เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 23)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 22 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 23 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.205.126)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
กราบขอบพระคุณอาจารย์ ที่กรุณาอธิบายเพิ่มเติมเรื่องสภาวะธาตุ ขอกลับไปค่อยๆ คิดตามทีละคำ ทีละประโยคที่อาจารย์อธิบายก่อนค่ะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 08:51น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 2
รบกวน อจ วรกุลหน่อยครับ คือผมมีความคิด ขึ้นมา อบากให้ อจ ช่วยแนะนำผมหน่ยอครับ ว่าผมเข้าใจถูกหรือผิดครับ

จากที่ผมได้ คิดเรือ่ยมา ผมเข้าใจ ว่า ดาว เป็นตัวเหตุผล ราศีเป็นเหมือนสถานที่รองรับความเป็นดาวนั้นๆ ใช่รึเปล่าครับ

ถ้า ดาว ธาตุลม อย่างเช่นดาว ๓ ที่ได้ตำแหน่งเกษตรนั่นคือ ธาตุในราศีนั้นสมดุลย์ ความสมดุล กลมกืน เหมือนหยินหยาง ใช่มั้ยครับ

หากดาว ๓ ธาตุลมที่รุนแรง สถิตในราศี ธาตุลมที่รุนแรงเหมือนกัน ( ผมไม่ทราบว่า เรียกว่ารุนแรงได้รึเปล่า ) อย่างเช่น ราศีตุล จะทำให้ ราศีนั้นขาดความสมดุลย์อย่างรุนแรง ก่อให้เกิดผลทางด้านธาตุลมที่มากเกินไป ถ้าเราเปรียบว่า ดาว ๓ ขยัน นั่นเรา จะบอกได้ประมาณว่า ขยันจนร่างกายทรุดโทรม ใช่รึเปล่าครับ ถ้าเอา ทางเรือนผสมเข้าไป ก็จะกลายเป็น เรือนนั้นๆ แสดงผลต่อเจ้าชะตามากจนเกินพอดี

อย่างเช่นน่ะครับ นี่ดวงของผมเองครับ เพราะผมเข้าใจง่ายกว่า ลัคนา สถิตราศีธนุ ดาว๑ กุมลัคน์/ดาว ๕ สถิตราศี มังกร/ ดาว ๒ ๘ สถิตราศี เมษ/ ดาว ๓ ๙ สถิตราศี ตุล/ ดาว ๔ ๖ ๗ ๐ สถิตราศี พิจิก

เช่นราศี ตุล ใน ดวงนี่อะครับ คือ มันมีดาวมาได้ตำแหน่งประ เพราะว่ามันขาดความสมดุลย์อย่างมากเลยใช่มั้ยครับ ดาว ๓ ที่ราศีตุล การที่ ดาว ๘ และดาว ๒ เล็ง ราศีตุลน์ นั่น จะส่งผล ให้ราศีตุล นั้นขาดความสมดุลย์มากขึ้นอีกรึเปล่าครับ ( คือที่ผม คิดมา นี่ ผมไม่แน่ใจครับ ว่า เข้าใจหลักการมันถุกรึเปล่า รบกวน อจ ด้วยครับ ) พอมันไม่สมดุลย์แบบนี้ แล้วเราลองดูว่ามันไปเป็น เจ้าเรือ่ง อะไรในเรือนของลัคนา เราก็จะทราบได้ใช่มั้ยครับ ว่าเข้าชะตานั้น ขาดวามสมดุลย์ในเรื่องอะไร อย่างเช่น ของผมนี่คือ ลาภะ การวิเคราะห์ต้องประมาณนี้รึเปล่าครับ

ถ้ามันเป็นแบบนี้ ดาว ๕ ที่มังกร ก็ทำให้ราศีมังกร มีธาตุดินเยอะมากเกิน จนไม่สมดุลย์อีกเหมือนกัน การที่มัน เกินพอดีแบบนี้ เราจะอ่าน มัน โดยใช้หลักการยังไงเหรอครับ เอาสิ่งไหนเป็นประธาน เช่น เอาดาว เป็นประธาน หรือว่า เอา เรือนเป็นประธานเหรอครับ

ถ้าเอาดาว ๕ เป็นประธาน แล้วทำไม ดาว ๕ ถึง แทนความหมาย เช่น ทางสติปัญญา ครับ

ถ้าผมเข้าใจมานี่ ผิดทั้งหมด ขอความกรุณา อจ วรกุล ช่วยชี้แน่ะ ให้ด้วยครับ

ขอบคุณพระคุณมากครับ


แบงค์ - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 12:28น. (IP: 124.121.4.226)

ความคิดเห็นที่ 3
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ผมเคยถามอาจารย์ครั้งนึงเกี่ยวกับเรื่องดวงแรง อาจารย์บอกว่าผมเป็นคนดวงแรงชนิดนึง ผมจะจดจำคำแนะนำไว้ยึดปฏิบัติตลอดไปครับ (ไม่ใช่แต่เฉพาะช่วงนี้)

ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ


เด็ก ป.เตรียม - 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 19:34น. (IP: 124.121.165.80)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 2)............เราอย่าใช้คำว่า “สมดุล” ไปทั่วสิครับ สมดุล นั้นอยู่ที่เราตั้งจุดไว้ตรงไหน เช่น เรามีเพื่อนอีกคนหนึ่งเอามาเทียบกับเรา สมดุลของน้ำหนักคนสองคนอาจจะไม่สมดุลทางส่วนสูง ถ้าสมดุลทั้งน้ำหนักและส่วนสูง อาจจะไม่สมดุลทางความรวยความจน ถ้าสมดุลทางฐานะ อาจจะไม่สมดุลทางหล่อเหลา เห็นหรือไม่ว่า สมดุลมันอยู่ที่เรื่องราว และเราจะวัดจุดไหนเล่าเป็นจุดสมดุลไปทุกเรื่อง

ดวงชะตาคนเรามันไม่สมดุลทั้งนั้นแหละไม่ว่าดาวมันจะอยู่ตรงไหน ถ้าโดยทฤษฎีแล้ว หากดาวเป็นเกษตรพร้อมกันทุกดวง ก็พอเรียกได้ว่า จักรวาลมันสมดุล แต่ดาวเป็นเกษตรพร้อมกันทุกดวงไม่ได้ แต่เมื่อมีลัคนา มันก็ไม่สมดุลอีก ว่าแต่ว่าเราจะมาเพ่งเล็งสมดุลไปทำไม อย่างเช่น เรากินข้าวทุกมื้อ เราจะต้องคำนวณแคลอรี่ว่ามันเท่ากับแคลอรี่ที่เราใช้ไหม ก็ไม่เป็นประโยชน์อะไรต่อชีวิต ดังนั้น การมาวางหลักหาสมดุลในเมื่อเรารู้ว่ามันสมดุลยาก ก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไปดูดวงชะตาในเรื่องอื่นๆจะดีกว่า ยังมีสิ่งที่ควรดูอีกเยอะแยะไป

ดาวไม่ว่าอยู่ราศีใด ไม่มีการสมดุล เพราะมันมีทั้ง ธาตุ พลังงานธาตุ และอื่นๆอีก และก็มีดาวเล็ง ดาวร่วม หรือ ทำมุมกับมันเยอะแยะเหมือนกับตุ้มถ่วงไปทั่วตัว แค่ผิดมุมนิดหน่อยน้ำหนักก็เปลี่ยนแล้ว ส่วน หยิน กับ หยางนั้น ผู้คนก็เอาพูดกันเกินไป หยินหยางนั้น เมื่อมาอยู่ในชีวิตประจำวันของเรามันก็แยกออกแปรรูปเป็นหมื่นๆแบบแล้ว เรามักพูดกันโดยประมาณ เพราะหยินหยางในตัวเรามันสร้างเป็นเลือดเนื้อขึ้นมา ใครจะไปแก้ หรือ เฉือนตับไตออกไปได้ จึงไม่เคยมีความสมดุล ที่เราเรียกความสมดุลของหยินและหยางมันเป็น อุดมคติ ต่างหาก จักรวาลเข้ารวมกันหมดเมื่อไรก็สมดุลเมื่อนั้น

ส่วนพฤหัส ที่เป็น ปัญญา เพราะพฤหัสในดวงโลก เป็นการขยายออก โลกหมุนเอาราหูอวิชชายึดติดตัวตนมา พฤหัสขยายออกไม่ยึดติดเท่ากับทำลายราหู พฤหัสจึงมีอยู่ในปัญญา ที่ทำลายความไม่รู้นั่นเอง


วรกุล - 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:02น. (IP: 203.107.205.88)

ความคิดเห็นที่ 5
อจ ครับ ขอบคุณอจ มากครับ

รบกวน อจ อีกหหน่อยครับ อยากทราบว่า ทำไม กาลกีณี ทาง ทักษา ( ผมอ่านตามเว็บครับ ) เค้าบอกว่า กาลกีณีมหาจักร กุมลัคนา แล้วจะเป็นใหญ่เหรอครับ ทำไมถึงต้องเป็นมหาจักร ครับ ไม่เป็น อุจ หรือ เกษตร หรือฯลฯ อย่างอื่นล่ะครับ

ขอบพระคุณ อจ วรกุล มากครับ


แบงค์ - 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:34น. (IP: 124.121.6.68)

ความคิดเห็นที่ 6
มาสอบถามหน่อยนะค่ะ

เกิดวันที่ 19 กันยา 2527 เวลา 09.05

ที่ลพบุรี เพศหญิง กำลังศึกษาปริญญาโทค่ะ

ตอนนี้มีความสนใจโหราศาสตร์มากๆเลยค่ะ ก็เลยมาขอรบกวนให้อาจารย์ชี้เเนะหน่อยค่ะ

คือในดวงหนูนี้ มี1+6 กุมกันในภพวินาส์ โดยดาว1 มาจากภพลาภะ เเละ ดาว 6เป็นดาวตนุลัคนาหน่ะค่ะอีกทั้งดาวเจ้าเรือนในภพวินาสน์คือดาว4 ดันย้ายไปอยู่ภพลาภะอีก

หนูอยากทราบมากๆว่านอกจากผลเสียเเล้ว จะส่งผลดีได้บ้างไหม ? เพราะอย่างน้อยๆ ดาว1+6 ก็เป็นดาวศุภเคราะทั้งคู่

กรุณาให้ความรู้หน่อยนะค่ะ ขอบคุณค่ะ


เเนน - 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 21:42น. (IP: 124.120.175.148)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 5)...........ข้อความนี่ก็ท่องกันเกินไป มหาจักรนั้นมีกำลังดีตามตำแหน่งของดาวนั้นๆอยุ่แล้ว กาลกิณี มักมีธาตุอ่อนก็แก้กัน ยังมีกำลังได้แต่ไม่สม่ำเสมอ ดังนั้น มหาจักรเป็นกาลกิณีจึงมักหวือหวา ฉวัดเฉวียน หรือ เด่นพุ่งขึ้นมาแบบไม่เป็นไปตามปกติ จะเป็นใหญ่หรือไม่เป็นใหญ่ ต้องดูที่ดวงชะตาและเรือนเป็นหลัก ส่วน เกษตร มหาอุจ กาลกิณีนั้นมักจะเสียหากเป็นดาวที่แสดงผลไม่ดี หากแสดงผลดี ก็มีอำนาจแต่ใช้ในทางผิด ทางต่ำ คุณสมบัติส่วนตัวของเจ้าชะตามักจะเสีย ดาวที่เป็นกาลกิณี แต่เป็นดาวดีในราศี ดีทางวาสนาการงานได้แต่มักจะเสียเรื่องส่วนตัว


วรกุล - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:48น. (IP: 203.107.205.252)

ความคิดเห็นที่ 8
ตอบคุณ แนน (ความเห็นที่ 7)...........ไม่มีเวลาผูกดวงดูดวงให้ครับ ประเด็นที่ถามมามีทั้งดีและเสียก็เป็นได้หมด หากสนใจโหราศาสตร์ก็เรียนไปก่อน เพราะทีหลายแง่มุมอธิบายไม่หมด หรือ วิเคราะห์ดวงตัวเองก็ต้องลองถามทางอื่น หากตอบเฉพาะประเด็น ดาวคู่สมพล ๑ ๖ ในเรือนวินาสน์ ๔ เจ้าเรือนไปลาภะ ก็ประสบความสำเร็จได้ เมื่อโยกย้ายไปไกล หรือ ไปทำมาหากินต่างประเทศก็เป็นได้


วรกุล - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:12น. (IP: 203.107.202.194)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ...เรื่องธาตุดาวในราศี ; หากจำแนกจักรราศีเป็น4ธาตุ อันได้แก่ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ(ธาตุในจักรวาล) หากพื้นดวงกำเนิดราหูอยู่ราศีมีน(ราศีธาตุน้ำ) แล้วราหูเป็นเจ้าเรือนอริลัคน์ (ลัคน์ราศีกันย์) ผมสงสัยเรื่องการทายจรดังนี้ หากราหูจรอยูราศีธาตุไฟเช่นราหูจรอยู่ราศี เมษ สิงห์ หรือ ธนู จะเป็นจังหวะที่เราพิจารณา ราหู (ประธาน คือ อริ)เป็นพิเศษใช่หรือไม่ครับ และหากพิจารณาก็ให้พิจารณาในทางที่ให้โทษหรือในทางที่ขัดแย้ง (ไฟกับน้ำ) และหากราหูจรอยู่ราศีธาตุน้ำ อันได้แก่ราศีกรกฎ พิจิก และ มีน เมื่อใด จะเป็นจังหวะที่เราพิจารณา ราหู (ประธาน คือ อริ) ในทางที่ให้คุณ(ความสอดคล้องกลมกลืน) ใช่หรือไม่ครับ รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายการเปลี่ยนแปลงลำดับของธาตุด้วยครับ


ศ.fa200 - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 07:43น. (IP: 124.157.229.168)

ความคิดเห็นที่ 10
ขอบพระคุณ อจ วรกุลมากครับ


แบงค์ - 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:58น. (IP: 124.121.6.193)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 10)...........ข้อที่อยากแนะนำให้ทำความเข้าใจหลักดาวจรในคำถามนี้มี 2 ประเด็น ก็คือ หนึ่ง ดาวจร ไม่ว่าจะจรไปอย่างไร มันไม่ใช่ดาวชองเรา เป็นเพียงดาวสาธารณะ ดังนั้น ราหูจรจะไปที่ไหน ก็ยังไม่เกี่ยวกับราหูในดวงเดิมของเรา สอง ราหูในจักรวาล จรไปอยู่ราศีใดก็มีธาตุตามราศีนั้น เรามักเรียกธาตุของราหู หรือดาวอื่นเมื่อมันลงมาสู่โลกแล้ว ไปตามธาตุในธรณี (โลก) ดังนั้น ราหูจร มันก็ติดธาตุลม ตามธาตุในธรณี (มหาทักษา) นั่นเอง ส่วนราหูในดวงเดิม ก็เป็นธาตุราหูในตัวเรา จะเกิดเป็นราหูธาตุน้ำ(มีน)เพราะความสัมพันธ์กับธาตุในราศีมีน และจะเป็นองคประกอบเพียงดวงเดิม ที่เราอ่านนิสัย ใจคอ ร่างกาย ฯลฯ ราหูเดิมดวงนี้ไม่ได้ติดธาตุน้ำแล้วจรไป เพียงติดคุณสมบัติเดิมเมื่อแสดงผล เราอาจจะคิดว่าเป็นราหูของเราทั้งคู่แต่เป็นราหูคนละดวงก็ได้

ดังนั้น ราหูที่จรไปในราศีต่างๆ จะให้คุณ หรือขัดแย้ง ก็อยู่ที่ราหูธาตุลมกับธาตุราศีและเจ้าเรือน แต่ก็ยังเป็นราหูจรที่เป็นดาวสาธารณะอยู่ การจรในราศีธาตุของดาวจร แสดงความเข้มแข็ง อ่อนแอได้ แต่ต้องดูลักษณะการแสดงผลในเรื่องธาตุ ที่สรุปรวมความขัดแย้งหรือ สนับสนุนให้กลายเป็นความดีเลวของดาวแล้ว ต่อเมื่อมันเข้ามาสัมพันธ์เป็นราหูจรของเราเมื่อใด จึงจะนำความดีเลวนั้นมาแสดงผลในดวงเรา หวังว่าคงเข้าใจนะครับ


วรกุล - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:54น. (IP: 203.107.200.65)

ความคิดเห็นที่ 12
กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ขอรบกวนเรียนปรึกษาปัญหาโหราศาสตร์ที่กำลังติดขัดสงสัยหาคำตอบไม่ได้ค่ะ ปัญหาคือ การที่เราพูดกันเรื่อง นิจฟื้น คือดาวที่ได้ตำแหน่งนิจในราศีจักร แล้วพยายามดูตามกฎว่าได้นิจฟื้นหรือไม่นั้น พอเราเทียบเข้ากับกฎโหราศาสตร์แล้วปรากฎว่า ดาวนั้นได้ "นิจฟื้น" ส่วนใหญ่ผู้ที่ตอบคำถามเรื่องนี้มักไม่ตอบต่อว่า พอดาวที่เป็นนิจฟื้นแล้วจะทายอย่างไรต่อ แล้วเราจะหานิจฟื้นไปทำไมล่ะคะอาจารย์ จึงต้องการรบกวนเรียนถามอาจารย์ว่า พอเราทราบแล้วว่าดาวที่เป็นนิจนั้น กลับเป็น นิจฟื้น แล้วเราจะออกคำทำนายอย่างไรคะ จะทายเหมือนกับว่าดาวนั้นเป็นดาวธรรมดาไม่มีตำแหน่งอะไร (เกษตร อุจจ์ ฯลฯ) หรือทายว่าเป็นเกษตร หรือทายว่าเป็นอุจจ์ ฯลฯ ดิฉันสงสัยว่าจะออกคำทำนายดาวที่เป็นนิจฟื้นอย่างไรน่ะค่ะอาจารย์

โดยส่วนตัวอาจารย์เองแล้ว เวลาอาจารย์ทำนาย อาจารย์ดูเรื่องนิจฟื้นหรือไม่ฟื้นนี้ด้วยหรือไม่คะ ขอความกรุณาอาจารย์เมตตาตอบข้อสงสัยให้ดิฉันด้วยเถิดค่ะ กราบขอบพระคุณค่ะ


กิ่ว - 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:23น. (IP: 210.246.80.99)

ความคิดเห็นที่ 13
ตอบคุณ กิ่ว (ความเห็นที่ 13)...........เป็นคำถามที่น่าสนใจจริงๆ “พอดาวที่เป็นนิจฟื้นแล้วจะทายอย่างไรต่อ แล้วเราจะหานิจฟื้นไปทำไมล่ะคะอาจารย์”

นั่นน่ะซีครับ เป็นความเข้าใจผิดที่พยายามจะสอนกันว่า “นิจไม่ดี” นั่นแหละ คือทำเหมือนกับดาวเป็นนิจแล้วเลวร้ายเพราะมันป่วยใกล้จะตาย พอเข้ากฏ (ใครตั้งไม่รู้) ว่านิจฟื้น นิจก็เลยฟื้น พอนิจฟื้นส่วนใหญ่ก็ทายกันเป็นดาวธรรมดา แต่กลัวมันอยู่ เหมือนผีดิบฟื้นอะไรประมาณนั้น ส่วนตัวผมเองไม่ค่อยจะสนใจนิจประอุจเกษตรมากกว่าดาวธรรมดาดวงอื่น เหมือนกับมองคนที่หล่อ สวย รวย หรือ ไม่หล่อ ไม่สวย หรือไม่รวยก็เท่ากัน เพราะมักจะดูที่จิตใจคนมากกว่า จนเคยชิน ประมาณว่าอุจเป็นคนดัง ขึ้นสูง มีอะไรมากกว่าคนอื่น แต่สันดานอาจจะดีไม่ดีก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง บางคนก็เลวเข้าใส้ พอดูดวงมากๆ ก็เลิกประทับใจสนใจ เรื่องอุจนิจเกษตรประ เหมือนกับวัยคนเรา อายุมากขึ้นก็ไม่ตื่นเต้นอะไรกับคนดังๆอีก บางคนมีมหาอุจเกษตรวันหนึ่งอาจจะมีอำนาจวาสนา แต่ถึงคราวตกต่ำติดดิน ก็สลดใจไปเอง ไม่รู้สึกรู้สาอะไร ในดวงชะตาคนทั่วไป เรามักจะดูดาวสัมพันธ์กัน(โครงสร้างดาวและธาตุ)มากกว่า เพราะดาวมาตรฐานก็ต้องทำงานในโครงสร้างที่สัมพันธ์กับดาวอื่นอยู่แล้ว ไม่ได้มีดาวใด ดี ไม่ดี ได้โดยลำพัง

เรื่องอุจ นิจ ประเกษตร ได้เคยเขียนมาบ้างแล้ว อีก 2 – 3 ตอนข้างหน้าจะเขียนเรื่อง ธาตุดาว ต้องเอามาอธิบายอีกที ทีนี้จะชัดขึ้นว่าอุจ นิจ ประ เกษตร หมายความว่าอย่างไร


วรกุล - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:58น. (IP: 203.107.203.252)

ความคิดเห็นที่ 14
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ...การจรที่ผมเข้าใจมี2แบบ คือ1การจรทางดาราศาสตร์(ดาวจรปัจจุบันบนท้องฟ้า ซึ่งดูได้จากปฎิทิน) กับ 2การจรแบบโหราศาสตร์ ซึ่งผมมีความสงสัยการการจรแบบที่2นี้มาก จึงอยากให้อาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ด้วยครับ: - การจรทางโหราศาสตร์มีหลายหลายวิธี ส่วนใหญ่ใช้อัตราการจรของดวงอาทิตย์เป็นพื้นฐาน(?) ผมมีความสงสัยว่าโหราศาสตร์ทางธาตุได้นำอัตราการจรของดาวพฤหัส หรือดาวอื่นๆมาประยุกต์การพยากรณ์บ้างหรือไม่ครับ รบกวนอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างเรื่องการจรทางโหราศาสตร์ด้วยครับ และ ต่อจากความเห็นที่12 ราหูจรที่จรไปนั้นอาจเป็นเพียงราหูสาธารณะไม่ใช่ราหูของเรา ผมมีความสงสัยว่าเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นราหูของเรา(ไม่ใช่ราหูสาธารณะ) ราหูของเรานั้นเป็นราหูที่จรทางโหราศาสตร์ใช่หรือไม่ครับ และหากเป็นราหูที่จรทางโหราศาสคร์จริง ราหูจรของเรานั้นใช้อัตราการจรของอะไรครับ.


