เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 16)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 15 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 16 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.206.59)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
คราวก่อนได้เล่าถึงดวงชะตาที่มีความพลิกผันสูง เรียกกันว่า ดวงแรง ไปแล้วตอนหนึ่ง อันที่จริงดวงที่พลิกผันนั้นยังมีอีกมาก แต่สังเกตไม่ได้ง่ายๆอย่างที่มีดาวมาตรฐานหลายๆดวงอย่างที่ยกมา ในข้อเขียนตอนนั้น ได้บอกดวงที่พลิกผันสูงไว้ว่ามี ข้อยกเว้น คือ ดาวที่เป็นเกษตรหลายดวง และเกณฑ์บางอย่าง ไม่รวมอยู่ด้วย แต่ยังไม่ได้บอกว่าเป็นเพราะอะไร

การที่ดวงชะตาจะมีความเปลี่ยนแปลงในลักษณะใดนั้น อันที่จริงเกี่ยวกับกลไกในดวงชะตานั่นเอง ความที่ธาตุทั้งหลายที่แสดงออกคุณสมบัติหรือปฏิกริยาออกมาได้ ต้องใช้พลังงานธาตุ จึงทำให้ดวงชะตาอาจจะมีความพลิกผันมาก หรือ น้อยขึ้นอยู่กับการได้รับ และใช้ไปของพลังงาน ซึ่งต้องสอดรับกับปฏิกิริยาของดาวอื่นด้วย สิ่งเหล่านี้จึงแสดงถึงวิถีชีวิตของเจ้าชะตาเองให้พลิกผันตามไปด้วย การที่ดาวเป็นดาวเด่น เช่นดาวอุจหรือมหาจักร เป็นต้นนั้น ดาวเหล่านี้จุมีความจุธาตุสูง และควรจะต้องมีกำลังดาวสูงด้วย ดังนั้นดาวเหล่านี้จะรับเอาพลังงานที่หมุนเวียนในดวงชะตาเข้ามาสะสมเอาไว้ให้ได้เพื่อการแสดงกำลังธาตุออกมา หากมีดาวเด่นเพียงไม่กี่ดวงก็ไม่เป็นไร เพราะอัตราการหมุนป้อนเข้าของพลังงานผ่านลัคนาเข้ามาจะมีได้เพียงพอ แต่ถ้ามีดาวเช่นนี้มากเกินไป เหมือนกระแสน้ำในคลองที่มีน้อยกันไป หากแย่งกันสูบน้ำก็อาจจะมีน้ำไม่พอได้ พลอยจะทำให้ดาวที่ไม่มีกำลังธาตุสูงพอ หรือดาวอ่อนกำลัง พลอยต้องเสียหน้าที่ไปด้วย

เมื่อดาวมีพลังงานธาตุไม่พอก็จะเพี้ยน ปกติธาตุดาวนั้นมาจากต่างระบบธาตุ (เช่น ธรณี จักรวาล บรรยากาศ) เพื่อเข้ามาประกอบเป็นธาตุในภพภูมิของธาตุดาวและเกษตรธาตุในราศี ดังนั้น เมื่อธาตุในดวงชะตาเพี้ยนไป โครงสร้างดาว และธาตุในดวงชะตาที่เป็นหลักในกลไกของดวงชะตาก็จะเสียหาย ซึ่งเป็นสาเหตุให้วิถีชีวิตเจ้าชะตามีความผันผวน พิลึกพิลั่นไปตามด้วย ธรรมดาดวงชะตาซึ่งต้องมีสมดุลย์ของธาตุอยู่ จึงเสียสมดุลย์ไปด้วย แต่มีดาวบางอย่างที่แม้เป็นดาวดีเด่น ก็ไม่ทำให้ดวงชะตาผันผวนไปอย่างดาวกลุ่มที่แล้วมา เท่าที่พอเล่าได้ ได้แก่

หนึ่ง....ดาวมาตรฐานที่เป็นหลักกลุ่มแรก คือ พวก เกษตร อย่างที่เคยเล่าว่า เกษตร นั้นเกิดจาก ดาวซึ่งธาตุของมันเป็นชนิดเดียวกันกับเกษตรราศี เหมือนกับเอาก้อนน้ำตาลไปลอยในน้ำเชื่อมชนิดเดียวกัน ดังนั้น ปฏิกริยาของมันจึงเกิดช้า ยืดเยื้อ อยู่นาน นี่คือความหมายของเกษตร ดังนั้น ดาวที่เป็นเกษตรจึงค่อนข้างเฉื่อย แต่ค่อยๆดูดซับพลังงานช้าๆ เนื่องจาก การแลกเปลี่ยนธาตุกับราศี และได้รับพลังงานจากราศีเป็นอย่างดี ทำให้มีกำลังธาตุและกำลังดาวสูงดี แต่เกษตรเองก็ไม่ใคร่จะมีโอกาสเป็นเกษตรอยู่โดยอิสระ เพราะมักมีดาวมาทำเกณฑ์ถึงตัวมันเสมอ แต่ก็ไม่ถึงกับทำให้ตัวมันผันผวน ตรงกันข้าม ดาวที่มาสัมพันธ์กับเกษตรเอง หากมีความผันผวน จะถูกเกษตรหน่วงไว้ให้ช้าลง ดังนั้น เมื่อมีเกษตรอยู่ในโครงสร้างดาวชุดใด จะทำให้โครงสร้างชุดนั้นมีเสถียรภาพมากขึ้น แต่การที่ดาวเป็นเกษตร ไม่ได้แปลว่า “ดี” หากเป็นไปในทางไม่ดี เช่น ตกต่ำก็จะเป็นอยู่นาน ฟื้นได้ยากไปด้วย ส่วนมากเวลาโหรพูดถึงดาวมหาอุจ มหาจักร มักจะเรียกว่าดาว “ดีเด่น” แต่พูดถึงเกษตร จะเรียกว่า “ดีนาน”

สอง.....องคเกณฑ์ ดาวที่เป็นองคเกณฑ์ เป็นดาวที่มีกำลัง และมีความสม่ำเสมอคล้ายดาวเกษตร หากจะทำนายเฉพาะความดีเด่น ก็คล้ายดาวเกษตรนั่นเอง แต่มีข้อแตกต่างอยู่ตรงที่ว่า เกษตรจะแสดงคุณสมบัติอยู่ได้ตลอดเวลา แต่พวกดาวองคเกณฑ์ มักจะแสดงคุณสมบัติตามเงื่อนไข หรือมีดาวจรมากระตุ้น เช่น เมื่อเป็นดาวเสวยอายุ และตัวมันเองจะมีเสถียรภาพดีด้วย หากไม่ได้กำลังเสวยอายุ แม้ดาวองคเกณฑ์จะเป็นดาวธรรมดา แต่จะมีความเข้มแข็งต้านทานต่อการกระทำ(เปลี่ยนแปลงแปรปรวน)ของดาวอื่นได้ดีกว่าดาวเกษตร

สาม.....ดวงชะตาที่มีดาวอยู่ในราศีธาตุครบทุกธาตุ คือมีดาวอยู่ทั้งราศีดิน ลม น้ำ ไฟ จะทำให้ดวงชะตามีเสถียรภาพดี แต่ถ้าจะให้แสดงผลดีด้วย ก็มีข้อยกเว้นที่ไม่ควรอยู่ในเรือนอริ มรณะ วินาสน์ เพราะเรือนทุสถานะจะมีความผันผวนอยู่ตามธรรมชาติอยุ่แล้ว ถ้าอยู่ในเรือนพันธุ ศุภะ ปัตนิ กดุมภะ จะให้เสถียรภาพของดวงชะตาได้ดีกว่า

สี่.....ดาวในวรโคตรนวางค์ หมายถึงดาวที่อยู่ที่เดียวกันทั้งในดวงราศีจักร และในดวงนวางค์ในดวงกำเนิด ดาวในวรโคตรนวางค์ แสดงคุณสมบัติได้เองจากพลังงานในราศี เหมือนเป็นแบตตารี่ส่วนตัว ดังนั้น มันจึงเป็นดาวชนิดที่แม้ในดวงชะตามีมากดวง ก็จะไม่ทำให้พลังงานของดวงชะตาเสียหาย ทั้งนี้เกิดจาก คุณสมบัติของวรโคตรนวางค์เอง เป็นแหล่งที่มีกำลังตามธรรมชาติในราศีอยุ่แล้ว

ห้า....ดาวมาตรฐานประเภทถัดไปคือ ตรีโกณ ดาวประเภทนี้ต่างจากเกษตรเป็นคนละลักษณะ เกษตรนั้น เป็นที่ตัวดาวเอง แต่ ตรีโกณ เป็นโครงสร้างดาวพื้นฐานชนิดหนึ่งในดวงชะตา ในโหราศาสตร์ไทย ปกติเราพูดถึงตรีโกณ หมายถึง ตรีโกณร่วมธาตุ เพราะดาวตรีโกณที่เป็น 5 แก่กัน ย่อมอยู่ในราศีที่มีสภาวะธาตุเดียวกัน ทำให้มีกำลังธาตุดี เมื่อพลังงานธาตุไหลวนในดวงชะตาผ่านราศีที่มีดาวตรีโกณ ทำให้พลังงานถ่ายเทได้สม่ำเสมอดี ข้อนี้ทำให้ดวงชะตาที่มีดาวตรีโกณมักจะมีเสถียรภาพสูงกว่าดวงชะตาในลักษณะอื่น หากมีดาวครบทั้งสามมุม จะมีความมั่นคงมาก นอกจากนั้น ดาวคู่ธาตุ (๑๗ ๒๕ ๓๘) ในเรือนตรีโกณถึงกัน (หรือ ๔๖ ในทางโยค) จะได้ความดีของดาวคู่ธาตุโดยไม่ทำให้ดวงชะตาผันผวนได้เหมือนเมื่ออยู่ร่วมราศีเดียวกันอีกด้วย นอกจากตรีโกณ แล้ว ดาวประเภทที่เป็นจตุโกณ ก็อาจจะมีคุณสมบัติเช่นนี้ได้ เพียงแต่ จตุโกณ นั้นเป็นได้ทั้งสองทาง คือ มีเสถียรภาพ หรือ ผันผวน ขึ้นกับแต่ละกรณีที่เป็นเงื่อนไขไม่เหมือนกัน


วรกุล - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:09น. (IP: 203.107.203.195)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน อ. วรกุล

ขอรบกวนอาจารย์ให้เขียนถึงเรือน วินาสน์ ด้วยครับ เพราะเห็นเขาบอกกันว่า ใครที่สามารถเข้าใจความหมายของเรือนนี้ได้ลึกซึ้งก็จะเป็นนักโหราศาสตร์ที่แตกฉานได้ เพราะความหมายของเรือนนี้มีความหมายที่ลึกซึ้งมากมายทั้ง ดี และ ไม่ดี ขอความกรุณาอาจารย์อธิบายความหมายของเรือนนี้ด้วยครับ หรือถ้าอาจารย์เคยอธิบายไปแล้ว ขอความกรุณาบอกผมด้วยเถิดครับว่าอยู่ตรงไหนของเว็บ ผมหาไม่พบครับ และเว็บนี้ก็ไม่มี search ให้ใช้ครับ ขอบพระคุณอาจารย์มาล่วงหน้าครับ


ต้อง - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:47น. (IP: 210.246.80.115)

ความคิดเห็นที่ 3
เรียน อ. วรกุล

ขอเรียนสอบถามอาจารย์เรื่อง ดวงแรง ครับ ยกตัวอย่างเช่นกรณีดาวบาปพระเคราะห์ เป็นนิจ,ประ เล็งกันในภพมรณะ กับกดุมพะ รวมถึงดาวเจ้าเรือนกดุมพะเป็นนิจ ลาภะเป็นปะ ในกรณีทางธาตุดาวจะมีเหตุการณ์ในชีวิตเจ้าชะตาเหมือนกับ ดวงที่มีมหาจักรอยู่ในเรือนเหล่านั้นหรือไม่ครับ มีข้อแตกต่างกันอย่างไรระหว่างดวงที่มีกำลังแรงมากมารวมกัน กับดวงที่มีกำลังต่ำมาอยู่ในดวง

ขอบพระคุณมาล่วงหน้าครับ ด้วยความเคารพ


นักเรียนใหม่ - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2549 09:28น. (IP: 203.150.116.215)

ความคิดเห็นที่ 8
เรียน อ.วรกุล

อาจารย์คะ จากเรื่อง ดาวที่เป็น วรโคตรนวางค์ นั้น ถ้าในกรณีที่ดาวนั้นเป็นนิจในราศีแต่ดาวนั้นก็เป็นวรโคตรนวางค์ด้วย เราจะทายดีทายเสีย หรือ จะทายอย่างไรจึงจะถูกคะตย. เช่น ดาวอังคาร เป็นนิจ ในราศีจักร และเป็น วรโคตรนวางค์ ด้วย และอีกกรณีหนึ่งคือ ดาวในราศีจักรเป็นนิจ แต่พอดูในดวงนวางค์จักร กลับเป็นเกษตร เราควรจะทายอย่างไรคะ

ขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าค่ะ


โฮมสคูล - 16 กรกฎาคม พ.ศ.2549 08:48น. (IP: 210.246.80.111)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณมากครับ พอดีผมได้ค้นกระทู้เก่าๆของอาจารย์ที่เขียนอยู่เกี่ยวกับเรื่องนี้พอดีได้อ่านแล้วเกิดความเข้าใจและเห็นพ้องตามที่อาจารย์ว่าครับคำแนะนำต่างๆที่อาจารย์สละเวลาให้กับผู้ไม่รู้ เป็นคำแนะนำที่มีค่ามาก โดยปกติแล้วผมไม่ค่อยได้ตั้งคำถาม เพราะแค่็อาศัยติดตามอ่านถามตอบที่อาจารย์แนะนำในหัวข้อเดียวกันแล้วคิดเทียบเคียงตาม ก็ได้รายละเอียดมาก

เรื่องกรรมวาระกำเนิดนี้เป็นเรื่องของคนเกิด ตามชะตา จะไปกำหนดให้เองก็จะเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า ผมก็เห็นจริงครับ ปัจจัยมันเยอะ ให้เป็นไปตามกรรมของคนกำเนิดน่าจะง่ายกว่า

ตอนนี้คุณหมอคำนวนเวลากำหนดคลอดประมาณวันที่ 14 ธันวาคมครับ เวลากลางวัน น่าจะประมาณเที่ยงๆ(คงเพราะสะดวกในการผ่าตัด)

ถ้าเป็นอย่างที่คุณหมอกำหนด ลัคนาน่าจะตกอยู่ ประมาณราศีมีน หรือเมษ (ถ้าเลยไปตอนบ่ายโมง)

ดูๆแล้วผมก็คงจะห่วงช่วงบ่ายโมงที่อังคารเป็นทุสถานะ ตกมรณะพอดีเสียมากกว่า แต่ถ้าจะไปบอกหมอให้กำหนดเที่ยงเสียเลย ก็เกรงว่าจะเป็นการไปเลื่อนดวงเกิดตามที่อาจารย์ว่า ถ้าไม่รู้ก็ยังพอทำเนา นี่รู้เวลาแล้วจะไปกำหนดก็คงจะไม่เหมาะ


่ผมจะมีข้อสงสัยก็คือ ถ้าลัคนาตกมีน ราหูเป็นเกษตร เป็นเจ้าเรือนวินาศน์ สถิตในภพวินาศน์ ก็ชัดเจนอยู่ในตัว

แต่เมื่อราหูเป็นเกษตร และมี 0 กุม 8 อยู่ด้วยเช่นนี้

ควรจะอ่านความหมายอย่างไรจึงถูกต้องครับ

อีกข้อนึง คือลูกชายผม ตรวจดวงดูแล้วเกิดลัคนาราศีเมษ (27 กพ.2547 เวลา 11.04 น. นนทบุรี)

ดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนกดุมภะ และปัตนิ ลอยอยู่ในราศีมีน เรือนวินาศน์ เป็นอุจจ์

ถ้าหากดูชั้นแรก เจ้าเรือนกดุมภะกับปัตนิ ไปอยู่วินาศน์ เจ้าเรือนวินาศน์(พฤหัส5และเป็นศุภะด้วย) ไปอยู่ปุตตะ ก็ต้องอ่านได้อย่างนี้คือ กดุมภะ ปัตนิ วินาศน์ ปุตตะ

หรือจะอ่านต่อว่าเจ้าเรือนปุตตะ (1 ประ)ไปอยู่ลาภะ เจ้าเรือนลาภะ(8) ไปอยู่ ตนุ เป็นกดุมภะ ปัตนิ วินาศน์ ปุตตะ ลาภะ ตนุ

จะอ่านตามลำดับนี้ได้หรือเปล่าครับ

อันนี้ คือเราตั้งที่ดาวศุกร์ ที่เราอยากรู้ทีนี้ถ้ามาดู ดาวที่ทำมุมกับศุกร์ผมก็จะเห็นจันทร์ทำมุมเป็นโยคหน้ากับศุกร์ ส่วนเกตุทำมุมเป็นโยคหลังกับศุกร์

ถัดมา คือ ดาวศุกร์เป็นอุจจ์

ลำดับการดูอย่างนี้ถูกต้องหรือเปล่าครับ


จิระบุญยานนท์ - 16 กรกฎาคม พ.ศ.2549 15:01น. (IP: 124.121.187.59)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 6 คุณเฟรด..........เหตุที่คุยกับคุณเรื่องดวงชะตาช้าหน่อยเพราะบังเอิญได้ดวงตัวอย่างของคุณมาพอดี ที่จริงจะเขียนเรื่องนี้ก็ยังไม่มีจังหวะ ก็พอดีคุณมาถามและเท่ากับยืนยันว่ามีเรื่องเช่นนี้จริง ก็เลยน่าเขียนให้คนอื่นทราบด้วย ดวงของคุณกับพี่ชายไม่มีอะไรมาก เขาเรียกว่า “ฝาแฝดเทียม” หรือ ทางโหราศาสตร์เรียกว่า “แฝดทางธาตุ” หรือ บางคนเรียกเล่นๆว่า “แฝดคนละฝา” นั่นเอง

คุณรู้จักฝาแฝดทั่วไปอยู่แล้วว่าเป็นคนสองคน หรือ สามคน ที่เกิดท้องพ่อแม่เดียวกัน แต่คนละเวลา ในคราวเดียวกัน อันนั้นเรียกว่า ฝาแฝดแท้ ฝาแฝดแท้มักรูปร่างหน้าตาคล้ายกัน ชะตาชีวิตคล้ายกัน แต่ก็มีบ้างที่ฝาแฝดแท้หน้าตาไม่เหมือนกันเลย และชะตาไม่เหมือนกันก็มี เป็นส่วนน้อย ซึ่งมีเหตุผลทางโหราศาสตร์ จะไม่พูดถึงตอนนี้ คนที่แตกต่างกัน แต่มาเกิดเวลาเดียวกันที่พวกเราชอบเรียกว่า “ฝาแฝดเวลา” อันนั้นไม่ใช่ฝาแฝด ก็จะไม่พุดถึง

คนที่เกิดคนละท้อง หรือคนละเวลา ก็มีโอกาสเป็นคล้ายฝาแฝดเช่นกัน เรียกว่า “ฝาแฝดเทียม” (ไม่ได้เกี่ยวกับการแพทย์) ลักษณะของฝาแฝดเทียมนั้น อาจจะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน หรือมีความเป็นไปคล้ายกันบางช่วงชีวิต อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เช่นเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ลูกพี่ลูกน้อง หรือ พ่อกับลูก แม่กับลูกก็มี พวกนี้หน้าตาเหมือนกันได้ และบางคู่ชะตาก็คล้ายกัน เช่น พี่น้องหน้าตาเหมือนกัน พ่อลูกหน้าเหมือนกันอาชีพเดียวกัน แม่ลูกเป็นนางงามเหมือนกันหน้าเหมือนกันจนลูกเขยทักผิดตัว อะไรแบบนี้ กับอีกแบบที่ไม่ได้เป็นญาติกันเลย เช่น เป็นแฟนชนิดคู่แท้ หรือ คู่ไม่แท้ หรือ เป็นเพื่อนกันก็มี เราอาจจะเคยเห็น หญิง ชาย ที่เป็นแฟนกันหน้าเหมือนกันดิก หรือ เป็นเพื่อนกัน แต่หน้าเหมือนกัน อาชีพเดียวกัน เลื่อนตำแหน่งพร้อมกัน แถมนิสัยใจคอคล้ายกัน นั่นก็เป็นลักษณะของฝาแฝดเทียม

