เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 24)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 23 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 24 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.203.253)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 2
ตอบคุณ ณัทกฤต (ความเห็นที่ 1)............ผมไม่ได้รับพยากรณ์ดวงชะตาในกระทู้นี้ เดี๋ยวคนอื่นก็จะเข้ามาถามด้วย ที่จริงการเขียนและตอบปัญหาในกระทู้ใดไม่ใช่เรื่องน่าสนุก หากทำเพื่อรายได้ หรือ ชื่อเสียงผลประโยชน์ก็ไปอย่าง แต่ถ้าทำแบบเหนื่อยเปล่าก็หนักใจอยู่ ส่วนใหญ่คนถามมักจะคิดว่าถามฟรี และ ฉันก็มี “สิทธิ์” ถาม จึงไม่ค่อยระวังคำถาม ถามปัญหาโหร ก็ไม่อธิบายคำถามว่าอยากจะรู้อะไรแน่ อย่างการถามดวงชะตา ก็ถามจนอาจารย์บางท่านปิดกระทู้หนี มักถามในสิ่งที่ไม่จำเป็นที่จะต้องรู้ หรือไม่ก็ไม่ให้ข้อมูลมาเลย การดูหมอแต่ละคน หากคิดจะช่วยกันจริงๆ ไม่ตอบชุ่ยๆก็ต้องดูกันทั้งวัน แล้วผูกปีทายอยู่หลายปีจึงจะได้ประโยชน์จริง ดังนั้น หากไม่มีเวลามากพอ ก็ต้องให้ข้อมูลมาบ้างเพื่อที่จะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องอ่านเดาในสิ่งที่รู้แล้ว เพราะดวงชะตาเราจะขึ้นอยู่กับสิ่งที่รู้แล้วนั่นแหละ บางคนก็บอกข้อมูลผิดๆให้ทายใหม่อยู่หลายครั้ง ผมเคยเจอคนที่บอกข้อมูลวันเกิดผิด ขอแก้ไขถึง 5 ครั้ง ทั้งวัน เดือนปี และเวลาเกิดก็มี เรื่องโหราศาสตร์ที่คุณบอกมา ไม่ว่าราศีจักร นวางค์ อะไรล้วนไม่ถูก อธิบายไปก็ยาว หากยังเริ่มเรียนโหราศาสตร์อย่าเพิ่งใช้ “นวางค์” ครับ ตำราที่สอนๆกันอยู่มักทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย ต้องดูก่อนว่าคุณมีปัญหาอะไร ดวงผูกถูกหรือไม่ถูก ข้อมูลอะไรก็ไม่ได้บอกมาให้มากนัก แต่ก็ยังดีที่บอกการศึกษากับการตกงานมาพอให้อ่านดวงได้

ดวงคุณชะตายังคงไม่ค่อยดีแบบนี้อยู่อีกร่วม 10 ปี จึงจะค่อยฟื้นขึ้น งานอาชีพช่วงนี้ยังทำงานเป็นลูกจ้างไม่ได้ดี และทำอะไรส่วนตัวก็ไม่ได้อีกด้วย คิดทำอะไรก็ไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอย สวนทางกับเหตุผลที่ควรจะเป็น และไม่สำเร็จ อาจจะมีปัญหาหนี้สินเพิ่มขึ้น พอดวงดี ความคิดที่ถูกมันก็จะกลับมาเอง หนทางที่พอจะเป็นไปได้ แต่ยาก (เพราะตัวคุณเอง) คือ ถ้าอยากทำงานก็ต้องเป็นลูกจ้างเขาแบบไม่เอาตำแหน่ง แต่ได้เงิน และก็ไม่เลือกหน้าที่ที่ตรงกับความรู้ ที่คุณคิดว่าคุณมี และก็อย่าไปหมกมุ่นเรื่องหมอดูหรือไสยศาสตร์พวกทรงเจ้ารดน้ำมนต์ ช่วง 2 ปีนี้ หากสมัครทำงานพวกที่ติดต่อต่างชาติ หรือ บริษัทต่างชาติได้ก็ดี แต่จะยังไม่ก้าวหน้า หากทำส่วนตัว ก็ควรให้ญาติพี่น้อง หรือภรรยา เป็นเจ้าของหรือผู้นำเสียชั่วคราว แล้วคุณเป็นคนทำงาน หรือ เป็นลูกจ้างก็จะช่วยไม่ให้ล้มเหลวได้ อีกสัก 10 ปีไปแล้วตอนคุณฟื้นขึ้น ภรรยาคุณอาจจะมีปัญหาเรื่องการงานและรายได้ ก็จะพอทันประคองครอบครัวต่อไปได้ ช่วงอายุสัก 60 ไปแล้ว ชะตาจะกลับมามีอะไรที่อุดมสมบูรณ์ ส่วนเหตุผลที่จะอธิบาย ผมไม่มีเวลาพอจึงไม่อยากจะวิเคราะห์และพยากรณ์ ผิดไปก็จะเป็นบาปกรรมไปเปล่าๆ


วรกุล - 2 มีนาคม พ.ศ.2550 16:31น. (IP: 203.107.205.32)

ความคิดเห็นที่ 3
เรียน อจ.วรกุลที่เคารพอย่างสูง

กราบขอบพระคุณ อจ.เป็นอย่างสูง ที่อจ.ได้กล่าวมาทั้งหมดนั้นถูกต้องทั้งหมดเลยครับเพราะมันเป็นอย่างที่ อจ.ว่ามาสักหลายปีแล้วครับ และขณะนี้ก็ยังเป็นอยู่ จากนี้ไปอีกถึง 10 ปี ถึงจะกลับมาฟื้น ก็แสดงว่าผมตกตลอดกว่า 20 ปี ผมคงมีชีวิตถึง 60 ปีหรือเปล่าก็ไม่รู้ครับ ฟังแล้วหดหู่ใจจริงๆ ผมคงต้องทำใจให้มีชีวิตสู้ต่อไปแม้ว่ามันจะยาก

ชะตาแบบนี้ไม่มีทางแก้ไขเลยหรือครับ

แล้ว ผมรบกวน อจ.อีกนิดเดียวครับเพื่อไม่ให้เสียเวลาสำหรับท่านอื่นที่ถามเข้ามา ผมคิดจะเอาดีทางเป็นหมอดูเพื่ออาศัยประกอบอาชีพบ้างนิดหน่อยก็ยังดีกว่าไม่มีเงินเลย จึงพยายามศึกษาอยู่ พอได้ฟังว่าผมไม่ควรศึกษาทางโหราศาสตร์ในช่วง 2 ปีนี้ ผมก็เลยหมดหวังอีก ผมจะพอมีโอกาสได้งานประจำทำไหมครับและเมื่อไร เพราะว่าทำส่วนตัวคงทำไม่ได้แล้ว เจ๊งมาหลายครั้งมีหนี้สินเก่าอยู่มากพอจนเข็ดขยาดแล้วครับชาตินี้ไม่รู้จะใช้หมดหรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้ ผมไม่เกี่ยงว่าจะเป็นงานอะไรครับ

กราบขอบพระคุณ อจ.และขอให้อจ.มีสุขภาพสมบูรณ์และมีแต่ความสุขมากๆครับ

หมายเหตุ อจ.รับสอนหรือเปล่าครับและสอนอยู่ที่ไหนครับ ผมอยากไปเรียนกับ อจ.มากครับ (ผมยังอยากเอาดีทางโหราศาสตร์อยู่ครับ แม้ว่าสุดท้ายจะไม่เหมาะกับผม)


ณัทกฤต - 2 มีนาคม พ.ศ.2550 21:40น. (IP: 124.121.125.243)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียน อ.วรกุล

สวัสดีครับ อ.วรกุล เนื่องจากไม่ได้เข้ามานาน พอเข้ามาก็ย้อนไปอ่านบทความเก่าที่อาจารย์เขียน ทำให้เข้าใจมากขึ้นขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ด้วยครับ และขอเรียนสอบถามเพิ่มเติม ที่ อาจารย์บอกว่า ดาวที่เป็นมหาจักร ต้องมีเงื่อนไข ไม่ทราบว่าเงื่อนไขในเรื่องอะไรบ้างครับ

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ




อายครู บ่ รู้วิชา - 2 มีนาคม พ.ศ.2550 22:01น. (IP: 203.150.101.161)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบคุณ ณัทกฤต (ความเห็นที่ 3)............ ผมไม่ได้สอนโหราศาสตร์มานานหลายสิบปีแล้วครับ และก็ไม่มีเวลาพอ จริงๆแล้ว ผมไม่อยากให้ใครหารายได้ด้วยการเป็นหมอดูเลย เพราะการใช้วิชานี้เป็นการกระทำกรรมที่แรงเหมือนกัน ยิ่งเก็บเงินเขาแล้ว ทำนายอะไรออกไปก็จะมีผลกรรมจากความผิดพลาดที่ย้อนกลับมาหาตัวเองทำให้ไม่เจริญ หากจำเป็นต้องทำเพราะเลี้ยงชีวิตในทางอื่นไม่ได้ ครูอาจารย์ท่านจึงยกเว้นให้ทำได้ เนื่องจาก วิชาโหราศาสตร์ส่วนมากที่เราเรียนมา ผู้ที่คิดและสอนวิชามักจะอุทิศให้ด้วยจิตวิญญาณ วิชานั้นจึงมีครู การศึกษาโหราศาสตร์ให้ลึกนั้นทำได้ และคุณก็จะทำได้ดีด้วย แต่การหารายได้นั้นไม่ได้อะไรมากนัก ดวงคุณตอนนี้อ่อนอยู่ และความรู้ก็ไม่แข็งพอ จึงไม่อยากให้ทำกรรมไม่ดี แต่การศึกษาโหราศาสตร์ หรือ อุทิศช่วยคนอื่นนั้นดี การไปหาคนทรง หรือ ไสยศาสตร์ ตอนนี้จะยังหลงผิดง่ายอาจทำให้ดวงแย่ ที่ไม่ให้หมกมุ่นกับเรื่องทางนี้มากนักก็เพราะดวงอ่อนอยู่ การศึกษาก็จะยังไม่มีกำลัง ทำให้เครียดเพราะไม่ก้าวหน้า ก็จะทำให้คิดทำมาหากินทางอื่นด้อยลงไปด้วย