ศ.fa200 - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 07:40น. (IP: 124.157.229.168)

ความคิดเห็นที่ 15
เรีนยถาม อจ วรกุลครับ

ผมสงสัยมานานมากแล้วครับ เรื่องเกี่ยวกับ ดาว ๕ ครับ ทำไม ผม ที่มีดาว ๕ เป็นนิจ ถึงไม่ เป็นอย่างตำราว่าเลยครับ อย่าง เช่น หัวทึบ ฯลฯ คือผมไม่ได้หลงตัวเองน่ะฮะ แต่ผมว่า ตัวผมเองเรียนอะไร ทำอะไร ก็ทำได้ง่ายกว่าคนอื่น เข้าใจอะไรได้เร็วกว่าคนอื่น อ่านหนังสือเรียน หนังสืออะไรที่มันยากๆ ผมก็เข้าใจโดยที่ไม่ต้องมีคนสอน แล้วผมก็สอนคนอื่นได้ด้วย ผมไปลองดูดวง เวลาที่เค้าพยากรณ์ ตามเว็บ เค้าก็บอกว่า หัวทึบ ผมก็เลย งง และไม่ยอมรับมากครับ เพราะผมเองไม่ได้หัวทึบนี่ หรือเค้าบอกว่า อยู่เรือนดาว ๗ เป็นคนไม่ดี ผมก็ไม่ยอมรับครับ เพราะผมเป็นคนดีครับ ไม่คิดร้ายใคร ไม่โกงใคร ไม่หักหลังใคร กล้าบอกเต็มปากครับ แต่มีมั่งที่ชอบประเมินคนอื่นด้อยกว่าแต่ไม่ได้ดูถูกน่ะครับ แล้วก็ อารมณ์ร้อนเท่านั้นครับ

ซึ่งจริงๆแล้ว ตรงนี้ ผมมีความต้องการเพียงแค่อยากทราบว่า ดาวอะไร ในดวงชะตา นั้น ที่มันส่งผล มาถึง ทำให้ มันต่างกับในตำราว่าไว้ครับ ผมเที่ยวไปตามถามมาหลายเว็บแล้ว แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบที่มันกระจ่างเลย เพราะเค้าเอาพวก นวางค์ อะไรมาบอก ( ๕ มันเป็นอุจน์ในนวางค์ครับ)หรือไม่ก็บอกเรือ่งอื่นไม่เฉี่ยวเรื่องนี้ให้หายข้องใจเลยครับ จะบอกว่า ถายนอกดูหัวทึบแต่ภายใน ดูฉลาด ผมก็ว่ามันไม่ใช่ เพราะผมค่นอข้างมั่นใจตัวเองมาก ขี้โม้มากด้วยครับ แต่ผมโม้เรื่องจริงน่ะครับ แสดงออกคือ รู้แล้วบอกคันปากอยากพูดทันที เก็บไว้แล้วไม่สบายครับ รบกวนอจ วรกุล หน่อยครับ อยากทราบจริงๆว่าอะไรที่มันเป็นสาเหตุครับ ที่อจ. เคยอธิบายมาผมพอเข้าใจครับ เพราะดาวอื่น ส่งอิธิพลถึง แต่มัน เป็นรูปธรรม ยังไงเหรอครับ ผมนึกภาพเปรียบเทียบไม่ออกครับ

ลัคนา สถิตราศีธนุ ดาว๑ กุมลัคน์/ดาว ๕ สถิตราศี มังกร/ ดาว ๒ ๘ สถิตราศี เมษ/ ดาว ๓ ๙ สถิตราศี ตุล/ ดาว ๔ ๖ ๗ ๐ สถิตราศี พิจิก รบกวนอจ. ด้วยครับ ผมอยากเข้าใจตรงนี้เต็มทีแล้วครับ ผมได้เลิกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้สักที เพราะมันติดใจมานานมากครับ หรือฟันธง มาได้เลยครับว่าหัวทึบ ผมเกิด 22/12/2528 6.30 สุราษฎร์ธานีครับ

ขอบพระคุณ อจ วรกุลมากครับ


แบงค์ - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:17น. (IP: 124.121.5.78)

ความคิดเห็นที่ 16
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่นับถือ

วันนี้ดิฉันต้องกราบขอความกรุณาสักครั้งค่ะ ถึงแม้ทราบดีว่าท่านตั้งกระทู้นี้เพื่อใช้สำหรับผู้สนใจวิชาการทางโหราศาสตร์ ไม่ได้มีไว้เพื่อทำนายดวงชะตา แต่มันเป็นเรื่องร้อนใจมาก จึงทำให้ดิฉันต้องรบกวนขอความกรุณาจากท่านค่ะ คือน้องสาวและแฟนไปดูดวงเพื่อขอฤกษ์แต่งงาน ทางอาจารย์ที่ทำนายดวงให้ท่านก็เก่งมาก ทายทักอะไรตรงตามนั้น ท่านทักเรื่องแฟนน้องสาวมีเกณฑ์ดวงถึงฆาต ทั้งสองคนก็เลยตกใจมากไม่รู้จะทำยังไงท่านแนะนำให้ทำพิธีบวช 1 พรรษา และรอรับกฐิน จากนั้นจะหาฤกษ์สึกให้เพื่อนำมาตั้งเป็นดวงใหม่ ทางฝ่ายแฟนน้องก็ยังลังเลอยู่ ไม่ใช่ว่าไม่เชื่อ แต่ดำเนินการค่อนข้างยาก เพราะไม่ทราบว่าจะเล่าให้แม่เขาฟังยังไงดีค่ะ กลัวจะตกใจหรือไม่ ก็อาจจะไม่เชื่อและพาลโมโห บวกกับมีภาระรับผิดชอบกิจการของบ้าน หากทิ้งไปสัก 3 - 4 เดือน ก็คงไม่มีใครดูแล ตอนนี้ทั้งน้องสาวของดิฉันกับแฟนเค้าก็เป็นทุกข์กลุ้มใจกันทั้งคู่ ดิฉันจึงอยากขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำด้วยเถอะค่ะ ไม่ทราบว่ากรณีเช่นนี้มีวิธีการแก้ไขหรือลดให้เบาลงได้ไหม

ดวงชาย เกิดวันที่ 10 ต.ค. 2518 เวลา 4:33 น. กรุงเทพฯ

กราบขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ


เอวิตรา - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:17น. (IP: 58.136.203.212)

ความคิดเห็นที่ 17
กราบขออภัยค่ะ ขอแก้วันที่เกิด เป็น 12 ต.ค. 2518 เวลา 4:33 น. ค่ะ

ตอนนี้ทั้งคู่วิตกกังวลมาก ขอความกรุณาด้วยนะคะ


เอวิตรา - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 21:06น. (IP: 124.120.34.134)

ความคิดเห็นที่ 18
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 15)...........เฉพาะโหราศาสตร์ไทย(เดิม) มีการจรแบบเดียวครับ คือปัจจัยทางโหราศาสตร์ ส่วนดาวจรบนท้องฟ้าเป็นเรื่องของดาราศาสตร์ไทย คนไม่รู้ เลยเอามาปนกัน เรื่องปัจจัยจรทางโหราศาสตร์เป็นเรื่องยาวและซับซ้อนครับ คุณอ่านมาเรื่อยก็จะเห็นว่าในกระทู้ชุดนี้ก็นำมากล่าวถึงบ่อยๆ โดยวิธี ก็จะแยกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ หนึ่ง ดูปัจจัยจร (ดาวจรท้องฟ้านั่นแหละ) สอง วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากอายุวัย เช่น พวกทักษา ดาวเสวยอายุ สาม การเคลื่อนของปัจจัยเดิม เช่นพวกกาลจักรลัคน์จร ชันษาจร ซึ่งดาวที่ใช้ก็ใช้ทุกดวง เพียงแต่บางวิธี เช่นพวกที่หนึ่งจะเพ่งเล็งดาวที่มีพลังงานหรือแสง หรือ ธาตุเป็นตัวที่กระตุ้นให้เกิดปฏิกริยา ซึ่งส่วนมากก็คือ ดวงอาทิตย์ หรือ ดาวที่ๆได้รับแสง (พลังงาน) จากอาทิตย์มาอีกต่อหนึ่ง ส่วนอีกสองวิธีหลังอาศัยพลังงานที่ได้จากวงรอบธรรมชาติและในดวงชะตา รับพลังงานมาจากจักรวาล อัตราจรก็ขึ้นอยู่กับหลักการจรของวงรอบนั้นๆ โดยหลักก็สรุปได้แค่นี้ เรื่องดาวจรเป็นเรื่องซับซ้อนและยาว อธิบายในที่นี้ไม่ได้หรอกครับ

ราหูที่จรอยู่เป็นราหูสาธารณะ เมื่อใดที่เงื่อนไขในดวงชะตาตรงกับดวงชะตาใคร ธาตุราหูก็จะวิ่งแล่นมาได้เมื่อนั้นก็กลายเป็นธาตุราหูของเรา คล้ายกับราหูเป็นลูกกุญแจ รหัสภายในเปลี่ยนไปเรื่อย เมื่อใดรหัสตรงกับแม่กุญแจคือดวงเราที่ไขแล้วกุญแจหลุดออกได้ ราหูก็แล่นแว้บมาก็เป็นราหูของเรา หรือ ถ้าสมมุติมีแสงก็กระพริบวาบหนึ่ง ราหูจรไปจะมีแสงวาบๆอยุ่เรื่อยเพราะมักจะตรงกับรหัสใครสักคน แม้แต่ดวงเราก็มีหลายรหัส นี่เป็นวิธีดูดาวจรของแต่ละคน เหตุที่อธิบายยาก เพราะต้องรู้หลักดาวเดิมให้หมดก่อน มิฉะนั้นก็ใช้วิธีเหมารวมๆ เช่น ราหู ทับลัคน์ เล็งดาวอะไรเป็นปี มันจะมีแสงวาบตอนไหนก็ไม่รู้ แต่เดาว่ามีแน่ก็แล้วกัน

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 16)............ตำราผิดน่ะซี ดาว ๕ นิจไม่ได้หัวทึบนี่ครับ ถ้าทึบจริง พวกที่เกิดปีฉลู ก็โง่กันหมดทั้งโลก เป็นไปได้ยังไง ดวงคุณก็ดีออก หัวไม่ทึบ เพียงแต่หากนึกจะไปบวชเอาดีทางหลุดพ้นก็จะไปไม่พ้น เพราะเข้าใจธรรมะลึกๆไม่ดีเท่านั้นเอง และยัง เจ้าเหตุเจ้าผลมากเกินไป คิดหาอะไรลงตัวไม่ได้ พูดง่ายๆก็คือ มักขี้สงสัย และยังแหวกแนวไม่ค่อยจะลงรอยกับใคร ทำสมาธิวิปัสสนาไม่รอด ต้องอาศัยศรัทธาพอไปได้ แต่ไม่ค่อยจะศรัทธาหรือ ซูฮกใครจริงจัง เชื่อแต่ตัวเองเพราะเป็นนิสัยทิฏฐิติดตัว

๒ ๘ เป็นคู่สมพลเล็งอังคาร ๓ เรือน ๖ คู่มิตร ๖ เจ้าเรือนร่วมพุธ ๔ คู่ธาตุ ๔ ๗ คู่สมพล ๗ ราชาโชค โยค หลัง ๕ อาทิตย์ ๑ อยู่เรือนพฤหัส ดวงเป็นครูอาจารย์คนได้ แต่ไม่ค่อยมีลูกศิษย์ที่ศรัทธาอาจารย์ มีเท่านั้น ๕ ในนวางค์ เป็นอุจ ถ้าจริง (ไม่ได้ตรวจ) ก็นับว่าพื้นฐานพฤหัสดีมีกำลัง นี่แหละครับเหตุผล ฟันธงได้

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ เอวิตรา (ความเห็นที่ 17)............ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนั้นใช้วิชาอะไร เพราะดูจากดวงที่บอกเวลาเกิดมานั้นก็ไม่เห็นมีอะไรที่ดวงถึงฆาต ยิ่งระยะใกล้ๆนี้ไม่มีแน่ คุณลองดูว่าพิมพ์ข้อมูลผิดไหม หรือว่าบอกอาจารย์ท่านนั้นผิดไหม ยิ่งบอกวันเกิดแบบผิดๆถูกๆแบบนี้ด้วย หรือ อาจารย์อาจจะเผลอดูผิดวันก็เป็นได้ ข้อเสียที่การมาถามดวงแบบนี้ก็คือ สอบดวงชะตาไม่ได้ และหากเป็นเรื่องสำคัญ ก็จะตรวจสอบอะไรไม่ได้ หากอาจารย์ที่ดู ได้เห็นเจ้าชะตาตัวจริงและได้คุยสอบถามก็จะดูได้ตรงมากกว่า โดยเฉพาะเวลาเกิดที่บอกมา ไม่เห็นมีอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว นอกจากจะได้มีปัญหาเรื่องสมบัติ และหน้าที่การงานจะอับเฉาลง ในช่วงปีเศษข้างหน้าไปแล้วจะเริ่มเห็น และก็ต้องระวังถูกเขาโกง หรือ ทำสัญญาซื้อบ้านเช่าบ้าน ก็ดูดีๆ ไม่ไปซื้อที่เขาถุกเวนคืน มีปัญหาหนี้สินค้างคาอยู่ หรือ เคยมีคนมาตายในบ้าน หรือ ที่ดินเราโดนเวนเสียเอง ช่วงอายุ 2 – 3 ปีนี้ หากแต่งงานก็ดูยังไม่ปลอดโปร่งเหมือนกัน และก็ไม่น่าไปฮันนีมูนที่ไหน หากให้แนะนำก็ลองเปลี่ยนอาจารย์ดูอีกที


วรกุล - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:59น. (IP: 203.107.204.26)

ความคิดเห็นที่ 19
กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะสำหรับคำตอบเรื่อง นิจฟื้น ในข้อ 14 หนูอ่านตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า แต่ไม่มีเวลาตอบขอบพระคุณเพราะต้องไปธุระ เสร็จธุระจึงไปร้านขายตำราโหราศาสตร์แถวเวิ้งนครเกษม ไม่ได้ไปแถวนั้นเกือบ 20 ปี งงอยู่นาน หนังสือตำราโหราศาสตร์ราคาแพงจังค่ะอาจารย์ แต่ก็ซื้อมาหลายเล่ม ถือกันไหล่เอียง ตอนซื้อก็ไม่ทราบว่าจะซื้อเล่มไหนดี เปิดอ่านลวกๆ แล้วก็ใช้วิธีดูว่าลูกค้าคนอื่นเขาหยิบเล่มไหน ก็หยิบตาม อาจารย์แนะนำตำราให้หนูบ้างได้ไหมคะ

หนูจะรออ่านเรื่องที่อาจารย์บอกจะเขียนใน คคห 14 ค่ะ จะได้เข้าใจเรื่องนิจฟื้นสักที คงเหมือนกับคุณแบงค์ เพราะเป็นนักศึกษาโหราศาสตร์หน้าใหม่เรียนเอง ก็มักจะเริ่มเรียนจากดวงตัวเอง พออ่านตำราเข้ากับดวงตัวเองแล้วมันไม่ตรง จึงสงสัยมาก จะโทษว่าตำราผิดก็ไม่อยากปักใจอย่างนั้น แต่ก็หาคำตอบไม่ได้เพราะไม่ทราบจะไปสอบถามแบบละเอียดจากใคร

ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ จะรออ่านสิ่งที่อาจารย์เขียนค่ะ ......ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


หนู กิ่ว - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:36น. (IP: 210.246.80.60)

ความคิดเห็นที่ 20
อยากจะเขียนถึงอาจารย์อีกนิดค่ะ เรื่องที่ว่าอ่านตำราแล้วดูกับดวงตัวเองแล้วมันไม่ตรงกับตัวเราโดยที่เราตอบตัวเองอย่างซื่อสัตย์ ไม่ได้โกหกหรือเข้าข้างตัวเอง เช่น ไปอ่านพบในตำราเล่มหนึ่ง เขียนว่า คนที่พุธอยู่ภพวินาสน์ ก็ปากปีจอ อ่านแล้วสะดุ้งโหย่ง หนูไม่ได้เป็นคนปากปีจอเลย ออกจะเป็นคนพูดน้อย พูดอะไรก็เกรงใจคน กลัวเขาจะโกรธด้วยซ้ำไป ไม่กล้าเถียงใครเลย ตรงกันข้ามเลย หนูพูดจาสุภาพ ไม่พูดหยาบคาย เขียนหนังสือเก่ง มือระดับรางวัลเสียด้วยซ้ำ ทำไมตำรามาว่าเราปากปีจอ อย่างนี้เป็นต้นน่ะค่ะอาจารย์ คือไม่อยากโทษว่าตำราผิด แต่คิดว่ามันคงมีอะไรที่ตำราบอกไม่หมด แล้วเราก็หาไม่เจอ

หนู(กิ่ว) (จากกระทู้เก่าของอาจารย์ กระทู้ที่ 22 คห 20, 26, 29 ...)


หนู - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:48น. (IP: 210.246.80.60)

ความคิดเห็นที่ 21
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าฝืนลิขิตของชะตาชีวิต

ขอบคุณครับ

ban


ban - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:45น. (IP: 203.146.252.106)

ความคิดเห็นที่ 22
เหอๆๆ ผมไม่ทราบจะแก้นิสัยแย่ๆที่ อจ บอกมายังไงดีด้วยครับ เรื่องขี้สงสัยนี่

ก็อยากรบกวน อจ อีกครั้งครับ อยากทราบว่า อจ เคยเขียน เรื่อง เกี่ยวกับพวกดาว คู่สมพลอะไรไหมครับ ผมจะกลับไปหาอ่าน เพราะ อจ เขียนไว้เยอะมาก บางเรื่องผมอ่านแล้วยิ่งไม่เข้าใจ ไม่ได้ขี้เกียจอ่านครับ แต่อ่านเยอะแล้ว งง ครับ ปะติดปะต่อไม่ถูก

ขอบคุณ อจ มากครับ


แบงค์ - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 11:20น. (IP: 124.121.6.32)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ดิฉันกราบขอบพระคุณในความเมตตาที่ท่านมีให้ค่ะ ดิฉันได้มีโอกาสฟังเสียงที่น้องสาวอัดไว้ในขณะดูดวง ก็ได้ยินอย่างที่น้องสาวเล่าให้ฟังว่า อาจารย์ท่านนั้นทักเรื่องแฟนจะอายุสั้นประมาณกลางปี 2551 จะเกิดอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่ท่านทายเหตุการณ์ในอดีต โดยส่วนใหญ่ก็ตรงตามความจริง ยิ่งเพิ่มความเชื่อถือขึ้นอีก บวกกับอาจารย์ท่านนั้นก็ไม่ได้เรียกร้องให้มีการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตากับท่าน แล้วก็เรียกร้องเงินทองอย่างที่หมอดูที่ไร้จรรยาบรรณบางท่านทำท่านแนะให้แต่ทำพิธีบวช เพื่อต่ออายุ แต่เจ้าตัวยังไม่สามารถทำได้เนื่องจากภาระหน้าที่ทางบ้านจากลักษณะที่น้องสาวเล่าว่ามีการสอบถามวันเดือนปีและเวลาเกิด จากนั้นก็วางตัวเลขแทนดาวลงในช่องต่าง ๆ ของวงกลม เป็นจำนวน 3 วง ดิฉันคิดว่าน่าจะเป็นลักษณะดวงอีแปะ ตรียางค์และนวางค์จักรฟังดูท่านก็แนะนำดีนะคะ ไม่มีลักษณะของพวกหลอกลวง ก็เลยยิ่งทำให้คนฟังใจผวา ดิฉันเห็นน้องสาวคุยกับแฟนก็ร้องไห้ ทำให้ใจไม่ดีไปด้วย แต่หลังจากที่อ่านคำทำนายของท่านแล้วใจชื้นขึ้นค่ะ ที่ท่านทำนายว่าจะมีปัญหาเรื่องหนี้สิน ดิฉันก็คิดว่าเป็นไปได้มากทีเดียว เพราะเค้าเป็นน้องชายคนเล็กที่ตอนนี้ต้องรับผิดชอบกิจการของบ้าน คุณพ่อเสียไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ส่วนพี่ชายคนโตที่เคยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงก็กลับเปลี่ยนแปลงเป็นคนเห็นแก่ได้ กอบโกยเงินทองของบ้านเข้าตัว แล้วก็เที่ยวสร้างหนี้สินให้น้องชายต้องรับใช้ และคาดว่านี่อาจจะเป็นสาเหตุของปัญหาที่กำลังจะเกิด

ดิฉันต้องกราบขอบพระคุณแทนเขาทั้งสองคนด้วยนะคะ คิดว่าสภาพจิตใจจะดีขึ้นแน่นอนหากท่านอาจารย์มีคำแนะนำเพิ่มเติม ดิฉันกราบขอด้วยนะคะ




เอวิตรา - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 14:40น. (IP: 58.136.203.219)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบคุณ หนู กิ่ว (ความเห็นที่ 20 21)............ตำราโหราศาสตร์ยังไม่น่าไปซื้อมาเยอะ ผมแนะนำตอนนี้ไม่ได้เพราะไม่ได้อ่านมานานแล้ว ที่เคยมีอยู่ก็ปลวกขึ้น น้ำท่วม ที่เหลือก็ยกให้เขาไปหมด ที่จริงคุยกันหลังไมค์ ซื้อพวกที่เขาลอกต่อกันมาก็ดีกว่าถูกสตางค์ดี แบบเทปผี ซีดี เถื่อน เพราะไปห้องสมุดก็เสียค่าแท้กซี่เท่ากัน จริงๆหนังสือพวกที่ลดราคา 50 – 60 % ที่ลอกเขามาก็ใช้ได้ เพราะโหราศาสตร์อยู่ที่ทำความเข้าใจ แปลตัวอักษรเป็นความคิดเป็นความรู้ ไม่ใช่ท่องจำเอา ลองเอามาถ่ายเอกสารเองก็พอได้ เพียงแต่อ่านแล้วต้องทำใจเพราะไม่มีใครบอกวิธีจริงๆ ขืนมีใครเขียนอะไรดีหน่อยก็จะมีคนลอกไปขาย ใส่ชื่อตัวเอง แต่อยากจะเตือนว่าอย่าไปเชื่ออาจารย์มากเกินไป เพราะบางเรื่องก็ไม่รู้พอกัน เหมือนคนตาถั่วจูงคนตาบอดนั่นแหละ อาจารย์เองก็ไม่กล้ารับศิษย์ เพราะกลัวมันขี่หัวกบาล เคล็ดวิชาที่ครูอาจารย์ให้มา ถูกแปลงสาร เอาไปหาประโยชน์แล้วก็เสื่อมใช้อะไรไม่ได้ เสียของไปเปล่าๆ น่าเสียดาย

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ban (ความเห็นที่ 22)............ไม่มีชะตาชีวิตลิขิตเราจริงๆหรอกครับ แต่เรานั่นเองเป็นผู้กระทำและสร้างตัวเราขึ้นมา เวลาชะตากรรมมันทำงาน ตัวเรานั่นเองก็ถูกเปลี่ยนให้เหมือนกับชะตากรรมนั้น เราก็จึงหลีกเลี่ยงไม่พ้น เหมือนชะตาเราจะเหยียบขี้หมา เราก็นึกอยากเดินออกไปเหยียบขี้หมาจนได้ คุณเคยเห็นช่างซ่อมทีวีไหม เวลาเขาซ่อมวิทยุทีวี เขาใช้มัลติมิเตอร์ วัดโวลท์ แอมป์ โอห์ม แต่หากมิเตอร์มันเสีย เสียเอง แล้วมันจะตรวจวัดตัวเองรู้เรื่องไหม ท่านพุทธทาสว่า เหมือนหมาเป็นแผลที่หาง วิ่งวนกัดหางตัวเองไม่ถึง เป็นทุกข์ทรมานอยู่จนกว่าจะตาย พระพุทธเจ้าท่านจึงล้ำเลิศ เพราะหาหนทางที่ทำให้อัตตารักษาโรคของอัตตาได้ ทรงตรัสรู้วิธีได้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีใครสอน นักปราชญ์แท้ๆทั้งหลายท่านจึงยกย่องพระพุทธเจ้ามาก ยกย่องจริงๆหาผู้ใดเทียบไม่ได้ ไม่เคยมีใครสอนเช่นนี้

พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ “เรา” หยุดนิ่ง มีสติ ทำสติ และสมาธิให้พอส่วนเหมาะสม แล้วใช้ปัญญา ให้เหมาะสม ไม่มากไปไม่น้อยไป มองเข้ามาที่ตัวตน ของตนเอง เมื่อเห็นตัวตนอัตตาของเรา พอมันไหวตัว เราก็รู้ รู้มากๆเข้า ตัวตนมันก็หลุดไปจากเราผู้ดู เราก็รู้ว่าตัวตนมันไม่ใช่เรา ตัวตนเมื่อไม่มีใครยึดไว้มันก็หายไป เมื่อตัวตนไม่ใช่เรา “เรา” นั้นก็ไม่มี เราก็เป็นอนัตตา อนัตตานี้จึงพ้นจากชะตาชีวิตและมัจจุราชได้ วิธีการอาจจะมีหลายอย่างแล้วแต่จริตนิสัย เช่น การเฝ้าดูจิต ดูอย่างเดียว อย่าลำเอียง อย่าทิ้ง อย่าขว้าง อย่าเน้น อย่าเผลอ พ้นทุกข์เมื่อไร ธรรมะ 84000 พระธรรมขันธ์ แม้ไม่ได้เรียน ก็เห็นหมดได้เอง

คำตอบคำถามของคุณที่ว่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่าฝืนลิขิตของชะตาชีวิต ก็เมื่อคุณมี “สัมมาสติ” คุณก็รู้ได้ และก็ฝืนได้ แต่ลิขิตตามใจไม่ได้ ธรรมชาติในตัวเรามันแรงกว่า

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 23)............เรื่องดาวคู่สมพลผมยังไม่ได้เขียนจริงจัง ยังมีเรื่องที่ต้องเขียนมาก ผมคงเขียนไม่ได้หมด ดังนั้น เรื่องบางเรื่องต้องให้หาอ่านจากที่อื่นไปก่อน แล้วมาปรับแก้ทีเดียว

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ เอวิตรา (ความเห็นที่ 24)............ยังไม่มีอะไรแนะนำเพิ่ม แต่อยากให้หาใครตรวจดวงชะตาละเอียดให้มากกว่า ดวงดูแล้วไม่เห็นมีอะไรแรงๆที่ตัวเจ้าชะตาให้น่าสังเกตเห็น นอกจากวันหลังก็อย่าไปคลุกคลีพวกหมอดู หมอผีบ่อยนัก ดวงชะตานี้ พวกไสยศาสตร์ทำอะไรแล้วเปิดรับง่ายด้วย มีจุดอ่อนอยู่บ้าง ไม่ค่อยปลอดภัยทางจิต และวิญญาณตนเอง อย่าไปรับเอาเทวรูป หรือรูปบูชาอะไรมาตั้งบูชา และแขวนคอ โดยไม่จำเป็น ช่วงมฤตยูจรอยู่ราศีกุมภ์ตอนนี้แล้วจะเข้าราศีมีนเรือนปัตนิ เสาร์จะทับศุกร์ด้วย ให้ฤกษ์แต่งงานยาก หมอดูต้องเก่งพอดู ไม่ใช่ดังอย่างเดียว


วรกุล - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:52น. (IP: 203.107.200.80)

ความคิดเห็นที่ 25
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ...ผมยังไม่ความสงสัยเรื่องตรีวัยดังต่อไปนี้ครับ หากวัยหนึ่งๆยาวนาน8ปี4เดือนหรือ9ปี หากเราจะพิจารณาช่วงวัยหนึ่งๆ โดยใช้ดวงนวางค์ร่วมกับดวงราศีจักร ผมมีความสงสัยว่า เราจะใช้ประโยชน์จากดวงนวางค์อย่างไร และจะแบ่งช่วงพยากรณ์อย่างไร ( ช่วงครึ่งวัยแรกพิจารณาจากดวงราศีจักร และช่วงครึ่งวัยหลังพิจารณาจากดวงนวางค์หรือไม่ ) และเมื่อเราพิจารณาวัยหนึ่งๆจากดวงนวางค์และราศีจักรแล้ว เรายังต้องใช้ดาวเจ้าวัยจร (ปีละ1ราศี) อีกหรือไม่ และหากใช้ดาวเจ้าวัยจรในราศีจักรปีละ1ราศีแล้ว เราก็ไม่จำเป็นต้องดูทางดาวจรร่วม(มหาทักษา)ใช่หรือไม่ครับ หรือพิจารณามหาทักษาร่วมกับตรีวัยโดยไม่ต้องใช้ดาวเจ้าวัยจรปีละราศีครับ


ศ.fa200 - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 07:41น. (IP: 124.157.229.168)

ความคิดเห็นที่ 26
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

หนูอ่านคำตอบของอาจารย์ทุกคำตอบแล้วสบายใจจังค่ะ ไม่เฉพาะที่ตอบให้หนู ที่อาจารย์ตอบให้คนอื่นๆ ก็เช่นกัน วันนี้อ่านที่อาจารย์ตอบคุณ ban แล้วเกิดความรู้สึกอย่างหนึ่ง แต่อธิบายเป็นตัวหนังสือไม่ถูกค่ะ บังเอิญเหลือเกินที่สิ่งที่อาจารย์ตอบคุณ ban นั้นหนูปฏิบัติอยู่ ปฏิบัติมาได้เกือบสองปีแล้วค่ะเพื่อบรรเทาทุกข์แห่งโรคให้แก่ตัวเอง แล้วมันก็ได้ผลค่ะ คือเป็นทุกข์น้อยลง เจ็บปวดทรมานน้อยลง หนูอยากเล่าน่ะค่ะอาจารย์ ขออนุญาตินะคะ

ปี 2548 หนูโชคไม่ดีมาก เกือบเสียชีวิตเสียแล้วจากโรคประหลาดโรคหนึ่ง แต่ยังรอดมาได้ เหตุอันนี้แหละค่ะที่ทำให้สนใจเรียนโหราศาสตร์ แต่เคราะห์ยังไม่หมด ในปีเดียวกันเกิดไปถอนฟันเข้าอีก ปรากฎว่ากระดูกเพดานแตก ยุ่งวุ่นวาย ต้องใส่ฟันปลอมแบบถาวร เรื่องยุ่งอีกคืออวัยวะภายในช่องปากไม่ยอมรับวัสดุแปลกปลอม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว ปัจจุบันระบบในช่องปากเล่นงานหนูแย่ ลิ้น เพดาน เหงือกร้อนผ่าวปวดแสบปวดร้อนตลอดเวลาเพราะมันต่อต้านวัสดุครอบฟัน

หนูไปอ่านพบหนังสือธรรมะเล่มหนึ่ง ท่านสอนให้เฝ้าดูจิต เหมือนอย่างที่อาจารย์ตอบคุณ ban เหมือนกันเปี๊ยบเลยค่ะหนูคงยังคงมีโชคดีอยู่ คือหนูทำได้ค่ะ !!! หนูทำได้จริงๆ เวลาที่อาการในช่องปากกำเริบหนัก หนูตั้งสติตัวเอง และเฝ้ามองจิตใจตัวเอง สักพักเดียวความรู้สึกเจ็บและร้อนทรมานนั้น หายไป...คือหนูยังทราบว่ายังเจ็บและปวดแสบปวดร้อนอยู่...แต่น่าประหลาดคือ มันไม่ทรมานค่ะ.... หนูคิดว่าน่าแปลกมาก มันอธิบายความรู้สึกตรงนั้นไม่ถูก ทราบแต่ว่ามันไม่ทรมาน และอยู่กับความเจ็บปวดนั้นได้

แต่ก็มีเหมือนกันที่ ถ้าวันไหน เวลาไหนที่หงุดหงิดมากๆ ก็ทำไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่จะทำได้ค่ะ ปีกว่าๆเกือบสองปีมานี้ จึงอยู่กับโรคได้ มันน่าแปลกนะคะอาจารย์ หนูคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่ปฏิบัติอย่างนั้นได้ หนูไม่ค่อยได้ไปวัดค่ะ หลายๆปีจะไปสักครั้งถ้ามีธุระ อ่านจากหนังสือเอาเองค่ะ ถ้าอาจารย์จะมีอะไรแนะนำหนูบ้าง จักเป็นพระคุณอย่างสูงค่ะ แต่ถ้าแนะนำให้ไปวัด คงลำบาก เพราะหนูค่อนข้างมีอุปสรรคในการเดินทาง หนูอยู่บ้านเก็บตัวเป็นส่วนใหญ่ค่ะ....ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


หนู - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 08:35น. (IP: 210.246.80.28)

ความคิดเห็นที่ 28
ขอบพระคุณค่ะที่ท่านกรุณาให้คำแนะนำ ดิฉันจะนำไปบอกน้องสาวกับแฟนเค้า จะได้ปฏิบัติตามค่ะ


เอวิตรา - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:44น. (IP: 58.136.203.182)

ความคิดเห็นที่ 29
ท่านอ.วรกุลครับ

ผมพึ่งศึกษาวิชาโหรมีปัญหาเรื่องการอ่านภพ ถ้าสมมุติว่าภพหนึ่ง ๆ มีความหมายได้ทั้ง สถานที่ เหตุการณ์ และตัวบุคคล เวลาเราทายเราจะทายออกไปในเรื่องใดถึงจะถูกครับ

หรือเราจะมีหลักเกณฑ์อะไรที่ตัดสินได้ว่า เราจะต้องแปลความหมายของภพที่เราจะอ่นเป็น บุคคล เหตุการณ หรือสถานที่ครับ

อยากกราบขอความกรุท่าน อ. กรุณาแนะนำแนวทางสักเล็กน้อยก็จะเป็นพระคุณอย่างสูงครับ

ด้วยความเคารพท่าน อ.วรกุลอย่างสูง

นิตย์ กลิ่นจันท์


นิตย์ กลิ่นจันท์ - 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 22:38น. (IP: 222.123.133.37)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 26)............แต่ก่อนตรีวัยใช้ในดวงราศีจักรครับ ไม่อยากแนะนำให้ใช้ในดวงนวางค์ที่มีคนเล่นกันอยู่ในทุกวันนี้ เพราะการเล่นดวงนวางค์ในจังหวะจรของตรีวัย ปกตินับดาวเข้านวางค์จรไม่ค่อยได้ผล เนื่องจากมีความคลาดเคลื่อนของจักรราศีของโลกเอง ส่วนมากจึงมักใช้ดาวในดวงนวางค์เดิม มาเพื่อสอบคุณภาพดาวในตรีวัย ดังนั้น การนับอายุจร หรือ เวลาตามวัย หากไปนับตามดวงนวางค์จรน่าจะคลาดเคลื่อนได้จนอาจจะจับเหตุการณ์ไม่ชัด ไม่ทราบว่าเขาแก้ไขกันอย่างไร

ส่วนการใช้วัยจร และมหาทักษา อยู่ที่ผู้นำมาประยุกต์ใช้ครับ เพราะเป็นวงรอบธรรมชาติคนละฐาน (ชนิด) ดังนั้น การใช้ก็ควรจะพิจารณาแยกกัน ทั้งวัยจร มหาทักษา และตรีวัย เนื่องจากเกิดจากคนละฐาน หากจะเอามารวมกัน ก็เป็นเรื่องที่ใช้ไม่เหมือนกัน แม้เอามาอธิบายได้ แต่การปฏิบัติอาจจะไม่ได้ผล เพราะตามหลักแล้ว การผสมผสานระหว่างวงรอบธรรมชาติ ต้องมีฐานวงรอบเท่ากัน หรือ ปรับให้เท่ากันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง มิฉะนั้น โอกาสที่จะพยากรณ์ได้ตรงเหตุการณ์จะยาก ดังนั้น ผู้ที่ใช้อยู่อย่างน้อยต้องตรวจอิทธิพลดาวแล้วใช้ดาวโคจรเป็นตัววัด คือ รูปธรรมที่ปรากฏ เท่าที่เคยเห็นก็เป็นแบบนี้

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ หนู กิ่ว (ความเห็นที่ 27)............ดีจริงครับที่คุณมีประสบการณ์เช่นนั้น แสดงว่ามีวาสนามาก่อน เพราะน้อยคนที่จะแยกจิตมาดูตัวเองแบบนั้นได้ การทำเช่นนี้จะเกิดได้เมื่อจิตมีกำลังและปัญญาเห็นกายและจิตตนเอง พร้อมที่จะละวางสังขาร ที่มีโรคภัยมาเบียนนั้นเป็นวิบากกรรมมาเช็คบัญชีรวบยอดส่งท้าย ก็คงจะหมดในชาตินี้แหละครับ

ผมเคยเขียนวิธีดูจิตที่ผมปฏิบัติเอง ไว้ในกระทู้ชุดนี้ ที่ 11 ลองอ่านตั้งแต่คำถามที่ 16 17 เป็นต้นไป คุณวัชระ ได้กรุณานำไปโพสต์ใน http://www.larndham.net หรือ เว็บลานธรรม ซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามธรรมะอยู่หลายสาย ที่จริงเว็บดูจิตโดยตรงก็มี เช่นที่ http://www.wimutti.net หรือ เว็บวิมุตติ ที่อื่นๆก็มีอีก แต่ผมไม่ค่อยได้ไปดูทุกเว็บ เพราะอยู่พ้นจากการศึกษาหาความรู้แล้ว เหลือเวลาอยู่น้อย ต้องปฏิบัติให้ได้มากที่สุด คุณมีวาสนาปฏิบัติธรรมได้ เชื่อว่าจะถูกกับจริตคุณ หากว่างจึงค่อยศึกษาโหราศาสตร์ แต่ต้องเตือนว่าโหราศาสตร์นั้นทำให้ใจว้าวุ่นได้มาก เมื่อเรายังเข้าไม่ถึง ดังนั้น จะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ เพราะสมองจะคอยคิดโหราศาสตร์อยู่บ่อยๆ ทำให้จิตถูกรบกวนได้

ผมเองไม่มีเวลาทำอย่างอื่นอีก เพราะได้ศึกษามาจนอายุมากเกินไปแล้ว ระลึกถึงคำเตือนของครูอาจารย์แล้วก็ต้องเร่งความเพียร ปกติผมเองก็ไม่ค่อยนั่งทำสมาธิในรูปแบบ แต่เฝ้าดูจิตและอารมณ์มาโดยตลอด และเพราะผลของสมาธิที่เกิดโดยวิธีนี้ก็ทำให้จิตมีกำลังปัญญามาก จิตรวมเข้าสมาธิเกิดได้ทุกที่ทั้งเวลาเดินและวิ่ง คนที่เฝ้าดูจิตได้ผล จัดเป็นพวกปัญญาวิมุตติ ต่างจากคนที่ทำสมาธิในรูปแบบได้ดี จะเป็นพวก เจโตวิมุตติ ก็ดีทั้งสองพวก พวกปัญญาวิมุตติจะขี้สงสัย จิตจึงไม่รวมลงง่ายๆ ดังนั้น จึงให้พิจารณาดูจิตตนเอง แบบหนามยอกเอาหนามบ่ง วันใดเข้าใจเห็นธรรม จิตจะประภัสสรเรืองแสงออกมาให้เจ้าของรู้เอง โลกจะสว่างขึ้น และเข้าใจอะไรกระจ่างแจ่มใส มีอยู่เป็นระยะๆให้รู้ว่าไม่หลงทาง คุณมีวาสนาก็ลองทำดูเถอะครับ อายุยังน้อยคงสำเร็จได้เร็ว


วรกุล - 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:03น. (IP: 203.107.201.5)

ความคิดเห็นที่ 31
ตอบคุณนิตย์ กลิ่นจันท์ (ความเห็นที่ 30)............ปกติจะใช้คำว่า “เรือน” ครับ เพราะ “ภพ” เกิดได้หลายทาง เรือนแต่ละเรือนที่มีความหมายหลายทาง ความจริงก็ใช้ความหมายได้ทุกอย่าง แต่การเกิดแต่ละความหมาย จะมีมากน้อยไม่เท่ากัน คนที่เพิ่งเริ่มเรียน ก็ต้องลองดูจาก เรือน ดาว และเกษตรราศี ประกอบกัน เช่นสมมุติเรือนเป็นกดุมภะสมบัติ ดาวเป็นอังคาร เราอาจจะชี้ได้ว่าเป็นสมบัติพวกเครื่องยนต์ หรือ รถยนต์ หากเป็นเสาร์ก็น่าจะเป็นที่ดิน หรือ กัมมะมาอยู่ในเรือนเกษตรพุธ อาชีพการงานก็ควรแปลเป็น ข่าวสาร หนังสือพิมพ์ การพูดเขียน อะไรเช่นนี้

ตัวเรือนเองไม่ได้ชี้ชัดได้อย่างเดียวว่าเป็นบุคคล เหตุการณ์ สถานที่ มันอยู่ที่เราตั้งประเด็นที่เป็นแก่นขึ้นมา เช่น ปุตตะ แปลว่า คนที่อ่อนวัยกว่า เด็กๆ หรือ เหตุการณ์ใหม่ๆ หรือ สถานที่ใหม่ๆ สถานบันเทิงเที่ยวเล่น ก็ได้ ดังนั้นก็ยังต้องใช้ทั้งดาวและเกษตรราศีประกอบกัน เช่น ดาวแต่ละดวงจะมีคุณสมบัติ “ที่มักเป็น” ของมันอยู่ เช่น อาทิตย์ จันทร์ มักจะหมายถึงเด็กๆ หรือ พฤหัส ก็จะเป็นพระ เป็นผู้ใหญ่ ราหูเป็นขี้เมา อะไรแบบนี้ เมื่อมาประกอบปุตตะ เราก็ต้องเลือกความหมายที่เป็นไปได้มากกว่า เช่น ๑ + ปุตตะ ทายเป็นบุคคลว่า เด็กๆ ๕ + ปุตตะ ก็ทายเหตุการณ์ว่าการพัฒนา (ไปสู่ความใหม่) ๘ + ปุตตะ ก็ทายเป็นสถานที่ ว่า สถานบันเทิงไนท์คลับ ก็ได้ การทายเช่นนี้จะใกล้เคียงมากกว่าทายไปเหมือนๆกันหมด คนที่ชำนาญแล้วยังเอาเรือนอื่นที่สัมพันธ์ถึงมาชี้ให้ชัดขึ้น เช่น เรือนกดุมภะ + ปัตนิ คือ เงินลงทุน เรือนกัมมะ + เสาร์ คือ โรงงานสถานประกอบการ ประมาณนี้ คือ ดูองคประกอบมากขึ้น และเมื่อมีประสบการณ์ก็อาจจะทายได้แม่นตรงเผงเลยทีเดียว

พึงเข้าใจว่า เมื่อดาวจรเปลี่ยนไป ความหมายก็เปลี่ยนได้ด้วย ดังนั้น ไม่ว่าเราแปลความหมายไปทางใด ก็มีโอกาสถูก เมื่อถึงเวลานั้น ไม่ใช่ถูกเวลานี้ ดังนั้น ผู้ที่เชี่ยวชาญก็จะอ่านได้ด้วยว่า ความหมายในเวลานี้คืออะไรแน่ ไม่ทายครอบจักรวาลไปหมด นอกจากนั้น สิ่งแวดล้อมการกระทำของเจ้าชะตาก็เป็นเงื่อนไขในการอ่านได้ด้วย เช่น สตรีกำลังตั้งครรภ์ท้องโย้มาปรึกษา เราก็รู้ว่าควรจะต้องอ่าน เจ้าชะตา + ปุตตะว่า มีบุตร ไม่ใช่แปลว่า เจ้าชะตาจะไปสถานบันเทิง นี่เป็นข้อมูลที่หากทราบก็จะแปลความได้แม่นตรงเหตุการณ์ อะไรประมาณนี้


วรกุล - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:42น. (IP: 203.107.200.73)

ความคิดเห็นที่ 32
กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงที่แนะนำ และจะนำไปปฏิบัติเสมอ จริงอย่างที่อาจารย์เตือนค่ะ คือพอมาสนใจโหราศาสตร์อย่างมากนี้ ก็เอาแต่อ่านตำราโหราศาสตร์จนตอนนี้ไม่เป็นอันทำอย่างอื่นเพราะอยากแต่จะหาคำตอบ ทำให้อ่านเรื่องอื่นๆที่เคยสนใจน้อยลงไปมาก มีเรื่องตลกคือ บางคืนนอนยังฝันเห็นรูปดวงที่ผูกขึ้น ลอยอยู่ในอากาศมีดาวลอยไปลอยมาเหมือนเป็นเอามากค่ะ

สำหรับหนู การปฏิบัติดูจิตไม่ง่ายเลยค่ะอาจารย์ ในระยะแรก ใจมันคอยคิดไปอย่างอื่น ตอนแรกหนูใช้วิธีเอาใจไปยึดจับกับอะไรอย่างหนึ่งก่อน หนูใช้วิธีที่ในหนังสือท่านเขียนไว้คือ ท่อง พุทธังสาระนังคะฉามิ ท่องในใจไปเรื่อยๆ และนึกถึงรูปขององค์พระพุทธเจ้า แรกๆก็จะมีรูปอื่นๆซ้อนเข้ามาอยู่เรื่อย มีเสียงอื่นแทรกเสียงตัวเอง ดึงใจตัวเองกลับมา เมื่อใจสงบลงบ้างก็คอยดูว่าใจมันจะคอยคิดไปเรื่องอะไรบ้าง รับรู้ว่าเราคิดออกนอกเรื่องไปอีกแล้ว แล้วดึงกลับมาที่รูปพระพุทธเจ้าที่อยู่ในใจอีก ทำอย่างนี้อยู่นาน จนกระทั่งวันหนึ่งใจมันสงบเอง มันหยุดคิดเรื่อยเปื่อยของมันเอง และก็รู้ด้วยว่า ในช่องปากที่เจ็บปวดแสบปวดร้อนอยู่นั้น ยังปวดอยู่ ลิ้นยังแสบร้อนอยู่ ฯลฯ แต่มันไม่ทรมานแล้วเพราะว่าลืมมันไปแล้วว่ามันทรมานเพราะมัวแต่ดูใจว่ามันจะคอยไปคิดเรื่องอะไร รู้แต่ว่ามันปวดร้อนแต่ไม่ทรมาน...น่าประหลาดนะคะอาจารย์ หนูคิดว่าท่านที่คิดวิธีนี้มาสอนช่างมีความคิดที่แยบลยล (คิดว่าคงจะเป็นองค์พระพุทธเจ้าที่สอน แล้วก็ถ่ายทอดกันมาใช่ไหมคะ) ในความรู้สึกบอกว่า หน้าผากมันกว้างออก...กว้างออก แขนขา เบา แล้วหนูก็รู้สึกว่าหนูก็อยู่กับความเจ็บปวดนั้นได้ไม่ทรมานอีกและทำกิจวัตรอย่างอื่นต่อได้โดยก็ยังอยู่กับความเจ็บปวดนั้น

