ความคิดเห็นที่ 1พรรคประชาธิปัตย์ บนความเปลี่ยนแปลงข้อมูลจาก website : http://www.democrat.or.th ของพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า พรรคประชาธิปัตย์ เป็นพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดที่ได้มีการก่อตั้งก่อนที่จะมีพระราช บัญญัติพรรคการเมืองโดยก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 โดยมี นายควง อภัยวงศ์ เป็น หัวหน้าพรรคคนแรกและ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก ตลอดระยะเวลา 60 ปีที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ดำเนินการต่อสู้ทางการเมืองใน ระบอบประชาธิปไตยอย่างต่อเนื่องซึ่งพอจะจำแนกออกได้เป็น 4 ยุค กล่าวคือยุคที่หนึ่ง (2489-2501) : ยุคแห่งการสร้างพรรค และสร้างประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ ในระยะต้นสภาพการเมืองของประเทศไทยมีความผันผวนเนื่องจากอยู่ในระหว่างการเริ่มต้น การดำเนินงานทางการเมืองอยู่ในวงแคบพรรคประชาธิปัตย์ได้มีการดำเนินการทางการเมืองที่ สำคัญสรุปได้ ดังนี้ ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลรับเชิญของคณะรัฐประหาร พ.ศ 2490 (พ.ต.ควง อภัยวงศ์)ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงครามปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลแห่งกลุ่มจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ระหว่างปี 2501-2511 บทบาททางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ได้หยุดชั่วคราว เมื่อจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง และเป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จในปี 2501ยุคที่สอง (2511-2519) : ยุคแห่งการฟื้นฟูพรรค และเชิดชูประชาธิปไตย ภายหลังการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2511 ทางพรรคฯได้มีการ ดำเนินการทางการเมืองที่สำคัญ ดังนี้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลจอมพล ถนอม กิตติขจรปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2518 (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช)ปฏิบัติหน้าที่เป็นฝ่ายค้านรัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชปฏิบัติหน้าที่เป็นรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง พ.ศ. 2519 (ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช)(หลังเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ยึดอำนาจการปกครอง และมีการแต่งตั้งให้นายธานินท์ กรัยวิเชียร มาดำรงตำแหน่งนายรัฐมนตรี : ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับเหตุการณ์ในสมัยนั้นที่ไม่มีใน website ของพรรคประชาธิปัตย์)ยุคที่สาม (2522-2533) : ยุคแห่งการปรับปรุงนโยบาย และเข้ามีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมือง ในปี พ.ศ. 2521 ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่ และจัดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 22 เมษายน 2522 นับเป็นการเข้าสู่ยุคที่สามทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งทางพรรคฯ ได้มีการดำเนินการทางการเมืองที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคฝ่ายค้านรัฐบาลพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ (1, 2, 3, 4, 5)ปฏิบัติหน้าที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณยุคที่สี่ (ปลายปี 2533-ปัจจุบัน):ยุคแห่งการเป็นรัฐบาลของประชาชนและฝ่ายค้านที่มี ประสิทธิภาพ ในวันที่ 