การแก้ดวงไม่ได้แก้ง่าย ไม่งั้นทำกรรมอะไรก็ทำไป แล้วไปแก้เอาทีหลังก็สบายเกินไป ดวงคุณตกต่ำอยู่ เพราะกรรมเดิมที่เราทำมา หากคุณไม่ยึดถือศักดิ์ศรีมากเกินไป ลองทำอะไรค้าขายแบบติดดินทุนน้อย (เช่น ขายก๋วยเตี๋ยว รถเข็น แผงลอย) คุณจะไปได้ครับ มีรายได้มากเกินกว่าที่คุณคิด แล้วอีก 2 – 3 ปีไปแล้วอาศัยความรู้ที่สูงกว่า ก็จะพัฒนาให้ใหญ่ขึ้นได้ เพราะดวงตกอับจากกรรมมาสนอง อีกแค่ 2 – 3 ปีก็จะฟื้นขึ้นได้บ้าง ตอนนี้เพียงแต่คุณยังเบนกระแสเข้ารูปแบบสูงๆไม่ได้ ปริญญาโท ช่างมันก่อน หากเป็นลูกจ้างก็อย่ามองตำแหน่ง มีคนอยากได้คนที่รู้ภาษาอังกฤษ รู้กฎหมาย เยอะแยะไป แต่ค้าขายส่วนตัวจะดีกว่า ปลายปีนี้ไปแล้วจะมีโชคลาภจากการทำงานแบบนี้ นกอินทรีเมื่อยังบินสูงไม่ได้เพราะลมแรงก็ต้องยอมเป็นนกเพ็นกวิน low profile อยู่สักพักก่อน การที่ต้องเผชิญความลำบากอีกร่วม 10 ปีนั้น คือ การต่อสู้ให้ตั้งตัวได้ ไม่ใช่อีก 10 ปีดวงดีแล้วค่อยไปคิดทำ เมื่อถึงเวลานั้นจะกลายเป็นหนังคนละม้วนครับ อายุแค่ห้าสิบกว่ายังไม่สายที่จะมีความสำเร็จ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ อายครู บ่ รู้วิชา (ความเห็นที่ 4)............ดาวพวกมหาจักร เป็นดาวที่ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากว่าจะได้มา คล้ายกับพวกเล่นเกมส์ต้องฝ่าหลายด่าน ใช้ความสามารถบ้าง อดทนบ้าง กว่าจะได้เป็นแชมป์เงินล้าน ไม่เหมือนพวกราชาโชค มหาอุจ อาจจะเดินไปซื้อล้อตเตอรี่แล้วถูกรางวัลหลายล้านง่ายๆ แม้จะได้เงินมาจำนวนเท่ากัน ดังนั้น ในดวงชะตาเราจึงต้องดูดาวอื่นๆว่าจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีได้หรือไม่ เช่น มีสติปัญญา ความอดทน มหาจักรจึงมีทั้งดีและไม่ดี หากมหาจักรที่ไม่ดี แทนที่จะได้อะไรมาถูกต้องอาจจะโกงเขามา ใช้เล่ห์เหลี่ยม หรือแย่งชิงมาก็ได้ ดังนั้น ดาวพวกที่ส่งความหมายอุปสรรค เช่น กาลกิณี อริ มรณะ วินาสน์ เมื่อเป็นมหาจักรจึงมักจะแสดงผลสำเร็จได้ (แม้บางกรณีอาจจะไร้ศีลธรรม) หากเป็นดาวพวกสะดวกราบรื่น เช่น ศรี ศุภะ ลาภะ ก็จะต้องสูญเสียหรือ ยึกยักก่อนกว่าจะได้ ตามฟอร์มของมหาจักร อะไรประมาณนี้แหละ ดังนั้น มหาจักรบางทีมาช้าหน่อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา


วรกุล - 3 มีนาคม พ.ศ.2550 12:37น. (IP: 203.107.204.50)

ความคิดเห็นที่ 6
กราบเรียน อจ.วรกุลที่เคารพอย่างสูง

ผมณัทกฤตจะไม่ถามเรื่องดวงของตัวเองแล้วครับ แต่ผมขออนุญาตถามเป็นความรู้ทางด้านโหรฯบ้าง ถ้าไม่เป็นการรบกวน อจ.นะครับ คือผม อยากทราบแนวทางที่ อจ.ใช้พยากรณ์ เป็นแนวแบบไหนครับ ที่ผมทราบมาโดยทั่วไปเขาจะมีแบบสาย อจ.เทพย์ฯใช้วิมโสตตรีทศาเป็นหลักชี้ขาดหรือที่เรียกกันว่า โหราศาสตร์ อินเดีย กับแบบโหรฯไทย อจ.ใช้แบบไหนเป็นหลักครับ และแนวของ อจ.ที่มูลนิธิสอนเป็นแนวที่ อจ.ใช้อยู่ใช่หรือไม่อย่างไรครับ

อนึ่ง ผมเลิกความคิดจะใช้ความรู้ทางโหรฯเพื่อหารายได้แล้วครับ แต่อยากศึกษาเพื่อสงเคราะห์คนหวังกุศลผลบุญ หมายถึงชีวิตอาจดีขึ้นเนื่องจากกุศลผลบุญดังว่านั่นครับ เพราะผมเดาเอาว่า เมื่อเราช่วยเขา ผลบุญนั้นน่าจะส่งให้มีคนช่วยเราไม่ใช่เงินทองแต่เป็นชี้ช่องอะไรทำนองนั้นเมื่อเราลำบาก มีผลบุญแบบนี้ไหมครับ เพราะเห็นว่าอจ.ได้ช่วยตอบกระทู้และช่วยคนให้ดีขึ้นมานานแล้ว อจ.รู้สึกได้หรือมีประสบการณ์กับเรื่องแบบนี้บ้างไหมครับ

กราบขอบพระคุณด้วยความเคารพยิ่ง


ณัทกฤต - 3 มีนาคม พ.ศ.2550 23:10น. (IP: 124.121.122.97)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบคุณ ณัทกฤต (ความเห็นที่ 6)............ปกติการทำนายผมใช้โหราศาสตร์แบบไทย เป็นระบบธาตุ แต่ใช้หลายวิชา แต่จะตรวจสอบด้วยโหราศาสตร์อื่นบ้างเป็นบางทีถ้ามีเวลา ความจริงโหราศาสตร์ไทยแต่เดิมไม่ได้แบ่งแยกแบบที่เราเข้าใจกัน โหราศาสตร์ไทยเดิมๆจะแสดงออกโดยระบบเรือน และระบบดาวในจักรราศีแบบไทย ต่อมาเมื่อมีการนำโหราศาสตร์อื่นมาประยุกต์ใช้ ก็จึงกลายเป็นหลายแนวทาง

เรื่องการใช้โหราศาสตร์ช่วยผู้อื่น ผลของกรรมก็เป็นไปตามที่พุทธศาสนาสอนนั่นแหละครับ หากเราตั้งใจช่วยเขาจริง ไม่หวังแม้ผลตอบแทนที่จะได้กลับมา ก็จะได้รับความดีนั้นกลับคืนแน่นอน หากมองในทางโหราศาสตร์ ดาวที่แสดงผลไม่ดี เมื่อเราทำสิ่งที่ดี ก็ช่วยให้คุณภาพของดาวดีขึ้น ต่อไปก็จะกลับแสดงผลดีได้เช่นกัน หากเราไม่ท้อถอย ไม่หวังผล แต่ทำด้วยจิตเจตนาดีต่อไป ไม่ว่าจะเป็นผลจากทางใดก็จะให้ผลดีทั้งนั้น เห็นกับตัวเองมาเยอะแล้ว


วรกุล - 4 มีนาคม พ.ศ.2550 13:00น. (IP: 203.107.204.126)

ความคิดเห็นที่ 8
ผมอยากทราบเรื่องการดูอาชีพ ดูการงานนะครับ ให้ดูที่ภพ กัมมะ เลยหรือป่าวครับ อย่างเช่นที่ภพ กัมมะ มี เกตุ (๙) ก็ทำนายว่าจะมีอาชีพ ที่เกี่ยวกับสิ่งลึกลับเป็นนักวางแผน งานค้นคว้าทดลอง แบบนี้หรือป่าวครับ ต้องดูอะไรเพิ่มอีกไหมครับ ถ้าไม่มีดาวที่ภพกัมมะ ก็ให้ดูดาวเจ้าเรือนว่าไปสถิตอยู่เรือนไหนใช่ไหมครับ ถ้าไปอยู่ในเรือนของอาทิตย์ ก็ทำนายว่ารับราชการถึงจะดีใช่ไหมครับ

สรุปคือ ผมอยากให้อาจารย์ช่วย อธิบาย เกี่ยวกับการเลือกอาชีพ ที่เหมาะสมในแต่ละดวง (แต่ละคน) นะครับ


หนึ่ง - 4 มีนาคม พ.ศ.2550 17:36น. (IP: 58.137.48.4)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบคุณ หนึ่ง (ความเห็นที่ 8)............เรื่องการดูอาชีพการงานเป็นเรื่องใหญ่ครับ ปกติก็ดูที่ เรือนกัมมะ ดาวในเรือนกัมมะ ดาวเจ้าเรือนกัมมะ ดาวและเรือนที่สัมพันธ์ถึงกัมมะ ฯลฯ เรื่องอาชีพในสังคมทุกวันนี้มีอยู่มากมาย และบางคนก็มีหลายอาชีพตั้งแต่เกิดจนตาย จะดูดาวเพียง 1 – 2 ดวงไม่ได้ครับ การแนะนำว่าดูอย่างไรก็คือการสอนวิธีดูดวงชะตานั่นเอง แนะนำสั้นๆไม่ได้ แต่ที่คุณยกตัวอย่างมาก็พอใช้ได้ คือใช้ความหมายของดาวและเรือนนั่นเอง

การเลือกอาชีพนั้น ก็เป็นเรื่องยากอีกเหมือนกัน อาชีพที่คนเราทำที่เหมาะสมมักจะเกิดจากกรรม หรือ ดวงชะตาเดิม ดังนั้นแม้เราไปเลือกเอาอาชีพที่เห็นว่าดีที่สุด ก็มักจะทำไปไม่รอด เพราะมีอุปสรรคจนได้ หรือ ไม่ก็สอบเข้าเรียนไม่ได้ ส่วนใหญ่ที่เราเลือกได้ เพราะมีดวงชะตาบอกอยู่แล้ว อาจจะมี 2 ทาง หรือ หลายทาง ก็ตาม ส่วนใหญ่เราจะเลือกอาชีพตามดาวที่มีความเข้มแข็งและส่งผลดี ดาวที่มีความเข้มแข็งนั้นทำให้การทำอาชีพนั้นไม่ล้มเหลวได้ง่าย ส่วนการส่งผลดี เช่น อยุ่เรือนศุภะ ลาภะ กดุมภะ เป็นศรี ทำให้ราบรื่น เกิดเป็นรายได้ เงินทอง ความสำเร็จ ทำให้ได้เป็นผลประโยชน์ที่เราต้องการอยู่แล้ว อาจจะไม่ต้องดูกัมมะก็ได้ เพราะการ “ทำงาน” บางครั้งก็ต้องดูจากการ “ทำเงิน” นั่นเอง ยกเว้นแต่ว่า ดาวดวงไหนๆดูแล้วก็ไม่ดีเลยสักดวง ก็จำเป็นต้องเลือกอันที่ทำแล้วดีที่สุด เท่าที่มี ไม่ว่าจะอยู่เรือนไหนก็ตาม เพื่อไม่ให้ล้มเหลวได้ง่ายนั่นเอง ดังนั้น ก็จึงหนีไม่พ้นต้องดูดวงให้เป็นก่อน จะมาบอกเป็นสูตรทำไม่ได้ครับ