หนูไม่ทราบมาก่อนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเรียกว่า "การแยกจิตมาดูตัวเอง" เพราะในหนังสือท่านบอกว่าเป็นการดูจิตเพื่อทำสมาธิอย่างหนึ่งเพื่อหันเหตัวเองออกจากอีกสิ่งหนึ่ง แต่ที่อาจารย์บอกว่า "...แยกจิตมาดูตัวเองแบบนั้นได้ การทำเช่นนี้จะเกิดได้เมื่อจิตมีกำลังและปัญญาเห็นกายและจิตตนเอง พร้อมที่จะละวางสังขาร..." หนูประทับใจมากเลยค่ะ อยากจะทำให้ถึงขึ้นนั้นได้จริงๆสักวันหนึ่ง กราบขอบพระคุณอาจารย์ที่สุดค่ะ .....ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

ป.ล. ภาษาของอาจารย์สวยมากเลยค่ะ ย่อหน้าสุดท้ายของ คห 31 เป็นภาษาที่สวยมากเลยค่ะ หนูอ่านธรรมะเอาเองและหนังสือที่หนูอ่านก็ไม่มีภาษาบาลี หนูเลยใช้ภาษาธรรมะไม่เป็น


หนู - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 09:46น. (IP: 222.76.215.173)

ความคิดเห็นที่ 33


กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ(อีกครั้ง)

หนูประทับใจในย่อหน้าสุดท้ายของ คห 31 มากจริงๆ นั่งอ่านอยู่หลายเที่ยวโดยเฉพาะ "จิตจะประภัสสรเรืองแสงออกมาให้เจ้าของรู้เอง" สงสัยจริงว่า "จิตจะประภัสสร" นั้นคืออะไร จะไปเปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตในห้องสมุดที่บ้านตัวเอง ปรากฎว่าหนังสือไม่อยู่ ลูกชายแบกไปโรงเรียน จึงไป search ที่ google จึงได้ว่า

"....จิตนี้มีธรรมชาติประภัสสร ประภัสสร แปลว่า สว่างไสวรุ่งเรือง ตามความหมายของคำนั้น; ไม่ใช่เป็นแสงตะเกียงอย่างนี้ดอก คำว่า ประภัสสร นั้นมันไม่รู้จะแปลเป็นไทยว่าอะไรแปลกันง่าย ๆ ไปทีก่อนก็ว่ามันเรืองแสง มันเรืองแสง : แต่ไม่ใช่แสงไฟ ไม่ใช่แสงตะเกียง. เช่นอย่างว่า เพชร, เพชรนี้มันมีน้ำเพชรแวววาวเรืองรัศมีของเพชร ลักษณะนั้นน่ะเรียกว่าประภัสสร; หรือว่าท่านยกตัวอย่างไว้ว่าเหล็กโลหะที่เขาเอามาเผาไฟ เอามาเผาไฟ เหล็กก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเพราะร้อน, เติมไฟให้แรงเข้าอีก เหล็กก็เปลี่ยนเป็นสีเหลือง, แล้วเติมไฟให้แรงเข้าไปอีกเหล็กก็กลายเป็นสีขาว, เติมไฟเข้าไปอีก ก็จะมีลักษณะที่เรียกว่า ประภัสสร เหล็กที่เผาจนมีแสงชนิดนั้นมีรัศมีชนิดนั้น.

นี่ธรรมชาติของจิตนั้นมันมีความเป็นประภัสสร คือเรืองแสงหรือเรืองรัศมี, แล้วเศร้าหมองมืดมัวเพราะกิเลสเข้ามาครอบงำ; พอกิเลสออกไปก็ประภัสสรตามเดิม. ฉะนั้น จิตของเรานี้มันก็แจ่มใสประภัสสรเรืองแสง จนกว่าจะเกิดกิเลส; เกิดกิเลสเสร็จ เสร็จแล้วมันก็กลับประภัสสรอีก, กิเลสมาอีกก็ไม่ประภัสสรอีก กิเลสดับไปก็ประภัสสรอีก. นี้คือธรรมชาติของจิต. ตัวจริงนั้นเป็นประภัสสรแต่แล้วไม่ประภัสสร เพราะกิเลสเข้ามา.

และหนูก็ตามไปอ่านกระทู้ที่ 11 ของอาจารย์แล้วค่ะ


หนู - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 11:55น. (IP: 202.175.95.171)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ เรื่อง”กาลจักร&ลัคน์จร” ผมมีความสงสัยเรื่องกาลจักร-ลัคน์จร ดังต่อไปนี้รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายไขข้อสงสัยและปรับทัศนะให้ถูกต้องด้วยครับ ลัคน์จร เกิดจากวงรอบธรรมชาติชนิดใด และทำไมถึงมี4เกณฑ์(มูลเกณฑ์อายุจรครบรอบ12ราศี)ที่ต่างกันไป คือ มูลเกณฑ์ราศีปัสสวะ 44ปี , มูลเกณฑ์ราศีนะระ 68ปี , มูลเกณฑ์ราศีอำภุ 56 ปี , มูลเกณฑ์ราศีกิตะ 80 ปี. เกณฑ์แต่ละเกณฑ์นี้เกิดจากวงรอบธรรมชาติที่ต่างกันอย่างไร ตามที่ผมเข้าใจการเคลื่อนของปัจจัยเดิม (การเคลื่อนที่ของจุดเจ้าชะตา)ของเราทุกคน(ทุกราศีเกิด) น่าจะใช้อัตราการเคลื่อนที่หรือวงรอบเดียวกันที่แน่นอนอันหนึ่ง แต่ทำไม กาลจักร ลัคน์จรถึงมี4เกณฑ์(4วงรอบ) และ ยิ่งหากนำไปเทียบกับวงรอบของชันษาจร(1วงรอบประมาณ12ปี)ด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้เกิดความสงสัยว่าการเคลื่อนที่ของจุดเจ้าชะตา ควรจะใช้วงรอบของอะไร , รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ. และยังอีกเรื่องครับ คือ เรื่อง “กาลจักร” (เรื่องดาวเคราะห์ในพื้นดวงกำเนิดจรไปตามอายุ หรือ จักรจร ). กาลจักร เป็นวงรอบสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปใช่หรือไม่ครับ. การคำนวนหา กาลจักรจร นั้นควรจะเป็นอย่างไรครับ ระหว่าง a เมื่อลัคน์กำเนิดสถิตอยู่ในเกณฑ์ราศีใดก็จะคำนวนหาพระเคราะห์จรตามเกณฑ์เลขของลัคน์ เช่นลัคน์อยู่ราศีปัสสวะ ดาวเคราะห์ทุกดวงในดวงชะตาก็จะจรเคลื่อนไปตามเกณฑ์เลขปัสสวะ หรือ b ดาวเคราะห์อยู่ในเกณฑ์ราศีใด ก็เอามูลเกณฑ์เลขของราศีนั้น เช่นลัคน์กำเนิดอยู่ราศีปัสสวะ แต่ดาวศุกร์และราหูอยู่ราศีเกณฑ์นะนะ,ดาวศุกร์และราหูจะจรไปตามเกณฑ์เลขของนะระ รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะเรื่องกาลจักรและ ลัคน์จรให้ถูกต้องด้วยครับ.


ศ.fa200 - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 12:43น. (IP: 124.157.228.8)

ความคิดเห็นที่ 36
ตอบคุณ หนู (ความเห็นที่ 33 34)............อ่านแล้วรู้สึกเห็นใจคุณ เรื่องความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ ที่จริงโหราศาสตร์นั้นไม่ง่ายเลย หากจะเรียนเองโดยไม่มีอาจารย์ ส่วนมากแล้วจะเรียนพอจับทางได้แล้วจึงมาจับสังเกตเอง ช่วยดูดวงให้คนอื่นบ้างพอชำนาญขึ้น จึงตอบปัญหาได้บ้าง หากเรียนใหม่ๆ ไม่มีตัวช่วย คิดๆไปจะเปลืองเวลาไปเปล่าๆ เพราะเหมือนกับงมเข็มในทะเลจริงๆ และทำให้ใจว้าวุ่นด้วย

การปฏิบัติธรรม ฝึกจิตก็คล้ายกัน การเรียนโดยไม่มีผู้แนะนำ เราจะต้องมีสติปัญญาสูงพอ เป็นครูของตัวเองได้ ซึ่งทำให้เนิ่นช้าออกไป การฝึกอบรมจิตเป็นบุญ แต่หากฝึกผิดทางอาจจะทำให้เครียด พอล้มเหลวก็หมดกำลังใจได้ง่าย ผมผ่านมาแทบทุกอย่างแล้ว เพราะต้องการทดลองดู เหมือนกับเดินผ่านทะเลทรายมาเกือบตาย พอรอดชีวิตมาได้ มาเห็นคนที่ทำท่าทะมัดทะแมงเหมือนคุณ กำลังตั้งใจจะออกเดิน ก็รู้สึกห่วงใยจริงๆ ดังนั้น จึงอยากจะแนะนำว่า ควรจะหาอาจารย์สอนสักหน่อย แม้จะหาไม่เจอเดี๋ยวนี้ แต่ก็ลองหาไป พระที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมีมาก และบางท่านก็มีความชำนาญในการแก้ปัญหาเก่ง หากเราลองดู ถ้าถูกจริตก้าวหน้า ก็ฝึกต่อไป แต่หากไม่ก้าวหน้า ก็อาจจะมีผู้แนะนำให้ใหม่ ปกติคนที่ตั้งใจปฏิบัติ จิตจะถึงกันกับครูบาอาจารย์ ท่านจะมาหาเราเอง หรือ พาเราไปหาท่านก็ได้ แม้ปฏิบัติไม่สำเร็จ แต่จะทำให้เรารู้แนวทางตนเอง อาจจะจับนิสัยตนเองได้

ผมเข้าใจว่า คุณไม่มีเวลาพอ แต่การอ่านหาความรู้ก็ดี ในเวลาปกติหากทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ดำรงสติอยุ่ เสมอ ก็จะเป็นบาทฐานสำคัญในการปฏิบัติธรรมทุกวิธี โหราศาสตร์นั้นช่างมันเถิด ในที่สูงสุดนั้น คนส่วนมากคิดว่ามันเป็นที่สถิตของเพชรมณีที่ล้ำค่า น่าแสวงหา แต่ถ้าได้รับรู้แล้วจริงๆ เราจะมองเห็นมันเป็นเพียงธรรมชาติที่ปรุงแต่งไปเท่านั้น หากใช้เวลาปฏิบัติธรรมแล้วว่างหน่อยค่อยเรียนก็จะดีกว่า อย่าไปคร่ำเคร่ง

“จิต” นั้น เป็นธาตุพิเศษของจักรวาล เป็น “ธาตุรู้” มีคุณสมบัติที่ “รู้ได้ทุกสิ่ง” รู้ด้วยตนเองก็ได้ เรียกว่า “ตรัสรู้” จิตไม่มีสี ไม่มีลักษณะที่เห็นได้ แต่มีความประภัสสร ประภัสสร ไม่ใช่ความเรืองแสง เมื่อจิตประภัสสรนั้น จะเป็นแสงนิ่มนวลมาก สว่างมาก แต่ไม่ใช่สว่างจ้า ไม่มีอะไรมาบรรยายได้ นอกจากเห็นเอง อันที่จริงไม่มีกิเลสใดมากลบแสงประภัสสรของจิตได้ เป็นเพียงแต่ กิเลสนั้นบังจิต อยู่ เมื่อปัญญาเห็นจิตละวางตัวตนสักหน่อยหนึ่ง เมื่อจิตรวมลงเป็นสมาธิ เราก็จะเห็นแสงประภัสสรของจิตได้ด้วยตัวเราเอง

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 35)............ที่ถามว่า ทำไม กาลจักร ลัคน์จรถึงมี 4 เกณฑ์ (4วงรอบ) ตัวเลขนั้นมาจากอัตราโคจรของดาวฆาตราศี คือ พฤหัส เสาร์ ราหู อังคาร นั่นเอง แต่เทียบกันไม่ได้ นั่นเป็นเพราะประเภทของราศี ปัสสวะ นระ กีฏะ อำพุ นั้น ไม่ได้อยู่ในจักรวาลเดียวกัน พูดแบบนี้อาจจะแปลกใจ แต่หมายถึง แต่ละประเภทราศีและดาวฆาตราศี จะมีจักรราศีเฉพาะเป็นของตน เรียกว่า กาลจักร หรือ จักรราศีของดาว ที่เราเห็นเป็น จักรราศี หรือ ดวงชะตาเดียวกัน ในดวงชะตาทุกวันนี้ เป็นเพียงภาพรวมในดวงชะตา ดังนั้นอัตราเคลื่อนจึงไม่ใช้อัตราเดียวกัน ต่างจากชันษาจร หรือ ลัคน์จร ที่ใช้กันทั่วไป ซึ่งเคลื่อนตามจักรราศีสุริยาตร ที่เกิดจากอาทิตย์และโลก หรือ ภาษาเก่าเรียกว่า สุริยจักร ซึ่งก็เป็นกาลจักรของอาทิตย์นั่นเอง ดังนั้น จึงเป็นคนละวงรอบ เรื่องจักรราศียังมีอีกมากมายครับ แต่ไม่กล้าเขียน เพราะทำเขียนยาก ความเข้าใจยาก เขียนแล้วไม่อธิบายก็จะถูกมองไม่ดี ยังมีอะไรที่ควรเขียนมากกว่า

ส่วนดาวจรใน กาลจักร นั้น ก็มีทั้งสองอย่าง คือ หนึ่ง จรตามประเภทของราศี ซึ่งดาวอยู่ มีอัตราจรพิเศษ หรือ สอง จรตามอัตราของประเภทราศีที่ลัคนา สถิต ไม่ได้มีอะไรถูกผิดกว่ากัน การจรประเภทหนึ่ง เป็นการพิจารณาปัจจัยจร(ดาว)ที่มีผลต่อดาวเดิมใน ราศี ในกาลจักร ประเภทที่ดาวอยู่ (เช่น ๔ จร ต่อ ๔ เดิมในราศีอำพุ) แต่ประเภทสองพิจารณาปัจจัย เป็นผลต่อลัคนา ในกาลจักรที่ลัคนาเดิมอยู่ (เช่น ลัคนาเดิมอยู่ราศีนระ) ซึ่งรวมสิ่งแวดล้อมด้วย ถูกแล้ว แต่การที่จะดูแต่ละประเภทอย่างใด ต้องไปเรียนในวิชา กาลจักร -ลัคน์จร ซึ่งยึดยาวกว่านี้มากครับ เป็นวิชาใหญ่ในสำนักใหญ่ระดับมหาวิทยาลัยได้เลย ที่มีเผยแพร่กันอยู่ทุกวันนี้เป็นเพียงขั้นประถม ผมคงไม่มีโอกาสเขียนให้ เพราะลำพังเขียนถึงสุริยจักร ก็อธิบายยากแล้ว และส่วนใหญ่ที่เห็นใช้กัน ก็คือ ลัคน์จร หรือ ชันษาจรตามจักรราศีสุริยาตร ก็เพียงพอแล้ว ส่วนกาลจักร ลัคน์จร มักใช้กับฤกษ์ และอินทภาส – บาทจันทร์ ทั้งการคำนวณดวงบ้านเมือง สถานที่ อะไรแบบนั้น หากดูดวงบุคคล ต้องศึกษาเอาจากวิชาโดยตรงครับ ตีความยาก

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ขออนุโมทนา ที่คุณ “มือใหม่ทักษา” เข้าอุปสมบท ด้วยครับ ขอให้ได้เห็นธรรม และเจริญในธรรมสมบัติ เป็นบุญกุศลส่งให้ได้บรรลุพระนิพพานในชาติอันใกล้ จิตกระจ่างสว่างแจ่มใส พ้นจากสิ่งเศร้าหมองอุปกิเลสทั้งปวงด้วย


วรกุล - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:12น. (IP: 203.107.194.27)

ความคิดเห็นที่ 38
กราบเรียน อ วรกุล อย่างสูง

ดิฉันได้มีโอกาสได้รู้จักเว็บนี้จากเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่ง อ่านแล้วได้ความรู้เพิ่มและหลากหลาย ไขข้อข้องใจต่างๆ ดิฉันสนใจวิชานี้เพราะสาเหตุมาจากชีวิตตัวเองล้มเหลว อายุปาเข้าไปตั้ง 41ย่าง ยังตั้งตัวไม่ได้ จะว่าไปแล้วการงาน หรือชีวิตส่วนตัว ครอบครัว คู่ครอง ไม่สมหวังแม้แต่เรื่องเดียว ซึ่งต่างจากคนอื่นทั่วไป หรือเพื่อนฝูง เรียนมาด้วยกัน พวกเขาต่างประสบความสำเร็จมีชีวิต ค่อนข้างสมบูรณ์ แม้จะไม่ร่ำรวยหรือ สมบูรณแบบ อย่างที่พวกเขาต้องการ แต่พวกเขาต่างอบอุ่นพร้อมหน้าตา พ่อ แม่ลูก หรือล้อมรอบไปด้วยคนรอบข้าง

ดิฉันอยากเรียนรบกวนสอบถาม ท่าน อ วรกุลค่ะว่า แม้จะเรียนแล้ว ยังไม่ได้คำตอบตามที่เราอยากจะรู้จริงว่า เป็นเพราะเหตุอันใด

ดิฉัน เกิด 24 พย 2509 เวลา 1500จ น่าน ดิฉันไปเรียนผูกดวงแบบพื้นฐาน ผูกแบบสุริยาร์ต ตัดเวลท้องถิ่น

ลัคนาอยู่ราศีเมษ มีราหูกุมลัคนา

ดิฉันได้ประมวลว่า จากชีวิตตัวเองตั้งแต่เด็กที่จะต้องพบความไม่ราบรื่น ไม่ว่าจะเรืองใดๆก็ตามนั้น

เป็นเพราะ อังคาร ที่เป็นตนุลัคน์ อยู่ภพอริ และได้ตำแหน่ง มหาจักร์ นั้นจริงมากน้อยแค่ไหน จากเหตุการณ์จริง ไม่ว่าดิฉันจะทำอะไร จะยากเย็น จะต้องมีอุปสรรค มาขวางกั้นตลอดเวลา และต้องการสิ่งใด จะต้องดิ้นรนด้วยตนเอง แม้กระทั่งเรื่องเรียนหนังสือ การทำงาน การงานไม่รุ่งเรือง ตามวัยทั่วไปเขาเริ่มต้นชีวิตกัน และท้ายที่สุด จากที่ดิ้นๆๆสุดๆ มาเรียนจบ ป ตรี เมื่อตอนอายุ 30 แล้ว ไม่ทันเพื่อนๆ จนกระทั่ง ต้องเจอมรสุม ตกงาน เมื่อ กลางๆปี 45 จนเดี๋ยวนี้ทุกอย่าง ที่เคยคิดและวางแผนไว้ พังลงไปในพริบตา ประคองตัวมาเรือ่ยๆ ได้งาน ตกงาน งานไม่มั่นคงบ้าง จนบัดนี้ งานสุดท้าย มีหตุต้องลาออก เพราะรับบางอย่างจากเจ้านายไม่ได้ ตกงานเข้าเดือนที่ 4 กำลังหางาน ก็ยังไม่ได้ มีเรียกคุยหลายที่ก็ต้องรับประทานแห้ว

เคยคิดนะคะว่า คงจะต้องตกระกำลำบากตอนอายุมากหรือไม่นะ นั่นเป็ฯเพราะ อังคาร ตนุลัคน์ของเรา หรือ เสาร์ ที่เป็ฯกาลีในทักษา ตามที่ในตำราบอก หรือหลายๆท่านเข้าใจ

และที่สงสัยเป็ฯอย่างยิ่งค่ะว่า ในดวงนั้น มี ดาวประจำครบทุกสี่มุม แต่หากว่า มี เกตุ และ ราหู ไม่ใช่ดาว ตอนที่ได้งานไปต่างประเทศ กลางๆปี 45 ทำได้สักพัก โดยที่เขาไม่ได้แจ้งล่วงหน้า ดิฉันก็ไม่ได้ตั้งตัว รับ อยู่ๆเขามาบอกว่า ต้องกลับเมืองไทย เรียนกตรงๆว่า ช๊อค ที่พูดอะไรไม่ออก ทานอะไรไม่ได้เป็นอาทิตย์ๆ ทุกอย่างที่วางแผนไว้ พังหมด โชคดีมากที่ค่าใช้จ่าย บริษัทฯ เป็นผู้ออกให้หมด

ภาระที่เคยผ่อนบ้าน ต้องหยุด ต้องประคองมาเรื่อยๆ

แม้กระทั่งคู่ครอง เป็ฯเพราะพุธนั้นถูกราหูเล็ง และเป็นเจ้าเรือน อริ อีกทั้ง ศุกร์นั้น เป็นประ ทำให้ต้องพบเจอในสิ่งที่ไม่ต้องการ ไม่ได้ดังใจ พึ่งพาใครก็ไม่ได้ แม้กระทั่ง ญาติพี่ น้อง เอง

ก็เพราะพุธ เป็ฯเจ้าเรือน อริ และสหัชชะ และยังถูกราหูเล็ง

อย่างนั้นหรือไม่คะ ดูเหมือนว่าในดวงนั้น ไม่ได้มีอะไรดีสักอย่าง ต้องระเหเร่ร่อน ในบางครั้ง ยังสงสัยตัวเองว่า จะตั้งตัวได้ไหม จากนี้ไป

เรื่องที่อยู่อาศัย ของตัวเอง พันธุ เป็นดาว พฤหัส เป็นอุจน์ ก็จริง แต่ ดาวพฤหัส ก็เป็นเจ้าเรือน วินาศ และศุภะ และยังทำมุมร่วมธาตุด้วย พันธุ-วินาศ พันธุ- มรณะ เกรงว่า ตัวเองจะต้องไร้ที่อยู่อาศัย ตอนบั้นปลาย หรือเปล่า (พันธุ วินาศ มรณะ)

รบกวน อ วรกุล ช่วยอธิบาย

ขอบพระคุณอย่างสูง


ผู้ด้อยโอกาส - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 13:49น. (IP: 203.144.187.18)

ความคิดเห็นที่ 39
ขอบพระคุณมากครับท่าน อ. จะน้อมรับไว้ศึกษาต่อไปครับ

เคารพอย่างสูง

นิตย์ กลิ่นจันท์


นิตย์ กลิ่นจันท์ - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 13:59น. (IP: 222.123.30.226)

ความคิดเห็นที่ 40
อจ วรกุลครับ ไม่ทราบบ อจ ได้ศึกษาเรื่องนพลักษณ์ ( enneagram ) ด้วยรึเปล่าครับ


แบงค์ - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 01:29น. (IP: 124.121.1.45)