12 ธันวาคม 2533 พรรคประชาธิปัตย์ถอนตัวจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณซึ่งหลังจากนั้นได้เกิดผันแปรทางการเมืองอย่างรุนแรงนำมาถึงเหตุการณ์ยึดอำนาจของ “คณะ รสช.” และเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในที่สุด ท่ามกลางวิกฤติการทางการเมืองในยุคที่สี่นี้พรรคประชาธิปัตย์ได้เข้ามามีบทบาทในการ ต่อต้านเผด็จการเคียงบ่าเคียงไหล่กับประชาชนจนกระทั่งเหตุการณ์สงบและนำไปสู่การเลือกตั้งในเดือนกันยายน 2535พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีนายชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนดำเนินการบริหารบ้าน เมือง มาเป็นระยะเวลา 2 ปีครึ่งจนมาถึงกลางปี 2538 ซึ่งมีเหตุการณ์พลิกผันทางการเมืองจนนำมาสู่การยุบสภาทำให้มีการจัดการเลือกตั้งใหม่วันที่ 2 กรกฏาคม 2538 เป็นฝ่ายค้านรัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชาวันที่ 17 พฤศจิกายน 2539 เป็นฝ่ายค้านรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 ภายหลังการลาออกของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ จากปัญหาฟองสบู่แตกและการลดค่าเงินบาทจนเป็นที่มาของวิกฤติเศรษฐกิจ “ต้มยำกุ้ง” ที่สะเทือนไปทั่วโลก นายชวน หลีกภัย ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่งเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจแต่หลังการเลือกตั้ง มกราคม 2544 พรรคประชาธิปัตย์เป็นฝ่ายค้านรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรดวงชะตาพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้วงรอบดาวเสาร์ 30 ปี หากเรียงลำดับเหตุการณ์หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 เป็นต้นมา พบว่าบุคคลสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์นับตั้งแต่ หลวงโกวิทอภัยวงศ์ หรือพันตรีควง อภัยวงศ์ ผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์นั้นมีบทบาททางการเมืองโดยได้รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี (คนที่ 4 ของประเทศไทย) ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2487 แม้แต่ มรว.เสนีย์ ปราโมช นายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของประเทศไทยก็ดำรงตำแหน่ง เมื่อปี 2488 -2489 พันตรีควง อภัยวงศ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2 ระหว่างวันที่ 31 มกราคม 2489 ถึง 24 มีนาคม 2489 เป็นการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก่อนการจัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจึงมาจัดตั้งพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2489 โดยเริ่มต้นการเป็นพรรคการเมืองด้วยการเป็นฝ่ายค้าน รัฐบาลหลวงประดิษฐ์มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) ตราบจนถึงปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ดำรงความเป็นแกนนำพรรคฝ่ายค้านมากกว่าเป็นแกนนำพรรครัฐบาลและรวมทั้งการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหลายสมัยด้วยเมื่อนำเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเปรียบเทียบกับดวงชะตาวันก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ 6 เมษายน 2489 พบว่า ในดวงชะตาการจัดตั้งพรรคนั้นผู้ก่อตั้งคงมีเจตนาที่จะกำหนดบทบาทความเป็นผู้คัดค้านการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองของผู้มีอำนาจในยุคสมัยนั้น จึงได้วางดวงชะตาของพรรคให้มีความแข็งแกร่งในเชิงโวหาร การสืบค้นข้อมูลในทางลับ และการเป็นนักตรวจสอบ (ดาวพุธในราศีมีนใกล้จุดเมษสากลและเป็นเรือนที่ 6 ซึ่ง หมายถึงกิจกรรมทางการเมือง) และวางตำแหน่งอาทิตย์ไว้ที่เรือนที่ 7 ซึ่งหมายถึงการเป็นฝ่ายตรงข้ามของผู้อื่นเสมอเมื่อพิจารณาจุดอับของดวงชะตาก็พบว่า จุดที่หมายถึงการถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังในดวงชะตาปรากฏให้เห็นชัดถึง 2 ครั้ง และทั้ง 2 ครั้งมีระยะเวลาห่างกัน 30 ปี (วงรอบดาวเสาร์ 30 ปี และปรัชญา อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์และสิ่งแวดล้อมที่คล้ายกัน ) โดยครั้งแรก เมื่อปี 2519 มรว.เสนีย์ ปราโมช เป็นนายกรัฐมนตรี กับเหตุการณ์ความไม่สงบ เนื่อง จากการต่อต้านการเดินทางกลับประเทศไทยของ จอมพลถนอม กิตติขจร จนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงทำให้มีการนองเลือด ประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 จนเป็นเหตุให้พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ ทำการรัฐประหารยึดอำนาจในนาม “คณะปฏิรูปการปกครอง” ยุติการใช้รัฐธรรมนูญ และมีการแต่งตั้งให้นายธานินท์ กรัยวิเชียรเป็นนายกรัฐมนตรี (8 ตุลาคม 2519 – 20 ตุลาคม 2520) (แม้ว่าในปี2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ จะทำการปฏิวัติเพื่อช่วงชิงอำนาจจาก พลเอกถนอม กิตติขจร มีผลทำให้พรรคการเมืองต่างๆรวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์จะต้องยุติบทบาททางการเมืองในช่วงระหว่างปี 2501-2511 ก็ไม่ใช่ความขัดแย้งระหว่างผู้นำพรรคประชาธิปัตย์กับผู้มีอำนาจในขณะนั้น) หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญในปี 2520 และหลังการเลือกตั้ง พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ได้เป็นนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มต้นกลับมาเป็นฝ่ายค้านครั้งที่ 2 คือในปีนี้ 2549 ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ระหว่างรัฐบาลพรรคไทยรักไทย กับ พรรคฝ่ายค้าน และกลุ่มพันธมิตรประชาธิปไตย รัฐบาลเลือกยุบสภาพร้อมกับประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่เพื่อหวังจะกลับมาครองเสียงข้างมากและกลับมาเป็นรัฐบาลด้วยความชอบธรรมจากการเลือกตั้งอีกครั้งหนึ่ง แต่ทว่าในการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 มีการกล่าวหาถึงการทุจริตการเลือกตั้ง “พรรคใหญ่จ้างพรรคเล็ก” มีการฟ้องร้องกันมากมายหลายคดี และจนถึงที่ กกต. จำต้องชี้มูลคดีในโทษความผิดถึงขั้นยุบพรรคการเมืองที่เกี่ยวข้องรวม 5 พรรค และพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะถูกตัดสินให้ถูกยุบพรรคพร้อมกับพรรคไทยรักไทยและพรรคเล็กอีก 3 พรรค และอัยการสูงสุดได้ส่งสำนวนการสอบสวนทั้งหมดให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาและตัดสินคดีเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 และศาลรัฐธรรมนูญนัดสั่งคดีว่าจะรับพิจารณาหรือไม่ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2549 ในขณะที่เขียนบทความนี้8 กรกฎาคม 2549 ยังไม่มีใครทราบว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพรรคประชาธิปัตย์ในปี 2549เมื่อลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่เริ่มตั้งพรรคเมื่อปี 2489 ถึงปัจจุบัน จะได้ดังนี้2489 หลังการก่อตั้งพรรค ก็เริ่มต้นด้วยการเป็นฝ่ายค้าน2519 อีก 30 ปีต่อมา พรรคยุติบทบาทไป 1 ปี แล้วกลับมาเป็นฝ่ายค้านอีกครั้งหนึ่งในปี 2520ดังนั้น ในปี 2549 