็พ้นกรรม ดังนั้น การอ่านดวงจากแง่มุมของเจ้าชะตา เราจะเห็นความเป็นจริงมากกว่า เพราะบางอย่างจะถูกแก้ไขไปได้

แล้วถ้าตัวการสำคัญคือจิต อย่างนี้แปลว่า โหราศาสตร์ไทยมุ่งการศึกษาธรรมชาติซึ่งเป็นตัวกระตุ้นให้ จิต ทำหน้าที่หรือคะ และเป็นเพราะการอ่านจิต(นามธาตุ) เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก เราจึงต้องศึกษาจากธรรมชาติเหล่านั้นแทนหรือคะ

โหราศาสตร์ไม่ได้ศึกษาจิต แต่ศึกษาบางส่วนเกี่ยวกับเจตสิกที่เป็นคุณสมบัติของจิต รวมอยุ่ใน นามธาตุ ได้แก่ จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก และสิ่งที่สัมผัสได้ด้วยใจ เกิดกับใจ (ใจ คือ จิต + อารมณ์) โหราศาสตร์เลือกศึกษาเฉพาะธรรมชาติที่แสดงออกในรูปความสัมพันธ์ของธาตุ ที่เป็นไปตามกรรมเท่านั้น คือไม่ได้จับธรรมชาติอย่างอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมอย่างวิทยาศาสตร์ หรือ ปรัชญา เช่นว่า จักรวาลแตกดับเมื่อใด พระเจ้ามีจริงหรือไม่ เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ ธรรมชาติ(เฉพาะ)ส่วนที่เกี่ยวกับกรรม และแสดงออกเป็นธาตุ แบ่งออกได้เป็นนามธาตุ รูปธาตุ และอื่นๆ เหมือนธรรมชาติส่วนนี้เป็นละครที่มีพระเอกนางเอกตัวประกอบหลายคน เมื่อเราศึกษาธรรมชาติคือละครเรื่องใดๆ ก็ต้องดูบทบาทของทุกๆคนในละคร


วรกุล - 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 05:06น. (IP: 203.107.207.1)

ความคิดเห็นที่ 6
ตอบ 4 คุณ หนูน้อย...........1 / ถ้าใครอ่านที่ผมเขียนมาตั้งแต่แรก จะเห็นว่าผมเขียนความหมายเรือนและดาวเท่าที่จำเป็น เพราะในหนังสือโหราศาสตร์ทุกเล่มมีความหมายของเรือนทั้งโดยปริยายและโดยละเอียดอยู่แล้ว เรื่องเรือนนั้นมีความหมายมากมายหลายอย่าง ทั้งที่เป็นความหมายเอกเทศส่วนตัวมัน และความหมายที่แปรตามคนอื่น คุณอยากจะได้ keywords ของแต่ละเรือน ซึ่งการแปล คีย์เหล่านี้ออกเป็นความหมายจะยิ่งยากและ ต้องการคำอธิบายมากยิ่งไปกว่าการนำความหมายสำเร็จรูปไปใช้มากนัก นอกจากนั้น คีย์เวิร์ด เองก็มีได้หลายชุด และไม่ใช่ได้รู้แค่คำสองคำแล้วจะทำให้รู้เรื่องทั้งหมด ลองดูก็ได้

ตนุ – ส่วนตัว.......กดุมภะ – สมบัติ.......สหัชชะ - เปลี่ยนแปลง........พันธุ – ผูกพัน........ปุตตะ – ขั้นต้น......อริ – อุปสรรค......ปัตนิ – สิ่งตรงข้าม.......มรณะ – จากพราก......ศุภะ – ช่วยเหลือ......กัมมะ – การกระทำ......ลาภะ – ความสำเร็จ.....วินาสน์ – สูญสลาย

...๑ กระตือรือร้น ......๒ อ่อนไหว......๓ ว่องไว.....๔ เปลี่ยนรูป.....๕ ขยายออก......๖ สอดคล้อง......๗ มั่นคง......๘ แปรปรวน......๙ สูงสุด.......๐ พิเศษ

ในโหราศาสตร์ไทย ความหมายเรือนหรือ ดาวที่เราใช้ต้องเปลี่ยนไปตามเรื่อง หรือ บริบทที่เรากำลังดูต่างหาก อย่างปุตตะ – มรณะ – วินาสน์ คือ ลูก – จากไป - ไกลตัว ถ้ามีเกษตรสองเรือน ยังอ่านไม่ได้ก็ไม่ต้องอ่าน หากอ่านได้ก็เอามาอ่านขยาย จากปุตตะออกไปนั่นเอง โหราศาสตร์ไทยมีดาว 10 ดวง 12 เรือน แปลได้เป็นหมื่นๆความหมาย ก็ต้องมีสติปัญญา ไหวพริบ รู้จักทำของยากให้ง่าย ไม่ทำของง่ายให้ยาก

2 / ผมไม่เคย “เบื่อ ไม่อยากถาม ไม่อยากเรียน ไม่อยากคิด” หรอกครับ เพราะใครพูดอะไรผมจะเก็บมาใคร่ครวญดู และก็ลองปฏิบัติดูด้วยว่าผิดหรือถูก โหราศาสตร์ไม่ได้มาจากสววรค์ที่ไหน ในเมื่อมนุษย์เป็นผู้สร้างทำขึ้น เราก็ต้องเข้าใจได้ และตัวอย่างที่คนโบราณเห็น เอามาสร้างโหราศาสตร์ ก็คือ ชีวิตมนุษย์และท้องฟ้าที่อยู่รอบตัวเรานี่เอง ดังนั้น เมื่อเรามองมนุษย์ทุกวันนี้ เทียบกับ คนโบราณมองเห็น ก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ในเมื่อเราเรียนโหราศาสตร์เพื่อให้เข้าใจชีวิต ไม่ใช่เพื่อพยากรณ์ ไม่ใช่เพื่อให้เด่นดังเป็นผู้วิเศษ ไม่คอยแต่จะจับจ้องหาเคล็ดลับเอาไว้อวดโอ่ยกตัวตน เราก็จะอยากเรียน อยากจะคิด อยากจะเห็นธรรมชาติที่แท้จริง ไม่มีวันเบื่อ และจะกลับพบครูอาจารย์มาสอนวิชาให้มากมาย เรียนไม่รู้จักหมด เหมือนกับคนที่ปฏิบัติธรรม หากยังปฏิบัติไม่เป็น ไม่รู้เป้าหมาย อยากจะรู้ธรรมอย่างเดียว นึกว่าคงเหมือนกินบะหมี่สำเร็จรูป ก็ไม่มีทางบรรลุธรรมได้ ก็จะเบื่อ แต่ถ้าปฏิบัติไปแล้วมีความพอใจในความรู้ทุกอย่างที่ได้รับ ก็จะบรรลุธรรมได้เอง ไม่ทันได้รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ


วรกุล - 9 มิถุนายน พ.ศ.2549 12:29น. (IP: 203.107.204.160)

ความคิดเห็นที่ 7
หากเราตื่นขึ้นในตอนเช้ามืด มองดูท้องฟ้าทางทิศตะวันออก แล้วลองสังเกตดูพระอาทิตย์ขึ้น เราจะเริ่มเห็นแสงเงินแสงทองของอาทิตย์ก่อนที่จะเห็นตัวจริง พอดวงอาทิตย์ตกทางทิศตะวันตกในตอนเย็น ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว เราก็ยังเห็นแสงสีส้มของอาทิตย์อยู่อีกนานชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่แสงนั้นจะลับไป พวกเราเรียนกันมาในชั้นมัธยมแล้ว ว่าบรรยากาศที่อยู่รอบโลกที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาก่อนถึงโลกนั่นเองที่ทำให้แสงอาทิตย์หักเห จนดูเหมือนดวงอาทิตย์ไม่เป็นไปตามตำแหน่งจริง

โหราศาสตร์ไทยโดยทั่วไป เกี่ยวข้องกับวงกลมบนท้องฟ้าอยู่ 3 ชั้น ชั้นบนสุด คือวงกลมของท้องฟ้าที่เป็นจักรวาล (และดาวฤกษ์) มีดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ที่โคจรไป ชั้นกลาง ก็คือชั้นบรรยากาศที่ หุ้มห่อโลกอยู่ และชั้นสุดท้าย ก็คือ โลก หรือ ธรณีที่เราอาศัยอยู่นี้นั่นเอง แต่ละชั้นจึงมีระบบธาตุที่เป็นแบบอย่างที่ไม่เหมือนกัน ในจักรวาล ดวงดาวโคจรรอบดวงอาทิตย์ เรามองตำแหน่งของดวงดาว เมื่อเทียบกับตำแหน่งของเราบนพื้นโลก เป็นระบบธาตุในจักรวาล (และดาวฤกษ์) บนโลกเอง เมื่อธาตุส่งมายังโลก โลกจะหมุนเข้าไปรับธาตุ แล้วตัวธาตุเองนั้นก็จะไหลวนเวียน สังเคราะห์เปลี่ยนแปลงเป็นระบบธาตุในธรณี นอกจากนั้น คือธาตุในชั้นบรรยากาศ ที่พวกเราเรียนรู้กันอยู่น้อยมาก เพราะเรามักเพ่งเล็งที่จักรวาลที่มีดวงดาว หรือไม่ก็เพ่งเล็งที่พื้นโลกเลยทีเดียว โหราศาสตร์อื่นๆจึงไม่มีใครเรียนรู้ชั้นนี้ แต่สำหรับโหราศาสตร์ไทย ชั้นนี้เป็นชั้นสำคัญอย่างหนึ่ง

ตำราโดยทั่วไป มักจะกล่าวถึงเรื่อง “แสง” ว่าแสงของดาวนั้น ดาวนี้ ส่องไป ทำมุม หรือ ทำความสัมพันธ์กับดาว หรือ ปัจจัยบนฟ้าอื่นๆ ความรู้พื้นฐานธรรมดาๆ แสงนั้นเลี้ยวเบนไม่ได้ ที่เราเห็นแสงหักเหนั้น เป็นความรู้สมัยใหม่ แต่คนโบราณสังเกตเห็นตรงนี้ ก็พบว่าสิ่งที่มาพร้อมกับแสง ยังมีรังสี ที่กระจายพร้อมกับแสง และยังมีบางสิ่งที่แสดงคุณสมบัติข้างเคียงของแสงได้ มาจากแหล่งกำเนิดด้วยกัน นั่น คือ ธาตุ ธาตุทำงานได้มากกว่าแสง เพราะ เดินทาง เปลี่ยนสภาพ และทำปฏิกิริยากับสิ่งต่างๆได้ แม้ธาตุ กับแสงจะมาด้วยกัน แต่ธาตุจะมีปฏิกิริยาต่อสิ่งรอบข้างมากกว่า เมื่อแสงและธาตุเดินทางผ่านระบบในชั้นบรรยากาศ ธาตุจึงผ่านระบบด้วยทำให้เนิ่นช้า ดังนั้น ธาตุกับแสง จึงมาถึงโลกไม่พร้อมกัน

ด้วยเหตุที่ โหราศาสตร์ไทยศึกษาดวงชะตาที่เป็นแบบจำลอง หรือ แผนภูมิของธาตุ ไม่ใช่ แผนภูมิของท้องฟ้า ดังนั้น ระบบธาตุในดวงชะตา จึงแสดงตำแหน่งธาตุดาว และ ความเร็วของธาตุดาว ที่สัมพันธ์กับแสงดาว โหราศาสตร์อ้างอิงแสงดาว เพราะแสงดาวมีปฏิกิริยาน้อยกว่า เดินลัดสั้น ทำให้ใช้เป็นฐานอ้างอิงได้ แต่แสงของดาวไม่ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ การดูดวงชะตา โหราศาสตร์ไทยจะดูจากธาตุ เพราะธาตุมีความสอดคล้องกับชีวิตที่เกิดบนโลก แต่การที่จะรู้ว่าขณะนี้ ธาตุ มีสถานะอย่างไร เคลื่อนไหวอย่างไร เราจึงวัดคืบตั้งต้นจากแสงดาวนั่นเอง เนื่องจากแสงดาวเอง ก็แสดงตัวในลักษณะ สัมพัทธ์ ปรากฏ เบี่ยงเบนออกไปจากความเป็นจริงเป็นรังสีดาว การกำหนดตำแหน่งจุดสังเกตุ เราจึงมักกำหนดจากรังสีดาว ซึ่งจะเป็นระยะเบี่ยงเบน ที่แปรผันได้อย่างมีระเบียบ โหราศาสตร์ไทยภาคพยากรณ์ จึงใช้วิธีคำนวณแสงดาวและรังสีดาว ก่อนที่จะมาพิจารณาธาตุที่ทำงานอยู่จริงในดวงชะตา นี่เป็นเรื่องที่ซับซ้อน เพราะธาตุดาวในดวงชะตาเอง ก็มีคุณสมบัติที่ “เอื้อม” ได้ ทั้งยังมี “รอกดาว” ที่ใช้ทำปฏิกิริยาได้ด้วย

นี่เอง ที่ทำให้โหราศาสตร์ไทย (เดิมๆ แท้ๆ) แตกต่างจากโหราศาสตร์ระบบอื่น ทั้งในแง่การวางปัจจัยในดวงชะตา และการอ่านดาวในเรือน ธาตุที่ทำงานอยู่ในดวงชะตานั้น อ้างอิงราศีเป็นเรือน ด้วยเหมือนกัน พวกโหรไทยจึงต้องอ่านทั้งแสงดาว รังสีดาว และธาตุดาวไปพร้อมกัน เป็นการอ่านหลายชั้น เหตุนี้ทำให้การดูดวงชะตาแบบไทย (โดยเฉพาะพวกที่ใช้ระบบธาตุ) จะหนักมากกว่าโหราศาสตร์อื่น แต่ก็ได้ประโยชน์มากตรงที่ ได้เรียนรู้ (หรือ ทำนาย) ธาตุต่างๆหลายชนิด ทั้งรูปธาตุ นามธาตุ วัตถุธาตุ และกรรม คือครอบคลุมทั้ง สิ่งที่มีรูป และไร้รูปทั้งหลายไปพร้อมกันหมดได้

ธาตุดาวต่างๆที่โคจรไปในจักรราศี จึงเสมือนโคจรไปตามสนามธาตุที่มีความต้านทานการเคลื่อนที่ไม่เท่ากัน ที่พวกเราบางคน เคยเรียนรู้มาบ้างก็อย่างเช่น การที่อาทิตย์โคจรไปในราศีที่เป็นสภาวะธาตุต่างๆจึงมีอัตราเร็วไม่เท่ากัน อาทิตย์ธาตุไฟเดินในราศีธาตุน้ำ และดิน จะมีระยะหน่วงมากกว่าธาตุไฟ และ ลม เป็นต้น แม้แต่การวางลัคนา ก็ต้องคำนึงถึงธาตุอาทิตย์ที่จะมาปรากฏจริง ส่วนดาวธาตุอื่นๆ ก็แปรผันต่างกันไปตามแต่ธาตุของมัน ไม่เหมือนกัน หลักการที่กล่าวถึงนี้ มีบทบาทมากในการสร้างกฎเกณฑ์พยากรณ์ในโหราศาสตร์ไทยเดิม และยังเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้โหราศาสตร์ไทยแตกต่างกับโหราศาสตร์อื่นในหลายๆเรื่องที่มักมีผู้โต้แย้งกันอยู่โดยไม่เข้าใจ

จะเห็นได้ว่า ในโหราศาสตร์ไทย การโคจรของดาวในเรือนและราศีต่างๆ นอกจากจะต้องผ่านไปในสภาวะธาตุที่แตกต่างหรือเหมือนกับตัวมัน ทำให้เกิดอัตราเดินเร็วหรือช้าแล้ว การที่มันจรไปในเกษตรราศีที่มันต้องมีปฏิกิริยาด้วยตลอดเวลา รวมทั้งที่มันจะต้องมีความสัมพันธ์กับธาตุดาวอื่นๆที่อยู่ในเกณฑ์ส่งถึงกัน ทำให้อัตราการเคลื่อนที่ของ (ธาตุ)ดาวไม่สม่ำเสมออย่างที่ปรากฏ ดังนั้น การกำหนดเวลาบังเกิดของเหตุการณ์ จึงมักไม่ได้อ้างอิงองศา แต่พิจารณาเมื่อธาตุได้รับแสงและเกิดปฏิกิริยาขึ้นเท่านั้น


วรกุล - 13 มิถุนายน พ.ศ.2549 11:02น. (IP: 203.107.205.99)

ความคิดเห็นที่ 8
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ สำหรับคำอธิบาย ที่กรุณาแจกแจงให้อย่างละเอียดทั้งในด้าน ธรรมะ และ โหราศาสตร์ เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผู้ซึ่งได้เรียนมาน้อยและยังรู้น้อยทั้งสองทางอย่างหนู ที่จะนำไปจัดลำดับเรียบเรียงความคิดและพิจารณาทำความเข้าใจกับวิชาความรู้ที่อาจารย์เมตตาถ่ายทอดให้ค่ะ

อาจารย์คะ บุคคลที่ยึดถืออัตตาอย่างแรงกล้า ธรรมชาติที่แสดงออกในรูปความสัมพันธ์ของธาตุที่ปรากฏในโครงสร้างดวงชาตาเดิมของเขา จะมีลักษณะอย่างไรคะ เวลาที่เราต้องติดต่อพูดคุยหรือร่วมงานกับบุคคลประเภทนี้บางทีก็เหนื่อยใจนะคะ

ถ้าอาจารย์พอจะมีเวลาว่างเว้นจากเขียนงานวิชาการ อาจารย์เขียนเรื่องเล่าในอดีตอีกนะคะ ชอบมากๆ เลยค่ะบ้านไหนที่ยังมีท่านผู้ใหญ่ เล่าขานเรื่องราวเก่าๆ ให้ฟัง ถือว่าโชคดีมากเพราะลูกหลานมีโอกาสได้ซึมซับวัฒนธรรมอันดีงามเหล่านั้นไว้โดยไม่รู้ตัว