วรกุล - 5 มีนาคม พ.ศ.2550 13:59น. (IP: 203.107.202.253)

ความคิดเห็นที่ 10
เรียน อจ.วรกุลที่เคารพอย่างสูง

ผมขอรบกวนถามครับว่า ดาวในราศีจักร ก็พอเพียงต่อการพยากรณ์แล้ว โดยไม่ต้องดูคุณภาพของดาวในนวางค์จักรเลย

เพราะผมเห็นอจ.หลายท่านยังไม่ได้ข้อยุติในเรื่องนี้ซักทีครับ

ไม่ทราบว่า อจ.เห็นเป็นประการใดครับ ที่ว่า ดาวพฤหัสในราศีจักรเป็นอุจ แต่ในนวางค์เป็นนิจ ถ้าดาวพฤหัสเป็นเจ้าเรือนใด เจ้าเรือนนั้นก็ต้องตีความหมายว่าไม่ดีหรือต่ำเพราะ เป็นนิจในนวางค์ จะตีความว่าดีเพราะเป็นอุจไปไม่ได้ (คืออุจในราศีจักรนี้เป็นการเปล่าประโยชน์หรือขึ้นมาหลอกๆไปงั้น ไม่สามารถใช้ประกอบในการตีความหรือพยากรณ์ได้)

อจ.พิจารณาเห็นเป็นประการใดครับ

ด้วยความเคารพยิ่ง


ณัทกฤต - 5 มีนาคม พ.ศ.2550 14:54น. (IP: 124.121.125.178)

ความคิดเห็นที่ 11
ลูกชายเกิดที่กรุงเทพ 30 พ.ย. 2545 เวลา 15.57 น.

ชื่อ รัชพล แต่ป่วยบ่อยมาก จะเปลี่ยนชื่อดีไหม เปลี่ยนเป็นอะไรดี พอแนะนำอะไรหน่อยได้ไหม ไม่รู้ว่าถามถูกที่รึเปล่า


พ่อของลูก - 5 มีนาคม พ.ศ.2550 20:45น. (IP: 58.10.234.192)

ความคิดเห็นที่ 12
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ

ตามความเข้าใจของผม เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชะตาชีวิตของแต่ละคนนั้นอาจไม่ใช่เพราะความบังเอิญ หากแต่เกิดจากกรรมในอดีตที่แสดงออกมา แต่การดำเนินชีวิตของแต่ละคนต้องมีการทำกรรมในปัจจุบันเพิ่มขึ้นมา แล้วเราจะทราบได้อย่างไรครับว่าเหตุการณ์ที่กำลังเกิดกับเราเป็นกรรมในอดีต หรือปัจจุบัน

ขอบคุณครับ


ต้น - 5 มีนาคม พ.ศ.2550 23:32น. (IP: 222.123.72.168)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียนถาม อจวรกุลหน่อยครับ

ผมมีเรื่องขอรบกวน อจ หน่ยอครับ ครือว่าลัคนา ของผมที่ ราศีธนูเนี่ยอ่ะครับ มีดาว ๑ กุมลัคน์อยู่ แล้วในปัจจุบันนี้เองหลังเดือนสิงหาที่จะถึงนี้ ที่ ดาว ๗ จะย้ายเข้าราศีสิงห์ การที่ดาว ๗ ย้ายเข้าราศีสิงห์ มันจะส่งผลไปถึง ดาว๑ในดวงเดิมที่กุมลัคน์ด้วยรึเปล่าเหรอครับ

ผมไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า เพราะตามอ่าน ของ อจ ยังไม่หมดเลย แต่อ่านได้ที่นึง ที่อจ บอกว่า ดาวที่กุมลัคน์นั้น รับ ธาตุจากจักรวาลได้ดี (ไม่ทราบผมใช้คำถูกรึเปล่าครับ "ธาตุ"นี่เนี่ย เพราะผม งงๆ) แล้วมันจะมีผลไปถึงราศีสิงห์ด้วย ( เพราะมันเป็นบ้านของ ดาว ๑ ใช่มั้ยครับ) เพราะงั้น ดาว ๗ ที่ย้ายเข้ามาก็จะไปกระทบถึง ดาว ๑ ในดวงเดิมได้ด้วยรึเปลาคัรบ??( คือผมรู้สึกว่า ช่วงเวลามันต่างกันอ่ะครับ ดวงเดิม นี่คือ ดาวใน เวลาที่เกิด แต่ ดาวจรนี่มันคือปัมจจุบัน แล้วมันจะส่งผลผ่านทางราศี ที่เป็นสองช่วงเวลาได้รึเปล่าครับ ราศีสิงห์ ที่มี ดาว๑ กุมลัคน์ในตอนเกิด กับ ราศีสิงห์ ในปัจจุบันนี้เอง)

ดาว ๗ ที่จะย้ายเข้า คนที่มีลัคนา ราศี ธนู ทุกคน จะมีแนวโน้ม เหตุการณ์ที่จะเกิดเหมือนกับผมด้วยรึปเล่าครับ ผมจะเกิดเหตุการณ์ชัดเจนกว่า คนที่ ดาว ๑ ไม่ถึงลัคนา รึเปล่าครับ

อีกนิดครับ คือ ทำไม ดาว ๗ ในดวงผม ถึงเป็นตัวแทน ในเรื่งอ การงานหรือครับ ทั้งๆที่ เป็นดาวเจ้าเรือนกดุมพะ ( ทางด้านในกระทู้ อจ.รวิ ท่านก็บอก แล้วก็ หมอดูที่ใจดีแถว รถไฟบางซื่อก็พูดเหมือนกันครับ ) หรือเป็นเพราะทาง ทักษา งั้นหรือครับ

ผมถาม งง มากเลยครับ พอพิมพ์แล้วมันลืม เรียบเรียงไม่ค่อยถูก ครับ

รบกวน อจ วรกุลสักนิดน่ะครับ ขอบพระคุณครับ


แบงค์ - 6 มีนาคม พ.ศ.2550 00:40น. (IP: 124.121.2.234)

ความคิดเห็นที่ 14
กราบขอบพระคุณค่ะอาจารย์


หนู - 6 มีนาคม พ.ศ.2550 07:23น. (IP: 210.246.80.83)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบคุณ ณัทกฤต (ความเห็นที่ 10)............ไม่รู้อาจารย์ท่านใดที่คุณพูดถึง คุณเองต่างหากที่ยังไม่เข้าใจ เพราะไปเชื่อคำทำนายในราศีบ้าง นวางค์บ้าง ตามตำราที่เขาพิมพ์ขายกันอยู่ หากเอาเรื่องที่ตนเองเชื่อจนเป็นปัญหามาถาม ถามอีกร้อยคำถาม คนตอบก็เหนื่อยเปล่าเพราะผู้ตอบไม่ได้เป็นผู้กล่าวดังนั้น ในสังคมโหรของเรานี้ ผู้คนที่มีจิตใจอุทิศเพื่อสังคมก็มีเยอะ แต่ที่กะล่อน จิตใจคับแคบเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนก็มีมาก “เรื่องบางเรื่อง” จึงต้องโปรโมทเน้นเพื่อให้คนมาซื้อใช้ “สินค้าและบริการ” ของตนหรือกลุ่มของตน เพราะว่าของผู้อื่นผิดหมด มีแต่ของตนเท่านั้นจึงถูก บางคนก็เชียร์อาจารย์เพื่อผลักดันสถานะชื่อเสียงผลประโยชน์ของตนเองให้สูงตาม ยิ่งมีคนเดินตามมาก ก็ยิ่งกลายเป็นผลประโยชน์ใหญ่ร่วมกัน ช่วยกันเชียร์ พวกเราแต่ละคนจึงต้องรู้จักแยกแยะแยกแยะเหตุผลผิดถูกเอาเอง

กรณีนี้ มันเหมือนเราอยู่ในครัวทำอาหาร หากบอกว่าไม่ต้องใช้กะทิก็ทำอาหารกินอิ่มอร่อยได้ถมเถไป ไม่ได้แปลว่ากะทินั้นไร้ประโยชน์ ไม่ดี ต้องทิ้งเสีย เพราะคนที่แกงใช้กะทิอร่อยฝีมือสุดยอดก็มี แกงไม่อร่อยต้องเททิ้งก็มี แต่คนไม่ใช้กะทิเลยตลอดชีวิตก็ทำอาหารอร่อยได้หลากหลายสารพัดสารพันมีอยู่หลายชาติทั่วโลก คุณจบการศึกษาดี บอกเพียงแค่นี้ก็น่าจะคิดเองเป็นได้แล้ว

หากเราอยากเรียนแกงไทยใส่กะทิ ก็เรียนได้ แต่อย่าถูกเขาหลอกว่าหากเป็นแกงไทยแล้วต้องใส่กะทิ หรือ อาหารใส่กะทิทุกอย่างเป็นแกงไทย มีหลายชาติที่มีแกงกะทิ เช่น พม่า ลาว เขมร ศรีลังกา อินเดีย ฯลฯ ก็มี ผมไปต่างประเทศ ไกด์พาไปร้านอาหารไทย ปรากฏว่าเป็นร้านคนอินเดีย ที่เผยแพร่ว่าเป็นร้านอาหารไทยในปฏิทินนำเที่ยว เขาเอาแกงแบบอินเดียปรุงเครื่องเทศใส่จานแบนๆ เอามาให้จิ้มกินกับโรตี ก็อร่อยดีเหมือนกัน แต่ไม่ใช่แกงไทย พอเข้าใจได้ว่าเป็นเพราะต้องการได้ลูกค้าที่อยากกินอาหารไทย แต่ลูกค้าไม่รู้เรื่อง และก็อยากขาย คู่มือ “ปฏิทิน”ท่องเที่ยวที่ดูน่าสนใจเท่านั้น

เรื่อง “ดวงนวางค์” (ไม่ใช่นวางคจักร เพราะไม่เป็นจักร) นั้นดี มีอาจารย์หลายท่านที่ดูดวงราศีจักรแม่นยำมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้ใช้ดวงนวางค์เลย แต่ก็ใช้เป็นเมื่ออยากจะใช้ ทั้งนี้เพราะเมื่อใช้ราศีจักรเพียงพอแก่การตอบคำถามแล้ว ก็ไม่ต้องใช้ดวงนวางค์ อย่างคนที่เขาถามหมอแผนไทยเรื่องนัยน์ตาเจ็บ หมอก็ดูตาให้เขา รักษาตาให้หายเจ็บก็เพียงพอ จะไปเปิดสะดือเขาดูทำไมล่ะ แม้มีหมอบางท่านอยากเปิดสะดือคนไข้ดู เพื่อหาสาเหตุที่ลึกลงไป ก็น่ายกย่องดี แต่ไม่ใช่ไปด่าว่าหมอที่ไม่เปิดดูว่าไม่เก่ง เราเป็นนักเรียนหมอ (ดู) ก็ควรศึกษาให้รู้ว่า ควรจะดูอะไรเพื่อตรวจโรคอะไร ไม่ใช่พอมีใครเดินมาเก็บค่าไฟฟ้าน้ำประปา ก็จับเขาแก้ผ้าตรวจดูหมด เพราะเห็นเขาดูก็ดูบ้าง แบบที่นักเรียนโหรหลายคนชอบทำอยู่ ดูไปไม่รู้เรื่อง นัยน์ตาก็ไม่ได้รักษา ก็เลยกลายเป็นเวรกรรมของคนไข้ไป