พวกฝาแฝดเทียมไม่ว่าประเภทใด ก็เกิดจากรูปแบบทางธาตุที่มาสอดคล้องกันทั้งนั้น ดังนั้น เมื่ออ่านดวงชะตาของคนหนึ่ง ก็อาจจะคล้ายอีกคนหนึ่งได้ แต่การอ่านดวงชะตาแล้ว ข้อเท็จจริงไขว้สลับกัน แบบกรณีของคุณนั้นมักพบในกรณีสายเลือดเดียวกัน (ญาติ) พี่น้องทั่วไปก็เป็นได้ แต่ถ้าพี่น้อง หรือ คนในครอบครัวเป็นฝาแฝดเทียม เหตุที่เกิดไขว้จะมีมากขึ้นกว่าพี่น้องทั่วไปตามปกติ พวกสายเลือดเดียวกัน (มักเป็นเพศเดียวกัน) เมื่อฝาแฝดเทียมผู้หนึ่งเกิดเหตุแล้ว อีกคนหนึ่งมักจะไม่เกิด เพราะได้รับเหตุการณ์ของฝาแฝดไปแล้ว ต่างกับพวกคนละสายเลือด จะไม่ค่อยเจอกรณีทำนายแล้วไขว้ แต่มักจะเกิดเหตุทั้งคู่ เช่น ฝาแฝดเทียมที่เป็นแฟนกัน ฝ่ายชายตกกะไดขาพลิก หญิงก็ตกรถเมล์ขาแพลง เช่นเดียวกัน คือเกิดเหตุทั้งคู่

ดวงคุณกับพี่ชายเป็นฝาแฝดเทียมชนิดสายเลือดเดียวกัน ส่วนมากความเป็นฝาแฝดแบบนี้จะหยุดการเกิดเหตุการณ์ไขว้ หรือลดลงมาก เมื่อถึงเงื่อนไขหนึ่งเช่น ทั้งสองคนแต่งงานทั้งคู่ บางคู่อาจจะเป็นไปได้ที่ดวงคู่ (แฟน)ของทั้งสองคน อาจจะเป็นฝาแฝดเทียม กันอยู่ด้วย เช่นเป็นเพื่อนสนิทกัน หรือไม่ก็เป็นฝาแฝดแท้ หมายความว่า แฟนทั้งสองคนมีโอกาสเป็นฝาแฝดด้วยเหมือนกัน ส่วนเรื่องกรณีร่างทรงทำนายนั้น เป็นกรณีเฉพาะของคุณและพี่ชายเอง โดยปกติคนทรงแท้ จะแยกแยะชะตาของฝาแฝดถูก ไม่ว่าฝาแฝดชนิดใด แต่ร่างทรงของ “องค์ใน” ที่อยู่ในระดับไม่สูงพอ หรือ อาจเป็นคนทรงไม่แท้ จะแยกแยะไม่ถูก จึงอาจจะทำนายสลับกันได้ โดยทั่วไปเราจะไม่พบคนทรงแท้ในสังคมปกติ ในเวลาทั่วไปจะหายากมาก และยิ่งจะไม่มารับทำนายทายทักใครในลักษณะนี้ ดังนั้น จึงเชื่อว่า ร่างทรงที่ทำนายให้คุณไม่ใช่ระดับสูง หรือ หากเป็นระดับสูงก็ไม่ได้ลงเต็ม “องค์”

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 8 คุณ โฮมสคูล..........เคยตอบแล้วครับ ปกติดาวในนวางค์จะถือว่าเป็นเนื้อแท้ของคุณภาพดาวมากกว่าราศี เช่น ในนวางค์เป็นเกษตร ในราศีเป็นนิจ ก็เหมือนมะม่วงที่เสีย(นิจ) ทั้งผล แต่ยังมีเนื้อดีอยู่บางส่วน(เกษตร)กินได้ เพียงแต่ต้องรู้ว่าส่วนอื่นๆยังเสียอยู่ ไม่ใช่กลับเป็นดีทั้งผล เมื่อดาวอยู่ในวรโคตรนวางค์ ก็ถือว่าดี ไม่ว่าในราศีจะเป็นนิจประ หรือไม่ แต่คำว่าดีในที่นี้ คือความดีในทางลึกๆ เช่น พฤหัสอยู่ในวรโคตรนวางค์ จะต้านทานความเสียหายได้ และมีวาสนาทางปัญญา แต่ต้องดูว่าเป็นเรื่องอะไร ส่วนพฤหัสที่เป็นนิจในราศีก็ยังคงเป็นนิจอยู่ เพราะจริงๆ “นิจ” ไม่ได้แปลว่าไม่ดี เพียงแต่ความจุธาตุจะน้อย และมีกำลังดาวน้อยเท่านั้น นิจยังต้องไปเกี่ยวข้องกับเรือนและดาวอื่นอยู่ ก็ยังเป็นนิจ คิดง่ายๆก็คล้ายกับว่า สมมุติดาวนิจในราศีคนนี้เป็นคนจน สิ่งอื่นๆภายนอกก็จะเหมือนคนจนทั่วไปอีกตั้งหมื่นตั้งแสน เพียงแต่คนนี้เขาชอบถือศีล แต่คนจนคนอื่นอาจจะชอบเล่นหวย อะไรแบบนั้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 9 คุณ จิระบุญยานนท์..........ถ้าวันที่ 14 ธันวา ใกล้เที่ยง เป็นวันที่เห็นว่าพร้อม วางกำหนดเวลาผ่าคลอดในราศีมีน จะเหมาะสมกว่าครับ และเชื่อว่าคราวนี้จะกำหนดได้ในราศีมีนนั่นเอง ถ้าอ่านตามดวงสมมุตินี้ ราหูเกษตรราศีกุมภ์ก็นับว่าดีพอสมควรแล้ว แม้จะกุมมฤตยู ก็สงบลงไม่ให้ร้ายอะไรในเรือนเกษตรวินาสน์นี้ วินาสน์เป็นเกษตร และลัคนาอยู่เรือนพฤหัสที่เข้มแข็งด้วย คุณธรรมจะสูง ไม่หลงไปทางผิด หรืออบายมุข เพียงแต่วัยแรกๆของชีวิตจะดูเหมือนไม่ดีเด่นอะไร จะไปดีในวัยกลางๆ อายุ 35 ขึ้นไป แล้วจะพุ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ดวงลูกชายคนแรกของคุณ เวลาอ่านเรือนตั้งต้นอ่านเรือนใดเรือนหนึ่งก็พอครับ เช่น หากจะอ่านกดุมภะ ๖ (การเงิน) ก็อ่าน กดุมภะ – วินาสน์ แล้วตาม เจ้าเรือนวินาสน์ ๕ ไปปุตตะ เพียงแค่ 2 จังหวะก็พอ เป็น กดุมภะ – วินาสน์ – ปุตตะ เรือนอื่นอย่าเพิ่งอ่านมากไป จะยังไม่เข้าใจ และยังไม่จำเป็น ส่วนความเป็นอุจ ก็ยังไม่ต้องอ่าน เอาไว้อ่านภายหลังได้เรื่องเข้าใจแล้ว ส่วนการเป็นโยค ตรีโกณ อะไรก็ตาม คุณยังไม่เข้าใจ ให้อ่านเพียงแค่ กุมกันร่วมราศีไปก่อน นอกนั้นเอาไว้ไปอ่านเมื่อเก่งแล้ว อย่าเพิ่งไปอ่านอะไรมากมาย เพราะอ่านมากๆจะจับหลักไม่ได้ และควรหาหนังสือ หรือ หาใครมาอธิบายเพิ่มเติม เพราะเรื่องอ่านเรือนนี้ ถ้าหัดใหม่มักไม่เข้าใจ คิดเอาเอง ทำให้ล่าช้า เสียเวลาไปเปล่าๆ


วรกุล - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2549 04:50น. (IP: 203.107.204.244)

ความคิดเห็นที่ 11
เรียน อ.วรกุลขอบคุณครับ ตอนนี้แค่ลองอ่านแค่ 2 ชั้น ให้เป็นก่อนก็แย่แล้วครับ กดุมภะมาวินาศน์ผมลองอ่านว่า ชะตาการเงินจะเกิดความเสียหายหรือ วินาศน์ไป คือ เก็บเงินไม่ใคร่อยู่ หรือมีเงินก็มีเก็บลับๆไม่มีใครรู้ จะถูกไหมครับส่วนวินาศน์มาปุตตะนั้นยังงงๆอยู่ครับ


จิระบุญยานนท์ - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2549 11:32น. (IP: 124.121.188.183)

ความคิดเห็นที่ 12
เนื่องในโอกาสเดียวกับที่ทางมูลนิธิจัดพิธีไหว้ครูเมื่อวานนี้ ขอกราบ ไหว้ครู อ.วรกุล...

ถึงแม้จะเป็นศิษย์ทางเวปบอร์ด แต่ด้วยกุศลจิตของ อ.วรกุล ที่สื่อออกมาทางอักษร ช่วยชี้แนะนำทางที่ดูจะมืดมัวให้ใสกระจ่าง ตามแต่สติปัญญาของศิษย์เอง ให้เดินตามครรลองที่ถูกที่ควร นอกจากนี้ อ.วรกุล ยังแสดงความอุตสาหะและวิริยะมากมาย ที่สละเวลาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ให้ความกระจ่างทางความรู้ เป็นแสงแห่งปัญญาแก่ศิษย์

ศิษย์ขอกราบ คำขออภัยหากได้ล่วงเกิน ทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจ และอกุศลเจตนา ด้วยอัตตาของศิษย์เอง

ขอกราบอวยพร อ.วรกุลและครอบครัว มีความสุข สมปราถนา ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน


หนูน้อย - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2549 12:30น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน อ.วรกุล

ผมชอบคำอธิบายและภาษาที่อาจารย์ใช้ ซึ่งแตกต่างกับคนอื่นมาก ผมยอมรับว่าสาเหตุที่ผมศึกษาวิชาโหราศาสตร์ก็เพราะว่าเนื่องจากมีนักพยากรณ์หลายคนทำนายดวงของผมแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บางคนบอกว่าดวงคุณดูง่ายมากแค่นาทีเดียวก็รู้ แต่ทำนายไม่ได้ใกล้เคียงเลย บางคนก็นั่งแล้วก็นึกอะไรก็ไม่รู้ ไม่ยอมทำนาย แล้วก็ไม่มีใครเก็บเงินค่าดูผมด้วย และเวลาดูทุกครั้งจะพาญาติสนิทไปด้วย ผมจึงศึกษาเองมาได้ประมาณ 2 ปี โดยหนังสือที่มีอยู่ในท้องตลาดผมอ่านมาแล้ว ไม่น้อยกว่า 4-5 ครั้งต่อเล่ม เพราะทีแรกก็คิดว่าไม่น่าจะยากอะไร เพราะผมอ่านหนังสืออย่างเดียวไม่เคยไปเรียน ก็ยังได้ถึง 2 ปริญญา แต่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด ผมอ่านดวงคนอื่นออก บางคนบอกว่าเม่นด้วยซ้ำแต่ดวงตัวเองกับทำนายอนาคตไม่ได้ และก็มักจะไม่ตรงเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะเวลาที่ดาวจรที่เป็นศรีและเป็นกาลกิณีมาจรทับกัน ซึ่งทักษาคู่ธาตุนั้น พอตัวนึงเป็นศรี ตัวนึงจะเป็นกาลกิณี ส่วนดวงของผมนั้นมีความพลิกผันจริงๆ จากคนที่ไม่มีอะไร ไม่ถึงเดือนผมก็ทำงานมีเงินหลายล้านได้โดยที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้ อาจารย์พูดถูกว่าส่วนใหญ่อะไรที่เราทำก็มักจะคิดว่าเราทำดีแล้ว ผมก็คิดเหมือนกันว่าผมเป็นคนดี ทำความดีมาตลอด แต่มักจะไม่มีใครเห็น

สุดท้ายผมขอขอบคุณอาจารย์มากครับ และขอให้อาจารย์เขียนข้อความที่มีความรู้ไปนานๆ (ผมcopy ไว้ทุกข้อความ)


เด็ก ป.เตรียม - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2549 19:36น. (IP: 124.121.163.107)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบ 11 คุณ จิระบุญยานนท์..........ค่อยๆคิดแกะไปเองดีกว่าครับ ถามเขาก็ได้แค่เอามาใช้ ไม่ได้วิชา

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 12 คุณ หนูน้อย..........ขอบคุณครับที่มาอวยพร ขอให้คุณได้รับพรนี้นกลับไปด้วย ยินดีที่ทราบว่าทางมูลนิธิจัดไหว้ครูทางโหราศาสตร์ สมัยก่อนมา เมื่อเราไหว้ครูในวิชาต่างๆ เรามักถือว่า “ครู” ที่เราต้องไหว้มีอยู่ 5 ท่าน คือ หนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นบรมครู สอง ครูคือ “วิชา” ที่เราเรียน ประกอบด้วยวิญญาณจำนวนมากมายของผู้ที่เรียนวิชามาทุกยุคทุกสมัยจนได้ “บรรลุ” ถึงวิชา เมื่อเราเพ่งจรดจ้องอยู่กับการทำความเข้าใจ และเข้าใจถึงข้อเท็จจริงในวิชา วิญญาณความรู้นั้นจะรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับครู ครูก็จะเปิดทางให้เราได้รู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สาม ครู คือผู้สอน ผู้ถ่ายทอด ผู้บอกกล่าว ผู้ตักเตือน หากไม่มีท่านเหล่านี้ เราก็ไม่มีทางที่จะไปรู้เองได้ สี่ ครู คือผู้ช่วย ผู้อุปถัมภ์ ผู้แนะนำชี้ทาง หากเราไม่ได้ครูเช่นนี้ เราก็จะต้องเดินทางยาวนานไกลเนิ่นช้า ห้า ครู คือ “ตัวเรา” เอง ต้องพิจารณาตนเองให้ได้ความรู้ หากไม่พิจารณาตัวเราเอง ไม่สร้างจิตใจอันเมตตากรุณาแก่ผู้อื่นให้เกิดแก่ตัวเราเหมือนอย่างครู ไม่ทำตัวให้ควรเคารพแก่ตัวเอง เราก็จะเรียนวิชาได้อย่างผิวเผิน วิชาใดที่เรียนมาทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะเสีย ใช้ไม่ได้ผล ดังนั้น ครูทั้งห้านี้ คือ ครูที่เราจะต้องไหว้เคารพเสมอ ไม่ลบหลู่ ไม่เณรคุณ ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้า


ศุภกร - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2549 06:45น. (IP: 203.107.204.233)

ความคิดเห็นที่ 15
ขอโทษครับ ก้อปไฟล์ผิดหัวเรื่อง

ตอบ 11 คุณ จิระบุญยานนท์..........ค่อยๆคิดแกะไปเองดีกว่าครับ ถามเขาก็ได้แค่เอามาใช้ ไม่ได้วิชา

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 12 คุณ หนูน้อย..........ขอบคุณครับที่มาอวยพร ขอให้คุณได้รับพรนี้นกลับไปด้วย ยินดีที่ทราบว่าทางมูลนิธิจัดไหว้ครูทางโหราศาสตร์ สมัยก่อนมา เมื่อเราไหว้ครูในวิชาต่างๆ เรามักถือว่า “ครู” ที่เราต้องไหว้มีอยู่ 5 ท่าน คือ หนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นบรมครู สอง ครูคือ “วิชา” ที่เราเรียน ประกอบด้วยวิญญาณจำนวนมากมายของผู้ที่เรียนวิชามาทุกยุคทุกสมัยจนได้ “บรรลุ” ถึงวิชา เมื่อเราเพ่งจรดจ้องอยู่กับการทำความเข้าใจ และเข้าใจถึงข้อเท็จจริงในวิชา วิญญาณความรู้นั้นจะรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับครู ครูก็จะเปิดทางให้เราได้รู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สาม ครู คือผู้สอน ผู้ถ่ายทอด ผู้บอกกล่าว ผู้ตักเตือน หากไม่มีท่านเหล่านี้ เราก็ไม่มีทางที่จะไปรู้เองได้ สี่ ครู คือผู้ช่วย ผู้อุปถัมภ์ ผู้แนะนำชี้ทาง หากเราไม่ได้ครูเช่นนี้ เราก็จะต้องเดินทางยาวนานไกลเนิ่นช้า ห้า ครู คือ “ตัวเรา” เอง ต้องพิจารณาตนเองให้ได้ความรู้ หากไม่พิจารณาตัวเราเอง ไม่สร้างจิตใจอันเมตตากรุณาแก่ผู้อื่นให้เกิดแก่ตัวเราเหมือนอย่างครู ไม่ทำตัวให้ควรเคารพแก่ตัวเอง เราก็จะเรียนวิชาได้อย่างผิวเผิน วิชาใดที่เรียนมาทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะเสีย ใช้ไม่ได้ผล ดังนั้น ครูทั้งห้านี้ คือ ครูที่เราจะต้องไหว้เคารพเสมอ ไม่ลบหลู่ ไม่เณรคุณ ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้า


;id6] - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2549 06:46น. (IP: 203.107.204.233)

ความคิดเห็นที่ 16
ขอโทษครับ ก้อปไฟล์ผิดหัวเรื่อง คอมพิวเตอร์รวนอยู่....เม็มโมรี่ผิดแล้ว

ตอบ 11 คุณ จิระบุญยานนท์..........ค่อยๆคิดแกะไปเองดีกว่าครับ ถามเขาก็ได้แค่เอามาใช้ ไม่ได้วิชา

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 12 คุณ หนูน้อย..........ขอบคุณครับที่มาอวยพร ขอให้คุณได้รับพรนี้นกลับไปด้วย ยินดีที่ทราบว่าทางมูลนิธิจัดไหว้ครูทางโหราศาสตร์ สมัยก่อนมา เมื่อเราไหว้ครูในวิชาต่างๆ เรามักถือว่า “ครู” ที่เราต้องไหว้มีอยู่ 5 ท่าน คือ หนึ่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเป็นบรมครู สอง ครูคือ “วิชา” ที่เราเรียน ประกอบด้วยวิญญาณจำนวนมากมายของผู้ที่เรียนวิชามาทุกยุคทุกสมัยจนได้ “บรรลุ” ถึงวิชา เมื่อเราเพ่งจรดจ้องอยู่กับการทำความเข้าใจ และเข้าใจถึงข้อเท็จจริงในวิชา วิญญาณความรู้นั้นจะรวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับครู ครูก็จะเปิดทางให้เราได้รู้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น สาม ครู คือผู้สอน ผู้ถ่ายทอด ผู้บอกกล่าว ผู้ตักเตือน หากไม่มีท่านเหล่านี้ เราก็ไม่มีทางที่จะไปรู้เองได้ สี่ ครู คือผู้ช่วย ผู้อุปถัมภ์ ผู้แนะนำชี้ทาง หากเราไม่ได้ครูเช่นนี้ เราก็จะต้องเดินทางยาวนานไกลเนิ่นช้า ห้า ครู คือ “ตัวเรา” เอง ต้องพิจารณาตนเองให้ได้ความรู้ หากไม่พิจารณาตัวเราเอง ไม่สร้างจิตใจอันเมตตากรุณาแก่ผู้อื่นให้เกิดแก่ตัวเราเหมือนอย่างครู ไม่ทำตัวให้ควรเคารพแก่ตัวเอง เราก็จะเรียนวิชาได้อย่างผิวเผิน วิชาใดที่เรียนมาทั้งหมดก็จะเป็นโมฆะเสีย ใช้ไม่ได้ผล ดังนั้น ครูทั้งห้านี้ คือ ครูที่เราจะต้องไหว้เคารพเสมอ ไม่ลบหลู่ ไม่เณรคุณ ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้า


วรกุล - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2549 06:48น. (IP: 203.107.204.233)

ความคิดเห็นที่ 17
สวัสดีค่ะท่านอ.วรกุล

เมื่อปีที่แล้วได้เข้ามาขอคำแนะนำจากอ.ในด้านการศึกษาเพื่อประกอบการตัดสินใจ ขณะนี้ศึกษาจบแล้วทั้งระดับป.ตรีและวิชาชีพด้านการทำอาหาร หลังจากจบมาแล้วได้งานทำทันทีในร้านอาหารเล็กๆจากการชักนำของเพื่อน แต่ทำได้แค่เกือบ2เดือน จึงตัดสินใจลาออกเนื่องจากเพื่อนเอาเปรียบในการทำงานและเจ้านายผิดข้อตกลงในเรื่องค่าตอบแทนตอนนี้สอบเป็นครูสอนด้านอาหารของหน่วยงานภาครัฐได้แล้วแต่ต้องรอเรียกตัวซึ่งไม่ทราบว่าอีกนานแค่ไหนเพราะหางานทั้งของเอกชนตั้งหลายที่แล้วยังไม่ได้งานเลยค่ะ รบกวนเวลาอ.ช่วยกรุณาตรวจดูดวงหนูให้อีกสักครั้งเถอะค่ะ นี่สมัครงานโรงแรมและสนามบินไว้หลายที่เหมือนกันไม่ทราบจะมีข่าวดีให้หนูสบายใจมั๊ย หนูเกิด29มกราคม2511เวลา06.00นเช้าที่กรุงเทพฯ


