เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 17)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 16 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 17 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.201.184)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
กระทู้ชุดที่เขียนนี้ อันที่จริงถ้าว่าทางการตลาดแล้วก็ใช้ไม่ได้ เพราะว่าเขียนไม่ตรงกับกลุ่มผู้อ่านทีเดียว หากเป็นการสอนในห้องเรียนก็ไม่รู้จะสอนใคร พื้นความรู้เท่าใด ก็จึงต้องคิดเอาเองว่าผู้ที่อ่านคงจะเป็นผู้ศึกษาโหราศาสตร์ที่อยู่กลางๆซึ่งกว้างมาก คือ กลุ่มที่เรียนเบื้องต้นมาบ้างแล้ว แม้แต่บางคนที่ว่าเรียนจบชั้นสูงมาแล้วก็ยังติดอยู่ที่เบื้องต้นอยู่ไม่ใช่น้อย เรื่องการดูดวงชะตา มักมีผู้กล่าวอ้างว่า “เวลาดูดวงต้องดูดาว 10 ดวง 12 เรือน” แต่ก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าดูอย่างไร ครั้นอธิบายให้ผู้อื่นฟัง ก็กลับยกเอาดาวทีละดวงทั้ง 10 ดวงนั่นแหละ มาดูทีละดวงหรือ ทีละคู่ แบบนั้นยังเป็นขั้นพื้นฐานอยู่นะครับ การดูดวงด้วยดาว 10 ดวง 12 เรือน ต้องดูด้วยความสัมพันธ์กันหมด เริ่มจากการที่เราดูดาวดวงเดียว วิเคราะห์ให้รู้คุณสมบัติต่างๆ แล้ว เอาดาว อีก 2 – 3 ดวงที่สัมพันธ์ถึงโดยตรงมาวิเคราะห์ลงไป เสร็จแล้วจึงดึงดาวที่ไม่สัมพันธ์ถึงโดยตรงในดวงชะตาเข้ามาวิเคราะห์เพิ่มลงไปอีก จนครบทั้ง 10 ดวง เมื่อทำดังนี้ เราก็จะเห็นได้ว่า ดาวทุกดวง และเรื่องทุกเรื่องในดวงชะตานั้น จะมีความสัมพันธ์กันหมด เมื่อใด เข้าถึงสัจธรรมตรงนี้ เราก็นับว่าผ่านขั้นกลางมาแล้ว

การดูดาวในดวงชะตาพื้นฐานก็คือ ดูดาวทีละดวง เช่น ตำแหน่งมาตรฐานในราศี นวางค์ ตรียางค์ คุณสมบัติเบื้องต้นเช่น ความเป็นเกษตร อุจ นิจ ประ และดูคุณสมบัติรวมทั้งนิสัยดาวในราศี ดาวความเชื่อมโยงระหว่างเจ้าเรือน และเรือนอื่นๆ อ่านออกมาเป็นเรื่องราวขั้นต้นก็เท่านั้น ขั้นพื้นฐานต่อไปก็เป็นการผสมดาวคู่ สองดาวขึ้นไป พวกเราก็มีหน้าที่ท่องดาวคู่ให้ได้หมด ว่าหมายความอย่างไรบ้าง ใครเป็นคู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ อสีติธาตุ คู่ศัตรู คู่สารพัด ก็ต้องรู้ แล้วก็ต้องรู้ตำแหน่งมาตรฐานที่เกิดจากเกณฑ์ต่างๆ และ ฤกษ์ ท่องคำโคลงคำกลอนให้ได้ เอาให้หมด นี่ก็จบชั้นพื้นฐาน หรือ ประถมแล้ว คนที่เรียนขั้นต้นนั้นสังเกตง่ายจากคำถามนั่นเอง เช่นมักถามว่า “ดาวนั้น ดาวนี้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ดี หรือ ไม่ดี ” คำว่า ดี หรือ ไม่ดีนี้ เป็นเรื่องที่ต้องไปตอบเอาขั้นสุดท้าย และคำตอบก็จะผิดคาด เพราะคำตอบของผู้ที่เรียนจบแล้ว ก็มักจะเป็นว่า “ดีหรือ ไม่ดี ก็แล้วแต่ปัจจัยที่มาถึงมัน” กลายเป็นคำตอบกวนๆ แต่เรื่องของเรื่องมันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

ที่เรียนมาในขั้นพื้นฐานก็ให้รู้จักดาว เหมือนเด็กประถมเรียนตัวสะกดผสมคำได้เท่านั้นเอง การเรียนขั้นต่อไป ต้องใช้ความรู้ที่เรียนมาเหล่านั้นวิเคราะห์ดาว การเรียนในระดับกลางๆนี้ ก็จะเลิกดูว่าอะไรดี ไม่ดี แต่จะหันไปดูสถานะความเป็นไปของดาว และ การพัฒนา(วิวัฒนาการ)ไปของดวงชะตา สถานะความเป็นไปของดาวนี้ เป็นเรื่องยาว เหมือนเอาขั้นพื้นฐานมาเรียนใหม่นั่นเอง แต่จะเริ่มวิเคราะห์ความเป็นอยู่ของดาวในราศี ปฏิกริยาของดาว หรือ เรียกที่เรียกว่า “ชีวิตความเป็นไปของดาวในดวงชะตา” เหมือนดาวแต่ละดวงเป็นหน่วยชีวิตย่อยอย่างหนึ่ง ซึ่งมีวิถีชีวิตความเป็นไปอย่างเอกเทศ พวกเราคงไม่รู้ว่า ความจริงดาวในราศีแต่ละดวงก็มีวิถีชีวิต ความทุกข์ ความสุข และวงจรชีวิตที่ทำให้บังเกิดเรื่องราวของตัวมันเองได้เช่นกัน เมื่อเราได้เรียนรู้เข้าใจความเป็นไปของดาวแล้ว เมื่อถูกถามเรื่องราวต่างๆของเจ้าชะตา เราก็ตอบโดยเล่าความเป็นไปของดาวนั่นเอง ครั้นเข้าใจสถานะของดาวได้ดีแล้ว สิ่งที่ต้องเรียนต่อไปคือ การพัฒนาของดวงชะตา ซึ่งก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นไปของดาวที่เกิดขั้นเป็นขั้นตอนไปตามชีวิตของเจ้าชะตาดวงนั้น เพราะหากดาวพัฒนาตัวเองไป มันก็จะพัฒนาไปพร้อมกับดาวอื่น จึงมีผลต่อชีวิตของเจ้าชะตา ดังนั้น การวิเคราะห์สถานะของดวงชะตา จึงต้องเข้าใจธรรมชาติของดาวทุกดวงด้วย ในขั้นมัธยมนี้ เราจึงต้องใช้เวลาตรงนี้แหละเรียนรู้ความเป็นไปที่เกิดขึ้นในดวงชะตาให้รู้ธรรมชาติจริงๆ ไม่ใช่ตำแหน่งมาตรฐานที่กำหนดมาแบบตายตัว เมื่อเรียนจบขั้นนี้ ก็จะปล่อยออกไปให้รับดูดวงชะตาได้แล้ว เพราะจะเข้าใจวิธีการที่แท้จริงในการพยากรณ์

ยกตัวอย่าง เช่นการวิเคราะห์ดวงชะตาเบื้องต้นทั่วไป เมื่อเราวิเคราะห์ตำแหน่งดาวในราศี และดาวคู่ สถานะของดาวในลักษณะนี้ คือ ลักษณะสถิต เหมือนภาพนิ่งที่อยู่กับที่ ดังนั้น สถานะของดาวที่เราเห็นคือลักษณะที่ปรากฏในขณะเวลาหนึ่ง เหมือนภาพถ่ายดาราสักคนหนึ่ง อาจจะดูสวยสดงดงาม แต่เมื่อผ่านไปเพียง สักหนึ่งชั่วโมงให้หลัง สมมุติว่ามีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับเขาจนเสียชีวิต ภาพถัดมาคือ ความสยดสยองที่อาจจะเกิดกับบุคคลเดียวกันนั้น ดังนั้น เมื่อผ่านการดูดวงชะตาในลักษณะสถิตมาแล้ว เราจะต้องรู้วิธีดูดวงชะตาในลักษณะที่เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง คือ ลักษณะทางจลน์ ซึ่งก็คือ ขั้นตอนของวิวัฒนาการไปของดวงชะตานั่นเอง เมื่อเราทราบสถานะของดาวแล้ว ต้องเข้าใจความเป็นไปของดาว ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับธรรมชาติหลายอย่าง เช่น วงจรธรรมชาติ เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องยาว แต่จะยกตัวอย่างมาเท่าที่พอจะเข้าใจง่ายหน่อยพอเห็นภาพได้ก็คือ โครงสร้างชองดวงชะตาที่จะรับเหตุการณ์

สมมุติว่า ดวงชะตาหนึ่ง มีลัคนาอยุ่ราศีพฤษภ อาทิตย์ และพฤหัสกุมลัคน์อยู่ หากเรายังดูดาวสองดวงเพียงเท่านี้ก่อน เราก็จะเห็นว่า เจ้าชะตาย่อมที่จะมีเกียรติศักดิ์ศรีตามดาวอาทิตย์ และความรุ่งเรืองตามพฤหัสที่เป็นเรื่องดี แต่การมองดังนี้ เราก็จะต้องตรวจสอบศุกร์ เจ้าเรือนตนุราศีพฤษภ รวมทั้งดาวอื่นๆด้วย เพราะเพียงความดีที่เกิดแก่เจ้าชะตานั้น เรายังไม่ทราบความอยู่คงทน หรือ เสถียรภาพของเรื่องราวที่อ่านอย่างใด ที่เคยเขียนมาในตอนก่อนๆ ก็ได้กล่าวถึงเสถียรภาพของดวงชะตามาแล้วหลายครั้ง เพราะความดีในดวงชะตาที่เราเห็นอาจจะไม่คงทน หรือ อาจพัฒนาไปเป็นความเลวอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ เช่นตามตัวอย่างของเรา หากดาวศุกร์อยู่ในสถานะที่อ่อนแออยู่ แล้วขณะใดมีดาวเสาร์คู่ศัตรูโคจรมาเล็งศุกร์เจ้าเรือน และยังมีบาปเคราะห์เช่น ราหูจรมาเล็งลัคนา รวมทั้งเล็งอาทิตย์และพฤหัสเข้าไปด้วย จะทำให้ดาวสำคัญที่เป็นจุดเจ้าชะตาถูกโจมตีพร้อมกันหลายดวงในครั้งเดียว เป็นเหตุให้เจ้าชะตาถึงหายนะอย่างไม่น่าเป็นไปได้

ในดวงชะตากำเนิดของคนนั้น ถูกกำหนดมาในธรรมชาติ เราจึงไม่อาจที่จะไปแก้ไขอะไรได้ แต่ในดวงฤกษ์ นั้นกำหนดเองได้ เขาจึงระวังตรงนี้มาก ยกตัวอย่างเช่น ดวงเมืองกรุงเทพ ที่มีอาทิตย์กุมลัคน์อยู่ราศีเมษ อังคารตนุเป็นประอยู่ในราศีพฤษภ เสาร์ดาวบาปเคราะห์ใหญ่ในราศีธนูร่วมพฤหัสเจ้าเรือนเกษตรก็มีทิศทางเดินขึ้นไปทางราศีมังกร จึงไม่ทำอันตรายต่อลัคนา ตนุลัคน์ หรือ พฤหัส(เกษตร)เช่นกัน แม้จะไปเล็งจันทร์ในราศีกรกฎ จันทร์เองก็เป็นเกษตร มีพลังงานธาตุอยู่เต็ม หากถูกตัดทอนลงไป ก็สามารถรับธาตุจากราศีของตนได้ดี พฤหัสเกษตรราศีธนูเจ้าเรือนที่ถูกเสาร์กุม ก็ทำนองเดียวกับจันทร์ ในดวงเมืองเดิมเมื่อคำนวณราหู ราหูอยู่ในราศีมีนภพวินาสน์ ซึ่งในจังหวะเคลื่อนต่อไปของราหูก็จะย้อนจักรมาทางราศีกุมภ์ไม่ทำอันตรายต่อลัคนา ตนุลัคน์ หรือ จันทร์เลย เท่าที่ยกตัวอย่างมา ก็เพื่อให้เห็นอุบายวิธีเพียงบางอย่างที่โบราณใช้วางความมั่นคงของดาวในดวงชะตาเท่านั้น

สิ่งสำคัญมากในดวงชะตาคน เราจึงต้องวิเคราะห์ดาวทั้ง 10 ดวง และ 12 เรือนอย่างรอบคอบ เพราะไม่เพียงแต่ดวงชะตาจะมีดาวมาตรฐานดีเด่นมากมายเพียงใด แต่การพัฒนาของดวงชะตาอาจจะเข้าสู่จุดจบได้อย่างรวดเร็ว อย่างเช่นที่ คนบางคนอาจจะถูกล้อตเตอรี่ร่ำรวยมหาศาล แต่ทรัพย์สูญสลายพร้อมถูกฆ่าตายเพียงชั่วข้ามคืน นักกีฬาบางคน ได้รับรางวัลหลายร้อย ถึงพันล้าน แต่เครื่องบินตกในเดือนถัดมาก็มี หรือ คนบางคนอาจจะติดคุกอยู่สักเดือนหนึ่งแล้วกลับมาเป็นรัฐมนตรีได้ในปีต่อมา ดวงเช่นนั้น เราจึงไม่ยกย่องว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” ตามที่ผู้เรียนใหม่ใช้ทำนาย เพราะความมั่นคงในแต่ละเรื่องของดวงชะตาในทางจลน์ เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลักษณะสถิตที่เรามองเห็น และอาจจะตัดสินความเป็นตาย หรือสิ้นสุดชีวิตเจ้าชะตาได้โดยง่าย ทั้งที่ดวงชะตามีดาวเด่นๆอยู่เต็ม ดังนั้น คำว่า “ดวงดี” หรือ “ดวงเสีย” ในความหมายของผู้ที่เรียนในขั้นสูงขึ้นมา อาจจะพลิกกลับความเห็นของผู้ที่เรียนใหม่ก็ได้

ดวงคนหลายคน อาจจะมีหลายรูปแบบ เมื่อมีดาวดีๆ อาจจะเป็นศุภเคราะห์ หรือ ทักษาที่ดีๆ หากมีโครงสร้างที่เปราะบาง หรือ อ่อนไหวง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงในชะตา เรามักเรียกว่า “ดวงอ่อน” ส่วนมาก เวลามีอะไรที่ดีๆก็มักจะดีพร้อมกันหลายด้าน เช่น ได้งาน ได้คู่ ได้บ้าน พร้อมกับได้รางวัลอะไรหลายอย่างในปีเดียวกัน เพราะดาวที่ว่าดีนั้นมักจะอยู่ในราศีร่วมกัน หรือ อยู่ในโครงสร้างที่ถึงกันนั่นเอง แต่เมื่อเวลาดาวเหล่านั้นถูกโจมตี ก็ไม่อาจจะต้านทานหรือเหลือกำลังดาวที่จะต่อต้านความวิบัติได้ คล้ายกับเอาเงินทองมาเก็บไว้ในที่เดียวกัน เวลาไฟไหม้ก็ไหม้หมด มนุษย์เราไม่ได้มีเพียงสมบัติ และ ร่างกายแต่เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความรู้สึกนึกคิดและจิตใจด้วย ดังนั้น เมื่อถูกทำลายทั้ง ชีวิต ร่างกาย จิตใจ และสมบัติด้วย การพลิกฟื้นไม่ได้ หรือ แม้แต่ไม่มีกำลังใจที่เหลืออยู่ จะยิ่งแย่ไปกว่าคนที่ดวงชะตาไม่มีอะไรเสียอีก

ในทางตรงข้าม คน “ดวงแข็ง” ส่วนมากจะมีโครงสร้างและคุณสมบัติของดาวในดวงชะตาที่มีเสถียรภาพสูง ทำให้ดวงชะตาไม่พลิกผันง่าย คนเหล่านี้ แม้ดาวบางดวงจะถูกรุมสะกรัมอย่างใดก็ตาม ก็ยังคงเหลือดาวดวงอื่นที่มีพลังงานคอยค้ำจุนดวงชะตาเอาไว้เสมอ เป็นดวงที่ล้มแล้วลุก เหมือนตุ้กตาล้มลุก เหยียบเท่าไรก็ไม่จม ฟันเท่าไรก็ไม่ตาย แม้คุณสมบัติอาจจะไม่ดีเลิศ หรือ ไม่พุ่งสูงเด่นหวือหวา แต่ก็ไม่ถึงวิบัติเสียหาย ดังนั้น ผู้เรียนโหราศาสตร์ที่มีความรู้สูงขึ้น จึงพิจารณา “ดวงอ่อน” และ “ดวงแข็ง” อันเกิดจากการพัฒนาของดวงชะตา ซึ่งมีประโยชน์มากกว่าที่จะตอบว่า ดวงใด “ดี” หรือ “ไม่ดี” เพราะดาวในดวงเดิมเพียงแค่นั้น

ที่เล่ามานี้เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการศึกษาโหราศาสตร์ในระดับสูงขึ้นไป แต่ก็จะเห็นเป้าหมายได้ลางๆว่า หากเราต้องการทราบข้อเท็จจริงความดีเลวในดวงชะตา เราต้องพิจารณา “ชิวิต” ทั้งชีวิตต่างหาก ไม่ใช่ “ชีวิตในชั่วขณะหนึ่ง”


วรกุล - 8 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:53น. (IP: 203.107.201.184)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน อ.วรกุล ครับ

ผมได้ไปที่ศาลหลักเมือง เห็นเสาหลักเมืองมีอยู่สองเสา ต้นเล็กกับต้นใหญ่ มีคนเล่าให้ฟังว่า ในหลวงรัชกาลที่ 4 ได้ดูฤกษ์แล้ววางเสาหลักเมืองลงไปอีก 1 ต้น ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว เวลาดูดวงจะต้องใช้ดวงอันใหม่หรืออันเก่า หรือทั้งสองอันครับ


โหรต่องแต่ง - 8 สิงหาคม พ.ศ.2549 12:07น. (IP: 124.121.159.115)

ความคิดเห็นที่ 3
ปรัชญาโหราศาสตร์ที่มากมายด้วยปัญญาที่อาจาร์ย วรกุล ได้สั่งสอน ในกระทู้นี้เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโหราศาสตร์ของผมอย่างมากครับ คล้ายเห็นรอยต่อของปัญหาที่คาใจมานาน จะขอกลับไปทำความเข้าใจละเอียดอีกหลายครั้งหวังว่าคงสามารถจบชั้นประถมในเร็ววันครับ


มังกรน้อย - 8 สิงหาคม พ.ศ.2549 23:45น. (IP: 58.8.4.117)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบ 2 คุณโหรต่องแต่ง...........คุณถามว่า เวลาดูดวงจะต้องใช้ดวงอันใหม่หรืออันเก่า หรือทั้งสองอันครับ ไม่รู้ว่าใครเข้าใจว่าอย่างไร ทำไมต้องใช้อันใหม่หรือ อันเก่า หรือ ทั้งสองอันเอามาทำอะไร ดวงเมืองก็คือ ดวงฤกษ์อันหนึ่ง ดวงฤกษ์ยังมีอีกเยอะแยะไป สุดแต่วัตถุประสงค์ที่กระทำ จะใช้อันเก่าก็วัตถุประสงค์หนึ่ง หรือ ใช้อันใหม่ก็อีกวัตถุประสงค์หนึ่ง หากจะใช้สองอันก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ว่าจะทำอะไร เมื่อรู้แล้วก็ดูดวงนั้น หรือ ไปดูอีกกี่ดวงก็ได้ อยู่ที่จะดูให้มันเป็นอะไรขึ้นมา

เราต้องเข้าใจว่า “อาณาจักรไทย” มีมานานแล้ว กว้างบ้างแคบบ้าง มีหลายดินแดนที่เคยอยู่ในดินแดนอื่น แล้วถูกรวบรวมเข้ามาอยู่ในขอบเขตอาณาจักร หรือ หลายดินแดนก็สูญเสียไป “เมืองกรุงเทพ” ก็มีมานานแล้ว เป็นชุมชนบางกอก ดังนั้น ดวงเมืองจึงไม่ใช่ “ดวงประเทศ” ดวงเมืองกรุงเทพ หรือ ดวงเมืองใด เป็นดวงฤกษ์กำเนิดที่เขา “สร้างทำ” ให้เกิดมี “ชีวิต” ด้วยความหมายทาง “ปรัชญา” อาจจะเรียกว่าเป็นของศักดิ์สิทธิ์อย่างหนึ่งที่มีชีวิตยาวนานด้วยวิธีทางพุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ โดยปกติดวงฤกษ์กำเนิดชนิดนี้ จะแก้ไขเพิ่มเติม (append) ได้ด้วยวิธีทำดวงฤกษ์อีกในที่ซ้ำดวงฤกษ์เดิม

คล้ายกับเราสมมุติว่า ดวงฤกษ์เดิมเป็นกฎหมายที่ตราไว้บังคับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราจะแก้ไขกฏหมายให้บังคับเพิ่มเติม หรือ ยกเลิกสิ่งใด เพราะไม่มีสิ่งนั้นแล้ว มีสิ่งอื่นเพิ่มเติม หรือ ความหมายทางปรัชญามันเปลี่ยนไป ก็ต้องใช้วิธีออกกฏหมายแก้ไขความหมายข้อความเดิม แต่การแก้นี้ไม่ได้สร้างกฎหมายใหม่ เพียงแก้ของเดิมให้ “เปลี่ยน ย้าย รับ สลับ” ความหมายเท่านั้น เหมือนกับ การสร้างดวงฤกษ์ เพื่อแก้ดวงฤกษ์ ความหมายดวงฤกษ์เดิมจะถูกแก้ไขด้วยวิธีนี้ไปได้เรื่อยๆ ตราบใดที่ “ปรัชญา” เดิม ยังใช้ได้ แต่ขอบเขตความหมาย (scope)เปลี่ยน แต่ถ้า “ปรัชญา” เปลี่ยนด้วย หรือ เปลี่ยนสถานที่ ก็อาจจะต้องวางดวงเมืองขึ้นใหม่ ดังนั้น ไม่ว่าดวงเมืองกรุงเทพ ดวงเมืองอู่ทอง ดวงเมืองธนบุรี โหรก็วางฤกษ์กำเนิดเพื่อแก้ความหมายในดวงประเทศทั้งนั้น ไม่ได้ถึงกับไปแก้ชะตาประเทศ เพราะชะตาประเทศเป็นเรื่องของธรรมชาติในโลก

สมัยก่อนเมืองไทยเรามีศึกศัตรูสงครามก็ด้วยการเดินเท้าทางบก หรือ มาทางน้ำเป็นกองทัพเรือบ้างก็มีขนาดไม่ใหญ่นัก ศัตรูก็เป็นประเทศที่มีพรมแดนเกือบจะชิดติดกัน แต่พอพ้นสมัยรัชกาลต้นๆมา ข้าศึกมาจากเมืองไกลจนแทบไม่น่าเชื่อ เช่นพวกล่าอาณานิคมต่างๆมาจากซีกโลกอื่น ปืนใหญ่ก็ส่งกระสุนมาทางอากาศเป็นกองทัพ ต่อมาก็เริ่มมีเครื่องบินใช้แล้ว ศัตรูกล้าแข็งที่เคยมาจากตะวันตกอย่างเดียว ก็เริ่มมาจากทางตะวันออกที่เคยวางใจได้ หรือ จากทางใต้ ที่เคยเป็นญาติพี่น้องร่วมสายเลือด สิ่งเหล่านี้แหละที่ความหมายทางปรัชญามันเปลี่ยนไป สิ่งที่โหรคิดได้ในแต่ละยุคสมัยก็จะเปลี่ยนความหมายไป การแก้ดวงเมืองด้วยดวงฤกษ์จึงต้องทำ แต่ก็ไม่ได้หลงใหลขนาดที่ว่า ทำดวงฤกษ์แล้วจะแก้ประเทศให้เปลี่ยนไปได้ตามใจหมาย เพราะหากทำเช่นนั้นได้ ก็ไม่ต้องพัฒนาประเทศ หรือ ไม่ต้องมีกองทัพไว้ป้องกันประเทศ ดังจะเห็นได้ว่า แม้ในรัชกาลต้นๆก็ยังมีแสนยานุภาพทางกองทัพบกมหาศาลอยู่ ความหมายของดวงเมืองที่คนทั่วไป แม้แต่ผู้ที่เรียนโหราศาสตร์ไม่รู้นั้น ยังมีอีกมาก

คนที่เอาดวงเมืองดวงใดมาทำนาย ต้องรู้ให้ลึกว่าเขาแก้อะไร แก้ทำไม ดวงเมืองคืออะไร ไม่ใช่เอามาทายแบบดวงคน หรือ มองตื้นๆว่าน่าจะวางฤกษ์ดวงเมืองใหม่ โดยเฉพาะคนที่ชอบตำหนิโหรที่วางดวงเมืองกรุงเทพว่าวางไว้ไม่ดี ไม่มีความรู้ เพราะใช้ปฏิทินแบบเก่า ทำให้ประเทศชาติลำบากยากจน หากให้หมอดูวางดวงเมืองกรุงเทพใหม่ (ใช้ปฏิทินแขก ฝรั่งสมัยใหม่) ประเทศไทยจะได้เจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นที่หนึ่งในโลกเสียที เออ อ่านแล้วก็ดูเข้าท่าดีแฮะ น่าจะเสนอแนะให้เปลี่ยนชื่อประเทศไทย เป็นใช้อักษรวรรคเดช วรรคศรีเสียด้วย ผมจะได้เข้าประกวดตั้งชื่อชิงรางวัลกับเขามั่ง