เรื่องอุจนิจในนวางค์ ผมเขียนไปมากหลายหนแล้ว คุณไม่ได้อ่านเองนี่ 0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ พ่อของลูก (ความเห็นที่ 11)............ถามไม่ถูกที่จริงๆครับ ทางแก้ไม่ใช่เปลี่ยนชื่อ แต่ควรไปหาหมอ โดยเฉพาะแพทย์ทางเลือกอาจจะช่วยได้ ให้ปรับปรุงการใช้ชีวิตและอาหาร หากต้องการให้หมอดูช่วย ที่เขาดูเป็นก็อาจจะแนะนำทางแก้จากดวงชะตาได้บ้าง

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ต้น (ความเห็นที่ 12)............เรื่อง “กรรม” เป็นเรื่องละเอียดอ่อนซับซ้อน คำถามที่คุณถาม ถามกันมามากแล้ว น่าไปถามในเว็บธรรมะจะมีคนวิสัชนาได้ดีกว่า หรือ ไม่ก็ไปห้องสมุดใหญ่ๆ หาหนังสือ “กรรมทีปนี” มาอ่าน ทางโหราศาสตร์เอง มีสมมุติฐานในการอ่านเรื่องนี้เช่นกัน แต่ไม่ได้มีไว้เพื่อตรวจพิสูจน์ เหตุต้นเรื่องของกรรม เขามีไว้เพื่อจำแนกแยกแยะผลของปัจจัย เช่นดาวและเรือนตามวัยที่เกิดเหตุการณ์ เท่านั้น ยังไม่มีใครรู้จริงๆได้ว่า เป็นผลมาจากกรรมส่วนไหน

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 13)............ดาวมันจรกระทบถึงกันได้ทางใดทางหนึ่งได้เกือบทั้งนั้นครับ ผมไม่มีเวลาวิเคราะห์ดวงชะตาให้แบบนี้ ใครดูให้ก็น่ากลับไปถามเขา เพราะดาวและเรือนที่สัมพันธ์กัน เป็นโครงสร้างได้หลายแบบ ก็กระทบได้ทั้งทางโยค เกณฑ์ และ ธาตุได้ ทุกดวง เพียงแต่เรื่องราวเหตุผลมากน้อยจะต่างกันเท่านั้น คนลัคนาราศีธนูมีเป็นพันล้านคน ดังนั้น บางคนเหตุการณ์ก็อาจจะเหมือน หรือ ไม่เหมือนกันก็ได้


วรกุล - 6 มีนาคม พ.ศ.2550 16:30น. (IP: 203.107.204.52)

ความคิดเห็นที่ 16
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพครับ

วันนี้ผมเห็นคุณณัทกฤต นำเรื่องของดวงนวางค์ มาถามอาจารย์ ทำให้ผมเกิดคำถามเกี่ยวกับดวงนวางค์ขึ้นมาเช่นกัน

*******************************

นวางค์ สามารถบอกการแสดงผล "เบื้องลึก" ของดาว ใช่ไหมครับ?

เท่าที่ผมอ่านตำราโหรมา แต่ละเล่ม มักจะกล่าวถึงการใช้ดวงนวางค์ในทำนองที่ว่า เอาไว้พิสูจน์คุณภาพของดาวในราศีจักรว่าดีจริงหรือไม่

การพิสูจน์ดังกล่าวนี้ ที่ผมเห็นบ่อยๆ มีอยู่ 2 แนวทางครับ

แนวทางที่ 1 ดูจากมาตรฐานของดาว

เช่น ลัคนาอยู่ราศีเมษ ดาวอังคาร ตนุลัคน์ ในราศีจักรอยู่มังกร เป็นอุจจ์ แต่พอถอดนวางค์แล้วตกกรกฎ เป็นนิจ

(ออกเป็นคำพยากรณ์ได้ว่า เจ้าชะตาดูเหมือนเป็นคนใหญ่คนโต มีอำนาจวาสนา แต่จริงๆ แล้ว ก็เป็นแค่คน "กระจอก" ธรรมดาๆ คนหนึ่ง ไม่ได้มีอำนาจอย่างที่เห็นเลย)

แนวทางที่ 2 ดูจากเรือนชะตา

เช่น ลัคนาอยู่ราศีกรกฎ ดาวอาทิตย์ เจ้าเรือนกดุมภะ ในราศีจักรอยู่มีน ซึ่งเป็นเรือนศุภะ แต่พอถอดนวางค์แล้วตกธนู ซึ่งเป็นเรือนอริของลัคนาในราศีจักร

(ออกเป็นคำพยากรณ์ได้ว่า ฐานะการเงินของเจ้าชะตาดูเหมือนจะราบรื่น สุขสบาย แต่ที่แท้จริงแล้วมีความขัดสน ฝืดเคือง)

สิ่งที่ผมใคร่ขอเรียนถามอาจารย์คือ การอ่านแบบแนวทางที่ 2 ผิดหลักโหราศาสตร์ไทยหรือไม่ เนื่องจากผมสงสัยจริงๆ ว่า ตำแหน่งดาวในดวงนวางค์ นำมาดูเรือนชะตาได้ด้วยเหรอครับ? เรือนชะตานี่ส่งผลไปดวงนวางค์ด้วยเหรอครับ?

ผมขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ


นกกระจิบ - 6 มีนาคม พ.ศ.2550 19:57น. (IP: 124.120.223.143)

ความคิดเห็นที่ 17
เรียน อ วรกุล

อ่านเรื่องดาวในนวางค์ อยากเรียนถาม ไม่ทราบเข้าใจถูกหรือไม่

ดิฉัน ลัคนาราศีเมษ มีราหูกุม มีอังคารเป็นตนุลัคน์ อยู่เรือนอริ เป็นมหาจักร แต่พอดูดาวในนวางค์ อังคารนั้น แท้จริง เกาะนวางค์อุจน์ ในราศีมังกร (ซึ่งเป็นกัมมะของเจ้าชะตา)

จะตีความหมายว่า ว่าลึกๆแล้วตัวตนแท้จริงนั้น ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยมีอุปสรรคมากมาย ในการทำมหากิน หรือหางานยาก การงานไม่เด่นไม่ดัง ไม่ได้เรื่อง ดังที่เห็นภายนอกอย่างนั้นใช่หรือไม่คะ แบบนี้เราจะแปลว่าไงดีคะ เพราะแท้จริง มันก็แย่ตามความหมายอริอยู่แล้วค่ะ


ขอความเห็น - 7 มีนาคม พ.ศ.2550 00:20น. (IP: 203.144.187.18)

ความคิดเห็นที่ 18
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 16) และตอบคุณ ขอความเห็น (ความเห็นที่ 17)

............ธรรมดาการสอนวิชาอะไรในโรงเรียน นักเรียนก็จะเรียนกันตามชั้นต่างๆไล่กันไป จากขั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยม หรือ มหาวิทยาลัย แต่การเป็นผู้ตอบหรือสอนในเว็บบอร์ดที่นี่มีข้อเสียคือเป็นห้องเรียนเปิด เวลาตอบอธิบายปัญหามัธยม เด็กประถมก็จะเดินเข้ามายกมือถาม บ่อยครั้งก็จะมีเด็กอนุบาลที่มาใหม่ เดินเข้ามาในชั้นเรียน advanced calculus ปีสองปริญญาตรี แล้วถามว่า 1 + 2 เท่ากับเท่าไร ร้านลุงมีไปทางไหน เพิ่งจะเรียนโหราศาสตร์เพื่อเอาไปวางฤกษ์ผ่าท้องเมียสัปดาห์หน้าจะวางฤกษ์อะไรดี ดูดวงให้หน่อยได้ไหมจะรวยเมื่อไร อยากขอฤกษ์เวลาคลอดเด็กที่เกิดมาเพื่อไม่ต้องไปอยู่ไอทีวีจะทำอย่างไร จะไปเปลี่ยนชื่อได้ที่ไหน ที่ อจ.บรรยายมา 2 – 3 ปีนี่ไม่ได้อ่านเลย ช่วยเริ่มที่ ก.ไก่ หน่อยได้ไหม อะไรแบบนี้

นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมต้องบอกว่า “เรื่องมันยาว อธิบายไม่ได้” หรือ “เรื่องมันซับซ้อน วันหลังมีโอกาสจึงค่อยอธิบาย” เพราะเรื่องบางเรื่องต้องอ้างอิงเรื่องอื่นๆมาอีกมากมาย หากอธิบายไปง่ายๆ ก็จะฟังดูไม่รู้เรื่อง หรือ อธิบายแบบให้รู้เรื่องก็ต้องตัดสิ่งที่เข้าใจตอนนี้ไม่ได้ออกเสีย เหลืออะไรที่เข้าใจง่าย พอเหลืออะไรง่ายๆ ก็จะมีคนมายึดเอาอะไรที่ง่ายนั้นเป็นสรณะ ต่อไปพูดผิดเพี้ยนไปก็จะท้วงว่ากลับกลอก หากไม่บอกเพราะหวังดี ก็มีตนมาว่าจะหวงวิชาเอาไว้ทำไม แต่พอบอกเคล็ดลับข้อเท็จจริง (บ่อยๆ) ก็ไม่เชื่อ อ้างว่าไม่เห็นมีในตำราที่ขาย แสดงว่าเป็นความเท็จ พวกตำรา หรือ ที่อื่น บางแห่งก็จะตกอยู่ในฐานะคล้ายๆกันนี่แหละ เขียนอะไรไปก็จะมีคนเข้าใจไปกันคนละทางสองทาง

วิธีดูดวงนวางค์ที่ประยุกต์กันขึ้น เป็นวิธีผสมผสานที่สามารถออกได้หลายทาง จะตอบว่าจริง หรือ ไม่จริงตามที่คุณอ่านมาในคำถามนั้น ตอบตรงๆไม่ได้ ต้องดูจากดวงตามวิธีของแต่ละคน เพราะการตรวจสอบดวงนวางค์ก่อนที่จะทำนายคุณสมบัติดาว ไม่ได้ดูแค่ดาวในนวางค์ ก็พอๆกับการดูในดวงอีแป่ะราศีจักรนั่นเอง เราต้องรู้ว่าตำราบอกเพียงแค่พื้นฐานนับหนึ่ง ไม่ได้โกหก แต่ก็ไม่ได้บอกลูกกุญแจที่แท้จริงให้คุณใช้ได้ทุกกรณีเท่านั้น เพราะการเขียนเช่นนั้น ก็ต้องปูพื้นฐานกันยาวหลายเรื่องก่อน ถ้าไม่นับหนึ่ง จะไปนับสิบเลยก็ทำไม่ได้ แต่พวกเราเวลานับหนึ่ง แล้วมักคิดว่าเป็นสิบ หรือ ร้อยแล้ว บางคนเป็นอาจารย์ใหม่เลยก็มี