หมวย - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2549 19:07น. (IP: 202.41.187.247)

ความคิดเห็นที่ 18
ตอบ 17 คุณ หมวย..........หาว่าคุณเคยมาถามตรงไหนอยู่นาน พบว่าคราวก่อนคุณไม่ได้ใช้ชื่อนี้ถามผม ลองsearch ดูพบว่าคุณไปถามอาจารย์ศุภกรใช้ชื่อนี้ แล้วถามไขว้ไปไขว้มา ผมไม่ได้เก็บข้อมูลเอาไว้ให้ เรื่องงานน่าจะได้ภายใน 2 – 3 เดือนนี้นะครับ แต่ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินเดือนหน่อย หรือ ชื่อตำแหน่งไม่ค่อยสวย ก็น่าจะรับทำต่อไปก่อน ช่วงอายุ 2 – 3 ปีนี้ เงินรายได้จะยังไม่สมตัว สภาพการจ้างงานก็ยังไม่ดี ลองทำสักปีหนึ่งถึงจะได้โปรโมทก้าวหน้าขึ้นนะครับ


วรกุล - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2549 09:53น. (IP: 203.107.207.37)

ความคิดเห็นที่ 19
กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

อาจารย์สบายดีไหมคะ ไม่ได้เข้ามากราบอาจารย์นานเลยค่ะ เนื่องจากเป็นช่วงที่เจ้านายคนใหม่ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งมาก่อนกำหนดถึงสองสัปดาห์เพราะเลขาฯ เดิมลาป่วยยาว ในขณะที่เจ้านายเก่า ซึ่งย้ายไปแล้วยังหาเลขาฯ ไม่ได้ เลยขอใช้บริการต่อ ตัวเป็นเกลียว หน้าเป็นน๊อต เลยค่ะ วุ่นวาย แต่ก็สนุกดีค่ะ

ท่ามกลางความวุ่นวาย ก็ยังโชคดีนะคะ ที่ปีนี้ได้มีโอกาสไปทำบุญถือศีลที่วัด ในวันอาสาฬหบูชา ปกติจะอาราธนาแต่ศีล ๕ ค่ะ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้รับศีลอุโบสถ คิดว่าจะรักษาไว้ไม่รอดแต่ก็ทำสำเร็จค่ะ คงเพราะพระคุณของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ช่วยอุดหนุนค้ำจุน

วันนี้เพิ่งได้เข้ามาอ่าน เรื่อง “ครู ทั้ง ๕ ท่าน” ที่อาจารย์ตอบคุณหนูน้อยเลยนึกขึ้นได้ว่า มีข้อสงสัยเมื่อเวลาทำบุญเพื่อเป็นกุศลบูขาท่านครูนั้น ถ้าท่านครูเหล่านั้นยังเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ จะต้องอธิษฐานอย่างไรคะ ท่านจึงจะมีส่วนในผลแห่งบุญที่เราได้ทำแล้วคะ ไม่แน่ใจว่าบทแผ่ส่วนกุศลตามหน้าหนังสือสวดมนต์ ใช้เฉพาะท่านที่ล่วงลับไปแล้วหรือว่าใช้ได้หมดคะ ขอความกรุณาอาจารย์ สอนแนวทางที่ถูกต้องด้วยนะคะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ



ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2549 13:09น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบ 19 คุณ สุธาวาส..........สบายพอสมควรอยู่ครับ ผมคงหัวเก่าไปหน่อย สมัยก่อนผู้ใหญ่สอนให้เคารพครูทั้งห้านั้น ไม่จำเป็นต้องไปเคารพตอนไหว้ครูหรอกครับ ทำบุญแผ่ส่วนกุศลก็แผ่ไปรวมๆแต่ให้นึกถึง “ครูผู้บอกวิชา” (เป็นศัพท์สมัยก่อน) และไม่ต้องมีคำอุทิศอะไรพิเศษ อยู่ที่จิตเจตนาเท่านั้น ยิ่งท่านที่มีชีวิตอยู่เราก็นึกใบหน้าได้ก็พอแล้ว

การที่มาเขียนตอบคุณหนูน้อย ก็เพื่อให้ทราบคติที่คนสมัยก่อนเขานับถือครูกัน จะไม่เหมือนคนสมัยนี้ ที่เวลาต่อหน้าก็เอ่ยคำเคารพนับถือครูหวานจ๋อย แต่ลับหลังก็ด่าครู หรือทั้งๆที่ใช้วิชาครูอยู่ก็ด่าวิชาว่าโง่ ล้าหลัง เอาวิชาไปดัดแปลงทำลายเสีย หรือ ใช้ทำลายผู้อื่นก็มี ครูผู้แนะนำชี้ทางนั้น รวมทั้งโหรที่ท่านแนะนำชี้ทางชีวิตให้แก่เราด้วย แม้จะคิดเงินค่าแรงบ้าง หรือ ดูให้เปล่าๆ แต่หากมีเจตนาดี ชี้ข้อบกพร่องให้เรารู้จักตัวเอง ก็ถือว่าเป็นครูที่ต้องนึกถึงด้วยเหมือนกัน ยิ่งด่าครู ชีวิตก็ยิ่งตกต่ำลง หากเป็นคนสมัยก่อน เวลาโหรทำนายดวงชะตาให้ก็ไหว้แล้วไหว้อีก สมัยนี้ หากทายไม่ตรงใจที่ตัวเองคิดว่าถูก หรือถามวิชาไม่ได้เคล็ดลับ ก็ยกเท้าขึ้นมาแทนมือเสมอหน้าครู มีให้เห็นได้บ่อย บางคนใช้วิชาครู และเคล็ดลับไม่ได้ผล ก็พาลด่าครูเสียเลยก็มี ไม่ได้คิดว่าทำไมตนเองจึงใช้ไม่ได้ผล ทั้งๆที่ครูก็สอนศิษย์เท่าๆกัน ครูทั้ง ๕ นี้ คือ ครูที่เราจะต้องไหว้เคารพเสมอ ไม่ลบหลู่ ไม่เนรคุณ ชีวิตจึงจะเจริญก้าวหน้า

“ครูทั้ง ๕” นี้ เป็นนามธรรม ใครคิดออกก็เจริญแตกฉานในวิชาได้เอง


วรกุล - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2549 04:57น. (IP: 203.107.200.158)

ความคิดเห็นที่ 21
ผมมีรายการเรื่องที่คิดไว้ว่าจะเขียนอยู่หลายเรื่อง แต่ดูแล้วหนักสมอง เลยคิดจะเขียนเรื่องเบาๆบ้าง เป็นเรื่องที่คิดจะเขียนมานานแล้ว เพราะเห็นปัญหาในวงการโหราศาสตร์ที่เราเรียนและค้นคว้ากันอยู่อย่างหนึ่ง คือ พวกเรามักชอบตีความกันเกินไป อาจจะเป็นเพราะยุคสมัยนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้ที่ผู้คนมักมีนิสัยหัวหมอ ชอบโต้แย้งหรือ ด่ากัน แต่แทนที่จะยกเหตุผลที่ดีๆมาสนับสนุนตนเอง กลับไปยกคำพูดของใครคนใดคนหนึ่งฝ่ายตรงข้ามมาตีความ จนกลายเป็นความขัดแย้งระดับชาติก็มี

คำพูด หรือ ข้อเขียนของคนมีหลายระดับ การใช้ภาษาอย่างยากๆ เป็นทางการอย่างภาษากฎหมายก็มี ชนิดที่อ่านหรือ ฟังแล้วต้องแปลไทยเป็นไทยอีกทีหนึ่ง หรือ ภาษาวิชาการก็เข้มงวดน้อยลงมาหน่อย รองลงมาก็เป็นภาษาบทความ ภาษาวิจารณ์ ภาษาหนังสือพิมพ์ ภาษาอ่านเล่น มาจนเป็นภาษาพูด ที่ไม่เอาไวยากรณ์ นึกอยากจะพูดจะเขียนอะไรที่เข้าใจกันได้ก็เอาแล้ว สมัยพุทธกาลนั้น ผู้คนก็เข้มงวดจับผิดเรื่องภาษาเหมือนกัน ยิ่งมีการปะทะกันทางแนวคิดปรัชญาแล้วยิ่งร้ายใหญ่ “ครุ” หรือ ครู หรือ ศาสดาเวลานั้น เวลาพูดอะไรทีหนึ่ง ก็ต้องระวังคำพูดว่าจะต้องถูกต้องตรงเผงตามตรรกะ และหากคิดยอกย้อนไปมาแล้วต้องมีช่องโหว่น้อยที่สุดหรือไม่มีเลย เพราะหากมีช่องโหว่ ก็จะถูกลัทธิหรือ ฝ่ายตรงข้ามนำเอามาชำแหละ และตั้งหน้าคัดค้านจนกลายเป็นการโต้วาทีหน้าดำหน้าแดง ฝ่ายไหนแพ้ ลูกศิษย์ก็จะเสียหน้าแล้วเผ่นหนีไปอยู่สำนักอื่น

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และออกสั่งสอนเผยแพร่ธรรมที่ทรงค้นพบด้วยพระองค์เอง จึงมีปัญหามาก อย่างที่ทุกวันนี้ก็มีคนชอบตีความข้อความจากพระโอษฐ์อยู่ตลอดเวลา คือเรามักคิดกันว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เห็น “ธรรม” แล้ว เวลาที่ทรงตรัสอะไรก็ควรที่จะเป็น “ธรรม” ไปทั้งหมด สมัยนั้น จึงเรียกว่าผู้กล่าวธรรมว่า “ธรรมวาที” หมายถึงผู้กล่าวสัจธรรม(ความจริง) เหมือนๆกับเรียกบรรดาศาสดา ครู ทั่วไป คำคำนี้มีความหมายได้หลายระดับ คือถ้าจะคิดแบบเข้มงวดเลยก็จะเหมือนกับ ธรรมวาที (ทำ-มะ-วาที)นั้นเป็นเครื่องจักรที่ผลิตคำพูดที่เป็นข้อเท็จจริงเท่านั้น ไม่มีทางกระดิกกระเดี้ยไปไหนได้ หากเอาไปตีความไม่ว่ายุคใดสมัยใด กี่ร้อยกี่พันปี ก็จะตรงกับความเป็นจริงอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าเองก็ตรัสว่า พระองค์ทรงเป็นธรรมวาที ทำให้ผู้คนยิ่งเอาข้อความจากพระโอษฐ์มาตีความกันไปใหญ่ และหลายครั้งก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ จนกลายเป็นสาเหตุที่มีการแยกนิกายทางพุทธศาสนาอยู่หลายครั้งในประวัติศาสตร์

เรื่องนี้น่าติดใจมาก มีนักปราชญ์ที่มีความเห็นเรื่องที่ว่า “พระพุทธเจ้าทรงเป็นธรรมวาทีหรือไม่” อยู่หลายความเห็น ความเห็นหนึ่ง ไม่เชื่อว่าพระองค์จะตรัสความจริงอยู่ตลอดเวลา เพราะมีหลักฐานว่า ทรงตรัส เหมือนคนธรรมดานี่แหละอยู่บ่อยๆ เช่น ทรงตรัสถามพระอานนท์ว่า “ฝนตกข้างนอกอยู่แล้วหรือ....อานนท์” นี่เป็นคำพูดธรรมดา เพราะหากทรงทราบข้อเท็จจริง (คือ สัจธรรม) อยู่แล้ว ก็ย่อมทราบดีว่า ฝนตกอยู่ ไม่ควรต้องถาม ดังนั้น จึงทรงน่าจะเป็นธรรมวาทีเมื่อตั้งใจที่จะกล่าวธรรมเพื่อสอนเท่านั้น เพราะธรรมนั้นมีหลายระดับ บางความเห็นก็คิดว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเป็นธรรมวาทีในความหมายของศาสนาอื่น ซึ่งเรามักจะเห็นว่าบันทึกข้อความในคัมภีร์ที่มักกล่าวอ้างว่าเป็น “พระวจนะ” ของพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาต่างๆนั้น จะถูกแปลความตามตัวอักษรอย่างเคร่งครัด ในขณะที่คัมภีร์พระไตรปิฎกนั้นมาเกิดขึ้นภายหลัง แม้จะเป็นการบันทึกข้อความจากพระโอษฐ์ก็ตาม แต่ก็เป็นภาษาที่ได้รับการกลั่นกรองมา เพื่อให้ทราบ “เนื้อหา” ในพุทธพจน์ เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่สอนผู้มีปัญญาให้ใคร่ครวญตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตามตัวหนังสือ

ที่ยกเรื่องนี้มาในข้อเขียนตอนนี้ ก็เพราะวิชาโหราศาสตร์ก็มีจุดประสงค์ในการเข้าถึงธรรมชาติ หรือ “ธรรม” เช่นกัน การเรียนโหราศาสตร์สมัยก่อนที่เรายังไม่ใคร่จะมีเครื่องไม้เครื่องมืออิเล็คทรอนิกส์ หรือ แม้แต่ยังไม่ใช้กระดาษเพราะสมุดหายากนั้น เราใช้กระดานชนวนกันเป็นพื้น กระดานชนวนสมัยก่อนนั้น หาไม่ยาก เด็กๆมักจะได้รับแจกกระดานชนวนคนละแผ่น แต่หากเป็นนักเรียนใช้เรียนหนังสือ ก็ต้องไปซื้อกันเอาเอง จำได้ว่าดูเหมือนจะแผ่นละ 30 สตางค์ กระดานชนวนทำจากหินเรียกว่าหินชนวน เป็นสีดำๆเทาๆ ถูกสไลด์จนเป็นแผ่นแบนๆ ขนาดหนาราว 3 – 4 มม. เห็นจะได้ มีหลายขนาด ขนาดมาตรฐานที่เด็กใช้ราวๆขนาดกระดาษ a4 มีกรอบไม้กว้างราว หนึ่งนิ้ว เวลาเขียนก็ต้องใช้ดินสอชนวน เขียนแล้วจะได้เส้นขาวๆเทาๆ เวลาลบก็ใช้ผ้าหมาดๆลบออก ใช้ทนนานดี นอกจากจะเอามาตีศีรษะกันเองจนกระดานแตก ตอนสมัยหลังๆ พอสมุดมีแพร่หลายมากขึ้น เขาก็เลยให้เฉพาะเด็กตัวเล็กๆ ใช้กระดานชนวนหัดเขียน ก.ไก่ ข.ไข่เท่านั้น เพราะขืนใช้กระดาษ แล้วเขียนตัวเท่าหม้อแกง ก็คงมีกระดาษไม่พอให้เขียน แต่นักเรียนโหรโตแล้วก็ยังคงใช้กระดานชนวนอยู่ โลกหมุนเร็วจริง เราพัฒนาจากกระดานชนวน มาใช้กระดานทาสีดำด้าน กับชอล์ค แล้วมาใช้ไวท์บอร์ด ใช้พิมพ์ดีด แล้วตอนนี้เรากำลังใช้ word processor กับกระดาษอิเล็กทรอนิกส์ ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่วัฒนธรรมการแสดงความคิดเห็นของเรากลับเลวลง

การเรียนโหราศาสตร์สมัยก่อน เขามักเรียนทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ รวมทั้งภาคคำนวณของโหราศาสตร์ไปพร้อมกัน ด้วยเหตุที่การเรียน เรามักนั่งเรียนกันกับพื้นกระดานบ้าน สอนด้วยวาจา เรียกว่า “มุขปาฐะ” หรือ ถ่ายทอดด้วยคำพูด ดังนั้น วิชาโหราศาสตร์ที่ถ่ายทอดกันมา จึงใช้วิธีท่องจำเอา และอาศัยความเข้าใจ จึงจะจำได้แม่น การทำเช่นนี้ทำให้โหราศาสตร์ไทยเดิมที่ตกทอดกันมา มีเอกลักษณ์อยู่อย่างหนึ่ง คือ ใช้ศัพท์แสงน้อยมาก หากไม่เป็นศัพท์ที่จำเป็นพื้นฐานจริงๆ ที่เป็นชื่อวิชา ชื่อเรือน ชื่อดาว ชื่อฤกษ์ ที่มักมาจากสันสกฤต บาลี มคธแล้ว เราจะไม่พบศัพท์ที่ตั้งกันขึ้นมากมายอย่างสมัยนี้เลย ตำราที่พวกเรามีอยู่สมัยนี้ มีศัพท์ที่ประดิษฐ์ ที่คิดกันขึ้นเองเยอะมาก บางศัพท์เพิ่งจะคิดเองตั้งขึ้นใหม่สดๆร้อนๆก็มี แต่อ้างว่าเป็นของเก่าแก่โบราณ ดังนั้น หากใครไปลอกเข้าก็จะรู้ได้เลยว่าลอกศัพท์เขามา

ลองคิดดูว่าการสอนด้วยวาจาในสมัยก่อน หากต้องเรียกชื่ออะไรยากๆ อยู่ทุกวันตลอดเวลาจะลำบากปากแค่ไหน ตามความเป็นจริง เวลาเรียนเวลาสอนเขาก็ใช้ภาษาลูกทุ่งธรรมดานี่แหละ บางครู (ไม่เรียกว่าอาจารย์) ท่านเรียกดาวเป็น “เม็ด” เสียด้วยซ้ำ อุปกรณ์การเรียนที่ใช้บ่อยก็คือผลไม้ และก้อนหินนี่แหละดีนัก ใช้ขว้างเด็กหลับได้ด้วย ดังนั้น การเรียนโหราศาสตร์ต่างสำนัก จึงมักจะมีศัพท์ที่ไม่ตรงกัน ต้องอาศัยความเข้าใจกันจึงจะรู้ว่า คืออะไร ดังนั้น หากใครไปลอกวิชาเขามา ก็รู้ได้ว่าลอกมาจากสำนักไหนอีกเหมือนกัน การบันทึกวิชาเป็นตำรานั้นมามีเอาในสมัยต่อๆมา เมื่อจะบันทึกเป็นข้อเขียนจึงจำเป็นต้องบัญญัติศัพท์ให้เป็นมาตรฐาน ดังนั้น ศัพท์ที่เราใช้กันอยู่จึงเป็นศัพท์ที่เพิ่งนำเอาเข้ามาใหม่จากโหราศาสตร์ต่างประเทศเป็นส่วนมาก แต่ก็เป็นเพียงแค่ศัพท์เท่านั้น เนื้อหาจะยังเป็นภูมิปัญญาของเราเองที่พัฒนามานานหลายร้อยปี เว้นแต่เป็นวิชาที่ยังคงรักษาอยู่ในพื้นบ้านท้องถิ่นบางแห่ง จึงยังคงใช้ศัพท์ภาษาถิ่นอยู่

ดังนั้น การที่มักมีคนมักเขียนนินทาโหราศาสตร์ไทยอยู่เรื่อยๆว่าเป็นศาสตร์ไม่ทันสมัย ถึงกับไปยกเอาประวัติศาสตร์มาจับผิด ก็จึงเป็นการวิจารณ์แบบยัดเยียดหาเรื่อง เพราะตำราโหราศาสตร์ไทย แม้จะชื่อว่าเป็นคัมภีร์ ก็ไม่ใช่คัมภีร์ทางศาสนา จะไปตีความแบบ “ธรรมวาที” ไม่ได้ และตามข้อเท็จจริงแล้ว โหราศาสตร์ไทยแบบเดิมที่เป็นมรดกทางมุขปาฐะจริงๆ จะเขียนเป็นตำราได้ยากมาก หากจะเขียน ก็ต้องเขียนเรื่องหนึ่งๆซ้ำๆให้มีระดับการอธิบายที่ละเอียดแตกต่างกัน เพราะเรื่องบางเรื่องเป็นจริงในสถานะหนึ่ง พอในอีกสถานะหนึ่งแล้วมันจะไม่เป็นจริง หรือ ความเป็นจริงมันเปลี่ยนไป นี่เป็นหลักการหนึ่งในวิชาโหราศาสตร์ไทย เพราะมีเงื่อนไขปัจจัยที่เกี่ยวข้องมาก ดังนั้น ไม่ว่าจะเขียนคัมภีร์แบบไหนก็ไม่เป็นธรรมวาทีทั้งนั้น การนำเอาคำอธิบายระดับหนึ่ง มาอธิบายเรื่องในอีกระดับหนึ่ง จึงอาจจะดูเหมือนไม่เป็นเหตุเป็นผลกัน โดยเฉพาะหากผู้วิจารณ์เป็นผู้ที่เอามาปะติดปะต่อกันเอาเอง ยิ่งดูไร้เหตุผลเข้าไปใหญ่