พรรคประชาธิปัตย์มีโอกาสที่จะต้องยุติบทบาททางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อาจจะต้องหา “บ้านหลังใหม่” อยู่ชั่วคราวเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองต่อไป และรอวันหวนกลับมาเป็นพรรคฝ่ายค้านอีกครั้งหนึ่งในปี 2550 เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อ 30 ปีที่แล้วหากนำดวงชะตาของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์มาพิจารณาด้วยจะพบว่า คุณอภิสิทธิ์ เป็นชาวราศีสิงห์ ในดวงชะตาก็แทบจะไม่ต่างกับคุณทักษิณที่เป็นชาวราศีสิงห์สากลเช่นกันเท่าไรนักที่จะต้องพบกับดาวเสาร์ที่มาทับอยู่ในราศีเกิดทำให้เกิดข้อจำกัดและการพลัดพราก และยังโชคดีที่ พฤหัสจรในราศีพิจิกทำมุมฉากกับราศีสิงห์ ทำให้ได้รับโชคดีด้วย แต่ทว่า ดาวพฤหัสเมื่อโคจรมาแล้วก็จะผ่านไปในช่วงปลานปีนี้ ส่วนดาวเสาร์จะยังย่ำอยู่ในราศีสิงห์อีกหลายเดือนและตลอดถึงปี 2550 ดังนั้นชะตากรรมของหัวหน้าพรรคทั้ง 2 ท่าน ก็คงต้องมองดูผู้อื่นทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไป ไม่ว่าจะเลือกตั้งปลายปีนี้ หรือในปี 2550 ก็ตามพรรคประชาธิปัตย์น่าที่จะพลิกวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาสในการ “เกิดใหม่” ด้วยการตั้งพรรคใหม่ โดยหาฤกษ์วันตั้งพรรคให้มีโอกาสเป็นรัฐบาลที่มีประสิทธิภาพเข้มแข็ง เหมือนอดีตที่ผ่านมา ที่ตั้งพรรคให้เป็นฝ่ายค้านที่เข้มแข็งมาแล้ว
ความคิดเห็นที่ 3ปัจจัยบนฟ้าที่เกี่ยวข้องสุริยุปราคาเต็มดวง ใกล้เส้นศูนย์สูตร 29 มีนาคม 2549 แม้การเกิดคราสครั้งนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้ในประเทศไทย แต่ตำแหน่งศูนย์กลางการเกิดคราสเกิดเหนือเส้นศูนย์สูตรช่วงระหว่าง แลตติจูด 5-10 องศาเหนือ ซึ่งจะมีผลต่อประเทศต่างๆที่อยู่ในแนวแลตติจูดนี้และประเทศที่แนวคราสพาดผ่าน ตั้งแต่ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา ไทย ศรีลังกา โตโก เบนิน ไนจีเรีย ไนเจอร์ ชาด และลิเบีย อิทธิพลการเกิดคราสส่งผลทั้งที่เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นการเกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิดในท้องถิ่นต่างๆก็ล้วนอยู่ภายในรัศมีแลตติจูด 5-10 องศาเหนือและใต้ นอกจากนั้นยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในประเทศต่างๆ ดังจะเห็นได้จาก ตั้งแต่ปลายปี 2548 เป็นต้นมา เริ่มจากประเทศเยอรมันเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีเป็นผู้หญิง และประเทศต่างๆที่มีการเลือกตั้งก็ล้วนเปลี่ยนผู้นำเป็นพรรคฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลทั้งสิ้น เหตุการณ์ความไม่สงบ จนกระทั่งถึงมีเหตุการณ์ความรุนแรง และการพลัดพรากหรือการสูญเสียบุคคลที่มีบทบาทสำคัญของประเทศต่างๆ ในส่วนของประเทศไทย เหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆจะยังมีต่อไปอีกจนถึงวันที่ 6 กรกฎาคม 2549 เมื่อดาวพฤหัสเริ่มโคจรในทิศทางปกติ มีผลทำให้สถานการณ์ต่างๆจะเริ่มเข้าสู่สูงสุดของการเปลี่ยนแปลง (พฤหัส = ผู้พิพากษา บุคคลที่มีปรัชญา บุคคลที่ประสบความสำเร็จ) คดีความต่างๆที่มีการฟ้องร้องกันจะมีผลปรากฏที่ชัดเจนหลังวันที่ 11 กรกฎาคม 2549 ซึ่งเป็นวันเพ็ญก่อนวันเกิดอมาวสีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กระบวนการทางศาลจะมีผลทำให้สถานการณ์ต่างๆเริ่มคลี่คลายลงได้หลังเดือนสิงหาคม 2549