ความคิดเห็นที่ 41
ตอบคุณ ผู้ด้อยโอกาส (ความเห็นที่ 39)............กระทู้นี้ไม่ได้รับพยากรณ์หรือวิเคราะห์ดวงชะตาให้หรอกครับ ถ้าจะถามปัญหาโหราศาสตร์ ก็ขอให้เป็นประเด็นคำถาม คนที่ ตนุไปอยู่อริ มักจะทำตนเป็นอุปสรรคแก่ชีวิตตนเองด้วยเสมอ นอกจากชะตาที่ต้องลำบากต่อสู้ด้วยแล้ว จึงมักเป็นเหตุให้ชีวิตไม่ประสบความสำเร็จด้วย ดวงคุณมักจะมีปัญหาอุปสรรคบ่อย และการงานก็ไม่ค่อยมั่นคง แต่ตอนนี้ไปอีก 5 ปีก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ มีความก้าวหน้า จะตั้งหลักฐานได้โดยอาจจะไปอยู่ในถิ่นไกลหรือต่างประเทศ ก็นับว่าเอาตัวรอดได้ดี เพียงแต่ต้องสะสมเอาไว้ไม่ประมาท ให้เหลือเพียงพอในวัยชราอายุมากบ้าง หากใช้มือเติบ หรือ ทางที่เสี่ยงเกินไป ก็อาจจะล้มเหลวอีกครั้งในตอนนั้น ซึ่งโอกาสที่กู้กลับคืนจะไม่มีอีก ขอตอบเพียงเท่านี้ เท่าที่เห็นสมควรนะครับ ไม่อยากพยากรณ์ในกระทู้นี้

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 41)............ไม่ได้ศึกษาครับ


วรกุล - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.193.158)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียนถาม อจ วรกุลครับ

ผมไปอ่าน กระทู้เก่าๆของ อจ ศุภกรมาครับ บังเอิญเจอเรื่อง น่าสนใจ เรื่องเกี่ยวกับ"องค์รักษา" ครับ อจ ศุภกรเค้าอธิบายว่า เกี่ยวข้องกับ ไสยศาสตร์คืออะไรเหรอครับ "องค์รักษา" นี่ มีจริงเหรอครับ เคยได้ยินมาแต่นึกว่าเป็นเรื่องไม่จริง แต่พออ่านที่ อจ ศุภกรเค้าอธิบายแล้ว รู้สึกเหมือนกับว่า เป็นเรื่องปกติเลยครับ

อจ วรกุล ช่วยเล่าคร่าวๆให้ฟังหน่อยได้มั้ยครับ ถ้ามีจริง แล้วเราสามารถรู้ได้จากทางโหราศาสตร์หรือเปล่าเหรอครับ


แบงค์ - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 12:07น. (IP: 124.121.7.222)

ความคิดเห็นที่ 43
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 43)............ไม่ทราบข้อความอยู่ตรงไหน น่าจะหมายถึง “องค์ใน” ก็มีจริง เป็นได้ทั้งองค์ในของตัวเราเอง เกิดจากบุญบารมี และคุณธรรมของ “เทวดา” รักษา ทางโหราศาสตร์พอแสดงออกดูได้เป็นบางคน ไม่ใช่ทุกคน แต่ต้องสอบถามเรื่องส่วนตัวของเจ้าชะตาด้วย


วรกุล - 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.201.104)

ความคิดเห็นที่ 44
ในแง่มุมทางวิทยาศาสตร์ เรามักจำแนกคุณสมบัติของสาร หรือ ธาตุออกเป็นสองอย่างคือ คุณสมบัติทางเคมี กับคุณสมบัติทางกายภาพ เพราะเราเคยเข้าใจว่าคุณสมบัติทั้งสองนั้นแตกต่างกัน แต่ภายหลังเราทราบความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว คุณสมบัติทั้งสองเกิดจากต้นตอสิ่งเดียวกัน คือ โครงสร้างของอะตอม และอนุภาคในอะตอมนั่นเอง สิ่งที่เป็นมรดกทางวิทยาศาสตร์ และเรายังใช้กันอยู่ในปัจจุบัน เช่น กฎ สูตร และสมการทางเคมี ซึ่งเดิมเกิดจากการพัฒนามาจากความไม่รู้ แล้วสมมุติขึ้น ผู้รู้รุ่นหลังๆ ต่างก็พัฒนาเรื่องสมมุตินี้จนซับซ้อนกว้างไกลออกไปตามการค้นคว้าและข้อเท็จจริงที่พบเพิ่มเติมในธรรมชาติ แม้ในปัจจุบันเราทราบความจริงมากขึ้นแล้ว สิ่งสมมุติต่างๆในวิชาเคมีก็ยังคงถูกรักษาไว้และใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากเรายังสามารถใช้กฏเกณฑ์เหล่านั้นพยากรณ์สิ่งที่ปรากฏขึ้นจริงตามธรรมชาติได้เป็นอย่างดี เป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อพัฒนาการความรู้ในโลก

ในย่อหน้าที่ผ่านมานั้นพยายามที่จะบอกว่า โลกวิทยาศาสตร์เอง เมื่อเรายังไม่ทราบอะไร หรือ ทราบเพียงบางส่วน เราก็ยังคงต้องใช้สิ่งสมมุติอยู่ แม้ในสมการคณิตศาสตร์เราก็ยังสมมุติ unknown ว่าเป็น x y หรือ z เป็นการชั่วคราว สิ่งสมมุติที่เป็นกลไกซับซ้อนหน่อย ซึ่งสามารถทำนายผลลัพธ์จากสิ่งที่เป็นข้อมูลหลายๆอย่างได้เช่น ตัวแบบ หรือ โมเดล (model) สมการเคมี หรือ กฎสูตรทางวิทยาศาสตร์ ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติชนิดหนึ่งตามแบบของมัน ในทุกวิชาจึงมีสูตรอยู่หลายแบบ เป็นต้นว่า สูตรทางชีววิทยา คณิตศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมือง แม้ว่า สูตรสมการเหล่านั้นจะเป็นเพียงสิ่งสมมุติบัญญัติในวิชาเฉพาะของตนเท่านั้น และปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ก็ยังคงใช้สิ่งสมมุติในสิ่งที่ไม่รู้อยู่มากมาย เพื่อใช้เป็นฐาน หรือเรียกว่า “สมมุติฐาน” ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ใช้เพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง และอาจจะล้มเลิกไปเมื่อไรก็ได้ หากเรามีความรู้ข้อเท็จจริงที่ดีกว่า

ดวงชะตาในโหราศาสตร์ก็เป็นเพียงสิ่งสมมุติ หรือ เรียกว่า “บัญญัติ” ในขณะที่คนบางกลุ่มมักจะตั้งข้อสังเกตปฏิทินโน้น ปฏิทินนี้ ว่าไม่ตรงกับ “ความเป็นจริง” ในท้องฟ้า ทำให้ดาวที่อยู่ในดวงชะตาไม่ถูกต้อง โดยขณะที่กำลังพูดเช่นนี้อยู่ เขาก็กำลังลืมไปว่า ดวงชะตาที่กำลังพูดถึงนั้นเป็น “สิ่งสมมุติ” ไม่ใช่ “ความเป็นจริง” ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่มีดาวหรือ ดาวเคราะห์ดวงไหนมาอยู่ในดวงของเราทั้งนั้น ดาวทับกันก็เป็นไปไม่ได้ ขณะที่อ่านจากดวงดาวสมมุตินี้ เราก็ยังใช้กฎเกณฑ์สมมุติ ไม่ว่าจะเป็นเรือน เป็นเกษตร เป็นมุม หรือ ความหมายของดาวที่เป็นเรื่องสมมุติ ในจักรราศีซึ่งก็เป็นเรื่องสมมุติ อะไรๆก็เป็นสิ่งสมมุติขึ้นทั้งนั้น หากสมมุตินั้นมาจากคนละแนวคิด ก็ย่อมที่จะไม่ตรงกันได้ ดังนั้น จึงไม่น่าที่จะสรุปว่า สิ่งนั้นสิ่งนี้ไม่ตรงหรือ ตรงกับ “ความเป็นจริง” เพียงเพราะหากมีใครจะสมมุติไม่ตรงกับเรา

ยกตัวอย่างเช่น สิ่งสมมุติที่สำคัญและเราใช้บ่อยก็คือ ดาวในดวงชะตา ดาวเป็นสิ่งสมมุติ บางคนอาจจะถือว่าเป็นดวงดาว แต่โหราศาสตร์ตะวันออกบางระบบถือเป็นธาตุชนิดหนึ่ง บางวิชาสมมุติรายละเอียดของธาตุดาว เพื่อให้สามารถจัดการและพัฒนาความรู้จากมันได้ โดยวางหลักเกณฑ์ขึ้น เราเรียกว่า “บัญญัติ” และเพราะบัญญัติเหล่านี้เองที่ทำให้ต่างคนต่างสามารถพัฒนาวิชาขึ้นได้ในแนวทางของตนเอง การที่เราบัญญัติสิ่งใดในวิชาหนึ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องตรงกับวิชาอื่น โหราศาสตร์ไทยอาจจะบัญญัติว่า 1 + 2 = 9 หรือ 3 + 7 = 4 แต่ตราบใดที่โหราศาสตร์ไทยนำบัญญัตินี้ไปใช้ได้ผล สามารถทำความเข้าใจธรรมชาติและชีวิตได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เนื่องจากเราไม่ได้บัญญัติขึ้นเพื่อใช้ในทางคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ หรือ ฟิสิกส์ ดังนั้น การที่คนบางกลุ่มมาชี้ว่าบัญญัติของใครที่ไม่ตรงกับของตนเอง หรือ ไม่ตรงกับดาราศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ แล้วถือเป็นสิ่งที่ผิด จึงเป็นเรื่องเหลวไหลไร้เหตุผล โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์เองก็ยังใช้สมการเคมีที่เป็น “สมมุติบัญญัติ” อยู่ในทุกวันนี้เช่นกัน

ดวงชะตาในโหราศาสตร์เป็นเพียงสิ่งสมมุติที่มีการกำหนดรูปแบบธรรมชาติที่เรายังไม่รู้ความเป็นจริงเท่านั้น โดยเฉพาะนามธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่เรารู้สึกได้ แต่ไม่แน่ว่าความรู้สึกของเราทุกคนจะตรงกัน เช่นใครจะรู้บ้างว่า “ความรัก” ในใจของแต่ละคนจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เหมือนกับของเราหรือไม่ สิ่งสมมุติเหล่านี้ จึงเป็นข้อบัญญัติในวิชาโหราศาสตร์ที่เราใช้เพื่อทำการศึกษาธรรมชาติ ก็เหมือนกับสมการเคมีที่กล่าวมา หากผลการใช้บัญญัติเหล่านี้ยังคงสอดคล้องกับธรรมชาติได้อยู่ เราก็ใช้ประโยชน์มันต่อไป ในวิชาโหราศาสตร์จึงมีข้อบัญญัติมากมาย ที่คนภายนอกดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่เป็นสิ่งที่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์หรือวิชาอื่น

บัญญัติในวิชาโหราศาสตร์มีอยู่ 3 จำพวก ซึ่งอ้างอิงอาศัยกัน ได้แก่ หนึ่ง จักรราศี สอง ราศี และเรือน สาม ดาวหรือธาตุ ทั้งสามส่วนนี้แหละที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในดวงชะตา การที่เราจะเข้าใจโหราศาสตร์ที่ใช้ดวงชะตาราศีต่อไป จึงต้องมาทำความเข้าใจทั้งสามส่วนนี้ให้มากหน่อย แต่เรื่องมันเยอะ ดังนั้น จะกล่าวถึงโดยย่อๆ เพียงเพื่อจะได้เล่าเรื่องอื่นต่อไปได้พอเข้าใจมากขึ้นเท่านั้น

หนึ่ง....จักรราศี พวกเราส่วนใหญ่คงจะทราบมาแล้วว่า ปกติจักรราศีที่ยึดถือเป็นหลักของโหราศาสตร์แต่ละระบบมีอยู่สองแบบ ได้แก่ จักรราศีเคลื่อนที่ หรือ สายนะ(tropical zodiac) ซึ่งแบ่งราศีโดยยึดถือจุดเมษ เริ่มที่จุดวิษุวัต(กลางวันกลางคืนเท่ากัน) ในซีกโลกเหนือ และปรับตามจุดวิษวัตเคลื่อนที่ห่างจากจุดเมษเดิมออกไปทุกปี กับจักรราศีคงที่ หรือนิรายนะ(sidereal zodiac) ยึดถือตำแหน่งจุดเมษเดิม โดยยึดกลุ่มดาวฤกษ์ในราศีเมษ ซึ่งอยู่คงที่ เป็นเหตุให้ได้ชื่อว่าจักรราศีแบบคงที่ หรือจักรราศีดาวฤกษ์ ดังนั้น จุดเมษของทั้งสองระบบก็จะห่างกันไปเรื่อยๆ ระยะ(องศา)ที่แตกต่างกันนี้เรียกว่า อายนางศ์ หรือ อายนางศะ ปัจจุบันมีค่าราวๆ 23 องศาเศษ หรือ คิดเป็นอาทิตย์โคจรราว 23 – 24 วัน ทำให้ราศีแบบสากล ไม่ตรงกับราศีแบบหลัง เช่น บางคนเกิดราศีเมษ สากลว่าเป็นมีนอยู่ อะไรประมาณนั้น พวกโหราศาสตร์ที่ใช้ปฏิทินสากล และดาราศาสตร์ทางตะวันตก มักใช้จักรราศีแบบแรก แต่พวกโหราศาสตร์ทางตะวันออกมักจะใช้แบบหลัง โดยทุกวันนี้ นักโหราศาสตร์บางท่านมักเอาข้อมูลของดาวแบบแรกมาตัดอายนางศะ หรือไม่ก็คำนวณเองก็มี แต่บางทีก็ได้ผลไม่ตรงกัน เป็นเหตุให้เป็นข้อสงสัยถกเถียงกัน ส่วนใหญ่พวกเราก็รู้กันอยู่แค่นี้

ที่จริงจักรราศีไม่มีปัญหา อยากจะกำหนดอะไรก็ว่ากันไป แต่มักจะมีผู้เผยแพร่ความคิดว่า โหราศาสตร์ทุกชนิดในโลกมีเพียงจักรราศีเพียงสองชนิดนี้เท่านั้น และก็ยังถือเอาว่าโหราศาสตร์ไทยทั้งหมด รวมจัดเป็นพวกจักรราศีนิรายนะ การจัดเช่นนี้ จึงทำให้ผู้ที่ศึกษาอยู่เข้าใจไปว่า ผู้ใดไม่ใช้จักรราศีทั้งสอง หรือไม่ตรงตามหลักเกณฑ์จักรราศีทั้งสองเป็นวิชาที่ผิดไปด้วย จึงเป็นที่น่าถามว่า เหตุใดจึงมีจักรราศีสองแบบ แต่ละแบบใช้เพื่ออะไร และจุดเริ่มต้นจักรราศีเกิดขึ้นจากอะไร มาเกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ตรงไหน ปัจจุบันมีผู้ทำปฏิทินนิรายนะซึ่งตัดอายนางศะอยู่หลายราย ตอนนี้จึงมีปัญหาว่า จักรราศีนิรายนะซึ่ง ถือดาวฤกษ์ที่เป็นจุดเริ่มในราศีเมษซึ่งเป็นจุดสำคัญที่ใช้สังเกตนั้น มองไม่เห็นดาวฤกษ์มานานแล้ว ดังนั้น จึงมีปฏิทินนิรายนะที่ทำขึ้นของหลายค่ายสำนักซึ่งเลือกเอาปฏิทินสายนะ หรือ ดาราศาสตร์ค่ายใดค่ายหนึ่ง เอามาตัดอายนางศะ หรือ แปลของเขามาเลยก็มี โดยกำหนดจุดเมษ ซึ่งได้จากการคำนวณตามเงื่อนไขเฉพาะตามมติความเห็นของตน ได้ผลลัพธ์แล้วนำมาใช้เข้าสมผุส นวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ ของโหราศาสตร์ไทยกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นเหตุให้ดาวอยู่กันคนละนวางค์ ตรียางค์ แต่ละปฏิทินไม่ตรงกัน แล้วเราควรจะเลือกเชื่อถือปฏิทินนิรายนะของผู้ใดและเชื่อถือได้เพียงใดเท่านั้น

ตามข้อเท็จจริงแล้ว มีโหราศาสตร์จำนวนหนึ่งเช่น โหราศาสตร์ไทยเดิมๆ ไม่ได้ใช้จักรราศีทั้งสองแบบนี้ตามแบบสากลทั่วไป เรียกได้ว่าคำนวณมาใช้เองในวิชาของตน ซึ่งก็มีเกณฑ์คำนวณที่ทำให้ปฏิทินของแต่ละรายไม่ตรงกันได้เช่นกัน แต่หากอยากจะยืมปฏิทินอื่นเอามาใช้ ก็ใช้ได้ทั้งสองแบบ (ในขอบเขตจำกัด) เพียงขอให้เข้าใจว่าเป็นแบบไหนเท่านั้น เพราะโหราศาสตร์ไทยแท้ๆไม่จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับปฏิทินบอกตำแหน่งดาวเคราะห์และวันเดือนปี แต่เกี่ยวกับปรัชญาของนามธรรม หรือ ธาตุในดวงชะตา เคยเขียนมาครั้งหนึ่งแล้วว่า โหราศาสตร์ดั้งเดิมแบบไทย ถือเอาคุณสมบัติของปัจจัยมากกว่าตำแหน่ง โหราศาสตร์ไทย จึงไม่ได้ใช้จักรราศีแบบดิบๆ เพราะจักรราศีนั้นอยู่ในกรอบของจักรวาล เมื่อมาสู่กรอบของโลกแล้ว โหราศาสตร์บางระบบ (เช่น โหราศาสตร์ไทย ) ก็อ้างอิงราศีของจักรวาลเพียงบางระดับเท่านั้น เพราะโลกเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เรากำลังพิจารณาอยู่ ราศีที่โลกมองเห็นจักรวาลจะผ่านระบบธาตุของโลก เช่น ธาตุในชั้นบรรยากาศ แต่โหราศาสตร์ที่ใช้ต่างก็ต้องไปปรับตำแหน่งของปัจจัยต่างๆใช้เองเฉพาะวิชาของตนมีทั้งปรับในตัวเกณฑ์ของวิชา หรือคำนวณปรับที่ปฏิทิน ปฏิทินจึงอาจจะแตกต่างกันได้เช่นกัน เพราะมีวิธีใช้ไม่เหมือนกัน

สอง.....ราศี และเรือน (ขอเว้นกล่าวถึงภพ คำว่า “ภพ” และ “เรือน” มีการใช้ที่สับสนกันอยู่ การสอนโหราศาสตร์ไทยแต่เดิมจึงใช้คำว่า “เรือน” ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ห้ามที่จะใช้คำว่า “ภพ” หรือ “ภวะ” เพราะ “ภพ”ไม่ใช่ “เรือน” แต่เป็นที่มาของเรือนได้) “เรือน” นั้น เป็นที่มาของคำว่า “เจ้าเรือน” ซึ่งใช้ในระบบเกษตรสองเรือนแบบของไทย ต่างจาก “เกษตรราศี” ที่ใช้ในจักรราศีของสุริยจักรวาล ดวงชะตาแบบไทย ซ้อนกันอยู่ระหว่างราศีของจักรวาล กับ เรือนของโลก จึงใช้ทั้งสองระดับสัมพันธ์กัน ซึ่งเป็นการใช้ทั้งเกษตรราศีและเจ้าเรือนต่างจากโหราศาสตร์อื่นๆ ดังนั้น ราศีกับเรือนในโหราศาสตร์ไทยไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งเดียวกัน ขณะที่โหราศาสตร์ไทยบางวิชาที่เผยแพร่กันอยู่ สอนให้นักเรียนใช้ราศีแทนเรือน คือรวบสองอย่างเข้าด้วยกัน ซึ่งในการเรียนเบื้องต้นก็จะพออนุโลมได้ แต่เมื่อเรียนเทคนิคเบื้องสูงขึ้นไปแล้ว จะไม่เข้าใจเคล็ดวิธีและที่มาของหลักวิชาโหราศาสตร์ไทยที่ตนเองใช้อยู่

นอกจากนั้น ยังมีวิชาโหราศาสตร์ประยุกต์หลายรายที่เข้าใจคำว่า “เกษตร” ผิด คือต่างสอนในทำนองที่ว่า ดาวใดแสดงผลดีในราศีใด ก็ถือเป็น “เกษตร” ในราศีนั้น ซึ่งไม่ถูกต้อง เราจึงมักเห็นมีผู้อ้างดาวเกษตรหลายๆแบบ บางราศีมีเกษตรเจ้าเรือนตั้ง 4 – 5 ดวงก็มี ทำเอาโหราศาสตร์ไทยเสียไป หากเป็นไปตามหลักการแล้ว “เจ้าเรือน” เกิดจากโลก ส่วน “เกษตรราศี” เกิดจากจักรราศี ไม่ว่าจะเป็นแบบเกษตรเรือนเดียวหรือเกษตรสองเรือน แต่ละราศีต่างก็จะมี ดาวหรือเกษตรธาตุเพียงอย่างเดียว (ในแต่ละระบบ) ดังนั้น ที่สอนกันว่าบางราศีมีเกษตรสองดวง หรือ หลายดวง เช่น ราศีกุมภ์ ทั้งราหูและเสาร์ แถมมีมฤตยูเป็นเกษตรราศีด้วยนั้น เป็นคำสอนที่ไม่ถูก หากกล่าวลอยๆ ก็บอกไม่ได้ว่าถูกหรือผิดเพราะไม่ทราบว่าอยู่ในระบบใด เกษตรในราศีอาจจะเปลี่ยนแปลงได้หากสร้างบัญญัติใหม่ ในดวงภวจักรบางประเภท อาจจะใช้เกษตรไม่ตรงตามราศีก็ได้ แต่เมื่อใช้จักรราศีตามปฏิทิน ก็จะยังต้องเป็นไปตามเกษตรราศี การใช้ข้ามกรอบของระบบเกษตร จะทำให้หลักการสำคัญหลายอย่างเพี้ยนไป ซึ่งเป็นเหตุให้เข้าใจกันผิดๆเรื่องตำแหน่งและการเคลื่อนที่ของดาวในดวงชะตา

โหราศาสตร์ดวงชะตามักจะใช้ดวงชะตาแบบ 12 ราศีเท่ากัน ที่มาของจำนวน 12 ราศีนี้เกิดจากจักรวาล ทางโหราศาสตร์มีเหตุผลที่มาของจำนวนราศี ไม่ใช่แค่สมมุติเอา ดังนั้น ดวงชะตาจึงเลือกใช้ 12 เรือนด้วย เพราะสอดคล้องกับธาตุตามเรือนเกษตร ความหมายของเรือนทั้ง 12 จึงมาจากทั้งราศี และเรือน ซึ่งพวกเรามักใช้ปะปนกัน

สาม......ดาว หรือ ธาตุ ตัวเลขที่ใช้แทนดาวนั้นเป็นวิธีคิด หรือ สมมุติ ดังนั้น การที่จะเรียกว่า “ดาว” ในโหราศาสตร์ทั่วไป หรือ เรียกว่า “ธาตุดาว” ในโหราศาสตร์ทางธาตุนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งบังคับ แต่ หลักการของโหราศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันอยู่นั้นมาจากวิชาทั้งสองสายปนกัน การกำหนดเรียกว่า “ธาตุ” จะเข้าใจต้นตอของหลักวิชาได้มากกว่า ไม่ใช่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดผิด เรื่องดาว และธาตุนี้ มีเรื่องราวรายละเอียดที่เขียนถึงมาบ้าง และยังจะต้องกล่าวถึงอีกมาก ในตำราก็มีกล่าวถึงความหมายและข้อสังเกตอยู่มากมายแล้ว ดังนั้น ในขั้นนี้จะขอพักเอาไว้เพียงนี้ก่อน


วรกุล - 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.201.104)

ความคิดเห็นที่ 45
เรียน อ วรกุล

ขอบพระคุณที่เมตตา ค่ะ


ผู้ด้อยโอกาส - 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 19:43น. (IP: 203.144.187.18)

ความคิดเห็นที่ 46
เรียนท่านอ . วรกุล

เรื่อง ลัคนาจร ถ้าเราใช้ลัคนาจร โดยใช้เกณฑ์ของ กาลจักร ลัคน์จร แล้วใช้ทายเหมือนเกณฑ์ชัญษาจรแบบต่าง ๆ อย่างของท่าน อ.อรุณ ลำเพ็ญ อ.เชียร บางบอน จะได้หรือไม่ครับ และท่านอ. มีอะไรจะกรุณาแนะนำก็จะได้น้อมรับไว้ศึกษาต่อไปครับ

นิตย์ กลิ่นจันท์


นิตย์ กลิ่นจันท์ - 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 20:48น. (IP: 124.157.164.247)

ความคิดเห็นที่ 47
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ เรื่องวงรอบธรรมชาติอันเกิดจากการเคลื่อนที่ของจุดเจ้าชะตา...บทความก่อนๆที่ผ่านมาได้บอกกล่าวไว้ว่า “ลัคนาหรือตนุลัคน์ จะเป็นอาทิตย์ จันทร์ หรือตนุเศษก็ได้ ปัจจัยเหล่านี้เปรียบเสมือนดาว ดังนั้นเมื่ออยู่ในจักรวาลที่มีกระแสธาตุขับเคลื่อนหมุนวนอยู่ตัวมันก็จะเคลื่อนที่ได้เหมือนดาวจรเช่นกัน” ผมมีความสงสัยว่า ลัคนาเคลื่อนที่(จร)ได้ด้วยหรือ ? , การเคลือนที่(จร)ไปของตนุลัคน์ มีตัวอย่างหรือวิธีการที่เห็นได้ประจักษ์เช่นชันษาจรตามแนวทางอาจารย์อรุณ. แต่การเคลื่อนที่(จร)ของลัคนานั้นผมยังสงสัยเป็นไปได้หรือไม่ เพราะผมเข้าใจว่า ลัคนานั้นจะต้องอยู่กับที่(เป็นตัวตั้งรับกระแสธาตุในจักรวาล).... หากลัคนาเคลื่อนที่(จร)ได้ ผมก็มีความสงสัยต่อว่า ตนุลัคน์ กับ ลัคนา ที่เคลื่อนที่(จร)ไปนั้นจะบอกความเป็นไปของชีวิตในแง่มุมที่ต่างกันอย่างไร รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ด้วยครับ...