วรกุล - 9 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:57น. (IP: 203.107.200.17)

ความคิดเห็นที่ 5
เรียน อ.วรกุลที่เคารพ

รบกวนเรียนถามอาจารย์ครับ เนื่องจากผมยังศึกษามาน้อย จึงมองดวงชะตา เป็น มิติเดียว คือ ภาพนิ่ง ณ จุดอ้างอิงจุดหนึ่งอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ (แค่มองภาพนิ่งยังจับอะไรไว้ไม่ค่อยได้เลยครับ) เช่นนั้น การพัฒนาของดวงชะตาหรือวิวัฒนาการของดวงชะตา เราจะต้องรู้จักมองในอีกมิติหนึ่ง กลายเป็นมองสองมิติ (ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับดาวจร) ใช่ไหมครับ

ถ้าเช่นนั้น ในมิติที่สองเรา จะใช้หลักใดในการพิจารณาสภาวะความเป็นไปของดวงชะตาครับ

และเราจะพิจารณาได้อย่างไรว่า โครงสร้างดวงชะตาของแต่ละบุคคล คนไหนที่เรียกว่า ดวงแข็ง คนไหนที่เรียกว่า ดวงอ่อนครับ

ผมเรียนมาโหราศาสตร์มาระยะหนึ่ง แต่ติดขัดปัญหาไม่เข้าใจ หลายๆเรื่อง โดยเฉพาะการหาเหตุผลและที่มาที่ไปของหลักวิชาโหราศาสตร์ จึงแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และรู้สึกชื่นชมแนวทางของท่านอาจารย์วรกุลมากครับ

ขอบคุณมากนะครับที่กรุณาสละเวลาตอบคำถามให้กับพวกเราทุกคน


bcc - 9 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:08น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 6
ตอบ 5 คุณ bcc..........คำถามนี้ตอบยาก คุณสังเกตบ้างไหมว่า ตำราโหราศาสตร์ส่วนมาก พอสอนพื้นฐานจบก็มักจะจบเลย บางตำราก็ขึ้นดาวจรเอาไว้บ้าง แต่ก็มีแต่วิธีการสั้นๆ และก็มีน้อยมาก ทั้งนี้เพราะการพัฒนาไปของดวงชะตานี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้มีความเห็นเดียว และไม่มีวิธีเดียวที่เรียกว่าชะงัดได้ผลเพียงพอ เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะชีวิตความเป็นไปในธรรมชาติเป็นเรื่องที่ซับซ้อนในระหว่างปัจจัยจำนวนมาก รวมทั้งกรณีที่กรรมเดิมมาสนองตอบโดยที่ตรวจไม่ได้จากดวงชะตาโดยตรง ดังนั้นจึงมีกรรมวิธีในขั้นนี้หลายรูปแบบ ส่วนใหญ่จะสรุปได้เป็น 3 รูปแบบ ผมเคยเขียนไปนานแล้ว แต่ไม่ได้อธิบายลึก จึงอาจจะไม่เข้าใจ เอาเฉพาะในโหราศาสตร์ไทยก็แล้วกัน คือ

1/ การเคลื่อนตัวของปัจจัยเดิม พูดง่ายๆก็คือ ดวงเดิมนั่นแหละ ปกติมันเกาะติดธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติเคลื่อนไปตามกาลเวลา มันก็หมุนหรือ เคลื่อนตามไป เช่น การใช้กาลจักร ลัคน์จร ชันษาจร ทักษาจร เหล่านี้เป็นการเคลื่อนตามธรรมชาติที่มันอิงอาศัยอยู่ แต่อาศัยปัจจัยเดิมในตัวเองเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพใหม่

2/ การเคลื่อนมากระทบของปัจจัยจร ก็เช่นพวกดาวจรทับดาวเดิมนั่นเอง ปัจจัยเดิมอยุ่กับที่ แต่ปัจจัยจรมากระทบตัวมัน เกิดเป็นความดีร้าย

3/ การแปรผันของสิ่งที่ปัจจัยใช้ ปัจจัยเดิมไม่ได้เคลื่อน ปัจจัยจรก็ไม่ได้ดู แต่ความแปรผันเป็นวงรอบของสิ่งที่มาปรุงแต่งปัจจัยเดิม เช่น พลังงาน หรือ ธาตุในวงรอบอื่นๆ หรือ กรรม ทำให้ปัจจัยเดิม หรือ ดาวเดิมแต่ละอย่างเกิดความเกิดแก่เจ็บตาย ทุกข์สุข เป็นต้น ที่ใช้กันบ่อยก็กลุ่มดาวเสวยอายุ ตรีวัย ทั้งหลาย หลายแบบ

รูปแบบเช่นนี้มีหลากหลาย โดยมาก แต่ละวิชาจะเลือกแนวทาง หรือ วงรอบที่เข้ากันกับแนวทางที่ตนใช้ เพื่อเอามาพิจารณาให้ทราบว่าดวงชะตาพัฒนาการไปอย่างใด ซึ่งวิธีนี้จะเริ่มมีความไม่แม่นยำเกิดขึ้น เนื่องมาจากพัฒนาการจริงๆมันจะมาจากทุกสาเหตุมีอิทธิพลอยู่ หากเราเลือกเอามาเพียงบางอย่างมันก็จะไม่ค่อยแม่น บางทีแม่นก็แม่นเฉพาะบางกรณีที่มันตรงกับสาเหตุนั้น จะเห็นว่าพอเริ่มทำนายจร ผลการทำนายก็จะเริ่มไม่ค่อยได้ผลมากนัก ต่างกับที่ทำนายดวงเดิมแบบภาพนิ่ง มักจะแม่น ยืดอกได้บ่อย ถึงขั้นนี้แล้ว พวกที่ได้ประโยชน์ที่สุดคือ พวกที่ไม่คิดเรื่องการพยากรณ์ แต่คิดศึกษาชีวิตและธรรมชาติ เพราะได้เห็นสาเหตุหลายๆทางของความไม่แน่นอนในธรรมชาติ เอามาเป็นคติในการดำเนินชีวิต

หากเราทราบวิธี ก็ลองเลือกใช้วิธีใดที่เป็นเอก ทั้งสามกลุ่มเอามาอย่างละวิธีก็ได้ คนที่ชำนาญแล้วเขาจะทำเช่นนี้แหละ แต่เรามองจับไม่ทันรู้เอง แต่ควรจะรู้ว่าแต่ละวิธีที่มีการสอนอยู่ดาษดื่น หรือ มีในตำราทั่วไปอาจจะแม่นยำได้เพียงสัก 50 - 60% พวกมืออาชีพ หรือ อาจารย์ หรือ เซียนเลย มักจะมีวิธีเฉพาะของตนเอง ที่ไม่ได้บอกใครอยู่ มีประสิทธิภาพกว่า จาก 70 – 90% ขึ้นไป และยังทำอะไรอย่างอื่นได้ต่อเนื่องไปอีก เรื่องนี้มีโอกาสก็จะเขียนต่อไปจากระดับมัธยมว่าเขาทำอะไรกันอีกบ้าง

การดูในแต่ละกลุ่มแต่ละวิธี ต้องดูว่ามีครูดีๆสอนให้ไหม พวกที่มัวแต่ไปจับสถิติรับรองว่า อาจจะล้มเหลว เพราะกรณีเหตุการณ์ที่เราจับอยู่ยังไม่รู้ว่ามาจากสาเหตุกลุ่มไหน ทำให้บางคนทายแม่นเผงเป็นบางเรื่อง เพราะมันมาเข้าทางเขาเข้าพอดีก็เลยโม้ใหญ่ แต่พอเอาดวงอื่นมาให้ดูทายไม่ถูกเลย นอกจากคนที่ใช้สัก 2 วิธีขึ้นไปร่วมกัน ก็จะปิดจุดอ่อนได้ดีขึ้น หากเฉลี่ยกันยาวๆ ทำนายดวงเยอะๆ ยากๆ พวกวิชาธาตุควรจะสะดวกสุด เพราะมีวิธีทั้งสามแบบใช้ข้อมูลชุดเดียวกัน ไม่เหมือนวิธีอื่นที่เราเลือก อาจจะไม่เข้ากัน ต้องเอาผลเฉพาะแต่ละวิธีมาตอบอย่างเดียว ส่วนเรื่องดวงแข็งดวงอ่อน เป็นคำพูดแบบง่ายๆที่เราศึกษาเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายลึกล้ำอะไร คนเขาอยากรู้อย่างเดียวว่าดวงมันเป็นอย่างไรเท่านั้น


วรกุล - 10 สิงหาคม พ.ศ.2549 05:04น. (IP: 203.107.200.210)

ความคิดเห็นที่ 7
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณครับอาจารย์ คำอธิบายของอาจารย์ทำให้ผมเข้าใจขึ้นมากเลยครับ

วันก่อน พอว่างจากงาน ผมก็มานั่งนึกว่า เอ...เราจะยึดหลักวิชาของอาจารย์ท่านไหนเป็นพื้นฐานทั้งการพยากรณ์พื้นดวงและพยากรณ์จรดี คงต้อง back to basics แล้วใช่ไหมครับ คงต้องอย่างที่อาจารย์กล่าวไว้ เราต้องพยายามเข้าใจว่ามันเป็นเรื่องของชีวิตและธรรมชาติ การที่เราคิดว่าเราอยากจะพยากรณ์ให้ได้แม่นยำ กลายเป็นว่า เป็นม่านบังตาให้เรามองไม่เห็นสัจธรรมข้อนี้

แปลกดีนะครับ วันก่อนหลังจากทบทวนบทความต่างๆของอาจารย์ในกระทู้ต่างๆ ได้นำแนวทางของอาจารย์ลองดูดวงของญาติ ซึ่งเค้าเคยอนุญาตไว้แล้ว (แต่ผมไม่กล้าไปดูดวง หรือทำนายดวงให้ใคร ได้แต่ดูศึกษาของเราเงียบๆ) แม้จะยังจับหลักวิชาอาจารย์ได้ไม่แม่นนัก แต่กลับรู้สึกว่าเราเข้าใจดวงเค้ามากขึ้น เหมือนเข้าใจชีวิตเค้าอ่ะครับ เพราะผมพอทราบว่าชีวิตเค้าที่ผ่านมาเป็นอย่างไร และเมื่อใช้หลักการของอาจารย์ลองดู ก็ให้รู้สึกว่า เราเข้าใจเหตุผลว่า ทำไมชีวิตเค้าถึงเป็นอย่างนั้น แม้จะเข้าใจเพียงงูๆปลาๆ แต่ก็นับว่า ผมได้พื้นฐานที่ดีจากอาจารย์ครับ

อยากเรียนถามอาจารย์เพิ่มเติมได้ไหมครับว่า ผมอยากค้นคว้า โหราศาสตร์เรื่องระบบธาตุ แต่สอบถามตามร้านหนังสือไม่มี หนังสือด้านนี้เลยครับ ถ้าเช่นนั้น เราต้องไปหาอ่าน หรือคัดสำเนาจากหอสมุดแห่งชาติใช่ไหมครับ ที่นั่นยังพอมีข้อมูลบ้างไหมครับ

รบกวนอาจารย์จริงๆครับ แต่อยากเรียนรู้มากกว่านี้อ่ะครับ


bcc - 10 สิงหาคม พ.ศ.2549 08:50น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 8
ตอบ 5 คุณ bcc..........โหราศาสตร์ระบบธาตุมีน้อยมากในห้องสมุด เป็นแค่ส่วนสั้นๆ ไม่ได้อธิบายอะไร ผมเคยค้นคว้าในหอสมุดมาก่อนหลายแห่ง มาภายหลังจึงทราบว่าไม่มี และห้องสมุดเองก็จะต้องมีหนังสือที่พิมพ์ขายอยู่ด้วย ที่พิมพ์ขายอยู่ก็ไม่มี ที่เป็นเอกสารเก่าแบบบันทึกลายมือ พอมีอยู่ในบ้านของโหรบางท่านที่เขาได้รับตกทอดมาจากผู้ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้อธิบายแบบตำรา

ที่จริงการเรียนโหราศาสตร์ระบบธาตุควรจะต้องเรียนพร้อมโหราศาสตร์เบื้องต้น โดยจะต้องเรียนแบบแทรกเข้าไปตอนต่อตอน เพื่อให้รู้ที่มาของหลักวิชาแต่ละเรื่อง แต่การทำตำราเช่นนั้นจะทำไม่ได้ เพราะผู้เรียนโหราศาสตร์ที่ไม่มีพื้นความรู้อ่านเข้าก็จะงง หนังสือก็จะหนาไปด้วยคำสอนทางธาตุซึ่งเป็นปรัชญา มีเพียงวิธีทำนายแทรกเล็กน้อย หนังสือไม่มีทางขายได้ ในทางปฏิบัติหลายสิบปีที่ผ่านมา จึงกลายเป็นต้องเรียนต่อจากการเรียนโหราศาสตร์ทั่วไปจบแล้ว แม้กระนั้น ก็ยังพบว่า ผู้เรียนเรียนกันไม่ค่อยได้ เพราะต้องใช้ความคิดเป็นจึงจะเข้าใจ หากอ่านหนังสือเองก็ไม่รู้จะไปถามใคร การถ่ายทอดวิชานี้จึงต้องทำด้วยวิธี มุขปาฐะ หรือ ด้วยวาจา ตัวต่อตัว และครูผู้สอนก็ต้องได้รับอนุญาตมาแล้วว่าเข้าใจจบบริบูรณ์จึงให้ถ่ายทอดได้ หากไม่สอนตัวต่อตัวแล้วเขียนเป็นตำรา ก็ต้องเขียนยาวมาก เพื่อให้ครอบคลุมทุกเรื่องทุกราวที่อาจจะคิดผิดทาง เพราะหากคิดผิดทางหลงทางไป ก็จะไม่รู้ว่าจะกลับมาคิดตั้งต้นตรงไหน แบบนี้รับรองว่าใครเขียนขายก็เจ๊ง

พวกเราบางคนที่เคยเรียนสูงกว่าปริญญาตรีอาจจะเข้าใจดี เมื่อเราเรียนในระดับประถม ถึงปริญญาตรีในเมืองไทย ส่วนใหญ่หนังสือตำราไม่ว่าวิชาอะไรของไทย มักจะคั้นจนเหลือข้อความที่เหลือเป็นสูตร และสิ่งที่ต้องใช้ในขั้นสุดท้ายโดยไม่ค่อยได้รู้ที่มาที่ไป แม้จะพยายามเปลี่ยนหลักสูตรกันมานับสิบๆปีแล้ว ก็ยังไม่ดีขึ้น ทำให้คนไทยเราที่เรียนวิชาชีพต่างๆ รู้เพียงแค่ในตำรา อะไรที่ยุ่งๆก็เรียนเพียงแค่สอบผ่าน แล้วได้รับปริญญามาโก้ๆ ใครถามอะไรก็ตั้งสูตร ตั้งไม่ได้ก็จบ เพียงแค่เรื่องง่ายๆก็ยังไม่รู้ บ้านเมืองเราจึงยุ่งเหยิงวุ่นวายอยู่จนทุกวันนี้ ของเก่าที่ดีๆก็ไม่รักษาไว้ ของใหม่ก็เรียนลวกๆ บางอาชีพทำให้คนตายไปมากมายก็ไม่รู้สำนึก พอใครเรียนปริญญาโทจึงค่อยถูกบังคับให้ไปค้นคว้ามาใหม่ แต่บางแห่งก็ยังทำลวกๆเพื่อขายปริญญาอยู่นั่นเอง ปริญญาเอกจำนวนมากก็ไม่รู้เรื่องต้นตอวิชาที่เขาควรจะเชี่ยวชาญก็มี

ยกตัวอย่างเคยมีหนังสือภาษาไทยบางเล่ม ผมเคยเรียนแล้วใช้เป็นคู่มือในวิชาที่ผมเรียน เขาอ้างชื่อตำราภาษาอังกฤษเอาไว้ แล้วได้มีโอกาสไปอ่านตำราที่ว่านั่นตัวจริงในห้องสมุดต่างประเทศ เห็นแล้วก็ตกใจ เพราะตำรานั้นชุดหนึ่งมีสิบเล่ม แต่ละเล่มหนาขนาดสมุดโทรศัพท์หน้าเหลือง เต็มไปด้วยข้อความบรรยาย เกือบห้าสิบหน้าจึงจะมีสูตรสักสูตรหนึ่ง ผมต้องอ่านอยู่ร่วมปีกว่าจะจบ แต่ตำราไทยที่ให้นักศึกษาปริญญาตรีเรียน หนาแค่หนึ่งซ.ม. เอาสูตรมาลงไว้สั้นๆเท่านั้น ตัดทิ้งไป 99% เป็นการตัดส่วนที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งทิ้งไป ดังนั้น คุณภาพของการเรียนและความเข้าใจจึงเทียบกันไม่ได้

ที่ผมเขียนมาไม่ใช่วิชาธาตุทั้งหมด แต่ส่วนมากก็เป็นสิ่งที่ควรรู้และเรียนกันเด็กๆในสำนักโหรสมัยก่อนเท่านั้นเอง คนที่จบโหราศาสตร์ชั้นสูงเดี๋ยวนี้ บางคนถามอะไรง่ายๆก็ยังไม่รู้ อย่างเช่น ถามว่า นักษัตร (ชวด ฉลู ขาล ฯลฯ) ของไทย เปลี่ยนเมื่อวันเวลาใด เขาจะตอบง่ายๆว่า “ก็เปิดปฏิทินดู” หาคนตอบตรงๆว่า “นักษัตรเปลี่ยนเมื่อใด” หาได้ยาก แต่เรามีอาจารย์ทั่วบ้านทั่วเมือง ทีนี้ มีใครมาพูดถึงวิชาจริงๆ ก็จะกลายเป็นคนส่วนน้อย ถูกด่าบ้าง เสียดสีบ้าง ก็จะหายไป ทิ้งไว้ให้ความเขลาครองเมืองไปทั่วทุกวงการ ผู้คนก็ซื้อแต่โปรแกรมคอมพิวเตอร์เอามากดๆๆๆ แล้วก็ทำนาย หรือ ไม่คอมพิวเตอร์ก็ทำนายให้ด้วย เมืองไทยจึงเป็นอย่างนี้แหละ

วิชาธาตุที่ผมเอามาเขียนนี้ เป็นเพียงส่วนนิดเดียวเท่านั้น และก็เป็นเพียงแค่เบื้องต้นที่เห็นว่า พอจะเข้าใจได้ ส่วนที่เหลืออีกมาก ยังมีสิ่งที่ไม่กล้าเขียน และเขียนไม่ได้ เพราะต้องบรรยายสิ่งที่ผู้อ่านไม่เคยรู้มาก่อนเลย เวลาก็ไม่มีมากไปกว่านี้อีก ดังนั้น ผมจึงไม่ได้คิดมาสอนวิชาธาตุในที่นี้ แต่อยากจะแนะให้เห็นข้อคิดบางประการที่เป็นประโยชน์ต่อความเข้าใจโหราศาสตร์เท่านั้นเอง วิชานี้ในส่วนที่สูงขึ้นไป เป็นวิชาของนักคิดสมัยโบราณ ที่คิด ต่อยอด ตกทอดกันมานานมาก ดังนั้น หากจะเข้าถึงได้ เราก็ต้องมาคิดมุมเดียวกับเขาให้ได้เสียก่อน แล้วจึงจะรู้เหตุผลต้นตอทั้งหมดในโหราศาสตร์ไทยที่เราเรียน


วรกุล - 11 สิงหาคม พ.ศ.2549 05:11น. (IP: 203.107.201.214)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน อ.วรกุล

ขอบคุณมากครับอาจารย์ ได้ความรู้อีกเยอะเลยครับ ถ้าไม่ได้มาอ่านบทความของอาจารย์ในเว็บนี้ ผมคงเข้าใจอะไรคลาดเคลื่อนอีกมาก

ช่วงก่อนหน้านี้ กำลังสับสนกับกฏเกณฑ์อะไรต่างๆที่มันขัดแย้งกันเอง พอได้อ่านบทความอาจารย์ก็เลยพยายามจับแบบหลวมๆ แค่รู้ไว้เฉยๆ แต่ไม่พยายามไปจดจำเป็นกฏตายตัว ตอนนี้เลยนั่งจดบางเรื่องที่คิดว่าต้องพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่ตามที่อาจารย์กรุณาแนะนำครับ

ขอบคุณมากนะครับ และขอให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงและเป็นที่พึ่งทางโหราศาสตร์ของพวกเราทุกคนไปนานๆครับ


bcc - 11 สิงหาคม พ.ศ.2549 08:56น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 10
เรียนอาจารย์วรกุล

ขอรบกวนอีกครั้งนะคะ และต้องบอกอาจารย์ก่อนว่าที่เรียนถามนี้ไม่ได้ลองวิชา หรือท้าทายอะไรทั้งสิ้น แค่อยากทราบเรื่องเกี่ยวกับโหราศาสตร์เท่านั้นเองค่ะ

ก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นคนที่เชื่อเรื่องดวงชะตา หรือให้หมอดูพยากรณ์ดวงชะตาให้ แต่เชื่อในเรื่องกรรม และการกระทำว่าทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น และสาเหตุที่เข้ามาเรียนถามทั้งในกระทู้ของอาจารย์วรกุล และอาจารย์ศุภกร นั้นเกิดจากอดีตแฟนใช้ข้ออ้างในการบอกเลิกว่าดิฉันกับเขาไม่คู่ควรกันเพราะดิฉันวาสนาน้อยกว่าเขามาก หากอยู่ไปจะดึงเขาให้ตกต่ำ ไม่เจริญ ซึ่งดิฉันเองมองว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้นจึงได้พยายามหาคำตอบ ซึ่งอาจารย์วรกุลก็ได้ตอบมาแล้ว

ดิฉันเพิ่งได้รับคำตอบเรื่องนี้จาก อ.บุศพันธ์ หรือ อ.บุศรินทร์ ปัทมาคม ซึ่งจะตอบปัญหาชะตาชีวิตให้กับหนังสือพิมพ์ข่าวสดซึ่งตอบกลับมามีใจความโดยย่อว่า ผู้ชายคนนี้ตัดสินใจถูกต้องแล้วที่นำเอาโหราศาสตร์มาช่วยในการตัดสินใจ และดิฉันวาสนาน้อยกว่าเขาจริงๆและยังแนะนำให้ดิฉันอย่าไปแข่งวาสนากับใคร ซึ่งดิฉันไม่คิดจะแข่งกับใครอยู่แล้วละค่ะ คิดว่าที่มาได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว จากลูกชาวนาจนๆ ได้เรียนหนังสือในมหาวิทยาลัยของรัฐที่ใครๆก็อยากเข้าเรียน ทำงานในบริษัทมหาชนชั้นนำ เงินเดือนก็พอเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้ (แถมยังให้อดีตแฟนใช้ด้วยค่ะ) แค่นี้ชีวิตก็มาไกลเกินกว่าที่คิดไว้มากแล้ว

ส่วนอดีตแฟนของดิฉันนั้นมีพ่อเป็นครูที่เกษียณอายุแล้ว แม่เป็นแม่บ้าน เราเรียน ม.ปลายมาด้วยกัน แต่แยกกันเรียนเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย เขาใช้เวลาเรียน 10 ปี ซึ่งปกติสาขานี้ต้องจบภายใน 6 ปี และจบแบบเฉียดรีไทร์ (เกรด 2.01) ที่ผ่านมาเขามีปัญหาสุขภาพจิตจนต้องหยุดเรียนไป 1 เทอม จนเมื่อดิฉันเรียนจบและกลับมาพบเขาอีกครั้ง ด้วยความเป็นเพื่อนก็ช่วยเขาเท่าที่จะช่วยได้ จนกลายเป็นความรัก เขาเคยบอกว่าถ้าไม่มีดิฉันเขาคงเรียนไม่จบ แต่เมื่อเรียนจบ ได้รับราชการเขาก็มีคนใหม่ และขอให้ดิฉันเลิกกับเขา ยอมรับค่ะว่าเสียใจจนกลายเป็นความแค้น เพราะรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง แรกๆ ทำใจไม่ได้ แต่ต่อมาก็คิดว่าเราคงทำกับเขาไว้ชาติก่อน เขาคงมาเอาคืนในชาตินี้ และรู้สึกว่าโชคดีแล้วที่รอดจากผู้ชายคนนี้มาได้ และดิฉันคงวาสนาน้อยจริงๆ ตามที่เขาอ้าง

ที่เล่ามาเป็นข้อมูลที่อยากอาจารย์ช่วยวิเคราะห์ค่ะ อยากถามอาจารย์วรกุลค่ะว่าวาสนาของคนแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับอะไร หากพื้นฐานชีวิตของคนสองคนไม่ได้เริ่มต้นที่จุดที่ใกล้เคียงกันเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันจะเปรียบเทียบจากอะไร และมันเปรียบเทียบกันได้จริงๆ หรือค่ะ

ทานตะวัน


ทานตะวัน - 12 สิงหาคม พ.ศ.2549 18:11น. (IP: 203.150.202.226)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบ 10 คุณทานตะวัน........เห็นใจและเข้าใจเรื่องของคุณ คุณคงจะไม่ได้ตั้งใจจะถามผมนักแต่คงอยากจะถามใครบางคนมากกว่า ผมจะตอบให้แทน ก็คงตอบไม่เหมือนคนที่เอาคำพูดเหล่านั้นมาพูดเอง อย่างที่ผมตอบไปคราวก่อนว่า

ผมเคยบอกไว้ในกระทู้แล้วว่า ในเมืองไทยเรา มักจะมีหมอดูเฮงซวยชอบทำนายทายทักว่า ดวงคนนั้น คนนี้มีลูกเมีย สามีเป็นพินทุบาทว์บ้าง เป็นกาลกิณีบ้าง ทำให้เขาบ้านแตกสาแหรกขาด อย่างที่คุณเล่าว่าแฟนคุณอ้าง หมอดูทำนายว่าดวงของดิฉันไม่ได้เป็นเนื้อคู่ หรือคู่ครองของเขา และดิฉันเป็นคนที่มีวาสนาน้อย เมื่อเปรียบเทียบกับวาสนาของเขาแล้วถือว่าเป็นคนละชั้นกันไม่คู่ควรที่จะมาอยู่ด้วยกัน เพราะจะดึงเขาให้ตกต่ำ ไม่เจริญเท่าที่ควรจะเป็น คำพูดแบบนี้ ถ้าจะให้เดาก็เป็นพวกหมอดูที่ไม่มีความรู้ ต้นตอของคำพูดและความคิดนี้มาจากวัฒนธรรมชาวบ้านและคนไร้การศึกษา.......