เราดู “คุณภาพ” ของดาวได้จากนวางค์ครับ ไม่ได้ดูคุณสมบัติของคน หรือ เรื่องราวต่างๆ แต่คุณสมบัติและเรื่องราวต่างๆนั้นมาจากดาวอีกทีหนึ่ง และก็ไม่ได้พิสูจน์คุณภาพดาว ผมเคยบอกแล้วว่า มีมะม่วงอยู่ลุกหนึ่งเป็นอุจ สมมุติว่าดี ผิวตรงจุดหนึ่งมันเสีย สมมุติเป็นนิจ ก็แสดงว่ามะม่วงนั้นยังกินตรงส่วนอื่นได้ดี มีเพียงตรงที่เป็นนิจ มันไม่ดี ต้องอ่านทบทวนข้อความนี้ก่อน ดังนั้น หากเอามะม่วงนี้ไปกินก็ยังอิ่มได้ หรือ แปลง่ายๆ หากในราศีจักรมันดีอยู่ แล้ววาสนาชะตากรรมมันดีเพราะดาวเป็นอุจ ก็ยังคงดีได้ เช่น ได้ยศเป็นพลเอก ความเป็นนิจใน นวางค์นั้น ไม่ได้กลับกันกับในราศี เพียงแต่เป็นคุณภาพภายในมันอาจจะด้อยลงไป หากต้องการใช้ในเรื่องนั้นๆ เช่น คนเป็นพลเอกบางคน พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นก็มี แต่ถ้าเขาไม่เกี่ยวกับภาษาอังกฤษ ได้สายสะพายใหญ่โตมีถมไป ตรงกันข้าม อีกคนหนึ่ง เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ หากภาษาอังกฤษไม่ดี จะเอาความก้าวหน้ามาจากไหน ดังนั้น จึงต้องดูดวงชะตาและรายละเอียดทั้งหมดด้วย ในกรณีที่ศุกร์ในราศีเป็นนิจ สมมุติว่ายากจน แต่ในนวางค์เป็นอุจ เขาอาจจะแสดงเก่ง ร้องเพลงเก่ง วาดภาพสวย แต่เวลาตายไม่มีเงินเผาศพก็มี ที่ยกตัวอย่างมานี้ก็ง่ายเกินไป อย่าเอาไปเป็นกฏ ที่จริงต้องพิจารณาความเกี่ยวข้องในดวงชะตาทั้งหมด

ดังนั้น การอ่านจากนวางค์มาสู่เรือนชะตา หรือ เรื่องราวรายละเอียดเลย คนที่ยังไม่รู้เรื่องก็อย่าเพิ่งไปทำ เพราะจริงๆมันมีอยู่หลายเสต็ปที่ต้องดู นอกจากรู้เรื่องดีแล้ว เวลาอ่านผ่านมารวดเดียว ดูเผินๆก็คล้ายกับอ่านโดยตรงรู้เลย การสรุปหลักเกณฑ์ที่มีหลายขั้นตอน ลงมาเป็นขั้นตอนเดียวเป็นสูตรสำเร็จ อย่างที่สอนๆบอกๆกัน จึงใช้ไม่ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าผิด


วรกุล - 7 มีนาคม พ.ศ.2550 12:16น. (IP: 203.107.204.120)

ความคิดเห็นที่ 19
ขอพระคุณ อจ.มากครับที่กรุณา


ณัทกฤต - 7 มีนาคม พ.ศ.2550 23:53น. (IP: 124.121.124.235)

ความคิดเห็นที่ 20
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

ติดตามอาจารย์มานานมาก แต่วันนี้ขออนุญาตถามทั้งโหราศาสตร์และวิธีหาทางแก้เกี่ยวกับความทุกข์ ความไม่สบายใจ อาจารย์มีความกรุณาเมตตาและตอบปัญหาแนะนำให้คลายทุกข์ได้

1.เวลาอ่านดวงพบว่าจะเกิดเหตุและต่อมาเกิดเหตุขึ้นจริง ทั้งๆที่รู้ล่วงหน้าแต่เราป้องกันไม่ได้ หรือเราเตือนคนที่มาให้เราดูดวง แล้วก็ป้องกันไม่ได้ อย่างนี้คือกรรมในทางการดำเนินชีวิต ใช่ไหม และกรรมนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าคิดในแง่ของโหราศาสตร์ กรรมนี้เป็นคนละเรื่องหรือเรื่องเดียวกันกับหลุมดำทางโหราศาสตร์ที่อาจารย์กล่าวถึง(ที่เรียกพรหมเรขา)หรือไม่

2.จริงๆโหราศาตร์มีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตในแง่ใด แง่ที่รู้ล่วงหน้าว่าชีวิตช่วงไหนไม่ดี จะได้เตรียมการแก้ไข หรือเป็นวิชาที่มนุษย์เราอยากเรียนเพราะน่าพิศวง น่าหาคำตอบ

3.คนเราจะดับทุกข์ทางใจจากการพลัดพรากได้อย่างไร จะเริ่มต้นคิดตรงไหนที่ทำให้รับสภาวะที่เป็นจริงได้


วิมล - 8 มีนาคม พ.ศ.2550 01:19น. (IP: 58.8.112.125)

ความคิดเห็นที่ 21
ตอบคุณวิมล (ความเห็นที่ 20) ............คำถามเป็นเรื่องตอบยากทั้งนั้น เรื่องคำถามแนวทางชีวิต แม้จะตอบได้ แต่ผู้ที่ฟังจะเข้าใจไปในทางใดก็คาดหมายไม่ได้ บางทีจะพบว่าฟังคำตอบก็เหมือนฟังเทศน์วิธีไปนิพพาน ฟังเสร็จก็สดชื่นเหมือนได้ถึงนิพพานแล้วจริงๆ แต่พอแค่ออกนอกโบสถ์ก็ถลำตกบ่อโคลนจิตใจว้าวุ่นเอาตัวรอดไม่ได้ ทั้งนี้ก็เพราะเราเองฟังเพียงแค่จับเหตุผลมาพอเข้าใจ แต่จิตนั้นยังไม่ได้เข้าถึงความเป็นจริง แม้จะใช้ตรรกะสักเท่าใดก็ไม่พ้นจากทุกข์ได้ คลายทุกข์แล้วก็มีทุกข์ได้อีก อันคำพูดวิเศษสวยหรูวิลิศสะมาหราเพียงใด ก็แต่งขึ้นมาได้ พระที่เทศนาจับใจคน มีชื่อเสียง เขียนหนังสือติดตลาดท้อปเทน แต่ยังมีกิเลสมากมาย สึกออกมา ทำบาปกรรมต่อก็มี

1 / พรหมเรขา เป็นวิถีชีวิตที่ชะตาเลือกเดิน จำได้ว่าไม่เคยใช้คำว่า “หลุมดำ” เลย หลุมดำ (blackhole)เป็นคนละเรื่อง แม้ความหมายของภาษาก็ไม่เหมือนกัน สมมุติตอนเช้านี้เวลาเราออกจากบ้าน หากเลี้ยวซ้ายจะโดนหมากัด ถ้าเลี้ยวขวาจะได้แหวนเพชร นั่นคือพรหมเรขา เมื่อเราเลี้ยวซ้าย เราก็จะไม่รู้เลยว่าเลี้ยวขวาแล้วจะได้แหวนเพชร แม้เราหันกลับไปเลี้ยวขวาอีกที ก็จะไม่ได้แหวนเพชร เพราะพรหมเรขาถุกปิดไปแล้ว เมื่อเราเลือกทางเดิน ส่วนหลุมดำ ในจักรวาล เชื่อว่าเกิดจากควอซ่าร์หรือดาวฤกษ์ยุบตัวลง มีแรงดึงดูดมหาศาลแม้แต่แสงก็เล็ดลอดออกมาไม่ได้ เวลาเราพูดว่าใครตกหลุมดำ ก็หมายถึง ตกอยู่ในความมืนมนไม่เห็นทางออก ออกไปไม่ได้เท่านั้น บางครั้งก็เป็นเพียงจิตมีกรรมบังเอง เหมือนสัตว์ในนรก หรือคนบางคนมีทุกข์เพราะกรรมบัง ตะโกนบอกเท่าไรก็มองไม่เห็น ไม่ได้ยิน แต่พอหมดกรรมเขาก็เห็นแสงสว่างได้เอง เพราะแท้ที่จริงแสงสว่างก็อยู่ตรงหน้าเขานั่นแหละ ไม่ได้หายไปไหน

กรรม ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีทั้งหลีกเลี่ยงไม่ได้ และหลีกเลี่ยงได้ หากมีสติดีพอ แต่การสร้างสติก็ไม่ใช่ทำได้ง่ายๆ ต้องฝึกมาก คิดให้เกิดปัญญาล่วงหน้า เมื่อกรรมจะแสดงผล หากสติปัญญาตามทันก็พอจะระงับ หรือ หลีกเลี่ยงได้เป็นบางเรื่อง กรรมใดที่เลี่ยงไม่ได้ ต่อให้รู้หรือป้องกัน มันก็เบี่ยงไปแสดงผลทางอื่นได้ กรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เขียนเท่าใดก็ไม่หมดแง่มุม แทนที่เราจะไปคิดว่ากรรมใดเป็นผลจากกรรมใด ก็ทำกรรมดี เว้นกรรมไม่ดีเสียตั้งแต่บัดนี้เลย ไม่ต้องไปสนใจ หากเห็นความเป็นไปของกรรม เตือนใครเขาได้ก็เตือน หากเตือนไม่ได้ เขาไม่ฟังก็ต้องทำใจเป็น อุเบกขา ไม่ให้จิตเราตกเสียเองก็ทำได้เท่านั้น

2 / โหราศาสตร์แท้ที่จริงเป็นเครื่องมือที่คนเราจะเรียนรู้ชีวิตและธรรมชาติ ไม่ได้เรียนไปเพื่อพยากรณ์อะไร การที่เรารู้จักชีวิตและธรรมชาติ ก็จะทำให้เรารู้จัก “ตนเอง” ว่าเราเกิดมาทำไม อะไรทำให้เราเกิดมา ปรากฏการณ์ที่ปรากฏต่อเราตรงหน้ามาจากอะไร เมื่อรู้ข้อเท็จจริงเหล่านี้แล้ว ก็จะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความไม่ประมาท ไม่ตื่นตกใจ ว้าวุ่นใจ เพื่อผลลัพธ์สุดท้ายก็คือความสุข หากเราไม่เรียนโหราศาสตร์ เราจะเรียนไสยศาสตร์ พุทธศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์ ก็เหมือนกัน การที่รู้ว่าชีวิตจะไม่ดีช่วงไหนจะได้หาทางแก้นั้น เป็นเพียงการแก้ไขที่ปลายเหตุ หากว่ารู้ดีเช่นนั้นได้จริงๆ ก็หาทางอย่าทำให้เกิดชีวิตที่ไม่ดีขึ้น จึงจะถูกต้องกว่า