ความคิดเห็นที่ 4บทสรุปสิ่งที่ประชาชนทั่วไปต้องการข้อสรุปว่า สุดท้ายแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคไทยรักไทย จะเป็นอย่างไร สรุปได้ดังนี้1. สถานการณ์ของประเทศไทยนั้นไม่น่าจะมีเหตุการณ์จลาจลเหมือนอดีตที่ผ่านมา เพราะเงื่อนไขในทางปรัชญานั้นไม่เหมือนกัน2. พรรคการเมืองต่างๆอาจจะต้องยุติบทบาททางการเมืองไม่ว่าจะต้องยุบพรรคหรือไม่ก็ตาม3. จากดวงชะตาของประเทศไทยประจำปี 2549 มีสิ่งบอกถึงความสมานฉันท์ การรอมชอมกัน เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ดวงชะตาปี 2550 มีสิ่งบอกถึง ความปรองดองและการอยู่ร่วมกันภายใต้กรอบกติกาที่คนส่วนใหญ่มีความสุขเฉกเช่นเดียวกับ ครอบครัวที่ ลูกๆทำหน้าที่ตามที่พ่อแม่ชี้กรอบทางเดินให้4. นายกรัฐมนตรีคนที่ 24 จะเป็นผู้ที่สร้างความสมานฉันท์และความปรองดอง และมีวินัยในการนำพาประเทศไปตามกรอบจารีตประเพณีที่สังคมยอมรับ5. พรรคประชาธิปัตย์ควรถือเป็นโอกาสดีที่จะ “เกิดใหม่” ด้วยการวางดวงพรรคใหม่ให้มีโอกาสเป็นรัฐบาล6. พรรคไทยรักไทย หากไม่มีผู้สืบทอดความเป็นพรรคต่อจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงจะกลายเป็นอดีตพรรคการเมืองหนึ่งที่จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของพรรคการเมืองไทย7. พ.ต.ท.ทักษิณ คงจะต้องมีการเดินทางไกลซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์กับวงรอบต่างๆที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จึงเป็นข้อเสนอว่า อย่างไรเสีย พ.ต.ท.ทักษิณก็คงต้องเดินทางไกลเหมือนเมื่อปี 2519 อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าจะไปไหน จะไปช้าหรือเร็ว จะไปอย่างไร จะไปเองหรือจะให้มีใครพาไป ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้าชะตาว่าจะใช้เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ หรือใช้คำปฏิญาณของนักเรียนเตรียมทหารที่ใช้เป็นกรอบกำหนดแนวทางชีวิต จึงขอปิดท้ายด้วยคำปฏิญาณ 3 ข้อของนักเรียนเตรียมทหารที่ พ.ต.ท.ทักษิณยึดถืออย่างเหนียวแน่น เพราะตรงกับจริตของเจ้าชะตาอย่างมาก คือ1. ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้2. ตายเสียดีกว่าอยู่อย่างผู้แพ้3. ตายเสียดีกว่าละทิ้งหน้าที่ “ทางไปสู่เกียรติศักดิ์ จักประดับดอกไม้หอมหวนชวนจิตไซร้ ไป่มี”------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความคิดเห็นที่ 5ความหมายของวงรอบที่ใช้วงรอบดาวเสาร์ คือจังหวะเวลาที่ดาวเสาร์โคจรครบรอบจักรราศี 1 รอบ เป็นระยะเวลา ประมาณ 30 ปี วงรอบจันทรคติ คือจำนวนปี (ทางสุริยคติ) กับจำนวนรอบการโคจรของจันทร์ตรงกันพอดี ซึ่งมีผู้กำหนดตัวเลขวงรอบไว้หลายท่าน แต่ที่นิยมกันได้แก่ วงรอบเมโทนิคหรือเมโทนเชอ กำหนดว่า จันทร์โคจรรอบโลก 235 รอบ จะเท่ากับ 19 ปีที่โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ จันทรคติ คือ “การใช้จันทร์เป็นมูลฐาน” ตัวอย่างเช่น การคิดอายุทางจันทรคติได้แก่ การคิดอายุโดยใช้วันเดือนปีที่คิดเทียบมาจากอัตราการโคจรของจันทร์ ( 1 ปีทางจันทรคติ = 354 วัน 8 ชั่วโมง 48 นาที 30 วินาที)วงรอบดาวเสาร์และวงรอบจันทรคติจะนับจากเริ่มต้นจากวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญทั้งของบุคคล หรือเหตุการณ์ของประเทศ หรือเหตุการณ์ใดๆก็ได้บรรณานุกรมวัลยา “ ทักษิณ ชินวัตร ตาดูดาว เท้าติดดิน” สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพมหานคร 2542สรกล อดุลยานนท์ “ทักษิณ ชินวัตร อัศวินคลื่นลูกที่สาม” สำนักพิมพ์มติชน กรุงเทพมหานคร 2536อธิวัฒน์ ทรัพย์ไพฑูรย์ “ตระ***ลชินวัตร” บริษัทสำนักพิมพ์วรรณสาส์น จำกัด กรุงเทพมหานคร 2537หมายเหตุ บทความนี้ได้บรรยายในงานวันไหว้ครูที่มูลนิธิฯ 16 กรกฏาคม 2549