วาสนาของคนแต่ละคนนั้น ขึ้นอยู่กับอะไร หากพื้นฐานชีวิตของคนสองคนไม่ได้เริ่มต้นที่จุดที่ใกล้เคียงกันเมื่อนำมาเปรียบเทียบกันจะเปรียบเทียบจากอะไร และมันเปรียบเทียบกันได้จริงๆ หรือค่ะ

......วาสนาของคน คือ เกิดมาแล้วมีสติปัญญา ไม่เต็มไปด้วยความโลภ โกรธ หลง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นความเศร้าหมองที่เกาะเกี่ยวอยู่ในจิต ทำให้จิตมุ่งไปในทางต่ำ แม้บุคคลจะมีภูมิความคิดที่จะแสวงหาลาภ ยศ ชื่อเสียง ความสุข โภคสมบัติ ที่โลกยกย่องได้บริบูรณ์เพียงใด แต่หวังเอาตัวรอดเพียงได้เสวยความสุขสะดวกสบายส่วนตน โหรก็ถือว่าผู้นั้นหาความเจริญไม่ได้ ผู้ใดมีจิตเมตตากรุณา อุทิศปัญญาของตนกระทำเพื่อผู้อื่น แม้เพียงชั่วขณะหนึ่ง จิตเปี่ยมด้วยจาคะ เสียสละไม่คิดถึงแม้ความสุข สนุกสบายของตนเอง เพียงจิตมีเจตนา(เช่นนั้น)แต่เพียงนิดเดียว ก็นับว่าบุคคลนั้นเข้าสู่ทางเจริญแล้ว เพราะเจตนาอันน้อยนิดนั่นแหละที่เป็นเชื้อแห่งโพธิจิต ที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้เพาะให้มีความเจริญขึ้น จนได้บรรลุถึงซึ่งพระโพธิธรรมอันเป็นยอดแห่งความเจริญทั้งหลายที่มีมาในโลก........เราเมื่อได้ชื่อว่าเป็นโหร ก็จะต้องปฏิบัติให้มีความเจริญเป็นตัวอย่างก่อน ที่จะไปพยากรณ์ความเจริญของผู้อื่น........

.......พวกเราเป็นโหร ต้องเคารพตนเองก่อนที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดมาเคารพนับถือเรา (สิ่งนั้น)ไม่จำเป็นเลย พึงวางจิตเอาไว้ให้ปราศจากอคติ ใช้วิชาแท้ด้วยจิตเมตตา หวังเปลื้องทุกข์ให้แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก โดยไม่หวังรับเอาชื่อเสียงส่วนตน หากตัวเราเองยังเอาตัวรอดจากอคติ ให้เบาบางลงไม่ได้ ก็อย่าคิดเลยที่จะไปชี้ทางเดินชีวิตของผู้อื่น ให้เป็นบาปไปเปล่าๆ..........โอวาทท่านครู เอียด เซ่งมณี (หลวงภัทรประดิษฐ์ – ครูโหรใหญ่สายวิชาธาตุ)

ผมว่าคุณโชคดีต่างหากที่ได้รู้ถึงนิสัยใจคอ และสติปัญญาของชายคนนั้นก่อนที่จะสายเกินไป หากถึงกับหลวมตัวไปร่วมชีวิต ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนเช่นนั้น แทนที่จะเสียใจเพียงเล็กน้อยช่วงเวลาสั้นๆ แต่กลับจะต้องเสียใจไปตลอดทั้งชีวิต ชีวิตคนเรานั้นไม่สำคัญอยู่ที่ว่าเริ่มจากอะไร มีอะไรมากมายแค่ไหน มีชื่อเสียงรุ่งเรืองและมีคนยกย่องนับถือเพียงใด หากไม่มีใจกตัญญูรู้คุณ ก็เหมือนคนที่โมฆะ ว่างเปล่า ไร้ค่า ไม่ควรแก่การที่ผู้หนึ่งผู้ใดมาเสียดมเสียดาย โบราณว่า “อย่าเห็นกงจักร เป็นดอกบัว” กงจักรนั้นเกิดแต่กรรม เขาเอาไว้ลงโทษสัตว์นรก สัตว์ผู้ใดมีบาปเวรกรรมหนาก็จะเห็นเป็นมงกุฎดอกบัวอันงดงาม และอยากได้กงจักรนั้นมาหมุนผันอยู่บนศีรษะตนเอง ก็จะต้องทนทุกข์เวทนาจนกว่าจะสิ้นกรรมอันนั้น หากเราหยุดคิดเช่นนี้ นึกถึงความโชคดีที่เรารอดพ้นผ่านมาได้ ละทิ้งความคิดแค้น แต่อุทิศสิ่งที่ให้ไปแล้วด้วยใจเมตตา จะกรวดน้ำให้ไปเลยก็ได้ ทำใจให้สบาย หันมาตั้งใจให้บริสุทธิ์ใหม่ เห็นแก่คุณพ่อคุณแม่ของเราที่ได้เลี้ยงดูเรามา ได้เรียน ได้เติบโตจนมีสติปัญญาทำงานมาได้จนป่านนี้ ดำเนินชีวิตของเราไปตามปกติ วันข้างหน้ายังมีอีกยาวไกล เรายังจะได้พบคนดีๆกว่านี้อีกมากมายนัก จะไปห่วงพะวงอะไรกับกงจักรที่ไร้ค่า ทำให้ใจเศร้าหมองไปอีกทำไม แม้แต่การเอาสมองไปคิดถึง หรือ พูดถึง ก็นับว่าขาดทุนไปมากแล้ว


วรกุล - 13 สิงหาคม พ.ศ.2549 14:26น. (IP: 203.107.203.85)

ความคิดเห็นที่ 12
เรียน ถาม อ.วรกุล

ได้อ่านที่อ.วรกุล อธิบายเรื่องธาตุต่างๆ ในจักรวาลแล้ว เอะใจว่า เน้นเฉพาะธาตุท้องฟ้าที่เกิดจากการโคจรของดวงอาทิตย์ คือ ระบบธาตุทางราศีจักร และระบบธาตุของดวงโลกคือ ทักษา

มีคำถามว่าแล้วระบบธาตุในการโคจรระบบจันทรคติมีผลไหมครับ เพราะใน ๑ ฤกษ์ก็มีการจัดระบบธาตุเหมือนกันตามบาทฤกษ์ เรียงเป็นปฐม ทุติย ตติย จตุถ เป็น ไฟ ดิน ลม น้ำ เรียงต่อกันไปในฤกษ์ตลอด วงจักร

ซึ่งถ้าดูจากการกระตุ้นระบบธาตุแล้ว โลกหมุน ๑ วันจะกระตุ้นการไหวตัวของธาตุได้เกือบครบ ๑ รอบจักร ส่วนดวงจันทร์ที่โคจรไป ก็โคจรครบ ๔ ธาตุเหมือนกัน (คือ ๔ บาทใน ๑ ฤกษ์)โดยมีอาจารย์บางท่านแนะนำผมว่า ดูทางจันทรคติจะกระทบระบบธาตุได้เร็วกว่า เพราะธาตุทางอาทิตย์หมายถึง วัตถุ และ สังขาร ซึ่งเปลี่ยนแปรช้า ส่วนธาตุทางจันทร์ คือ อารมณ์ และระบบหมุนเวียนโลหิต+ฮอร์โมน ซึ่งเปลียนแปลงไวกว่า และกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม และพฤติการต่างๆ ได้ไวกว่า

รบกวนอ.วรกุล ช่วยอธิบาย หรือ แสดงความเห็นตามแนวทางของอาจารย์ด้วยครับ จะเป็นคุณอย่างยิ่ง


ภูมิ - 13 สิงหาคม พ.ศ.2549 15:21น. (IP: 203.170.228.172)

ความคิดเห็นที่ 13
ขอบคุณมากค่ะ

เข้าใจเรื่องโหราศาสตร์มากขึ้น และเรื่องบางเรื่องคิดไปก็เท่านั้น ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นสักหน่อย แต่ก็ยังคิดอยู่นั่นแหละค่ะ จะพยายามปล่อยวางให้มากขึ้น แล้วกรวดน้ำคว่ำขันให้เขาไปเจอคนดีๆ ก็แล้วกัน

ขอบคุณค่ะ


ทานตะวัน - 14 สิงหาคม พ.ศ.2549 14:48น. (IP: 203.150.202.226)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบ 12 คุณ ภูมิ..........คุณเป็นคนที่ตั้งคำถามดีคนหนึ่งนะครับ หากอ่านตั้งแต่แรกๆมาจะเข้าใจว่าเหตุใดจึงผมกล่าวถึงดวงอาทิตย์มากกว่าอย่างอื่น ก็เพราะว่า ในระบบโหราศาสตร์เดิม ถือว่าเรื่องทั้งหลายเริ่มต้นมาจากดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นแหล่งของธาตุ แสง และพลังงาน ทำให้เกิดระบบธาตุในจักรวาล(จักรราศี) ระบบธาตุในดาวฤกษ์ ระบบธาตุในชั้นบรรยากาศ และระบบธาตุในธรณี(โลก) ซึ่งทั้งหมดมีผลต่อระบบธาตุในดวงชะตา ในโหราศาสตร์ไทย และตะวันออก ดวงอาทิตย์ก่อกำเนิดธาตุต่างๆ ได้แก่ ธาตุดาว (รวมทั้งธาตุอาทิตย์ ซึ่งเป็นธาตุดาวชนิดหนึ่ง เท่าเทียมกับธาตุดาวอื่น) เกษตรธาตุ สภาวะธาตุ วัตถุธาตุ(เช่น ดาวจริง) ชีวะธาตุ วิญญาณธาตุ เป็นต้น ซึ่งยังแต่ละธาตุแบ่งแยกย่อยออกได้เป็นหลายชนิด

ดาวต่างๆ ถือเป็นวัตถุธาตุอย่างหนึ่ง เมื่อรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ก็จะกระจายธาตุออกมาเป็นธาตุดาวและเกษตรธาตุ ธาตุเหล่านี้เมื่อส่งมายังโลก ก็จะมีผลต่อระบบธาตุในดวงชะตาของสิ่งมีชีวิตบนโลก ดวงชะตา เกิดจากโลกหมุน และดวงอาทิตย์ (มองจากโลก) เคลื่อนที่ เพราะโลกหมุนนี่เอง ทำให้เกิดเรื่องราวหลากหลายในวิชาโหราศาสตร์ ผลจากการที่โลกหมุนนั้น หนึ่ง ทำให้มีวงจร(จักร)หลายวงจรที่เคลื่อนตัวไปพร้อมกับโลก หรือ สอง วงจร(จักร)บางอย่างอยู่กับที่ แต่โลกหมุนเคลื่อนที่ตัดเข้าไปไปในวงจรเหล่านั้น แต่ละวงจรเหล่านี้นี่เอง ที่โหราศาสตร์แต่ละระบบนำมาใช้ทำนายในระบบของตน ธาตุเหล่านี้เข้ามาสู่โลกไม่สม่ำเสมอเท่ากันทุกจุด แต่โลกเคลื่อนที่หมุนอยุ่ในวงกลมเหล่านี้ สิ่งมีชีวิตที่อยู่บนจุดคงที่บนโลกจึงหมุนไปผ่านไปทุกจุดเหล่านั้นได้ครบในรอบวันหนึ่ง

ฤกษ์ เป็นส่วนประกอบของวงจรในระบบธาตุดาวฤกษ์ ซึ่งอยู่ในทรงกลมฟ้า ที่เราสนใจคือเฉพาะส่วนที่เป็นวงกลมคู่ขนานเดียวกับระวิมรรคของจักรราศี เนื่องจากตำแหน่งบนวงกลม มีแหล่งสนามธาตุและคุณสมบัติตามตำแหน่งต่างๆไม่เหมือนกัน เราจึงกำหนดชื่อเพื่อเรียกแหล่งสนามธาตุเหล่านี้ว่า “ฤกษ์” โหราศาสตร์จะกำหนดจำนวนฤกษ์เอาไว้ 27 – 28 ฤกษ์ ก็เพื่อให้สัมพันธ์กับดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลกในหนึ่งเดือน ที่เรียกว่า ดิถี ดังนั้นการที่ใช้จันทรคติ หรือสุริยคติ ก็จะสมนัยกัน ระบบธาตุทางจันทรคติเป็นเพียงคาบเวลาที่ใช้วัดเท่านั้นเอง และก็หมายถึงระบบธาตุในชั้นบรรยากาศ ไม่ได้เป็นระบบธาตุแหล่งอื่นที่แตกต่างออกไป

สิ่งที่ส่งผ่านเข้ามายังโลกมีทั้ง ธาตุจากดาวฤกษ์ รวมทั้งพลังงานและธาตุจากดาวเคราะห์ด้วย แนวตั้งรับธาตุของโลก จึงเป็นเปลือกบางๆที่อยู่ในช่วงชั้นบรรยากาศ มองดูแล้วเหมือนกับเป็นชั้นวงกลม คือ จักร ที่แบ่งส่วนเอาไว้ให้เข้าตรงกันกับธาตุที่ส่งมาจากดาวฤกษ์ หรือ ดาวเคราะห์ โหราศาสตร์ไทยเรียกส่วนเหล่านี้ว่า “บาท” หมายถึง บัญญัติรองรับ เพื่อแสดงตำแหน่งที่ปรากฏ เช่นบาทจันทร์ บาทฤกษ์ ซึ่งอันที่จริงบาทจะมีขนาดถี่ห่างเท่าใดก็ได้ แต่ที่ใช้กันทางจันทรคติ คือ 4 บาท เป็น 1 ฤกษ์ นั้นก็เพื่อให้เข้ากันกับ “บาท” ของธาตุดาวเคราะห์ในจักรราศีซึ่งมี นวางค์ตรงกัน

สิ่งสำคัญที่เกิดจาก จักรของฤกษ์ ซึ่งเป็นลักษณะของวงจรอยู่ในระบบธาตุในชั้นบรรยากาศด้วย นั่นก็คือ ธาตุจะมาออกันอยู่เพื่อเพิ่มสะสมพลังงานและธาตุ อยู่ในแต่ละฤกษ์ เหตุผลที่ธาตุออกันอยู่ไม่ลงมาเลยทีเดียวก็เพราะยังมีความยึดเหนี่ยวของแหล่งธาตุที่เป็นต้นเหตุอยู่ หากจะให้ธาตุลงมาสู่โลก เราต้องอาศัยการตัดแรงยึดเหนี่ยวของธาตุด้วยวัตถุธาตุ (ดาวจริง) ดังนั้นดาวทั้งหลายที่มีรูปวัตถุธาตุที่ปรากฏ (เคยเขียนแล้ว) ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ (แม้แต่ มฤตยู เนปจูน พลูโต) ก็ล้วนแล้วแต่สามารถตัดกระแสธาตุได้ทั้งนั้น เมื่อดาวเคลื่อนตัดกระแสธาตุในบาทฤกษ์ใด ธาตุนั้นจึงจะลงมาสู่โลกได้

ดาวต่างๆที่ตัดกระแสธาตุในแต่ละฤกษ์ กว่าจะครบรอบวงจร(จักร)ของบาทฤกษ์มักกินเวลานานมาก ทำให้ธาตุเปลี่ยน คุณสมบัติ ไปเสียก่อน (เกิดจากกลไกของระบบธาตุในชั้นบรรยากาศ) เพราะธาตุดาวเองก็ต้องอาศัยรอพลังงานธาตุ จากแหล่งอื่น ดังนั้น เมื่อมองในบัญชีวัตถุธาตุทั้งหลายในย่อหน้าที่แล้ว จึงมีเพียงที่นิยมเลือกใช้กันเพียงสี่อย่างคือ “จันทร์ ลัคนา อาทิตย์ และ พฤหัส” ลัคนานั้นไม่ใช่ดาวที่เป็นวัตถุธาตุ แต่เคลื่อนตัดกระแสธาตุได้ในรอบเดียวที่โลกหมุนหนึ่งวัน จะเอาไปไว้กล่าววันหลังเพราะเป็นเรื่องมากที่สุด ส่วนดาวอีก 3 ดวง ผมเคยบอกแล้วว่าเป็นแหล่งของพลังงานในดวงชะตานั่นเอง (ที่เราเรียกว่า จันทร์ ครุ สุริยา ) จะเห็นว่าวงรอบของดาวเหล่านี้ตรงกับวัน เดือน ปี ที่เกิดจากโคจรของโลก และดวงจันทร์โดยประมาณ ดังนั้น การตัดกระแสธาตุของดาวแต่ละดวง จึงเร็วช้าต่างกัน มีผลให้ คุณสมบัติ ของธาตุในฤกษ์ เกิดอิทธิพลความหมายต่อดวงชะตา ไม่เหมือนกัน จันทร์ นั้นรวดเร็วที่สุด (รองจากลัคนา) ดังนั้น จึงกระทบธาตุทางอารมณ์ จิตใจ และ สิ่งปรัชญาที่เป็นความหมายทางนามธรรม หรือ รูปธรรมที่อ่อนไหวเคลื่อนเร็วได้ชัดเจนกว่าดาวดวงอื่น

การดูดวงชะตาด้วยดวงจันทร์ผ่านฤกษ์ ที่จริงแล้วควรใช้ทางจันทรคติ ในขณะที่ดูดวงอาทิตย์ ต้องใช้สุริยคติ (นอกจากการคำนวณด้วยอินทภาส) หากดูทางพฤหัส ควรใช้พฤหัสจักร หรือ หากดูด้วยสุริยคติล้วนๆก็ต้องเข้าใจการเทียบเข้าหาวงรอบของจักรราศี แต่โหรรุ่นหลังๆส่วนใหญ่ มักเลือกใช้ สุริยคติ (โดยอาทิตย์) เพราะมีผลทางรูปธรรมและเหตุการณ์ที่สัมพันธ์กับธาตุในดวงราศีจักรด้วย แต่ก็มักใช้ ดวงชะตาฤกษ์ คู่กับทักษาจันทรคติ ก็เพื่อให้เข้ากันได้กับอินทภาส-บาทจันทร์

อันที่จริง เราจะเห็นได้ว่า ลัคนาเองหมุนเร็วที่สุดในรอบหนึ่งวัน และก็โคจรไปในนวางคบาทเดียวกับบาทจันทร์จร แต่ผลปฏิกิริยาเนื่องจาก ลัคนาจร (หมุน) กับ จันทร์จร ไม่เหมือนกัน ดังนั้น การที่จะเลือกดูปัจจัยจรตัวใดก็ต้องดูที่วัตถุประสงค์กับวิธีการด้วย โหรไทยบางท่าน แม้ไม่ใช้ระบบธาตุจากดาวฤกษ์ ก็สามารถดูได้จากระบบธาตุของจักรวาลได้เช่นกัน และสามารถทำนายรูปธาตุได้ชัดเจนดี ส่วนทางนามธาตุก็อาศัยอ่านจาก ธาตุดาวและเกษตรธาตุของจักรวาล เพราะต้นตอมาจากดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนั่นแหละ ดังนั้น ที่อาจารย์บางท่านแนะนำคุณมา ก็ต้องถือว่าแล้วแต่ความถนัด อย่างที่โหรจีนหรือไทย ใช้พฤหัสจักร ซึ่งบาทจรยาวตั้ง 3 ตรียางค์ ก็ยังทำนายแม่นได้ มันขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ และมีคนสอนให้ต่างหากล่ะครับ


วรกุล - 14 สิงหาคม พ.ศ.2549 16:59น. (IP: 203.107.203.216)

ความคิดเห็นที่ 15
กราบเรียน อาจารย์วรกุลที่เคารพ

อาจารย์สบายดีไหมคะ

ช่วงนี้หนูงานเยอะค่ะชีวิตค่อนข้างจะวุ่นวายค่ะ แต่ก็ยังติดตาม อ่านทบทวน ข้อเขียนของอาจารย์ตลอด ตามเวลาและโอกาสอำนวยค่ะ วันนี้ยังไม่มีคำถาม แต่คิดถึงอาจารย์ค่ะ เลยขอเข้ามากราบสวัสดีค่ะ

ด้วยความเคารพ


สุธาวาส - 15 สิงหาคม พ.ศ.2549 15:29น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 17
ผมยังคงต้องเขียนวนเวียนอยู่ที่การเรียนโหราศาสตร์ ก่อนที่จะวนไปที่เรื่องอื่นที่ยากหน่อยต่อๆไป เพราะจะต้องปรับแนวคิดพื้นๆ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของผู้เรียนส่วนใหญ่ที่ต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อน เท่าที่ได้เคยสอน และสัมผัสกับผู้เรียนโหราศาสตร์มานาน เคยบอกแล้วว่าวิธีที่จะดูว่า คนไหนที่จะเรียนก้าวหน้าได้สูงขึ้นไปมากๆ เขามักมีลักษณะเด่นอยู่อย่างหนึ่ง คือ รู้จักแยกแยะเรื่องราวต่างๆและ รู้จักรวบรวมความคิดเข้าด้วยกัน พูดภาษาอย่างทางการหน่อยก็คือ รู้จักวิเคราะห์และสังเคราะห์ ความคิด นั่นเอง

พวกเราที่เรียนโหราศาสตร์อยู่ คงจะรู้ว่าเราทุกคนอยู่ในท่ามกลางโหราศาสตร์ต่างระบบมากมาย และยังมีมติความเห็นของบรรดาผู้ใช้โหราศาสตร์อีกจำนวนมาก แฝงอยู่ในตำรา ข้อเขียนและคำถามคำตอบต่างๆ นอกจากความเห็นที่เป็นส่วนตนแล้ว บางคนยังพ่วงเผยแพร่ความคิดที่ประดิษฐ์ขึ้นเองแฝงมา ทำให้คนรุ่นหลังเข้าใจผิดไปอีกด้วย ดังนั้น เราที่เรียนวิชานี้อยู่จะต้องมีความคิดว่องไวในการรับรู้ สามารถใช้วิจารณญาณในการเชื่อ หรือ ไม่เชื่อได้อย่างมีประสิทธิผลเพียงพอ มิฉะนั้นก็จะโดนเขาชี้หลอก หรือ เข้าใจวนเวียนอยู่ในบางประเด็นที่เป็นทางตัน มืดบอด หาทางออกไม่เจอ จนเบื่อหน่ายทิ้งวิชาโหราศาสตร์ได้

สิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ คือ ข้อควรระมัดระวังบางประการเมื่อเราศึกษาโหราศาสตร์ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงที่จำเป็นที่อาจจะช่วยได้เมื่ออ่านหนังสือหรือความเห็นใดแล้วสับสน คิดว่าหลงทาง หรือ หาคำตอบด้วยตนเองไม่ได้ ในแต่ละเรื่อง อาจจะยังอธิบายไม่ได้ลึกมากจนเข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่เชื่อว่าอย่างน้อยจะช่วยให้ตอบปัญหาส่วนใหญ่ได้อย่างมีความเข้าใจมากขึ้น ข้อเท็จจริงเหล่านี้เป็นบางส่วนเท่านั้นเอง แต่จะมีประโยชน์มาก หากเราเอามันกลับมาอ่านเมื่อมีปัญหา

ข้อแรก....โหราศาสตร์นั้นมีหลายระบบ ใครๆก็รู้ แต่สงสัยไหมว่าทำไมสำคัญที่สุดจึงต้องยกขึ้นมาเป็นข้อแรก ก็เพราะคนส่วนใหญ่อาจจะเข้าใจผิด พวกเราส่วนมากมักจะรู้ว่าโหราศาสตร์มี “หลายวิธี” แต่ไม่รู้ว่า แท้ที่จริงโหราศาสตร์มี “หลายระบบและหลายวิธีที่แยกกัน” ต่างหาก โหราศาสตร์ถือกำเนิดมาจากการศึกษาธรรมชาติและชีวิต แต่เราไม่สามารถศึกษาได้โดยตรง เราจึงนำเอาธรรมชาติส่วนอื่นที่วัดได้ และเราสามารถสังเกตการณ์ได้โดยตรงมาเป็นเครื่องมือวัด แล้วจึงแปลความหมายกลับไปเป็นเรื่องราวของชีวิตและธรรมชาติเป้าหมายที่เราต้องการศึกษาอีกที โหราศาสตร์มาตรฐานต่างๆ แม้ว่าอาจจะมีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกันก็จริง แต่ก็จับธรรมชาติที่แตกต่างกัน พวกที่จับธรรมชาติเดียวกัน ก็ยังแยกไปใช้วิธีที่แตกต่างกัน วิธีเหล่านี้อาจจะใช้เครื่องมือวัด หรือ อุปกรณ์ที่ต่างกันนั่นเอง