การที่ศาสตร์ไหนๆจะดีหรือไม่ดี ก็จะขึ้นอยู่กับผู้ที่นำมาใช้ด้วย การที่มีผู้วิจารณ์กล่าวอ้างว่า ผู้ใช้วิชาโหราศาสตร์ไทยซึ่งผู้วิจารณ์เห็นว่าผิด เป็นถึงพระโหราธิบดี แสดงว่าศาสตร์นั้นไม่ดี ไม่เอาไหน ก็ไม่เห็นจะมีอะไรเป็นเหตุเป็นผล เพราะพระโหราธิบดี แม้จะรู้มาก ก็อาจจะไม่ใช่ผู้ที่รู้ดีที่สุด และพระโหราธิบดีทำดีหรือเลว ก็ไม่ได้แปลว่าโหราศาสตร์ไทยดีหรือเลว ตำราที่พระโหราธิบดีหรือผู้สืบทอดเขียนขึ้น เป็นตำราอย่างคร่าวๆก็มี ที่แต่งเป็นโคลงกลอนก็ใช้เป็นเพียงพื้นฐานให้จดจำได้เท่านั้น เขาไม่ได้ให้เอาไปแปลความถึงขั้นปรมัตถ์ คนที่เก่งโหราศาสตร์มากกว่าพระโหราธิบดีก็มี แต่เขาไม่เข้ารับราชการนี่ พอๆกับพระนักปฏิบัติที่ดีแต่ไม่มีสมณศักดิ์ก็มีมากมายหลายรูป อีกอย่างหนึ่ง โหราศาสตร์ไทยก็มีหลายวิชา และหลายตำรา วิชาที่ไม่ได้บันทึกออกพิมพ์ขายนั้น มีจำนวนมากมายหลายเท่ากว่าวิชาที่เอามาพิมพ์ขายกันเสียอีก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เวลามีใครพูดหลักวิชาอะไรมาสักอย่างหนึ่ง ก็เป็นต้องไปหาว่ามีตำราพิมพ์เอาไว้บ้างไหม ฝรั่ง+แขกเคยสอนเป็นบันทัดเอาไว้ว่าอย่างไร หากไม่มีสอนไว้ แสดงว่าคำพูดนั้นเหลวไหล หรือวิชานั้นไม่มีจริง

การวิพากษ์วิจารณ์ก็ยังลุกลามมาถึงการพยากรณ์ หรือ การอธิบายความตอบปัญหาต่างๆด้วย มักมีคนชอบต่อว่ากันตามกระทู้หรือเว็บต่างๆว่า ทายไม่แม่น เขียนผิด เขียนถูก หรือ อ้างตำรานั้นสอนไว้ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ ปฏิทินนั้นผิด จักรราศีแบบนี้ถูก ซึ่งล้วนแล้วแต่ตีความอย่างเคร่งเครียดเข้าข้างตัวเองทั้งนั้น แล้วก็จับเอามาเป็นบรรทัดวัดข้อความของผู้อื่น รวมทั้งชอบมีคนเอาศัพท์ที่ใช้มาเปรียบเทียบกันว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิด ที่พบบ่อยที่สุด เช่น คำว่า “ลัคนา” “เวลา” “ธาตุ” “เรือน” “อันโตนาที” “ภพ” “จักรราศี” “ปฏิทิน” เป็นต้น ที่โหราศาสตร์ไทย (เดิมๆ) มีความหมายไม่เหมือนโหราศาสตร์อื่น แต่มักจะถูกยัดเยียดความหมายให้ แล้วก็เอามาวิจารณ์เปรียบเทียบกับความหมายที่ตนคิดเอาเองพร้อมกับตำหนิว่าน่าจะแก้ไขประยุกต์ให้ทัดเทียมอารยะประเทศ อะไรแบบนั้น ถ้าตราบใดที่ยังไม่เข้าใจว่า ของเก่าเขาว่าไว้จริงๆอย่างไร ได้แต่ไปซื้อหนังสือที่เขาลอกกันต่อๆมา แล้วเอามาวิจารณ์ หรือ เอามาทำคำทำนายแบบสำเร็จรูปเข้าคอมพิวเตอร์ ก็ดูไม่เห็นว่าเป็นการพัฒนา “วิชา” โหราศาสตร์ไทยให้ทัดเทียมอารยะประเทศตรงไหน ก็เลยไม่รู้ว่าจะพัฒนาโหราศาสตร์ไทยจากความเสื่อมไปสู่อารยะ หรือ จากอารยะไปสู่ความเสื่อมกันแน่


วรกุล - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.200.158)

ความคิดเห็นที่ 22
ขอบคุณมากค่ะท่านอ. เคยถามอ.เมื่อปีที่แล้ววันที่4ก.ค.ในอีกนามหนึ่ง เวลาผ่านไปเร็วมากแต่หนูยังไม่มีความก้าวหน้าเลย แรกๆหนูก็ตั้งความหวังเรื่องค่าตอบแทนสูงแต่พอหางานใหม่ดูแล้วรู้ว่าคงต้องลดลง อ.ค่ะที่เดิมหนูได้เป็นหมื่น แต่หนูกดดันหลายอย่างทั้งเจ้านายซึ่งเป็นระบบครอบครัว(นายหลายคนเหลือเกิน) และพี่หนูเองรวมทั้งเพื่อนที่ชวนหนูเข้าไปทำงาน(เอาผลงานแต่ไม่ค่อยทำงานเวลานายมาก็เสนอหน้าลับหลังใช้หนูทำตลอด) ช่วงนั้นหนูรู้สึกเหนื่อยมาก งานที่บ้านก็ต้องทำให้เรียบร้อยก่อนไปทำงาน วันหยุดตามประเพณีไม่มี สัปดาห์นึงหยุดพักแค่วันเดียว ถามว่าเสียดายเงินมั๊ยมันก็เสียดายนะแต่มันทุกข์ใจมากกว่า ก่อนเข้าไปทำงานหนูทำงานให้เค้าโดยไม่รับเงินเดือนอยู่เกือบเดือน หนูคิดว่าตอบแทนเพื่อนที่ดึงหนูเข้าไปทำงานเดิมเพื่อนทำคนเดียวโดยไม่มีวันหยุดพอหนูเข้าไปหนูก็เจรจาให้สลับกะกับเพื่อน แต่สิ่งที่หนูทำเค้าไม่เห็นความดีเลย ตอนนี้หนูคิดว่าเงินน้อยก็ต้องทำดีกว่าให้เวลาผ่านไปเปล่าๆ ตอนเรียนหนูฝึกงานทำงานให้เค้าฟรีๆเหมือนกันแต่คิดว่าเอาความรู้จากเค้าต้องยอม อ.ค่ะในอนาคตหนูจะมีโอกาสเปิดร้านหรือมีกิจการของตัวเองมั๊ย(แบบพอเพียงอ่ะค่ะ) หนูไม่อยากเป็นลูกจ้างเค้าจนแก่ตาย อยากมีเงินเลี้ยงตัวเองให้แม่ใช้ทุกเดือนๆไม่เป็นหนี้ก็พอใจแล้ว ส่วนงานที่อ.ว่าอีก2-3เดือนอ.พอจะเจาะลึกถึงขนาดขององค์กรที่หนูควรจะเลือกเข้าไปทำว่าใหญ่เล็กขนาดไหนได้มั๊ยค่ะ หนูคงเลือกเดินมาทางสายอาชีพนี้ไม่ผิดทางนะคะ


หมวย - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2549 19:11น. (IP: 202.41.167.246)

ความคิดเห็นที่ 23
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ

เรื่องความสนใจศึกษา และการแสดงออกในการวิพากษ์วิจารณ์ความรู้ทางโหราศาสตร์(ของผู้อื่น) ของคนในยุคเครื่องมืออิเลคโทรนิคส์รุ่งเรืองอย่างนี้ น่าเป็นห่วงอย่างที่อาจารย์ว่าจริงๆ ค่ะ หรือจะเป็นเพราะในยุคนี้มุ่งแต่จะแสวงหาเคล็ดลับวิชากันอย่างเดียว จะมองหาผู้ที่เหลียวแลจริยธรรม ควบคู่กันไปด้วย ถึงมี แต่ก็น้อยเต็มที

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 22 กรกฎาคม พ.ศ.2549 07:56น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบ 18 คุณ หมวย..........ทำไมไม่ชอบถามทางอาจารย์ศุภกรหรือครับ ที่ผมว่าคุณจะได้งานภายใน 2 – 3 เดือนนี้นั้น คงจะหวังอะไรที่ดีนักยังไม่ได้ เพราะดวงคุณช่วงนี้ก็ยังมีปัญหาจ้างงานอย่างนี้แหละ อาจจะมีการเปลี่ยนได้อีก ช่วงหนึ่งปีจากนี้ ก็ยังดูลุ่มๆดอนๆอยู่ ถึงได้บอกคุณว่าแต่ถ้ามีปัญหาเรื่องเงินเดือนหน่อย หรือ ชื่อตำแหน่งไม่ค่อยสวย ก็น่าจะรับทำต่อไปก่อน ช่วงอายุ 2 – 3 ปีนี้ เงินรายได้จะยังไม่สมตัว สภาพการจ้างงานก็ยังไม่ดี ลองทำสักปีหนึ่งถึงจะได้โปรโมทก้าวหน้าขึ้น ดังนั้นองค์กรไหนตอนนี้ก็ยังไม่ดี แต่ถ้ายังเป็นลูกจ้างอยู่ก็มองหาสมัครพวกที่ทำเกี่ยวกับทัวร์ หรือ การท่องเที่ยว รีสอร์ท โรงแรม สายการบิน จะพอถูกกับคุณได้ ใหญ่ หรือ เล็กก็ช่างมันเถอะ ถ้าจะถามว่าเรียนมาถูกทางไหม ก็ถูกทางอยู่ แต่คำว่า “ถูกทาง” ไม่ได้แปลว่า ดีสมใจตามที่หวัง แต่เป็นเพียงถูกกับดวงชะตาแล้วพอสมควร คุณจะมีปัญหาอยู่ตลอดเหมือนกัน เพราะงานลูกจ้างแบบนี้หาที่ดีๆหายาก จะเล็กจะใหญ่ที่จริงไม่สำคัญเท่ากับเราอยู่ได้อย่างสบายใจ ถ้าจะทำเองแบบไม่ใหญ่โตนักจะดีกว่า แต่ดวงคุณก็ทำใหญ่ทีเดียวไม่ได้ เพราะปัญหาเรื่องเงินทุนและการบริหารจะทำไม่เป็นทำแล้วล้มง่าย ดวงมีโอกาสตั้งตัวทำเองแน่ครับ เป็นลูกจ้างไม่รุ่ง ช่วงนี้ก็ยังไม่เหมาะที่จะลงทุน หากปีหน้าจำเป็นจริงๆก็หาลู่ทางทำเองแล้วค่อยสะสมเงินทุนไปเลยจะดีกว่ามาก จะต้องทนต่อสู้อยู่สัก 3 ปี ถ้าไม่ฝันให้ใหญ่โต หรือวางแผนเกินตัว ภายใน 4- 5 ปีนี้ก็ตั้งหลักได้แล้ว


วรกุล - 22 กรกฎาคม พ.ศ.2549 15:31น. (IP: 203.107.202.243)

ความคิดเห็นที่ 25
ปรึกษาอาจารย์ วรกุลด้วยครับ

ไม่ทราบว่าในประเทศไทยนี้มีใครที่ศึกษาโหราศาสตร์style อาจารย์ พลูหลวงบ้างครับ ผมทราบหนึ่งคนเท่านั้นเองคืออาจารย์ เล็ก พลูโต ขอคำชี้แนะด้วยครับ


m - 27 กรกฎาคม พ.ศ.2549 21:36น. (IP: 58.10.149.198)

ความคิดเห็นที่ 26
ใครเคยอ่านนิยายอิงพงศวดารเรื่อง สามก๊ก บ้าง ฉบับที่นักเรียนสมัยก่อนโน้นต้องเรียน คือฉบับแปลของเจ้าพระยาพระคลัง(หน) จำได้ว่าต้นฉบับสามก๊กในภาษาจีน แต่งโดยอาจารย์ 3 ท่าน คือ เล่ากวนตง เหม่าจงกัง และ กิมเสี่ยถั่ง แต่จำไม่ได้แล้วว่าแต่ละท่านเชี่ยวชาญในทางใดบ้าง เนื้อหาในสามก๊กนั้นเกี่ยวข้องกับการสงครามระหว่างก๊ก จึงเกี่ยวพันกับวิชาพิไชยสงคราม รวมทั้งวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ ของจีน แม้เนื้อความในสามก๊กจะเป็นเรื่องแต่ง หรือ นิยายที่แทรกเข้าไปโดยอิงพงศาวดาร แต่ก็แสดงให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีจริงในสมัยโบราณหลายอย่าง ที่แม้ปัจจุบันก็ยังมีอยู่ สิ่งที่น่าศึกษาในนิยายสามก๊ก สำหรับพวกเรานักเรียนโหราศาสตร์ ก็หนีไม่พ้นโหราศาสตร์ และนรลักษณ์ และบางทีก็มีพิธีกรรมความเชื่อ แบบจีน ติดมาด้วย

ขงเบ้ง นั้นนับเป็นนักการทหารที่เชี่ยวชาญสรรพศาสตร์ ซึ่งรวมทั้งวิทยาการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตุนิยมวิทยา ดาราศาสตร์ ไสยศาสตร์ ศาสนา พิธีกรรม และ โหราศาสตร์แทบทุกแขนง ตั้งแต่ นรลักษณ์ หัตถศาสตร์ ฮวงจุ้ย ชัยภูมิ ไปจนถึง โชคลาง อุปกรณ์ที่ขงเบ้งใช้ทางโหราศาสตร์อย่างหนึ่งที่ปรากฏในนิยายบ่อยๆ คือใช้วิธีสังเกตดาวที่มีแสงโดยตรงบนท้องฟ้า ซึ่งการดูระบบนี้ ต้องอาศัยทักษะความชำนาญสูงมาก เพราะไม่ใช่วิธีดูดาวแบบธรรมดา เหมือนพวกเราที่เรียนดาราศาสตร์กันทั่วไป แต่จะต้องสื่อสารกับดาวได้ด้วย โดยใช้พิธีกรรม ที่น่าสังเกตก็คือ ผู้ที่ดูในระบบนี้มักจะมีอายุยืน เพราะมีความรู้สามารถรับธาตุจากดาวฤกษ์ได้

ฟังๆดูเหมือนนิยาย โหราศาสตร์ดาวฤกษ์ นั้น เป็นอีกระบบหนึ่งของธาตุซึ่งทางโหราศาสตร์ตะวันออกใช้ แต่ไม่แพร่หลาย เพราะเวลาสอนต้องอาศัยการดูดาวจริง ทั้งดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ส่วนมากต้องเรียนจบระบบธาตุอื่น เสียก่อน โดยเฉพาะการหมุนเวียนของธาตุในชัยภูมิต่างๆบนพื้นพิภพ ก่อนจะเรียนก็ต้องศึกษาฤกษ์ยามต่างๆ มีข้อต้องทำความเข้าใจ คำว่า “ดาวฤกษ์” กับ “ฤกษ์” ที่เราใช้อยู่ เพราะอาจจะสับสนกัน ฤกษ์ที่เราใช้นั้น แม้จะกำหนดตามหมู่ดาวที่มีแสงในตัวเองในจักรวาล เรียกว่า ฤกษ์ของจักรวาล ที่จัดเป็นกลุ่ม มีชื่อหมู่ดาว เช่น อัศวินี ภรณี เรวดี เป็นต้นนั้น ใช้ดูตามดวงจันทร์โคจรเข้า ไปในเขตของดาวฤกษ์ (ที่เรามักเรียกว่าหมู่ดาวฤกษ์ หรือ นักษัตรฤกษ์ หรือเรียกกันว่า “ฤกษ์บน”) เรียกว่า จันทร์เสวยฤกษ์ โหราศาสตร์ไทยมีฤกษ์เช่นนี้ 27 ฤกษ์ คือฤกษ์ที่ 1 ถึง 27 แต่ทางจีนมี 28 ฤกษ์ คือนับฤกษ์ที่ 0 ด้วย ในฤกษ์ทั้ง 27 ฤกษ์นี้ แบ่งออกเป็น 9 หมวด หมวดละ 3 ฤกษ์ เช่น มหัทธโน ภูมิปาโล โจโร เป็นต้น ภาษาโหรเรียกว่า “ฤกษ์ที่ประกอบด้วยฤกษ์บน” (หมายถึงเอาฤกษ์บนมาประกอบกัน) เรียกสั้นๆว่า “ฤกษ์ล่าง” นั้นเป็นฤกษ์ของจักรราศี ทั้งฤกษ์บนและฤกษ์ล่างนั้น อยู่ในวงแถบระวิมรรคที่พันรอบเส้นศูนย์สูตรของโลกนั่นเอง

แต่ดาวฤกษ์บนท้องฟ้านั้นมีอยู่อีกเป็นจำนวนมากมายนอกแถบระวิมรรคห่างออกไปจนถึงเขตขั้วโลกเหนือและใต้ ดาวฤกษ์อื่นจำนวนมากเหล่านี้ แม้จะมีการทำแผนที่เอาไว้ทางดาราศาสตร์ ก็ไม่มีใครไปจดจำหรือทำแผนที่ใช้ทางโหราศาสตร์ได้หมด แต่จะเลือกเอาดาวสุกสว่างจำนวนหนึ่งมาใช้เท่านั้น ดาวที่ใช้ทางโหราศาสตร์ดาวฤกษ์มักจะเป็นดาวสุกสว่างที่มีพลังงานธาตุสูง แต่ดาวฤกษ์นั้นไม่เคลื่อนที่ โหราศาสตร์ดาวฤกษ์ จึงใช้วิธีกำหนดท้องฟ้าเป็น เขต หรือ เรือนธาตุ แต่ละเขตจะหมายถึง ภพ ที่แทนความหมายของธรรมชาติ บนท้องฟ้า แต่การกำหนดภพเช่นนี้ไม่เหมือนการแบ่งเขตแบบเรือนในดวงชะตาที่เราแบ่งกัน เพราะเขตหรือเรือนธาตุนั้นเคลื่อนที่ได้เป็นวงจร ในขณะที่ดาวฤกษ์นั้นอยู่กับที่ เพียงแต่ดาวฤกษ์เองจะมีรัศมีดาวที่เคลื่อนที่ได้ รัศมีของดาวฤกษ์ไม่ใช่รัศมีของแสง แต่เป็นรอกของธาตุที่เปล่งออกมา ดังนั้น โหรจึงทำนายชะตาชีวิตจากดาวฤกษ์ จากการพิจารณารัศมีดาว และความสุกสว่าง หรือ ความเศร้าหมองที่เกิดขึ้นกับดาวสำคัญนั่นเอง โดยหลักการคร่าวๆก็มีแค่นี้ การกำหนดเขตดาวบนท้องฟ้าจะแปลความหมายได้เท่ากับชัยภูมิของธาตุที่ปรากฏในโลก ซึ่งมีกระแสธาตุไหลเวียนอยู่ในภูมิประเทศที่ตั้งของเมือง ดังนั้น เมื่อทราบความแข็งอ่อนของชะตาเมืองก็จะทราบความเป็นไป ตลอดจนชัยภูมิการรบพุ่งได้ดี ว่าขณะนี้กระแสธาตุของโลกในท้องถิ่นเป็นไปอย่างใด กองทัพควรเคลื่อนไหวในกระแสธาตุอย่างใดเพื่อให้ได้เปรียบ หรือ ได้รับชัยชนะ เคล็ดสำคัญ ก็คือการสังเกตดาว จากตำแหน่งในท้องถิ่น เพราะกระแสธาตุในธรณีและในบรรยากาศในขณะนั้น ตลอดจนเมฆหมอกลมฝน จะเป็นตัวปรุงแต่งธาตุที่ส่งมาจากดาวฤกษ์นั้น ที่เล่ามานี้ เป็นเพียงโหราศาสตร์ดาวฤกษ์วิชาหนึ่งเท่านั้น ยังมีวิชาอีกหลากหลาย ที่มีหลักการแตกต่างออกไป