ศ.fa200 - 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 07:52น. (IP: 124.157.229.91)

ความคิดเห็นที่ 48
ตอบคุณ นิตย์ กลิ่นจันท์ (ความเห็นที่ 47)............ใช้ไม่ได้ครับ กาลจักร - ลัคน์จร ใช้เกณฑ์เลขของจักรวาล และดาวฆาต เกิดจากลัคนาจรไปในจักรราศี ส่วน ชันษาจร เป็นดวงชะตาจร ที่เกิดจากการเคลื่อนของปัจจัยตนุลัคน์ ไปพร้อมกับดวงชะตา เป็นการหมุนของเรือนไปทับจักรราศี นอกจากนั้นการนับเวลาอายุก็ต่างกันอยู่ ชันษาจรใช้อายุเต็ม ลัคน์จรมักใช้อายุย่าง หรือ อายุโดยจุลศักราช (ในดวงคน/ดวงเมือง) อย่างใดอย่างหนึ่ง จะมีคลาดเคลื่อนเวลาอายุกันอยู่ และยังมีอีกหลายอย่างที่ต่างกัน เช่น ในกรอบธรรมชาติคนละระดับ อธิบายสั้นๆตรงนี้ไม่ได้ครับ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 48)............ปัจจัยต่างๆเช่น ลัคนา ตนุลัคน์ การเคลื่อนมีอยู่หลายแบบ เช่นเคลื่อนโดยมีองคประกอบของมัน เช่น เรือน หรือ โครงสร้างเรือนและดาวตามไปด้วย เหมือนกับการหมุนของม้าหมุน คือม้าทุกตัวหมุนไปตามตำแหน่งสัมพัทธ์กับลัคนา หรือ เคลื่อนไปเฉพาะตัวมันอย่างเดียว ในขณะที่กรอบคงที่ การเคลื่อนไปนั้นไม่ได้ย้ายที่ แต่ลัคนาเดิม ตนุลัคน์เดิมก็ยังอยู่ รับธาตุเหมือนเดิม การเคลื่อนของปัจจัยไม่ใช่เรื่องสั้นๆ ความหมายของปัจจัยเมื่อเคลื่อนที่ก็เป็นเรื่องยาวที่ต้องศึกษา จนป่านนี้ก็ยังศึกษากันไม่จบ แต่ละวิชาโหราศาสตร์จึงมีปัจจัยจร หรือ อิทธิพลจากปัจจัยจรเคลื่อนที่เสมอ ซึ่งล้วนแล้วแต่มีเงื่อนไขเฉพาะในการจรแต่ละแบบ แม้จะขึ้นอยู่กับทฤษฏีเดียวกัน แต่วิธีดู และความเป็นไปที่วางหลักเอาไว้ก็ไม่เหมือนกัน อย่างคำว่า “ลัคนา” จร คำเดียว มีการจรตั้งเกือบ 10 แบบเข้าไปแล้ว วิธีกับความหมายไม่เหมือนกัน บางท่านจึงเลี่ยงไปใช้คำอื่นๆ


วรกุล - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:04น. (IP: 203.107.193.250)

ความคิดเห็นที่ 49
เรียนอาจารย์วรกุล

จากความเห็นที่ 43และ 44 หนูเลยมีข้อสงสัยว่า กรณีที่มีหมอดูที่เขาโฆษณาว่าสามารถดูดวงชะตาโดยใช้ซิกเซ้นส์ จะเกี่ยวกับเขามีองค์ในใช่หรือไม่ค่ะ และที่อาจารย์บอกว่าสามารถดูได้จากดวงชะตา เราจะสังเกตุได้จากการดูดาวตัวใดหรือเรือนใดเป็นหลักค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ


ice - 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 17:47น. (IP: 203.146.186.2)

ความคิดเห็นที่ 50
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพครับ

เมื่อดาว ไปอยู่ในเรือน เรือนก็จะรับเอาธาตุดาวนั้นมาเป็นของตนใช่ไหมครับ?

อย่างเช่น เสาร์ เป็นดาวที่มีคุณสมบัติของความอืดอาด, ทุกข์,วิตกกังวล เมื่อไปอยู่ในเรือนปัตนิ ซึ่งหมายถึงคู่ครอง ก็จะทำให้เจ้าชะตาคิดมากในเรื่องคู่ อะไรทำนองนี้ ใช่ไหมครับ?

**********************************

ที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเพียงแค่การนำเข้าสู่เรื่องครับ

แต่สิ่งที่จะกล่าวต่อไปนี้ คือสิ่งที่ผมสงสัยมานานแล้วครับ จึงอยากเรียนปรึกษากับอาจารย์ หวังว่าคงจะได้รับความเมตตาจากอาจารย์ครับ

ขออนุญาตพูดถึงกรณีของดาวเสาร์นะครับ

ตามความเข้าใจ(ซึ่งอาจจะเป็นความเข้าใจที่ผิด)ของผม แล้วดาวเสาร์ในดวงชะตาสามารถสัมพันธ์ถึงเรือนปัตนิได้หลายวิธี (โดยไม่จำเป็นที่เสาร์จะต้องเข้าไปอยู่ในเรือน) ยกตัวอย่างเช่น เสาร์กุมกับดาวปัตนิ, เสาร์ลอยอยู่ในเรือนอะไรก็ได้สักเรือน แล้วเจ้าเรือนที่เสาร์สถิตอยู่ไปลอยอยู่ในเรือนปัตนิ, หรือแม้แต่เสาร์เป็นเจ้าเรือนปัตนิเสียเองเลย ฯลฯ จะเห็นว่าเรือนปัตนิสามารถรับเอาธาตุดาวของเสาร์ได้หลายทางมาก แต่ทำไมเกณฑ์พินทุบาทว์จึงกล่าวถึงกรณีเสาร์อยู่เรือนปัตนิ (เสาร์เล็งลัคน์) เพียงอย่างเดียวล่ะครับ ทำไมไม่กล่าวโดยรวมๆ ว่าขอให้เสาร์สัมพันธ์ถึงเรือนปัตนิก็พอ

ขอขอบพระคุณอย่างสูงสำหรับความกรุณาของอาจารย์ครับ และต้องกราบขอโทษด้วย ถ้าหากภาษาที่ใช้ อ่านแล้ววกวน เข้าใจยาก

***หมายเหตุ : ที่ผมตั้งกระทู้นี้ มิใช่เพราะผมยึดติดกับกฎเกณฑ์โบราณ ผมเพียงแค่ยกตัวอย่างกรณีเสาร์เป็นพินทุบาทว์มาขยายความให้ชัดเจนขึ้นเท่านั้นครับ***


นกกระจิบ - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 09:18น. (IP: 202.41.187.247)

ความคิดเห็นที่ 51
ตอบคุณ ice (ความเห็นที่ 51)............ปกติคนมี “องค์ใน” เขาไม่มาโฆษณาหรอกครับ เพราะโฆษณาแล้วจะไม่ได้ผล “องค์ใน” บางอย่างก็คือตัวเรา หรือ ผลของกรรมของเราในอดีต ตัวเราที่เกิดมา มีกรรมและผลกรรมหลายอย่างที่ติดมา หรือ บางอย่างก็เป็นสิ่งภายนอกที่เราไปมีคุณสมบัติตรงกัน โดยเฉพาะคุณธรรมที่ตรงกัน เช่น สมมุติเราเป็นคนชอบทำบุญ ก็จะมี “จิต” หรือ วิญญาณ ที่มีคุณธรรมเดียวกัน มาสัมผัสได้ คนอื่นจะไม่ได้ อะไรประมาณนี้ ที่หมอดูว่ามีสัมผัสที่ 6 หากไม่ได้หลอก ก็เป็นได้ แต่ก็มีอยู่หลายแบบ เช่น เป็นชั่วคราว เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง หรือ เป็นมาก แต่ไม่มีใครเป็นตลอดเวลา แม้แต่คนทรง และถ้าหากมีองค์ในที่เป็นทางอื่น เช่น เกี่ยวกับ “ศิลปะ” ก็จะพยากรณ์ได้จำกัด ไม่ใช่รู้ไปทุกเรื่อง และส่วนมากจะรู้เพียงเรื่องที่เห็นได้ เช่น ที่บ้านมีอะไรตั้งอยู่ แต่ไม่รู้อนาคต ไม่รู้ยารักษาโรค อะไรประมาณนั้น

ดังนั้น วิธีดูจึงยุ่งยากหลายชั้น แล้วแต่ประเภท ต้องสอบถามเจ้าชะตาเป็นส่วนตัวก่อน โดยทั่วไป พวกเรือนและดาว อริ มรณะ วินาสน์ ปัตนิ ศุภะ ตนุ ดาว มฤตยู เกตุ จันทร์ ราหู ประ นิจ มูละ กาลกิณี จะเกี่ยวข้องกับพวกสัมผัสที่ 6 ได้ แต่อธิบายยากอยู่ ต้องดูดวงชะตารวมว่ามีกรณีที่เกี่ยวกับอะไร เช่น บางคนเห็นอะไรแปลกๆ บางคนก็มีพรายกระซิบ หรือ บางคนก็เห็นมโนภาพ เหมือนฝัน ดูลูกแก้วได้ หรือ กำวัตถุไสยศาสตร์อะไรแล้วรู้ได้ก็มี อะไรแบบนี้ มีตั้งหลายสิบแบบ ดังนั้นดวงชะตาก็จะต่างกันไป


วรกุล - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:39น. (IP: 203.107.200.236)

ความคิดเห็นที่ 52
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ความที่หนูเพิ่งจะได้เข้ามาในwebนี้ไม่นานคือเมื่อต้นปีนี้เองทำให้ตนเองต้องprintบทความของอาจารย์ออกมาและไล่อ่านตั้งแต่ต้นความรู้ที่ท่านอาจารย์มีมากมายทำให้หนูต้องนำบทความที่printออกมาติดมือไว้อ่านทุกเวลาที่ว่าง อ่านกลับไปกลับมาบางเรื่องก็ต้องยอมรับว่าความรู้ไม่ถึง คงเหมือนเด็กอนุบาลอ่านเรื่องเรียนของพี่ชั้นโตกว่ามากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่หนูลองปฏิบัติได้เลยคือวิธี เฝ้าดูจิตตัวเอง พบว่าถูกกับจริตตน และทำให้เข้าสู่สมาธิง่ายจริงดังที่อาจารย์สอน เมื่อปฏิบัติบ่อยเข้าจึงเห็นอารมณ์ตนชัดเจนขึ้น และในอารมณ์ที่หยาบเช่น โกรธ ก็จะสามารถ หยุด และหายได้เร็วขึ้นกว่าที่เคย และในการนั่งปฏิบัติก็เข้าสู่สมาธิได้เร็ว หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ และคราวนี้หนูมีคำถามรบกวนอยากเรียนถามอาจารย์ว่าคนที่ไม่สบายมาก จนต้องปั๊มหัวใจขึ้นมา หลังจากนั้นยังอ่านชะตาได้จากดวงกำเนิดเดิมหรือไม่คะ กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งค่ะ


bewitched - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 19:12น. (IP: 58.9.146.214)

ความคิดเห็นที่ 53
เรียน อาจารย์วรกุล

ขอบพระคุณมากค่ะ ที่หนูถามเพราะหนูสงสัยว่าอาจจะมีส่วนของดาว๙ กุมหรือเล็งลัคน์หรือเปล่าค่ะ เพราะที่ทำงานของหนูมีน้องอยู่คนหนึ่งเกิดราศีสิงห์มี ดาว๙กุมลัคน์ เขามักจะเห็นอะไรที่คนอื่นมองไม่เห็นบ่อยๆทั้งหลับและตื่นจนตัวเขาต้องสวดมนต์ไหว้พระทำใจอยู่เป็นประจำ พี่อีกคนหนึ่งราศีเมษ มีดาว ๓๙ กุมลัคน์ก็เห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นตลอดเหมือนกัน เพื่อนราศีเมษ มีดาว ๑๓๙ เล็งลัคน์ก็เห็นสิ่งลึกลับตลอดเหมือนกัน รบกวนถามอาจารย์ว่าเกี่ยวกับดาว ๙ หรือไม่อย่างไร ขอบพระคุณมากค่ะ


ice - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 23:14น. (IP: 203.146.186.2)

ความคิดเห็นที่ 54
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 52)............ผมเคยเขียนเรื่องพินทุบาทว์มาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะเสาร์เป็นพินทุบาทว์ ซึ่งเป็นมุมที่เสาร์ มาอยู่ตำแหน่งให้โทษต่อเจ้าชะตาได้ จึงเป็นพินทุบาทว์ (จุดอ่อน จุดเสีย)

ทีนี้ที่คุณถามมานั้น 1 / คุณเข้าใจผิดว่า “เสาร์ คือพินทุบาทว์ในเรือนปัตนิ” เพราะเสาร์ก็เป็นดาวธรรมดาดวงหนึ่ง ถึงจะส่งธาตุไปมาได้หลายทางก็เหมือนดาวดวงอื่น มาเพ่งเล็งเสาร์ทำไม ดาวอะไรก็มีทั้งให้คุณให้โทษได้ทั้งนั้น ต้องแยกแยะว่า หนึ่ง ดาวเสีย ให้โทษ หรือ สอง มุมเสียให้โทษ อะไรกันแน่ หากแม้เสาร์จะทำให้เรือนใดเสียก็เป็นเรื่องของเสาร์กับเรือน ไปเอาพินทุบาทว์มายุ่งทำไม

2 / เรือนปัตนินั้น ไม่ได้เกี่ยวกับพินทุบาทว์ การที่มุมเล็งของเสาร์เป็นพินทุบาทว์เป็นเรื่องของมุม มุมเล็งนั้น อยู่ในจักรราศี ส่วนเรือนปัตนิเป็นเรือนของโลก เหมือนคุณเอาปืน (เสาร์) พาดรั้ว (ปัตนิ) เพื่อเล็งยิงนก (เจ้าชะตา) ที่อยู่บนต้นไม้ (ลัคนา) แล้วรั้วมันจะชั่วจะเลวได้อย่างไร เสาร์อยู่เรือนปัตนิ อาจจะร่ำรวย หรือ ยากจน หรือ คิดมาก เป็นอะไรก็เป็นเรื่องของเสาร์ ไม่เกี่ยวกันกับพินทุบาทว์ และการเล็ง ก็เพียงแต่เป็นมุมเสี่ยง หากปืนไม่มีลูก หรือ ไม่เหนี่ยวไก ก็ไม่เห็นนกมันจะเป็นอะไร เสาร์จรราศีหนึ่งสองปีครึ่ง คนมีเสาร์อยู่เรือนปัตนิมากมาย ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรไม่ดีกันหมดทุกคน มีดวงคุณผู้หญิงท่านหนึ่ง เสาร์อยู่ปัตนิ ก็มีครอบครัวดี ลูกๆเรียนสูง สามีเป็นข้าราชการระดับสูง ครอบครัวมีความสุขดี เมื่อ 4 – 5 ปีก่อน เพิ่งได้มรดกที่ดิน อยู่แถวลาดพร้าว ราคาตั้งเกือบร้อยล้าน แกรวยอยู่แล้วยังรวยอีก ก็เป็นผลจากเสาร์ในเรือนปัตนินั่นเอง


วรกุล - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:48น. (IP: 203.107.200.162)

ความคิดเห็นที่ 55
ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบมากครับ คำอธิบายของอาจารย์เห็นภาพชัดเจนดีครับ

ผมขออนุญาตเรียนถามอาจารย์วรกุลต่อนิดนึงครับ คือว่า นอกจากพินทุบาทว์ในโคลงที่ขึ้นต้นด้วย "เสาร์เพ่งเล็งลัคน์แล้ อสุรา....." ยังมีพินทุบาทว์อีกโคลงหนึ่ง ซึ่งก็คือ

ระวิภุมมะทั้ง โสรา

ปัญจะแก่ลัคนา พุธเก้า

พฤหัสและจันทรา เป็นแปด

ศุกร์เจ็ดอาจารย์เจ้า

ข้อสงสัยของผมคือ (จากโคลงที่ยกมา) การที่อาทิตย์ อังคาร เสาร์ เป็นห้าแก่ลัคนา, พุธเป็นเก้าแก่ลัคนา,จันทร์ พฤหัส เป็นแปดแก่ลัคนา, ศุกร์ เป็นเจ็ดแก่ลัคนา แล้วโบราณถือเป็นพินทุบาทว์ นั้นยังคงเป็นเรื่องของมุม หรือว่า เป็นเรื่องของเรือน ครับ? ขอรบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะด้วยครับ


นกกระจิบ - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 14:33น. (IP: 124.120.226.64)

ความคิดเห็นที่ 56
ศุกร์เจ็ดอาจารย์เจ้า ว่าร้อนนิรันดร์

ขอโทษที่ผมพิมพ์ไม่ครบครับ


นกกระจิบ - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 14:34น. (IP: 124.120.226.64)

ความคิดเห็นที่ 57
ตอบคุณ bewitched (ความเห็นที่ 54)............ดีใจจริงเลยที่คุณทำได้ผลเร็ว พยายามทำบ่อยๆจนเป็นอัตโนมัติจะดีมากเลยครับ เมื่อมีเหตุฉุกเฉินหรือเราแก่ตัวลงเราจะมีสติที่ดีขึ้น ความทุกข์จะน้อยลง เวลามีความทุกข์ใจคนทั่วไปจะทรมาน ต้องหาอะไรมากลบเกลื่อนทุกข์แต่มันก็จะไม่หายเสียที เพราะยิ่งไม่อยากได้ ความทุกข์มันจะกลับอยู่นาน ทรมานนาน แต่พวกเราที่ฝึกจิต เวลามีอารมณ์ “ทุกข์” เข้ามา เราจะสนใจทันที เพราะต้องการแสวงหาอารมณ์มาดูจิต พอดีใจว่ามันมาแล้ว ไชโย แทบไม่ทันจะดู ทุกข์มันก็หายไปเลย หาไม่เจอ นี่เป็นเรื่องแปลกแต่จริง แรกๆก็จะรู้สึกเหงาหน่อย แต่พอดูนานๆเราจะเห็นอารมณ์ละเอียดขึ้นเรื่อยๆ หากไปนั่งสมาธิก็จะง่าย เพราะจิตคุ้นกับการดูอารมณ์ สติจะมีกำลังดี ไม่เผลอ ใจจะรวมลงเป็นสมาธิได้เร็ว

การฝึกจิตแบบนี้ทำได้ทุกแห่ง แม้ในที่อึกทึก อย่างใน ผับ บาร์ ไนท์คลับ พอเราเฝ้าดูจิตแล้วสิ่งรอบตัวเรามันจะแปลกไปหมด ดูเหมือนมันจะช้าลง ช้าลงมาก บางทีเสียงทุกอย่างเหมือนจะหายไป มีแต่ความเงียบ ทั้งๆที่เราก็ลืมตาตื่นอยู่ตามปกติ คนที่ฝึกจิตเวลาไปไหว้พระที่ท่านปฏิบัติเก่ง ท่านจะรู้เลยว่าเราดูจิตอยู่ บางคนดูจิตตัวเองแล้วรู้จิตคนอื่นด้วย เป็นเรื่องเฉพาะตัวบางคน คนที่ทำชำนาญ พูดคุยหรือทำอะไรก็ดูจิตไปด้วยได้ โดยไม่มีใครรู้เลย