จะชี้ตรงประเด็นเลย ก็คือโหราศาสตร์ในระบบไทย จีน ฝรั่ง หรือ ภารตะ เลือกเอามาเฉพาะที่ใช้จักรราศีด้วยกัน มักจะมีพวกเราส่วนมาเอามาวิจารณ์ หรือ ตั้งคำถามที่ทำให้สับสนอยู่เสมอว่าอะไรผิดอะไรถูก อันนั้นคลาดเคลื่อนหรือไม่ หรือ อันไหนดีกว่ากัน โดยไม่รู้ หรือ ฉุกคิดเลยว่า เรากำลังเอาสิ่งที่อยู่คนละระบบมาพิจารณาปนกัน เพียงแต่เป็นสิ่งที่มีชื่อเหมือนกันเท่านั้นเอง สมมุติว่าเราตัดเอาสิ่งที่ผิดๆทั้งหมดออกไปจากโหราศาสตร์มาตรฐานทุกแบบ เหลือเอาไว้แต่เนื้อแท้ที่ถูกต้อง แล้วให้ผู้ใช้ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่มีอคติเลย มีความรอบรู้เต็มสมบูรณ์ในทุกระบบโหราศาสตร์อยู่ในขั้นสูงสุด เราจะพบได้เลยว่า “ทุกคนถูกต้อง” ทั้งๆที่ แต่ละคนวางลัคนาไม่ตรงกัน ใช้จักรราศีคนละแบบ ใช้วิธีคำนวณดาวคนละมุม ใช้ดวงดาวคนละชุด บางคนก็มีปัจจัยอื่นๆเพิ่มเติม บางระบบก็ตัดออก บางระบบก็หยาบมาก บางระบบก็ละเอียดแทบนับทศนิยมไม่จบ นั่นก็เพราะในระบบที่สมบูรณ์ของโหราศาสตร์ทุกแบบ มีความหมายในระบบตัวเอง แม้จะมีบางอย่างซ้ำกัน แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับระบบอื่นเลย

ดังนั้นเมื่อเราพบความขัดแย้ง (ที่นิยมกันนัก) เช่น เรื่อง ลัคนา จักรราศี อันโตนาที องศาดาว ปฏิทิน หรือ โยคเกณฑ์ต่างๆ พึงสงสัยไว้ก่อนเลยว่า เรา หรือ เขากำลังเอาโหราศาสตร์ต่างระบบมาปะปนกัน เพราะไม่ทราบว่า โหราศาสตร์แต่ละระบบ มีข้อกำหนดความหมายต่างกัน แม้จะมีบางอย่างเอามาใช้แล้วดูเหมือนได้ผล ไม่มีอะไรแสดงว่าผิดปกติ แต่จะใช้ไม่ได้ในที่ทุกแห่ง ก็เหมือนภาษาหลายภาษาที่แม้จะมีคำบางคำออกเสียงและความหมายพ้องกัน ทั้งคำนั้นและบรรดาคำอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องก็ไม่ใช่นำมาใช้ได้ทุกที่ ที่ผิดพลาดก็เพราะมีคนพยายามเอามามาใช้ข้ามระบบ รวมทั้งเอาวิธีการที่ใช้ในระบบหนึ่งไปใช้ในระบบอื่น เช่น เอาดวงชะตาที่ผูกโดยปฏิทินอื่นมาใช้กับระบบเจ้าเรือนที่เป็นเรื่องของโหราศาสตร์ทางธาตุของไทย เอาคำสอนทักษา ศรี กาลกิณี พินทุบาทว์ องคเกณฑ์และชาติเวรของโหราศาสตร์ไทยไปใช้กับโหราศาสตร์สากล เอาโยคเกณฑ์ทางภารตะ มาแจมเข้ากับดวงไทย เอาข้อมูลดาวจริงมาใช้พิสูจน์องศา ราศี และนวางค์ในดวงชะตาจักรราศีสุริยาตร เอาจุดอิทธิพลของสากลไปใช้ในภารตะ เอาจักรราศีไทยไปใช้ในดวงจันทรคติของจีน เอานักษัตรจีน และเกณฑ์กาลกิณีมาใช้กับดวงไทย เอาธาตุดาวของไทยไปหาศูนย์รังสีแบบยูเรเนียน เป็นต้น สักแต่นำมาใช้ โดยไม่รู้ว่ากำลังเอาสิ่งที่แตกต่างกันมามั่วรวมกัน เพียงแต่คิดเพ้อเจ้อเอาเองว่า “มันคงประยุกต์ใช้ได้” แต่ไม่รู้ “ข้อกำหนด”ที่แท้จริงในแต่ละระบบ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายยาวและอาจจะเข้าใจยากในหมู่พวกเรา แต่บรรดานักวิชาการทฤษฎีโหราศาสตร์แต่ละวิชาที่ทราบเรื่องดี เขาจะทราบว่าอะไรเป็นอะไร

สอง....ข้อความที่เป็นปัญหาสรุปผิด พวกเรามักจะอ่านข้อความต่างๆในหนังสือ หรือตำราด้วยความเห็นที่เกิดจากพื้นฐานที่มีไม่เท่ากัน แม้กระทั่งความเห็นที่เป็นของผู้เชี่ยวชาญก็ตาม ดังนั้น เมื่อพบข้อความใด เราควรจะคิดเสียก่อนที่จะสรุป อย่างเช่นสมมุติมีผู้ทำนายดวงคุณว่า “ลัคนาคุณอยู่ราศีเมษ เดือนหน้าพฤหัสจะจรเข้าเรือนปัตนิของคุณ คุณจะได้คู่ครอง” แล้วคุณเชื่อตามนั้น แสดงว่าคุณสรุปผิด ข้อความนี้ไม่เป็นจริง เพราะหากลัคนาของคุณอยู่ในราศีอะไรก็ตาม ก็จะมีคนอีกหลายร้อยล้านคนที่มีลัคนาอยู่ในที่เดียวกับคุณ จะได้คู่ครองเหมือนๆกัน ดังนั้น หากเขาไม่ได้พูดผิด เราก็กำลังเข้าใจผิด ข้อความนี้มันมีเงื่อนไขหรือเปล่า และเงื่อนไขนั้นคืออะไรที่ทำให้บางคนพบคู่ บางคนไม่พบคู่ สมมุติว่าเงื่อนไขนั้นก็คือ ต้องมีดาวศุกร์อยู่ในราศีธนูด้วย เราก็อย่าเพิ่งเชื่อ หากคนทุกคนหรือที่มีลัคนาราศีเมษและดาวศุกร์อยู่ราศีธนู จะพบคู่ ถ้าเช่นนั้นคนที่เกิดวันเวลาใกล้กับคุณอีกจำนวนล้านคนก็พบคู่ด้วย ถ้าหากเป็นจริงก็ควรจะมีเงื่อนไขที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปเรื่อยๆจนข้อความนี้เป็นจริงเฉพาะตัวคุณ หากคุณกลั่นกรองไปด้วยวิธีนี้บ่อยๆ คุณก็จะเข้าใจหลักโหราศาสตร์ที่คุณเรียนได้อย่างลึกซึ้งกว่าเดิม

อีกอย่างหนึ่ง คือการด่วนสรุปเหมารวม เช่น สมมุติพบว่าปฏิทินที่อาจารย์ท่านหนึ่งทำไว้ เห็นว่ามีข้อไม่ตรงกับที่ตนเองคาดหมาย หรือ โหราศาสตร์ของอาจารย์ใดที่สอน คิดว่าไม่ถูก ก็พลอยเหมาเอาว่าปฏิทินประเภทนั้น วิชาอย่างนั้น ไม่ดี หรือใช้ไม่ได้ไปด้วย เราต้องเข้าใจว่า การทำปฏิทิน หรือ การใช้วิชาก็ดี ยังมีความเห็นที่แตกต่างกันไประหว่างตัวผู้จัดทำแต่ละคน หลายปฏิทินในประเภทเดียวกันก็ยังมีความเห็นในการกำหนดเกณฑ์คำนวณที่ไม่ตรงกัน เพราะอาจจะใช้เพื่อความมุ่งหมายหลายทาง ทั้งโหราศาสตร์ ดาราศาสตร์ และการวัดวันเวลาในปฏิทินเดียว การที่ผู้คำนวณจะเลือกเกณฑ์ หรือ วิธีใดมาใช้คำนวณ แม้จะมีข้อไม่สมบูรณ์จริงหรือไม่ก็ตาม เราก็ไม่สามารถที่เอ่ยชื่อผู้ทำนั้นขึ้นมา แล้วสรุปว่าระบบปฏิทินเช่นนั้นไม่ดี นอกจากนั้น การเหมารวมเอาว่าอะไรชื่อเดียวกัน เช่น “ปฏิทิน” ก็ต้องมีความหมายและวิธีใช้เดียวกันทุกอย่าง โดยมีเพียงความรู้อันคับแคบมาอธิบายตามความเห็นของตน แล้วยังเผยแพร่ออกไป ก็จะทำให้กลายเป็นเรื่องขัดแย้งที่ไม่มีทางจบสิ้นได้ ในทำนองเดียวกับการเรียนการสอนวิชาก็เช่นกัน บางคนไปทดสอบว่าอาจารย์บางท่านใช้วิชาใดแล้วไม่แม่น ก็ชี้เหมาเอาว่าวิชานั้นไม่ดี กลายเป็นเรื่องตอบโต้ที่ทำให้ผู้เรียนรุ่นหลังเกิดลังเลไม่มั่นใจ

สาม....อย่าเอามาตรฐานตัวเองเป็นเครื่องวัด มักพบว่า หลายๆคนใช้ตรรกะพิลึกๆในการพิสูจน์ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ อะไรผิด อะไรถูก โดยอ้างตัวเองเป็นเครื่องวัดมาตรฐาน อย่างเช่น

....“ปฏิทินนี้ผิด เพราะผมผูกดวงแล้วทายผิด ปฏิทินโน้นถูก เพราะผมผูกดวงแล้วทายถูก ดาวจรก็ถูก”

.....หรือ “ดวงผมถ้าผูกตามปฏิทิน ก. ลัคนาอยู่ราศีกรกฎ พุธวินาสน์ ซึ่งแสดงว่าผมพูดไม่เก่ง แต่นี่ผมพูดเก่ง แสดงว่าลัคนา กุม ดาวพุธอยู่ราศีมิถุน ผูกตามปฏิทิน ข. ถูกกว่า”

....หรือ “ปฏิทินโน้น ดูดาวจริงแล้วไม่ตรง ปฏิทินนี้ตรงกับดาวจริง แสดงว่าปฏิทินแรกไม่ถูก ใช้ไม่ได้ ”

....หรือ “อาจารย์คนนี้ดูดวงผมไม่ถูกเลย ทำนายว่าอนาคตจะยากจน ไหนว่าเก่ง วางลัคนาก็ผิดราศี แถมไม่รู้ว่าผมมีเมีย 12 คน”

.....หรือ “ผูกดวงแล้ว จักรราศีนี้ดาวอยู่ราศีหนึ่ง หากใช้จักรราศีของสากลดาวจะไปอยู่อีกราศีหนึ่ง ศุนย์รังสีของดาวลูกไก่กับดาวหางฮัลเล่ย์ ไปตกที่ดาวคู่ปรมาณูตามชาติเวรพอดี ทักษาทาโร่ห์ก็เป็นศรี+บริวาร แสดงว่า ผมจะมีเสน่ห์แรงคนนิยมมาก นี่ผมก็รูปหล่อเสน่ห์แรงจริงๆด้วย แสดงว่า จักรราศีแบบแรกไม่ถูก”

ตรรกะแบบนี้ ขึ้นอยู่กับความคิดที่ว่า ตัวผู้พิจารณาเองเชื่อว่าตนเองเป็นมาตรฐานในการวัด เราควรถามตนเองว่า เราได้ใช้วิธีทำนายที่ถูกต้องและเหมาะกับระบบหรือ เปล่า เราได้ตัดสินโดยมีความรู้เต็มในเรื่องที่พูดมานั้นเพียงใด เรารอบรู้วิธีทำนายที่ใช้กันในแต่ละระบบที่ใช้เครื่องมือนั้นๆทั้งหมดดีแล้วหรือยัง แท้ที่จริงเป็นอย่างไร อุปกรณ์ ปฏิทิน เวลา และสิ่งที่อ้างถึงในแต่ละระบบ มีข้อกำหนดที่แตกต่างกันอย่างไร เรื่องบางเรื่องยังไม่ถึงเวลาที่จะเป็นจริงหรือไม่ หลายคนชอบสรุปอะไรง่ายๆว่า เมื่อตนลองใช้อะไรแล้วผิดแสดงว่าสิ่งนั้นไม่ถูก หรือที่แย่กว่า คือไม่เคยทดลองเลย แต่เชื่อที่ “เขาว่า” เป็นอย่างนี้ไปทุกแห่ง มันก็เหมือนกับคุณเอารองเท้าคับแคบของตัวเองไปให้คนอื่นใส่ ใครใส่ไม่ได้ก็ว่าเขาเป็นคนโง่ เป็นตัวปลอม แล้วคุณล่ะเป็นตัวจริงหรือเปล่า หากฉุกคิดรู้สึกตัวสักหน่อยว่า คนอื่นเขาไม่ได้โง่กว่าเรา(ก็มีเยอะ) เหตุใดคนที่เรียนมามากมาย เขายังคงใช้สิ่งนั้นๆอยู่ นอกจากนั้น ก็ต้องระวังพวกสติเฟื่อง แฝงมาเป็นนักศึกษาบ้าง อาจารย์บ้าง มักอ้างวิชาโน้น หลักวิชานี้ เช่น ทฤษฎีเคมี สัมพัทธภาพ ปรมาณู ไอน์สไตน์ พระพุทธศาสนา รังสีคอสมิก มุมตกมุมสะท้อน หลุมดำ มวลของธาตุ 16 มิติ อะไรที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ มาโยงกันให้ดูว่าสมเหตุสมผล หรือใช้ภาษาที่ทำให้งง แต่ผู้ที่รู้ดีเขาจะเห็นว่าเลอะเทอะไปทุกเรื่องที่อ้างมา พวกนี้แหละที่มีอยู่ทุกยุคทุกสมัย และทำลายผู้เรียนที่กำลังหลงทางให้เสียเวลาหลงเชื่อได้มาก

สี่.......อย่าเอามาตรฐานหนึ่งเป็นตัวตั้งเพื่อวัดมาตรฐานอื่น เรื่องนี้เป็นเรื่องของโหราศาสตร์โดยเฉพาะ ถ้าสงสัยก็ไปอ่านข้อหนึ่งมาใหม่ เพราะโหราศาสตร์มีหลายระบบ ที่มีข้อกำหนดแตกต่างกันไป อย่างเช่น ลัคนา ในโหราศาสตร์แต่ละระบบที่ไม่ได้มีฐานกรรมวิธีเดียวกัน แท้ที่จริงแล้ว เป็นลัคนาคนละแบบ เป็นคนละลัคนาด้วยซ้ำไป ไม่ใช่เห็นสะกดคำว่า “ลัคนา”เหมือนกัน ก็เอามาใช้สลับกันได้ เกณฑ์คำนวณในโหราศาสตร์แต่ละระบบก็มีข้อแตกต่างกันทั้ง จักรราศี ดาว ธาตุ เวลา รวมทั้ง เสกล ที่ใช้วัด การที่เอามาตรฐานหนึ่งเป็นหลัก เช่น “ดาวอังคารของปฏิทินนี้ (ซึ่งข้าพเจ้าเชื่อว่าถูก) ย้ายราศีแล้ว แต่ปฏิทินที่ว่านั้น ดาวยังไม่ย้ายราศี ผิดไปตั้ง 4 - 5 องศา แสดงว่าทำนายแล้วต้องผิดแน่นอน” คำสรุปเช่นนี้ เท่ากับถือว่ามาตรฐานที่เรายึดถือนั้นถุกอยู่ฝ่ายเดียว ใครผิดไปจากนี้ ถือเป็นอันผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมด

ห้า…....แม้ในระบบเดียวกัน พึงเข้าใจว่า แต่ละปัจจัยมีหลายประเภท หลายชนิด หลายหน้าที่ และหลายภาค เวลาอ่านหนังสือตำราประเภทนี้ โหราศาสตร์ทางตะวันตกมักจะจำแนกความหมายของปัจจัยในแนวกว้าง ส่วน พวกโหราศาสตร์ตะวันออกมักจะจำแนกแยกแยะหน้าที่ของปัจจัยออกในแนวลึกหรือ แนวดิ่ง โดยเฉพาะในโหราศาสตร์ไทย จีน และภารตะ คือ จะมีหน้าที่และความหมายซ้อนทับกันอยู่ในดาว หรือ เรือน หรือ ปัจจัยอันเดียวกัน นี่เป็นข้อกำหนดของระบบ อย่างเช่น โหราศาสตร์ไทยที่ใช้ระบบเจ้าเรือน และระบบดาวด้วยกัน หากชี้ที่ดาวดวงเดียว อาจจะเป็นตัวแทนความหมายได้ตั้ง 10 ประเภทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับองคประกอบและสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงสังวรและใช้ให้ถูก ไม่ใช่จับความหมายเดียวมาเพื่อเปรียบเทียบ แล้วตัดสินเอาเองว่าถูก หรือ ผิด เมื่อใดเกิดความสงสัยว่าข้อความจะขัดกันเอง ควรลองตรวจสอบดูก่อนว่า ข้อความนั้นกล่าวตามความหมายใด เช่น ในระบบธาตุ ก็มีธาตุหลากหลายชนิด ที่มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน เป็นต้น ดังนั้นข้อความที่ใช้ คำว่า “ธาตุ” เหมือนๆกัน อาจจะเป็นธาตุคนละชนิด หรือ เป็นคนละอย่างในโหราศาสตร์ต่างวิธีก็ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นเบื้องต้นของการตรวจสอบด้วยตนเองที่ผู้เรียนควรกระทำ ดังนั้น เมื่ออ่านข้อความใด เราก็อาจจะกลั่นกรองเอาหลักวิชาที่ใช้ได้ผลและเกิดความเข้าใจขึ้นมากกว่าเดิม จนกว่าจะเกิดความสงสัยขึ้นจริงๆที่จะต้องสอบถามจากผู้รู้ ถึงเวลานั้น เราก็จะตั้งคำถามและฟังคำตอบได้อย่างเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะได้คิดอย่างถี่ถ้วนมาก่อน ไม่ใช่เพิ่งมาคิดภายหลัง ก็อาจจะหลงทางไปไกลโข


วรกุล - 16 สิงหาคม พ.ศ.2549 07:06น. (IP: 203.107.205.22)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบ 15 คุณ สุธาวาส..........สวัสดีด้วยครับ ผมก็มีธุระต้องทำเยอะ แต่ก็ยังสบายตามสมควรอยู่ครับ ขอบคุณที่เข้ามาทักทาย


วรกุล - 16 สิงหาคม พ.ศ.2549 07:06น. (IP: 203.107.205.22)

ความคิดเห็นที่ 18
เรียน อ.วรกุล

เรื่องการพิจารณาทางจันทรคตินั้น อาจารย์ผมให้ใช้ทางดวงจรเรื่องการกำหนดเวลาครับ ท่านให้เหตุผลว่า วันทางสุริยคติให้ผลในทางการกำหนดเวลาแน่นอน แต่มักพลาดเรื่องการตัดกระแสจากดวงอาทิตย์ เพราะตัดกระแสยากมาก เนื่องจากเป็นแหล่งพลังงานใหญ่ ทำให้เราไม่ทราบว่า มากน้อย ช้าเร็วเท่าใด เป็นความสัมพันธ์กระแสตรง จากโลก กับดวงอาทิตย์เท่านั้น ยิ่งกระแสหมุนของลัคนาในรอบวัน ยิ่งเร็วจัดมาก ทำให้สับสนได้ง่าย

ส่วนวันทางจันทรคติ มีจันทร์เป็นตัวกรองและช่วยตัดกระแสอาทิตย์แล้ว เพราะเป็นความสัมพันธ์ 3 เส้า คือ อาทิตย์-จันทร์-โลก ที่ต้องสัมพันธ์กันจึงเห็นความสัมพันธ์ และนำมากำหนดเวลาได้ และเหตุการณ์มักสัมพันธ์กันทั้งปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกับ ร่างกาย จิตใจ และเหตุการณ์ แต่พอจะทายออกไป ตั้งไปพิจารณาในมุมกลับอีกที ว่าดาวกับโลก โลกกับดวง ดวงกับคน คนกับดวง ดวงกับโลก โลกกับดาว สัมพันธ์กันอย่างไรจึงออกคำพยากรณ์ได้

ขออนุญาตถามต่อเนื่องครับ

เรื่อง "รอกดาว" ที่อ.วรกุลเคยอธิบายไว้ ผมได้เอามาตรองดูแล้ว อาจไปพ้องกับเรื่องบางอย่างที่อาจารย์เคยสอนผมไว้ ท่านบอกว่า ในโหราศาสตร์ไทย เราวัดดาวเป็นแสงเฉียง ไม่ใช่แสงตรงแบบโหราศาสตร์สากลทั้งหมด โดยถ้าเราดูทาง"มุม" ต้องดูแสงตรง คือ โยค เกณฑ์ ตรีโกณ เอาความหมายของดาวมาผสมเพื่อออกคำพยากาณ์ตามกระแสธาตุของดาว และความหมายได้แบบที่ทางโหราศาสตร์สากลใช้ จะให้ผลคล้ายกัน

แต่ถ้าจับทางความหมายทางเรือน จะต้องใช้แสงเฉียง คือ แสงดาวไต่ไปตามขอบวงของดวงชะตาไล่ไปตามเรือน (ซึ่งน่าจะเป็นอันเดียวกับ บรรยากาศธาตุ ที่ อ.วรกุล ได้อธิบายไว้) โดยมีจุดสตาร์ท ที่ลัคน์ หรือ จุดกำหนดใดๆ ก็ได้ แล้ววิ่งเข้าหาเจ้าเรือน ระหว่างนั้นดาวผ่านกระแสของเรือนใด และดาวใดก็ให้พิจารณาผสมด้วย แต่ถ้ามีดาวขวาง ดาวขัด ก็ต้องเอาความหมาย และกระแสธาตุของดาวนั้น รวมถึงกระแสธาตุจากเรือนด้วย

เช่นลัคนาเมษ มีจันทร์อยู่กรกฏ แต่อังคารอยู่สิงห์ ถ้าดูทางมุม อังคารตรีโกณถึงลัคน์ แต่ถ้าดูกระแสเรือน อังคารกว่าดึงความหมายของเรือนอาทิตย์มาส่งถึงลัคน์ได้ จะให้ความหมายผ่านจันทร์ ซึ่งขวางอยู่ก่อน แม้ว่าจันทร์จะไม่ได้ไม่มีมุมสัมพันธ์ถึงอังคารเลยก็ตาม ยิ่งถ้ามีดาวขวางหลายดวง ยิ่งส่งกระแส และตัดกระแสกันมากขึ้น มันไปพ้องกับพวกดวงลัคนานำพล ขับพลอะไรพวกนี้ครับ และมีผลมากสำหรับการอ่านความหมายเรือนแบบไล่เรือน เพราะถ้าไล่เรือนจริงๆ แล้วไม่ใช่การผสมความสัมพันธ์ สองจังหวะ หรือ สามจังหวะเป็นคำพยากรณ์เท่านั้น แต่ความจริงไล่เรือนหนึ่งครั้ง จะได้ความหมายผสมแทบครบทุกเรือนเลย แต่ว่าเรือนไหนออกความหมายมากหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น โดยความหมายเรือนจะแฝงมาในตัวดาวเจ้าเรือนที่ตัดกระแสกันนั่นเอง

ดังนั้น จะเหมือน "รอก" ดังที่ อ.วรกุลบอกไว้ คือ กระแสดาวเหมือนเชือก จะพันรอบแกน และโค้งไปตามแนวเส้นรอบวง มาจากวินาสน์(คือแตกดับสูญสลายจากที่เดิม)หันหน้าเข้าที่ลัคนา เป็น จุดเกิด ออกตรงปัตนิ หันออกที่มรณะ เป็นจุดสิ้นสุด แต่ไม่ยิงตรงไปทะลุแกนของรอก ใช่ไหมครับ

ส่วนเรืองกระแสธาตุที่ถูกแบ่งเป็นส่วนๆ แบบจักรวิภาค ผมมองว่าเหมือนประตูกับหน้าต่าง ถ้าตรงกันหรือเยื่องกันเล็กน้อย เมื่อเข้าทางประตูก็ผ่านหน้าต่างได้ซึ่งต้องเป็นธาตุในทางสนับสนุนในทางบวก ไม่หักล้าง แต่ถ้าเข้าทางประตูได้ แต่ถูกกั้นโดยหน้าต่าง (กระแสธาตุตัดกัน) ก็จะทำให้พลังงานมาไม่ถึงเราเต็มที่ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกต้องหรือไม่ครับ

ผมไม่ทราบว่าผมหลงทางไปบ้างหรือไม่ รบกวน อ.วรกุล ช่วยดึงกลับ หรือ ชี้แนะแนวทางที่ถูกต้องด้วยครับ


ภูมิ - 16 สิงหาคม พ.ศ.2549 17:12น. (IP: 203.170.228.172)

ความคิดเห็นที่ 19
เรียน อ. วรกุล

ผมกลับไปอ่านข้อเขียนของอาจารย์ในกระทู้เก่าๆ อีกรอบ มีความสงสัยในความหมายของความหมายเชิงปรัชญาของดาวต่างๆ เพราะในหนังสือมักจะบอกแต่พฤติกรรมของดาว ทำให้ไม่แน่ใจว่าผมจะเข้าใจในความหมายดาวทุกดวงถูกหรือไม่ ขออาจารย์ชี้แนะเพิ่มเติมในความหมายของดาวทุกดวงเพื่อที่จะได้กลับไปพิจารณาเพิ่มเติมอีกครั้งครับ