ที่พวกเรามักได้ยินคำคำหนึ่ง ที่บังเอิญมีผู้นำมาใช้กันหลากหลาย ก็คือ คำว่า “ดาวประจำตัว” คำคำนี้อันที่จริงมาจากระบบโหราศาสตร์ดาวฤกษ์ แต่นักโหราศาสตร์บางท่านเอามาเรียกดาวในดวงชะตาที่มาจากระบบธาตุอื่น แม้ว่า ความหมายโดยเทียบเคียงจะคล้ายกัน แต่พอไปอ่านเห็น หนังสือของบางท่านอ้างดาวประจำตัวของขงเบ้งเป็นดาวพุธบ้าง พฤหัสบ้าง อ่านแล้วก็รู้สึกสับสน เพราะเป็นคนละเรื่อง ดาวประจำตัวของขงเบ้ง หรือคนทั่วไปนั้น คือดาวฤกษ์บนท้องฟ้าที่ไม่ได้อยู่ในหมู่ดาวนักษัตรต่างหาก การหาดาวประจำตัวนั้น ก็พอๆกับเราวางลัคนาของดวงชะตาในจักรราศีนั่นเอง แต่ต้องมีกรรมวิธีพิสูจน์เสียก่อนว่าเป็นดาวประจำตัวจริง เหมือนกับโหรไทยที่ต้องสอบลัคนา แต่โดยปกติคนทั่วไป มักจะใช้ดาวตามธาตุ ซึ่งเป็นดาวรวมๆ เพราะ ไม่มีใครมาช่วยหาดาวประจำตัวให้ ซึ่งการหาดาวประจำตัวมาได้จะทำให้พยากรณ์เหตุการณ์ได้แม่นกว่า ดังนั้น ขงเบ้งจึงต้องดูดาวประจำตัวของตนเอง และเพื่อนพ้อง คนสำคัญ ทุกวัน เพื่อให้ทราบความเป็นไป ถึงขนาดทราบว่า ขณะนี้คนผู้นั้นกำลังพักผ่อน จิบน้ำชา หรือ กำลังมีจิตใจเป็นอย่างใด ทำให้ดูเหมือนมีผีบอก หรือ มีญาณวิเศษ อะไรแบบนั้น ด้วยเหตุที่รู้ว่าวิธีหามันยุ่งยาก ดังนั้น เวลาใครมาโฆษณาว่ามีบริการหาดาวประจำตัวให้ แล้วคิดค่าบริการ จึงไม่อยากเชื่อว่าทำจริง ถ้าหากว่าดูจากดวงชะตาซึ่งผูกดวงมาจากจักรราศีก็ไม่ใช่ดาวประจำตัวที่เป็นดาวฤกษ์ ส่วนโหรที่อ้างว่าให้บริการทำนายจากดาวประจำตัวได้ ก็ไม่อยากจะวิจารณ์ เพราะหากหาให้ได้ ก็คงทำนายได้(มั้ง)

ดาวประจำตัวนั้น ดีสำหรับการทำนายถ้าใช้เป็น เพราะเป็นดาวที่มีวัฏจักรช่วงชีวิต หรือ ช่วงวงจรชีวิตตรงกับตัวเราแต่ละคน แต่ก็ต้องไปเทียบมาจากธาตุในดวงชะตาเหมือนกัน แล้วก็เอามาตรวจสอบบนท้องฟ้า ดังนั้น หากเราต้องการทราบวิถีชีวิตความเป็นไปของใครสักคน ก็ตรวจได้จากดาวประจำตัวของผู้นั้นบนท้องฟ้านั่นเอง มีดาวฤกษ์บางดวงที่สุกสว่างจะถือเป็นดาวสำคัญ เรียกว่า ดาวยศศักดิ์ เช่น ดาวเง็กเซียนฮ่องเต้ ดาวพรหมท้ายเสียงเล่ากุน ดาวสวรรค์ ดาวกษัตริย์ ดาวเพชฌฆาต ดาวทหาร ดาวธาตุ ดาวสระใหญ่ ดาวสระเล็ก ดาวในหมู่นักษัตรด้วย หรือ แม้แต่ดาวตก ผีพุ่งใต้ และดาวหาง หากกระพริบในจังหวะที่พร้อมกับดาวประจำตัวของเรา หรือมีเมฆหมอกลอยเข้าปะทะ บดบังดาวประจำตัวเราจนอาจจะไม่เห็นแสง หรือ แสงกลายเป็นสีต่างๆ ก็อาจจะทำนายถึงวาสนา หรือ เหตุการณ์เฉพาะหน้าที่เกิดกับเราได้ ถ้าตรวจดูจากลายมือ หรือ ธาตุในร่างกาย (จับชีพจร) ก็ควรจะตรงกัน เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ขงเบ้งรู้ว่า แม่ทัพ หรือ เพื่อนพ้องคนใดที่กำลังจนมุมข้าศึก ต้องส่งคนไปช่วยโดยด่วน โดยที่ยังไม่ต้องรอม้าเร็วส่งข่าวที่ยังมาไม่ถึง เมื่อขงเบ้งรู้ตัวว่าจะตายเมื่อไร จึงทำพิธีต่ออายุแล้วพิธีล้มเหลว ก็ดูจากดาวประจำตัวเช่นกัน

บางคนอาจจะสงสัยว่า หากพวกเรามีดาวประจำตัวคนละดวง ดาวฤกษ์บนท้องฟ้าจะมีจำนวนพอใช้หรือ อันที่จริง ดาวประจำตัวของแต่ละคน ส่วนมากจะถือเอาดาวที่อยู่ในเขตเรือนขณะที่เราเกิด คล้ายกับดาวเจ้าเรือน หรือ ดาวกุมลัคนาในราศีจักรนั่นเอง ดังนั้น ดาวประจำตัวจึงเป็นดาวที่ใช้ร่วมกันได้ และยังใช้ดูร่วมกับดวงชะตาในราศีจักร กับ นักษัตรอีกด้วย คล้ายกับที่เรานำเอาทักษามาใช้ในดวงชะตานั่นเอง ดังนั้น วิถีชิวิตคำทำนายจึงไม่ซ้ำกัน ดาวประจำตัวที่ใช้กัน ดูจากแสงสว่างที่แปรผันตามกระแสธาตุดาวแล้ว ดูเหมือนจะมีใช้จริงอยู่เพียง ไม่เกิน 50 ดวง และยังมีดาวบริวารที่กำหนดขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง ในส่วนของไสยศาสตร์โชคลางก็จะดูรูปแบบของเมฆ ด้วย เพราะหากเมฆที่เป็นคล้ายรูปอาวุธ คล้ายโลงศพ คล้ายปลา คล้ายเสือ คล้ายม้า อะไรเหล่านี้ เมื่อลอยเข้าหา หรือ ผ่านเข้าบดบังดาวประจำตัว ก็จะอ่านได้เป็นลางบอกเหตุได้ทั้งทางดี หรือร้ายได้ทั้งนั้น เวลามี ดาวตก และดาวหางปรากฏขึ้น พวกเรามักจะถามกันว่า มีผลทางโหราศาสตร์หรือไม่ คำตอบก็คือ มี แต่เป็นโหราศาสตร์ในระบบดาวฤกษ์ ไม่ใช่โหราศาสตร์ดวงชะตาในจักรราศีที่เราใช้กันอยู่

บางตำราในเมืองไทยที่ว่าหาดาวประจำตัวได้นั้น มักใช้วิธีดูดวงชะตาในราศีจักรนี่เอง เขามักจะสอนว่า ให้ดูดาวที่เป็นเกษตร หรือ อยู่ห่างไกลเป็นอิสระไม่สัมพันธ์กับดาวอื่น หรือสัมพันธ์น้อย เรียกว่าดาวบริสุทธิ์ ถือเป็นดาวประจำตัว หรือ บางท่านก็สอนว่า คือดาวตนุลัคน์ ตนุเศษ หรือ บางตำราก็ถือเอาดาวเคราะห์ประจำนวางค์หรือฤกษ์ ที่ลัคนาเกาะ อะไรแบบนั้น เหล่านี้ ไม่ใช่ดาวประจำตัวใน โหราศาสตร์ดาวฤกษ์ แต่อาจจะเป็นดาวที่แสดงผลเป็นตัวตนของเจ้าชะตาได้

วิชาโหราศาสตร์ไทยเองก็มีวิชาดูดาวจริงมาประกอบดวงชะตา แต่อธิบายยากกว่า ปัจจุบันแม้จะมีบางสำนักสอนอยู่ก็น้อย เพราะการดูดาวจริงเดิมดูด้วยตาเปล่า ซึ่งปัจจุบันมีแสงรบกวนในท้องฟ้ามาก ทำให้ดูได้ยาก การดูดาวจริงนั้น ต้องชำนาญในการดูมุมดาว และแนวทางโคจร เนื่องจากดาวมีการปัดเหนือ และใต้ไปจากระวิมรรค ดังนั้น การดูดาวจริงจึงให้ข้อมูลทางธาตุที่เกิดจากการกลั่นกรองธาตุอาทิตย์ได้ดี พวกโหรระบบเก่าๆ จะใช้การดูดาวจริงมาก เพราะต้องผสมธาตุและอ่านมุมจากดาวในการตรวจสอบฤกษ์ยาม เช่น การวางฤกษ์ แม้จะกำหนดยามเวลาของฤกษ์ไปแล้ว ก็ต้องดูท้องฟ้าและดาวจริงในวันก่อนถึงวันฤกษ์ หากไม่เห็นการแปรของแสงดาวในเขตฤกษ์ไปตามที่ควรจะเป็น ก็อาจจะยกเว้น ไม่ทำในเวลาฤกษ์ดังกล่าวก็ได้

นอกจากนั้น การดูดาวจริง ก็ยังใช้เป็นสัญญาณของฤกษ์ แม้ในเวลากลางวัน เช่น เมื่อเห็นดาว หรือ แสงดาวตามฤกษ์หรือ ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นตามเวลา ก็ใช้เวลาขณะนั้นเป็นสัญญาณฤกษ์ เราจะเห็นว่า ในพงศาวดาร หรือ ตำราเก่าๆจะใช้สัญญาณฤกษ์เช่นนี้บ่อย เช่นในเวลาเคลื่อนทัพ ประกอบพิธีกรรม หรือ วางดวงเมือง ไม่ได้ใช้นาฬิกา เพราะนาฬิกาที่วัดเวลานั้น อันที่จริงก็คือการคำนวณตำแหน่งดาวออกมาเป็นเวลาที่จับด้วยนาฬิกา หากดูตำแหน่งดาวจริงแล้วนาฬิกาจึงไม่ใช่สิ่งสำคัญ เรื่องการกำหนดเวลานาฬิกาก็เป็นเพียงให้โหรเตรียมการเท่านั้น โหรจึงใช้ตำแหน่งดาวจริงและเครื่องวัดมุมจะดีกว่า ในเวลากลางวันก็จะวัดมุมดวงอาทิตย์เป็นหลักใหญ่ ดังนั้น ดวงฤกษ์บางดวงที่ระบุว่ากำหนดเวลา กี่ ทุ่ม กี่บาท นั้น จึงเป็นเพียงตัวอักษร เพราะการปฏิบัติจริงคือใช้ มุมและตำแหน่งดาว หรือ แสงดาว ไม่ใช่นาฬิกา นอกจากนั้น เคล็ดการทำนายโหราศาสตร์หลายอย่างก็อยู่บนท้องฟ้า เหมือนโหราศาสตร์ดาวฤกษ์ นั่นเอง


วรกุล - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 04:48น. (IP: 203.107.193.116)

ความคิดเห็นที่ 27
ตอบ 25 คุณ m..........คุณคงตั้งคำถามไม่ถูก เพราะคนที่ศึกษาโหราศาสตร์แบบท่านพลูหลวง (ประยูร อุลุชาฏะ) มีมากมาย คุณจะถามหาคนสอนก็พอมี คุณเล็กพลูโต คงไม่ได้สอนอยู่เมืองไทย มีอีกหลายแห่งที่สอน แต่ไม่กล้าบอกเพราะมีชื่อเสียงในทางไม่น่าไว้ใจ บางอาจารย์ท่านก็พยากรณ์ อาจจะมีสอนบ้างกลุ่มเล็ก ลองทบทวนคำถามใหม่ว่าอยากรู้อะไรครับ


วรกุล - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:03น. (IP: 203.107.193.116)

ความคิดเห็นที่ 28
เรียน อ.วรกุล

เนื้อคู่คืออะไรค่ะ ทำไมแต่ละคนต้องถามด้วยว่าจะพบเจอเนื้อคู่เมื่อไร ดิฉันอยากทราบว่าคนเราต้องมีเนื้อคู่ทุกคนหรือเปล่า ถ้าสมมติว่าคนเราต้องมีเนื้อคู่ทุกคน แล้วทำไมถึงมีพวก ตุ๊ด ทอม เกย์ ดี้ พวกนี้ไม่มีเนื้อคู่หรือค่ะ


หงส์ - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 09:41น. (IP: 124.121.159.239)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียน อ.วรกุล

เนื่องจากสติปัญญาของผมค่อนข้างจำกัด ขอเรียนถามแบบซื่อๆกับอาจารย์ได้ไหมครับว่า การเรียนโหราศาสตร์ไทยเพื่อความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง เราควรจะเริ่มจากหลักวิชาใดเป็นพื้นฐาน และหลักวิชาใด้ป็นขั้นกลาง ขั้นสูงต่อไป คือ ผมสนใจที่จะศึกษาให้ลึกซึ้ง แต่เกรงว่าหลักวิชาต่างๆจะตีกันเอง อยากเรียนแบบที่เป็นขั้นเป็นตอน ใช้เวลามากหน่อยไม่เป็นไรครับ

รบกวนอาจารย์กรุณาแนะนำหนังสือที่จะเป็นประโยชน์ตามแนวทางดังกล่าวเพื่อเป็นวิทยาทานจะเป็นพระคุณยิ่งครับ เนื่องจากผมพยายามอ่านและศึกษาจากกระทู้ต่างๆของท่านอาจารย์ แต่ปรากฏว่า ผมไม่สามารถจับ "แก่น" หรือ จับหลักการได้ทั้งหมดเนื่องเพราะระดับสติปัญญาผม ขอบคุณล่วงหน้าครับ


bcc - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 15:19น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 30
เรียน อ.วรกุล

ดิฉันอยากขอความกรุณาอาจารย์ เรียนถามเรื่องการดูดวงชะตา เพราะก่อนหน้านี้ประสบมากับตัวเอง คือ ดิฉันได้เลิกกับแฟนที่เคยวางแผนว่าจะแต่งงานกัน หลังจากคบกันมานานประมาณ 8-9 ปี ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่เขายกขึ้นมาอ้าง คือ บอกว่าไปดูดวงมา แล้วหมอดูทำนายว่าดวงของดิฉันไม่ได้เป็นเนื้อคู่ หรือคู่ครองของเขา และดิฉันเป็นคนที่มีวาสนาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับวาสนาของเขาแล้วถือว่าเป็นคนละชั้นกันไม่คู่ควรที่จะมาอยู่ด้วยกัน เพราะจะดึงเขาให้ตกต่ำ ไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น

ดิฉันเกิดวันที่ 19 พฤศจิกายน 2518 เวลาประมาณ 07.303-08.00 น. ส่วนเขาเกิด วันที่ 10 มกราคม 2518 ไม่ทราบเวลาเกิดที่แน่นอน ทราบแต่ว่าเกิดช่วงกลางดึกพอรุ่งเช้าจะเป็นวันที่ 11 มกราคม

ดิฉันทราบดีค่ะว่าการอ้างดวงชะตาเป็นเพียงข้ออ้างหนึ่งเท่านั้น แต่ก็อยากทราบความกระจ่างจากอาจารย์วรกุลค่ะ ว่าปกติแล้วผู้พยากรณ์ดวงชะตาจะใช้อะไรเป็นเกณฑ์วัดว่าใครวาสนาดีกว่ากันค่ะ


ทานตะวัน - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 17:48น. (IP: 203.157.14.245)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียนอ.วรกุลครับ

ผมสนใจแนวทางของอ.พลูหลวง และอยากจะทราบด้วยว่ามีใครสอนในแนวทางของอ.พลูหลวงบ้าง หรือ มีคนที่เชี่ยวชาญในแนวทางนี้ที่พอจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้บ้าง เพราะผมนั้นมีโอกาสได้สัมผัสกับแนวคิดของอาจารย์พลูหลวงทางตำราเท่านั้น ยังไม่เคยมีโอกาสที่จะได้รับคำแนะนำแบบเกษตรเรือนเดียวหรือความคิดเห็นด้วยการบอกเล่าจากคนที่ศึกษาลงไปลึกๆแล้วเลย ด้วยความที่ชอบโหราศาสตร์และอ่านกระทู้ของอาจารย์เป็นประจำจึงทราบว่าอาจารย์ค่อนข้างกว้างขวางในวงการนี้จึงอยากจะขอคำแนะนำจากอาจารย์ว่ามีนักโหราศาสตร์คนไหนหรือกลุ่มไหนที่ใช้แนวทางนี้บ้างเผื่อจะดั้นด้นไปคุยหรือเรียนด้วยน่ะครับ

ด้วยความเคารพ


m - 28 กรกฎาคม พ.ศ.2549 23:27น. (IP: 58.10.149.132)

ความคิดเห็นที่ 32
ตอบ 28 คุณ หงส์...........วันนี้ดีจริง มีคนฉลาดมาถามปัญหา 2 ราย ปัญหาเรื่องคู่ที่คุณถามบางคำถามเคยเขียนไปในกระทู้ที่ 5 ความเห็นที่ 10 และ กระทู้ที่ 7 ความเห็นที่ 6 ลองอ่านดูด้วยนะครับ ผมจะได้ตอบสั้นๆได้

เนื้อคู่คืออะไรคะ ทำไมแต่ละคนต้องถามด้วยว่าจะพบเจอเนื้อคู่เมื่อไร ตอบอย่างเป็นทางการก็คือ เนื้อคู่ก็คือส่วนหนึ่งของตัวเราในธรรมชาติที่ขาดหายไป ปกติธรรมชาติจะสร้างสรรค์สิ่งหนึ่งเรียกว่า ชีวิต แต่ถูกแบ่งแยกฉีกออกเป็นสองส่วน เหมือน ขั้วบวกกับขั้วลบ ส่วนหนึ่งปรุงร่างกายออกมาเป็นตัวเรา ธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งก็คือ คู่ของเรา ที่มันพเนจรหายไปไหนก็ไม่รู้ อาจจะมาเกิดไม่พร้อมกันก็ได้ หากธรรมชาติแต่ละส่วนมันอยู่โดดเดี่ยว ก็จะไม่สมดุลย์ เพราะธาตุภายในมันจะเรียกร้องหาขั้วธาตุที่มันถูกแยกออกไป แรงดึงดูดที่ว่านี้แหละผลักดันจิตใจให้ต้องเรียกหาคู่ แต่ละคนก็เลยต้องต้องถามว่าจะพบเจอเนื้อคู่เมื่อไร คู่แต่ละส่วนมันต่างจะมีสัญชาติญาณอยู่ภายใน แสวงหากันเหมือนมีเรด้าห์ เวลาพบคู่แล้ว มันก็เหมือนจะรู้ๆว่านี่แหละคู่ของมัน หากเป็นสัตว์ มันก็จะพยายามเข้าร่วมรวมกันให้กลับกลายเป็นหนึ่งดังเดิม แต่ก็ทำได้เพียงเท่าที่กายกำเนิดของมันสร้างมาให้เท่านั้น มนุษย์เรานอกจากจะมีสัญชาติญาณแล้ว เรายังมีกรรมเวรมาทำให้ซับซ้อนไปกว่าเดิมด้วย คนเราต้องมีเนื้อคู่ทุกคนครับ แต่ไม่จำเป็นต้องเข้ารวมกับคู่ของทุกคนจนเป็นหนึ่ง คือ ยังสามารถฝืนอยู่เป็นส่วนเดียวได้ หรือ ไปหาคู่คล้าย เอามาใช้แทนก็ได้ คู่เทียมที่ไม่ใช่คู่แท้ ก็เป็นคู่ชนิดหนึ่งนะครับ