ด้วยความนับถืออย่างสูง


สุธาวาส - 13 มิถุนายน พ.ศ.2549 16:48น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน อ.วรกุล... ที่เคารพครับ

สาเหตุ ที่ผมรบกวนถาม คีย์เวิร์ด ของแต่ละเรือนนั้น เพราะในวิธีการศึกษาเรียนรู้ของตัวผมเองตอนนี้ มีบางสิ่งเปลี่ยนไป

1.)หลังจากในรอบปีที่ผ่าน ได้ให้เวลากับการศึกษา พุทธศาสตร์ บ้าง แต่ผมยอมรับว่าทำได้ไม่ต่อเนื่องตลอด ผมพบบางสิ่ง เป็นต้นว่า ภาษาบาลี เพื่อรักษาพุทธพจน์ไว้ไม่ให้ความหมายเปลี่ยน หากต้องการถึงพุทธพจน์จริงก็ควรศึกษาภาษาบาลี แล้วศึกษาพระไตรปิฎกของเถรวาท ส่วนคำแปลนั้นอาจคลาดเคลื่อนไปได้บ้างตามแต่ละอาจารย์ ตัวผมก็เลยมาได้คิดบ้าง “คำ” คำเดียวกันเขียนเหมือนกัน แต่หากบัญญัติต่างกัน ต่างกาลสมัย ความหมายก็เพี้ยน (หากไปใช้บรรทัดฐานของสมัยตนเอง) ตัวอย่าง เช่นภาษาไทย สมัยหนึ่ง พระท่านปลีกวิเวก ความหมายก็ดี แต่พอหลังเกิดเหตุการณ์อื้อฉาวหนึ่ง หากใช้ปลีกวิเวก คนเรา(ยุคสมัยนั้น)ก็มักอุตตริคิดไปเป็นทางอกุศล

ผมก็เลยไม่แน่ใจครับ ว่า คีย์เวิร์ด ของแต่ละเรือนในแบบโหราศาสตร์ไทยระบบธาตุ จะมีความหมายเช่นไร เพราะเราอาจจะนำไปทับความหมายของโหราศาสตร์ระบบอื่นก็ได้ครับ จึงอย่างได้หลักสักหลักไว้ให้กอด แต่ก็พร้อมจะคลาย ไม่ยึดติดครับ อีกอย่างหากนำความหมายสำเร็จรูปไปใช้เลย หากจะนำไปประยุกต์ใช้อ่านเรื่องอื่นๆ ผมจนแต้มครับ ไม่รู้จะประยุกต์ไปใช้ถูกความหมายหรือไม่

และก็รู้สึกยินดีครับ ที่ อ.วรกุล ให้ความหมายของดาวเพิ่มมาด้วย

2.) ส่วนหัวข้อที่สองที่เขียนไป ความจริงผมเขียนไปในทาง คล้ายๆ พูดจาส่อเสียดนะครับ ซึ่งพิจารณาดูแล้วอาจจะไม่ดีเลย ควรจะเขียนใหม่มองโลกในแง่ดี ขอแก้ตัวดังนี้ครับ

ไม่อยากถาม หากไม่เข้าใจประเด็นที่ตัวเราเองจะถาม, ไม่อยากอ่าน(ต่อ) เมื่อได้อ่านและได้ไตร่ตรองแล้วว่าไม่ใช่,ไม่อยากคิด ถ้าทำให้ฟุ้งซ่าน และ ไม่อยากอ่านดวง ถ้าใจไม่นิ่ง มีกิเลส

ขอบพระคุณ อ.วรกุล ที่เขียนแนะนำ เตือน ยกหัวข้อ “เรียนโหราศาสตร์เพื่อให้เข้าใจชีวิต ไม่ใช่เพื่อพยากรณ์” เพราะเนื่องด้วย บางทีกระบวนการศึกษาทำความเข้าใจและประเด็นเป้าหมายในการศึกษาโหราศาสตร์ไทยของตัวผมเอง ก็ยังมี ความเข้าใจผิด คลาดเคลื่อนอยู่

วลีหนึ่งที่ อ. เขียนว่า“อยากจะเห็นธรรมชาติที่แท้จริง” หากเป็นดั่งนี้ การปลีกตัวออกไปจากความวุ่นวายในสังคม ไปรดน้ำต้นไม้ เห็นละอองน้ำ หยดน้ำ มีโอกาสได้สังเกตดูดอกไม้บานหลายหลากสีและเ***่ยวแห้ง เปลี่ยนสี โรยราลงพื้นดิน สลายไป ก็อาจจะเป็นกระบวนการหนึ่งในการเข้าถึงธรรมชาติ เห็นวัฏฏะอย่างสั้นๆ ตัวผมเองอาจจะเข้าใจอะไรผิดไปก็ได้ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าก็น่าจะเกี่ยวกับโหราศาสตร์ได้ เพราะเข้าสู่ธรรมชาติ เพียงเรายังไม่ได้นำปัจจัยต่างๆ ทางโหราศาสตร์มาใส่ลงไปพิจารณา


หนูน้อย - 14 มิถุนายน พ.ศ.2549 15:28น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 8 คุณ สุธาวาส...........หากพูดทางธรรม การยึดอัตตาไม่ว่าทางใดก็ไม่ดี เพราะเป็นเหตุของทุกข์ แต่พูดทางโลกการยึดอัตตานั้นมีทั้งทางที่ให้คุณ หรือ ให้โทษ อย่างคนที่มุ่งจะเอาชัยชนะ หรือ ประสบความสำเร็จ อยากมีชื่อเสียง อยากได้ อยากมี อยากเป็น ที่เป็นทางให้คุณ เช่น พวกนักกีฬา นักประดิษฐ์ นักบวช นักสำรวจ อะไรเหล่านี้ บางครั้งก็ยอมตาย เพื่อให้ได้สิ่งที่มุ่งหวัง ทั้งๆที่เป็นประโยชน์ หรือ ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ต่างกับบางคนอยากจบด้อกเตอร์ให้โก้เท่านั้นเอง ไม่เคยอยากสอน อยากวิจัยอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน พวกนี้ก็ยึดอัตตาเหมือนกัน แต่ที่คุณถาม ภาษาชาวบ้าน เรียกว่า “พวกหลงตัวเอง + เลวด้วย” จะหลงมาก เหมือนหลงใหลในสิ่งอื่น แต่กลับเอาจิตใจยึดเอา “ตัวเอง” เป็นสรณะ แสดงอารมณ์ความคิดนึกเป็นโทษต่อผู้อื่นด้วย ดังนั้น เวลาเราพูดคุยกับเขา ต้องเข้าใจว่าเขายึดตัวเองมาก เหมือนกับบางคนยึดเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หากเราไปกระทบเข้า ก็เหมือนไปด่าศาสดาประจำตัวเขานั่นเอง นับว่าเป็น โรคทางจิตประสาท ชนิดหนึ่ง เป็นโรคจริงๆนะครับ ไม่ได้เปรียบเทียบ

จุดสำคัญในดวง จะอยู่ที่ ลัคนา และ ตนุลัคน์ ลัคนาจะเห็นชัดกว่าเพราะเป็นจุดควบคุมตัวเอง ดังนั้น 1 / หากมีดาวที่ทำมุมฉาก เล็ง กุม เข้าหาลัคนา หรือสัมพันธ์ทางเรือน ดาวเหล่านี้จะเพิ่มกำลังธาตุให้แก่อัตตา และส่งอิทธิพลธาตุของมัน เข้าครอบคลุมนิสัย และอารมณ์ของเจ้าชะตา แต่การที่มีดาวเช่นนี้ไม่ใช่สรุปว่าไม่ดี เราต้องดู ว่า 2 / ดาวที่จะทำงานในกรณีนี้เป็นอย่างไร อัตตาจะเสีย เมื่อดาวเหล่านี้ให้โทษ และมีตัวช่วยให้เลวซ้ำ

ธาตุดาวที่ให้โทษนั้นมีหลายแบบ เช่น กำลังธาตุอ่อน กำลังดาวอ่อน อาจจะเป็นกาลกิณี เป็นพินธุบาทว์ เป็นอริ มรณะ วินาสน์ ในสถานะที่เลว ทำให้ส่งอิทธิพลทางเลว แต่ความเลวนี้อาจจะเป็นเรื่องของตนเอง พวกที่เลวขนาดไปเบียดเบียนคนอื่นด้วยนั้น เป็นเพราะคือมีธาตุอื่นเป็นตัวช่วย พวกตัวช่วยนี่แหละทำให้แรงมาก ทั้งๆที่ตัวช่วยอาจจะเป็นดาวดีๆก็ได้ แต่เกิดไปให้กำลังแก่ดาวที่เสีย หรือ ช่วยกันรุมทำลายลัคนา นี่คือคำตอบที่คุณถาม

การหลงอัตตาทางไม่ดี ต้องเป็นทั้ง 2 ประการ หากเป็นแค่ข้อ 1 / แต่ดาวไม่เป็นพิษ + ไม่มีดาวช่วยรุม อาจจะเป็นอัตตาฝ่ายดีก็ได้ ปกติมักพบดาวบาปเคราะห์ ทำให้หลงอัตตามากกว่าศุภเคราะห์ แต่คนที่บาปเคราะห์ เป็นสาเหตุของอัตตานั้นที่ดีมากก็มี เช่น ฤาษีที่บำเพ็ญตะบะมีความอดทนสูง ต้องการมุ่งความสำเร็จ ถือว่าเป็นไปในทางดี แต่ก็ยังยึดอัตตาสูง โกรธใครก็สาปหมด พวกศุภเคราะห์ แต่ไม่ดีก็มี เช่น ประจบประแจงเพื่อตัวเอง โกหกตอแหล ติดสินบนให้ตัวเองได้ตำแหน่งก็เอา เนรคุณใครแม้ผู้มีพระคุณก็ได้ ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองได้สำเร็จ ดังนั้น ดีไม่ดี จึงไม่เกี่ยวกับบาป / ศุภเคราะห์

การยึดถืออัตตาที่กล่าวถึงนี้ คนอื่นเข้าไปแก้ไม่ได้ เพราะเป็นอัตตาของเขา เข้ายากมาก พูดด้วยก็เหนื่อย ช่วยเขาเขาก็ฆ่าเราได้ เพราะไม่เห็นแก่ผู้อื่นนอกจากอัตตาของเขา แต่ก็มีทางฟื้นได้ เช่น คนที่มีดาว เช่น พฤหัส พุธ เสาร์ ราหู ที่ดีๆ หากไม่เป็นต้นตอเป็นพิษเสียเองก็แก้ตัวเองได้บ้าง ไม่ได้แก้ทีเดียว เพียงจะเบี่ยงเบนไปในทางดีหน่อย เป็นพวกนิสัยเสีย

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 9 คุณ หนูน้อย...........เรื่องเรือน ใช้บ่อยเข้าก็จับความหมายทางปฏิบัติได้เอง ธรรมะศึกษาแล้วก็ต้องปฏิบัติ ให้เห็นจริงไม่อยุ่แต่ในตำรา เรียนโหราศาสตร์ใช้อิทธิบาท ๔ ก็ต้องมีฉันทะพอใจในการศึกษาเรียนรู้เสียก่อน ธรรมชาติส่วนไหนก็แสดงให้เห็นสัจจธรรมเหมือนกัน แต่เมื่อเราศึกษาชีวิตมนุษย์ หากศึกษาจากโหราศาสตร์ก็จะได้ความรู้ด้วยครับ


วรกุล - 15 มิถุนายน พ.ศ.2549 04:53น. (IP: 203.107.203.166)

ความคิดเห็นที่ 11
ขอบพระคุณครับ อ.วรกุล


หนูน้อย - 15 มิถุนายน พ.ศ.2549 10:23น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 12
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


สุธาวาส - 15 มิถุนายน พ.ศ.2549 12:50น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 13
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

อาจารย์คะ หลังเลิกงาน มีเวลาได้นั่งพิจารณาทบทวนข้อเขียนของอาจารย์ค่ะ เรื่องการแบ่งชั้นของธาตุในระบบโหราศาสตร์ออกเป็น 3 วงกลม คือ ชั้นของจักรวาล ชั้นของบรรยากาศ และชั้นของโลก (ธรณี) ซึ่งแต่ละชั้นมีระบบธาตุที่เป็นแบบอย่างไม่เหมือนกัน โดยโหราศาสตร์ไทยศึกษาดวงชาตาจากแบบจำลองของธาตุในจักรวาล ....

อ่านแล้วเกิดคำถามขึ้นมาค่ะ ว่า ถ้าเช่นนั้น ธาตุในชั้นบรรยากาศ และชั้นธรณีนั้น จะถูกกำหนดแผนภูมิของธาตุด้วยไหมคะ เหมือนหรือต่างจากแบบจำลองของธาตุในจักรวาลคะ เมื่อโหราศาสตร์ไทยนำมาศึกษาดวงชาตา ท่านมีการแบ่งวงกลมของธาตุทั้งสองชั้นนี้ออกเป็น 12 ราศี ด้วยไหมคะ

ขอความกรุณาอาจารย์อธิบายด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 16 มิถุนายน พ.ศ.2549 18:46น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบ 13 คุณ สุธาวาส...........นี่เป็นข้อเสียจากไม่มีกระดานดำเขียนให้ดู เราลองสร้างภาพเองอย่างนี้ก็ได้ครับ (1) จักรวาล คือวงกลมชั้นนอกสุด หรือ ท้องฟ้า ซึ่งมีดาวเคราะห์ และดวงอาทิตย์โคจรอยู่ พวกนี้เป็นดาวที่เคลื่อนที่ได้ เป็นระบบของธาตุในจักรวาล ที่เราเรียกว่า จักรราศี (2) คือวงกลมชั้นเดียวกับ (1) นั่นเอง แต่มีดาวฤกษ์และดาวอื่นๆ ซึ่งอยู่นิ่งกับที่ เป็นอีกระบบธาตุหนึ่ง เรียกว่า ระบบธาตุของดาวฤกษ์ ไทยเราใช้น้อยหน่อย แต่ ภารตะ จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใช้มาก ถือเป็นวงกลมที่อยู่นอกจักรราศีอีกวงหนึ่ง (3) วงกลมถัดเข้ามา คือ ชั้นบรรยากาศ ธาตุที่ผ่านเข้ามาจะเข้าระบบ เรียกว่า ระบบธาตุในชั้นบรรยากาศ ก่อนจะผ่านเข้ามายังโลก คือ (4) วงกลมของโลกนี่เอง แต่มองเพียงผิวโลก เป็นระบบธาตุใหญ่ มีอิทธิพลต่อสิ่งมีชีวิตในโลกสูงมาก เรียกว่า ระบบธาตุในธรณี รวมความแล้ว วงกลม มี 3 วง (จีนถือว่ามี 4 วง) แต่มีระบบธาตุอยู่ 4 ระบบ เป็นอันจบ

เวลาเราเรียกภาพรวมทั้งหมด เราเรียกว่าจักรวาล เพราะจักรวาลก็คลุมหมดทุกชั้นที่อยู่ภายในอยู่แล้ว หากจะแยกตามระบบธาตุ จึงจะเรียกตามชั้น (1) (2) (3) (4) ดวงชะตาแบบไทยเป็นแบบจำลองของธาตุในจักรวาล คือ (1) (2) (3) (4) มารวมในดวงชะตาเดียว แผนภูมิของธาตุในแต่ละระบบจะไม่เหมือนกัน ระบบธาตุในจักรวาล จะใช้ 12 ราศี ซึ่งเราเอามาอ้างอิงใช้ในดวงชะตาด้วย เพราะต้นตอของธาตุทั้งหมด มาจากดวงอาทิตย์ และดาว (เคราะห์)จรในท้องฟ้า ส่วนระบบธาตุอีก 3 ระบบ เราไม่อ่านระบบในดวงชะตา แต่แยกไปผูกแยกต่างหาก แล้วส่งผลคือธาตุที่ผ่านระบบแล้วเข้าทางลัคนา เราเรียกรวมว่า ระบบธาตุในดวงชะตา ดังนั้น โดยทั่วไป เราจะเห็นดวงชะตาเป็นเพียงแบบจำลองของธาตุในจักรวาล มี 12 เรือน ส่วน ระบบธาตุอื่นจะนำมาใช้ในดวงชะตา โดยคุณสมบัติเท่านั้น

แต่หากเราต้องการดูระบบธาตุอื่น เราต้องไปแยกต่างหาก เพราะประกอบด้วยภพภูมิอีกจำนวนมาก เข้ามาเขียนรวมในดวงชะตาเดียวไม่ได้ ที่พวกเราคุ้นเคยที่สุด ก็อย่างระบบธาตุในธรณี เช่น มหาทักษา จะเห็นว่าเราจะไปเขียนภพภูมิอยู่นอกดวงชะตา แล้วเอาผลการเป็นศรี กาลกิณี เดช อะไรแบบนี้มาอ่านในดวงชะตา ถ้าเราไปดูการผูกดวงชะตาแบบโบราณ ที่เต็มรูปแบบ ก็จะเห็นเขาผูกดวงและเกณฑ์ เลขหมดทุกระบบ เป็นดวง 3 - 5 วง และตารางเลขหลายสิบช่อง เพื่ออ่านธาตุที่เกี่ยวพันกันทั้งหมด ซึ่งใช้เวลามากหลายวัน แต่พวกเราจะใช้วงเดียว คือดวงชะตาเท่านั้น เพราะเร็วหน่อย และเปิดปฏิทินดูได้เลย หรืออย่างละเอียดก็ผูกดวงพิไชยสงคราม ส่วนการผูกดวงเต็มรูปแบบ เดี๋ยวนี้มีผู้รู้น้อย มักใช้กับดวงสำคัญๆ