"ความหมายของธาตุดาวจึงมีลึกซึ้งหลายชั้น อาจารย์บางท่านใช้คำว่า “นิสัยดาว” บ้าง “สันดานดาว” บ้าง “ธรรมชาติดาว”บ้าง “พฤติกรรมของดาว” บ้าง อาจจะหมายถึงสิ่งเดียวกัน หรือ อาจจะอยู่คนละระดับชั้นก็ได้ หลายท่านใช้คำว่า “ความหมายทางปรัชญา” เพราะไม่รู้จะใช้คำใดที่มีความหมายใกล้เคียงกว่านี้ ถ้าเราอยากรู้ว่าดาวแต่ละดวงมีธาตุแท้อย่างไร ก็ลองจับดูในหนังสือตำราที่มีก็ได้ เพราะส่วนใหญ่จะเขียนไว้ปะปนกันไปกับคุณสมบัติทางดาว หากเราแยกออกมาได้ หลายๆชั้น ตามเปลือกของมนุษย์ เราก็อาจจะเข้าใจโหราศาสตร์ได้ดียิ่งขึ้น เพราะทฤษฎีโหราศาสตร์มักจะเกี่ยวข้องกับธาตุแท้ของดาว หรือ ธาตุดาว อย่างเช่น ศุกร์นั้น ไม่ใช่ความสวยงาม แต่เป็น “ความสอดคล้องกลมกลืน” เมื่อ เป็นรูปลักษณ์จึงเป็นความสวยงาม เพราะความงามเป็นความสอดคล้องกลมกลืน"


นักเรียนใหม่ - 17 สิงหาคม พ.ศ.2549 06:47น. (IP: 203.154.52.48)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบ 18 คุณ ภูมิ..........ดีที่ถามครับ ไม่งั้นผมไม่รู้ว่าข้อเขียนที่เขียนไปแล้ว ผู้ที่อ่านคิดอย่างไร ตอนนี้ขอแบ่งเป็นข้อๆตามเรื่องหน่อย

1 / คำว่า “รอก” เป็นคำเก่าๆครับ เข้าใจว่ามาจากคำว่า “สำรอก” คือ คายออกมาจากตัว ใช้ในตำราโบราณเช่น พวกตำรายาไทย ถ้าเทียบกับคำสมัยใหม่ก็คือ “สิ่งที่แพร่ซึมออกมา” ส่วนใหญ่จะเป็นพืชหรือ เมล็ดพืช เมื่อมีสารอะไรในตัวมัน หากเราเอามาแช่น้ำก็จะเห็นสารเหล่านั้นแพร่ออกมารอบตัว ลองนึกเหมือนลักษณะคล้ายที่เราเอาเม็ดแมงลักไปแช่น้ำ ถ้าหากมันเริ่มจับตัวก็จะเห็นเป็นเหมือนวุ้นหุ้มเมล็ดสีดำอยู่ภายใน หรือ เหมือนลูกเงาะที่เป็นขนรอบตัว พวกธาตุดาวก็เหมือนกัน เวลามันเข้าไปอยู่ในราศี ก็จะเกิดการแพร่ของธาตุออกมารอบตัวเป็นสาย เรียกว่า “รอกดาว” รอกดาวนี้เป็นธาตุที่จะไวต่อปฏิกิริยาและแรงเอื้อมระหว่างดาว บางทีจะแพร่ไปได้ไกล โดยยึดโยงกับธาตุดาวด้วย แต่โหราศาสตร์ไทยทั่วไปที่ไม่ได้ถือเรื่องธาตุ ไม่คิดเรื่องรอกดาว แต่ถือว่าเป็นแรงเอื้อมของดาวทั่วไป

2 / ระบบธาตุทั้งหลายในโหราศาสตร์ไทย จะมีโครงสร้างเรือนของธาตุที่เรียงตัวอยู่ คือในระบบ หรือภพ แต่ละภพ ประกอบด้วย ภูมิ (ชั้น ระดับ) แต่ละภูมิจะมีภูมิย่อยอีกมาก ในระบบ(ภพ) จะแบ่งได้เป็นสอง ภาค คือ 2 ส่วนที่เหมือนกัน แต่ตรงข้าม ทั้งหมดนี้เป็นหลักโครงสร้างใหญ่ของระบบ ภูมิของธาตุในโหราศาสตร์จะเป็นผลมาจากระดับพลังงานเป็นหลักใหญ่ เช่น ภูมิทักษา คือ การหมุนเวียนจากธาตุหนึ่งไปเป็นอีกธาตุหนึ่งที่มีพลังงานแปรเปลี่ยนเป็นวงรอบ

ภูมิ ที่เรามักแปลว่า “แผ่นดิน” แต่ในศาสตร์ต่างๆจะหมายถึง “ชั้น ระดับ” เช่น โลกภูมิ ภูมิสวรรค์ ภูมิพรหม ภูมินรก หรือ นรกภูมิ เปรตภูมิ ภูมิเหล่านี้ หากมองเป็นกราฟฟิกส์ ก็คืออะไรที่เป็นชั้นๆเหมือนขนมชั้น อย่างเวลาเราคิดว่าขึ้นสวรรค์ก็ชี้ไปบนฟ้า ความจริงแล้วในทุกศาสตร์ ไม่ว่าสวรรค์ นรก พรหม โลก ก็อยู่ที่เดียวกับเรานี่เอง ภาษาคณิตศาสตร์-ฟิสิกส์ อาจจะบอกว่าอยู่คนละมิติ และบางภูมิ (มิติ) มันก็เข้ามาร่วมกันได้ บางทีเราก็เลยสังสรรค์กับเทวดา หรือ ผีได้บ้างเป็นบางที ที่เขียนนี้ไม่ได้เพ้อเจ้อ แต่เป็นความคิดของศาสตร์โบราณ จะวางแนวคิดทำนองนี้ ต้องรู้ก่อน จึงจะเข้าใจทฤษฎีที่ท่านสร้างขึ้นมา

ธาตุ แต่ละอย่างจะมีภูมิที่ต่างกันในภพเดียวกัน ดังนั้น ที่เรียกว่ากระแสธาตุ แม้จะวิ่งผ่านกันก็จะไม่เจอกันได้ครับ ยกเว้น อยู่ในภูมิเดียวกัน แต่ธาตุนั้นอาจจะมีพลังงานเปลี่ยนแปลงแล้วเปลี่ยนภูมิได้ ดังนั้น การที่กระแสธาตุวิ่งผ่านวงกลมของดวงชะตามา หากธาตุจะเจอกัน ต้องอยู่ในภูมิเดียวกันด้วย เวลาที่บางท่านมีความเห็นเรื่องดาวส่งแสงเจอกันนั้น เป็นการพูดในระบบธาตุของจักรวาล (ดาวบนท้องฟ้า) แต่ไปเอามากล่าวเหมือนอยู่ในดวงชะตาเลย ซึ่งไม่ค่อยถูก เพราะกว่าจะผ่านจากดาวจริงลงมายังดวงชะตายังมีอีกหลายด่าน พวกหลักลัคนาขับพล นำพล จึงเป็นเรื่องในดวงชะตา ซึ่งต้องใช้กระแสธาตุวน เพราะหากเป็นดาวจริงบนท้องฟ้าก็ไม่มีอะไรขับพล นำพลหรอก เพราะส่งแสงข้ามฟากกลางอวกาศไปได้เลย ลองคิดดู

3 / ดวงชะตาไทย ทางกราฟฟิกส์ ประกอบด้วยภูมิรอบนอกซ้อนเรียงกัน คร่าวๆตั้งแต่ ชั้นฤกษ์ลงมา มีหลายวงหลายชั้นที่อยู่ในระบบธาตุชั้นบรรยากาศ แล้วจึงมาเข้าดวงชะตาทางลัคนา อย่างที่เคยบอกว่าเรือนชะตาไทยเป็นจักรราศีแบบเชิงเส้น ไม่เหมือนสากล ธาตุและพลังงานก็เลยต้องวิ่งเป็นวงกลมเรียงราศีเหมือนพันด้วยเชือกรอบวงกลม ดังนั้น เมื่อใช้เชิงเส้น ก็เลยไม่ใช้แสงตรงของดาวแบบสากล มุมดาวในระบบเรือนจึงไม่มี ที่เราใช้กันอยู่เรียกว่าเกณฑ์ สำหรับนับเรือน แต่จักรราศี ประกอบด้วยดวงดาว ที่เป็นรูปวัตถุ (วัตถุธาตุ) และมีแสงตรง ดังนั้นจึงมีมุมดาว และปฏิกิริยาได้ในระบบของจักรวาล และดาวฤกษ์ เมื่อมีปฏิกิริยาเช่นใด ต้องผ่าน ระบบของชั้นบรรยากาศก่อนเข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนา แล้วแปรเป็นเชิงเส้นเท่านั้น จึงจะเกิดผลต่อดวงชะตา ที่คุณว่าอาจารย์คุณสอน ตรงย่อหน้าที่ “อาจไปพ้องกับเรื่องบางอย่างที่อาจารย์เคยสอนผมไว้.....จนถึง...ตามขอบวงของดวงชะตาไล่ไปตามเรือน ” ถูกเพียงช่วงนี้

ทำให้การอ่านดวงชะตาไทยแบ่งเป็นสองระบบย่อย คือ ระบบเรือน และระบบดาว ซึ่งสองเรื่องนี้แหละที่ผมเตือนเอาไว้นานมากแล้วว่าต้องรู้ การอ่านภูมิธาตุของดาวในระบบเรือนไปกลับยังระบบดาว จึงต้องรู้เรื่องเข้าใจมาก่อน ดังนั้น การที่ธาตุจะเข้าเรือนไหนออกเรือนไหนโดยพิสดาร จึงยังอธิบายตอนนี้ไม่ได้ ที่ปกติ ก็คือเข้าออกตามเกษตรราศีที่เราเรียนนั่นแหละ ถือเป็นเรื่องหลัก ที่คุณเขียนมาก็มีหลายเรื่องปนกันอยู่ ไม่ถึงกับหลงทาง จะแก้ให้ใหม่หมดก็ลำบากเหมือนกัน แต่ก็ดีแล้วครับ ถ้าไล่ไปไล่มา ก็จะเห็นความแตกต่างได้เอง

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 19 คุณ นักเรียนใหม่.........ดูเหมือนผมเคยบอกไปแล้วว่าความหมายของดาว ไม่ว่าทางด้านไหนมันขึ้นอยู่กับบริบทแวดล้อมด้วย และข้อเขียนอันนี้ตั้งใจแนะให้คุณไปดูหนังสือตำราที่มีต่างหาก เพื่อหาธาตุแท้ของดาวด้วยตนเอง จะสังเกตว่าผมเขียนอะไรตั้งใจให้คิดเองมากกว่าจะให้จำ ที่เอามาเล่าทั้งหลายก็คือ แนวคิดหนึ่ง หรือ ที่มาของหลักคิด เพื่อที่จะให้คิดเอง ที่ยกตัวอย่างมา เช่นดาวศุกร์ ก็เพื่อให้เห็นว่าตรงไหนเป็นส่วนปรัชญา ตรงไหนเป็นส่วนที่มันแสดงออกมาแล้ว จะได้ไม่เข้าใจคำพูดผิดเท่านั้น หากเราลองเอาหนังสือมาอ่านดู แล้วนั่งคิด แม้จะดูเสียเวลามากกว่าที่ให้ใครมาบอกเรา แต่พอเรา “เข้าใจ” แล้วเราก็จะจำได้เลย

พวกความหมายปรัชญาของดาวนี้ พวกที่เรียนโหราศาสตร์สากล หรือ ทางยูเรเนียนจะเป็นกลางๆกว่า ส่วนทางโหรไทยเนื่องจากใช้การแปรรูปแสดงออกของดาวเป็นนิสัยและพฤติกรรมในดวงชะตาแล้ว อาจจะไม่เห็นความหมายดั้งเดิม และก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกันกับโหรสากล เพราะเหตุผลหลายอย่างที่เคยอธิบายมามากแล้ว ส่วนมากก็ใกล้เคียงกับระบบอื่น ของไทยควรเป็นดังนี้

...๑ กระตือรือร้น ......๒ อ่อนไหว......๓ ว่องไว.....๔ เปลี่ยนรูป.....๕ ขยายออก......๖ สอดคล้อง......๗ มั่นคง......๘ แปรปรวน......๙ สูงสุด.......๐ พิเศษ


วรกุล - 18 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:55น. (IP: 203.107.200.142)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียน อ.วรกุล

หนูมีเรื่องสงสัยเกี่ยวกับคำกล่าวหนึ่งที่หนูไปอ่านพบอย่างน้อยๆ ก็พบในตำราโหราศาสตร์ 3 เล่มด้วยกันที่กล่าวเหมือนกัน หนูต้องการจะหาคำตอบให้ตัวเอง แต่ก็จนปัญญาที่จะค้นคว้าด้วยการศึกษาดวงชาตาของคนให้มากๆ เพื่อวิเคราะห์เนื่องจากยังมีความรู้โหราศาสตร์น้อยมาก แต่พอเห็นอาจารย์ชม "คุณภูมิ" ดังที่อาจารย์เขียนใน คห 14 ก็อายเหลือเกิน เกรงว่าคำถามของของหนูจะดูโง่ๆ เกินไป

หนูอยากรบกวนเรียนถามว่า คำกล่าวที่หนูไปอ่านพบนั้น เขากล่าวว่า "ในบรรดาราศีทั้งหมดนั้น ผู้ที่มีลัคนาราศีตุลย์ เป็นพวกที่ไม่มีความสำนึกบุญคุณคน คือไม่มีความกตัญญูคนมากที่สุดในบรรดาราศีทั้งหมด" เขาเขียนดังนี้ เขาคงต้องมีเหตุผล แต่เขาก็ไม่ได้ให้เหตุผลเอาไว้ อาจารย์พอจะบอกหนูให้หนูหายสงสัยด้วยเถิดค่ะว่า ทำไมคนลัคนาราศีตุลย์จึงเป็นเช่นนั้น ทางโหราศาสตร์มีเหตุผลใดถึงกล่าวอย่างนั้นคะ

ขอขอบพระคุณอาจารย์มาล่วงหน้าสำหรับคำตอบที่จะกรุณามีให้หนูค่ะ


ฟ้ง - 18 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:54น. (IP: 210.246.80.57)

ความคิดเห็นที่ 22
ตอบ 20 คุณ ฟ้ง.........คำถามที่ผมเห็นว่าดี คือคำถามที่มีรายละเอียดของปัญหามาให้ไงล่ะครับ ว่าปัญหามาจากไหน ใครให้ความเห็น หรือ คัดมาจากหนังสืออะไร ข้อความเป็นอย่างไร และที่ดีที่สุดก็คือบอกมาด้วยว่าตนเองคิดอย่างไร ดังนั้น จึงไม่ได้เกี่ยวกับความโง่ หรือ ฉลาดอะไร อย่างปัญหาของคุณนี่นับว่าเป็นคำถามที่ดี เพราะบอกข้อความมาให้ พร้อมด้วยความเห็นของตนเอง และที่ผมเห็นว่าเป็นคำถามฉลาดก็จะเป็นคำถามที่คิดสงสัยในประเด็นที่สังเกตเห็นธรรมชาติ และชีวิต เพราะคำถามแบบนั้น จะทำให้เราได้คิดและ เกิดปัญญาเห็นตามความเป็นจริง

ดังนั้น จึงตอบปัญหาของคุณได้ง่ายมากเลย ตำราเหล่านี้ มักจะมีข้อสมมุติในเงื่อนไขที่ไม่ได้อธิบายอยู่เสมอ คือเหมือนมีคำอธิบาย แต่ตัดออก เอาเฉพาะคำทำนายมาให้ จึงเหมือนดูไม่มีเหตุผล หากอธิบายหมดก็อาจถูกลอกได้ กรณีนี้เมื่อมีการลอก เขาก็จะถามกลับไปว่า คุณให้เหตุผลหน่อยซิว่า รู้ข้อความนี้มาจากไหน ในเมื่อตอบไม่ได้ ก็ต้องสารภาพว่าลอกมา นี่คือสาเหตุหนึ่งที่เขาไม่อธิบายเหตุผลในหนังสือตำราส่วนใหญ่ เพราะคนตั้งหน้าตั้งตาลอกมีอยู่มาก ลอกแล้วก็อ้างว่ารู้เองมาแต่กำเนิด บางคนก็อ้างดื้อๆว่าเป็นสถิติ

"ในบรรดาราศีทั้งหมดนั้น ผู้ที่มีลัคนาราศีตุลย์ เป็นพวกที่ไม่มีความสำนึกบุญคุณคน คือไม่มีความกตัญญูคนมากที่สุดในบรรดาราศีทั้งหมด"

เหตุผลมีอยู่ว่า การกำหนดราศีเกิดแบบนี้ เป็นไปตาม อาทิตย์จรเข้าราศี เช่นผู้ที่เกิดราว 17 ตุลาคม ถึง 16 พฤศจิกายน อาทิตย์กำเนิดอยู่ในราศีตุลย์ อาทิตย์ก็จะเป็นนิจ หรือ แม้ผู้ที่วางลัคนาอยู่ในราศีตุลย์ เมื่ออาทิตย์โคจรมา ก็จะเป็นนิจ ทับลัคนาทุกปี อาทิตย์นั้น คือ บิดา ในเมื่อ อาทิตย์เป็นนิจ จึงหมายถึง ไม่นับถือบิดาก็ได้ แต่จริงๆในดวงแต่ละคนไม่ได้เป็นเช่นนี้ทีเดียว ส่วนมากคนราศีตุลย์มักจะไม่สนใจบิดา หรือ บิดาไม่ได้เลี้ยงดู คือ อาภัพบิดาเพราะความเป็นนิจของอาทิตย์นั้น ดังนั้นบางตำราจึงเลือกใช้ความหมายนี้ คือ “มักกำพร้า หรือ อาภัพบิดา” แต่ครั้นจะพิมพ์แบบนี้ตามๆกัน ก็ซ้ำกับคนอื่น จึงดัดแปลงข้อความไปอีกมุมหนึ่ง

แต่นั่นยังไม่ครบเหตุผล คือ พุธเป็นเกษตรราศีมิถุน หากลัคนาราศีตุลย์ พุธก็จะเป็น เก้า แก่ลัคนา ดังนั้น คนลัคนาราศีตุลย์จึงมีพุธเป็นพินธุบาทว์ทางเกษตรราศี พุธเป็นเก้านี้ ถือว่าอยุ่เรือนศุภะ คือ ความช่วยเหลืออุปถัมภ์ หรือ บุญคุณ ดังนั้นเมื่อเป็นพินทุบาทว์ จึงไม่สำนึกบุญคุณใคร หรือ อุปถัมภ์ตอบแทนใคร อันนี้เป็นธรรมชาติของราศี เหมือนกับคนราศีมังกรก็เช่นกัน ที่มีพุธเป็นเกษตรราศีกันย์เป็นเก้า แต่คนราศีตุลย์มีอาทิตย์เป็นนิจด้วย ดังนั้น ก็เลยมีราศีตุลย์อยู่ราศีเดียวที่เสียเรื่องนี้.........อันนี้เป็นเพียงมติของบางท่านเท่านั้น พวกพุธเก้าที่เสียมักทำให้มีนิสัยคิดอะไรเห็นแก่ตัวอยู่บ้าง ไม่ตอบแทนบุญคุณใคร ใครให้อะไร ทำอะไรให้แล้วบางทีก็ด่าเขาลับหลังหรือ ซึ่งหน้าก็มี โบราณจึงว่าเป็นพินทุบาทว์ แต่ก็เป็นเพียงแค่เกษตรราศี ยังจะต้องดูคุณสมบัติดาวพุธและดาวอื่นๆอีกมาก โดยทั่วไปผลทางราศีตุลย์ที่เป็นกลางๆก็คือ ใครให้อะไร ช่วยอะไร คนราศีนี้มักจะจำไม่ได้ แต่ถ้าตนให้อะไรใครจะจำแม่นทีเดียว อาจจะเป็นเพราะมีคนให้มากไปจนจำไม่ได้ หรือ เคยชินจนไม่เห็นความสำคัญก็เป็นได้


วรกุล - 19 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:46น. (IP: 203.107.196.187)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่กรุณาสละเวลามาตอบ หนูเข้าใจแล้วค่ะ แต่ที่ยังไม่ค่อยเข้าใจนักคือทำไมเขาต้องให้ "พุธเป็นเก้า เป็นพินทุบาทว์" ก็ไม่ทราบ คือสงสัยว่าทำให้ต้องกำหนดว่าเป็นดาวพุธ หนูจะไปค้นคว้าหาคำตอบตามตำราที่มีอยู่ค่ะ แต่หนูมีตำราโหราศาสตร์เพียงแค่ 4 เล่มเล็กๆ เท่านั้นค่ะ คงต้องไปหอสมุดแห่งชาติไปค้นอ่านเอา หนูไม่ค่อยมีเงินซื้อหนังสืออย่างนี้ค่ะ ถ้าซื้อคงถูกคุณแม่บ่นแน่ๆ เพราะต้องเอาเงินไว้ซื้อของจำเป็นสำหรับดำรงชีวิตไปก่อน

ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ


ฟ้ง - 20 สิงหาคม พ.ศ.2549 05:27น. (IP: 210.246.80.114)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบ 23 คุณ ฟ้ง.........ที่ตอบคุณในความเห็นที่ 22 ขอโทษทีครับลืมพิมพ์ ข้อความเดิม “ อาทิตย์นั้น คือ บิดา” ขอแก้เป็น “ อาทิตย์นั้น คือ บิดา หรือ ผู้มีพระคุณ” ดังนั้นอาทิตย์เป็นนิจ จึงหมายถึง ไม่สนใจ หรือ ไม่นึกถึงผู้มีพระคุณก็ได้

ตำราที่มีอยู่ไม่น่าจะมีที่มาของพินทุบาทว์ หรือ ดวงมาตรฐานต่างๆ พวกนี้เป็นเรื่องที่มาซับซ้อนหลายขั้นตอน และก็มีเงื่อนไขอยู่แทบจะทุกเรื่อง อย่างกรณี “พุธ” ก็เหมือนกัน เงื่อนไขนี้ ไม่ใคร่จะมีใครบอก ตำราโหราศาสตร์ใช้วิธียืมใครอ่าน หรือ ถ่ายเอกสารซีครับ หากจะซื้อ บางทีหนังสือเล่มราคาถูกๆก็อย่ามองข้าม เพราะเขาก็ลอกมา แต่พิมพ์ราคาถูกกว่า หรือ อาจจะไปดูหนังสือมือสองบ้าง พวกโหราศาสตร์มักจะไม่มีเหลือ แต่บางครั้งก็หลุดออกมาได้บ้าง


วรกุล - 21 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:48น. (IP: 203.107.207.11)

ความคิดเห็นที่ 25
เรียน อ.วรกุล...