คนที่ยังไม่ตาย หรือ แม้ตายไปแล้ว ดวงชะตาเดิมก็ยังทำงานได้อยู่ แต่นานไม่เท่ากันครับ เช่น บางคนมามีชื่อเสียงได้รับยกย่องเมื่อตายแล้ว ดวงชะตาก็ยังแสดงว่าได้รับยศเกียรติได้อยู่ แต่โดยทั่วไปหากอาการโคม่าแล้วฟื้นแสดงว่ายังไม่ตาย ดวงชะตาเดิมก็ยังอยู่แน่ครับ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ice (ความเห็นที่ 56)............เกิดจากดาว ๙ เกตุถูกแล้วครับ อาจจะกุม หรือ เล็ง หรือ ธาตุถึงลัคนา ตนุลัคน์ก็ได้ แต่คนที่เกตุถึง ไม่จำเป็นต้องมี sense เช่นนี้ทุกคนไป ที่คุณสมบัติเช่นนี้ดี หากใช้ให้เป็น คือเอามาเตือนจิต อย่าไปกลัว และก็ทำให้เชื่อในบุญกรรม หากฝึกจิตไปให้เป็นระเบียบมีกำลัง ก็สามารถควบคุมเอามาใช้ได้ด้วย ดาวอื่นก็มี มฤตยู คล้ายกัน แต่คนเราอาจจะมีทั้งเซ้นท์ หรือมีจิตวิญญาณอื่นมาก็ได้ มีได้หลายกรณี ไม่ใช่เหมือนกันทุกคนครับ


วรกุล - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:15น. (IP: 203.107.194.191)

ความคิดเห็นที่ 58
กราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ หนูจะตั้งใจปฏิบัติต่อไปค่ะ เมื่อมีข้อสงสัยก็คงจะกราบรบกวนขอความรู้และ ประสบการณ์ของอาจารย์ต่อไปค่ะ ช่วงนี้อากาศไม่ค่อยดี ร้อนอบอ้าวมาก รอบๆข้างมีแต่คนไม่สบาย หนูขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพนะคะ และอยากให้อาจารย์พักผ่อนเยอะๆค่ะ เพราะหนูเห็นว่าอาจารย์มักจะ ตอบปัญหา ที่ถามเข้ามาในweb เช้า มาก ก ค่ะ แต่ด้วย เมตตาบารมีที่อาจารย์มุ่งให้ความรู้แก่ทุกคน แม้ว่าจะไม่รู้จักหรือเห็นหน้า คงคุ้มครองให้อาจารย์สุขภาพแข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไป กราบขอบพระคุณค่ะ


bewitched - 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 17:17น. (IP: 58.9.149.179)

ความคิดเห็นที่ 59
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 58)............พินทุบาทว์เป็นเรื่องของมุมทั้งนั้นครับ แต่บางคนมักจะสับสนโดยไปยกเอาดวงชะตาที่มีดาวดังกล่าวมาวิจารณ์ และก็มีข้อเสียต่างๆว่าเป็นพินทุบาทว์ด้วย เพราะดาวบางดวงในตำแหน่งที่ว่าในเรือน ก็มีข้อเสียได้ อย่างเช่น พฤหัสในเรือนมรณะ เพราะดาวพฤหัสเป็นดาวสำคัญ เมื่อตกมรณะแล้ว หากกำลังในที่นั้นไม่ดีก็ทำให้พฤหัสเสียได้ แต่ไม่เกี่ยวกับพินทุบาทว์ ครั้นพอเอามาพิสูจน์อ้างแบบนี้แล้วก็จึงชี้ว่านี่ไงพฤหัสพินทุบาทว์ ซึ่งไม่ถูก ลองคิดมุมกลับว่า หาก ๒ และ ๕ อยู่มรณะแล้วเสียเนื่องจากพินทุบาทว์ อย่างนั้น ดาว ๑ ๓ ๔ ๖ ๗ ๘ อยู่มรณะจะไม่เสียงั้นหรือไร หากตอบว่าเสียได้ เหตุใดจึงไม่รวมเป็นพินทุบาทว์ไปด้วยล่ะ แปลกไหม แต่พอพฤหัสเกิดดีในเรือนมรณะ เขาก็ว่า เป็นเรื่องยกเว้นพินทุบาทว์ เพราะไม่ได้เกิดวันนั้นวันนี้ หรือมีดาวอื่นอยู่เรือนนี้เรือนนั้นด้วย เออ หลักยืดๆหดๆแบบนี้ในตำราของเรานี่เล่า มันถึงทำให้งง ราศี “มกร” ถึงได้กลายเป็น “มังกร” พอนานไป ใครสะกดคำว่า “มกร” ก็เลยกลายเป็นคนสะกดผิด ตอนนี้ก็กำลังกลายเป็น “มังกือ” ต่อไปใครเกิดราศี “มังกือ” อาจจะมีสัญญลักษณ์ยี่ห้อเป็นตะขาบห้าตัวกัดกันก็ได้ คือเปลี่ยนจาก อำพุราศี (สัตว์น้ำ) เป็น ยาน้ำแก้ไอ เพราะเป็นน้ำๆเหมือนกัน

ดาวแต่ละดวงจะมีมุมที่ส่งจากตัวมัน มีผลต่างๆกัน เป็นคุณสมบัติเฉพาะของดาว จำนวนมุมของดาวแต่ละดวงมีไม่เท่ากัน และไม่จำเป็นต้องเป็นมุมที่เหมือนกัน เรียกว่า เกณฑ์ดาว ในโหราศาสตร์แต่ละแบบก็มีเกณฑ์ดาวของระบบไม่เหมือนกันได้ พินทุบาทว์จึงเป็นคำเตือนให้ระวังอย่าประมาท คล้ายจระเข้ มีอันตรายตอนหาง หากถูกหางมันฟาดก็ตาย เสือมีอันตรายที่อุ้งเท้าหน้า ถูกอุ้งเท้ามันตะปบก็ตาย ลา มีอันตรายที่เท้าหลัง ถูกเท้าหลังมันเตะก็ตาย งูจงอางมีอันตรายที่ เขี้ยวบนด้านหน้า ถูกมันฉกฝังเขี้ยวก็ตาย อะไรแบบนี้ มีตัวอย่างคนที่อาทิตย์ อยู่ปุตตะ ยศตำแหน่งดี มีอำนาจวาสนามากมาย แต่ความเป็นพินทุบาทว์นั้นเป็นมุมที่อาทิตย์ส่งถึงลัคนาในทางนิสัยเสีย คือเจ้าชะตามักประมาท อาจจะตายเพราะทำอะไรเช่นใช้อำนาจเสี่ยงเกินไป หรือ บางทีก็ตายเพราะใจเร็วไป นี่ไม่ได้เกี่ยวกับเรือน แต่เกี่ยวกับมุม แต่ถ้าหากไม่ประมาทก็จะไม่เป็นอะไร โบราณจึงว่า เป็นจุดอ่อน จุดเสีย (พินทุบาทว์) ของแต่ละคน ภาษามวยเรียกว่าเป็น “จุดสลบ” นั่นแหละ เช่น นักมวยมีจุดอ่อนที่ชายโครง มักจะแพ้ทางมวยเข่า หากปิดป้องเข่าระวังดีๆ ก็ไม่กลัว สามารถเป็นแชมป์ได้

พินทุบาทว์ จึงบอกของมุมที่เป็นเกณฑ์ดาว ซึ่งเป็นเกณฑ์ต่อลัคนา บางเกณฑ์ก็มีต่อดาว หรือ ปัจจัยก็ได้ เช่น เสาร์เล็งดาวใด มักเสี่ยงต่อเรื่องไม่ดี จึงมักระวังมากกว่าเสาร์ทับ ซึ่งเรื่องที่ซับซ้อนกว่านี้ยังมีอีกมากมาย หากไปเรียนเรื่องเกณฑ์ดาวแต่ละดวงก็จะไม่แปลกใจ เพราะเกณฑ์เหล่านี้มีที่มาอย่างมีเหตุผลว่าทำไมจึงดี จึงไม่ดี เกณฑ์พินทุบาทว์ก็คือ มุมที่ดาวส่งความเสีย ออกมา นั่นเอง แต่ไม่ได้มีมุมเดียว บางมุมก็มีเงื่อนไข เหมือนที่เราเปรียบเทียบเสาร์ว่าเป็นปืนพกออโต้ ปลายกระบอกปืนที่ชี้ไป ก็คือพินทุบาทว์ มีอันตราย แต่ด้านหลังนกปืนไม่มีอันตราย ด้านข้างซ้าย อาจจะมีปลอกกระสุนดีดออกมาโดนได้ แต่ด้านข้างขวาปืนจะปลอดภัย อะไรประมาณนี้


วรกุล - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:56น. (IP: 203.107.201.164)

ความคิดเห็นที่ 60
เรียน อาจารย์วรกุล

ขอบพระคุณมากค่ะ


ice - 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 21:59น. (IP: 202.133.158.235)

ความคิดเห็นที่ 61
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ เรื่อง “ทักษาคู่สมพล” บทความก่อนหน้าและคำถามคำตอบที่ผ่านๆมา มีเรื่องทักษาคู่ธาตุอยู่หลายบทตอน , ทักษาคู่ธาตุ เป็นลำดับธาตุในธรณีที่เข้ามามีอิทธิพลต่อธาตุในดวงชะตา... ผมมีความสงสัยว่า”ทักษาคู่สมพล” มีที่มาที่ไปอย่างไรครับ เป็นลำดับของธาตุในจักรวาลหรือเปล่า? และโหราศาตร์ไทย(เดิม) ได้นำ”ทักษาคู่สมพล” มาประยุกต์ใช้ในการพยากรณ์ในเรื่องใดบ้างครับ รบกวนอาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ.


ศ.fa200 - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 08:34น. (IP: 124.157.228.192)

ความคิดเห็นที่ 62
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์วรกุลมากครับ


นกกระจิบ - 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 20:33น. (IP: 124.120.223.111)

ความคิดเห็นที่ 63
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 64)............ขอไม่ตอบเรื่อง “ทักษาคู่สมพล” ครับ มีเรื่องหลายเรื่องที่ผมไม่อยากให้ความเห็น รวมทั้งเรื่องนี้ด้วย เพราะเกรงใจทางเว็บเจ้าของสถานที่


วรกุล - 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:41น. (IP: 203.107.205.30)

ความคิดเห็นที่ 64
การจำแนกกรอบธรรมชาติ หรือ ระบบธรรมชาติที่โหราศาสตร์ใช้ ดังที่กล่าวมาโดยสังเขปในข้อเขียน 3 – 4 ตอนก่อนหน้านี้ เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ หากใครมีเวลา อยากจะแนะนำให้ขยายความแต่ละกรอบธรรมชาติออกไปเพราะยังกว้างขวางมาก เหมือน กล่าวถึงเพียง ภูเขา ทะเล มหาสมุทร โดยสังเขป เพียงเพื่ออ้างอิงลักษณะของสัตว์บก สัตว์น้ำ เท่านั้น ที่จริงยังมีเนื้อหาที่สำคัญๆอยู่อีกมาก โหราศาสตร์บางระบบวางกฎเกณฑ์อยู่ในกรอบธรรมชาติเดียวล้วนๆก็มี และก็สามารถใช้ศึกษาพยากรณ์ได้อย่างกว้างขวาง โหราศาสตร์ไทยจะซับซ้อนมากกว่า เพราะใช้ธรรมชาติถึง 4 ระบบในการวางหลักวิชา ก็จะเป็นประโยชน์ในอ้างอิงสำหรับการเขียนต่อไป ที่จริงกรอบธรรมชาติทั้งสี่นี่แหละคือ สิ่งสำคัญ แม้จะดูแล้วไม่เห็นจะมีอะไรเพราะเรายังใช้ไม่เป็น ดังนั้น ประโยชน์ขั้นแรกที่ควรใช้ก่อนก็คือ เมื่อเราอ่านหนังสือ หรือ ข้อความของผู้ใด หากพอจะดูน่าเชื่อถือดี ลองดูว่า สิ่งที่เขากล่าวถึงนั้นอยู่ในกรอบธรรมชาติระบบไหน แล้วเอามาขยายความก็จะเป็นความรู้ที่หาได้ยาก

อย่างเช่น เราเรียนจากตำราว่า ดาวคู่ “๒๗” นี้คือ ความแตกแยกพลัดพราก ความหมายนี้เกิดจากธรรมชาติในจักรวาลใหญ่ก่อน จันทร์ เป็นนามธรรมของการเพิ่มจำนวน เมื่อเสาร์ มีธรรมชาติที่ บีบรัดเข้า จึงทำให้ขัดกัน หากสองฝ่ายทำหน้าที่ของมันทั้งคู่ ก็จะทำให้ธรรมชาติถูกฉีกออกเป็นส่วนๆ ละเอียด ชิ้นเล็กๆ หมายถึงความแตกแยก ในระบบของจักรราศี เสาร์เป็นประ เรือนจันทร์กรกฏ และจันทร์ก็เป็นประเรือนเสาร์ ทำให้ธาตุของจันทร์และเสาร์ คุมตัวกันอยู่ไม่ได้ มักกระจายออกหากไปตกอยู่ในเกษตรราศีของอีกฝ่ายหนึ่ง และหากธาตุทั้งสองนี้ทำหน้าที่อะไรในดวงชะตาที่เกิดจากโลก เช่น เสาร์ประนั้นเป็นเจ้าเรือนกัมมะ ก็แสดงว่า อาชีพการงานนั้นย่อมที่จะพลัดพรากเสมอ เนื่องจากแตกสลายไม่มั่นคงถาวร แม้จันทร์พันธุไปเป็นประบ้าง ก็แสดงว่าเจ้าชะตาจะมีหลักแหล่งภูมิลำเนาไม่อยู่คงที่ มักจะมีความแตกแยกจากสถานะเดิม และพลัดพรากจากถิ่นเกิดไปเสมอ นี่เป็นคำทำนายที่มีต้นตอมาจากธรรมชาติของนามธรรม ที่เปลี่ยนมาเป็นธาตุในดวงชะตาที่เกิดจากโลก นามธรรมแต่ละดวงจึงแปรเป็นเรื่องราวและสิ่งของได้หลายชั้น ตามแต่ที่มันแสดงตนอยู่ในกรอบใด และนามธรรมพื้นฐานสองดวงขึ้นไปยังสามารถแปรเป็นนามธรรม และรูปธรรมอื่นๆได้อีกมากมาย ซึ่งวิธีนี้แหละที่เราใช้อ่านวัตถุสิ่งของและรูปลักษณ์ของคนในดวงชะตา

ข้อควรระวังในการดูดวงชะตาจึงอยู่ตรงนี้ก็คือ อย่าใช้ความหมายของนามธรรมในกรอบธรรมชาติหนึ่งไปผสมรวมกับอีกกรอบหนึ่งโดยไม่จำเป็น เพราะธรรมชาติเองจะมีความผสมกลมกลืนได้ในระดับของมันมากกว่าการผสมต่างระดับ นอกจากนั้น เราต้องระลึกไว้ว่า ความหมายที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้แสดงคุณโทษจนกว่าจะมีเหตุแสดงว่าผลที่เกิดขึ้นนั้นถูกใช้เป็นคูณหรือเป็นโทษ คือ ธรรมชาติจะเป็นกลางๆอยู่เสมอ ไม่ได้ลำเอียงไปในข้างใด อย่างเช่น ๒๗ ที่กล่าวมา พวกเรามักมี อคติทายในทางไม่ดี ซึ่งไม่ถูก เปรียบเทียบอย่างง่ายๆ ๒๗ ความแตกแยกพลัดพรากนี้ รูปธรรมอาจจะเป็นขนมกรุบกรอบที่เปราะแตกง่าย เช่น ถั่ว ข้าวเกรียบ แคร้กเก้อร์ ฮานามิ เหล่านี้ก็ ๒๗ เหมือนกัน หากเรากินเป็นขนมอาหารก็อร่อยดีเป็นประโยชน์ แต่ถ้ามันติดคออุดหลอดลมก็เกิดโทษ จะเห็นว่าตัวขนมเองไม่ได้เกี่ยว แต่ผลที่รูปธรรมนั้นแสดงออกจะเป็นคุณหรือโทษนั้นขึ้นอยู่กับดวงชะตาต่างหาก

ที่นี้เราลองมา นึกเรื่องที่บอกมาแล้วดูโดยรวมบ้าง เราจะเห็นว่า จักรวาลใหญ่ หรือ เอกภพนี้เป็นที่มาของนามธรรมที่อยู่กระจัดกระจายทั่วไป เปรียบเหมือนพื้นที่ดินกว้างๆที่มีต้นไม้ใบหญ้า บ่อน้ำ และทางเดิน อยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีผู้ใดเป็นเจ้าของ สุริยจักรวาล นี้ ก็เหมือนมีผู้มาล้อมรั้วเข้าจัดเป็นอาณาเขตเฉพาะของตน ดวงชะตาของโลก ก็เป็นการวางผังต่างๆเพื่อให้ใช้พื้นที่แต่ละอย่างทำหน้าที่สำหรับใช้สอย เช่นเพื่อการเกษตร เพาะปลูก แปลงผัก ส่วนดวงชะตาส่วนตัว ก็คือบ้านของเจ้าของที่ ซึ่งใช้ประโยชน์ในพื้นที่นี้ ตามความพอใจของตนเอง เกิดจากลัคนาและเรือนของเรา

การที่บังเกิดลัคนา และเรือนทั้ง 12 เรือนนั้นสำคัญมาก เพราะลัคนาเป็นที่เข้าออกของธาตุที่ผ่านเข้าสู่ดวงชะตา แล้วหมุนวนผ่านเรือนทั้งสิบสองกลับไปออกที่ลัคนาอีก เรือนจากลัคนานี้ เท่ากับครอบกำหนดหน้าที่ให้แก่ เกษตรราศี ให้ทำหน้าที่เป็น เกษตรเรือน หรือ เจ้าเรือน ความสัมพันธ์ระหว่างเรือนและเจ้าเรือนจึงเป็น ระบบเรือนชะตา ในขณะเดียวกันที่ ธาตุถูกกำหนดหน้าที่ในเรือนชะตานั้นเอง มันก็มีลักษณะและรูปแบบที่กำหนดโดยจักรราศี และดวงโลกอีกด้วย เมื่อ มีสิ่งกระตุ้นคุณสมบัติของมันในกรอบระบบใด คุณสมบัตินั้นก็จะแสดงออกมาได้เสมอ เราจึงสามารถอ่านคุณสมบัติของมันในจักรราศี และ โลก เรียกว่า ระบบดาว แต่ถ้าหากระบบเรือนสามารถแสดงออกได้เมื่อใด คุณสมบัติเหล่านั้นจึงส่งผ่านมาแสดงออกแก่เจ้าชะตาได้ ดังนั้น ลัคนานี่เองจึงเป็นสิ่งที่ต่อเชื่อมระหว่างธาตุในกรอบระบบต่างๆ เนื่องจากลัคนาของเราจะปรากฏทั้งในจักรราศี โลก และ ดวงชะตาเรา ในตำแหน่งที่ตรงกัน

ดังนั้น เมื่อเปรียบเทียบกรอบธรรมชาติทั้งสี่กับดวงชะตาแล้ว ดวงชะตาในโหราศาสตร์ไทย จึงเหมือนกับดวงชะตาที่มี 4 ชั้นทับกันอยู่ ซึ่งทุกกรอบธรรมชาติจะแสดงผลต่อดวงชะตาได้ ดวงชะตาแบบไทย ที่มีช่องเส้นคู่ขนานตรงกลางตัดกันซึ่งเราใช้กันอยู่นั้น จึงเป็นดวงชะตาชีวิตของเราเอง และเป็นช่องทางหรือ ผลที่บังเกิดจากกรอบธรรมชาติทั้งสี่สัมพันธ์กัน หากเราแบ่งตามหน้าที่ของปัจจัยในกรอบธรรมชาติแล้ว ก็จะเปรียบเหมือน ปัจจัยในกรอบของจักรวาล หรือ เอกภพ เป็นเสมือน ธาตุพื้นฐานวัตถุดิบ สำหรับสร้างชีวิต สุริยจักรวาล บังคับเอาธาตุพื้นฐานเข้ามาเป็นรูปแบบ ของชีวิตในที่กำหนดในจักรราศี โลก หมุนนำเอาธาตุในสุริยจักรวาลเข้ามาแสดงลักษณะของชีวิตและสิ่งแวดล้อมบนโลก และสุดท้าย คือดวงชะตาของเรา ซึ่งเกิดจากลัคนา และบังเกิดเรือน ซึ่งก็คือ ความสัมพันธ์ หรือ หน้าที่ ซึ่งกำหนดให้แก่นามธรรมและรูปธรรมที่จะจะแสดงผลต่อชีวิต ทั้งร่างกายและจิตใจของเรานั่นเอง โดยย่อๆ หน้าที่ของธาตุ ในกรอบธรรมชาติทั้งสี่ที่เราจะจำได้ง่ายหน่อย ก็คือ เอกภพ คือ วัตถุดิบ(ปรัชญาธาตุพื้นฐาน) จักรราศี คือ รูปแบบ โลก คือ ลักษณะแสดงออก และ ลัคนา & เรือน คือ ความสัมพันธ์ (หน้าที่) หลักจำนี้ เมื่อเรานำมาใช้เพื่ออ่านดวงชะตา ก็จะไม่สับสน

การดูดวงชะตาแบบไทย เราจึงมักจะมองจากกรอบภายนอกเข้ามาสู่ภายใน ธาตุเดิมที่เคยเป็นนามธรรมในจักรวาลใหญ่ จึงเปลี่ยนแปลงไปมากสำหรับการใช้อ่านทั่วไปในโหราศาสตร์ ธาตุที่เข้ามาสู่โลกแล้ว และอยู่ในดวงชะตา ถือเป็น ธาตุดาว อย่างเช่น อาทิตย์ ที่เป็นการรวมตัวแล้วพุ่งขึ้นสูง จักรราศี คือรูปแบบที่สูง มีอย่างเดียว หรือ มีน้อย โลกมองเห็นลักษณะเป็นจุดเด่น เป็นเอก ของที่มีค่า มีราคา เป็นศูนย์รวม เช่นหัวหน้า พระราชา อัญมณี หรือเป็นประเภทสัตว์ปีก เพราะบินสูง ก็คือ ครุฑ นก ไก่ หลายชาติจึงเอาครุฑมาเป็นสัญลักษณ์แทนอาทิตย์หรือ พระราชา เมื่อใดเข้ามาสู่ดวงชะตา เช่นเป็นกัมมะ ก็เป็นงานราชการ (เกี่ยวกับพระราชา) ดังนี้เป็นต้น

เราลองดูธาตุดาวอื่นโดยไม่บอกกรอบธรรมชาติแล้วลองคิดดู จันทร์ ทำสิ่งเดียวเป็นหลายสิ่ง จึงเป็นของที่มีจำนวนมาก แพร่หลายไปทั่ว พวกของเหลว เช่น ประชาชน(มีเยอะ) เงินธนบัตร (แพร่ไป) น้ำประปา (ใช้ทั่ว) บริการประชาชน (เช่น หมอ พยาบาล) อาหาร ขนม บ้านเรือน ที่ดิน (พันธุโลก) แบคทีเรีย นัยน์ตา กำไร (ส่วนเพิ่ม) ฯลฯ