วรกุล - 18 มิถุนายน พ.ศ.2549 06:48น. (IP: 203.107.203.204)

ความคิดเห็นที่ 15
พวกเราที่นับถือพุทธศาสนา คงจะมีพระพุทธรูปตั้งวางเอาไว้สักการะในบ้านกันเป็นส่วนใหญ่ บางคนก็มีพระบูชาหลายสิบองค์ที่เป็นรุ่นสมัยต่างๆกัน ทั้งที่เป็นของสร้างเก่าแก่ และสร้างใหม่ตามพุทธลักษณะที่นิยมสร้างกัน เช่นสมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา เป็นต้น เรามองพระพุทธรูปเก่าๆแล้วเคยลองคิดเล่นๆไหมว่า หากพระพุทธเกิดปาฏิหาริย์เสด็จขึ้นมาประทับยืน หรือ เดินได้ ขนาดเท่าคนจริงๆต่อหน้าต่อตาเรา จะเห็นเป็นอย่างไร เพราะพระพุทธรูปที่เราเห็น รูปลักษณ์ไม่เหมือนคนจริงๆเลย พระเศียรก็โต พระเกศาเป็นมวยแหลมเปี๊ยบ พระกรรณก็ยาวยานจนจรดบ่า พระอุระโตผิดกับมนุษย์ทั่วไป ในขณะที่พระนาภีคอดกิ่ว พระหัตถ์ และพระบาทใหญ่และยาวเกินกว่า***ส่วนปกติของคนเรา ถ้าเรามองดูเผินๆ ก็อาจจะเข้าใจไปว่า ปฏิมากรผู้สร้างองค์พระนั้น “ปั้น” รูปไม่เป็น

อันที่จริง พระที่สร้างสมัยนี้ รูปลักษณ์เหมือนคนจริงๆมากกว่า เพราะปั้นหล่อตาม***ส่วนของคนจริงๆตามกายวิภาคนั่นเอง สิ่งที่พอจะทราบว่าเป็นพระพุทธรูป ไม่ใช่รูปมนุษย์ทั่วไป ก็คือพระเกศเมาลีที่เป็นมุ่นมวย ยอดแหลมเป็นเปลว และมีสบง จีวร ผ้ากาสาวพัตร เท่านั้นเอง นี่เป็นการเปลี่ยนมุมมองใหม่ของพระพุทธรูปจากการมองในแง่ปรัชญา และตีความหมายนามธรรมเชิงสัญลักษณ์แบบโบราณ มาเป็นการมองตามโลกสังคมปัจจุบันที่เป็นวัตถุรูปธรรม ดังนั้น รูปพระพุทธจึงกลายเป็นรูปจำลองของมนุษย์ มากกว่าการแสดงคำสอนเชิงสัญลักษณ์อย่างที่โบราณตั้งใจคิดและสอนเรา

ในสมัยพุทธกาล และหลังพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ยึดถือรูปเคารพเลย แต่ทรงให้ถือเอาพระธรรมวินัยที่ทรงตรัสแล้วเป็นศาสดาแทนพระองค์ ในสมัยต่อๆมา เมื่อจะหมายถึงองค์พระพุทธเจ้า เราจึงสร้างเป็นวงล้อธรรมจักร และรูปกวางหมอบ หน้าอาสนะที่ว่างเปล่าเป็นที่เคารพแทน แม้การสร้างรูปเคารพในสมัยต่อมา ก็สร้างเพียงรอยพระพุทธบาท ให้เห็นแทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น รอยพระพุทธบาท จึงหมายถึงการมาถึง ขององค์พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในถิ่นที่เห็น เหมือนรอยเท้ามนุษย์ที่เหยียบบนดวงจันทร์ กรรมวิธีสร้างก็เหมือนการสร้างพระพุทธรูป ทำให้รอยพระพุทธบาทโบราณ มีความศักดิ์สิทธิเทียบเท่าพระพุทธรูปที่สร้างในยุคต่อมา เหตุที่สร้างรูปพระพุทธเจ้าไม่ได้ ก็เพราะในเมื่อสังขารเป็นอนัตตา เมื่อเปรียบก็เหมือนความว่างเปล่า ไม่มีสาระให้ยึดถือเป็นรูปลักษณ์ตัวตน แต่ครั้นเมื่อการสร้างรูปเคารพแพร่หลายมากขึ้น จึงมีการสร้างรูปขึ้นเป็นตัวแทนให้เคารพกราบไหว้อย่างในศาสนาอื่น แม้กระนั้น ธรรมเนียมการสร้างพระพุทธรูปแบบไทย ก็ไม่ได้สร้างอย่างรูปเหมือนของบุคคล แต่สร้างโดยมีความหมายเตือนใจ ให้เข้าถึงธรรม คือสร้างเป็นองค์ธรรมที่บริสุทธิ์ มากกว่าเป็นรูปเนื้อหนังอย่างในชนชาติอื่น จึงอยากจะให้เราสำนึกถึงคุณค่าถึงภูมิปัญญาบรรพบุรุษของเราตรงนี้ด้วย

กายวิภาค ของพระพุทธรูปแบบไทยนั้น มีลักษณะพิเศษ คือแต่ละส่วนขององค์พระนั้น เป็นปริศนาธรรม โดยแสดงรูปของธาตุ ตามความหมายของธาตุดาวนั่นเอง เพราะสมัยโบราณชาวบ้าน จะคุ้นชินอยู่กับความหมายทางธาตุ ทั้งในตำรายาไทย หรือ โหราศาสตร์พื้นบ้านที่อยู่ในวัฒนธรรมไทยอยู่แล้ว พระเศียรที่ใหญ่ คือ อังคาร หมายถึงอังคารที่มีกำลังธาตุสูง อังคารคือความเพียร และ สมอง ดังนั้น จึงหมายความถึง วิริยะ และความคิดเป็นเลิศ พระเกศ เส้นผม คือ เสาร์ ที่ทำเป็นก้นหอย แทนที่จะเป็นเส้นเรียบ นั่นคือ คือสมถะ และสัมมาสมาธิ ส่วนพระเกศที่เป็นมุ่นมวยมียอดที่สูงแหลมเป็นเปลวเพลิง หรือ บัวตูม แสดงให้เห็นถึงเกตุ หรือ ความสูงลึกล้ำสว่างไสวสุดยอดของความคิดนั่นเอง พระเนตรยาวส่อแววพระกรุณาและสายตาที่มองมา คือ อาทิตย์ แสดงพระหทัยที่บริสุทธิ์จริงใจ พระกรรณที่เรียบยาวถึงบ่า คือ ราหู หมายถึง องค์ธรรมภาวนาอันสงบเรียบ และแสดงพระชนม์ที่ยืนยาว เกิดจากการไม่เบียดเบียนสัตว์โลก

พระศอ หรือ พระกัณฐ์ คือศุกร์ เต็มอิ่มและชูระหง แสดงถึง ธาตุศุกร์หรือทานบารมี อกบริเวณพระอุระที่ใหญ่มาก เป็นเนินสูงคือ จันทร์ ที่แสดงพระเมตตากว้างใหญ่ไพศาลหาที่สุดไม่ได้ พระนาภี ที่คอดกิ่ว คือ พุธ หมายถึง ไม่พลิกแพลงเอาเปรียบ บริโภคน้อย แต่เรียบเต็มอิ่ม หมายถึง ไหวพริบสติปัญญาอันเลิศ เรียนรู้สรรพวิชา แล้วสอนเผื่อแผ่แก่สรรพสัตว์กว้างไกล ส่วนพระหัตถ์ กับพระบาท ที่ใหญ่ยาวเรียว คือพฤหัส องค์ปัญญาบริสุทธิ์นี่เอง ช่างปั้นพระพุทธรูปพื้นบ้านรุ่นเก่าของเรา ไม่ว่ายุคใด อย่างน้อยก็จะมีความรู้ด้าน***ส่วนองค์พระจากคติเบื้องต้นทางโหราศาสตร์กันมาทั้งนั้น

ส่วนการสร้างองค์พระพุทธรูปของไทยในสมัยก่อน ไม่ว่าจะเป็นปางใด จะไม่สร้างกันโดยอุปโลกน์เอาเองอย่างในสมัยหลัง แต่จะเลือกเหตุการณ์สำคัญในพุทธประวัติ เพื่อให้ระลึกถึงธรรมข้อใดข้อหนึ่ง ประสงค์ให้ผู้บูชาระลึกถึงธรรมข้อนั้นมาเตือนสติ หรือ ปฏิบัติ เช่น ปางห้ามญาติ เพื่อคิดถึงสามัคคีธรรม ปางลีลา หมายถึง ดำเนินชีวิตอย่างมีสติ ปางสมาธิ หมายถึง สมาธิวิปัสสนาภาวนาตรงตัว ปางพิชิตมาร หรือ สะดุ้งมาร หมายถึงการเอาชนะขันธมาร คือ กายและจิตสังขารที่เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งให้อยู่ในโลก ปางนาคปรก เดิมนาคมีเศียรเดียว หมายถึง บำเพ็ญวิริยะบารมี ต่อมาสร้างนาคเป็น 5 เศียร หมายถึงอินทรีย์ ๕ (สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา) บางแห่งสร้างเป็น 7 เศียร คือ โพชฌงค์ ๗ (สติ ธัมมะวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา) เหล่านี้เป็นต้น ไม่ได้เกี่ยวกับคนเกิดวันใด บูชาพระปางใดเลย แต่ผู้ใดก็ตาม หากพระท่านเห็นว่ามีจุดอ่อนของการดำเนินชีวิต ที่ควรยกข้อธรรมใดมาเตือนจิต ก็จะให้บูชาพระปางนั้น นี่เป็นวัตถุประสงค์ที่เป็นมาในวัฒนธรรมไทย ตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย เลยทีเดียว

ที่เห็นได้ชัดคือ พระปางประจำวัน นั้นมาจากคติทางโหราศาสตร์ ไม่ใช่พุทธธรรม จะเห็นว่าปางที่เลือกบูชาสำหรับคนเกิดแต่ละวัน มาจากธาตุ หรือ ดาวประจำวันเกิดนี่เอง และเป็นเจ้าเรือนเกษตรในดวงโลกราศีเมษ อย่างพระประจำวันอาทิตย์ เป็นปางถวายเนตร (อาทิตย์ คือ นัยน์ตา ดวงตา) วันจันทร์ คือปางห้ามญาติ หรือ ปางห้ามสมุทร (จันทร์ คือ พันธุ ได้แก่ ญาติ จันทร์ ยังหมายถึงแหล่งน้ำด้วย) วันอังคาร คือ พระปางไสยาสน์ (ปรินิพพาน) หรือ ปางคันธารราษฎร์ (อังคาร คือ ละกายสังขาร มรณะและทุกข์ภัย) วันพุธ เป็นพระปางอุ้มบาตร (พุธ คือ ทำมาหากิน ธุรกิจ) วันพฤหัส เป็น พระปางสมาธิ (พฤหัส คือ สมาธิ ปัญญา) วันศุกร์ คือ ปางรำพึง (ศุกร์ คือ ทาน และศีล แต่หมายถึงความใกล้ชิด ผูกพันได้) สุดท้ายคือ วันเสาร์ เป็นปางนาคปรก (เสาร์ คือ สมถะ และวิริยะอุตสาหะ เศียรนาค หมายถึง อินทรีย์ ๕ หรือ โพชฌงค์ ๗ นาคหรืองู ก็คือ เสาร์นั่นเอง) ปางที่กล่าวถึงนี้ เขียนตามที่นิยมกันทั่วไปเท่านั้น บางแห่งก็เพิ่มเติม หรือ แก้เป็นปางอื่น สุดแต่ตำราที่จะว่ากันไป เพราะที่จริงแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับพุทธธรรม และทางโหราศาสตร์ก็มีผลน้อยมาก อยากจะบูชาปางใดก็ได้ผลเท่ากัน ไม่ได้สะเดาะเคราะห์ หรือ แก้กรรมอย่างที่เชื่อกัน นั่นเป็นความเชื่อเพื่อให้สบายใจเท่านั้นเอง ยิ่งมีตำราโหรแบบใหม่ เอาปางพระพุทธรูปมาใช้ทำนายด้วยแล้วยิ่งดูไม่จืด อย่างเขาบอกว่าเอาวันเดือนปีบวกกัน เอา 7 หารเหลือเศษตรงกับพระพุทธรูปปางใด เช่น ปางเดิน แสดงว่าลำบาก ปางนั่ง พอมีกินสบายหน่อย ถ้าปางนอน แสดงว่าชาตินี้สบายมาก ปางอุ้มบาตรจะรวยใหญ่ อะไรแบบนี้ ไม่รู้คิดตำรามาได้อย่างไร

หากเราบูชาพระทุกปางทุกรูปทั่วไป อยากทำให้ถูก ก็เพียงทำใจให้ระลึกถึงพระรัตนตรัยก็เป็นพอ นอกจากนั้น ควรระลึกว่า การสร้างพระพุทธรูปมักจะตกทอดมรดกความคิดหรือ คติของช่างปั้น สืบต่อกันมานาน โดยจะแสดงรูปลักษณ์ให้เห็น คุณธรรมของพระโพธิสัตว์ คือ สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันตี ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปปางใด เพราะคุณธรรมเหล่านี้เป็นพื้นฐานบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ด้วย สุทธิ คือ พระบริสุทธิคุณ ไร้มลทิน และแสดงออกอย่างซื่อตรงไร้มารยา ปัญญา คือ พระปัญญาบริสุทธิ์ ที่เอาชนะกิเลสและตัวตนในใจ เมตตา คือ พระเมตตาบารมีที่บำเพ็ญมาเนิ่นนานนับอสงไขยชาติ และขันตี คือ ความอดทนอดกลั้นต่อขันธมาร ที่ยั่วยุให้ติดหลงในกิเลสสังขาร นั่นเอง ดังนั้น เมื่อเรากราบพระพุทธรูปครั้งใด ก็ควรจะน้อมเอาคุณธรรมดังกล่าวมาไว้ในใจตนด้วย เพื่อให้ประพฤติตนเป็นดังเช่นพระโพธิสัตว์ จะได้เป็นมงคลต่อชีวิต สมัยผู้เขียนยังเป็นเด็ก นานมาแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ยังคงสอนเช่นนี้สืบต่อกันมาเสมอ จนแม้เราไม่ต้องท่องก็จำได้ คำสอนเช่นนี้มาหายไปจากสังคมไทยปัจจุบันตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้ สัณนิษฐานว่า คงจะมาจางไปเมื่อมีการสร้างพระพุทธรูปรุ่นหลังๆ ที่จำลองเลียนแบบรูปกายจริงของมนุษย์นี่เอง รวมทั้งสร้างพระปางต่างๆกันตามใจชอบ บางแห่งให้พระถืออาวุธปืนเอ็ม16 ก็มี


วรกุล - 20 มิถุนายน พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.205.114)

ความคิดเห็นที่ 16
ขอขอบพระคุณอาจารย์วรกุลที่นำข้อคิดทางด้านพุทธธรรมและคติทางโหราศาสตร์กับการสร้างพุทธจำลองนะครับ

อ่านแล้วได้ความรู้และได้ข้อคิดมากเลยชอบมาก ๆ ครับและจะน้อมนำคำสอนของอาจารย์มาใช้ในชีวิตของตัวเองครับ ขออนุโมทนากุศลที่อาจารย์ได้เผยแพร่ความรู้แก่เพื่อนสมาชิกในเว็บบอร์ดนี้ด้วยนะครับ


เฟรด - 20 มิถุนายน พ.ศ.2549 08:15น. (IP: 58.8.184.120)

ความคิดเห็นที่ 17
กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


สุธาวาส - 20 มิถุนายน พ.ศ.2549 11:32น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 18
สวัสดีค่ะ อาจารย์วรกุล

ดิฉันมีข้อสงสัยอยากเรียนถามอาจารย์เรื่องการทำบุญค่ะ ดิฉันอยากทำบุญให้แม่ค่ะ (ยังมีชีวิตอยู่) เนื่องจากว่าพ่อแม่ดิฉันเลิกรากันไปตั้งแต่ดิฉันยังเล็กอยู่แล้วดิฉันอยู่กับพ่อมาตลอด ไม่ค่อยได้ติดต่อกับแม่เลย (พ่อกับแม่เลิกกันไม่ค่อยดีค่ะ) ถ้าจะได้เจอแม่ก็ต่อเมื่อแม่มาหาเท่านั้น ซึ่งก็นานๆ ที แม่ไปอยู่กับพี่ๆ ของแม่ในช่วงแรกๆตอนหลังก็มาอยู่คนเดียวแต่อยู่บ้านของพี่สาวแม่เพราะพี่ๆของแม่ทุกคนก็มีครอบครัวของตัวเอง ดิฉันทราบมาตลอดว่าแม่ก็มีชีวิตที่ลำบากพอสมควร แต่เนื่องจากดิฉันอยู่กับพ่อ แล้วพ่อห้ามไม่ให้คุยหรือติดต่อกับแม่ค่ะ ทุกครั้งที่แม่มาหาดิฉัน พ่อจะอารมณ์เสียและด่าทุกครั้งเลยค่ะ ด่าแม่บ้าง ด่าดิฉันบ้าง (เค้าไม่เจอกันค่ะ เวลาแม่มาดิฉันก็จะพาแม่ออกไปทานข้าวแล้วคุยกันข้างนอกค่ะ) พอพ่อรู้ว่าดิฉันให้เงินแม่ใช้บ้าง พ่อก็ว่าดิฉันว่าไม่สำนึกบุญคุณที่เค้าเลี้ยงมา ดิฉันเคยบอกพ่อไปว่าถ้าการงานดิฉันดีกว่านี้ดิฉันจะหาบ้านให้แม่อยู่และให้เงินใช้แม่จะได้ไม่ต้องไปอยู้บ้านพี่สาวอย่างนั้น ส่วนพ่อดิฉันก็จะดูแลและอยู่ด้วยกันไปอย่างนี้แหละ ปรากฏว่าพ่อดิฉันโกรธมาก ด่าดิฉันว่าเป็นลูกอกตัญญู เนรคุณพ่อ เพราะพ่อต้องลำบากเลี้ยงดิฉัน แต่แม่ไม่ได้เลี้ยง ถ้าอย่างนี้ เอาไปทิ้งข้างถนนไม่ต้องลำบากเลี้ยงก็ดีหรอก ดิฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อยังโกรธ เกลียด และเคียดแค้นแม่อยู่ได้ ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยมา 20 ปีแล้ว ดิฉันเบื่อเวลาที่พ่อพูดถึงแม่แล้วก็ด่าแม่ตลอด หาว่าเพราะแต่งงานกับแม่ชีวิตพ่อถึงไม่เจริญเท่าที่ควรบ้าง อื่นๆ อีกบ้าง

ดิฉันขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะว่าจะทำอย่างไรดี คนนึงก็พ่อที่เลี้ยงเรามา ให้มีกินมีอยู่ได้เรียนหนังสือจนจบ แต่อีกคนก็แม่บังเกิดเกล้าถึงไม่ได้เลี้ยงมา แต่แม่ก็ดีกับดิฉันไม่น้อยเลยค่ะเท่าที่ดิฉันจำความได้ แล้วตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่สามารถจะหาบ้านและเลี้ยงแม่ได้อย่างที่ตั้งใจไว้เพราะติดที่ตอนนี้ก็ต้องผ่อนบ้านที่อยู่กับพ่อค่ะ (เพิ่งซื้อได้ไม่นาน) ก็ได้แต่หวังว่าถ้าธุรกิจที่ทำอยู่ดีขึ้นก็คงจะได้ทำตามเจตนารมณ์ของตัวเอง ตอนนี้ก็ได้แต่ให้เงินแม่ใช้เท่าที่จะให้ได้ แต่ต้องแอบให้ค่ะ ไม่ให้พ่อรู้ ไม่ทราบว่าอาจารย์พอจะมีคำแนะนำอะไรให้ดิฉันได้บ้างไม๊ค่ะ แล้วเรื่องการทำบุญด้วยค่ะ ว่าต้องทำยังงัยบ้าง ดิฉันไม่ค่อยได้ทำบุญเท่าไหร่ค่ะ ส่วนใหญ่มักจะบริจาคเงินช่วยเหลือเด็ก คนชรา คนป่วยหรือสัตว์ค่ะดิฉันอยากทำบุญให้แม่ เผื่อถ้าแม่ได้รับบุญแล้วอาจทำให้แม่มีชีวิตที่ดีขึ้น ในระหว่างที่ดิฉันยังดูแลแม่ได้ไม่มากนัก (แม่สุขภาพเริ่มจะไม่ค่อยดีค่ะ)

ดิฉันขอความกรุณาจากอาจารย์ด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ


นภาพร - 21 มิถุนายน พ.ศ.2549 18:46น. (IP: 210.246.73.233)

ความคิดเห็นที่ 19
ตอบ 19 คุณ นภาพร...........น่าดีใจที่ยังมีผู้มีความกตัญญูรู้คุณ อย่างที่คุณทำอยู่ แม้เพียงเรามีเจตนาตั้งใจก็เป็นกุศล(ความดี)แล้ว ทุกครั้งที่เราสร้างกรรม (กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) จะมีผลเกิดขึ้นหลายอย่าง อย่างหนึ่งที่สำคัญมาก คือ เกิดบุญ และบาป บุญจะเกิดจากกุศลกรรม คือ กรรมดี บาปจะเกิดจากอกศุลกรรมคือกรรมไม่ดี ทุกวันนี้เราต้องอาบน้ำแปรงฟัน ร่างกายเราจึงสะอาด สดชื่น ไม่มีโรคภัย ไม่มีกลิ่นเหม็น นี่เป็นเพียงร่างกายภายนอกเท่านั้น แต่กายภายใน ที่เรียกว่าจิตใจของเรา อันที่จริงยิ่งต้องการการชำระล้างดูแลยิ่งกว่าร่างกายเสียอีก จิตใจคนเรารับเอาอารมณ์สารพัดเข้าไปตลอดเวลาเหมือนบริโภคอาหาร ทำให้เต็มไปด้วยสิ่งที่หมักหมม ติดแน่น เน่าเหม็น นานนับสิบๆปี และก็ยังพอกพูนเอาสิ่งสกปรกเข้าไปทุกวัน เราไม่อาจจะชำระล้างจิตใจตนเองได้ด้วยวิธีฟอกสบู่ หรือ แปรงออกได้จากภายนอก

สิ่งที่ติดแน่นเกาะติดอยู่ในใจเรานั้น คือ อกุศลจิต ที่เกิดจากโลภโกรธ หลง ความเคียดแค้น อาฆาตมาดร้าย ผูกใจเจ็บ นั่นแหละคือ บาป บาปทำให้ใจหมองมัวไม่มีความสุข แต่ก็ขจัดออกไปเองไม่ได้ เพราะใจมีปัญญาไม่พอ ดังนั้น จิตใจจึงมีกลไกซักฟอกตนเองได้ โดยใช้บุญ บุญ คือสิ่งที่ทำให้จิตใจสะอาดผ่องใส วิธีที่ทำให้เกิดบุญมีอยู่ 3 วิธี คือ หนึ่งให้ทาน สองรักษาศีล สาม ปฏิบัติภาวนา บุญไม่ได้เกิดจากใช้เงินทองซื้อมา เมื่อทำในสามวิธีนี้แล้ว เราเรียกว่า “ทำบุญ” เมื่อบุญเกิดมีขึ้น บรรดาบาปที่เกาะแน่นกับจิตจะถูกสลัดทิ้งไป มากบ้างน้อยบ้าง จิตจะเกิดสว่างไสว มีความเข้มแข็ง สดชื่น เยือกเย็นสบาย ใจพองฟู รู้ได้จากใจตัวเราเอง บุญนี้เป็นของวิเศษด้วย เมื่อเราตั้งใจอุทิศให้ใคร จิตเขาจะรู้สึกถึงอำนาจของบุญได้

อันที่จริงบุญ เป็นผลอันเกิดจากกุศลกรรม แต่ถ้าพูดภาษาชาวบ้าน ก็ต้องแยกว่า บุญ ส่วนหนึ่ง กรรมส่วนหนึ่ง ไม่เหมือนกัน คนที่ทำกรรมดีโดยจิตใจไม่เป็นบุญก็มี เช่น ทำบุญเอาหน้า หรือ ตัดรำคาญ แต่ผลแห่งกรรมดีนั้นก็ยังทำให้เขาได้รับผลดี อย่างคนเลวๆ ก็ยังเกิดมาร่ำรวยได้ แม้ใจจะสกปรกไม่เป็นบุญเลย ในทางตรงข้าม คนที่ทำบุญโดยภาวนา ไม่ได้สร้างกรรมโดยให้ทาน ก็อาจจะเกิดมาฉลาดเฉลียวดี แต่กลับยากจนไม่มีมีทรัพย์สินเงินทองก็มีอยู่เช่นกัน นี่เป็นกฎแห่งกรรม

ปัญหาของคุณ ดูง่ายๆ แต่เท่าที่เคยพบเห็นมาจะกลับแก้ยาก คุณพ่อของคุณ จิตใจนั้นผูกเจ็บอยู่ด้วยอดีตความหลังที่ไม่ดี มีความแค้นเคืองในเรื่องที่ไม่พอใจ กลายเป็นอารมณ์ที่หมักหมมติดอยู่กับจิต ความอาฆาตผูกใจเจ็บนี่แหละ เป็นอารมณ์ประเภทที่ติดแน่น ยากที่จะถอดถอนได้ วิธีที่จะถอดถอนอารมณ์ชนิดนี้ เจ้าตัว ต้องทำบุญให้เกิดแก่ใจตัวเอง ไม่มีใครไปช่วยชำระล้างให้ได้ ดังนั้น เราอาจจะลองแก้ดูดังนี้

ข้อแรก หาสาเหตุที่คุณพ่อผูกใจเจ็บ คุณแม่ให้ได้ก่อนว่าเกิดจากสาเหตุอะไร หากเป็นเพราะคำพูดดูถูกดูแคลน หรือ เพราะการกระทำใด ลองคุยกับคุณแม่ อาจจะขอให้ท่านมาขอโทษเสีย เพราะเวลาก็ผ่านไปนานพอสมควรแล้ว หากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งลดละทิฏฐิ ยอมแบกรับเอาความผิดที่แม้ตนอาจจะไม่ได้ก่อขึ้นเองก็ตามเอาไว้เสียเอง ขออโหสิกรรมนั้นเสีย ก็อาจจะยุติลงได้ แม้จะไม่ได้ผลอะไรเลย ก็จะไม่มีเวรกรรมต่อกันไปในชาติหน้า แต่ผู้ที่อโหสิกรรมเอง ก็จะได้ใจที่เป็นบุญ

ข้อสอง ชักชวนคุณพ่อ ให้ทำบุญบ้าง แม้ไม่บอกโดยตรง แต่หากชักชวนไป ขอให้ขับรถให้ ขอให้ไปเป็นเพื่อน ก็อาจจะก่อให้เกิดนิสัยเป็นบุญได้ หากทำได้ ให้หาพระ สำนักปฏิบัติ หรือ ผู้ที่เข้าใจวิธีสอนดีๆ ให้ได้พูดคุยกับคุณพ่อบ้าง เพราะการอบรมทางอ้อม อาศัยผู้อื่นที่มีความรู้น่าเคารพนับถือกว่าการที่เราไปพูดเองจะช่วยได้มาก โดยเฉพาะผู้ที่มักโกรธ เพ่งโทษผิดของผู้อื่นยิ่งกว่าความผิดตนเองนั้น ต้องอาศัยคนที่พูดเป็น ซึ่งอาจจะต้องเอาสวรรค์วิมาน มาหลอกล่อบ้าง หรือ เท่าที่พบเห็นกรณีเช่นนี้บ่อยครั้งมาก มักจะเกิดจากหมอดูประเภทเฮงซวยที่มีอยู่เต็มบ้านเมืองเรา ชอบทำนายว่าลูกคนโน้น เมียคนนี้เป็นกาลกิณี เป็นพินทุบาทว์ ทำให้ชีวิตไม่เจริญ ทำให้กลายเป็นปมระแวงอยู่ในใจ ดังนั้น ต้องเอาหนามบ่งหนาม โดยใช้หมอดูบางท่าน มาพยากรณ์ช่วยแก้ได้ หากสามารถโน้มน้าว ให้ละทิฏฐิ รู้จักการให้ ไปทำบุญเอง หรือ ทำภาวนาเสียบ้าง ใจก็อาจจะสละละทิ้งความอาฆาตมาดร้ายที่มีมา ให้ลดลงไปบ้าง

ข้อสาม คุณทำตัวอย่างให้เห็น เมื่อใดทำบุญเพราะกตัญญูต่อคุณแม่แล้ว ก็ให้ทำสิ่งเดียวกัน เพื่อคุณพ่อด้วย ให้ทำเปิดเผยเพื่อท่านจะได้เห็น ให้รู้ว่าความกตัญญูที่ได้กระทำนั้น เพราะเราได้เห็นทั้งบุญคุณทั้งคุณพ่อและคุณแม่เสมอเหมือนกัน เพื่อให้ท่านได้รับผลบุญมีความสุข มีความเจริญทั้งสองท่าน คุณพ่อจะได้เห็นว่าเราไม่ได้ทำบุญให้ฝ่ายเดียว คุณอธิษฐานด้วยว่า แม้คุณพ่อเพียงมีจิตอนุโมทนาในบุญของเราวันใด ขอให้บาปอกุศลเพราะความผูกใจเจ็บนั้นหมดไป ให้ทำซ้ำบ่อยครั้งแล้วกรวดน้ำ ไม่ต้องใช้เงินทอง แม้อาจจะเลือกวันใดถือศีล ห่มขาว บอกว่าถือศีลเป็นบุญ เพื่อให้คุณพ่อคุณแม่เลิกโกรธกัน ก็ทำได้ แล้วคอยดูผล

ข้อสี่ กรรมที่แต่ละคนทำ เราไม่อาจจะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ หากได้พยายามแก้ไขกระทำแล้ว จะได้ผลเพียงเท่าไร หรือ ไม่ได้ผลเลย ก็ต้องทำใจให้เป็นอุเบกขาวางเฉย การที่ตัวคุณเองเกิดมาโดยมีพ่อและแม่ทะเลาะเลิกกัน ก็เป็นผลจากกรรมโดยส่วนตัวของคุณส่วนหนึ่ง ดังนั้น ให้น้อมเอาเรื่องนี้มาเป็นคติเตือนใจ ไม่ให้สูญเปล่า เร่งทำบุญกุศลให้เกิดแก่จิตใจ แม้จะอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่ทั้งสองท่าน จะได้ผลน้อยกว่าให้ท่านทำเอง แต่ก็ให้เพียรพยายามทำไป อำนาจของบุญก็อาจจะช่วยให้ชะตากรรมเบี่ยงเบนไปในทางดีได้ เพราะเทวดาฟ้าดิน อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่เหนือไปจากเรานั้น ยังมีอยู่ ท่านย่อมมีตามองเห็น และบันดาลให้สำเร็จได้ หากใจเราเป็นบุญ ก็ขอได้ผลจริง


วรกุล - 23 มิถุนายน พ.ศ.2549 05:02น. (IP: 203.107.202.61)

ความคิดเห็นที่ 20
ขอบคุณอาจารย์วรกุลที่ให้ความรู้ครับ ดีมาก ๆ เลย จะปรับใช้กับตัวเองครับ


เฟรด - 24 มิถุนายน พ.ศ.2549 00:41น. (IP: 58.8.191.184)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียน อาจารย์วรกุล

ขอบคุณมากค่ะที่ช่วยชี้แนะแนวทางให้ดิฉัน เพราะดิฉันเองรู้สึกเป็นทุกข์และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ด้วยเรื่องแบบนี้ก็ไม่รู้ว่าจะไปปรึกษากับใครได้ สำหรับคำสอนและคำแนะนำของอาจารย์ดิฉันจะนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เผื่อจะได้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นไม่มากก็น้อย ถึงอย่างไรก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ


นภาพร - 24 มิถุนายน พ.ศ.2549 17:50น. (IP: 210.246.70.220)

ความคิดเห็นที่ 22
พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์ในดวงชะตา เมื่อเรียนเริ่มแรกมักจะพบดวงมาตรฐาน ตำแหน่งดาวในราศีต่างๆ และข้อความทำนายมาตรฐานต่างๆ มือใหม่ๆ เมื่อได้วางลัคนาแล้วก็ดูดาวที่อยู่ในราศีว่าอยู่ราศีใด เราก็วิ่งไปเปิดดูว่าฝอยตามตำราว่าไว้อย่างใด พอเปิดบ่อยครั้งเข้า เราก็จะสังเกตว่า ข้อความบางอันจะขัดกัน พวกที่เรียนผ่านมาแล้วจะรู้ดี เพราะข้อความที่เขียนมาในตำราแบบสถิติ ว่าดาวดวงนั้นดวงนี้ อยู่เรือน หรือ ราศีใดจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้นั้น มีคุณค่าในการศึกษา แต่พอจะใช้ทำนายดวงชะตามักจะติดขัด แม้พวกเราบางคนจะสร้างความชำนาญให้กับตัวเอง ขนาดท่องจำข้อความในตำราให้ได้เกือบหมด ก็ยังลำบากในการสรุปเป็นคำทำนาย

การที่มีดาวดวงสองดวง ทำแบบนั้นก็พอทำได้ แต่ถ้าทำทั้งดวงชะตาจะทำได้ยาก ดังนั้น เวลาไปใช้โปรแกรมหมอดูสำเร็จรูปในคอมพิวเตอร์ พวกที่มีดาวดีๆ หลายดวง คำแปลก็มักจะดีหมด เพราะโปรแกรมมันดูแบบเราเปิดหนังสือดูทีละดวงหรือทีละคู่ แต่ไม่ได้เอามาสังเคราะห์รวมกันนั่นเอง ไม่เหมือนการใช้คนดู เพราะจริงๆแล้วดาวที่เราเห็นทั้ง 10 ดวงจะสัมพันธ์กันหมด และยังทำงานตามกำหนดเวลาที่ไม่เหมือนกัน เช่น ดาวที่แสดงว่ายากจน อาจจะทำงานตามหลังดาวที่ร่ำรวยมาก็ได้ เคยรู้จักเศรษฐีคนหนึ่งเป็นพ่อค้าข้าว ได้รับโควต้าส่งออกมาทุกปี ปีนั้นรวบรวมข้าวเต็มที่ และยังรับซื้อโควต้าของคนอื่นมาอีกด้วย พอดีรัฐบาลยกเลิกโควต้าส่งออก เขาสูญเงินเป็นพันล้าน จากมหาเศรษฐีกลายเป็นยาจกในทันที แกไปให้ใครเขาดูโหงวเฮ้ง หากคนไม่เก่งจริงจะไม่รู้เลย