อยากเรียนถามว่า

1.) จักรราศีแบบไทย เป็นอย่างไรครับ

ย้อนทวนอ่านไปหลายกระทู้ เกิดปมปัญหาก็มากมาย แต่คิดไปคิดมา ปมหนึ่งที่เป็นปัญหาใหญ่คือ ตัวจักรราศีแบบไทย นี่เองครับ

ในความไม่เข้าใจของผมตอนนี้ ขอใช้ความเปรียบครับ เหมือน มีรูปภาพแสดงไว้ในกระดาษแผ่นหนึ่ง มีคนเห็น แล้วก็อธิบายต่อๆ มาให้คนอื่นฟัง หรือ เอากล้องถ่ายไว้มุมต่างๆ แล้วผมก็ฟังคำบอกกล่าวจากเสียงคนส่วนใหญ่ แล้วก็เขียนเป็นวงกลม แล้วผมก็ฉุกคิดขึ้นว่า เอ มันเป็นวงกลมหรืออะไรกันแน่

มูลเหตุในหลายเรื่องที่คิด มาจาก

- แสงอาทิตย์ ที่ประกอบด้วย รังสี และ ธาตุ ทั้งสองนั้น ไปไม่พร้อมกัน ตรงชั้นบรรยากาศ(ทางโหราศาสตร์) ? ผมสงสัย? เดาเอาว่า หากคำนวณตำแหน่ง โดยรังสี อาจได้ปฏิทินดาราศาสตร์ หากคำนวณโดยธาตุ คือ สุริยาตร แกนธาตุนั่นเอง...อันนี้ผมอาจเข้าใจผิด คิดผิด คิดไปเองก็ได้ หรือ อ่านบทความไม่แตกเฉไปคนละเรื่อง

- โหรไทย ตรวจสอบตำแหน่งดาวบนท้องฟ้าจริงด้วย เห็นธาตุที่แสดงบนท้องฟ้า (ดาว+ดาวฤกษ์) ณ. เวลาปัจจุบันด้วย แล้วกับ ตำแหน่งที่คำนวณ สุริยาตร์ หากผิดไปจะวางเรือนไหน เรือนที่คำนวณ หรือ เรือนจริง หรือ ทราบวางไว้ทั้งสองตำแหน่ง แล้วทายทั้งสองจุด เพียงแต่จะอ่านให้เห็นหรือไม่อ่านให้เห็นเท่านั้น

- เรากำหนด เรือนจากลัคนา แล้ว ราศีเราอาจกำหนดไม่เหมือนของฝรั่ง

2.) จาก คคห. ของ อ.วรกุล และคุณภูมิ ข้างบนของกระทู้นี้ ปน กับกระทู้อื่นๆ ที่อ่านย้อน ที่ว่า โหราศาสตร์ไทยมองเป็นเชิงเส้น และ พลังงานธาตุ และธาตุดาว ไหลเข้าและออกทางลัคนา วนไปตามทิศทวนเข็มนาฬิกา ผมสงสัย มีความสอดคล้องอย่างไรกับ การหา ตนุเศษ ครับ ลองพิจารณาตอนนี้คล้ายๆ สัมพันธ์กัน แต่อาจจะไม่ใช่

*** ช่วงนี้กลับไปอ่านย้อน และอ่านสลับไปสลับมา กับของปัจจุบัน ผมแยก อดีต-ปัจจุบัน ไม่ออก ความคิดอาจจะกำกวมไปบ้าง ต้องขออภัยครับ


หนูน้อย - 23 สิงหาคม พ.ศ.2549 16:52น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 26
ตอบ 25 คุณ หนูน้อย.........1 / จักรราศีแบบไทยก็คือจักรราศีที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทย มีราศี และเกษตรเจ้าเรือน 12 ราศี ที่เรียกว่าเกษตรสองเรือน แต่ละราศีมีเกษตรธาตุอยู่ มีดาว(ธาตุดาว)ในดวงชะตา 10 ดวง ส่วนที่คุณให้ความเห็นอื่นๆ เป็นความคิดที่น่ารับฟังไว้ครับ

2 / ตนุเศษเป็นปัจจัยในดวงชะตาที่เกิดจากการคำนวณ สัมพันธ์กับเจ้าเรือน และเกษตรเจ้าเรือน ยังไม่อยากอธิบายที่มาครับ


วรกุล - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.203.201)

ความคิดเห็นที่ 27
เรียน อาจารย์วรกุล

ผมเห็นด้วยกับคุณหนูน้อย เพราะจะแยกจักรราศีไทยกับของแขกก็แยกกันไม่ค่อยจะออก เนื่องจากไปเอาของเขามาดัดแปลง แล้วก็บอกว่าเป็นของไทย ประกอบกับที่อาจารย์บอกว่าการสอนแบบไทย สอนให้คิดเอง โดยไม่ได้มีข้อสรุปหรือข้อเท็จจริงให้เนี่ย เนื่องจากความคิดของคนก็หลายความคิด ปัญญาก็ต่างกัน จึงมีหมอเดาเกิดขึ้นมากมาย บางคนก็มีหลักเกณฑ์แบบแปลกๆ พอถามเข้าก็บอกว่าบอกไม่ได้ มันยากที่จะเรียนรู้ ทั้งๆที่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน หรือไม่ก็บอกว่าอาจารย์สั่งไว้ไม่ให้บอกประมาณนี้


โหรต่องแต่ง - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:28น. (IP: 124.121.160.26)

ความคิดเห็นที่ 28
เรียน อาจารย์วรกุล

รบกวนเรียนถามอาจารย์ครับ ที่บางท่านกล่าวว่า "ดาวศุกร์เป็นประในดวงชะตา แปลว่า ความรักของเจ้าชะตาไม่ดี" หรือ "ดาวศุกร์เล็งลัคน์ (เป็นพินทุบาทว์) ความรักมักผิดหวัง" หมายความว่า ตำแหน่งของดาวที่แสดงความเป็นประ ไม่จำเป็นว่าลัคนาตกอยู่ราศีไหน ความรักก็จะไม่ดีใช่ไหมครับ ความเห็นในฐานะผู้เริ่มศึกษาของผม (หากผิดพลาดรบกวนอาจารย์กรุณาชี้แนะด้วยครับ) ตำแหน่งดาวดังกล่าว กำลังธาตุของดาวศุกร์นั้นอ่อนกำลัง ทำให้ความหมายทางปรัชญาของดาวศุกร์ไม่สามารถแสดงออกอย่างเต็มที่ใช่ไหมครับ เช่นนั้น ธาตุดาวที่จะสามารถส่งเสริมกำลังให้แก่ดาวศุกร์เพื่อให้ความหมายทางปรัชญาของศุกร์มีกำลังมากขึ้น จะพิจารณาจากปัจจัยอะไรได้บ้างครับผม อาทิ มุมดาว ดาวคู่ธาตุ คู่สมพล คู่มิตร หรือดาวจรสามารถส่งเสริมความหมายของดาวศุกร์ให้มีกำลังมากขึ้นไหมครับ

อีกด้านหนึ่ง กรณีดาวศุกร์เล็งลัคน์เป็นพินทุบาทว์ เป็นเงื่อนไขความสัมพันธ์ของดาวศุกร์กับลัคนา เป็นเรื่องของตำแหน่งดาวเฉพาะบุคคลที่มีลัคนาราศีเกิดในราศีหนึ่งๆที่เกิดตรงข้ามกับดาวศุกร์เท่านั้น กำลังธาตุของดาวศุกร์ไม่ได้อ่อนกำลัง เหมือนเช่น ตำแหน่งประ หากแต่ส่งผลต่อเจ้าชะตาเพราะตำแหน่งที่เป็นมุมเล็งใช่ไหมครับ ทำไมจึงให้ความหมายทางปรัชญาที่ไม่ดีต่อเจ้าชะตาหล่ะครับ ดาวศุกร์(เว้นแต่อยู่ในราศีเมษ หรือราศีพิจิก) เหตุใดจึงให้โทษ คือ ผมไม่เข้าใจอ่ะครับ หรือเป็นเพียงว่า เป็นมุมเล็ง จึงเรียกว่าให้โทษ แต่มันน่าจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้นใช่ไหมครับ

ผมต้องขออภัยหากการใช้คำของผมไม่ถูกต้องทีเดียวนัก เช่น คำว่า กำลังธาตุ หรือความหมายทางปรัชญา แต่เนื่องจากไม่รู้จะใช้คำใดจึงจะเหมาะสม รบกวนชี้แนะด้วยครับ และหากการเรียบเรียงคำพูดของผมไม่ถูกต้อง หรือทำให้อาจารย์เข้าใจสับสน ต้องขออภัยด้วยครับ

ขอบพระคุณครับ


bcc - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 10:30น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 29
ขอบพระคุณ อ.วรกุล ครับ...


หนูน้อย - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 13:00น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 30
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่นับถือ

ได้อ่านเรื่องพินทุบาทว์ทางเกษตรราศีที่อาจารย์ตอบคุณฟ้งค่ะ ขอเรียนถามว่า สำหรับดาวที่โคจร เราจะต้องพิจารณาถึงความเป็นพินทุบาทว์ด้วยไหมคะ? เช่น ลัคนาราศีมีน แล้ว พฤหัส ๕ จรอยู่ ราศีตุลย์ แล้วเวลาอ่านเรื่อง จะต้องอ่านจากความหมายของเจ้าเรือนเพฤหัส ๕ ใช่ไหมคะ

ขอความกรุณาอาจารย์อธิบายเพิ่มเติมด้วยนะคะ ขอบพระคุณค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 16:40น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 31
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

อยากเรียนถามอาจารย์ในฐานะคนอยากรู้ ที่ไม่ได้เป็นนักโหราศาสตร์นะคะ ว่า เมื่อไม่กี่วันก่อนมีข่าวว่าองค์กรที่เกี่ยวกับกวกาศของโลก กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเพิ่มดวงดาวในระบบสุริยะอีก 3 ดวง ไม่ทราบว่าจะมีผลกับการคำนวณดวงชะตาของโหราศาสตร์หรือไม่ค่ะ


ทานตะวัน - 24 สิงหาคม พ.ศ.2549 18:15น. (IP: 203.157.14.246)

ความคิดเห็นที่ 32
ตอบ 28 คุณ bcc.........1 / ตำแหน่งของดาวที่แสดงความเป็นประ ไม่จำเป็นว่าลัคนาตกอยู่ราศีไหน ความรักก็จะไม่ดีใช่ไหมครับ ใช่ครับ ดาวศุกร์ที่แสดงสถานะไม่ดีนั้น ทำให้ความหมายทางปรัชญาของดาวศุกร์ไม่สามารถแสดงออกอย่างเต็มที่ แต่เมื่อได้กำลังจากดาวอื่นโดยเฉพาะที่เป็นคู่ดาวที่ดี หรือได้มุม(ระหว่างดาว)สัมพันธ์ดีก็จะทำให้ศุกร์ดีขึ้นได้

2 / กรณีดาวศุกร์เล็งลัคน์เป็นพินทุบาทว์ กำลังธาตุของดาวศุกร์ไม่ได้อ่อนกำลัง เหมือนเช่น ตำแหน่งประ หากแต่ส่งผลต่อเจ้าชะตาเพราะตำแหน่งที่เป็นมุมเล็ง ใช่ครับ แต่เหตุผลที่คิดมานั้นไม่ใช่ ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าไม่ใช่ดาวทุกดวงเล็งก็เป็นหมด พินทุบาทว์เป็นเกณฑ์เสียเฉพาะดาวบางดวง เช่น ดาวศุกร์ในกรณีนี้ หรือ เสาร์ ราหู เล็งลัคน์ เป็นธรรมชาติของดาวจะไม่เหมือนกันในมุมที่ต่างกัน ซึ่งทำให้เกิดเป็นเกณฑ์เสียตามดาวแต่ละดาว เหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านี้ก็มีแน่ แต่ไม่ได้เกี่ยวที่ทำให้ “ความหมายทางปรัชญา” ของดาวเสีย คนส่วนมากเข้าใจพินทุบาทว์ผิด จึงทำให้บางอาจารย์ไปขยายว่ามีพินทุบาทว์หลายแบบ สะกดต่างกัน แล้วยังพ่วงอะไรต่ออะไรเสียๆตามมา ทำให้หลักวิชาของโบราณเสียไปด้วย

พินทุบาทว์ นั้น ทำให้เจ้าชะตาเสีย ไม่ว่าดาวจะดีหรือไม่ดีก็ตาม อย่างเช่น ขอทานมาต่อยเรา หรือ เศรษฐีมาต่อยเรา เราก็เจ็บเหมือนกัน อจ.อรุณ ลำเพ็ญ ท่านชอบเขียนว่า “เรื่องของดาวไม่ใช่เรื่องของคน” ก็เพราะเวลาเราวิเคราะห์ดาว มีกำลังธาตุ หรือ กำลังดาวดีๆ ก็ทำให้ความหมายของดาวนั้นดีหรือ เสีย ตามข้อ 1/ นั่นเป็น “เรื่องของดาว” แต่ต้องมองใหม่ว่า ดาวมันทำร้ายเรา หรือ ให้รางวัลแก่เราหรือไม่ นี่มันเป็น “เรื่องของคน” อย่างเช่นดาวศุกร์ดีๆ ทำให้เจ้าชะตามีความรักอันหวานซึ้ง นี่เป็นความหมายทางปรัชญาของดาวที่ดี แต่พอมาเล็งลัคนาเป็นเกณฑ์เสีย ก็จะมาทำร้ายเรา แล้วแต่เรื่องราวในดวงแต่ละคน อย่างบางคนเข้าใจผิดว่าดาวเป็นคู่ธาตุ คู่มิตร ฯลฯ แล้วทำให้ไม่เป็นพินทุบาทว์ ก็ไม่ใช่ เพราะนั่นเป็นเรื่องของดาว กลายเป็นว่า ดาวดีๆทำให้เจ้าชะตาเสีย ต่างหาก บางคนอาจจะเสียมาก เช่นกลายเป็นเผด็จการ เนรคุณ ***มโหด อะไรแบบนี้เป็นไปได้ แต่ผลดีจากดาวทำให้เขาเป็นคนรวย หรือ เป็นใหญ่ได้ อาจจะโกงเขา ฆ่าเขาเอามาก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หรือในทางกลับกันดาวเสียๆอาจจะทำให้เจ้าชะตาดีก็ได้ ต้องแยกคิดให้ดีๆ ปัญหาที่ถามนี้เป็นคำถามที่ดีอีก คือคิดมาอย่างมีเหตุผลอย่างนี้ทำให้เข้าใจมุมที่มองได้ 0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 30 คุณ สุธาวาส.........คำถามดีครับ เพราะสงสัยได้ตรงจุดที่ควรสงสัยพอดี มีความคิดเป็นของตนเอง 1 / เรื่องพินทุบาทว์ทางเกษตรราศีเป็นเรื่องอ่อนกว่าดาวครับ เพราะมันเป็นธาตุเกษตรที่เกิดจากราศี ที่ธาตุเหมือนดาวเท่านั้น ดังนั้นจึงอ่อนกว่าดาว เพราะพินทุบาทว์ นั้นเป็นเกณฑ์เสียทางดาว ตรงตามเงื่อนไขพินทุบาทว์มากกว่า หากดาวนั้นอยู่ในที่ดีๆ เรื่องทางเกษตรราศีก็ไม่มีความหมายมากนัก ส่วนใหญ่มักจะกลายเป็นนิสัยแบบเผลอๆ ถ้าอย่างลัคน์กรกฏ เกษตรราศีมีนเป็นพฤหัส แต่พุธเป็นนิจประและเป็น 9 ก็ถือว่าเป็นพุธพินทุบาทว์แน่นอน ไม่ใช่ไปดูเกษตรว่าเป็นพฤหัสเลยแก้กัน ส่วนดาวที่โคจร ก็มีผลบ้าง แต่ยังอ่อนกว่าเกษตรราศีเสียอีก เพราะขึ้นอยู่กับดาวเดิมดวงเดิมเป็นสำคัญ นอกจากเกิดเป็นเรื่องได้ชั่วคราว ถ้าดวงเดิมมีพื้นแสดงนิสัยที่เสียอย่างในทางนั้นๆอยู่แล้ว 2 / ลัคน์อยู่มีน พฤหัสจรอยู่ตุลย์ ก็ต้องอ่านความเป็นเจ้าเรือนของพฤหัส คือตนุ – กัมมะ ถูกแล้วครับ แต่ไม่ต้องอ่านความเป็นพินทุบาทว์ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอ่านเรื่องตามที่ดาวจรทำงานตามดาวเดิมด้วยนะครับ เนื่องจากดาวจรแต่ละระดับ จะทำให้ดาวที่ถูกกระตุ้นทำงานตามเรื่องราวตามเหตุผลของมันที่อยู่ในดวงชะตาแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ลัคน์มีนเหมือนกันเรื่องที่อ่านจะเหมือนกันไปหมด ดังนั้น หากเรื่องเดิมเสียอยู่ พฤหัสก็จรเสียได้ โดยไม่ต้องเป็นพินทุบาทว์


วรกุล - 25 สิงหาคม พ.ศ.2549 07:35น. (IP: 203.107.205.10)

ความคิดเห็นที่ 33
ตอบ 31 คุณ ทานตะวัน.........ดาวเคราะห์ที่เพิ่มอยู่ในวงรอบนอกไกลออกไป ไม่มีผลในการคำนวณหรอกครับ แต่มีผลในบางเรื่อง ขอยังไม่พูดถึงก่อน


วรกุล - 25 สิงหาคม พ.ศ.2549 07:38น. (IP: 203.107.205.10)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณครับอาจารย์ ผมยังหลงทางอยู่เลยครับเนี่ย ดีที่ได้ถามอาจารย์ก่อนอ่ะครับ ขอบคุณมากครับ


bcc - 25 สิงหาคม พ.ศ.2549 08:45น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 35
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ทุกครั้งที่ได้อ่านคำตอบของอาจารย์ จะรู้สึกว่ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละนิด เหมือนเป็นการหยดน้ำลงในแก้วใบโตๆ ค่ะ ซึ่งตอนนี้เริ่มมีน้ำอยู่ก้นๆ แก้วนิดหน่อยแล้วค่ะ

ขอบพระคุณมากค่ะ


สุธาวาส - 25 สิงหาคม พ.ศ.2549 09:35น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

ไปหาข้อมูลมาเพิ่มค่ะ เรื่องดาว 3 ดวง ที่จะเพิ่มเข้ามาในระบบสุริยะ

"สหพันธ์ดาราศาสตร์สากล (ไอเอยู) เตรียมลงมติวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เพื่อตัดสินว่าจะปรับเปลี่ยน "นิยาม-คำจำกัดความ" ใหม่สำหรับใช้เป็นเกณฑ์จัดกลุ่ม "ดาวเคราะห์ในระบบสุริยะจักรวาล" หรือไม่ ถ้าผลตัดสินออกมาว่าเห็นด้วยกับนิยามใหม่ จะส่งผลให้ความรู้ในตำราเรียนทั่วโลกที่ว่า ดาวเคราะห์ระบบสุริยะมีเพียง 9 ดวง (ดาวนพเคราะห์) กลายเป็นเรื่องผิดพลาด-ตกยุคทันที เนื่องจากภายใต้ฐานความรู้ใหม่นี้โลกและดาวนพเคราะห์ดวงอื่นๆ จะมีดาวน้องใหม่เข้ามาร่วมเป็นสมาชิกอีก 3 ดวง

1. "ชารอน" อดีตดวงจันทร์บริวารของดาวพลูโต

2. ดาวเคราะห์น้อย "เซเรส"(อยู่ระหว่างดาวอังคารกับดาวพฤหัส)

3. ดาวสุดขอบระบบสุริยะ "2003 ยูบี313" (ซีนา) ซึ่งค้นพบโดยนายไมเคิล บราวน์ จากสถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย และเป็นหนึ่งในชนวนเหตุให้ไอเอยูต้องพิจารณาเกณฑ์ดาวเคราะห์ใหม่ " เป็นข้อมูลจาก นสพ.ข่าวสดค่ะ

ถามเพราะความอยากรู้ค่ะ เพราะตอนนี้วงดาราศาสตร์ก็ถกเถียงกันมากพอสมควร แล้วจะรออ่านความเห็นของอาจารย์วรกุลค่ะ


ทานตะวัน - 25 สิงหาคม พ.ศ.2549 15:12น. (IP: 203.157.14.246)

ความคิดเห็นที่ 37
ตอบ 36 คุณ ทานตะวัน.........ผมฟังข่าวเหมือนกันครับ ถ้าเป็นแต่ก่อนยังศึกษาดาราศาสตร์อยู่ จะซื้อนิตยสารและปฏิทินต่างประเทศเอาไว้มาก เพราะต้องใช้ข้อมูลบ่อย สมัยก่อนผมมีปฏิทินดาราศาสตร์ และโหราศาสตร์หลายอย่าง เอาไว้ใช้กับโหราศาสตร์แต่ละระบบที่ใช้ ต้องสั่งซื้อจากต่างประเทศ (ยกเว้นสุริยาตร์) แล้วเอามาคำนวณปรับเอง เดี๋ยวนี้ไม่ได้ทำแล้ว นานๆทีก็เขียนบทความทางดาราศาสตร์ด้วย แล้วส่งไปให้กองบรรณาธิการเขาขัดเกลาภาษาลงในนิตยสารอีกที สมัยนี้ใช้อินเตอร์เน็ทกันมากแล้ว และ ผมมาอยู่ในวัยที่ไม่มีเวลาทำอย่างอื่น ก็เลยทิ้งไปหลายอย่าง ได้แต่ฟังอยู่ห่างๆ เรื่องดาวเคราะห์ใหม่นี้ ได้ข่าวว่าเพิ่มมา 3 ดวง แต่ตัด พลูโตออกไป เพราะพลูโต อาจจะเป็นเพียงกลุ่มเทหวัตถุเท่านั้น ไม่ใช่ดาว และยังโคจรผิดจากดาวเคราะห์อื่นๆด้วย ถึงอย่างไรไม่ว่าจะมีดาวเคราะห์เพิ่มกี่ดวงในรอบนอกก็ไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์ไทย

จำได้ว่ากระทู้ตอนแรกๆ อาจารย์ สส. มาบอกไว้แล้วว่า โหราศาสตร์นั้นไม่เกี่ยวกับดาวเคราะห์ แต่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ เพราะดาราศาสตร์เป็นธรรมชาติหนึ่งที่เรานำมาใช้ในโหราศาสตร์ แต่โหราศาสตร์ระบบที่ยังยึดถือแนวคิดโหราศาสตร์ดั้งเดิมอยู่ได้ คือ กลุ่มโหราศาสตร์ทางตะวันออกนี่แหละ และยังมีพวกยุโรปตะวันออก อยู่บางประเทศ พวกโหราศาสตร์ใหม่ๆที่พัฒนามาล้วนแต่ไปอิงตำแหน่งดาวเคราะห์มากเกินไป เพราะไปหลงว่า ดาวเคราะห์มีอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์ ดังนั้นพอค้นพบอะไรใหม่ก็เอามาใช้เสียหมด แต่โหราศาสตร์ไทยเดิมมีเสาหลักของวิชาอยู่ว่า ดาวเคราะห์ทั้งหลายไม่ได้มีอิทธิพลต่อมนุษย์ หลักวิชาทั้งหลายที่เราใช้อยู่นั้นเกี่ยวเนื่องด้วยปรัชญาของธรรมชาติ กับชีวิต ดังนั้นต่อให้พบดาวเคราะห์เพิ่มอีกกี่ดวง โหราศาสตร์ไทยก็ไม่ต้องรื้อคำนวณใหม่ แต่กำลังดูว่าคนที่เอาพลูโตมาใช้ เช่น เป็นเกษตรราศีเมษ จะทำอย่างไร

ถ้าดาว 7 ดวงนี้ คือ อาทิตย์ จันทร์ของโลก อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ หายไปสิครับ โหราศาสตร์ไทยจึงอาจจะต้องคำนวณใหม่ แต่ถ้าสมมุติจับดาวสลับที่วงโคจรกันโดยใช้อัตราเร็วในวงโคจรเดิม หากไม่มีความเปลี่ยนแปลงอัตราและเส้นทาง ก็ยังไม่ต้องคำนวณใหม่ เพราะดาวที่เป็นวัตถุนั้นทำหน้าที่ในโหราศาสตร์ แต่ไม่ใช่มีอิทธิพลต่อเรา หากมีดาวเคราะห์เพิ่มในช่วงระหว่างไม่ไกลเกินกว่าดาวเสาร์ อาจจะคำนวณใหม่แก้ไขเล็กน้อย เช่น ดาวเคราะห์น้อย เซเรสที่เพิ่งยกให้เป็นดาวเคราะห์ใหม่นี่แหละ มีผลทางวิชาโหราศาสตร์ทุกระบบ แต่โหราศาสตร์ไทยก็ absorb ส่วนต่างเอาไว้อยู่นานแล้ว อยู่ในบางวิชาโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันอยู่นั่นแหละ

ถ้ายังงงอยู่ พูดง่ายๆว่า โหราศาสตร์ไทยดั้งเดิมยึดถือดาว 7 ดวง เป็น กรอบของโครงสร้างทฤษฎีโหราศาสตร์เท่านั้น การที่มีดาวอื่นอยู่นอกเหนือจากการคาดหมาย มีผลทำให้เกิดความเคลื่อนคลาด ทางโหราศาสตร์ และได้ผนวกเอาไว้ในโครงสร้างดวงชะตาจักรราศีแบบไทยแล้ว เป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษโหรไทยโบราณ หากจะขยันหน่อยก็เพียงตรวจสอบการโคจรของดาวเคราะห์ที่ทราบใหม่แล้วปรับแนวการพยากรณ์เดิมเพื่อความสะดวกเท่านั้น แต่ก็ไม่จำเป็น เพราะโหรไทยยึดคุณสมบัติของธรรมชาติ คือปัจจัยมากกว่าตำแหน่ง คงยังเล่าละเอียดไม่ได้ครับ เพราะการสร้างโหราศาสตร์ไทยต้องรู้หลักของระนาบทางคณิตศาสตร์ และวงรอบธรรมชาติ รวมทั้งมิติของเวลาที่ใช้ ถ้าดาวเคราะห์มีไม่เกิน 12 ดวง ก็พอสร้างโหราศาสตร์ใหม่ได้โดยหลักดั้งเดิมส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่จำเป็นอะไรอีกเหมือนกัน


วรกุล - 26 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:58น. (IP: 203.107.204.98)

ความคิดเห็นที่ 38
หมอดูหลายๆคน ที่ทำมาหากินอยู่นอกจากชอบแนะให้ไปเปลี่ยนชื่อแล้ว มักแนะนำให้เอาอะไรต่ออะไรมาแก้ดวงชะตา เช่น ใส่อัญมณีสีโน้นสีนี้ ใส่เสื้อผ้าอย่างนั้นอย่างนี้ เอาวัตถุอะไรมาแขวนคอ หรือ ตั้งของอะไรเต็มบ้านไปหมด จึงจะ “สมพงศ์” กับดวงชะตา แม้แต่เลือกรถยนต์ ก็เลือกสี ตาม “โฉลก” จนชาวบ้านชาวช่องติดปากคำว่า “ถูกโฉลก” แต่ไม่ยักกะมีคนสงสัยว่า “โฉลก”นี่มันเป็นอย่างไร ใส่แล้วถูกจริงเหมือนถูกหวยหรือไม่ ควรจะเอาอะไรมาแขวนคอไว้ตามที่เขาว่าดีหรือไม่อย่างไร จะโยนทิ้งก็ไม่กล้า บางทีหมอดูก็มาแนะนำให้เลี้ยงหมา เลี้ยงแมว เลี้ยงกระต่าย เลี้ยงวัว ก็เคยมี หรือ ไม่ก็ให้ไปนอนในโลงศพ ให้พระบังสุกุล แถมยังขู่ด้วยว่า ยิ่งหมอดูทักแล้วไม่ทำตาม ระวังจะซวย ถ้าไปทำเองไม่เป็นฝากเงินให้หมอดูไปทำแทนแบบ นอมินี ก็ได้ คิดแค่ 10,000 แบบกันเอง เพราะต้องไปเจรจาตกลงกับเจ้ากรรมนายเวร ยากน่าดู ฟังบ่อยๆแล้วก็กลุ้มใจแทนนะครับ