ถ้าสมมติว่าคนเราต้องมีเนื้อคู่ทุกคน แล้วทำไมถึงมีพวก ตุ๊ด ทอม เกย์ ดี้ พวกนี้ไม่มีเนื้อคู่หรือคะ คำตอบจากย่อหน้าที่แล้วคือทุกคนมีคู่ ไม่มียกเว้น แต่เพราะเหตุที่ผลกรรมทำให้จิตใจคนวิปริตไปได้ หรือ ข่มใจก็ได้ เราจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมกับคู่ก็ได้ คุณเคยเห็นสัตว์เป็นตุ๊ด ทอม เกย์ ดี้ หรือเปล่าล่ะ มีน้อยมาก เพราะคนนั่นเองมีระบบจิตใจที่ซับซ้อนที่สุดในสัตว์ทั้งหลาย คุณทำไมไม่สงสัยว่ามีพระสงฆ์ นักบวชทั้งหญิงชาย จำนวนนับล้าน ไม่มีคู่บ้างเลยหรือ ตามกฎธรรมชาติแล้วมีครับ แต่ท่านข่มเอาไว้ได้ หรือ มองเห็นเป็นธรรมดาของชีวิต มีพระอรหันต์ที่สำเร็จธรรมบางรูป ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังก็มีว่า วันหนึ่งท่านก็เคยพบเนื้อคู่ท่านมาหาโดยธรรมชาติ แต่เพราะจิตที่ฝึกดีแล้ว ท่านจึงรู้ทันทีว่านี่แหละคือคู่ของท่าน บางคนจึงยังเป็นโยมแวะเวียนมาอยู่ใกล้ๆก็มีเพราะแรงดึงดูดตามธรรมชาติ ตุ๊ด ทอม เกย์ ดี้ เขามีดวงชะตาที่ผิดขั้วครับ คือ ตัวเขาแทนที่จะเป็นขั้วบวก คู่เป็นขั้วลบ ดึงดูดกัน แต่เขาเองกลายเป็นขั้วลบเหมือนคู่ของตัวเอง แต่การดึงดูดระหว่างธาตุยังมีอยู่ ทำให้จิตใจลึกๆของเขาทรมานไม่สบายตลอดเวลา พวกเราที่ไม่ได้เป็นตุ๊ด ทอม เกย์ ดี้ บางคน ขั้วถูก แต่ธาตุผิดก็มี เลยกลายเป็นไบเซ็กช่วลไป หรือไม่ก็มีเซ็กส์วิปริต โดยที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 29 คุณ bcc..........วันนี้ดีจริง มีคนฉลาดมาถามปัญหา 2 ราย สติปัญญาของคุณไม่ผิดปกติหรอกครับ โหราศาสตร์เป็นเรื่องยาก ไม่หมู อย่างที่ใครบางคนคิด เพราะนี่เป็นวิชาที่เรียนรู้ชีวิตและธรรมชาติ มีวิชาอยู่หลายอย่างที่หาเรียนแนวทางดีๆได้ยากมาก เช่น การปฏิบัติธรรม วิชาโหราศาสตร์ วิชาไสยศาสตร์ วิชาพวกนี้ หากไม่มีครูผู้สอนที่รู้จักคุณดีแล้ว โอกาสที่พัฒนาให้คุณรู้ลึกซึ้งจะทำได้ยาก พูดง่ายๆก็คือ ต้องมีครูที่ดี ครูที่สอนกันอยู่ส่วนมากหาคนเข้าใจลูกศิษย์ยาก และก็ครูเองก็ได้รับการถ่ายทอดมาไม่เพียงพอ หากเรียนโดยมีครูสอนดีๆ เราก็สามารถไปได้ไกลมาก แต่ตรงกันข้ามหากได้ครูไม่ดี จะทำให้เราเดินผิดทางได้ ตรงนี้แหละที่แก้ยาก หากไม่มีครูดี เรียนเองเสียยังดีกว่า แต่ข้อเสียอีกข้อหนึ่งก็คือ ไม่มีตำราที่ดี นี่ก็แย่

โหราศาสตร์ไทยที่เราต้องเรียนมีเพียงสองส่วนเท่านั้น ส่วนหนึ่งเรียนเพื่อให้รู้ที่ถูก กับอีกส่วนหนึ่ง เรียนเพื่อให้รู้ที่ผิด เพราะตำราโหราศาสตร์ที่เรามีกันอยู่มีทั้งสองส่วนนี้ปนกันอยู่ แถมยังมีวิชาปลอมอีกส่วนหนึ่งแทรกเข้ามาด้วย พูดแค่นี้ก็ยังพูดแทบไม่ได้ เพราะจะมีปัญหามาก พอรู้แล้วก็จะเข้าใจอะไรมากขึ้นเยอะ ว่าอะไรจริงอะไรปลอม เรื่องบางอย่างปลอมมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายายเลยก็มี แต่คนที่เรียนวิชานี้จริงๆ พื้นนิสัยจะเป็นคนชอบคิด มากกว่าชอบความขัดแย้ง จึงมักจะปล่อยไปตามยถากรรม มนุษย์เรามีอีโก้สูงมาก และพวกมีอีโก้สูงๆจะมาเรียนวิชาพวกนี้แหละ ทำให้แก้ไขอะไรยาก หากเราจำเป็นต้องเรียนเอง เราต้องเป็นคนที่มีความฉลาดสูง ฉลาดอย่างซื่อๆด้วย ไม่ใช่ฉลาดแกมโกง

เหตุที่เราต้องฉลาดก็เพราะเราต้องแยกแยะสิ่งที่ ผิด และ ถูก ให้ออก เมื่อเรียนรู้สิ่งที่ถูกได้แล้ว เรายังต้องแยกไปเป็นสองส่วนอีก คือ สิ่งที่เรียนเพื่อรู้ กับ สิ่งที่เรียนเพื่อใช้ เราควรเรียนทั้งสองส่วน เพียงแต่ส่วนที่เรียนเพื่อรู้นั้น ให้เอาเก็บไว้เพื่อให้เหลือสิ่งที่นำมาใช้นั้นมีประสิทธิภาพมากที่สุด เราควรศึกษาทุกอย่าง ทุกตำราทุกเล่ม เพื่อให้รู้ว่าอันผิดถูก อันใดถูก เมื่อถูกแล้วให้เลือกออกมาเป็นสิ่งที่ใช้ ถึงขั้นนี้ เราต้องมีวัตถุประสงค์ในใจ คือเราจะเรียนเพื่ออะไร โบราณสอนให้เรียนเพื่อให้รู้จักชีวิตและธรรมชาติ หากตั้งเข็มเช่นนี้แล้ว เราจะได้ความรู้ที่ลึกมาก มีความรู้มากที่สุดรองรับอยู่ตลอดสาย เมื่อเราไม่ได้เรียนไปเพื่อการอื่น เช่น เพื่อพยากรณ์ เพื่ออวดตัวตน เพื่อแข่งขันเอาเด่น หรือ เพื่อเงิน อะไรเหล่านี้ เราก็จะตกไปอยู่ในมุมมองของวิชาที่ผู้รู้ช่วยกันสร้างมาด้วยวัตถุประสงค์เดียวกัน และเข้าใจเรื่องได้ทั้งหมด

ถ้าจะเรียนโหราศาสตร์ไทย ผมแนะนำว่า 1) ควรอ่านโหราศาสตร์ทุกระบบก่อน (ไทย จีน ฝรั่ง ภารตะ) อ่านในห้องสมุดนี่แหละ อ่านตะลุยให้หมด ปิดหนังสือ แล้วนึกให้ได้ว่า มันบอกอะไรเราบ้าง หนังสือของหลักใดบอกเหตุผลแก่เรา ให้ติดตามดู 2) เลือกอ่านแต่เล่มที่มีเหตุผลซ้ำอีก ลองดูว่า มีหนังสือที่อ่านได้ต่อเนื่องมากไหม หากไม่มี หรือ มีแค่เล่มเดียว ก็ต้องกาแนวทางนั้นทิ้งไปก่อน เพราะเราไม่มีวิชาที่เรียนต่อ 3) เลือกแนวทางที่พอมีเหตุผล มาลิสต์ไว้ ลองซื้อหนังสือ หรือทำสำเนาตามแนวทางนั้นมาเป็นหลัก ซื้อให้มากที่สุด เท่าที่พอจะมีเงินซื้อ จะทยอยซื้อก็ได้ ขอให้มีตัวอย่างมากๆ แล้วพิสูจน์หลักกับดวงตัวอย่างจริง ของบุคคลสำคัญ หรือใครก็ได้ หลักใดใช้ได้ให้ทดสอบซ้ำ หลักใดใช้ไม่ได้ อย่าเพิ่งทิ้ง เก็บไว้ในสมุดที่เขียนว่า “ยังไม่รู้” สักวันหนึ่งอาจจะรู้ อ่านมาก ฟังมาก คิดมาก ทดสอบให้มาก

เพื่อย่นเวลาให้คุณ 1) คุณควรอ่านหนังสือของอาจารย์ อรุณ ลำเพ็ญ ก่อน อ่านระบบเรือนชะตาสักหลายๆเที่ยว แล้วทิ้งไว้ ยังไม่จำเป็นต้องเข้าใจ หรือ เอามาใช้ทุกอย่าง แต่หากคุณไปเรียนที่มีครูสอนจะดีกว่า 2 ) คุณควรอ่านหนังสือของอาจารย์เทพย์ สาริกบุตร จะได้รู้องค์ประกอบเกือบทั้งหมดที่กล่าวไว้ในโหราศาสตร์ไทย แต่เป็นการเรียนเพื่อรู้ บางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องใช้ เพียงขอให้รู้จักเอาไว้ 3) แล้วค่อยไปอ่านหนังสือเล่มอื่นๆเท่าที่มี เพื่อขยายความคิดออกมา 4) จดบันทึกเรื่องส่วนตัวของเราทุกวันอย่างละเอียดพอสมควร มีเหตุการณ์อะไรให้จดเวลาที่เกิดเหตุการณ์เอาไว้ด้วยพร้อมความรู้สึกที่แรงๆ หากทำประวัติของตัวเราเองได้ก็ทำเอาไว้ให้ละเอียด เราต้องใช้พิสูจน์ดวงชะตาของเราเป็นดวงครูตลอดเวลา ว่าคำสอนไหนเราใช้ได้ผล อย่างน้อยก็ในดวงของเราเอง 5 ) หาสมุดจดมาบันทึกความคิดโหราศาสตร์ เหมือนเขียนเล่าให้ใครฟัง บอกตัวเองว่าคิดอย่างไร ที่พบปัญหาแต่ละอย่าง มีคำตอบที่เป็นไปได้อย่างไร มีใครตอบปัญหานี้ไว้แล้วบ้าง จดคำตอบนั้นเอาไว้ เทียบกับคำตอบของคนอื่นว่า ตรงกันไหม ใครมีเหตุผลอย่างไร คุณต้องจดเช่นนี้หลายสิบปีหรือตลอดชีวิต อย่าเพิ่งเบื่อ 6) จับความรู้ทุกอย่างอย่างจับโทรศัพท์มือถือ ไม่จับแน่นจนเกร็ง แต่ก็ไม่จับหลวมจนหล่น(หาย)

หากเรามีครูสอนดีๆ เราจะเลือกแนวทางเดียวกับครูก็ได้ แต่หากหาครูไม่ได้ ผมแนะนำให้คุณเรียนดวงชะตาแบบไม่มีองศา ที่เรียกกันว่าดวงอีแป่ะ ไม่ใช้นวางค์ ตรียางค์ (ไม่ใช้นะ ไม่ใช่ไม่รู้) แม้ทุกแนวทางควรจะต้องมีผู้สอน เพื่อให้ย่นเวลาที่เราจะเรียนรู้ แต่ในเมื่อเราไม่มีครู การเรียนรู้ดวงอีแป่ะ เราจะช่วยตัวเองได้มากที่สุด ที่ผมแนะนำมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้มีขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย คุณต้องทำย้อนไปย้อนมา จนกว่าคุณจะชำนาญ


วรกุล - 29 กรกฎาคม พ.ศ.2549 07:40น. (IP: 203.107.200.53)

ความคิดเห็นที่ 33
ขอบคุณมากค่ะ

จะพยายามไปอ่านกระทู้เก่าๆให้หมดเลย


หงส์ - 29 กรกฎาคม พ.ศ.2549 19:59น. (IP: 124.121.164.94)

ความคิดเห็นที่ 34
ตอบ 30 คุณ ทานตะวัน...........ผมเคยบอกไว้ในกระทู้แล้วว่า ในเมืองไทยเรา มักจะมีหมอดูเฮงซวยชอบทำนายทายทักว่า ดวงคนนั้น คนนี้มีลูกเมีย สามีเป็นพินทุบาทว์บ้าง เป็นกาลกิณีบ้าง ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด อย่างที่คุณเล่าว่าแฟนคุณอ้าง หมอดูทำนายว่าดวงของดิฉันไม่ได้เป็นเนื้อคู่ หรือคู่ครองของเขา และดิฉันเป็นคนที่มีวาสนาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับวาสนาของเขาแล้วถือว่าเป็นคนละชั้นกันไม่คู่ควรที่จะมาอยู่ด้วยกัน เพราะจะดึงเขาให้ตกต่ำ ไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น คำพูดแบบนี้ ถ้าจะให้เดาก็เป็นพวกหมอดูที่ไม่มีความรู้ ต้นตอของคำพูดและความคิดนี้มาจากวัฒนธรรมชาวบ้านและคนไร้การศึกษาในจีน ที่ส่วนใหญ่จะยึดพวกตำราแบบพรหมชาติ แปลความนักษัตรปีเกิด เวลาเกิดอะไรแบบนั้นที่ ขัดกัน หรือ “ชง” กันบ้าง ไปด้วยกันไม่ได้บ้าง ทำให้อายุสั้นบ้าง ไม่เจริญบ้าง แต่เกือบทั้งหมดมักจะมองจากมุมตัวเองว่าเป็นผู้ที่ “ดีอยู่แล้ว” อีกฝ่ายหนึ่งคือ ผู้ที่ถูกเลือก ดังนั้น จึงพยายามเลือกสิ่งที่ดีต่อตัวเอง โดยไม่นึกว่าตัวเองจะเลว เมื่อมองจากผู้อื่นเช่นกัน เป็นมุมมองที่เห็นแก่ตัว

มุมมองแบบนี้ ประกอบกับไม่มีความรู้ จึงทำให้เกิดปัญหาสังคมมากมายที่หมอดูสร้างขึ้น บางคนที่รู้จักมา พอรู้ว่ามีลูกเป็นกาลกิณี ก็ไม่ให้เรียนหนังสือเลย บางทีก็เอาไปโยนทิ้งให้ตายเสียตั้งแต่ยังเล็กๆ หรือไม่ก็ขายทิ้งไป เพราะเกรงตัวเองจะ “ไม่เจริญ” วัฒนธรรมแบบนี้แหละ แม้คนไทยที่ด้อยปัญญาบางคนก็เชื่อตามไปด้วย ที่เชื่อนั้น เขาเชื่อหมอดู หรือ พระ (ก็มีด้วย) เพียงได้ยินคนเขลาบางคนเขาเล่ามา ก็เชื่อกันแบบมงคลตื่นข่าว และหมอดูบางคนก็ท่องตำราเป็นสรณะ ไม่ได้รู้วิชาอะไรเลย เพราะมีตำราของอาจารย์ที่คนนับถือแต่งเอาไว้อย่างมั่วซั่ว และยังมีคนเชื่อถืออยู่มาก แม้กระทั่งการเปลี่ยนชื่อแก้ดวงชะตาอะไรในบ้านเรา หรือ วางฤกษ์ผ่าตัดเอาลูกออก ประเทศล้าหลังอย่างเอธิโอเปียหรือ อูกานดา เขาได้ยินเข้าก็คงจะหัวเราะงอหาย เมืองไทยเรานี่แปลกแท้ๆ อะไรที่เป็นความเจริญมักจะแก้ให้เสื่อม อะไรที่เป็นความเสื่อมมักแก้ให้เจริญ ความเพี้ยนนี้มีอยู่ในคนทุกระดับในบ้านเมืองเรา

ดวงแฟนคุณไม่ได้บอกเวลาและข้อมูลมา เลยไป search ข้อมูลดูในกระทู้อาจารย์ศุภกร มีจุดไม่ดีเรื่องคู่ แต่ถ้าหมอดูทั่วไปเอาไปเทียบมาจากดวงคุณ ซึ่งรู้เวลา ก็จะมีจุดที่ไม่ดีเหมือนกัน ความไม่ดีเท่าที่อ่านดูจากดวงทั้งสองนั้น ก็คือเข้ากันไม่ได้ จะเกิดความเข้าใจผิดพูดกันไม่รู้เรื่องจนวิบัติ ดวงเขาจะตกต่ำเพราะนิสัยของเขานั่นแหละ ไม่ได้เกี่ยวกับคู่ทำให้เป็น แต่เพราะนิสัยอย่างนี้ ถึงคบกันไปก็จะบ้านแตกได้ คือตัวเขาจะทำให้ครอบครัว คู่แฟนแตกแยกไปสักวันหนึ่ง ตรงตามที่คุณเป็นอยู่นี่แหละ และถ้ายังไปเชื่อหมอดูเข้าอีก ข้อเสียนี้ก็จะสมจริง คือ บ้านแตก สมดังคำหมอดู

วาสนาของใครคนหนึ่ง คนอีกคนหนึ่งมีส่วนร่วมด้วยจริงครับ แต่เมื่อใดที่เป็นจริง นั่นแปลว่า ถึงอีกคนไม่มีส่วนร่วมวาสนาเขาก็ยังเหมือนเดิมอยู่ เช่น แต่หากคุณไม่ได้ไปยุ่งกับเขา วาสนาเขาก็เป็นไปตามเดิมนั่นแหละ แต่จะมีวิถีชีวิตไปเป็นแบบอื่น วาสนากับวิถีชีวิตไม่เหมือนกัน หมอดูแนะนำให้เปลี่ยนวิถีชีวิตได้ แต่แก้วาสนาไม่ได้ แฟนคุณไปแต่งงานกับใคร ก็จะตกต่ำอยู่เอง แม้มีตำแหน่งสูง ก็จะตกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เพราะความไม่เจริญมันอยู่ที่ตัวเขา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น อ่านที่ดวงคุณก็จะเห็นตัวเขา แสดงว่ามีส่วนเป็นคู่ครองกัน แต่ถ้าคุณไม่แต่งงานกับเขา ก็จะไม่มีส่วนร่วมในความตกต่ำนี้ด้วย แม้ในทางชะตาของคุณ หากไปแต่งกับคนอื่น ก็จะได้ชายที่มี “ความเจริญแล้วตกต่ำลง” ปรากฏในดวง โดยที่คุณไม่ได้ทำให้ตกต่ำ แต่ หากใครที่ไม่มีดวงชนิดนี้ ก็จะมีโอกาสน้อยที่จะมาเป็นแฟนคุณ นี่เป็นเพียง เรื่องราวที่ปรากฏในดวงชะตาเท่านั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะเกิดเรื่องเช่นนี้ เพราะเป็นเงื่อนไขของชะตา บางคนตกต่ำออกจากงานแล้วจึงร่ำรวยได้ หากยังกินเงินเดือนเล็กๆน้อยๆอยู่ เขาก็ไม่มีวันได้เป็นเศรษฐีเลย สำหรับกรณีของคุณ หากทำใจได้ น่าจะปล่อยเขาไป ถ้าแต่งกับเขา คุณจะหนักใจมากกว่า เพราะข้อเสียอยู่ที่เขา ไม่ใช่คุณ แต่ดวงคุณก็มีข้อเสียที่ต้องทุกข์ใจกับความประพฤติ และการกระทำของคู่ครองอยู่บ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นคู่คนไหน อย่างที่เผชิญอยู่ตอนนี้ไง

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 31 คุณ m..........ต้องแก้ที่คุณว่า ผม ค่อนข้างกว้างขวางในวงการ นี่ผิดตรงกันข้ามเลยครับ ผมแก่แล้วก็จริง แต่แทบไม่ได้ไปรับรู้คนอื่นๆในวงการโหร สมัยก่อนก็ขลุกอยุ่กับการค้นคว้าในห้องสมุด กับร้านหนังสือ หรือไม่ก็เข้าไปศึกษาในพิพิธภัณฑ์ เพราะสมัยนั้นไม่มีอินเทอร์เน็ท ผมมีเพื่อนอยู่กลุ่มเล็กๆสัก 3 – 4 คน ซึ่งตอนนี้หมดอายุไปบ้างแล้ว ช่วยกันค้นคว้าและเสาะหาแนวทางและความรู้โหราศาสตร์ เวลาใครรู้ว่ามีหมอดู หรือ อาจารย์ไหนทำนายแม่น หรือ ใช้วิธีอะไรแปลกๆ เราก็จะดั้นด้นไปหาไปถามดู ถูกด่าบ้าง ถูกไถเงินเป็นค่าเคล็ดลับบ้าง ก็อดข้าวเอาเงินรวมกันไปให้เขา ส่งตัวแทนไปเรียนได้คนเดียว แต่ก็มักจะถูกหลอกไม่ได้อะไร แต่เราก็โชคดีที่ได้พบโหรที่ดีๆหลายท่านเยอะมากคอยแนะนำชี้ทาง และก็พบอาจารย์จริงๆหลายท่านสอนวิชาให้ ท่านเหล่านี้ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลย สมัยนั้น หลายท่านเกษียณอายุราชการ บางท่านก็เป็นเพียงภารโรงในวัดเท่านั้นเอง บางท่านไม่เข้าใจเองแต่ ก็บอกปัญหามาให้เราบันทึกไว้ให้มาถามคนอื่นอีกที แต่ละท่านได้ส่งต่อความรู้โหราศาสตร์ที่ดีๆมาให้เรา ท่านเหล่านี้ต่างหากที่เรากราบเป็นครูด้วยความเต็มใจ