การที่คนเรามีชะตาชีวิตที่พลิกผันเช่นนี้ อันที่จริงมีตำรานอกสารบบบอกไว้ เกิดจากนักดูดวงนี่เอง โดนเพื่อนหักหลังเอาดวงแปลกๆมาให้ดูบ่อยๆ ก็เลยต้องรวบรวมความรู้เอาไว้ คล้ายกับความรู้เรื่องค่ายกลของหมากรุก กลหมากรุกนั้น เป็นเพียงแต่เป็นแง่มุมที่เราไม่คาดคิด เพราะปกติเรามักคิดไปตามสามัญสำนึก เมื่อรู้แล้ว ก็เป็นของธรรมดาๆ ค่ายกลเม็ดของโหราศาสตร์ก็เหมือนๆกัน ได้มาจากหลักเกณฑ์ที่เป็นไปตามปกตินั่นเอง แต่คนสมัยนี้ไม่ค่อยจะรู้เรื่องพื้นฐานของวิชา เลยเห็นเป็นของแปลกไป กลเม็ดพวกนี้ บางคนไปเรียกว่าเคล็ดลับ ซึ่งคำสองคำนี้จะแตกต่างกันอยู่หน่อย เคล็ดลับ มักจะเป็นวิชา หรือ หลักที่ซ่อนอยู่ แต่กลเม็ด เป็นเพียงวิธีใช้หลักที่ได้ประสิทธิภาพ หรือ เป็นไม้ตาย อย่างที่เขาว่ากัน สมัยก่อน พวกนักศึกษา ซึ่งไม่ใช่อาจารย์ แต่เป็น “นักเล่นดวง” มักจะมีดวงครู หรือไม่ก็ไม้ตายที่เป็นกลเม็ดติดตัวไว้เสมอ เวลาเข้าตาจน จำเป็นเข้า ก็งัดออกมาใช้

คำว่า “ดวงครู” เป็นดวงตัวอย่างของคนจริงๆที่เลือกมาจดจำเอาไว้ หรือไม่ก็เป็นดวงที่มีคุณค่าแก่การศึกษา เพราะเป็นดวงที่เป็นไปตามทฤษฎี และอ่านง่าย ดวงครูบางดวงอ่านได้ตรงเผงตามตำราเลย และยังคำนวณขับดวงได้ตามเกณฑ์เลขที่กำหนด ดังนั้น การจำดวงครู จึงทำให้เราจำหลักได้ดีขึ้นไม่สับสน เหมือนคู่มือ พวกสำนักโหราศาสตร์มักจะมีดวงครูอยู่เป็นจำนวนมาก ใช้เรียนโหราศาสตร์แต่ละระดับ เช่น สมมุติดวงเศรษฐี ก็อ่านได้ว่าเป็นเศรษฐีร่ำรวยตรงตามความเป็นจริง อ่านแล้วเคลียร์ในหลักทำให้จำหลักแม่นขึ้น เมื่อจำหลักแม่นแล้วจึงค่อยเรียนว่าอะไรที่อยู่นอกหลัก ทำให้การเรียนวิธีนี้เข้าใจลึกซึ้ง ดวงครูมีทั้งง่ายไปจนถึงยากสุด ใช้สาธิตหลักวิชาประจำสำนักก็มี เพราะหากหาดวงคนทั่วไปมาอ่านเฉพาะหน้า จะอ่านได้ไม่ตรง ทำให้ไม่เห็นของจริง เมื่อเราเรียนดวงครูคล่องมือแล้ว ทีนี้ดูดวงทั่วไป เราจะก้าวหน้าเร็ว เพราะรู้เหตุผลชัดที่ดวงอื่นๆไม่เป็นไปตามหลัก ดวงครูจึงเป็นที่หวงแหน บางดวงตกทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลต้นๆ ก็มี ดวงครูดวงหนึ่งที่เราอาจจะรู้จักกันดี ก็คือ ดวงเมืองกรุงเทพ นั่นไง

ส่วน “กลเม็ด” นั้นแพร่หลายกว่า กลเม็ดอาจจะเป็นบางส่วนของดวงครู หรือ ข้อสังเกตที่แน่นอนเชื่อถือได้ บางครั้งก็ทำนายในที่ลี้ลับสัปดนก็มี มักใช้เล่นทำนายอะไรกันแผลงๆ พวกนักศึกษา แม้บางคนจะทะลึ่งสัปดน แต่ก็ไม่มีใครละเมิดดวงครู แต่ถ้าเป็นกลเม็ดแล้ว แก้ตัวว่าเพื่อความรู้ที่ลึกซึ้งในโหราศาสตร์ ก็เลยเอามาเล่นได้ พวกกลเม็ดนี้มักแพร่หลายกว่า พวกอาจารย์รุ่นหลังๆ (ซึ่งก็คือเด็กรุ่นแรกๆ) บางทีเก็บกลเม็ดไว้แล้วมาถือว่าเป็นเคล็ดลับวิชาก็มี ที่บางท่านเอามาเขียนเล่าเอาไว้ก็มีมาก มักใช้คำว่าเป็นข้อสังเกตในวิชาโหราศาสตร์ หรือ เกล็ดวิชาต่างๆ ที่จะเอามาเล่าในที่นี้เป็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่ง ก็คือ “ดวงแรง” ซึ่งดูเป็นเรื่องขัดกับตำรา

ดวงแรงนั้น ส่วนใหญ่เป็นดวงที่พลิกผันสูงมาก เป็นคนละเรื่องกับดวงแรงเพราะมีเจ้าเข้าทรง มีองค์ประทับ ประมาณนั้น การพลิกผันของดวงแรงแบ่งออกเป็นสองประเภท คือ ประเภทแรก พลิกผันในชีวิตของเจ้าชะตาเอง เช่น สมมุติเราพล็อตกราฟชีวิตของเขา จะพุ่งขึ้นสูงสุด แล้วลงต่ำติดดิน ได้สิ่งใดก็ได้มากมายเหลือเชื่อ แต่เวลาสูญเสียก็เสียอย่างไม่เหลืออะไร ดวงอีกประเภทหนึ่ง คือดวงหลายดวงที่มีโอกาสทางวิถีชีวิตผันแปรแตกต่างกัน คือเป็นทางกำหนดของชะตาที่อยู่ติดกันแบบนรก กับสวรรค์ เช่นสมมุติ เจ้าชะตาเกิดเวลา 12.00 น. จะเกิดมาร่ำรวย รูปหล่อ จบปริญญาเอกจะได้เป็นรัฐมนตรี แต่หากเกิดเวลา 12.05 น. จะเป็นขอทานพิการยากจนเข็ญใจตั้งแต่เกิดจนตาย และก็มีได้หลายแบบ อะไรแบบนี้ ไม่น่าเชื่อ ทั้งๆที่วางลัคนาแล้วจะอยู่ที่เดียวกัน หรือไม่ก็เกิดเวลาเดียวกันเผงเลย และเมื่อไม่แน่ใจเวลาเกิด ก็จะไม่รู้เลยว่า ดวงใครเป็นใคร แบบนี้แหละเป็นดวงจริงๆที่ใช้ลองภูมิกันตามซุ้มหมอดู

สาเหตุของดวงแรงชนิดนี้ทั้งสองแบบ มีลักษณะอยู่อย่างหนึ่งก็คือ เป็นเพราะมีดาวที่มีกำลังแรง หรือ อ่อนกำลังมากเกินไป เช่นมีดาวอุจตั้ง 3 – 4 ดวง มีนิจประ ตั้ง 5 ดวง มหาจักร 4 ดวง มีคู่ธาตุ คู่มิตร คู่สมพล ถึง 3 – 4 คู่ อะไรแบบนั้น หรือบางทีก็เป็นชุดของดาวสำคัญร่วมด้วย เช่น จันทร์ ครุ สุริยา ในราศีทวาร ดาวคู่อสีติธาตุ ดาวบาปเคราะห์สลับศุภเคราะห์ ดาวอุจเล็งอุจหลายคู่ อุจเล็งนิจ หรือ นิจเล็งนิจหลายคู่ ดาวชุมนุมเป็นกลุ่มใหญ่ๆ เช่นบาปเคราะห์ชุมนุมราศีหนึ่ง พร้อมศุภเคราะห์ชุมนุมอีกราศีหนึ่ง ดาวมีเสน่หาทางเพศหลายดวง เป็นต้น (มียกเว้นอยุ่บ้าง เช่น ดาวเป็นเกษตร หลายๆดวง หรือ เป็นเกณฑ์สำคัญบางอย่าง) พวกเรามือใหม่เวลาไปเปิดตำราดู เห็นดาวดีๆเยอะๆก็ทายดีขนาดเลิศเลอกันทีเดียว เพราะเข้าใจว่า แค่มีดาวเดียวยังดีมากแล้ว นี่มีหลายดาว ก็คือดีหลายดี แต่บางครั้งได้รู้เรื่องจริงของเจ้าชะตาก็งง เพราะกลายเป็นไม่ดี หลายไม่ดีไป เช่น บางครั้งดวงที่มีดาวดีๆ เด่นๆมาก ทำนายว่าเจ้าชะตาทหารมียศศักดิ์สูง ของจริงเป็นเพียงพลทหารหรือจ่าจนเกษียณ บางดวงน่าจะร่ำรวยกลับเป็นขอทาน บางดวงน่าจะเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต มีผู้นับหน้าถือตา แต่ตัวจริงๆ เจ้าชะตาเป็นคนเอ๋อ คือ ปัญญาอ่อน เดินโบ๋เบ๋ ไม่ได้เรียนหนังสือ ในขณะที่นักปราชญ์ราชบัณฑิตจริงๆหลายท่าน มีดาวปัญญา(ดูเหมือน)เสียหาย หรือ บางดวงมีดาวเจ้าเสน่ห์มาก ทายว่าจะป้อปปูล่าร์ เป็นที่นิยมของสังคมและดึงดูดเพศตรงข้าม ให้พึงระวังว่า เขาอาจจะเป็นคนลักเพศ กลายเป็นตุ้ด แต๋ว เกย์ ทอม ดี้ หรือ บางคนหน้าตาหล่อสวยดี แต่วันๆได้แต่ทะเลาะกับเพื่อน ไม่มีใครคบหาเลยก็มีมากจนน่าแปลกใจ

ทั้งนี้เพราะ การที่ดาวที่มีมาตรฐานกำลังดาว หรือกำลังธาตุสูงหลายดวงผิดปกตินี้ ทำให้มีปัญหาของพลังงานและธาตุในดวงชะตา ธรรมดาดวงชะตาทั่วไปที่ไม่ได้มีบารมีสูงแต่กำเนิด พลังงานธาตุที่ดำรงในดวงชะตาจะมีจำกัด ธาตุจะมีโอกาสได้รับพลังงานหมุนเวียนในดวงชะตา ทั้งจากวงรอบธรรมชาติ และจากการส่งผ่านมาจากจักรวาลทางลัคนา แต่หากดาวมีการสะสมพลังงานสูงธาตุสูง เช่น เป็นอุจ ทีละหลายๆดวง ดาวจะดึงพลังงานและธาตุเข้าไว้มาก ทำให้เกิดปฏิกิริยาเอง อาจจะขัดกับการถ่ายเทพลังงานธาตุตามปกติดาวอื่นที่ทำงานตามโครงสร้างในดวงชะตา แต่ละดาวก็จะแสดงเด่นผิดเวลา บ่อนทำลายขัดกำลังกันเอง ซึ่งมักจะทำให้ธาตุผิดปกติในดวงชะตา แม้กระทั่งมีดาวนิจ ก็อาจจะไม่ได้รับพลังงานเลย กลายเป็นอตินิจโดยไม่ฟื้นจึงเป็นจุดดับสนิทไป ดังนั้น ชะตาชีวิตจึงกลายเป็นทางเลือกใหญ่ที่มีโอกาสเปลี่ยนแปลงสูง เรื่องราวในดวงชะตาจะเปลี่ยนแปลงไปมากมายคนละทาง ทางเลือกมักจะเกิดจากกรรมของเจ้าชะตาเอง เช่น หากเลือกไปทางดี โอกาสที่ดาวกลุ่มดีจะได้รับการกระตุ้นพลังงานในโครงสร้างธาตุและดาวจะมีสูง และอีกฝ่ายจะต่ำลง หรือ เลือกทางเลวก็จะกลับกัน ทำให้พบว่า ดวงชะตาที่มีดาวศีลธรรมสติปัญญาดีๆ บ่อยครั้งที่เจ้าชะตาอาจจะพลิกกลับเป็นคนเลวมาก เนรคุณคน ฆ่าคนเป็นผักปลา เป็นขุนโจรร้อยศพ ทำปิตุฆาต มาตุฆาต ในขณะที่บุคคลที่เกิดร่วมเวลาเดียวกัน เป็นพระปฏิบัติผู้ทรงศีลก็มี ทั้งๆที่ผูกดวงแล้วแทบเหมือนกันสนิท ทำให้หมอดูบางคน ถือโอกาสเลื่อนลัคนาบางดวงชะตาไปเลย อ้างว่าเพราะไม่ตรงกับความเป็นจริง

ดูๆก็คล้ายๆกับทีมฟุตบอลสโมสร บางแห่งซื้อตัวดาราเข้าไปมากๆ แต่กลับไม่ได้แชมป์ เล่นไม่ดี เพราะบางทีดารานักเตะต่างคนต่างแสดงตัวเด่นเกินไป ดึงบทบาทฟุตบอลที่มีจำกัดเอาไปแสดงส่วนตัว ก็ทำให้ทีมเลวลงได้เหมือนกัน พวกดวงแรงเหล่านี้ มักจะแก้ไขแทบไม่ได้เลย ไม่ว่าจะแก้ให้ดี หรือแก้ให้เลวผิดทางเดิม แต่การซ้ำเติมส่งเสริมจะกลับง่ายมาก การทำนายดวงชะตาจึงต้องระวัง บุคคลเหล่านี้ที่เป็นไปทางบาป จะสอนยาก อธิบายยาก ขัดขวางชะตากรรมของเขายากด้วย มักจะมีอัตตาสูงมาก เกิดจากดาวแรงๆเหล่านั้น แสดงอิทธิพลเป็นอัตตาพร้อมกัน และโหรเองอาจจะถูกทำร้าย จากคนเหล่านี้ หากทำนายอะไรผิดหู ในประวัติศาสตร์ก็มีหลายครั้งแล้ว ซึ่งหากเป็นผู้มีบารมีสูง กำลังธาตุในดวงชะตาสูงดี และโครงสร้างของดาวสอดคล้องกันเข้มแข็ง แม้จะมีดาวแรงๆจำนวนมากก็ตาม เจ้าชะตาจะเป็นวีรบุรุษคนสำคัญของโลกได้ ไม่ว่าจะพบอุปสรรคสักเท่าใด ดังนั้น การพิจารณาดวงพิเศษชนิดนี้ จึงทำให้ต้องหวนกลับไปทบทวนการทำงานของธาตุในดวงชะตาใหม่ทุกครั้ง ประกอบกับข้อมูลของเจ้าชะตา เพราะหากทางเดินที่เจ้าชะตาเดินไปผิดเพียงนิดเดียว ชีวิตจะหันเหไปคนละทาง

นักโหราศาสตร์ที่มีประสบการณ์จึงมักจะเห็นได้ว่า การมีดาวในดวงชะตาดีบ้าง ด้อยบ้าง ผสมกลมกลืนกันในดวงชะตาอย่างคนทั่วไป จะกลับเป็นผลดีต่อชะตาชีวิตมากกว่าการมีดาวเด่นๆ เช่น มหาอุจ มหาจักร จำนวนมากมาย นอกจากนั้น ดวงชะตาที่มีดาวเป็นเกษตร หลายๆดวง หรือ เป็นเกณฑ์สำคัญบางอย่าง ก็ทำให้ดวงชะตามีความมั่นคงกว่า ไม่ผันผวนง่าย ส่วนอีกคำตอบหนึ่ง คือ ดวงชะตาที่มีโครงสร้างดวงชะตาเป็นระเบียบที่ดี ทำให้มีกำลังดี ก็จะคงทนต่อการพลิกผันเปลี่ยนแปลง และเป็นหลักที่มั่นคงกว่า ตำแหน่งดาวหรือ เกณฑ์ดาว ความรู้ความชำนาญในเรื่องนี้ กว่าจะใช้ได้ก็ต้องรู้รอบด้านจนเป็นความชำนาญเสียก่อน


วรกุล - 26 มิถุนายน พ.ศ.2549 04:52น. (IP: 203.107.204.30)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียนอ.วรกุล

ดิฉันได้มีโอกาสเข้ามาอ่านบทความของอาจารย์อยู่เสมอค่ะแต่ก็ไม่เคยได้แสดงความเห็นอะไรเนื่องจากรู้ตัวว่าความรู้ที่มีอยู่นั้นน้อยนิดก็ได้แต่ติดตามบทความของอาจารย์ซึ่งได้ความรู้และทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้นค่ะ พอดีได้เข้ามาอ่านเกี่ยวกับเรื่อง ดวงแรง ที่อาจารย์ได้กรุณาเล่าให้ฟังก็เกิดความสนใจและมีข้อสงสัย การที่บุคคลใดมีดาวที่มีกำลังธาตุสูง หรืออ่อนกำลัง อยู่ในดวงชะตาหลายดวง จะมีผลให้ชีวิตมีความพลิกผันสูง เราสามารถรู้ได้หรือไม่ว่าความพลิกผันที่เกิดขึ้นนั้นจะเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่งในดวงชะตา หรือจะเป็นเรื่องราวโดยรวมของชีวิต ส่วนตัวดิฉันเองในดวงชะตามี มหาจักร 4 ดวง ชีวิตที่ผ่านมา ก็รู้สึกได้ถึงความแกว่งตัวไม่ว่าจะเป็นคนที่เปลี่ยนงานมาแล้ว 7 แห่ง แต่ละแห่งที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาในเรื่องของงานและผู้คน การเงินเคยประสบปัญหาไม่มีเงินสดเวลาผ่านไปเพียง 2 ปี ก็มีเงินหลักล้านผ่านเข้าการได้มาซึ่งหลักทรัพย์ได้มาโดยไม่ต้องมีการวางแผนด้านการเงินล่วงหน้า รวมไปถึงเรื่องสุขภาพซึ่งตัวดิฉันเองมักเกิดอุบัติเหตุแรง โดยไม่คาดฝันอยู่เสมอ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยเรียนถามอ.ศุภกรมาแล้วในกระทู้ที่ 16 เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ดิฉันอยากทราบว่าเกี่ยวกันไหมค่ะกับ ดวงแรง (เกิด 27 ธค. 2514 เวลา 01.15 น. เช้าวันจันทร์เพชรบูรณ์)