พวกเราคงจะได้ยินคำว่า “สมพงศ์” หรือ “คู่สมพงศ์” กันบ่อย คำนี้เข้าใจว่าเกิดจากตำราพรหมชาติ ที่เป็นของประจำบ้าน ไทย ก็มี จีนก็มี ตำราพรหมชาตินั้นมักจะแนะให้ดูคู่ครอง ชาย – หญิง ตามวันเดือนปีเกิด เช่น เกิดวันจันทร์ เดือนสาม ปีมะแม อะไรประมาณนี้ แล้วก็เอามาเทียบกันดูว่าสองคนนี้เข้ากันได้ หรือ ไม่ได้ตรงไหน หากเป็นคู่กันแล้วจะเป็นอย่างไร มีฝอยทำนายโดยพิสดาร มีหลายตำราด้วย ของพม่าลาวเขมรก็มี นอกจากนั้น ในตำราก็ยังมีความรู้เกี่ยวกับประเพณีพื้นๆอย่างอื่น ที่นิยมกันนักหนา ก็คือ เรื่องสี ที่เป็นมงคล วันเดือนปีที่ดี และบางทีก็มีวรรคอักษรตามทักษาใช้ตั้งชื่อให้เป็นมงคลตามที่นิยมกัน

คนส่วนใหญ่ก็เลยติดคำว่า “สมพงศ์” ถือว่าทำอะไรจะดี สิ่งนั้นต้องสมพงศ์กับตัวเอง จะว่าใช่ก็ใช่ หากเป็นการกระทำ หรือ สิ่งแวดล้อมที่กระทำ ถ้าสิ่งที่ทำ หรือ อยู่ในสิ่งแวดล้อมตามดวงชะตาก็ย่อมจะทำให้ทำสะดวกดี แต่ถ้าไม่เหมาะสมตามดวงชะตาก็ย่อมขัดข้อง เหมือนปลาช่อนควรอยู่ในน้ำ หากจับมาวางบนบกก็กลายเป็นปลาตีน ย่อมเคลื่อนที่ได้ช้ากว่าสัตว์บกเป็นธรรมดา นี่น่าจะเป็นที่มาของคำว่า “สมพงศ์” (ไม่ใช่ สมพงษ์) เพราะ “พงศ์” หรือ “วงศ์” ก็คือ พวกเดียวกัน หรือ สิ่งแวดล้อมที่เป็นพวกเดียวกัน สิ่งที่ควรสมพงศ์กับตัวเองนั้น หากจะดูจากดวงชะตาจะเหมาะกว่าดูแค่วันเดือนปีแบบตำราพรหมชาติอย่างเดียว เราควรพบว่า สิ่งนั้นเป็นดาว หรือ ธาตุที่มีความหมายเป็นวัตถุ สิ่งของ หรือ สี ซึ่งดูเหมือนเคยมีข้อเขียนเรื่องนี้มาแล้วในกระทู้แรกๆ โดยสรุปว่า สิ่งที่พอจะมีอิทธิพลจริง ควรเป็นสิ่งที่ธรรมชาติก็มองเห็นเช่นกัน เช่นสีก็เป็นสีธรรมชาติสร้างขึ้น เช่นสีของใบไม้ หรือ อัญมณีในธรรมชาติ ไม่ใช่ใบไม้พลาสติค หรือ สีวิทยาศาสตร์ หรือ ลูกปัดพีวิซีหลากสี แบบนั้นธรรมชาติไม่รับรู้ ทำให้ไม่ได้อิทธิพลทางสีหรือวัตถุสิ่งของต่อดวงชะตา แม้เอามาใส่หรือห้อยคอก็ไม่มีผลอะไร เกะกะและเสียเงินไปเปล่าๆ ยกเว้นเอาไปทำไสยศาสตร์ฝัง “ความเชื่อ” มาเสียก่อน เช่นรูปปั้นเสือ ก็อาจจะมีความหมายเป็นเสือได้ ในชั่วระยะที่ไสยศาสตร์นั้นมีกำลังให้ผลอยู่

การแก้เหล่านี้ จะสังเกตว่าเราใช้ตัวเจ้าชะตานั่นเองเป็นเป้าหมาย ทางโหราศาสตร์นั้น การดูดวงชะตาคนใดคนหนึ่งปกติก็ยุ่งยากมากอยู่แล้ว และที่ไปนำเอาวัตถุสิ่งของ หรือ ทำพิธีต่างๆ แม้จะยุ่งยากและเสียทรัพย์ แต่ก็เลือกซื้อได้ หรือ เลี้ยงสัตว์แล้วไม่ได้ผลก็เอาไปปล่อยวัดให้เป็นบาปไปเพียงเท่านั้น เรื่องที่ยอดฮิตกลับไม่ใช่เรื่องของวัตถุแต่เป็นสิ่งที่โยนทิ้งได้ยาก คือ “บุคคล” โดยเฉพาะคู่สามีภรรยานี่แหละที่แก้ยาก ดังนั้นเรื่องคู่ครอง จึงเป็นเรื่องสำคัญ หมอดูมักถูกถามเรื่องคู่แท้ คู่ไม่แท้ ลักษณะเนื้อคู่อะไรประมาณนั้น กลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อน อันที่จริงนอกจากเรื่องคู่สามีภรรยาที่ยอดฮิตแล้ว การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมประจำวันนี่แหละ เป็นเรื่องสำคัญมากไม่แพ้เรื่องการแต่งงาน แต่ไม่ค่อยจะมีคนสังเกตหรือสนใจถามปัญหากันมากนัก ยกเว้นเมื่อมีปัญหาขึ้นมาแล้ว คือปัญหาเรื่องเจ้านาย หรือ ผู้ร่วมงาน เพื่อน ลูกน้อง รวมทั้งการอยู่ในที่ทำงาน ที่ไม่เหมาะ หรือ ถูกกับดวงชะตา ทั้งนี้ก็เพราะพวกเรามักคิดกันว่า เมื่อไม่ดีก็เปลี่ยนใหม่ ไม่เหมือนการมีคู่ที่มักจะเปลี่ยนยากกว่า

ปัญหาพวกนี้ อันที่จริงต้องดูดวงชะตาทั้งสองฝ่าย ไม่ใช่ดูแต่เรื่องคู่ครอง เพราะการที่ดวงใครที่มาขัดกับเรา มีสาเหตุอยู่ได้ 2 ประเภท คือ หนึ่ง เป็นกรรมทั้งสองฝ่าย หากเป็นเวรกรรมเดิมที่มาเกี่ยวข้องกันมักจะต้องเป็นทั้งสองฝ่ายที่แสดงเหตุ หรือ สอง เป็นกรรมฝ่ายเดียวก็เป็นได้ กรณีที่เป็นกรรมฝ่ายเดียวนั้น ฝ่ายที่มีกรรม แม้จะย้ายไปทำงานที่อื่น ก็มีสิทธิ์ ไปขัดแย้งกับผู้อื่นใหม่ แต่ฝ่ายที่ไม่มีกรรม เมื่อย้ายไปเรื่องก็จะสงบลง ดังนั้น เมื่อมีผู้ถามเรื่องการขัดแย้ง เราจึงต้องวิเคราะห์ด้วยว่าเป็นกรรมประเภทใด หากมีข้อมูลทั้งสองฝ่ายจะช่วยได้มาก ยกตัวอย่างเช่นบางคนอาจจะมีกรรมกับเจ้านายมาก เจ้านายคนไหนมาก็มักจะเกลียด แต่พอลาออกไปทำส่วนตัวเลิกเป็นเจ้านายแล้ว กลับมาคบกันได้ รักใคร่กันดี เหตุเพราะในดวงชะตาเขาเป็นดวงเกลียดกับเจ้านายเป็นกรรมฝ่ายเดียวนั่นเอง แบบนี้ทำงานที่ไหนก็มีปัญหา อาจจะต้องยุให้มาทำส่วนตัว แต่ถ้าเป็นกรรมสองฝ่าย เมื่อเปลี่ยนงานเปลี่ยนเจ้านายต่างคนต่างไปก็หายได้ แม้แต่คู่ครองก็มีสองกรณีทำนองนี้เช่นเดียวกัน แต่ยุ่งยากหน่อยเพราะเปลี่ยนคู่ได้ยากกว่า โหราศาสตร์จึงเป็นประโยชน์ตรงนี้ แต่ดูยากเหนื่อยมาก อาจจะต้องรบกวนหมอดู(ที่ดูเป็น) อยู่หลายรอบ หมอดูทั่วไป จึงมักดูเพียงความสอดคล้องของดวงชะตาเท่านั้น หากไม่ดี ก็อย่าอยู่ด้วยกันเลย เอาแค่นั้น แต่งานอาชีพนั้นไม่ได้หาง่ายๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องหนักใจอยู่เหมือนกัน

การดูดวงชะตาสองฝ่ายนี้ เป็นเทคนิคที่แตกต่างในพวกนักพยากรณ์ และเป็นเรื่องที่ศึกษายากในโหราศาสตร์ ในทางปฏิบัติมีวิธีการตั้งแต่หยาบไปจนถึงละเอียด ที่จะยกตัวอย่างนี้มาเป็นเพียงวิธีบางวิธีเท่านั้น

วิธีแรก เป็นวิธีง่ายหน่อย คืออาศัยความสอดคล้องของปัจจัยในทางที่ดี โดยมากใช้กันในตำราพรหมชาติ

คือ การนับจากปัจจัยหนึ่งเทียบกับอีกปัจจัยหนึ่ง เช่น วันเดือนปี ให้เป็นเกณฑ์ที่ดีต่อกัน เช่น เป็น 5 เป็น 9 แก่กัน หากไม่ดี ก็มักจะเป็น 6 7 8 12 อย่างเช่น ในพรหมชาติจีน เกิดปีชวด – มะโรง – วอก คือ 1 5 9 ถือเป็นซาฮะ หมายถึงคู่เหมาะสมทั้งสาม ส่วน อุปสรรคก็คือ ชง เช่น ชวดไม่ถูกกับมะเมีย คือ เป็นเกณฑ์ 7 แก่กัน (เกิดปีใดนับไป 7 ถือว่าไม่ถูกกัน) ซึ่งหากจะดูจากดวงชะตาจะดีกว่าเพราะดูได้ละเอียดลงไปถึงยามกำเนิด(ซี้) ในโหรไทย หากใช้ในผู้ที่หัดใหม่ระดับประถมมักสอนให้ดูปัจจัยจุดเจ้าชะตาเช่น อาทิตย์ จันทร์ ลัคนา ของแต่ละดวงไม่ให้เป็นทุสถานะ คือ 6 8 12 แก่กัน หรือ คู่สามีภรรยาก็เพ่งเล็งศุกร์ อังคาร เข้าไปด้วยเพราะเป็นดาวเพศรส หากดวงที่สอดคล้องกัน ปัจจัยเหล่านี้ก็ควรเป็นมุมโยค หรือ ตรีโกณแก่กัน เช่น อาทิตย์ของฝ่ายชายอยู่ราศีเมษ อาทิตย์ฝ่ายหญิงก็ไม่ควรอยู่ราศีกันย์ เพราะเป็น 6 คือ อริ หากอาทิตย์ของหญิงอยู่ราศีสิงห์เป็น 5 ตรีโกณแก่ชายจะดีกว่า อะไรประมาณนี้

เหตุใดเราจึงไม่นิยมให้ดวงคนสองคนมีปัจจัยเป็นทุสถานะแก่กัน อันนี้ก็ตอบง่าย เพราะหากคนที่คบกัน ควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกนึกชอบไปทางเดียวกัน ดังนั้น เมื่อดาวจรดวงใดกำลังทำมุมดีกับจุดเจ้าชะตาของคนหนึ่ง ก็จะเท่ากับทำมุมดีกับอีกคนหนึ่งโดยปริยาย แต่ถ้าหากดวงชะตามีดวงขัดกันเสียก่อนแล้ว เวลาดาวจรมา ก็จะมีคนหนึ่งดีใจ คนหนึ่งเสียใจ สลับกันไป เข้ากันไม่ได้ ก็กลายเป็นรสนิยมขัดกันอยู่โดยตลอด ขืนคบกันไปก็ไม่ตลอดรอดฝั่ง เขาจึงถือว่าดวงขัดกัน วิธีนี้จะนับว่าดีก็ดี แต่เวลาปฏิบัติ แล้วยิ่งวุ่นวาย เพราะคนเรามีปัจจัยหลายอย่าง ที่ขัดกันก็มี ช่วยกันก็มี ตกลงจะเอาอย่างไหน หากจะคิดเอาปีเกิดเช่น ปีชวดห้ามแต่งงานกับปีมะเมียเลย พอดีพอร้ายเขาหอบผ้าหนีตามกันไปจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่จึงใช้วิธีนี้กับเพื่อนกัน หรือ ลูกน้อง คนทำงานด้วยกัน เพราะดูง่ายหน่อย แต่สำหรับคู่แต่งงาน หมอดูที่แก่วัดมักจะหันมาใช้วิธีที่สอง

วิธีที่สอง คือ อ่านเรื่องราวจากดวงชะตา แบบนี้ต้องอ่านเรื่องในดวงชะตาเป็น และต้องอ่านละเอียดทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะคู่สามีภรรยา เพราะหากเป็นคู่สามีภรรยากันจริง ชีวิตต้องอ่านแล้วสอดคล้องกัน เพราะดวงชะตาผู้ที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน มักจะต้องมีดวงชะตาในเรื่องหลักๆที่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัวคล้ายกัน เช่น ปลูกบ้าน - ควรจะเป็นหลังเดียวกัน แต่งงาน – ดวงแต่งงานตามดาวจรก็ควรจะพร้อมกันพอดี มีบุตร – ก็ควรจะเป็นบุตรของสองคนนี้นั่นแหละ อ่านจากดวงทั้งสองคนจะพบลักษณะของบุตรคนเดียวกัน อะไรแบบนี้ เรื่องมันดูเข้าใจง่าย แม้จะทำยาก เพราะต้องดูดวงสองคน แต่วิธีนี้หมอดูระดับมัธยม มักจะเริ่มปวดศีรษะ เพราะจิตวิทยาสังคมเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไป สมัยก่อนผู้คนมีคู่คนเดียว ผัวเดียวเมียเดียวก็ดูง่าย แต่ปัจจุบัน คนเรามักมีแฟน มีกิ้กหลายกิ้ก สามีภรรยา คนที่หนึ่ง-สอง-สาม อะไรแบบนี้ ทำให้ดูเรื่องคู่ครองยากมาก และคู่ครองก็ยังมีคู่แท้ คู่ไม่แท้ คู่เวร คู่กรรม อะไรอีกมากมาย ใครจะไปรู้ว่าดาวดวงไหนคือคู่คนไหน แถมคนที่มาดูยังเก็บเป็นความลับสุดยอด แม้แต่หมอดูก็ไม่ให้รู้ อ่านดวงไปก็ปวดศีรษะไป ยิ่งมาดูเรื่องเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน บอกลักษณะก็เหมือนกันไปหมด เช่น บอกว่าเจ้านายพุงป่อง แล้วใครจะไปดูรู้ว่าพุงป่องคนไหนเป็นกาลกิณีบ้าง ตกลงก็ต้องไปพึ่งบริการระดับหมอดูอาวุโส คือ วิธีที่สาม

วิธีที่สาม กลับจะไม่ดูเรื่องราวทีละคน เพราะคนเรามันไม่แน่ บางทีภรรยาทำงานงกๆด้วยความทุกข์ในบ้านหลังหนึ่ง สามีกำลังสุขสบายอยู่ในบ้านอีกหลังหนึ่ง ดังนั้น วิธีที่ดีกว่าคือ ต้องตรวจดาวทั้งหมดที่สัมพันธ์กันแล้วอ่านไขว้ อันนี้เขามักจะสอนว่า ให้เอาดวงใครดวงหนึ่งเป็นตัวตั้ง แล้วเอาดาวที่เป็นหลักในเรื่องราวของอีกคนเป็นตัวเดินเรื่องในดวงชะตานั้น เช่น สมมุติอยากรู้ว่า นาย ก. หากคบกับนาย ข. แล้ว นาย ก.จะเป็นอย่างไร ให้ตั้งดวงนาย ข. ขึ้นมา แล้วเอาลัคนานาย ข. เช่น ราศีเมษออกไป ใส่ลัคนานาย ก.เข้าไปแทนที่ในราศีกรกฏ อย่างเดียว แล้วอ่านดวงชะตานั้น นี่จะเป็นชะตากรรมของนาย ก. วิธีนี้ เวลาทำจริงเชื่อถือไม่ค่อยได้ เพราะหากคนที่ไม่ได้เกี่ยวพันกันจริงๆแบบมีเวรกรรมทั้งสองฝ่ายด้วย วิธีนี้จะไม่ชัดไปจนถึงไม่ได้ผลเลยทีเดียว แม้แต่คู่สามีภรรยาก็ทำเช่นนี้แล้วได้ผลน้อย ถ้าไม่ใช่คู่กรรม บางคนก็ประยุกต์ขยายไปใช้การไขว้ปัจจัยอื่นเพิ่มเติมอีก ขอเล่าเพียงเท่านี้ ให้พอรู้ว่าเขาทำอะไรเท่านั้น

วิธีที่ใช้กันทั้งสามกลุ่มวิธีที่กล่าวมาพอใช้ได้แต่ยังไม่ตรงกับธรรมชาติ อย่างที่รู้กันอยุ่ว่ามนุษย์เราประกอบไปด้วยธาตุหลายชนิด ที่เกิดสร้างเป็นตัวเราขึ้นมาตามดวงชะตา ดังนั้น ก็จะมีธาตุที่ส่งผลแสดงเรื่องราวที่เป็นไปในทางลบต่อเรา ยกตัวอย่างเช่นสมมุติ ลัคนาเราอยู่ราศีมิถุน อังคารก็จะเป็นเจ้าเรือนอริคือราศีพิจิก หากยังไม่ดูดาวอื่นๆ เอาง่ายๆก็แสดงว่า ธาตุของอังคารเป็นอริแก่เรา ส่วนจะเป็นอริแล้วมีเรื่องราวอย่างใด ก็จะต้องดูจากดวงชะตาต่างหาก สมมุติในตอนนี้ เราไม่ค่อยถูกกับอังคาร เพราะอังคารนั้นทำให้เราเจ็บป่วยบ่อย หมอดูก็ต้องแนะนำว่า อย่าไปกินอะไรเผ็ดร้อนมากนัก หรือ อย่าไปเล่นกีฬาโลดโผน เพราะเมื่อ “เกิดอังคาร ก็จะเกิดอริ”

นี่เป็นสิ่งที่เราปรับตัวเองได้ ทีนี้ เราก็ไม่ควรมีอาชีพเป็นอังคารเช่น ทหาร เพราะเป็นทหารแล้วจะเดือดร้อน แม้แต่คบกับทหาร ก็อาจจะทะเลาะกันได้ สรุปง่ายๆว่า สิ่งใดที่เกี่ยวกับอังคาร ถือว่าไม่ให้คุณ คือ “ไม่ถูกโฉลก” นั่นเอง เรื่องมันไม่ควรจะยุ่งยาก เพราะไม่ให้กิน ไม่ให้ทำ ไม่ให้เกี่ยวข้อง ก็พอได้ แต่ขอให้สังเกตว่า เวลาเราห้าม “อังคาร” หมายถึง “ทหาร” นั้น ข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า ไม่ใช่ทหารทุกคนมีธาตุของอังคาร เพราะทหารเล่นดนตรีก็มี ทำบัญชีก็มี และคนทั่วไปบางคนมีธาตุ “อังคาร” โดยไม่ได้เป็นทหารก็มี ดังนั้น เราจึงต้องเข้าใจว่า ธาตุใดโดยรูปธรรมหรือนามธรรม จะต้องเป็นธาตุที่ธรรมชาติรับรู้อยู่แล้วเท่านั้น ดังนั้น ในกรณีนี้ แม้เขาไม่ได้คบกับทหาร หรือ เป็นทหาร แต่ไปคบกับคนที่มีธาตุอังคาร ก็ทำให้เขาเดือดร้อนได้เช่นกัน

ทีนี้ ถ้าเกิดถามว่า หากเราเดินผ่านทหาร หรือ เดินตามถนน รถยนต์ก็เป็นอังคารเหมือนกัน เราจะมีผลเป็นอริไหม คำตอบก็คือไม่เป็น ทั้งนี้ก็เพราะว่า ธาตุใดที่ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเรา สิ่งนั้นจะไม่ส่งผลต่อเรา นี่ก็เป็นหลักของดาวจร เพราะไม่ใช่เพียงดาวโคจรไปมา หากไม่เกี่ยวกับเรา เราก็ไม่ต้องไปกลัวมันนักหรอก โดยทั่วไปหลักของธาตุที่จะมีปฏิกิริยาในดวงเรา ที่จะเกิดทำงานขึ้นมา (มักเรียกว่า “เรืองแสง”) มีอยู่ 2 ทาง คือ หนึ่ง เมื่อธาตุของสิ่งนั้น ได้รับพลังงาน สอง เกี่ยวด้วยกรรมเดิม เมื่อกรรมนั้นแสดงผล ธรรมชาติของสิ่งนั้นเมื่ออยู่ใกล้เราก็ทำงานได้ เป็นเฉพาะบุคคล ข้อแรกเกิดจากดวงชะตาจรของเรานั่นเอง เมื่อดวงชะตาจะเกิดเรื่อง สิ่งตามความหมายอังคารนั้นจึงจะแสดงผล ส่วนข้อสองนี่เองที่เป็นเรื่องสำคัญ คือ ธาตุของสิ่งนั้น แสดงปฏิกิริยาในดวงชะตาเอง ที่สำคัญก็เพราะเกิดจากดาวเดิมที่ทำงานได้เองโดยไม่ต้องรอดาวจร

เรื่องนี้เราจะพบได้บ่อยๆ เคยมีผู้หญิงสองคนพี่น้อง บ้านอยู่ต่างจังหวัด คนน้องนั้นตอนเล็กๆสุขภาพไม่ดีเจ็บป่วยบ่อยไม่รู้สาเหตุ พ่อแม่เลยส่งมาเรียนหนังสืออยู่กับป้าในกรุงเทพ เพราะไปหาหมอง่ายเลยหาย ส่วนคนพี่เรียนอยู่ที่บ้านเดิม พอจบก็มาทำงานในกรุงเทพอยู่คนละแห่ง ครั้นคิดจะประหยัดเลยย้ายไปอยู่ด้วยกัน ปรากฏว่าคนน้องเริ่มเจ็บป่วย และคนพี่เลยตกงาน ก็กลับไปอยู่บ้านต่างจังหวัด คนน้องหายป่วย คนพี่ก็หางานได้ ย้ายมาอยู่ด้วยกันอีก ก็เกิดเรื่องซ้ำอีกโดยไม่ทันนึก พอดีสองคนนี้มาถามผมดูทั้งคู่ว่าเมื่อไรจะหายป่วย และเมื่อไรจะได้งาน ดูดาวจรแต่ละคนก็ไม่เห็นทำงาน พอฉุกใจคิดได้เอาดวงมาเทียบกันดูก็รู้เลย เพราะดาวที่แสดงตัวของแต่ละคน ไปแสดงผลในอีกดวงหนึ่ง ก็เหมือนเราไปอยู่ใกล้ธาตุวัตถุสิ่งของที่ไม่ถูกโฉลกกัน ก็ทำให้ธาตุนั้นในตัวเรามีกำลัง คล้ายกับได้รับพลังงานจากภายนอก เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องรอดาวจรทำงาน

ของที่ต้องโฉลกกัน (หรือ ไม่ต้องกัน) เมื่อเราอยุ่กับวัตถุนั้นๆ หากเป็นธาตุที่มีกำลังโดยตรงก็แสดงผลดี (หรือ เสีย)ได้ แต่ต้องจำไว้ว่ามีข้อสังเกต สามข้อ คือ หนึ่ง ดวงชะตาเดิมต้องแสดงเรื่องอยู่ก่อน เช่นไม่ใช่เพียงแต่อ่านว่าเกิดวันอาทิตย์ใส่เสื้อสีแดง แล้วทุกคนก็จะเกิดโชคดีเหมือนกัน หรือ คบกับใครแล้วจะซวย นั่นเป็นเพราะดวงตัวเองอาจจะไม่ดี เป็นกรรมฝ่ายเดียว คนที่เราคบนั้นเขาอาจจะเป็นคนดีๆที่ไม่เกี่ยวอะไรด้วย ความซวยมันอยู่ที่ตัวเขา ไม่ว่าไปทางไหนก็ซวยได้ สอง สิ่งนั้นต้องมีกำลังธาตุพอ นี่แหละที่เป็นจุดอ่อนเป็นส่วนใหญ่ที่แก้ดวงไม่ได้ผล เพราะวัตถุทั่วไปมีกำลังธาตุอ่อนจางมาก แม้จะเอาอัญมณี สร้อยคอ ต่างๆมาประดับใส่ติดตัว กำลังธาตุที่อ่อนเหล่านั้นก็เกิดมีผลขึ้นเองยาก และต้องใส่นานมาก จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เมื่อดาวจรเกิดผล มันจึงร่วมผสมโรงให้คุณหรือให้โทษตามเขาไปด้วยได้ ดังนั้น ใครที่อ้างว่า ต้องใส่อะไร หรือ ใช้อะไรแล้วได้ผล จึงกลายเป็นเรื่องตามน้ำตามดวงไปเกือบทั้งนั้น สิ่งที่มีกำลังธาตุในทางโหราศาสตร์จริงๆที่มักใช้ คือ สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งที่มีวิญญาณธาตุ คือ คนหรือสัตว์นี่เอง และจะต้องเป็น สาม สัมพันธ์กับธาตุของเราเอง ซึ่งต้องดูเป็น ไม่ใช่ดูแบบเอาง่ายๆ เท่าที่มักมีคนรับแก้เสริมธาตุตามดวงชะตามากมาย ก็จึงไม่รู้ว่าทำได้จริงหรือไม่


วรกุล - 29 สิงหาคม พ.ศ.2549 04:55น. (IP: 203.107.205.28)

ความคิดเห็นที่ 39
เรียน อ.วรกุล...