3 / ความพลัดพรากแล้วเป็นทุกข์ เกิดจากอัตตาตัวตนของเรา ยึดเอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นตัวตน ของตน เมื่อสูญเสียสิ่งนั้นไปก็จึงเกิดเป็นความทุกข์ ความยึดเหนี่ยวนี้เป็นโมหะ เกิดจากอวิชชาคือความไม่รู้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เอาชนะยากที่สุด แต่ก็เอาชนะได้ หากมีความเพียรพยายามมากพอ คนที่ไม่ได้ฝึกมาเลยเมื่อพลัดพราก จิตก็จะแส่ส่ายว้าวุ่นไปตามอารมณ์ แม้หาสิ่งใดมากลบเกลื่อน ก็จะทำได้แต่เพียงชั่วคราว ไม่อาจจะขจัดได้จริงๆ เพราะจิตนั่นเอง “หวงอารมณ์” อยู่เสมอ เกิดจากอวิชชา ความไม่รู้ของจิตเองที่ยึดเหนี่ยวเอาไว้อย่างเหนียวแน่น

การดับทุกข์ใจที่มีประโยชน์ในขั้นนี้ก็คือต้องยอมรับอารมณ์นั้น แล้วเฝ้าดูมัน เผชิญหน้ากับมันตรงๆ อย่าหลบ มองดูความขมขื่นเศร้าหมองเหล่านั้น โดยทำใจตนเองให้เป็น “ผู้ดู” เหมือนเรากำลังดูใครคนหนึ่งซึ่งกำลังเป็นทุกข์ อย่าปล่อยวาง หากจิตเผลอปล่อยวาง มันจะกลับวิ่งเข้าไปเป็น “ผู้ทุกข์” เสียเอง เมื่อเผลอก็จับมันกลับมาตั้งเป็น “ผู้ดู” อยู่อย่างนี้ ดูเฉยๆอยู่ อย่าหนีมัน แล้วจิตก็จะฉลาดขึ้น เข้าใจสภาพที่เป็นจริงได้

แต่คนทั่วไปที่ไม่เคยฝึก ไม่คุ้นชินกับการเผชิญหน้ากับอารมณ์ของจิตแบบนี้ มักจะทำไม่ได้ ดังนั้น เมื่อจำเป็นก็คงต้องใช้วิธีทางกาย หาทางพักผ่อน เปลี่ยนอารมณ์ความคิด หรือ หาแพทย์ ขอยาระงับคลายเครียดในช่วงแรกที่ช่วยตัวเองไม่ได้ หากผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง “กาลเวลา” ก็จะเยียวยารักษาให้เอง เพราะแม้ความทุกข์เองก็ตกอยู่ในกฏ “อนิจจัง” ของธรรมชาติ ไม่มีความทุกข์อันใดจะคงทนถาวรอยู่ได้ตลอดเวลา เราต้องเชื่อมั่นว่า ความสุขนั้นย่อมจะมาถึงเราสักวันหนึ่งจนได้อย่างแน่นอน


วรกุล - 8 มีนาคม พ.ศ.2550 16:25น. (IP: 203.107.203.126)

ความคิดเห็นที่ 22
ในขณะที่โหราศาสตร์ทางตะวันตกส่วนมาก มักมองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าและการเคลื่อนที่ของดวงดาว โลกเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งที่เป็นปัจจัยประเภทดวงดาว นักโหราศาสตร์รุ่นใหม่มักคิดถึงดวงอาทิตย์ในฐานะเป็นจุดศูนย์กลางจักรวาล และดวงดาวทั้งหลายส่งอิทธิพลมายังโลก ตามอย่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งไม่มีใครตอบได้ชัดเจนว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้น ทั้งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์มีอิทธิพลต่อโลกได้อย่างไร

โลก มีความสำคัญมากในพวกโหราศาสตร์ตะวันออก เนื่องจากเป็นสถานที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต โหราศาสตร์ดั้งเดิม เคยคิดว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อโลก จากความคิดนี้ ได้แตกแยกออกเป็นสองสาย โหราศาสตร์บางส่วนพัฒนาไปโดยยังคงความคิดแบบเดิมอยู่ ส่วนการพัฒนาของโหราศาสตร์ตะวันออก ซึ่งเจริญในทางจิต และปัญญาได้เปลี่ยนความเห็นนี้ไป บรรดาเหล่าผู้รู้ทางโหราศาสตร์ตะวันออกกลับวางหลักทฤษฎีใหม่ว่า ทั้งโลกและดาวเคราะห์ทั้งหลายรวมทั้งดวงอาทิตย์ ต่างตกอยู่ภายใต้อำนาจความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติเดียวกัน เหมือนกัน ร่วมไปด้วยกัน ไม่ใช่สิ่งหนึ่งมีอิทธิพลต่ออีกสิ่งหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจว่า ข้อสมมุติฐานของโหราศาสตร์ตะวันออกนี้กลับตรงกันกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ในขณะที่นักโหราศาสตร์ตะวันตกเองกลับยังคงยึดถือเอาปรัชญาความคิดแบบเก่า กลายเป็นเรื่องผิดฝาผิดตัวอยู่

โหราศาสตร์ไทยถือว่า โลก เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นศูนย์กลางของสิ่งมีชีวิต โลกรับเอาธาตุที่ปรุงแต่งแล้วจากจักรวาลและดาวฤกษ์เข้ามาสู่โลก แล้วมาเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต สิ่งที่พิเศษและมีความสำคัญมากคือ การที่ “โลกหมุน” เพราะก่อให้เกิดชะตากรรมที่บังคับสิ่งมีชีวิตบนโลกให้ต้องเผชิญและหมุนเวียนเปลี่ยนไป ในขณะที่โหราศาสตร์อื่นๆส่วนมาก ไม่ได้มองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากปฏิกิริยาโลก เพียงแต่มองโลกที่เคลื่อนตำแหน่งไปตามจักรวาลเท่านั้น

ดังนั้น ผลจากโลกหมุนนี้เอง จึงเกิดอิทธิพลขึ้นสองประการ คือ หนึ่ง เกิดจักรราศีที่เกิดจากโลกหมุน (เมื่อมองจากโลก) สอง เกิดเรือน หรือ หน้าที่ ซึ่งชีวิตต้องดำเนินตาม ข้อแรก จักรราศีที่เกิดจากโลกหมุนรอบตนเองอยู่ในสุริยจักรวาล ทำให้ กระแสธาตุที่เข้าสู่โลกจะเหมือนกับสายธารที่โลกม้วนเข้าหา ทำให้จักรราศีที่มาสู่โลกเรียงตามกระแสธาตุแปรสภาพเป็นเชิงเส้น เรียกว่า จักรราศีของโลก (หรือ จักรราศีแบบไทย) พร้อมกับตำแหน่งของจักรราศี จะเคลื่อนที่ไป เมื่อเทียบกับจักรราศีที่อยู่นิ่งกับที่ในจักรวาล จักรราศีของโลกนี้จึงเป็นแหล่งของเกษตรธาตุ ในแต่ละราศี เกษตรธาตุแต่ละราศีจะมีเนื้อธาตุ เป็นอย่างเดียวกับ ธาตุดาว ที่เคลื่อนที่ไปรอบๆดวงชะตา(เคยมีข้อเขียนแบ่งชนิดของธาตุของ อ. สส. ในกระทู้แรกๆ) เช่น ดวงชะตาแบบไทยจึงเป็นเกษตรสองราศี ซึ่งเกิดจากโลกหมุน ซึ่งโหราศาสตร์ไทยบัญญัติไว้ในหลักวิชาการพยากรณ์ของเรานั่นเอง วิชาย่อยในวิชาโหราศาสตร์ไทยแต่ละวิชา มักจะวางหลักเกษตรแบบนี้ไว้ในวิชาของตน เพื่อให้สอดคล้องกับระบบวัน เดือน ปีที่ใช้งาน บรรดาหลักการโหราศาสตร์ไทยส่วนหนึ่ง จึงมาจาก เกษตรสองราศี จักรราศีของโลกนี้เองเป็นที่มาของระบบดาวในโหราศาสตร์ไทย ที่ไม่ใช่ระบบดาวตามดาราศาสตร์ จึงมีลักษณะความสัมพันธ์ของดาวเฉพาะวิชาหลายอย่างที่ต่างจากแบบสากล

แต่โหราศาสตร์ไทยไม่ได้ทิ้ง จักรราศีของสุริยจักรวาลเลย จึงมีหลักวิชาที่อ่านระบบดาวจากจักรราศีที่ใช้ทำนายในทางวงรอบธรรมชาติอื่นของจักรวาลแบบสากล ดังนั้น เกษตรที่ใช้จึงไม่ได้มาจากโลกหมุน นี่เป็นเหตุให้ผู้ที่ไม่รู้ (หรือ จงใจ) มักนำหลัก โหราศาสตร์สองประเภทมาใช้สลับ ปะปนกัน เป็นเหตุให้เกิดข้อขัดแย้งอยู่เสมอมา ซึ่งหากเป็นผู้ที่ทราบความจริงแล้ว ก็จะไม่แปลกใจ และสามารถใช้ได้เหมือนๆกัน ตามวิธีของแต่ละแบบ เพราะเหตุที่โหราศาสตร์ไทยสามารถใช้จักรราศีได้ทั้งสองแบบ (โดยปรับวิธีใช้)นี่เอง โดยทั่วไปจึงสามารถใช้ทฤษฎีเบื้องต้นเดียวกันได้ แต่จะไปแยกการใช้ออกเมื่อจำเป็นต้องสร้าง หลักวิชาใหม่ หรือ จำแนกคุณสมบัติของปัจจัยที่ใช้นั้น นอกจากนั้น การใช้ปฏิทิน ก็สามารถใช้ได้ทั้งสองแบบ (ในแต่ละเรื่อง) เพราะปฏิทินดาว หรือ ปัจจัยนั้นสร้างเพื่อกรอบธรรมชาติของโหราศาสตร์ที่ใช้อยู่ การใช้ผิดกรอบธรรมชาติต่างหากที่ทำให้เกิดปัญหาได้

ข้อที่สอง โลกที่หมุนรอบตัวเองเป็นที่มาของลัคนากำเนิด ทำให้เกิดเรือน เรือนนี้มีความสำคัญ คือเป็นกรอบ “หน้าที่"”บังคับชีวิตให้ต้องดำเนินตามโลก เรือนก่อให้เกิดความสัมพันธ์ในระบบเจ้าเรือน หรือ ระบบเรือน ซึ่งสามารถพลิกแพลงได้กว้างขวาง เมื่อใช้ประสานกับระบบดาวในจักรราศีของโลกแล้ว โหราศาสตร์ไทยจึงมีเอกลักษณ์ประสานสองระบบที่กลมกลืนกัน สามารถทำนายได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับชีวิตบนโลก

ด้วยเหตุที่โลกหมุน เป็นการกำหนด “หน้าที่” ของเรือนนี่เอง เมื่อโลกหมุนเอาเรือนมาซ้อนทับกับจักรราศี ราศี และเกษตรราศี จึงถูกกำหนดกรอบหน้าที่ให้กลายเป็นเรือนและเจ้าเรือนของโลกด้วย ดังนั้น ดวงชะตาของเราที่วางลัคนา เนื่องจากโลกหมุนแล้วเกิดเรือน เรือนเหล่านั้น จึงเป็น “หน้าที่” ซึ่งโลกบังคับ โดยไม่ได้เกี่ยวกับความปรารถนาของเจ้าชะตา เช่นในดวงชะตา เมื่อเจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนอริ เจ้าชะตาจะต้องมีการต่อสู้ดิ้นรนขวนขวาย เมื่อถูกอิทธิพลการหมุนของโลกบังคับ เกษตรราศี ซึ่งเป็นนามธรรมในกรอบของดวงชะตา จึงถูกบังคับให้ทำหน้าที่ของเรือน ที่เกิดจากลัคนา การอ่านดวงชะตาจึงต้องอ่านเรือนร่วมกับเกษตรราศี เช่น อริ (ศุกร์) คือ เดือดร้อน (ทรัพย์สิน) หมายถึง ความเดือดร้อนทางด้านทรัพย์สินเงินทอง ตามความหมายของศุกร์

ในที่นี้เรายังต้องเว้นกระโดดข้ามที่มาของความหมายเรือนไปกล่าวตอนอื่น แต่เพราะ ราศีถูกกำหนดหน้าที่ให้เป็นเรือน เรือนจึงมี 12 เรือนเท่ากับราศี (ซึ่งยังไม่ได้บอกที่มาของ 12 ราศี) แต่หลักโหราศาสตร์ไทยสูงขึ้นไป พฤติกรรมของเรือนและราศีจะต่างกัน ซึ่งอาจจะกล่าวถึงภายหลัง ความหมายเรือนโดยทั่วไปที่มีตำราบอกเอาไว้มากมายแล้วนั้น ยังไม่อยากลอกพื้นฐานมาให้ดู เป็นการเสียเวลาเปล่าๆ ซึ่งก็จะทำนองเดียวกับความหมายของธาตุดาวที่กล่าวมาแล้ว คือ เป็นความหมายทั้งในกรอบสุริยจักรวาล กรอบของโลก และกรอบของดวงชะตาเราเองปะปนกัน หากเราจะแยกดูก็ไม่ยาก แต่จะมีสาระที่สำคัญกว่าซึ่งจะกล่าวต่อไป

สิ่งที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากจักรราศี ก็คือสภาวะธาตุ เรื่องสภาวะธาตุของโหราศาสตร์ แม้อาจจะแนวคิดมาจากมหาภูตรูป แต่ก็มีข้อสมมุติที่ไม่เหมือนกันทีเดียว สภาวะธาตุของสุริยจักรวาลเดิมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สภาวะธาตุอิงอาศัยรูปนาม เมื่อมีรูปนาม จึงบังเกิดสภาวะธาตุ แล้วแยกออกเป็นสองส่วน คือ รูปธรรม (ฝ่ายวัตถุ)ที่มีพลังงานต่ำ กับ นามธรรม (ฝ่ายจิต)ที่มีพลังงานสูง ในสภาพที่แยกออกเป็น ส่วนข้นแข็ง และส่วนไหวตัวง่าย ส่วนข้นแข็งแยกออกเป็น สภาวะธาตุดิน และธาตุน้ำ ส่วนไหวตัวง่ายแยกออกเป็น สภาวะธาตุลม กับ ธาตุไฟ จังหวะของธาตุจากดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนไปคล้ายคลื่นจะแกว่งตัวสลัดเอาดินและน้ำ ไฟและลม แยกออกจากกันแต่ยันกันอยู่ตรงข้ามด้วยแรงที่ดึงดูดเพื่อกลับรวมตัวกันใหม่ เหมือนเราเอาของผสมมาแกว่งเร็วๆ มันก็จะแยกกันด้วยแรงเหวี่ยง เมื่อใดที่จังหวะธาตุหยุด มันก็กลับรวมกันใหม่ได้ คำว่าสภาวะธาตุ เป็นสภาพ หรือ สถานะ ไม่ใช่ตัวดิน หรือน้ำ หรือ เปลวไฟที่เราเห็น เช่น สิ่งที่ข้น รวมตัวกัน คือ สภาวะธาตุดิน สิ่งที่ไหล แทรกซึมได้ คือสภาวะธาตุน้ำ อะไรประมาณนี้ สภาวะธาตุที่เล็งยันกันในราศี จึงเกิดจากสมดุลของจังหวะธาตุในสุริยจักรวาล

สภาวะธาตุทางโหราศาสตร์ไม่ได้เป็นตัวรูปนาม แต่เมื่ออิงอาศัยรวมเข้ากับรูปนามก็จะมีสภาพเช่นนั้น เช่น หากสภาวะธาตุน้ำ รวมกับ อังคาร อังคารก็จะมีสภาวะธาตุน้ำด้วย การที่เรามักเข้าใจว่า พุธ ศุกร์ ธาตุน้ำอะไรนั่น เป็นเพราะเกิดจากมหาทักษา ซึ่งเป็นธาตุในธรณี แต่ธาตุในจักรวาลจะเกิดจากสภาวะธาตุในราศี เช่น พฤหัสธาตุไฟ และ ธาตุน้ำ สภาวะธาตุไม่มีเสีย ไม่สูญ จนกว่ารูปนามดับหมด สภาวะธาตุก็กลับรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วดับไปเหมือนตอนเริ่มแรก

สภาวะธาตุนี่เองที่เป็นตัวกำหนดลักษณาการ (ลักษณะ + อาการ) ของเกษตรธาตุในราศี ที่เราเรียกกันว่า ราศีธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุดิน ธาตุไฟ เมื่อเกษตรราศีถูกโลกกำหนดกรอบหน้าที่ให้เป็นเรือน และเจ้าเรือน การทำหน้าที่จึงมีลักษณะเป็นไปตามสภาวะธาตุด้วย เช่น รวดเร็ว ช้า มั่นคง ฯลฯ ผลของสภาวะธาตุจึงเป็นส่วนสำคัญในการจำแนกลักษณะประเภทสิ่งที่ปรากฏในโลก เช่น พุธในธาตุลม(ฟุ้งกระจาย) มักเกี่ยวข้องกับการพูด การแสดง ในธาตุไฟ(รวดเร็ว) เกี่ยวกับการสื่อสาร คอมพิวเตอร์ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในธาตุดิน(คงตัว)เกี่ยวกับการเขียน การพิมพ์ ในธาตุน้ำ (ปรับตัว) มักเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ สารคดี เป็นต้น แต่สภาวะธาตุก็เหมือนธาตุอื่นๆ คือ ไม่ได้อยู่โดยอิทธิพลเพียงอย่างเดียว แต่จะมีสภาวะธาตุอื่นผสมอยู่ มีผลทำให้ลักษณะปรากฏอาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้จากสภาวะธาตุบริสุทธิ์นั่นเอง

เฉพาะเรื่องสภาวะธาตุในราศีนี้เป็นเรื่องใหญ่สำคัญที่ถือเป็นเสาหลักของโหราศาสตร์หลายระบบ พวกเราบางคนจะสนใจน้อย เพราะเพียงเห็นดวงชะตาที่ตามขอบราศีมีเขียนไว้ว่า “ดิน ลม น้ำ ไฟ” เท่านั้น บางคนก็ใช้ทำนายบ้าง ไม่ใช้บ้าง แต่เรากลับมักไปสนใจธาตุในธรณี คือมหาทักษามากกว่า เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวทั่วไป การบัญญัติสภาวะธาตุในราศีนี่เองเป็นเบื้องหลังที่มาของทฤษฎีโหราศาสตร์จำนวนมาก แต่ตัวมันเองปรากฏในคำทำนายเพียงไม่มากนักเท่านั้น

ดังนั้น ธรรมชาติของสิ่งต่างๆบนโลก จึงถูกกำหนดบังคับ จากอิทธิพลของ ราศี (เกษตรราศี) เรือน สภาวะธาตุ และ (ธาตุ)ดาว ซึ่งการอ่านพื้นฐานเบื้องต้นชั้นแรก 4 ฐาน เพียงเท่านี้ ก็ได้ลักษณะของธรรมชาติที่แสดงออกมามากแล้ว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งเหล่านี้ ยังก่อให้เกิดการปรุงแต่งเพิ่มเติมกว้างขวางออกไปอีก กลายเป็นวัตถุและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายบนโลก เราจึงควรศึกษาใน 4 ฐานแรกนี้ให้เข้าใจดีก่อนที่จะเริ่มอ่านความสัมพันธ์ไขว้ซ้อนระหว่างปัจจัยทั้ง 4 ฐาน เช่น ดาวต่อดาว ดาวคู่ ดาวคู่สาม ดาวคู่สี่ ดาวคู่ห้า กลุ่มดาว เรือนต่อเรือน เรือนคู่ เรือนแฝง เรือนเกณฑ์ ธาตุแฝง กำลังธาตุ กำลังดาว มุมดาว เป็นต้น ซึ่งการอ่านดังกล่าว ก็จะช่วยให้เข้าใจที่มาของความสัมพันธ์เหล่านี้ เมื่อเรียนรู้โหราศาสตร์สูงขึ้นต่อไปได้ง่ายขึ้น


วรกุล - 9 มีนาคม พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.204.60)

ความคิดเห็นที่ 23
ผมมีเรื่องเรียนถาม อ. วรกุลครับ

1. อันโตนาทีสุริยยาตร์นั้น ถ้าเกิดต่างประเทศเราคิดลัคนาจากอันโตนาทีสุริยยาตร์จะถูกต้องหรือไม่ครับ หรือว่าเหมาะสำหรับคนไทยเท่านั้น

2. ในการใช้ฤกษ์แต่ละครั้ง หมอดูจะหาเวลาเริ่มต้นและเวลาสิ้นสุดมาให้ (นาทีฤกษ์) เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเข้าเวลานั้นแล้วจริงๆ ตามดวง ใช่เรื่องใช้การสังเกตุรางฤกษ์หรือนิมิตฤกษ์หรือไม่ ถ้าใช่จะรู้ได้อย่างไรว่าดวงฤกษ์ดวงไหน ควรมีลางฤกษ์อย่างไร


อ้วน - 9 มีนาคม พ.ศ.2550 11:52น. (IP: 203.113.67.71)