ขอรบกวนอาจารย์ด้วยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ




มด - 27 มิถุนายน พ.ศ.2549 15:30น. (IP: 202.57.150.220)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบ 24 คุณมด.............ดวงคุณเป็นประเภทดวงแรงถูกแล้วครับ แต่ยังอยู่ในกลุ่ม ประเภทแรก ที่พลิกผันในชีวิตของเจ้าชะตาเอง ทั้งนี้เกิดจากดวงกำเนิด ทำให้ดาวยังเป็นไปได้ปกติ ดาวที่ว่าเป็น 4 มหาจักรนั้น ตรวจดูแล้วไม่ได้ทำงานผิดจากที่มันเป็น แต่เพราะการเป็นมหาจักรนั่นเองที่ทำให้เกิดผันผวน วูบวาบ ในดวงชะตาได้ ซึ่งก็เป็นการวูบวาบแบบกลางๆ แค่คลื่นสูงแค่ 2-3 เมตร ไม่ได้เป็นคลื่นยักษ์ แบบดวงแรงที่ว่าแรงมาก หรือ พูดให้เห็นภาพก็แค่ราว 20% เท่านั้น เราก็เห็นว่าวูบวาบมากแล้ว ต้องระวังเหมือนกัน

พวกดวงแรงที่ผมยกตัวอย่างมา รวมทั้งดวงคุณด้วย เป็นชนิดที่เกิดจากกำลังดาว กำลังธาตุเท่านั้น ยังมีดวงผันผวนประเภทอื่นๆอีกหลายแบบ ยังไม่ได้เล่า เกิดจากหลายสาเหตุ เหมือนกับคลื่นน้ำนั่นแหละครับ อาจจะเกิดได้จากสาเหตุหลายอย่าง ดวงคุณเรื่องการงาน เงินทอง และชีวิต จะมีความแปรปรวนจากดาวชุดนี้ ยกเว้นเรื่องอุบัติเหตุของคุณ เกิดจากสาเหตุอื่น ไม่เกี่ยวกับ ดวงแรง 4 มหาจักร แต่เป็นพวกที่เกิดจากคุณสมบัติดาวและเรือน เกิดจากกรรมเดิม จะเป็นไปตามดาวจร และอายุ ซึ่งดาวมหาจักรก็ยังมีบทบาทตามปกติ การที่ อ. ศุภกร (คำถามที่ 50 กระทู้ที่ 16) แนะให้แก้แบบ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์นั้น เป็นการแก้ลดทอนกำลังของธาตุดาวที่มีปฏิกิริยาจากดาวจร และก็สร้างกรรมดี ด้วย คุณ และสามี (ด้วย) ควรทำบุญใส่บาตร หรือ ถวายสังฆทาน บ้างนานๆครั้ง แล้วกรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรด้วย ไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ทำตามศรัทธา อย่าทำแบบขอไปที จะได้ผ่อนเบาอุบัติเหตุลง และนานๆก็ตรวจสุขภาพร่างกายดูหน่อย เพราะมีผลถึงด้วยเหมือนกัน


วรกุล - 28 มิถุนายน พ.ศ.2549 05:00น. (IP: 203.107.204.97)

ความคิดเห็นที่ 25
ขอบพระคุณอาจารย์วรกุลมากค่ะ ดิฉันจะนำคำแนะนำของอาจารย์ทั้งสองไปปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ชีวิตต้องตกอยู่ในความประมาทค่ะ


มด - 29 มิถุนายน พ.ศ.2549 10:16น. (IP: 202.57.150.220)

ความคิดเห็นที่ 26
เรียน อ. วรกุล

การที่บอกว่า ดาว อย่างเช่น ราหู เสาร์ นั้นเป็นดาวร้าย เมื่อไปอยู่ในเรือนใด(ในพื้นดวงกำเนิด)ก็ทำให้เรือนนั้นเสีย คือ ไปเบียนเรือนนั้นๆ

หนูมีคำถามสงสัยว่า ถ้าดาวร้ายอย่างเช่น เสาร์(๗)เป็นเจ้าเรือนพันธุ (ลัคนาราศีตุลย์) จะบอกว่าดาวเสาร์นั้นเบียนเรือนตัวเอง(เรือนพันธุ)หรือไม่คะ เช่น จะทำให้เจ้าชาตาเป็นคนอยู่บ้านไม่ติด ต้องพลัดที่นาคาที่อยู่ ทายอย่างนี้ถูกหรือผิดคะ และในกรณีดาวร้ายอื่นๆ เช่น ราหู ก็เช่นเดียวกันค่ะ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยอธิบานเรื่องนี้ด้วยค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


นักเรียน - 29 มิถุนายน พ.ศ.2549 15:04น. (IP: 210.246.80.30)

ความคิดเห็นที่ 27
ตอบ 27 คุณนักเรียน.............ถูกแล้วครับ ดาวเสาร์ หรือ ราหู (หรือดาวอะไรก็แล้วแต่) เมื่อ “ทำอะไร” กับเรือนอื่น ก็ทำเช่นนั้นกับเรือนตนเองได้เหมือนกัน แต่ทีนี้เราต้องเข้าใจว่า การเรียนโหราศาสตร์ในขั้นต้น นักเรียนก็ต้องเรียนแบบเข้าใจง่ายๆไปก่อน แบบหนังไทยมีพระเอกผู้ร้าย ก็เลยกำหนดให้ดาวศุภเคราะห์ เป็นดาวดี ดาวบาปเคราะห์ เช่นเสาร์ ราหู อังคารเป็นดาวร้าย เพราะเห็นได้ง่ายจะได้ไม่งง พอเรียนระดับสูงขึ้นมาแล้วก็จะรู้ว่า พวกพระเอกรูปหล่อนี่บางทีก็ใช้ไม่ได้ มีข้าศึกผู้ร้ายมาก็แหย แต่พวกผู้ร้ายหน้าเต้าหู้ยี้นี่แหละ ดูเหมือนไม่ดี มีข้าศึกมา ก็คว้าปืนไปป้องกันบ้านเมือง แล้วจะสรุปว่าใครดีกว่ากัน

ดังนั้น ดาวอะไรก็มีทั้งดีและไม่ดี ที่เราไม่ชอบเพราะนิสัยของดาวแต่ละดวงไม่เหมือนกัน เช่นเสาร์นั้นมีธรรมชาติ คือ “จากพราก” เพราะเสาร์ขยันอดทน ชอบทำงาน เป็นคนดีของโลก เพราะเป็นเจ้าเรือนกัมมะลัคนาโลกที่ราศีเมษ ดังนั้น เสาร์อยู่ที่ไหนก็ต้องออกไปหางาน หาอะไรทำ ทำแล้วเราก็รู้สึกเหนื่อย เรามีนิสัยชอบสบายเราก็เลยว่าเสาร์ไม่ดี เสาร์ไปอยู่เรือนไหน เรือนนั้นก็ต้องถูกเคลื่อนย้าย เพื่อจัดให้เป็นระเบียบ ดังนั้น เสาร์จึงไม่อยากอยู่บ้านเฉยๆ ดังนั้น เสาร์ไปทางไหนใครเขาจึงว่าเป็นดาวร้าย

ที่จริง เสาร์และราหูให้คุณมากแก่คนบางคน เช่น คนที่ยศตำแหน่งไม่ขึ้นเป็นสิบๆปี ทำงานอยู่นานจำเจก็เบื่อ พอเสาร์ ราหูมาทับเล็งเข้า เพราะฤทธิ์เดชเสาร์ราหูทำให้ได้เลื่อนยศ เปลี่ยนงาน ย้ายที่ หรือคนที่ติดคุกตะรางอยู่ เสาร์ก็มาทำให้ “พลัดที่นาคาที่อยู่” ทำให้หลุดจากคุก คุณว่าดี หรือไม่ดี กว่าการอยู่ถาวรในคุกล่ะครับ ในกรณีที่เสาร์มาอยุ่ราศีมังกรเรือนตนเองนั้นเป็นเกษตร การพลัดที่อยู่นั้น ต้องแปลไปเป็นในทางดี ตัวเราจะ “พลัดที่อยู่” คือ ต้องโยกย้ายออกไป เพื่อการงาน ความมั่นคงของชีวิต นอกจากนั้น เสาร์เองก็หมายถึงที่ทาง ที่ดิน สมบัติได้ เมื่อยู่เรือนพันธุ ก็หมายความว่า เราอาจจะมีที่ดิน ที่นา ที่อยู่เป็นสมบัติเป็นหลักฐานจำนวนมาก เวลาเรียนสูงขึ้นไป มุมมองเหล่านี้จะละเอียดยิ่งขึ้น ไปกว่านี้อีก ถ้าเราคิดเป็น เราก็จะเข้าใจที่ตำราสอนไว้


วรกุล - 30 มิถุนายน พ.ศ.2549 06:34น. (IP: 203.107.204.134)

ความคิดเห็นที่ 28
กราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลค่ะ ที่กรุณาอธิบาย หนูเข้าใจขึ้นมากกว่าเดิมค่ะ และชอบตรงที่อาจารย์อุปมาว่าดาวร้ายเป็นผู้ร้ายแต่สู้และอดทนถึงหน้าตาจะไม่หล่อ แต่ดาวดีเป็นพระเอกหล่อเชียวแต่แหย อ่านแล้วเห็นภาพค่ะ ตรงนี้แหละค่ะที่ทำให้เข้าใจมากขึ้น และ...แฮ่...เผอิญหนูชอบคนพูดน้อยต่อยหนัก หนูอาจจะชอบคนดาวเสาร์(๗) ก็ได้ค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


นักเรียน - 30 มิถุนายน พ.ศ.2549 07:23น. (IP: 210.246.80.112)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียน อ. วรกุล

หนูมานั่งคิดๆ อีก หนูมีคำถามขึ้นมาอีกค่ะ แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เพราะไม่มีครูค่ะ เพราะหนูเรียนโหราศาสตร์ด้วยตัวเองโดยการอ่านจากหนังสือและอ่านตามเว็บไซด์ดูดวงนี่แหละ และก็อ่านจากที่อาจารย์เขียนในเว็บไซด์นี้ หนูคงเป็นคนไม่มีวาสนาค่ะ เพราะอยากจะไปเรียนตามสำนักโหราศาสตร์ที่เขาเปิดสอนจะตาย แต่ไปเรียนไม่ได้ค่ะ ถ้าไปเรียนก็จะเป็นการนำเรื่องเดือดร้อนมาใส่ครอบครัว

เรื่องที่หนูสงสัยอีกข้อหนึ่งคือ ถ้าดาวพฤหัส(๕) ดาวครูประธานศุภเคราะห์ (ตามที่หนูอ่านมานะคะ) ไปสถิตย์อยู่ในเรื่องดาวร้ายกาจมากคือ ราหู(๘)ที่เขาว่าตัวแสบนั้น ใครจะให้อิทธิพลแก่ใครคะ หนูสงสัยอยู่ 2 ประเด็นคือ

1. ดาวพฤหัส(๕) อยู่เรือนราหู(๘) พฤหัสจะส่งความดีมาทำให้ราหูเป็นคนดีกับเขาบ้าง เหมือน พระ ก็เทศให้ โจร กลับใจ ได้หรือไม่ ? หรือ...

2. พฤหัส(๕) ไปอยู่เรือนขุนโจรอย่างราหู(๘) ไปอยู่บ้านเขาก็ต้องสงบเสงี่ยมเจียมตัว เผลอๆ อาจจะเกรงใจโจร ได้นิสัยโจรติดมา ทำให้ศีลเสื่อม อย่างนี้จะได้หรือไม่ คะ

หนูกราบของความกรุณาอาจารย์อธิบายในเรื่องนี้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ

ปล. เป็นคำถามสืบเนื่องจากคำถามเดิม ข้อ.27 ค่ะ ลัคนาราศีตุลย์ในพื้นดวงกำเนิด พฤหัส(๕สหัชชะ-อริ)สถิตย์อยู่ กุมภ์(ปุตตะ) เจ้าปุตตะ(๘)ไปอยู่กรกฎ(กัมมะ)ร่วมกับอังคาร(๓)


นักเรียน - 30 มิถุนายน พ.ศ.2549 08:52น. (IP: 210.246.80.28)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบ 30 คุณนักเรียน.............ถูกทั้งข้อ 1 และข้อ 2 ราหูจะติดธาตุพฤหัส และพฤหัสจะติดธาตุราหูมา จะติดมากน้อยก็ต้องดูว่าดาวแต่ละดวงมีความเข้มแข็งหรืออ่อนแอเพราะดาวอื่นอย่างใด แต่กรณีดาวอยู่ในราศี จะกลายนิสัยเป็นไปตามเจ้าเรือนของราศีมากกว่า ตามหลัก “เรือนอบรมดาว” คุณเรียนเองไม่มีครู ก็ต้องหาหนังสือมาอ่านให้มากก่อน เพราะหากตั้งคำถามไปเรื่อย ก็อาจจะไม่รู้สิ่งที่มีคำตอบอยู่ในหนังสือแล้ว เวลาของเราอาจจะมีน้อย ก็ลองซื้อหนังสือมาอ่านดูก่อน เปิดหนังสือดูด้วยว่าในหนังสือมีคำตอบให้ไหม ติดปัญหาอะไร ลองถามมาอีก ยินดีจะตอบให้ แต่จะให้ “อธิบาย” บางเรื่องก็ทำไม่ไหว เพราะเท่ากับเขียนตำราให้คุณเรียนทั้งบท


วรกุล - 1 กรกฎาคม พ.ศ.2549 04:50น. (IP: 203.107.204.28)

ความคิดเห็นที่ 31
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะสำหรับคำตอบ


นักเรียน - 1 กรกฎาคม พ.ศ.2549 08:10น. (IP: 210.246.80.59)

ความคิดเห็นที่ 32
คราวก่อนที่เขียนเรื่องดวงที่มีวิถีชีวิตพลิกผันสูงแล้ว ยังมีหลักการบางอย่างที่ผู้เรียนใหม่ๆไม่ใคร่จะรู้ หรือรู้ก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุของดาวที่ว่ามาตรฐานบ้าง ดาวมีตำแหน่งบ้าง ซึ่งมีอยู่หลายอย่าง ธรรมดาดาวที่ว่ามาตรฐานนั้นมีทั้งมาตรฐานทางดีและทางเสีย แต่ความดีและเสียของดวงชะตา หรือเจ้าชะตาอันเนื่องมาจากดาวเหล่านี้นั้นมาจากหลายทาง ที่สำคัญมาจากหลัก 5 หลัก หากเราจำแนกได้ว่ามาจากเหตุใด ก็จะช่วยไม่ให้สับสนได้

หนึ่ง.....โดยตำแหน่งจากลัคนา ที่เรามักเห็นมากคือ ตำแหน่งของพินทุบาทว์ ซึ่งเราท่องตามคำโคลงกันได้อยู่แล้ว อย่างเช่น เสาร์ และราหู ซึ่งเมื่ออยู่ในราศีใดโดยธรรมดาของตัวมันเอง เราจะไปชี้ว่าเป็นโทษภัย หรือ เป็นดาวเสียประการใดตามคำโคลงนั้นไม่ได้ ต่อเมื่อ เสาร์ ราหูมาเล็งลัคนา จึงเป็นพินทุบาทว์ ความเป็นพินทุบาทว์ จึงเกี่ยวกับลัคนา แม้มันมาอยุ่เรือนปัตนิอาจจะทำให้เสีย แต่เพราะดาวมันเสียก่อน เนื่องจากมุมจากลัคนานั้นทำให้มันมีอิทธิพลแรงมาก เมื่อดาวทั้งสองเมื่อมาเล็งตรงข้ามกับลัคนา ทำให้อุปนิสัยเจ้าชะตาติดนิสัยกลายเป็นนิสัยของเสาร์ เจ้าทุกข์และราหู จอมหลงมัวเมานั่นเอง ดวงชะตาก็ย่อมมีจุดเสีย จุดอ่อน (พินทุบาทว์) จะทำอะไรก็ติดจะลังเล นิสัยเจ้าทุกข์ระแวงสงสัย หรือไม่ก็ตัดสินใจด่วนได้มักจะผิดทาง แต่การที่มีจุดเสียเช่นนี้ จะร้ายแรงรุนแรงหรือไม่ยังขึ้นอยู่กับเจ้าเรือนลัคนา และดาวอื่นๆ ว่าจะมาปรุงแต่งลัคนาไปเพียงใด เพราะการที่มีดาวเป็นพินทุบาทว์นั้น อาจจะกลับกลายเป็นดีได้ เนื่องจากมี แรงขับดันตามธรรมชาติ เช่น ความรอบคอบคิดมากเนื่องจากเสาร์ หรือ มีไหวพริบทันคนอย่างราหู ทำให้กลายเป็นดีเด่นได้