ผมรู้จักท่านพลูหลวงด้วยวิธีเดียวกันนี้คือ ศึกษาแนวทางของอาจารย์พลูหลวงตามประสาคนชอบเรียนรู้ แต่ก็บังเอิญผม เคยสะสมตำราโหราศาสตร์ภาษาอังกฤษและถ่ายสำเนามาจากต่างประเทศมาก จึงปะติดปะต่อความรู้ได้จากหลายแหล่ง ยิ่งได้รู้เรื่องลึกๆทางโหราศาสตร์ไทยมามากพอสมควร ผมจึงเข้าใจวิชาของท่าน มีคนทดลองเอาเรื่องเกษตรเรือนเดียวมาใช้มากมายครับ ทั้งในไทยและต่างประเทศ ส่วนมากในต่างประเทศใช้ประยุกต์ไปทางโหราศาสตร์สากล และฮินดู ส่วนของท่านพลูหลวงเป็นแนวทางหนึ่งเท่านั้นที่นำมาใช้ร่วมกับวิชาโหราศาสตร์และจักรราศีแบบไทย แต่เหตุที่ท่านไม่ได้วางหลักวิชาต่อไป แต่ฝากไว้ให้ผู้อ่านคิดต่อ จึงทำให้ผู้ที่คิดทำต่อไปต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างต่อเติม โดยไม่รู้ว่า แก่นหลักคิดของท่านมาจากไหน ผมคงจะบอกได้เพียงแค่นี้ ต้องรักษามารยาท เขียนอะไรต่อไปก็จะไม่ดีต่อทุกท่านที่เกี่ยวข้อง

ด้วยเหตุที่ท่านไม่ได้วางหลักวิชาไว้ชัดเจนครบถ้วน และมีผู้ที่มาขอความรู้หรือเรียนจากท่านไปบ้าง ก็จึงประยุกต์เอาหลักโหราศาสตร์ไทยบ้าง สากลบ้าง ฮินดูบ้าง มาทดลองต่อเติมกันเพิ่มอีก ดังนั้น ผมจึงไม่คิดว่ามีใครสอนในแนวทางดั้งเดิมของท่านอยู่ในเวลานี้ หรือ มีน้อยมาก อย่างอาจารย์เล็ก พลูโต ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ที่สหรัฐในขณะนี้ ก็เข้าใจว่าค่อนข้างจะยึดแนวดั้งเดิม ในเมืองไทย ที่ผมพอรู้จักอยู่บ้าง ก็ทราบว่า เขาเพิ่มดาวเกษตรเข้าไป ราศีละหลายๆดวง เช่น ราศีกุมภ์ มีถึง 4 ดวง ราศีเมษมี 3 ดวง แล้วเอาโหราศาสตร์ไทยเข้าไปรับ แต่คิดค่าเรียนหลายชั้นแพงอยู่มากเหมือนกัน ส่วนท่านอื่นๆที่ทราบก็พอมี แต่เขาไม่ได้เปิดสอนทั่วไป และผมก็ไม่ทราบแนวทางชัดเจน บางแห่งใช้เกษตรทั้งสองแบบร่วมกันก็มี บางค่ายก็เพียงแต่อ้างชื่อ ท่าน “พลูหลวง” มาหากิน เท่านั้น ผมจึงไม่มีคำแนะนำให้คุณว่าจะไปเรียนได้จากที่ใดได้บ้าง หากสนใจค้นคว้าทางภาษาอังกฤษยังน่าจะมีมากกว่า อย่างประเทศทางยุโรปตะวันออกหลายแห่งก็มีระบบเกษตรเรือนเดียว เพียงแต่ใช้จักรราศีสายนะ

เพราะเหตุนี้ จึงทำให้ทุกคนที่รู้ข้อเท็จจริงของ “เกษตรสองเรือน” แบบไทย ไม่กล้าเปิดเผยต้นตอของ “เกษตร” ว่ามาจากไหน และเกษตรแต่ละแบบคืออะไร เนื่องจาก โหรไทยที่เรียนถึงขั้นสุดท้ายแล้วทุกคน “ต้องรู้” เพราะเป็นโครงสร้างจักรราศีซึ่งจะต้องปรับปรุง เมื่อเงื่อนไขของธรรมชาติเปลี่ยนไป


วรกุล - 30 กรกฎาคม พ.ศ.2549 08:27น. (IP: 203.107.200.122)

ความคิดเห็นที่ 35
ขอบคุณค่ะ

จากที่อาจารย์ตอบกลับมาก็ทำให้เข้าใจเรื่องของดวงชะตามากขึ้น เพราะปกติแล้วเป็นคนที่ไม่ได้ชอบดูดวง ไปดูบ้างก็ไปแบบตามเพื่อนไป และดูไปก็ไม่ได้เชื่อ 100% ออกแนวดูขำๆ ค่ะ

ที่อาจารย์บอกว่า "แฟนคุณไปแต่งงานกับใคร ก็จะตกต่ำอยู่เอง แม้มีตำแหน่งสูง ก็จะตกจากตำแหน่งอย่างรวดเร็ว เพราะความไม่เจริญมันอยู่ที่ตัวเขา ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น"ค่อนข้างตรงนะคะ เพราะเขาเป็นคนที่เปลี่ยนงานบ่อยมาก แค่ 2 ปี เปลี่ยนงานถึง 3 ครั้ง สาเหตุจากการทะเลาะกับหัวหน้าบ้าง เพื่อนร่วมงานบ้าง จนอยู่ทำงานต่อไม่ได้

ดิฉันสบายใจขึ้นนะคะ อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าเราไม่ได้เป็น "ตัวซวย" ของใคร อย่างที่เขากล่าวหา

ขอบคุณมากค่ะ


ทานตะวัน - 30 กรกฎาคม พ.ศ.2549 18:51น. (IP: 203.150.202.226)

ความคิดเห็นที่ 36
เรียน อ. วรกุล

หนูอยากจะดูดวงตัวเองให้แน่นอนแต่ก็ติดที่ไม่ทราบเวลาเกิดที่แน่นอน เวลาดูดวงก็จะลังเลว่าใช่แน่หรือเปล่าเพราะไม่แน่ใจลัคนา ประกอบกับหนูศรัทธาโหราศาสตร์ไทย มากกว่าโหราศาสตร์แบบอื่นๆ เช่น การดูลายมือ ฯลฯ จึงไม่ชอบดูดวงด้วยวิธีดูลายมือ ไพ่ยิบซี อื่นๆ

อาจารย์คะ ถ้าคุณแม่เคยพูดว่า "หนูเกิดตอนเช้า" อาจารย์คิดว่าคุณชราอายุ 73 ปีเศษ (ปัจจุบันท่านจากไปแล้ว) ที่พูดว่า เกิดตอนเช้า ท่านจะหมายถึงเช้าประมาณกี่โมงคะ หนูจนปัญญาจริงๆ ที่จะหาลัคนาตัวเอง เพราะ ถ้าเช้าประมาณ ตีห้า ถึง 6.30 น จะอยู่ลัคนาหนึ่ง แต่ถ้า ล่วง 6.45 น. ไปแล้วก็จะเป็นอีกลัคนาหนึ่ง


แก้ว - 31 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:54น. (IP: 210.246.80.45)

ความคิดเห็นที่ 37
ยังพิมพ์ไม่ทันจบไม่กดส่งความเห็น

ขอรบกวนอาจารย์ให้ข้อคิดเห็นแนะนำคำถามข้างบนด้วยเถิดค่ะ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


แก้ว - 31 กรกฎาคม พ.ศ.2549 05:58น. (IP: 210.246.80.45)

ความคิดเห็นที่ 38
เรียน อ.วรกุล

ต้องขอขอบพระคุณมากครับ ที่อาจารย์กรุณาสละเวลามาตอบคำถามซึ่งให้ความกระจ่างกับผมเป็นอย่างมากครับ

ขอน้อมรับคำแนะนำของท่านอาจารย์ไปศึกษาและปฏิบัติให้เห็นจริงครับ หากในระหว่างการค้นคว้าศึกษามีข้ออุปสรรคประการใด อาจจะตั้งคำถามสอบถามอาจารย์อีกครั้งนะครับ ขอบคุณมากครับ

ขอโทษครับ...รบกวนอาจารย์อีกนิดนึงครับ...ถ้าผมจะหาซื้อตำราเกี่ยวกับระบบธาตุที่ท่านอาจารย์ให้ความรู้ในกระทู้ต่างๆที่ผ่านมา ควรจะเริ่มจากเล่มไหนดีครับ วันก่อนผมแวะไปที่ร้านลุงมีตรงข้างวัดบวรฯ ลุงท่านนั้นก็ยังไม่สามารถให้ความกระจ่างได้อ่ะครับ โดยลุงท่านบอกว่า ในตำราของหมอเถา เรื่อง โหราศาสตร์ดวงดาวก็ได้บรรจุเนื้อหานั้นไว้แล้ว แต่ผมยังสงสัยนิดนึงเนื่องจากได้เปิดอ่านแล้ว แต่ไม่มีเนื้อหาที่ว่ามากนักครับ ขอบคุณครับ


bcc - 31 กรกฎาคม พ.ศ.2549 08:58น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบ 36 คุณ แก้ว...........เรื่องเวลาเกิดกับลัคนาเป็น 2 ปัญหานะครับ ต้องแยกกัน เวลาเกิด เป็นเวลาที่จับเวลานาฬิกา ควรจะรู้สถานที่เกิดด้วย จะได้คำนวณเวลาตามปฏิทินโหรได้ เมื่อได้เวลาเกิดพร้อมวันเดือนปีเกิดแล้วเมื่อจะนำมาใช้ทำนายทางโหราศาสตร์ เราก็บอกเวลาแก่หมอดูหรือผู้ที่ทำนายเขาไปตามนั้น ส่วนเขาจะไปวางลัคนาอย่างไรก็แล้วแต่วิธีดูของเขา เราไม่มีหน้าที่ไปบอกลัคนาให้เขานะครับ หากเราอยากทราบลัคนาของเรา เราจะถามเขาก็ได้ แต่ต้องรู้ว่าเขาดูในระบบใด เช่น ลัคนาในระบบสากล หรือ ลัคนาตามโหรไทย อะไรแบบนั้น ซึ่งอาจจะไม่เหมือนกันได้ หากเราจะดูพยากรณ์ในหนังสือพิมพ์หรืออะไร ก็ควรรู้ว่าเขาทำนายตามระบบไหนด้วย

ทีนี้ถ้าเราไม่รู้เวลาแน่นอน หรือ แม้แต่ไม่รู้วันเดือนปีเกิดเลย ก็จะเป็นปัญหาที่หมอดูจะดูให้เราไม่ได้ หรือ ไม่ตรง ดังนั้น เขาก็ต้องหาลัคนา วิธีหาลัคนา ก็คือจะต้องสอบถามรายละเอียดเรื่องราวของเรา เพื่อที่จะวางเดาๆ แล้วทดสอบ จนได้เรื่องตรงกับที่เราเป็นจริง ก็จะเชื่อได้ว่าลัคนาของเราในระบบนั้นๆของเขาอยู่ที่ไหน เมื่อได้ลัคนาแล้ว ก็ทดสอบอีก ว่าเราควรจะเกิดเวลาใด ก็จะเป็นการหาเวลาเกิด หรือวันเวลาเกิดย้อนหลังมาให้ได้

การหาวันเดือนปีเกิดและลัคนาเกิดที่ไม่รู้เลย หมอดูจะคิดเงินแพงนะครับ(หลายพันถึงหมื่นบาท) เพราะเป็นงานมาก ต้องทำนายย้อนไปมา แต่ถ้าเรารู้วันเดือนปีเกิดแน่ๆ แต่เพียงไม่รู้เวลาใดแน่ แบบนี้ พอจะมีคนหาให้ราคาถูกลงหน่อย (ในหลักพันบาทไม่รวมค่าทำนาย) ที่ดูให้ฟรีๆไม่คิดเงินก็มี ก็ที่ อาจารย์ศุภกร ที่อยู่ในเว็บนี้แหละแห่งหนึ่ง แต่คุณควรร่วมมือแจ้งข้อมูลรายละเอียดดังนี้ 1 / รูปร่างหน้าตา น้ำหนัก ผิวพรรณ อะไรต่ออะไรที่แกบอกไว้ที่หัวกระทู้ เช่น การศึกษาเรียนอะไรมา อาชีพการงานที่ทำอยู่ 2 / บอกอาชีพ คุณพ่อคุณแม่ ด้วยก็ดี 3 / บอกเหตุการณ์สำคัญๆที่มีผลกระทบแรงๆ เช่น ประสบอุบัติเหตุ (อย่างไร เมื่อใด ฯลฯ) แต่งงาน (เมื่อใด คู่ครองอาชีพอะไร ฯลฯ) ได้รางวัล (อะไร เมื่อใด) วันที่ได้ทำงาน เปลี่ยนงาน เลื่อนตำแหน่ง อะไรแบบนี้แหละ หากบอกประวัติได้ แล้วหาได้เลยก็จบ หากหายังไม่ได้ก็ต้องถามต่อ แบบนี้ก็จะเป็นงานเยอะ จะช้าหน่อย เราอาจจะรู้ลัคนาก่อน แล้วกำหนดเวลาได้ใกล้เคียง แต่ถ้ามีข้อมูลที่ไม่ตรงอาจจะหาลัคนาไม่ได้เลยก็มี โดยเฉพาะพวกที่ไปผ่าตัดคลอดออกมาจะหายาก อาจจะต้องคิดเงินร่วมหมื่น และต้องเจอตัวจริง ปัญหาของคุณยังดูไม่ยากอะไร พอรู้เวลาคร่าวๆอยู่แล้ว แค่หาลัคนาไทยก็น่าจะพอ ลองไปถาม อ.ศุภกรดู น่าจะได้เลยถ้ามีข้อมูลพอสมควร รอตอนกระทู้ว่างๆก็ดี เพราะจะเสียเวลาหายากพอๆกับที่คนไปให้ตรวจดูเนื้อคู่นั่นแหละ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 38 คุณ bcc..........เรื่องระบบธาตุที่ผมมาเขียนอยู่ ไม่มีตำราขายหรอกครับ เคยมีบทความสั้นๆของบางท่าน ก็เป็นเพียงกล่าวถึงในบางวิชาเท่านั้นเอง ระบบธาตุนี้ ในทางปฏิบัติมักจะไปเรียนเอาเมื่อเรียนโหราศาสตร์ไทยจบแล้ว จึงย้อนกลับมาเรียนภาคทฤษฎีใหม่ เพราะผู้เรียนมักเรียนรู้ภาคพยากรณ์มาก่อน ยกเว้นพวกที่เรียนในสำนักโหรโบราณ แบบนั้นจะเรียนตั้งแต่ต้นมาเลยทีเดียว ระบบธาตุนั้นเป็นพื้นฐานของวิชาหลายวิชาในโหราศาสตร์ไทย รวมเรียกว่า โหราศาสตร์ทางธาตุ มีทั้งที่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ และ เกี่ยวกับวิชาแพทย์แผนโบราณก็มี เป็นวิชาที่เรียนเหตุผลที่มาของวิชาโหราศาสตร์ไทยโดยตรงทั้งทางทฤษฎีและปรัชญา ซึ่งมีข้อแตกต่างในแต่ละวิชามาก และมีความกว้างลึกของวิชาไม่เท่ากัน ส่วนมากจะจำแนกชนิดธาตุไม่เหมือนกัน แต่พื้นฐานปรัชญาคล้ายกัน

ปัจจุบันมีอาจารย์บางท่านที่เขียนตำราที่มาจากระบบธาตุ เท่าที่ทราบก็เช่น อาจารย์ ส. แสงตะวัน อาจารย์มหาบรรเทา จันทรศร แต่เป็นระบบธาตุในกลุ่มวิชาใดก็ไม่ทราบเหมือนกัน ส่วนใหญ่ท่านจะเขียนในหลักปรัชญาเบื้องต้นพอให้ทราบ ที่หนังสือโหราศาสตร์ไทยทั่วไปกล่าวถึง “ธาตุ” หมายถึงเพียง สภาวะธาตุ หรือ มหาภูติรูป 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้น นี่เป็นเพียงภาคพยากรณ์เบื้องต้น แม้แต่ตำราของหมอเถา (อาจารย์ อรุณ ลำเพ็ญ) ท่านก็เขียนเป็นเรื่องของ (สภาวะ)ธาตุทั่วไปในภาคพยากรณ์ เพราะภาคทฤษฎีหลักนั้นซับซ้อนและยาวมาก มีหลายสายวิชา จึงยังไม่มีใครเขียนขึ้นให้ครบถ้วนได้


วรกุล - 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:52น. (IP: 203.107.192.94)

ความคิดเห็นที่ 40
ขอบพระคุณอาจาย์วรกุลค่ะ อย่างนั้นหนูจะไปถามอาจารย์ศุภกรค่ะ


แก้ว - 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 07:18น. (IP: 210.246.80.114)

ความคิดเห็นที่ 41
เรียน อ.วรกุล

ขอบคุณมากครับอาจารย์ที่กรุณาชี้แนะจนผมเริ่มจะพอจับหลักการในการศึกษาโหราศาสตร์เพื่อ "รู้" และ เพื่อ "ใช้" ได้ครับ แนวทางที่อาจารย์ให้คำแนะนำเป็นประโยชน์มาก และหวังว่าในอนาคต ผมจะสามารถเป็นผู้ที่ "รู้" ละ "ใช้" โหราศาสตร์ที่ดีได้คนหนึ่งครับ

ขอบคุณครับ


bcc - 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 08:12น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียนอาจารย์วรกุลครับฤกษ์คืออะไร อะไรนับเป็นฤกษ์บ้างในชีวิตของคนเราผมเห็นสมัยนี้จะทำอะไรทีก็นึกถึงฤกษ์ ผมเองก็พลอยแห่ตามเขาไปด้วย จนมาคิดได้ตอนที่ท่านอาจารย์ศุภกรทักเชื่อว่าคำถามนี้น่าจะช่วยไขให้หลายๆคนกระจ่างเกี่ยวกับเรื่องฤกษ์ การใช้ฤกษ์ อะไรนับเป็นฤกษ์ และอะไรไม่นับเป็นฤกษ์ เพื่อที่จะได้เข้าใจถูกต้องต่อไปครับขอแสดงความเคารพ


จีระนันท์ - 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 15:52น. (IP: 124.121.189.183)

ความคิดเห็นที่ 43
ตอบ 42 คุณ จีระนันท์.........เรื่องฤกษ์ เขียนไปในกระทู้ชุดนี้หลายครั้งย่อยๆแล้ว ที่เป็นข้อเขียนยาวหน่อยลองดูที่ กระทู้ที่ 14 ความเห็นที่ 36 ลองอ่านดูก่อน ในเรื่องนั้น มีเรื่องอื่นที่เกี่ยวข้องซึ่งได้เขียนมาก่อนแล้วหลายเรื่อง ต้องย้อนไปอ่านเอาครับ ปกติผมจะเขียนไปเรื่อยๆ เล่าทีละเรื่อง คนที่อ่านมาตลอด ก็จะพอเข้าใจได้ง่ายขึ้นกว่ามาอ่านข้อเขียนเดียว


วรกุล - 2 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:51น. (IP: 203.107.200.6)

ความคิดเห็นที่ 44
ได้ค้นกระทู้ที่ 14 ความเห็นที่ 36 แล้วครับอาจารย์ได้เขียนเรื่องฤกษ์เอาไว้ชัดเจนทีเดียวต้องขออภัยที่ค้นไม่ทั่วเองครับขออนุญาตเก็บกอปไว้อ่านด้วยนะครับ


จีระนันท์ - 2 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:36น. (IP: 124.121.183.237)

ความคิดเห็นที่ 45
เรียน อ.วรกุล... ขออนุญาตถามครับ

1.) คำถามนี้สาเหตุเนื่องมาจากผมใช้โปรแกรมผูกดวง แล้ว printscreen เก็บรูปดวงแล้วตัดไปปะใน paintbrush แต่งภาพให้สวย ผมตัดปะเรียงหมายเลขดาวใหม่ ข้อสงสัยคือว่า รูปดวงชะตา ที่เราผูกได้ เรือนหนึ่งๆ หากมีธาตุดาวมากกว่า 1 ดวง เราจะเขียนธาตุดาวลงราศีจักรตามพอใจหรือ มีลำดับการเขียนที่เป็นแบบแผนอย่างไร มีอะไรซ่อนไว้หรือไม่ครับ หรือไม่มีอะไรเป็นพิเศษ

คือ ตามปูมดาว (แก่นธาตุ)จะเรียงลำดับ ๑ ๒ ๓...๙ ๐ เราจะเรียงไล่ตามลำดับนี้แล้วเรียง ซ้ายมาขวา, บนลงล่าง, หรือ เชิงรัศมีจากเลขน้อยไปมาก หรือเรียงตามมุมองศา อ่อนกว่า แก่กว่า ของตำแหน่งธาตุดาวในเรือนนั้นครับ

ตัวอย่างเช่น ในเรือนหนึ่งมีดาว ๑๒๕ เวลาเราเขียน เราจะจัดลำดับแบบไหนถึงจะถูก เช่น ๑๒๕,๑๕๒, ๒๑๕, ...