ผมฟังจากเทปรายการถึงลูกถึงคน อยากให้ อ.วรกุลขยายความครับ

1.)"ที่สำคัญที่สุดของดาวเคราะห์ คือ ภูมิ-ศาสตร์ คือ ภู-มิ-ศาสตร์...

ภูมิศาสตร์ คือ ศาสตร์ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับโลก...

และจงภูมิใจเถอะครับ โลกของเรามีมนุษย์ และเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดของจักรวาล คือการที่มีมนุษย์ที่อยู่บนนี้และมีความฉลาด...

ที่สุดคือ ภูมิศาสตร์ คือ ศาสตร์ที่เกี่ยวกับโลก..."

2.) - เกี่ยวไหมครับดวงเมือง เกี่ยวกับโชคชะตา ความเป็นมาเป็นมาเป็นไปของโลก

+ตอบด้วย ปรัญญา เกี่ยวครับ ถ้าเมื่อไรดาวพลูโตเปลี่ยนแปลงได้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นเดียวกัน

-ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอน

+ชัดเจนครับ

2 ข้อความนี้ อ.วรกุลอยากเสริมอะไร หรือขยายบ้างไหมครับ ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 30 สิงหาคม พ.ศ.2549 18:03น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 40
แหะ แหะ... ขอโทษครับขอแก้คำผิด ปรัญญา -> ปรัชญา

ความเห็นที่ 38 อ่านยากจังครับ...


หนูน้อย - 30 สิงหาคม พ.ศ.2549 18:10น. (IP: 161.200.117.174)

ความคิดเห็นที่ 41
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบค่ะ พอดีไปทำงานต่างจังหวัดหลายวัน กลับมารับข่าวสารอีกครั้ง ก็กลายเป็นว่าดาวพลูโตหลุดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะไปซะแล้ว ตำราเรียนของเราก็คงต้องเปลี่ยนใหม่ ตามความรู้ ข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์

เท่าที่อ่านจากกระทู้อ.วรกุล รู้สึกว่าโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ยากมาก...ถึงมากที่สุด เพราะนอกจากการพยากรณ์แล้วยังเป็นจิตแพทย์ไปในตัวด้วย ต้องใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์ในการทำนาย และเป็นความรู้ ความสามารถเฉพาะตัว หนูว่าวิทยาศาสตร์ง่ายกว่าเยอะเลยคนที่เรียนโหราศาสตร์ได้คงต้องใช้ความพยายามน่าดู นับถือค่ะ

ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นมาก...อย่างที่เขาว่าถ้ามนุษย์ไม่รู้จักความทุกข์ ก็จะไม่รู้ว่าความสุขที่แท้จริงเป็นอย่างไร

ขอบพระคุณค่ะ


ทานตะวัน - 31 สิงหาคม พ.ศ.2549 11:13น. (IP: 203.157.14.246)

ความคิดเห็นที่ 42
สวัสดีครับ อ.วรกุล

ผมขอขอบคุณอาจารย์ในการที่อาจารย์แสดงความรู้อย่างมากมายในเรื่องของโหราศาสตร์ระบบธาตุ ผมมีความสนใจในเรื่องโหราศาสตร์ระบบธาตุ ก็เนื่องมาจากได้อ่านหนังสือของอ.แสงตะวัน ซึ่งการใช้ระบบธาตุทางโหราศาสตร์กับสอดคล้องกับหลักในวิชาแพทย์แผนไทยอย่างมาก

ผมใคร่ขอเรียนถามอาจารย์ว่า ผมอยากเรียนโหราศาสตร์ระบบธาตุ ต้องเริ่มต้นยังไงครับ ขออาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ

ขอบคุณที่อาจารย์เมตตาอ่านครับ


หมอโฮจุน - 31 สิงหาคม พ.ศ.2549 13:27น. (IP: 210.86.147.194)

ความคิดเห็นที่ 43
ตอบ 39 คุณ หนูน้อย........ภูมิศาสตร์ เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติของโลก เช่น ภูมิประเทศ อากาศ พืช น้ำ ฤดูกาล เป็นต้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 41 คุณ ทานตะวัน........โหราศาสตร์ ถ้าไม่เรียนไปใช้พยากรณ์จะไม่ยากหรอกครับ เพียงเรียนรู้เพื่อให้เข้าใจชีวิตของเราเอง เราก็จะเข้าใจธรรมชาติ ยิ่งเรียนไปปัญญาก็จะเกิดขึ้น ช่วยให้ใจเราละทิ้งสิ่งที่ลวงตาเพราะธาตุมันเล่นละครให้เราดูได้ หากปฏิบัติธรรมไปด้วยก็จะเห็นทั้งสองด้าน เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ แม้มีความทุกข์เราก็มีคำตอบให้ตนเอง ไม่ทุรนทุราย หากทำใจได้แล้วจึงค่อยช่วยเหลือคนอื่น เป็นบุญกุศล ตราบใดที่เรามีความจริงใจ เราก็ตอบพยากรณ์ได้ไม่ยาก เพียงเห็นว่าอะไรเป็นความทุกข์ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อเราเคยโง่ ใครโง่อยู่เราก็ช่วยบอกเขา หากเรามีวุฒิภาวะ เคยมีความทุกข์ในเรื่องต่างๆมาแล้ว ก็พอจะชี้ทางให้ผู้อื่นได้ ที่สำคัญที่สุด ก็คือไม่ควรรับค่าตอบแทน เพราะเมื่อใดรับแล้ว ใจมันจะมืดบอดมองไม่เห็นอะไรนอกจากเงินไปเสียทุกที หากเราตั้งใจสละความสุขความสบาย (ที่นั่งเฉยๆ) ทำไปเพื่อผู้อื่น โหราศาสตร์ก็จะกลายเป็นเรื่องง่ายขึ้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 42 คุณ หมอโฮจุน........ผมเคยตอบไปหลายครั้งอยู่เหมือนกันว่าโหราศาสตร์ระบบธาตุเรียนยาก ควรเรียนอยู่กับอาจารย์สอนกันเป็นส่วนตัว เพราะต้องปรับความคิดค่อนข้างมาก และหากไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์มาก่อนก็ต้องใช้เวลาเรียนพื้นฐานกันอีกนานพอสมควร กระทู้ที่ 16 ความเห็นที่ 32 และ 39 ผมเขียนตอบเรื่องหนังสือเรียนและการเรียนไปบ้างแล้ว ลองอ่านดูก็พอจะเป็นแนวทางได้นะครับ ผมเองมีความเห็นว่า หากเราเรียนโหราศาสตร์ทั่วไปจนมีพื้นดีพอสมควรเสียก่อน แม้ตอนนี้ จะยังหาผู้สอนโหราศาสตร์ทางธาตุให้ไม่ได้ แต่การมีความรู้พร้อมเอาไว้ เมื่อเราบังเอิญได้พบผู้สอนก็จะได้เรียนเลยทันที เนื่องจากการสอนวิชานี้ ปัจจุบันมักใช้วิธีรับเอาผู้ที่ศึกษามาจนจบแล้วให้มาเรียนโหราศาสตร์ใหม่ หากไม่รู้เรื่องมาก่อนก็จะมีโอกาสน้อยลง ทั้งนี้ วิชาโหราศาสตร์ทางธาตุไม่ว่าสายไหนมักจะต้องให้ตั้งใจว่าจะเรียนจนจบ ไม่จบไม่เลิก เพื่อป้องกันไม่ให้เอาความรู้ครึ่งๆกลางๆไปเผยแพร่ต่อ เพราะความรู้นั้นจะเสียไป เหตุเพราะธาตุต่างๆมันจะมีขั้นตอนวงจรชีวิตของมันยาว จึงต้องเรียนให้ครบถ้วน ไม่เช่นนั้นก็จะสรุปผิด ถ่ายทอดต่อไปผิด

ส่วนใหญ่ การเรียนโหราศาสตร์ทางธาตุ ต้องไปเรียนอยู่บ้านอาจารย์สักระยะหนึ่ง เพราะต้องดูดาวจริง ดังนั้นจึงไม่สะดวก ถ้าเป็นลูกหลานก็ไปอย่าง การเรียนก็ต้องปรับความคิดของผู้เรียนเฉพาะบุคคล ดังนั้น จึงสอนยาก แต่พอเข้าใจแล้วก็ไม่ยาก ธรรมดาการเรียนวิชานี้เขาจึงสอนคนที่มีคุณธรรมพอสมควร และไม่เป็นคนโง่ แม้แต่ลูกหลานไม่ดีพอก็อาจจะไม่สอนให้ก็ได้ วิชานี้จะเรียนทฤษฎีโหราศาสตร์ ตั้งแต่เริ่มต้นจนเป็นที่มาของกฎเกณฑ์ต่างๆ แต่ถ้าเราต้องการเรียนเพียงวิธีพยากรณ์ จะไปเรียนโหราศาสตร์ทั่วไป เมื่อชำนาญแล้วก็ใช้ได้ อันที่จริงในปัจจุบันก็มีบุคคลหลายท่านรู้โหราศาสตร์ทางธาตุ แต่มักจะไม่แสดงตัวกัน แม้แต่บางท่านรู้วิชาโหรระดับอาจารย์ ยังไม่บอกใครเลยก็มี ดังนั้น บางทีเราก็มีโอกาสพบตัวผู้สอนได้เหมือนกัน


วรกุล - 1 กันยายน พ.ศ.2549 04:47น. (IP: 203.107.202.167)

ความคิดเห็นที่ 44
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

ถ้าดูจากสภาพสังคมในปัจจุบัน หนูมองอาจารย์เป็นโหราจารย์ที่สวนกระแสโหร หรือหมอดูคนอื่นๆ มากนะคะ เพราะหลายคนพยายาม promote ตัวเอง และวิธีการพยากรณ์ของสำนักโหรของตัวเองเป็นที่ตั้งมากกว่าจะมองว่าเป็นเรื่องของการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน สำนักโหรหลายที่โฆษณาผ่านสื่อด้วยซ้ำว่าถ้ามาเรียนแล้วสามารถนำไปสร้างรายใด้เลี้ยงตัวเองได้สบายๆ ไม่ต้องเหนื่อยยาก แค่นั่งอยู่ที่บ้าน สำนักโหร โรงแรม หรือใช้เทคโนโลยีสื่อสารดูหมอรวดเร็วทันใจ 24 ชั่วโมง ผ่านหมายเลข 1900 sms หรืออินเตอร์เน็ต (แต่ต้องโอนเงินก่อนนะถึงจะดูให้) ก็ได้รายได้สบายๆ แล้ว

หมอดู หลายคนมองคนที่เข้ามาให้ดูดวงชะตาเป็น "ลูกค้า" ให้บริการ จ่ายเงิน เท่านั้นเอง พอหนักเข้าบางรายเข้าวงการบันเทิง เป็นพิธีกรรายการทีวีไปซะงั้น ... จิตวิญญาณของโหราจารย์คงไม่มีแล้ว เพราะทุกอย่างกลายเป็นธุรกิจไปหมด และเป็นธุรกิจที่กำไรสูงเสียด้วย เมื่อเทียบกับต้นทุน

หนูชอบวิธีการสอน และการพยากรณ์ของอาจารย์ค่ะคนที่มาหาหมอดูส่วนใหญ่มีความทุกข์ไม่ว่าเรื่องใดเรื่องหนึ่งอยู่แล้ว และหวังว่ามาหาหมอดูแล้วจะได้รับคำตอบที่เป็นกำลังใจ และหวังว่าอนาคตจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ บางคนเก่งกาจสารพัด แต่พอผงเข้าตาตัวเองกลับเขี่ยไม่ได้ มองไม่เห็น ต้องให้คนอื่นช่วยชี้ทางให้ ถ้าเจอหมอดูที่ดีก็ดีไป บางรายไปเจอหมอดู"เฮงซวย" แทนที่จะดีขึ้นกลับแย่ลง และยังเสียทรัพย์อีกต่างหาก

ตอนนี้หนูพยายามให้อภัย และอโหสิให้กับผู้ชายคนนั้นอยู่ค่ะ ถ้ามีเวรมีกรรมต่อกันก็ขอให้มันสิ้นสุดแค่ชาตินี้ อย่าได้มีเวรต่อกันอีก แต่ก็ยังมีบ้างที่อยู่คนเดียวแล้วมันจี๊ด...ขึ้นมา ใจหนึ่งจะแย้งว่าอภัยให้กับคนที่ทรยศ หักหลังทำไม เหมือนมีเทพขาว มารดำ ทุ่มเถียงกันในสมองแต่เชื่อว่าไม่นานมารดำจะแพ้ค่ะ


ทานตะวัน - 4 กันยายน พ.ศ.2549 15:42น. (IP: 203.157.14.246)

ความคิดเห็นที่ 45
เรียน อ.วรกุล

สวัสดีครับอาจารย์ มารบกวนอาจารย์อีกแล้วครับอยากให้อาจารย์กรุณาให้ความกระจ่างเรื่อง มุมดาว คือ สมมติว่า เจ้าชะตาเกิดวันพฤหัส ลัคนาราศีธนู ราหูอยู่ราศีกุมภ์เป็นเกษตร ภพสหัสชะ เสาร์อยู่ราศีเมษเป็นนิจ ในภพปุตตะอังคารและมฤตยูร่วมราศีกันย์ ในภพกัมมะ อาทิตย์ จันทร์ พุธ และพฤหัส ร่วมราศีกันในราศีตุลย์ ภพลาภะ และศุกร์อยู่ราศีพิจิก ในภพวินาสน์

1. เช่นนี้ การอ่านมุมดาว หากเราเลือกอ่านที่ "ดาวเสาร์" ซึ่งเป็นเจ้าเรือนกดุมภะ สถิตภพปุตตะ และเป็นกาลกิณีทางทักษา เราจะอ่านมุมดาวแบบนี้ถูกไหมครับ

1.1 เริ่มจากดูว่า เสาร์ (๗) อยู่ในเรือนของอังคาร (๓)จับคู่ดาว ๓ และ ๗ มาอ่านก่อน

1.2 ดูว่าไม่มีดาวกุมดาวเสาร์ ค่อยอ่านคู่ดาวในราศีตรงข้าม คือ ราศีตุลย์ โดยจับคู่อ่าน เป็นคู่ๆก่อน คือ ๑ กับ ๗ ๒ กับ ๗ ๔ กับ ๗ ๕ กับ ๗ โดยพิจารณาความเป็นเจ้าเรือนและคุณลักษณะของดาวใช่ไหมครับ

1.3 อ่านมุมดาวต่อไปที่ ราหูในราศีกุมภ์ที่โยคหลังดาวเสาร์

1.4 อ่านมุมที่ดาวเสาร์สัมพันธ์กับลัคนา (เสาร์เป็นห้ากับลัคนา)

เช่นนั้น ข้อสงสัยของผมคือ

(๑) นอกจากมุมที่กุม เล็ง ตรีโกณ จตุโกณ โยค แล้ว เราต้องจับคู่ความสัมพันธ์ในมุมอื่นไหมครับ เช่น อังคารและมฤตยูในภพกัมมะ เป็นหกจากเสาร์ (เป็นอริ)ต้องอ่านด้วยไหมครับ หรือว่า มุมนี้ไม่ถือว่าสัมพันธ์กันครับ

(๒)เราจะสรุปความหมายของคู่ดาวต่างๆโดยใช้หลักอะไรเป็นพื้นฐานครับ นอกจากตำนานชาติเวร หรือตามที่ตำราต่างๆระบุไว้ เช่น เราจะจินตนาการว่า ดาวนั้นดาวนี้ คือ ธาตุนั้นธาตุนี้ เมื่อผสมกันแล้ว คุณสมบัติจะเปลี่ยนไปเช่นไร แล้วค่อยนำคุณสมบัติที่ได้ไปตีความเป็นความหมายขยายออกไป (แต่ว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะเข้าใจมากนะครับ) กล่าวคือ เรามีหลักคิดอย่างไรเวลาต้องเจอคู่ดาวต่างๆครับ

(๓) ในแง่มุมของพลังงานธาตุในดวงชะตา ถือ ดวงชะตานี้มีความมั่นคง อันเนื่องมาจาก แหล่งพลังงาน คือ อาทิตย์ จันทร์ และพฤหัสสัมพันธ์ดีกับลัคนาใช่ไหมครับ (หากใช้ถ้อยคำผิดพลาด ต้องขออภัยด้วยครับ)

ขอบพระคุณครับ


bcc - 4 กันยายน พ.ศ.2549 16:29น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 46
เรียน อ.วรกุล

ขอพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์ ที่กรุณาชี้แนะแนวทางให้ ผมจะพยายามศึกษาพื้นฐานทางโหราศาสตร์ให้มากๆเข้าไว้ครับ

และขอให้อาจารย์เป็นแสงนำทางที่ให้ความกระจ่างแก่ผู้มืดมนคู่กับเวบบอร์ดนี้ตลอดไปนะครับ

ส่วนผมขออธิษฐานให้ตัวเองมีบุญได้เจออาจารย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านระบบธาตุเมื่อตนเองมีคุณสมบัติพร้อมด้วยเทอญ

ปล. ถ้าผมมีข้อสงสัยอะไรเกี่ยวกับโหราศาสตร์ ผมขออนุญาตเรียนถามอาจารย์นะครับ


หมอโฮจุน - 5 กันยายน พ.ศ.2549 01:25น. (IP: 203.107.192.157)

ความคิดเห็นที่ 47
ตอบ 44 คุณ ทานตะวัน........ผมสงสัยคำว่า “โหราจารย์” ไทยแต่งเอง อาจมาจากภาษาแขก แต่ก่อนไม่เคยได้ยินเลยครับ เลยไม่รู้ว่าเป็นอาจารย์ของโหร หรือ โหรที่เป็นอาจารย์ แต่ก่อนมีแต่ “ครูโหร” หรือ “ท่านครู” (ครูของครู) คำว่า “โหร” ต่างกับ “หมอดู” หรือ นักพยากรณ์นะครับ “โหร” มาจากคำว่า “โหรา” หมายถึง ส่วนของ “กาล” หรือ กาลจักร ของกระแสธรรมชาติ แต่พูดกันง่ายๆว่า โหรา คือ เวลา หรือ ชั่วโมง ก็พอได้ โดยทั่วไปตอนนี้บางคนไม่รู้ที่มาของคำว่า “โหรา” แล้วเลยใช้คำว่า “โหร” กันสับสน โดยทั่วไปโบราณถือว่า โหร คือ ผู้พยากรณ์ (แปลว่าอธิบาย) วิชาที่ว่าด้วยธรรมชาติของโหรา เป็นคนละเรื่องกับ astrology (วิชาว่าด้วยดวงดาว) ผู้เป็นโหรควรจะต้องทราบธรรมชาติและพิธีกรรมต่างๆอันเกี่ยวเนื่องด้วยพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ และ โหราศาสตร์

ผมไม่ใช่โหราจารย์หรอกครับ ผมไม่ค่อยจะรู้เรื่องพิธีกรรมและฤกษ์ เพราะเรียนมาแต่ทฤษฎี แล้วไม่ได้ทำ เรื่องบุญคุณความแค้น กรวดน้ำอุทิศไปเรื่อยๆดีกว่าครับ อย่าไปจองเวรอาฆาต เพราะถ้าไปจองเวร จิตคิดแค้น เดี๋ยวชาติหน้าก็ต้องไปเจอกันอีก ถ้ากรวดน้ำไปเรื่อยๆ ก็จะเป็นผลดีต่อตัวเราเอง อโหสิกรรมไปจะดีกว่า ชาตินี้เราจะได้คืนบ้าง ไม่เชื่อก็ลองดูสิครับ

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 45 คุณ bcc........(1) คุณอ่านดาวกับอ่านเรือนปนกันอยู่ เจ้าเรือนกดุมภะอยู่ปุตตะควรอ่านทีหนึ่งก่อน และเรื่องกาลกิณีทำไมมาโผล่ตอนนี้ ควรอ่านทีหลังเป็นส่วนขยาย ไม่ใช่อ่านก่อน

(1.1) เสาร์อยู่เรือนอังคาร ต้องอ่านเป็นลักษณาการที่รวดเร็ว ตามอังคาร (1.2) เรื่องจับคู่นั้นถูก แต่พิจารณาดาวอย่างเดียวก่อนอย่าเพิ่งพิจารณาเจ้าเรือน ถ้าพิจารณาดาวเป็นแล้ว จึงค่อยพิจารณาเรือนสถิตคือ ปุตตะ ลาภะ (1.3) เรื่องโยค ตรีโกณ จตุโกณ ต้องเอาไว้ตอนอ่านเป็นก่อนครับ เมื่ออ่านเป็นแล้ว จึงอ่านราหูโยคเสาร์ถูก (1.4) เรื่องเสาร์ตรีโกณลัคนาก็เหมือนกัน

ตามข้อสงสัย (๑) อ่านอังคาร มฤตยูเป็นอริได้ครับ แต่ต้องขั้นสูงกว่า 1.3 1.4 เสียอีก เมื่อพิจารณาความสัมพันธ์ธาตุโดยเฉพาะ ยังไม่ผ่านขั้น 1.3 มา ยังไม่ให้อ่าน (๒) ความหมายดาวคู่ใช้ทุกทางครับ ไม่ว่าชาติเวร หรือ ข้อสังเกตต่างๆ คุณใช้คำสับสนเรื่อง “คุณสมบัติ”ดาว กับ “ความหมาย” ดาว เป็นคนละเรื่องนะครับ คูณสมบัติก็คือ ความเป็นนิจ ประ อุจ เกษตร มหาจักร กำลังดาว กำลังธาตุ คุ่มิตร คู่ธาตุคู่สมพล ฯลฯ ส่วนความหมายดาว ก็เช่น “๗๒ คู่จากพราก” อะไรแบบนี้ คนละอย่างกัน เวลาเจอดาวคู่เราก็ต้องนึกก่อนว่าเราจะดูคุณสมบัติดาว หรือ จะดูความหมายดาว ตั้งธงให้แน่ก่อน อย่าสับสน

....(๓) เกือบใช่ แหล่งพลังงานสัมพันธ์ดีกับลัคนาถูกต้อง ทำให้อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส ค่อนข้างจะมีพลังงานดี แต่ดีแค่พอใช้ เพราะอาทิตย์เป็นนิจ พฤหัสมาร่วมกับสองดาวนี้ ทำให้ทำงานหนักทีเดียว ตกลงเลยมีพลังงานน้อยไปหน่อย แต่ดวงชะตาจะมีความมั่นคงไหม ต้องดูดาวอื่นด้วยครับ ไม่ใช่ดูแค่ขั้นเดียว

ดูท่าคุณไม่เข้าใจขั้นตอนการดูดวงชะตาจะทำให้ความหมายสับสน ขั้นตอนเป็นสิ่งสำคัญเพราะจะทำให้ยึดความหมายหลักไปได้เป็นขั้นๆ ว่าอะไรเป็นหลัก อะไรขยาย ไปเรื่อยๆ คล้ายกับคุณจะแต่งตัวไปงานเลี้ยง ก็ต้องอาบน้ำ ฟอกสบู่ เช็ดตัว หวีผม ใส่ชั้นใน ใส่ชั้นนอก ผูกไทด์ ใส่สูท เป็นลำดับกัน คุณก็จะทำสำเร็จไปเป็นขั้นตอน หากคุณเอาสูทมาใส่ก่อนอาบน้ำ แล้วฟอกสบู่ แล้วเอาเสื้อกล้ามมาใส่ทับสูท อะไรแบบนี้ ต่อไปคุณวิเคราะห์ดวงไม่ออกแน่ ขั้นตอนการดูดวงชะตาอธิบายก็ยาวมาก โดยทั่วไปก็ควรเรียนสัมพันธ์เรือนก่อน แล้วเรียนเรื่องดาวคู่ ดาวกุมกันให้เป็น แล้วจึงมาเรียนเรื่องตรีโกณ จตุโกณ ก็จะมีความเข้าใจเป็นลำดับไม่สับสน หากเรียนเอง ก็ต้องลองจับตัวอย่างในหนังสือดูแล้วเขียนดูว่า ขั้นตอนต้องเรียงอย่างไร มีอะไรต้องรู้ก่อนบ้าง หากไม่รู้อะไรสักอย่าง แล้วจะทำให้ขั้นตอนที่ทำมันไม่ราบรื่นไปด้วย


วรกุล - 5 กันยายน พ.ศ.2549 05:04น. (IP: 203.107.205.33)

ความคิดเห็นที่ 48
ขอบคุณมากครับอาจารย์ ชัดเจนมากเลยครับ


bcc - 5 กันยายน พ.ศ.2549 08:29น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 49
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 18....ครับ..........


วรกุล - 6 กันยายน พ.ศ.2549 04:54น. (IP: 203.107.203.190)

ความคิดเห็นที่ 50
อยากได้วิธีทำปฏิทินแบบตั้งโต๊ะโดย word , power point


นภา - 6 ธันวาคม พ.ศ.2549 11:45น. (IP: 203.113.62.8)

ความคิดเห็นที่ 51
กำลังศึกษาวิชาโหราศาสตร์อยากทราบว่าถ้าจะดูปัตนิคนที่ 2 ให้ดูจากเรือนไหน


ฟ้า - 29 มีนาคม พ.ศ.2550 16:15น. (IP: 61.19.32.118)