อีกตัวอย่างหนึ่งที่มักเข้าใจผิดกันบ่อย คือ องคเกณฑ์ หรือ ราศีเกณฑ์ บางท่านบอกว่าเลิกใช้เลิกสนใจไปเลย เพราะเท่าที่ดูมาก็ไม่เห็นเจ้าชะตาดีเด่นอะไร หรือ ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง หรือบางท่าน ก็ว่า ดาวเป็นองคเกณฑ์ แต่เป็นนิจ ประ กาลกณี นี่แก้กันได้หรือเปล่า นี่เป็นความเข้าใจผิด เพราะราศีเกณฑ์ เช่น อำพุเกณฑ์ ปัสสวะเกณฑ์ นระเกณฑ์ กีฏะเกณฑ์ เป็นเกณฑ์เนื่องจากตำแหน่งจากลัคนา และราศี เป็นเงื่อนไข ดังนั้น หากดาวสถิตราศีโดยที่ไม่เป็นเกณฑ์ที่กำหนด ก็ย่อมไม่มีความเป็นองคเกณฑ์ จะกลายเป็นดาวธรรมดาตามปกติ หรือดาวเหล่านี้อาจจะกลายเป็นองคเกณฑ์ได้ เมื่อมีลัคนาจรมา ทำให้มันเป็นองคเกณฑ์ และที่เข้าใจกันว่า ความเป็นองคเกณฑ์นั้น เจ้าชะตาไม่เห็นดีเด่นอะไร นี่ก็เพราะเกณฑ์ที่ว่าดีนั้น ตัวเจ้าชะตาเองอาจจะไม่ได้ดีเอง เช่น หากดาวสหัชชะมาเป็นองคเกณฑ์ ก็แสดงว่าเจ้าชะตาอาจจะมีเพื่อนที่ดี มีความรู้ หรือ การศึกษาสูง ตำแหน่งสูง ดังนี้เป็นต้น นี่เป็นเพียงพื้นฐานของการใช้องคเกณฑ์ ดาวองคเกณฑ์ยังมีวิธีใช้ที่หลากหลายกว่านี้อีกมากในวิชาเฉพาะอีกหลายวิชา

สอง......โดยตำแหน่งจากราศีธาตุ เรื่องนี้เคยเขียนมามากแล้ว ดาวที่เป็นดาวมาตรฐานจากการสถิตในราศี ก็เช่น เกษตร อุจ ประ นิจ อนุโลมรวมเอาพวก อุจจาวิลาส อุจจาพิมุข พวกนั้นเข้าไว้ด้วยก็ได้ พวกนี้เกิดจากกำลังธาตุ และกำลังดาว เนื่องจากพลังงานธาตุที่ได้รับในดวงชะตาและราศี มีมากหรือน้อย แต่การที่ดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับบทบาทที่มันนำกำลังของมันไปทำงานต่างหาก นอกจากนี้ การที่ตัวมันเองมีกำลังธาตุ หรือ กำลังดาวอย่างใดก็ทำให้มีผลที่มันจะแสดงความหมายทางปรัชญาของมันออกมา ได้มากหรือน้อย ดังนั้น มันจึงไม่ขึ้นกับตำแหน่งจากลัคนา เรื่องนี้เคยเขียนไปมากแล้ว

สาม......โดยตำแหน่งจากธรรมชาตินิสัยของดาวและเรือน ปกติดาวแต่ละดวงมักจะมีความเป็นอยู่ในราศีไม่เหมือนกัน ทั้งนี้เนื่องมาจากนิสัย หรือ ความหมายดาว และเรือน เช่น เรามักจะสังเกตเห็นว่า พฤหัสนั้น มีธรรมชาติเป็นศีลธรรมจรรยา ยึดมั่นในจารีตประเพณีและธรรมะ หากไปอยุ่เรือนของศุกร์ เรือนกิเลส อารมณ์ ตัณหา พฤหัสจึงอยู่ไม่เป็นสุข พลอยทำให้พฤหัสเสียคุณสมบัติรวนเร เจ้าชะตามักเปลี่ยนกฎเกณฑ์อยู่ประจำ ทำให้ไม่ใคร่จะมีหลักการ หรือ อย่าง ราหูที่ไปอยู่กดุมภะ ที่เราชอบเรียกว่าราหูค้นทรัพย์ ทั้งนี้ก็เพราะเรามักต้องการให้ทรัพย์สินนั้นมีธรรมชาติที่อยู่อย่างเป็นระเบียบมั่นคง แทนที่จะวุ่นวาย อย่างนิสัยราหู อย่างนี้เป็นต้น นอกจากดาวแล้ว เรือนก็เหมือนกัน อย่างเช่น ปัตนิ ที่หมายถึงครอบครัวคู่ครอง ที่ควรจะมีความราบรื่นสงบสุข หากปัตนินั้นไปอยู่เรือนสหัชชะ เปลี่ยนแปลงบ่อย หรือเรือนมรณะ แตกสลาย การครองคู่ก็ย่อมไม่มั่นคง ซึ่งย่อมไม่ถูกตามธรรมชาติความหมายของเรือนนั่นเอง

สี่.......โดยตำแหน่งที่เกิดจากโครงสร้างดาวและเรือน เรื่องนี้เกิดจากองคประกอบหลายประการจากสามข้อที่แล้วมาเป็นเงื่อนไขร่วมกัน หลายชั้น ตั้งแต่สองประการขึ้นไป ตัวอย่างในกรณีที่เรารู้จักกัน เช่น มหาจักร ราชาโชค และดาวประกอบหลายคู่ เรื่องนี้ยังอธิบายยาก เพราะเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระบบธาตุและเรือน ที่มีผลเฉพาะเรื่อง ตัวอย่างง่ายๆเช่น พุธที่โดยลำพังก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่หากกุมศุกร์ เข้าไปเป็นธาตุน้ำด้วยกัน ทำให้อ่อนแอ เหลวไหล ความยับยั้งชั่งใจมีน้อยลง หากจะช่วยให้ดีได้ ก็ต้องอาศัยดาวดวงอื่นที่สัมพันธ์กันในดวงชะตา อาจจะทำให้พุธศุกร์กลายเป็นคุ่ดาวพิเศษขึ้นมาได้ หรือ ทางกลับกัน อาจกลายเป็นคุ่ดาวที่เสียหายไปเลย จึงกลายเป็นเงื่อนไขที่ซับซ้อน นอกจากนั้น การที่ดาวดวงใดดวงหนึ่งมีตำแหน่งคุณสมบัติที่ดี แต่เมื่อไปตกอยู่ร่วมกับดาวที่มีคุณสมบัติเสีย หรือระบบเจ้าเรือนที่เสีย ก็อาจจะเสียได้ ดังนี้เป็นต้น การพิจารณาดาวจากเงื่อนไขที่ซับซ้อน อาจจะมากถึง 4 – 5 ชั้นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาชั้นสูงขึ้นไป

ห้า......โดยคุณสมบัติเนื่องจากระบบธาตุที่แตกต่างกัน อย่างที่เราทราบแล้วว่า ดาวที่เราเห็น แท้ที่จริงเป็นธาตุที่มีองคประกอบของธาตุมาจากระบบหลายระบบ ซึ่งมีกลไกทั้งธาตุและพลังงานไม่เหมือนกัน ดังนั้น ธาตุที่เห็นรวมกันเป็นดาวดวงหนึ่งๆ จึงมีความละเอียดของธาตุและพลังงานหลายระดับมาผสมกันอยู่ ซึ่งหากนำมาใช้ในดวงชะตา ก็ต้องหวนกลับไปดูระบบต้นตอที่มา อย่างที่เราใช้กันมาก คือ ระบบธาตุในธรณี เช่น มหาทักษา ซึ่งคุณสมบัติของธาตุ จะแตกต่างกับธาตุในดวงชะตาโดยทั่วไป แต่เรามักเอาเรื่อง ศรี กาลกิณี หรือ ดาวตามภูมิมหาทักษามาปะปนกับการพิจารณาความดีเลวตามตำแหน่งดาวในดวงชะตาซึ่งไม่ถูก อย่างเช่น กาลกิณีนั้น เกิดจากภูมิของวงจรพลังงานธาตุในมหาทักษาเอง ไม่ใด้เกิดจากพลังงานในดวงชะตา ซึ่งอันที่จริงจะต้องรู้ว่า แต่ละความดีเลวที่กล่าวถึงนั้นมาจากสาเหตุอะไร รวมทั้งที่มาซึ่งกล่าวมาแล้วทั้ง 5 ประการก่อน แล้วจึงเอาคุณสมบัติตามระบบมาผสมให้กลมกลืนกันได้ ซึ่งหากเกิดปัญหาในการตีความให้ผสมกลมกลืน ก็ให้ถอยกลับไปดูตามเหตุของแต่ละประการมาใหม่ ก็จะลดความสับสนลงไปได้


วรกุล - 3 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:10น. (IP: 203.107.203.249)

ความคิดเห็นที่ 33
เมื่อราวๆ 50 ปีก่อน มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ในตอนนั้นว่ามีชายผู้หนึ่ง เห็น“ผี”

พอดีตอนนี้มีหนังเรื่อง “เด็กเห็นผี” มาฉาย ดูตัวอย่างก็น่ากลัวดีเหมือนกัน แต่คงจะไม่ได้ไปดู เพราะไม่มีเวลา ตอนนั้นที่มีข่าว ก็เป็นเรื่องฮือฮาในสังคมอยู่พักหนึ่ง แล้วก็บังเอิญมีนักศึกษาโหราศาสตร์ในสำนักที่ใกล้บ้าน แกไปสืบความมา แถมยังได้ดวงชะตาชายผู้นั้นมาด้วย ตอนนั้นมีคนมาช่วยกันมะรุมมะตุ้มกันหลายคน นักข่าวจากหนังสือพิมพ์ก็มาทำข่าว พวกพ่อมดหมอผีคนทรงก็มาพิสูจน์ ที่เป็นพระมาช่วยก็มีเยอะ จำได้ว่า ชายคนนี้แก้เท่าไรก็ไม่หาย แต่ไม่ทราบว่ามีใครมาแก้ให้ เท่าที่ทราบ เดิมเขาไปรักษาอาการป่วยไข้โดยโรคอะไรสักอย่างกับหมอยาพื้นบ้าน ซึ่งก็รู้ทางไสยศาสตร์อยู่บ้างด้วย หมอคนนั้นบอกว่า เขาเองถูกพวกวิญญาณกระทำ ก็เลยทำพิธีให้ ไปๆมาๆ อาการของโรคหายไปก็จริง แต่เขากลายเป็นคนที่เห็นสิ่งประหลาดๆ เช่น “ผี” ได้

เดิมทีเดียวเขาก็ไม่รู้ว่าเห็นผี เพียงแต่เห็นคนแปลกๆเดินอยู่ตามท้องถนน เดินอย่างไม่กลัวรถรา แล้วก็ถูกรถชนตาย แต่ไม่มีใครสนใจ เขาก็ตกใจร้องเอะอะ พอคนมองมา เขาก็ว่าเห็นคนถูกรถชน อะไรประมาณนั้น พอมารู้ว่าตัวเองเห็นผี ก็กลายเป็นทุกข์ใหญ่หลวงจนไม่กล้าเดินออกนอกบ้าน เพราะไปทางไหนก็มี ยิ่งเวลาตรุษสารทที่เขามีการเซ่นไหว้ทิ้งกระจาด หรือ มีการทำบุญเปรตพลีให้พวกเจ้าที่เจ้าทาง เขายิ่งเห็นพวกผีวิญญาณเหล่านี้มากมาย แต่ละคนเดินมาในสภาพที่ทุลักทุเล ที่อัปลักษณ์ ไม่มีแขนมีขา หรือ ไม่มีหัวก็มี ยิ่งเห็นยิ่งน่ากลัว มีคนพาเขาไปช่วยดู และพิสูจน์ตามที่ต่างๆหลายครั้ง แม้จะไม่อยากไป แต่ก็ได้รางวัลเป็นเงินทองไม่น้อย มาภายหลัง ทราบว่าเขาไปให้ใครรักษาอาการอยู่หลายแห่ง ท้ายสุดทราบว่าเขาได้น้ำมันไสยศาสตร์อะไรสักอย่างมาป้องกัน ต้องเจิมหน้า และทาเปลือกตา เพื่อไม่ให้เห็น เจิมไปเจิมมานานเข้า อาการนั้นก็หายไป

พอมาเรียนโหราศาสตร์เองเข้า ก็ต้องเข้าไปเรียนเกี่ยวกับธาตุในตัวมนุษย์ จึงได้รู้ว่า มนุษย์เรานั้น ไม่ได้มีเพียงรูปธรรมที่มองเห็นจับต้องได้ แต่ยังมีนามธรรมที่เป็นเหมือนรูปซ้อนอยู่ ความจริงทั้งสองส่วนนี้เราอ่านได้จากดวงชะตาดวงเดียวกันนี้ได้เช่นกัน แต่เวลาเราอ่านในส่วนที่เป็นรูปธรรม เราจะมองเห็นเป็นรูปวัตถุ ที่เรามีบัญญัติอยู่แล้ว เช่น รถยนต์ คอมพิวเตอร์ สมุด หนังสือ อะไรพวกนี้ พอไปดูพวกนามธรรม เรามักจะเกี่ยวกับอารมณ์ความรู้สึก รวมทั้งสิ่งที่เรียกว่า “วิญญาณ” ซึ่งมองไม่เห็น คำว่า “วิญญาณ” นี้เป็นสิ่งอธิบายยาก เวลาใครหลุดคำนี้ไปในที่สาธารณะ ก็มักถูกโจมตีว่าเป็นพวกที่ไม่มีความรู้ บิดเบือนคำสอนในพระพุทธศาสนา แล้วก็ยกเอาคำจำกัดความในพระสูตรบ้าง พระอภิธรรมบ้าง มาอธิบายเสียทุกที แต่ชาวบ้านเองเวลาพูดถึงวิญญาณ ก็จะหมายถึงผีปีศาจ ซึ่งอันที่จริง สิ่งเหล่านั้น อาจจะเป็นโอปปาติกะ หรือ วิญญาณที่เร่ร่อนของคน หรือ สัตว์ที่ตายแล้วก็ได้ แต่เวลาเรียนโหราศาสตร์เรื่องธาตุ วิญญาณอาจจะเป็นอะไรได้ ของตัวเราเอง ที่เกิดขึ้นจากธาตุตามธรรมชาติ เรียกว่า “วิญญาณธาตุ”

วิญญาณธาตุ ต่างจาก “ชีวะธาตุ” ทั้งๆที่อาจจะจัดเป็นพวกเดียวกันได้ ชีวะธาตุ เป็นธาตุที่ทำให้ สิ่งไม่มีชีวิต เป็นสิ่งมีชีวิตขึ้นมา และเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมของเจ้าชะตา โดยปกติมนุษย์และสัตว์เมื่อเกิดมา ก็มีชีวะธาตุเข้ามาสู่ดวงชะตาอยู่แล้ว แต่เราก็สามารถสร้างทำบางอย่างให้มี “ชีวะธาตุ” ได้ เช่น วัตถุ สิ่งของ เช่นการทำดวงฤกษ์ และพิธีกรรมบางอย่าง โดยอาศัยธรรมชาตินั่นเอง ชีวะธาตุอาจจะสิ้นสุดลงเมื่อสิ่งมีชีวิตนั้นตาย หรือ แตกสลาย แต่ “วิญญาณธาตุ” นั้น ไม่เหมือนกัน วิญญาณธาตุเกิดจากความสัมพันธ์ของธาตุในตัวสิ่งมีชีวิตเอง มันเป็นธาตุละเอียดที่มีพลังงานสูงในระดับ(ภูมิ)ที่ไม่แสดงออกเป็นรูปธรรม แต่มีอยู่มากในพวกนามธรรม มีผลต่ออารมณ์ความรู้สึก ความพอใจ ความรักชอบ เกลียด อะไรเหล่านี้ได้ เราสามารถอ่านเรื่องราวจากวิญญาณธาตุ ได้มากมายหลากหลาย พอๆกับที่เราอ่านเรื่องราว หรือ วัตถุในดวงชะตา วิญญาณธาตุนี่เอง เป็นที่มาของคำว่า “วิญญาณ” ทั้งในไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ (ยกเว้นในพุทธศาสตร์) ที่ชาวบ้านเข้าใจกันทั่วไปว่าเป็นวิญญาณผี หรือ คนตายแล้ว และก็สัมผัสได้ แม้แต่เห็นกันด้วยตาบ่อยๆ

ยกตัวอย่างพวกเราหลายคนคงมีรถยนต์ หรือ อย่างน้อยก็มีรถมอเตอร์ไซด์ รถยนต์นี้เป็น “วัตถุธาตุ” ซึ่งเป็นธาตุอีกชนิดหนึ่ง แต่วัตถุธาตุเหล่านี้ จะไม่มีความหมายในดวงชะตาเราเลย หากมันไม่ใช่สมบัติของเรา หรือ เกี่ยวข้องกับเรา สิ่งที่มีความสัมพันธ์กับเราเหล่านี้ จะได้รับธาตุและพลังงานจากดวงชะตาของเรา ชักนำให้เกิดเป็น “วิญญาณ” แฝงในวัตถุธาตุนั้น อันที่จริง วิญญาณธาตุเป็นสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติอยู่แล้ว แต่ถูกนำมาผูกพันเป็นเจ้าของในตัวเรา พอๆกับ ดิน น้ำ ลม ไฟ ที่มากลายเป็นตัวเรานั่นเอง เราเองอาจจะงงๆกับความเห็นของไสยศาสตร์และโหราศาสตร์ตอนนี้ จะลองยกตัวอย่าง ที่อาจจะเห็นแง่คิดจากกระทู้ปัญหาโหราศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับ วิญญาณธาตุ สักเรื่องหนึ่งว่า สมมุติ เจ้าชะตาผู้หนึ่งเป็นเจ้าของเรือเดินสมุทรลำหนึ่ง ทำงานรับส่งสินค้าระหว่างประเทศ เรือลำนี้ เดินทางออกไปไกลโพ้น ขาดการติดต่อไปเพราะคลื่นลมแรง ข้อเท็จจริงก็คือ เรือต้องโดนพายุอับปางลงเมื่อต้นเดือน แม้จนกระทั่งถึงเดือนหนึ่งผ่านไป จึงได้ทราบว่า เจ้าชะตาได้สูญเสียเรือลำนี้ไปแล้ว ถามว่า หากเราพยากรณ์ดวงชะตาของเจ้าชะตาไม่ว่าในระบบใด (ดวงชะตา ลายมือ โหงวเฮ้ง ไพ่ ฯลฯ) เราจะทราบจากอุปกรณ์ทำนายได้เมื่อใดว่า เจ้าชะตาได้สูญเสีย “สมบัติ” สำคัญ ที่ทำให้พลิกกลับกลายเป็นคนจนลงไปแล้ว จะเป็นเมื่อต้นเดือน ที่สูญเสียเรือจากเหตุการณ์จริง หรือ เมื่อปลายเดือนที่ได้รับรู้ความจริงกันแน่