2.) คำถามนี้ผมเก็บเป็นความสงสัยในใจมานานแล้ว ครับ คือ ผมได้เคยศึกษาพบว่ามีการกำหนด ธาตุดาวดังนี้ ธาตุน้ำ ๒ ๓,ธาตุไฟ ๑ ๕, ธาตุดิน ๔ ๗ และ ธาตุลม ๖ ๘ ซึ่งโดยปรกติ เราจะได้ใช้สภาวะธาตุจากทักษาคู่ธาตุ ซึ่งเป็นธาตุในธรณี

ธาตุดาวแบบที่ผมเขียนมานี้ เป็นธาตุดาวแบบไหน จะใช่ ธาตุในจักรวาล หรือเปล่าครับ เพราะตรงกันตั้งแต่ราศีกรกฎ จนถึงกุมภ์ สภาวะธาตุในราศีนั้นเป็นดังข้างต้น

ส่วนตั้งแต่ มีนไล่ไปจนมิถุน เมื่อมองแบบตรีโกณ ธาตุในราศีที่ยังเหลือกลับเป็น คู่ศัตรู กันทั้งนั้น(ตามการวางแบบนี้) คือ ไฟ-น้ำ และ ดิน-ลม คิดๆ แล้วเป็นการเอามายันกันไว้หรือเปล่าครับ ขอเขียนข้อสังเกตเท่านี้ เขียนมากไปจะเป็นแสดงความเห็นส่วนตัวและฟุ้งซ่าน

เคยมีกระทู้หนึ่ง คล้ายๆ อ.วรกุลจะใช้ธาตุดาวแบบนี้อ่านเรื่องอะไรสักเรื่อง ผมยังหาอ่านไม่เจอ ในส่วนของข้อนี้อยากขอให้ อ.วรกุล เขียนแนะนำอะไรสักหน่อยในเรื่องนี้

ผมย้อนกลับไปอ่าน บทความ อ.วรกุล บ้าง เวลาย้อนอ่านมายังข้อความเก่าที่ผมเขียนถาม อ.วรกุล ในอดีต อ่านแล้วรู้สึกปวดหัวตัวเองจัง คำถามสับสน อ่านแล้วไม่ค่อยราบเรียบเท่าไรเลย

แต่มีผู้ร่วมถามหลายท่าน เขียนถาม อ.วรกุล แล้วเป็นคำถามที่ดีจริงๆ (เพียงแต่บางทีต้องแบ่งวรรค จัดย่อหน้าใหม่) เช่น ของคุณ ศ.fa200,คุณ crv, คุณ เอวิตา, คุณพิมพ์ธนา, คุณกล้วย, คุณ นร และคนอื่นๆ อีก ทั้งที่ยังอ่านย้อนไม่ครบและจำไม่ได้ก็มี

ขอแซว อ.วรกุล เล่นๆ ครับ ไม่ทราบว่า บทความเก่าๆ ที่ อ.วรกุลเขียน อ.ใส่ วิธีทางไสยศาสตร์ และวันเวลาถอดรหัสไว้หรือเปล่าครับ พอย้อนกลับมาอ่านเข้าใจได้มากขึ้ หรือต้องเป็นช่วงเวลานี้ด้วย...

ขอบพระคุณครับ

so^ohvp


หนูน้อย - 2 สิงหาคม พ.ศ.2549 14:12น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 46
สวัสดีท่านอาจารย์วรกุล

อ่านที่คุณหนูน้อยเขียนแล้ว ให้นึกถึงเด็กนักเรียนโหราศาสตร์รุ่นใหม่วิ่งหาแต่โปรแกรมผูกดวง ครูอุตส่าห์สอนทำสมผุสดาวก็ไม่สนใจ ได้ยินนักเรียนยูเรเนียนมาบ่นว่ามีเด็กโหรไทยไปถามหาโปรแกรมขอให้ช่วยบอกเด็กๆด้วยว่ายูเรียนก็ต้องใช้มือ+สมองในการคำนวณ เห็นบางคนติดโปรแกรมผูกดวงแล้วว่าถูกต้องทั้งหมด บางคนใช้โปรแกรมอ่านละเลยการใช้สมองและปัญญาของตนในการพิจารณาศึกษาและหาข้อแตกต่าง เห็นแล้วต้องทำใจปลงตกให้ได้ ไม่ทราบอาจารย์จะช่วยแสดงความคิดเห็นอย่างไรคะ


ศิษย์ 2000 - 2 สิงหาคม พ.ศ.2549 15:50น. (IP: 202.57.168.71)

ความคิดเห็นที่ 47
ตอบ 46 คุณ ศิษย์ 2000 .........ผมตอบคุณศิษย์2000 ก่อนเพราะ มีงานต้องทำอะไรหลายอย่าง เห็นด้วยทั้งหมดแหละครับ นอกจากรู้วิธีคำนวณจนคล่อง วันหลังไปที่ไหนไม่มีโปรแกรมจะได้ทำเป็น ปกติสมผุสดาวแล้ว เราจะได้รู้ตำแหน่งและได้คิดอะไรไปพร้อมกัน ถ้าเราใช้แผ่นหมุนด้วยเราก็จะอ่านพวกรายละเอียดของฤกษ์ และ นวางค์ ตรียางค์ไปที่ดาวอยู่ และทำให้ได้คิดไปพร้อมกับลงดาวไปด้วย ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าทำบ่อย ก็จะรู้ความสัมพันธ์ของดาวกับความแข็งอ่อนในราศี ไปด้วยกัน

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 45 คุณ หนูน้อย.........1/ อย่างที่ทำกัน เขามักวางดาวเรียงตามองศาแก่อ่อนในราศีน่ะครับ การวางเรียงองศาแม้ในดวงอีแป่ะก็จะรู้ว่า ดาวดวงไหน ใกล้กับดาวดวงไหน อันไหนใกล้กับขอบราศี นอกจากนั้น สมัยก่อนรุ่นคุณปุ่คุณย่า ดวงอีแป่ะที่ผูกกันจะมีการใช้สัญลักษณ์เข้าแทรกอยู่ตลอด จะเขียนลงไปในดวงอีแป่ะนั่นเลย เช่นมักจะเขียนชี้ดาวยกย้าย ดาวพักร มนฑ์ เสริด ดาวถูกคราส ดาวในโครงสร้างสำคัญร่วมธาตุ อะไรแบบนี้ ถ้าใครมีตำราของอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ หรือดวงที่ท่านผูก จะเห็นท่านจะเขียนรูปดาว รูปเดือนเสี้ยวในราศีที่นับชันษาจรไว้ที่ขอบนอกราศี แบบนั้นแหละครับ สัญญลักษณ์เหล่านี้ แต่ละสำนักโหรจะมีให้ใช้ไม่เหมือนกัน เป็นการเตือนตนเองว่าดาวในดวงอีแปะที่เห็นมีคุณสมบัติอะไรพิเศษที่ต้องระวัง อย่าลืม อะไรทำนองนั้น หากเป็นการเขียนรูปดวงใช้ดูเอง จะมีสัญญลักษณ์และเส้นโยงอยู่เหมือนมีเด็กมาเขียนอะไรเลอะเทอะ แต่กลับทำให้ดูดวงง่ายขึ้น นึกออกไหมครับ ไม่เหมือนดวงอีแป่ะที่เราเอาเขียนให้คนอื่นดู จะเป็นดวงเกลี้ยงๆ มีแต่เลขดาวอย่างที่เห็นกัน

2 / คำถามนี้ใช้ได้ ไม่ได้ฟุ้งซ่านครับ อย่างคู่ธาตุที่เราเรียนกันมานั้น มาจากทักษาคู่ธาตุ คือ คู่ ๓๘ ๒๕ ๑๗ ๔๖คือ สภาวะธาตุ ลม ดิน ไฟ น้ำ นั่นคือ คู่ธาตุของระบบธาตุในธรณี มีสองธาตุดาว แต่ในราศีจักร ซึ่งเป็นธาตุในดวงชะตา (ตรงกับระบบธาตุในจักรวาล) ลองไล่ดูราศีร่วมสภาวะธาตุ เช่น ธาตุลม ๖๘๔ ธาตุไฟ ๓๑๕ ธาตุดิน ๗๖๔ และ ธาตุน้ำ ๒๓๕ ครบ 12 ราศีแล้วนะครับ ดาวร่วมสภาวะธาตุสามธาตุดาวเหล่านี้ สังเกตุดูจะเห็นว่าแต่ละธาตุจะมี คู่สอดคล้อง กับ คู่ขัดแย้ง อยู่ด้วยกัน เช่น ตรีโกณธาตุน้ำ ๒๓๕ มี ๓๕ คู่สมพล ๕๒ คู่ศัตรู และ ๒๓ คู่เสียดสี (ที่เราชอบเรียกว่าคู่อิจฉา)นั่นเอง จะเป็นเช่นนี้ไปทุกตรีโกณร่วมสภาวะธาตุ นี่เกิดจากธาตุดาวทั้ง 8 ดวง เมื่อเข้าสู่ระบบธาตุของจักรวาลก็จะจัดตัวไม่เหมือนระบบธาตุในธรณี ดังนั้น ในชุดธาตุของจักรราศี จึงมีเป็น 3 คู่ดาว ไม่ใช่ 2 คู่ดาว แบบธาตุในธรณี ส่วนใหญ่ ระบบสภาวะธาตุของธาตุในธรณี(มหาทักษา)จะมีผลทางด้านส่วนตัวของเจ้าชะตา และ สภาวะธาตุของธาตุในจักรวาลจะมีผลในเรื่องรอบตัว สถานที่ และสิ่งแวดล้อมซึ่งกว้างกว่า และเป็นเหตุผลหนึ่งที่บางท่านไม่จำเป็นต้องใช้มหาทักษาในดวงชะตา แต่ยังอธิบายไม่ไหว ถ้าไม่เอาทักษามาเกี่ยวข้อง ชุดดาวนี้ก็ดูได้ในฐานะเป็นคู่ธาตุของจักรราศีนั่นเอง มีหนังสือโหรหลายเล่ม ดึงเอาเรื่องตรงนี้จากโหราศาสตร์ทางธาตุ มาบรรยาย แต่ไม่ใช้คำว่า “คู่ธาตุ” เพราะผู้เรียนจะงง และทุกคนก็จะยกมือถาม ในเมื่อจะให้รู้ก็ต้องเขียนอธิบายโดยไม่มีพื้นฐาน จึงต้องตัดออกไปก่อน


วรกุล - 3 สิงหาคม พ.ศ.2549 05:19น. (IP: 203.107.193.168)

ความคิดเห็นที่ 48
ขอบพระคุณครับ อ.วรกุล

คำถามแรก สรุปแล้ว การเขียน ตัวเลข ลงในดวงอีแป่ะ ให้ไล่ตัวเลข จากองศาดาวที่มากไปหาองศาดาวที่น้อย ไล่จากซ้ายไปขวา และจากบนลงล่าง (ไม่ทราบรวมปัจจัย ลัคนา ด้วยหรือไม่)ผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ

ส่วนคำถามที่สอง ผมจะลอง ไปอ่านทวนที่ อ.วรกุล เคยเขียนไว้ก่อนครับ รวมถึงรอสิ่งที่ อ.วรกุล อาจจะกำลังเขียนอยู่ครับ


หนูน้อย - 4 สิงหาคม พ.ศ.2549 17:04น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 49
เรื่องการเรียงองศาดาวอ่อนแก่ รู้สึกว่าจะมีแค่บางสำนักในปัจจุบันที่ยังสืบทอดกันอยู่นะครับ ไม่รู้ว่าเข้าใจถูกต้องหรือไม่

เช่น สำนักของอ.ทองเจือ ที่ทำปูมดาวทุกปี ก็บอกว่าถ้าดาวอยู่ในตรียางค์แรก ก็วางดาวชิดเส้นขอบราศีด้านองศาน้อย ถ้าอยู่กลางราศี ก็วางกลางช่อง ถ้าอยู่ปลายราศีหรือตรียางค์สุดท้าย ก็วางให้ชิดเส้นราศีถัดไป อันนี้ผมเข้าใจถูกต้องไหมครับ บางสำนักก็พัฒนาต่อมา เอาฤกษ์ นวางค์ ตรียางค์ ทักษาใส่ไปในดวงอีแปะด้วย เขียนเรียงออกมาต่อจากดาวในดวงอีแปะ อ่านดูแล้วมึน (เคยเห็นของเพื่อนที่นานาชาติ)

อีกสำนักหนึ่ง รู้สึกว่าจะสายหลวงปู่นวม ท่านจะวางดาวที่มาองศามากสุดไว้ในสุด ส่วนดาวองศาถัดมา ก็วางคล้ายๆ กับสายของอ.ทองเจือ แล้ววางลัคนากำกับไว้นอกสุด

รบกวนอ.วรกุล ช่วยขยายเพิ่มด้วยครับ


ภูมิ - 6 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:42น. (IP: 58.9.96.120)

ความคิดเห็นที่ 50
ตอบ 45 คุณหนูน้อย และ 49 ตอบคุณภูมิ.........ขอโทษครับตอบช้าไปหน่อยเพราะบังเอิญไม่ว่างไปต่างจังหวัด เห็นเป็นเรื่องเดียวกันขอตอบไปด้วยกันเลย อย่าไปซีเรียสมากเลยครับเรื่องนี้ ที่บอกให้ทราบเพื่อให้เห็นตัวอย่างเท่านั้น ตามต้นเรื่องที่คุณหนูน้อยถามมา ในราศีมีพื้นที่แคบๆ จะวางดาวอย่างใดก็ไม่มีอะไรต้องไปกังวล เพราะไม่ได้มีข้อบังคับอะไร เพียงแต่ใช้เพื่อสื่อสารกับคนในสำนักเดียวกัน จะไม่ต้องมาถามว่าดาวไหนองศาแก่อ่อนเท่านั้น การแก่อ่อนของดาวในราศีมีความหมายสำหรับผู้ที่รู้วิธีใช้ ถึงแม้ไม่ได้เขียนเอาไว้ ผู้ที่อ่านดวงที่คนอื่นผูก ก็ต้องผูกดวงเองอยู่นั่นเอง จะได้รู้ นอกจากนั้น ก็เป็นการวางรหัสเครื่องหมายบางอย่างให้รู้ว่าเป็นสำนักเดียวกัน อย่างเช่น เลขดาวที่เป็นเลขไทยนั้น บางสำนักก็มีแบบแผน เขียนไม่เหมือนเลขไทยที่อื่น ดูเข้าก็รู้ เดี๋ยวนี้ไม่มีสำนักโหรอย่างแต่ก่อนแล้ว มีแต่คนเก่าๆที่ไม่มีใครทำกัน เพราะไม่ต้องผูกดวงไปให้ใครดู นอกจากไปเขียน (จาร)ในดวงฤกษ์

ส่วนการมาใส่นวางค์ตรียางค์รอบราศีจักรนั้น ถ้าเอาละเอียดจะถือว่าเป็นเรื่องซีเรียสกว่า เพราะมาใส่วงกลมเดียวกัน นับว่าผิด เนื่องจากเป็นคนละเสกลของภูมิธาตุ ไม่ใช่เห็นวงกลมก็เหมารวมว่าเหมือนกันหมด ทำให้ผู้เรียนรุ่นใหม่เข้าใจผิด แต่ใครอยากจะเขียนก็เพราะมีเหตุผลอย่างไรของเขาก็ไปห้ามไม่ได้ การวางดาวในราศีตามองศา ต้องเข้าใจว่า หากเป็นตัวพิมพ์ นั้น เอาแน่ไม่ได้เพราะการพิมพ์มีปัญหาอยู่บ้าง ต้องว่ากันตามสามารถในการเรียงพิมพ์ แต่ถ้าใช้มือเขียน สำนักส่วนใหญ่ มักเขียนดาวที่อยู่องศาสูงสุด และองศาต่ำสุด เอาไว้ที่ชิดริมขอบนอกวงกลม และชิดเส้นแบ่งราศี ดังนั้น ก็ได้ 2 ดาวที่มีช่องว่างตรงกลางเล็กน้อย หากมีดาวมากขึ้น ก็เขียนเหมือนเดิม แต่ร่นรัศมีใกล้ชิดใจกลางดวงชะตามากขึ้นเข้าไปอีก คือรัศมีสั้นเข้า ก็เท่านั้น ถ้ามีดาว 6 – 7 ดวงก็ไล่เข้าหาใจกลาง ดังนั้น หากมีดาวที่องศาอยู่กลางระหว่างดาวทั้งหมด ก็จะอยู่ลึกสุดปลาย สามเหลี่ยมพอดี ถ้านึกไม่ออกต้องเขียนให้ดู

ดาวในแต่ละราศีมีความสำคัญตามตำแหน่งแห่งที่มันอยู่ คนส่วนมากเข้าใจว่าเป็นดวงอีแป่ะแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไร ดาวที่อยู่ราศีเดียวกัน ย่อมมีการผสมธาตุกับราศี และกับดาวดวงอื่นๆ ดังนั้น การที่ดาวอยู่ใกล้ หรือ ไกลจากดาวดวงอื่น ก็มีผลในทางผสมธาตุและคุณสมบัติด้วย การดูดวงอีแป่ะล้วนๆนั้น ไม่ได้ดูนวางค์หรือ ตรียางค์ แต่หลักสำคัญจะดูลักษณะการผสมธาตุและคุณสมบัติดาวในราศี นี่จึงเป็นเหตุผลอันหนึ่งที่เขาเขียนดาวเรียงองศาในดวงอีแป่ะนั่นเอง แต่ถึงไม่เรียงมาให้ ผู้ที่ทำนายก็ต้องตรวจดูเช่นกัน ไม่ใช่ใช้ดวงอีแป่ะแล้วไม่ดูองศาเลยอย่างที่บางคนคิด ในทางตรงกันข้าม การใช้องศาเป็นวิชาขั้นสูงอย่างหนึ่งของโหรไทย รับรองได้ว่าไม่ใช่อย่างที่โหราศาสตร์แบบอื่นๆใช้กันอยู่ สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มักต้องเขียนในดวงชะตาไทย ก็คือองศาอาทิตย์ในตากลาง หากปล่อยให้ตากลางว่าง ถือว่าสอบตก


วรกุล - 7 สิงหาคม พ.ศ.2549 05:04น. (IP: 203.107.193.155)

ความคิดเห็นที่ 51
ขอบคุณ คุณภูมิ ครับ สำหรับความคิดเห็นร่วมอธิบาย และ ขอบพระคุณ อ.วรกุล ครับที่ขยายความต่อ


หนูน้อย - 7 สิงหาคม พ.ศ.2549 10:41น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 52
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 17....ครับ..........


วรกุล - 8 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:49น. (IP: 203.107.201.184)

ความคิดเห็นที่ 53
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ,

ผมศรัทธาในความรู้ความสามารถของอาจารย์มาก อยากให้อาจารย์เขียนตำราออกจำหน่ายบ้างเพื่อมิให้ความรู้นี้สูญหายไป

ด้วยความเคารพ


สมรัก เปี่ยมศรัทธา - 30 สิงหาคม พ.ศ.2549 20:35น. (IP: 58.181.196.107)