อังคาร รับพลังงานเข้าแล้วถ่ายพลังงานออก เป็นพวกกลไก เครื่องจักร รถยนต์ สปริง เหล็ก นักกีฬา ทหาร อาวุธ สมอง เขียนไปมากแล้ว พุธ ส่งผ่าน คือ สื่อสาร พูด เขียน เรียนหนังสือ ธุรกิจ ค้นคว้า เล่นการเมือง (สืบทอดอำนาจ) คิด น้ำ ของเหลว ของไหล หนังสือพิมพ์ อินเตอร์เน็ท เครื่องคอมพ์ เครื่องคิดเลข พฤหัส ขยายออก หรือ แผ่ไกลออกไป คือ การพัฒนา ความก้าวหน้า เพิ่มขึ้น ต่างประเทศ (แผ่ไปไกล) ผ้า กระดาษ (แผ่ออกทางแบน) ภาชนะหีบห่อ (ห่อของ) แก้วเลนส์ (ขยายแสง) แก้วน้ำ (ภาชนะ) กล้องโทรทัศน์ กล้องดูดาว ปัญญา วิจัย(ขยายความคิด) เสื่อ (ประโยชน์)

ศุกร์ สอดคล้องกลมกลืน สำเร็จ เป็นพวก รูปทรงกลม หรือ โค้ง ความราบเรียบ ศิลปะ เพลง (มีทำนอง) สีสัน นางงาม (36 -22 -36) เอ็นไซม์ แอร์ (สบาย) น้ำมันหล่อลื่น กามารมณ์ แมว (ชอบคลอเคลีย) เครื่องประดับ(ของสวย) สังคม (การประกอบกัน) เสาร์ หดตัวเข้า มั่นคง เช่น พวกก่อสร้าง อิฐหินดินทราย เหล็กเส้น เส้นผม (เส้นเล็ก) เส้นเอ็น ของละเอียด (หดมาก) จู้จี้ (ละเอียด) ใจแคบ (เพราะหด) เป็นทุกข์ (บีบรัด) ช้า (มั่นคงอยู่กับที่) สมาธิ รวมศูนย์ อาฆาต (มั่นคงไม่ยอมเลิก) นักโทษ(ที่แคบ) ไสยศาสตร์ (พลังงานแฝงสูง) ราหู ยึดติด หลงใหล เช่น แม่เหล็ก การพนัน สุรา ยาเสพติด นักเลง ยาดอง มืดมัว ภาพยนตร์ ละครน้ำเน่า โฆษณา นักการเมือง ไสยศาสตร์ เสน่ห์ เล่ห์กล พิศวาส นักเล่นกล คนโกง ฯลฯ อะไรทำนองนี้แหละ หากรวบรวมเอาตามที่ตำราทุกเล่มกล่าวถึง มารวมกันไว้ ก็คงเขียนไม่ได้หมด เพราะรวมๆแล้วก็เป็นธาตุและวัตถุหมดทั้งโลกนั่นเอง

ข้อความเหล่านี้เป็นการสรุปโดยย่อๆ อย่าเคร่งครัดมากเกินไป เพราะไม่มีธาตุใดอยู่ด้วยความหมายบริสุทธิ์ได้โดยลำพัง และธาตุมักจะวิ่งผ่านระดับ(ภพ) ขึ้นลงอยู่เสมอ ความหมายอาจจะแปรเปลี่ยนปะปนกันได้ แต่เราจะใช้พิจารณาเมื่อเราจำเป็นต้องศึกษาวิเคราะห์หลัก หรือ คำทำนาย เราจะจำแนกได้ถูกระดับเท่านั้น นอกจากนั้น เมื่อนามธรรม หรือ ธาตุดาวสองชนิดขึ้นไปเข้ามีปฏิกิริยาต่อกัน ความหมายก็จะเปลี่ยนแปลงไป เช่น อังคารเข้าเจือปนกับศุกร์ ทำให้ศุกร์เปลี่ยนจากความรักบริสุทธิ์เป็นกามารมณ์ และจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อ อาทิตย์และจันทร์เข้าร่วม ดังนั้น ธาตุที่อยู่ในธรรมชาติใดก็ตาม เมื่ออยู่ในแวดวงล้อมของนามธรรมอื่น จึงไม่มีทางแสดงคุณสมบัติทางปรัชญาของตนเองโดยบริสุทธิ์แต่เพียงลำพังได้นั่นเอง


วรกุล - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:58น. (IP: 203.107.204.123)

ความคิดเห็นที่ 65
กราบเรียนอาจารย์วรกุล ที่เคารพ

1. อ่านข้อเขียนของอาจารย์ข้างบน (ข้อ 67) แล้วอดไม่ได้ที่จะต้องเขียนหาอาจารย์อีกเพราะหนูชอบมากค่ะ หนูพยายามรวบรวมคุณลักษณะของดาวต่างๆอยู่ และถูกใจอย่างยิ่งในเรื่องดาวศุกร์(๖) อ่านแล้วนั่งยิ้มเลยค่ะ...ยิ้มจริงๆค่ะ ดวงหนูลัคน์ตุลย์ ถ้าผูกดวงแบบอาจารย์ ๖(ประ) จะไปกอดกับ ๒(นิจ) ที่พิจิก หนูเลยไม่ได้ curve ขนาดนางงาน (36-22-36) แฮ่...ตอนสาวๆ ได้ 32-24-36 โค้งเว้าผิดส่วน ยิ่งตอนนี้ย่าง 45 แถมมีโรคประจำตัวต้องทานยาทำให้ขยายไปกันใหญ่ (ฮา) ... หนูเลยสงสัยว่า ผู้หญิงที่จะให้ได้ 36-22-36 นั้น ต้องมีดาวศุกร์(๖)นี้ตำแหน่งไหนอย่างไรคะอาจารย์ เผื่อหนูได้มีโอกาสดูดวงสาวๆ จะไม่สังเกตบ้างค่ะ (แต่หนูก็เป็นคนสวยนะคะ และมีฝีมือวาดภาพด้วยค่ะ)

2. ตอนเริ่มสนใจศึกษาโหราศาสตร์นั้น หนูอ่านจากที่ต่างๆ เลยตกลงผูกดวงแบบดาราศาสตร์(นักษัตร)หรือลาหิรี ดาวศุกร์(๖)ของหนูจะกุมลัคน์ แต่ตอนนี้ลองผูกแบบอาจารย์ ดาวศุกร์ไปอยู่พิจิก และได้ตนุเศษเป็น ๔ เรื่องนี้หนูไม่สงสัยแล้วเพราะอาจารย์กรุณาอธิบายมามากแล้ว แต่เผอิญว่าเมื่อหนูผูกดวงลูกชายคนโต โดยผูกแบบอาจารย์จะได้ตนุเศษเป็น อังคาร(๓)อยู่สิงห์ดวงเดียวโดดๆ อาทิตย์ไปอยู่มิถุนโดดๆ แต่ถ้าผูกแบบลาหิรีจะได้ตนุเศษเป็น พฤหัส(๕) กุมลัคน์กันย์ร่วม ๒ ๙ หนูดูอุปนิสัยของลูกชายแล้ว เขาน่าจะมีนิสัยแบบ ๕ มากกว่า คำถามที่ต้องการเรียนปรึกษาอาจารย์คือ ถ้าในบางดวงเราดูแล้วไม่ตรงนิสัยที่แท้จริง (เวลาเกิดถูกต้องแน่นอน) เราเปลี่ยนวิธีผูกดวงไปเป็นลาหิรี จะดูแปลกๆ หรือไม่คะ หรือมันจะดูทะแม่งๆ ไหมคะที่เราต้องเปลี่ยนวิธีผูกดวงไปๆมาๆ ขอความกรุณารบกวนอาจารย์แนะนำตามแต่อาจารย์เห็นสมควรและมีเวลาค่ะ

3. ที่จริงยังมีอีกเรื่องหนึ่งไม่เกี่ยวกับโหราศาสตร์แต่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ คือหนูมีคำถามติดค้างลูกชายน่ะค่ะ คือว่าในตอนนี้เวลาประมาณ 1 ทุ่มเมื่อท้องฟ้ามืด ทางด้านทิศตะวันตกเหนือ plain ประมาณ 45 องศา จะมองเห็นดาวดวงหนึ่ง ดวงใหญ่สุกสว่างมากๆ กระพริบเล็กน้อย เห็นอย่างชัดเจน ที่บ้านหนูสนใจดูดาวค่ะ กำลังเป็นมือสมัครเล่นกัน สามีซื้อกล้องดูดาวมาฝากจาก ตปท. ลูกชายถามแม่ว่าดาวอะไร หนูตอบไม่ได้ พยายามไป search ตามเว็บต่างๆ ทั้ง ตปท และเว็บไทย ก็ไม่มีใครพูดถึง ในเว็บดูดาวดอทคอมก็ไม่พูดถึงและเว็บนี้ไม่มีกระดานถามปัญหาค่ะ ถ้าอาจารย์จะกรุณาตอบข้อนี้ให้ด้วยจักเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ .........ขอแสดงความนับคืออย่างสูง


หนู(กิ่ว) - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 08:45น. (IP: 210.246.80.39)

ความคิดเห็นที่ 66
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ....จากบทความก่อนหน้าของอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า “เมื่อเราเกิดมานั้น โครงสร้างธาตุในดวงชะตาเดิม (ดวงกำเนิด) จะเป็นแบบพิมพ์เขียวอย่างหนึ่งที่กำหนดความเป็นไปของธาตุเอาไว้ ดวงดาวต่างๆมีหน้าที่ส่งธาตุลงมาประจุให้เต็มตามตำแหน่งที่ดวงเดิมระบุ ซึ่งกว่าจะรับเต็มได้ ต้องใช้เวลาถึง 60 ปี ระหว่างที่ธาตุยังไม่เต็มนี้ คนเราจะได้รับธาตุส่วนมากจากธรณี” จากข้อความข้างต้นผมมีความสงสัยว่า 1.ดาวพฤหัสจรครบ1รอบ(12ปี) ธาตุดาวในดวงชะตาจะยังมีปริมาณน้อยอยู่? ความเป็นมาตรฐานต่างๆจะยังไม่แสดงให้ปรากฏได้ชัดเจน หรือยังไม่พร้อมทำงาน? เพราะได้รับธาตุดาวมาเพียง 1/ 5 รอบ หรือได้รับมาแค่20% เท่านั้น ต้องรอให้ดาวพฤหัสจรครบ5รอบราศีจักรก่อน ดาวทุกดวงในดวงชะตาจึงจะได้รับการบรรจุธาตุ 100% (จึงจะแสดงแสดงบทบาทของตนได้อย่างเต็มที่ ) ? 2.ธาตุดาวดวงใดดวงหนึ่งในดวงชะตา ไม่ว่าจะมีความจุธาตุมากหรือน้อยก็ตาม เช่นธาตุดาวเสาร์ในดวงชะตาจะอยู่ราศีใดก็ตาม จะได้รับการบรรจุธาตฺเต็มเมื่อ อายุ60ปี 3.ธาตุดาวในดวงชะตาจะได้รับเการเติมธาตุในจักรวาลให้เต็มพร้อมๆกันทุกดวงเมื่ออายุครบ60ปี หรือธาตุดาวในดวงชะตาจะได้รับการเติมให้เต็มไม่พร้อมกัน โดยธาตุดาวในดวงชะตาจะได้รับการเติมให้เต็มเป็นลำดับลำดับไป? 4.ธาตุดาวในดวงชะตาดวงใดดวงหนึ่งมีโอกาสเติมให้เต็มได้ได้ก่อน แม้เจ้าชะตามีอายุแค่10ปีหรือ20ปีก็ได้แล้วแต่ละคนไป ? 5.ธาตุดาวในดวงชะตาที่มีความจุธาตุมากเช่นเป็นเกษตรหรืออุจจ์ กับธาตุดาวในดวงชะตาที่มีความจุธาตุดาวต่ำ เช่นเป็นประ หนือ นิจ ใช้เวลาในการบรรจุธาตุดาวต่างกันหรือไม่ 6.หากธาตุดาวในจักรวาลบรรจุเต็มดวงชะตาแล้ว ก็ไม่ควรนำธาตุในธรณีมาใช้เป็นเครื่องมือในการพยากรณ์ ? รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ด้วยครับ


ศ.fa200 - 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 17:20น. (IP: 124.157.228.192)

ความคิดเห็นที่ 67
ตอบคุณ หนู(กิ่ว) (ความเห็นที่ 68)............ข้อ. 1 ตอบยากครับ รูปร่างของคนไม่ได้ดูจากดาวศุกร์ดวงเดียว แต่ดาวศุกร์นั่นเองจะมีส่วนไปปรุงแต่งให้สมส่วน เราจึงไม่ได้ดูจากตำแหน่งของศุกร์เป็นหลัก แต่จะดูจากตำแหน่งสัมพันธ์กับร่างกาย ซึ่งส่วนมากคือ อาทิตย์ ดาวศุกร์ต้องมีกำลังเช่นเป็น มหาอุจ มหาจักร หรือได้กำลังคู่ธาตุ คู่มิตรอะไรแบบนี้ นอกจากนั้นก็เป็นโครงสร้างธาตุที่เกิดจากกรรมพันธ์

2 / เรื่องนิสัยใจคอไม่ได้ดูจากตนุเศษอย่างเดียวครับ ปัจจัยในดวงชะตามีถึง 7 – 8 ตำแหน่ง เช่น ลัคนา ดาวกุมลัคน์ ดาวกุมตนุลัคน์ ตนุเศษ ราศี ดาวที่ทำเกณฑ์ถึง เป็นต้น เพราะนิสัยคนมีตื้นลึกหลายลักษณะ เช่น บุคลิกที่แสดงออก ไปจนถึงสันดาน และจิต จะสังเกตเอาง่ายๆอย่างเดียวไม่ได้ครับ ตำแหน่งดาวจะพิสูจน์ไม่ได้ด้วยวิธีสังเกตนิสัย

3 / เรื่องดาว บอกเอาแบบนี้ไม่ทราบหรอกครับ ไม่รู้ว่าเป็นดาวฤกษ์ หรือ ดาวเคราะห์ อาจจะเป็น พฤหัสก็ได้ ถ้าอยากรู้ต้องโพสต์ถามเว็บดาราศาสตร์ดูครับ search googles หาเว็บก่อน หรือ ดู links จากเว็บนี้ จำไม่ได้ว่ามีบอร์ดถามตอบหรือ เปล่า แต่มีหลายเว็บถามได้ เพียงช้าหน่อย

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 69)............เคยตอบมาแล้วนี่ครับ ธาตุในดวงชะตาก็คือธาตุปกตินี่แหละครับ เพียงแต่แหล่งที่มาจะต่างๆกัน เราไม่ต้องทราบ ก็ไม่เป็นไรและดูไม่ออก เพราะเป็นธาตุชนิดเดียวกัน ต่างกันแต่คุณสมบัติลึกๆหลายอย่าง เช่น พลังงานธาตุ และมีสิ่งหนึ่งที่สำคัญในธาตุที่ได้จากแหล่งต่างๆ โบราณเรียกว่า ธาตุของชีวิต (ไม่ใช่ชนิด แต่เป็นคุณสมบัติของชีวิตในธาตุ นอกนั้นเป็นจำพวกที่มีในวัตถุ) คำนี้เขาเอามาโฆษณากันเยอะ จำภาษาอังกฤษไม่ได้ (ดูเหมือนเป็น elixir of life) เชื่อกันว่า ในทะเลมหาสมุทรจะมีธาตุระดับนี้อยู่มาก บางทีก็เชื่อว่ามีในอัญมณี อุกาบาต โสม ฯลฯ ธาตุในธรณีจะมีธาตุชีวิตที่มีพลังงานต่ำกว่าธาตุจากจักรวาลชนิดเดียวกัน ดังนั้น ธาตุดาว และเกษตรราศีที่ประจุเต็มก็จะแสดงออกได้น้อยกว่า

1 / ธาตุดาวจะประจุธาตุได้เต็ม 100 % เสมอ (เว้นบางกรณี) แต่การที่มาจากแหล่งต่างกันก็จึงทำงานได้ไม่เท่ากัน 2 / 60 ปี เป็นค่าโดยประมาณเฉลี่ยร่วมกันของคนทั่วไป เสาร์จรอาจจะครบ 1 รอบขึ้นไปก็พอ หากธาตุอยู่ในฐานะที่ประธาตุได้เร็ว 3 / ปกติจะประจุธาตุไม่พร้อมกัน ตามแต่วัยของธาตุที่เข้ามาทำงาน ครบทุกธาตุก็ราว 60 ปี แต่วัย ไม่ใช่สิ่งเดียว ลำดับธาตุยังดูจากเรื่องอื่น เช่น ในโครงสร้างดาว ดาวพวกกุม ทำเกณฑ์ถึงเจ้าวัยก็จะมีกำลังประจุธาตุด้วย 4 / อายุไม่เท่ากันถูกแล้วครับ หากดูดาวใดดาวหนึ่ง

5 / อุจ นิจ เกษตร ประ มีผลทางความจุในตัวดาว เหมือถังน้ำมัน จะเติมเบนซิน 92 หรือ 95 ถังน้ำมันไม่เกี่ยว แม้จะมีผลบ้าง เมื่อเป็นดาววัย จึงจะต่างกัน เพราะทำให้ช้า -เร็ว 6 / ธาตุในธรณี หรือ จักรวาลเป็นเพียงต่างกันด้านคุณสมบัติ แม้ธาตุจากจักรวาลที่เข้ามาแล้ว ก็จะเปลี่ยนคุณสมบัติไปเหมือนธาตุในธรณีเป็นบางส่วน เรายังคงดูจากผังธาตุในธรณีได้ โดยไม่ได้สนใจว่าเป็นธาตุจากไหน เหมือนถังน้ำมันมีเบนซิน 92 อยู่ เติมที่เมืองไทย ขับรถไปต่างประเทศไปเติม เบนซิน 95 ลงไปปนกัน สารอ้อกเทนในเบนซิน 95 ส่วนหนึ่งก็จะระเหยไปด้วย กลายเป็น 92 ปนกันอยู่ เราก็ไม่ต้องสนใจว่า เป็น 92 จากที่ไหน เพราะธาตุในธรณีก็ยังเข้าสู่ตัวเรา แลกเปลี่ยนเข้าออกอยู่ด้วย


วรกุล - 1 มีนาคม พ.ศ.2550 09:44น. (IP: 203.107.204.132)

ความคิดเห็นที่ 68
กราบเรียน อจ.วรกุล ที่เคารพอย่างสูง

ผมได้อ่านที่ อจ.ตอบกับผู้ตั้งกระทู้ต่างๆแล้วรู้สึกว่า อจ.เป็น ผู้รู้โดยแท้ และมีแต่ความกรุณาต่อผู้คนทั่วไปอย่างไม่มีประมาณ ผมเคยอ่านบางท่านที่ตอบ บางเวปนะครับ ตอบแบบขอไปที ตอบแบบเสียไม่ได้ ถามผิดนิดเดียว เอ็ดตะโร ตะเพิด จนเดี๋ยวนี้ คนไม่กล้าถามแล้วก็มีครับ ตลกดีนะครับ ผมจึงใช้โอกาสนี้ขอแสดงความเคารพและนับถือ อจ.ด้วยใจจริงครับ

ผมมีเรื่องนึงที่ค่อนข้างหนักก็คือ ในดวงของผมเอง คือผมศึกษาในแบบ ใช้นวางค์เป็นตัวตัดสินว่า ดีหรือเลว เช่น พฤหัส เป็นประในราศีจักร แต่เป็นเกษตร ใน นวางค์ ก็ให้ยึดที่นวางค์เป็นหลักพฤหัสไม่เสีย แต่ถ้าตกทุสถานภพแล้วจึงเสีย (เป็นแนวที่ อจ.ท่านนึง เผยแพร่ ซึ่งเวลาทำนายดาวจรก็ใช้ได้ดี) แต่ ดวงผมเอง ดูแล้วก็ดีนะครับ ในราศีจักรก็ดีเรื่องงานด้วย ดาวพฤหัสเจ้าเรือนกัมมะ อยู่ในศุภะ งานน่าจะดีแต่กับชีวิตจริง กลับเป็นตรงข้าม ผมจบการศึกษาปริญญาโท mba แต่ว่าตกงานมากว่า 10 ปีแล้ว ทำกิจการอะไรก็เจ๊งมาตลอด ล่าสุดก็เพิ่งเลิกไปเมื่อ ธ.ค. 49 มานี้ การเงินฝืดเคืองมาตลอด อาศัยแต่ภรรยามีงานการทำดีมากและเธอไม่เคยนึกรังเกียจ ผมรู้สึกอับอายเธอและญาติๆของเธอมากและก็ท้อแท้เซ็งสภาพชีวิตตัวเองที่เหมือนคนไร้ความสามารถ ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองและภรรยาได้ ผมเลยไม่เข้าใจว่า ในดวงมันไม่น่าจะเป็นขนาดนี้ แต่ไฉน ความจริงมันเลวร้ายยิ่งกว่าดวงของคนอื่นๆอีกมากเลยครับ จึงใคร่ขอรบกวนอจ.ช่วยชี้แนะสิ่งที่พอเป็นประโยชน์แก่ผมบ้างเพื่อว่าชีวิตจะดีขึ้นบ้าง ตอนนี้ผมหมดหวังที่สุดแล้ว สมัครงานก็ไม่เคยได้ ลงทุนก็เจ๊งอีก ผมจึงไม่รู้จะเดินทางสายชีวิตนี้ไปทางไหนดีครับ และไม่รู้จะประกอบอาชีพอะไรด้วยครับ

ผมเกิด 20 เมษายน 2505 เวลา 10.15 น. กรุงเทพ

ผมหวังว่า อจ.จะกรุณาชี้แนะทางสว่างแก่ผม จะจดจำและเป็นพระคุณไปตราบเท่าวันตายครับ


ณัทกฤต - 1 มีนาคม พ.ศ.2550 22:12น. (IP: 124.121.123.196)

ความคิดเห็นที่ 69
คำถามของคุณ ณัทกฤต จะยกไปกระทู้หน้านะครับ

กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 24....ครับ..........


วรกุล - 2 มีนาคม พ.ศ.2550 05:01น. (IP: 203.107.203.253)

ความคิดเห็นที่ 70
ม้าหมุนเคนลื่อยังไงที่


ภู - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:54น. (IP: 61.7.165.202)

ความคิดเห็นที่ 71
เรียนอาจารย์ที่เคารพ

ผมอยากทราบว่า (ชอบบังคับจิตใจผมชอบบังขับให้ผมเลิกกับแฟน) แล้วไม่เลิกแต่เค้าทำทุกอย่างเพื่อให้เลิก ทำทุกอย่าง ผมกับแฟนจึงคิดว่าจะไปบวชแต่คนล่ะ ผมบวชพระ เค้าบวชชีพรามณ์ แล้วช่วงนี้แฟนผมฝันเห็นพญานาคสีดำ แล้วเฟ้อว่า เค้ามาช่วยแล้ว ผมฝันเห็นพญานาคสีดำอยู่ข้างๆแล้วจิตนึกให้รวมเป็นหนึ่งแล้วผมจะบวชแล้วอาทิตย์หน้า ผมจะรอดไหมครับ แล้วพยานาคที่เห็รคืออ่ะไรครับ ผมชอบมากรู้สึกผูกผัน 10/8/31ครับวันเกิดประมานตีสองถึงสาม


ปาน - 18 มีนาคม พ.ศ.2551 14:32น. (IP: 203.156.69.2)