คำตอบปัญหาข้างบนนั้นไม่ยากเลย แต่จะแปลก หากเราเทียบกับกรณี ถ้าหากมีเจ้าชะตาผู้หนึ่งกำลังศึกษาอยู่ในต่างประเทศ มารดา หรือบิดาของเจ้าชะตาที่อยู่ในเมืองไทยเกิดเหตุร้ายขึ้นเมื่อต้นเดือน แต่เจ้าชะตาไปทราบเอาเมื่อปลายเดือน ถ้าเป็นเช่นนี้ เราจะดูดวงชะตา หรือ พยากรณ์แบบอื่นๆให้แก่เจ้าชะตาได้เมื่อต้นเดือน หรือ ปลายเดือน คำตอบก็คือ ต้นเดือน เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง ดวงชะตาของเราจะรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดจริงกับผู้ที่สัมพันธ์กับเราได้ทันทีโดยทีไม่ทันได้รู้ข่าวเลย และในกรณีเรือเดินสมุทรที่ว่ามานั้น ก็เป็นคำตอบเดียวกัน (มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง) เพราะเรือเดินสมุทรที่เป็นสมบัติของเรา แม้เป็นสิ่งไม่มีชีวิต ไม่เหมือน ญาติพี่น้องของเราซึ่งมีชีวิต แต่มันก็มีวิญญาณธาตุอยู่ และวิญญาณธาตุนี่เองที่เป็นสิ่งเกี่ยวพันให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เมื่อมันล่มสลายถูกทำลายไป ดวงชะตาของเราก็รับรู้ได้

พวกเราคงจะเคยไปกราบไหว้รูปเคารพตามศาลเจ้า วัด หรือ เจดีย์ วัตถุศักดิ์สิทธิ์ อยู่หลายแห่ง แม้จะไม่คิดว่ามีอุปาทานเลย เราก็อาจจะยอมรับในระดับหนึ่งว่า วัตถุ หรือ สถานที่บางแห่ง มีความศักดิ์สิทธิ์ หรือบันดาลอะไรให้ได้เหมือนกัน แม้เราที่เรียนวิทยาศาสตร์มาจนโตป่านนี้ จะไม่เห็นคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในกรณีนี้ได้ แต่ในแง่ “วิญญาณธาตุ” แล้ว วิญญาณ จะเป็นสิ่งผูกพันบุคคลผู้ศรัทธากับรูปเคารพนั้น เมื่อมีผู้มาเชื่อถือศรัทธามากเข้า รูปเคารพที่เจือด้วยวิญญาณที่มีพลังงานเหล่านี้ก็จะสะสมพลังงานมากขึ้นอาจจะจำนวนมากมายเป็นเวลานานหลายร้อยปี และหากการสร้างรูปวัตถุนั้นสร้างโดยผู้เชี่ยวชาญ พลังงานเหล่านี้ก็จะหล่อเลี้ยงให้รูปเคารพนั้นแสดงอำนาจออกมาได้เท่าที่วิญญาณในรูปนั้นยังมีอยู่

ในทางปฏิบัติของโหราศาสตร์ เพ่งเล็งวิญญาณธาตุไปที่ดาวมฤตยู และ เกตุไทย อันที่จริงแล้ว ดาวสองดวงนี้ไม่ได้เป็นวิญญาณธาตุ แต่เพราะความที่ธรรมชาติของมันทำให้ธาตุดาวและพลังงานธาตุเปลี่ยนแปลงแกว่งตัวสูง ทำให้เกิดระดับ(ภูมิ)ที่เป็นนามธรรมกว้างกว่าธาตุดาวอื่นๆ ซึ่งก็มีวิญญาณธาตุเช่นกัน แต่สม่ำเสมอกว่า ในธาตุดาวทั่วไป ดาวที่มีกำลังธาตุต่ำ กำลังดาวต่ำ จึงมีวิญญาณธาตุได้มาก เช่นพวกนิจประ หรือดาวที่ถูกดึงพลังงาน หรือตัดทอนธาตุลงไป (ยังไม่ถึงเวลาที่จะอธิบายตรงนี้) สำหรับเรือนก็คือเรือน อริ มรณะ วินาสน์ รวมทั้งเจ้าเรือนด้วย เพราะเป็นเรือนทุสถานะ ที่ทำให้รับกระแสธาตุที่หมุนวนจากลัคนาได้ไม่เต็มที่ รวมแล้ว ดาวและเรือนที่กล่าวถึงในย่อหน้านี้ เมื่อสัมพันธ์กัน จึงเป็นแหล่งที่มีวิญญาณธาตุสูง หรือเรียกโดยสามัญทั่วไปว่าเป็นเรื่องของวิญญาณ ภูตผี สิ่งลึกลับ นั่นเอง

โดยทั่วไปวิญญาณธาตุเอง หากมีเป็นปกติก็เป็นธรรมดาของดวงชะตา หากมีมากขึ้นและเกี่ยวพันกับดาวอะไร ดาวดวงนั้นจะทำให้มีผลต่อจิตใจสูง เช่น หากสัมพันธ์ร่วมจันทร์ ที่เข้มแข็ง ก็อาจจะเป็นคนที่มีจิตใจอ่อนไหว ในเชิงวิเคราะห์ละเอียดดี ถ้าพฤหัสดีและมีเกณฑ์ดีถึง ก็จะมีญาณเห็นธรรมสูงมาก หากวิญญาณธาตุนั้น มีมากเกินไปแต่ร่วมกับดาวที่อ่อนแอ จึงเกิดเป็นโรคภัยได้ เพราะทำให้ธาตุดาวนั้นรวมกันเป็นรูปธรรมไม่ติด จึงมีผลต่ออวัยวะส่วนนั้นๆ วิญญาณธาตุตัวมันเองมักจะเกี่ยวข้องกับต่อมไร้ท่อ รวมทั้งสารที่อยู่ในสมอง และสื่อประสาทต่างๆ ซึ่งทำให้ร่างกายแสดงออกทางอารมณ์และจิตใจมาก ดังนั้น เมื่อวิญญาณธาตุผิดปกติ หรือ ให้โทษแรงขึ้น จึงทำให้เจ้าชะตามีอาการคล้ายถูกผีสิง หรือ เข้าทรง มีองค์ใน หรือ มีวิญญาณมากระทำ ซึ่งชาวบ้านมักเชื่อด้วย เพราะวิญญาณธาตุเองสามารถสร้างสัมพันธ์กับวิญญาณธาตุอื่น ทำให้ไปรู้เห็นในเรื่องที่ไม่น่ารู้ได้ โดยไสยศาสตร์แล้ว ไม่ถือว่าการทรงประเภทนี้จริง หรือ มีองค์ในจริง เพราะเป็นเพียงธรรมชาติของวิญญาณธาตุเท่านั้นเอง แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ผู้นั้นแกล้งทำ (เว้นในกรณีพวก 18 มงกุฎต้มตุ๋น) ในกรณีเช่นนี้ ทางการแพทย์ถือว่าเป็นเรื่องทางจิตประสาท มักรักษาโดยการให้ยา และสารเสริมการทำงานของสมองและประสาท ก็ทำให้คนไข้ฟื้น หรือ หายได้ จึงทำให้ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่เชื่อการทรง หรือ ผีสิง เพราะใช้ยารักษาได้ผล และพบว่าประวัติคนไข้มักมีความอ่อนแอทางจิตใจมาก่อน ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่ถูกทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ก็เพราะยาได้รักษาอาการของร่างกายที่เกิดจากวิญญาณธาตุทำให้เสียไป รวมทั้งธาตุดาวที่สัมพันธ์กับวิญญาณธาตุในดวงชะตามักจะถูกรบกวนให้เสียคืออ่อนแอมาก่อนนั่นเอง แต่กรณีนี้ไม่รวมอยู่ในพวกที่ “ทรงจริง” ซึ่งถูกเหมาให้มารวมอยู่ในกลุ่มเดียวกันด้วย ไม่มีทางรักษาด้วยยาได้ นอกจากทำให้สงบประสาทและร่างกายเท่านั้น

เหตุผลที่วิญญาณธาตุสร้างความเกี่ยวพันให้วัตถุกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา จึงเป็นเหตุผลที่โบราณไม่นิยมถ่ายรูป หรือ ให้รูปถ่ายแก่ใคร เพราะรูปถ่ายแทนตัวเรา เมื่อสื่อถึงตัวเราก็มีวิญญาณธาตุที่เกี่ยวพันถึงตัวเรา โบราณจึงมักจะไม่ปั้นรูปใครที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย การทำไสยศาสตร์นั้น มักนำวัตถุที่เจ้าชะตาชอบใช้ มาทำพิธีถึงตัวเจ้าชะตาก็เพราะเหตุผลเรื่องวิญญาณธาตุนี่เอง อย่างพิธีกงเต๊ก สำหรับผู้ตาย จะนำเอาเสื้อผ้าที่ผู้ตายชอบใช้ มาทำพิธีแทนตัวผู้ตาย เพราะในเสื้อผ้าเหล่านี้ ยังคงมีวิญญาณธาตุที่สื่อถึงตัวผู้ตายอยู่ และนี่ก็เป็นเหตุผลที่คนสมัยก่อนไม่ใช้เสื้อผ้าใช้แล้ว หรือของผู้ตาย พระพุทธเจ้าทรงชักผ้าบังสุกุล (ไม่จำเป็นต้องห่อศพ) มาใช้ ก็เพราะผ้าเหล่านี้มีอยุ่เหลือเฟือ เหตุผลทางโหราศาสตร์เราทราบว่า พวกวิญญาณธาตุนั้น เมื่อสัมพันธ์ถึงพฤหัสที่ดี จะสงบราบลง เพราะพฤหัสนั้นมีธรรมชาติทำให้วิญญาณธาตุสม่ำเสมอดี และกลับกลายเป็นกำลังแก่พฤหัส ดังนั้น ผ้าที่เป็นความหมายของพฤหัส จึงทำให้วิญญาณสงบลง ไม่กระสับกระส่ายเป็นทุกข์ นักปราบผี จึงมัดพวกถูกผีสิงด้วยผ้า หรือตราสังข์ ไม่มัดด้วยเชือก ในที่นี้ “ผ้า” กับ “เสื้อผ้า” ไม่เหมือนกัน เพราะเสื้อผ้าเป็นสมบัติของผู้ตาย ดังนั้น จึงมีวิญญาณธาตุเกี่ยวพันอยู่


วรกุล - 10 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:10น. (IP: 203.107.205.80)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียน อ.วรกุล ครับ

ผมขอเรียนถามกรณี เกิดวันพุธ อังคารเป็นกาลีเดิม ไปอยู่สหัชชะราศีพฤกษ(ราชาโชค)ซึ่งเป็นกดุมภะ และมรณะของเกษตรลัคนา และเป็นเจ้าเรือนกดุมภะและศุภะของลักคณา(มีน)และ เป็นเจ้าเรือนตนุ และมรณะ ของเกษตรลัคนา มี5(เดช)ตนุลักคนาและเจ้าเรือนกัมมะ ซึ่งไปอยู่ศุภะ(เป็นมหาจักร)เล็ง 3 ซึ่งเป็นคู่สมพลกัน จะอ่านว่าอย่างไรครับ ช่วยชี้แนะด้วยครับ และมีธาตุสัมพันธ์กันอาย่างไรครับ และในราศีเมษ มีเกตุ อยู่(เกิด28/01/2502เวลา8.25น) และโดยสรุปแล้ว 5 ตนุลัคณ์ จะส่งกระแสธาตุ ได้ครบดาวทุกดวงหรือเปล่าครับ

ขอขอบคุณมากครับ

ขอบคุณครับ


ชัย - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2549 07:49น. (IP: 203.148.162.129)

ความคิดเห็นที่ 35
ตอบ 35 คุณชัย............เวลาไปถามปัญหาทางโหราศาสตร์ที่ไหน ควรบอกไปด้วยนะครับว่า เราเรียนมาจากที่ไหน เรียนมานานเท่าใด เรียนจากใคร ระบบไหน อะไรทำนองนี้ เพราะปัญหาโหราศาสตร์มีหลายระดับ คำตอบก็มีหลายระดับ บางคนเรียนอนุบาลแต่ถามระดับมหาวิทยาลัย คนตอบตอบไม่ถูก ตอบไม่รู้เรื่อง กลายเป็นเรื่องไม่เข้าใจกัน อย่างคำถามของคุณ ถามพัวพันกันระหว่างเกษตรลัคนา ของระดับประถมและเกษตรเจ้าเรือน ซึ่งเป็นระดับมัธยมต้น (ซึ่งมักจะใช้คำว่า “เกษตรราศี” แทน “เกษตรลัคนา”) แต่ไปถามเรื่อง เรือนสัมพันธ์ ในระดับมัธยมต้นโดยใช้คำว่า ธาตุสัมพันธ์ ในระดับมัธยมปลาย ส่วนเรื่องที่ถาม ๕ (พฤหัส) ส่งกระแสธาตุนั้น อยู่ในขั้นอุดมศึกษาแล้วครับ ผมคิดว่าคุณน่าจะเรียนอยู่ในระดับประถมต้น หรือ อนุบาล (หัดใหม่) ก็เลยขอตอบระดับประถมก็แล้วกันนะครับ ถ้าจะถามแบบอุดมศึกษาจริง ขอให้ถามมาใหม่ คำตอบจะไม่เหมือนกัน

ลัคนาราศีมีน เกิดวันพุธ อังคาร ๓ เกษตรราศีเมษ-พิจิก เจ้าเรือนกดุมภะ-ศุภะของลัคนา ไปอยุ่ราศีพฤษภเรือนสหัชชะ เป็นราชาโชค การเงินและชีวิตก็จะสะดวกสบายมีหน้ามีตาในสังคม อังคารเป็นกาลกิณีอยู่เรือนมูละ เพราะความมีหน้าตานั้นทำให้ทรัพย์สิ้นเปลืองร่อยหรอลงไป อังคารเป็นตนุ – มรณะ ในเรือนกดุมภะของเกษตรลัคนา(โลก) ความสิ้นเปลืองนั้นเป็นการใช้จ่ายเงินทองสมบัติเพื่อตนเอง พฤหัส ๕ เกษตรราศีมีน-ธนู เจ้าเรือนตนุ-กัมมะไปอยู่ศุภะ เป็นมหาจักร การงานอาชีพของตนก็จะเจริญรุ่งเรืองดี เมื่อเล็งอังคารคู่สมพล การเงินและชีวิตที่สะดวกสบายนั้น ก็เกิดจากความรู้ความสามารถของเจ้าชะตานั่นเอง

ปกติ ดาวพฤหัส ๕ ก็ส่งธาตุให้ดาวทุกดวงในดวงชะตาได้ทุกตำแหน่งอยู่แล้ว แต่ไม่เท่ากัน สุดแต่ว่าดาวที่รับอยู่ตำแหน่งไหน แล้วจะส่งไปอย่างไร อธิบายตรงนี้ก็ยากอยู่ เพราะต้องเรียนมาหลายระดับก่อน ทั้งเกณฑ์ดาวและ เรือนธาตุ คำถามสุดท้ายของคุณนี่ถามระดับอาจารย์เลยนะครับ เลยไม่รู้ว่าคุณต้องการทราบอะไรแค่ไหน จะได้ตอบถูก

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 16....ครับ..........


วรกุล - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2549 10:42น. (IP: 203.107.206.59)

ความคิดเห็นที่ 36
ขอขอบคุณ อ.วรกุลมาก ครับ

ที่ผมเรียนส่วนใหญ่อ่านจากหนังสือ ของ อ.ส.แสงตะวัน และอ่านจากบทความของอาจารย์ครับ(เนื่องจาก อ.สอน แบบ ตรรกะเข้าใจได้ง่าย) และสิ่งที่อยากทราบจริง ๆ คือหลักเกณฑ์ เรื่องของ ตวามสัมพันธ์ของกระแสธาตุดาว และน้ำหนักของธาตุดาว เจ้าเรือนเกษตร กับดาวที่อาศัยอยู่ในเรือนน้นๆ จะใช้หลักเกณฑ์อย่างไร เช่น เรือนอบรมดาว และหากดาวที่ตำแหน่งดี เข้าไปอยู่ในเรือนนั้น ๆจะทำให้ดาวเจ้าเรือนเกษตร ที่ดาวดีไปอยู่ จะเปลี่ยนอย่างไร เช่น กรณี 5 ไปอยู่ เรือน 3(กาลี) และการส่งกระแสธาตุของ 5 สามารถส่งถึงได้ทุกดวงหรือไม่โดยอาศัยเรือนสัมพันธ์ และแรงเอื้อมของดาวได้หรือเปล่าครับ

ขอขอบพระคุณ อาจารย์มากครับ


ชัย - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2549 07:56น. (IP: 203.148.162.129)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียนคุณชัย คำถามตามความเห็นที่ 37 ขอยกทั้งคำถามและคำตอบไปที่กระทู้ที่ 16 นะครับ ขออภัยด้วย

.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 17....ครับ..........


วรกุล - 16 กรกฎาคม พ.ศ.2549 07:12น. (IP: 203.107.203.238)

ความคิดเห็นที่ 38
ทเสว้วเทดงย้ทสืพสน้บพ้ส


200000000006 - 22 มกราคม พ.ศ.2551 20:12น. (IP: 118.175.94.3)