ความคิดเห็นที่ 24
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

กราบของพระคุณอาจารย์มากค่ะ print เก็บคำตอบของอาจารย์ไว้เพื่ออ่านซ้ำหลายๆครั้ง


วิมล - 9 มีนาคม พ.ศ.2550 15:07น. (IP: 58.8.104.37)

ความคิดเห็นที่ 25
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ...จากกระทู้เก่าๆได้มีการกล่าวถึงสถานะความเป็นไปของดาว/การพัฒนาไปของดวงชะตา และได้ยกตัวอย่าง “ดวงเมืองกรุงเทพ ที่มีอาทิตย์กุมลัคน์อยู่ราศีเมษ อังคารตนุเป็นประอยู่ในราศีพฤษภ เสาร์ดาวบาปเคราะห์ใหญ่ในราศีธนูร่วมพฤหัสเจ้าเรือนเกษตรก็มีทิศทางเดินขึ้นไปทางราศีมังกร จึงไม่ทำอันตรายต่อลัคนา ตนุลัคน์ หรือ พฤหัส(เกษตร)เช่นกัน แม้จะไปเล็งจันทร์ในราศีกรกฎ จันทร์เองก็เป็นเกษตร มีพลังงานธาตุอยู่เต็ม หากถูกตัดทอนลงไป ก็สามารถรับธาตุจากราศีของตนได้ดี พฤหัสเกษตรราศีธนูเจ้าเรือนที่ถูกเสาร์กุม ก็ทำนองเดียวกับจันทร์ ในดวงเมืองเดิมเมื่อคำนวณราหู ราหูอยู่ในราศีมีนภพวินาสน์ ซึ่งในจังหวะเคลื่อนต่อไปของราหูก็จะย้อนจักรมาทางราศีกุมภ์ไม่ทำอันตรายต่อลัคนา ตนุลัคน์ หรือ จันทร์เลย” จากข้อความข้างต้นทำให้ผมมีความสงสัยเรื่องการพยากรณ์ดวงชะตาในลักษณะทางจลน์ รบกวนอาจารย์ช่วยตอบข้อสงสัย และ เขียนเรื่อง”การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปลักษณะทางจลน์ของดาวในดวงชะตา”เพิ่มเติมเมื่อโอกาศเอื้ออำนวยด้วยครับ… ข้อสงสัยเบื้องต้น1. พื้นดวงกำเนิดนาย ก. ดาว7และ3 เพิ่งจะผ่านลัคน์/ตนุลัคน์มา (อยู่เป็น2แก่ลัคน์) ส่วน นาย ข. พื้นดวงกำเนิด ดาว7และ3กำลังจะทับลัคน์และตนุลัคน์ จากความแตกต่างตรงนี้ หากเราจะพยากรณ์ดวงชะตาในลักษณะทางจลน์ ชีวิตนาย ก. กับชีวิตนาย ข.จะต่างกันอย่างไรครับ...ข้อสงสัยเบื่องต้น2. นายa.ขณะเกิดมา ดาวพฤหัสกำลังจะทับลัคน์/ตนุลัคน์ (อยู่เป็น12แก่ลัคน์) ส่วน นายb. ขณะเกิดมาดาวพฤหัสผ่านพ้นลัคน์/ตนุลัคน์ไปแล้ว (อยู่เป็น2แก่ลัคน์) หากดาวทุกดวงในดวงชะตาเหมือนกันหมด ชีวิตนาย a จะต่างจากนาย b อย่างไร รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ถูกต้องด้วยครับ..


ศ.fa200 - 9 มีนาคม พ.ศ.2550 17:12น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 26
ตอบคุณ อ้วน (ความเห็นที่ 24) ............เดี๋ยวนี้ ตั้งชื่อกันสับสนนะครับ อาจจะเกิดไม่เข้าใจตรงกัน อันโตนาทีเดิมมี สามัญ กับ สารัมภ์ คำว่า “อันโตนาทีสุริยาตร” บางทีก็หมายถึง อันโตนาทีสามัญ บางทีก็ไม่ใช่ แต่ปัญหาที่ถาม ก็ตอบได้ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับอันโตนาทีทีเดียว

1 / อันโตนาทีสุริยาตรใช้ได้ทุกแห่งแม้ในต่างประเทศครับ เพียงแต่ต้องคิดปรับเรื่องเวลาและราศี อาทิตย์อุทัยให้ถูก จะปรับไปหาท้องถิ่น หรือ ปรับท้องถิ่นมาหาปฏิทินไทยก็ได้

2 / คำถามนี้ดี และตอบจริงๆว่าไม่รู้หรอกครับ การจับเวลาตามเวลานาฬิกาพอใช้ได้ เพราะวิธีอื่นก็ไม่สะดวก เพราะเราไม่มีเวลาท้องถิ่นที่แท้จริง นอกจากคำนวณเอา แม้จะใช้เวลานักษัตรก็ตาม หากมีโหรอยู่ด้วย มักจะวัดมุมดวงอาทิตย์ หรือดวงจันทร์ หรือ มุมจากดาวดวงใดที่สังเกตได้และอาจจะเกี่ยวข้องกับฤกษ์ หากเป็นฤกษ์ที่คนทำสมัยนี้ มักจะใช้ “ฤกษ์นาฬิกา” ซึ่งเป็นเพียงเวลาที่คำนวณ แต่โบราณวางฤกษ์เพียงเป็นบันทัดเท่านั้น ถือเป็น “ฤกษ์ฤาษี” แต่ฤกษ์แท้กำหนดจาก “ลางฤกษ์” หรือ “นิมิต” เรียกว่า “ฤกษ์เทวดา” (ประทาน) แม้ดวงเมืองก็เหมือนกัน โหรที่เฝ้าดูอยู่ จะคอยบันทึกลางฤกษ์เอาไว้ในปูมโหร หรือ ภาษาสมัยนี้ เรียกว่า “ฤกษ์จริง”

ฤกษ์แต่ละฤกษ์จะมี “ลางฤกษ์” หรือ “นิมิต” ไม่เหมือนกัน ดวงฤกษ์จะวางโดยคาดหมายการกำเนิดของธาตุ เช่น “ชีวะธาตุ” ในดวงฤกษ์ หรือ หากฤกษ์ทำการ ก็คาดปฏิกิริยาที่เกิดจากธาตุเข้าทำปฏิกิริยากัน ดังนั้น ผลมันจะแสดงให้เห็นรู้ได้ เช่น มีลมกรรโชกแรง 2 ครั้ง มีนกบินเป็นวงกลม ฝนตกซ่าใหญ่แล้วหยุด หรือ เกิดอาทิตย์ทรงกลด เกิดอัสนีบาตฟาดเปรี้ยง ทำนองนี้ เรียกว่า “ลางฤกษ์” แต่หากเป็น “นิมิต” ก็จะมีทั้ง “เทพนิมิต” หรือ “นิมิตฤกษ์” “เทพนิมิต” มักเกิดจากอัญเชิญเทวดา พอเทพเสด็จ บางครั้งจะแว่วเสียงดนตรี มีกลิ่นหอมตระหลบอบอวน ฝนพรมทั่วเฉพาะบริเวณพิธี ส่วน “นิมิตฤกษ์” เกิดจาก มีเหตุการณ์ตามฤกษ์เกิดขึ้น เช่น มีผู้ขี่ม้าขาว ม้าดำเข้ามาในบริเวณพิธี มีสุภาพสตรีแต่งเขียว หรือ พราหมณ์แต่งขาวเข้ามาในพิธี หรือ บางทีก็เป็นอย่างเดียวกับ “ลางฤกษ์” ส่วนมาก “ลางฤกษ์” จะเกิดเองจากธรรมชาติ แต่ “นิมิตฤกษ์” เกิดจาก เทวดา คน สัตว์ สิ่งของ หรือ โหรท่านเลือกทำขึ้น เช่น ให้ตีฆ้อง 3 หนเป็นนิมิต เป่าสังข์ ให้ประธานแต่งสีแดง จุดเทียนชัย อะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่ต้องไปเคร่งครัดเรื่องภาษา บางคนก็เรียกปะปนกัน เป็นลางฤกษ์ หรือ นิมิตไปหมด ไม่ได้ผิดอะไร

ส่วนมากผู้วางฤกษ์ต้องบอกได้ หรือ บอกคร่าวๆล่วงหน้าว่าฤกษ์ที่วางนั้น จะมี “ลางฤกษ์” เป็นอย่างใดครับ ส่วน “เทพนิมิต” นั้น คาดหมายได้บ้างจากองค์เทพ เช่น บางองค์เทพจะมีกลิ่นหอม หรือ มี ฝนตก เป็นบารมีประจำองค์ท่าน หากเชิญโดยไม่เจาะจง ก็จะมารู้ตอนนั้นแหละครับว่าองค์ใดเสด็จมา เมื่อโหรบอกมาเราก็ทำพิธีตามลางฤกษ์ หรือ นิมิตต่อเลย แต่การวางฤกษ์สมัยนี้ หาคนรู้เรื่องวางฤกษ์ดีๆยาก เพราะเขาเล่น เปิดหนังสือพิมพ์รายวัน หรืออินเตอร์เน็ท มาให้ฤกษ์ เรียนโหรวางดวงได้ก็เป็นอาจารย์ให้ฤกษ์ได้แล้ว บางทีวางฤกษ์ตั้งศาล เชิญเทวดา เทวดาไม่มา มีแต่เสียงเปรตร้องโหยหวน วางตัวเป็นเจ้าของศาลให้คนบูชา แก้ก็ยาก เจอแบบนี้ หนีได้ให้รีบหนีเลยครับ อย่าเหลียวหลังกลับมามอง แล้วค่อยไปตามใครมาแก้ให้


วรกุล - 10 มีนาคม พ.ศ.2550 04:59น. (IP: 203.107.204.211)

ความคิดเห็นที่ 27
เรียน อ.วรกุล...

ผมอยากเรียนถาม อ.วรกุล เรื่อง การทรงเจ้า ว่าแท้จริงแล้วเป็นอย่างไร หากอยากไปดูให้เห็นจริง จะมีโทษหรือข้อห้ามอย่างไร (แล้วก็ไม่รู้ทรงจริงหรือหรอก อีกอย่างไม่รู้จะไปดูที่ไหนดี)

เคยไปอ่านเจอ ว่าการทรงแบบหนึ่ง คนทรงก็มีความรู้สึกตัว แต่มือจะกวาดไปเอง(เมื่อเขียนยันต์ อักขระ) คำเรียกนี้ทำนอง ปางรูปมือของพระพุทธรูป "-มุทรา" ข้อมูลนี้จริงเท็จอย่างไรครับ หรือเป็นการทรงหลอกๆ

การเข้าทรง นี้ผิดหลักของหินยานแน่หรือไม่ครับ แล้วมหายานจะผิดไหม แล้วผิดสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ หรือไม่ หรือเป็นเรื่องสิกขาบทใหญ่ๆ อวดอุตริครับ

ผมก็เริ่มงงกับ ศาสนาพุทธในประเทศไทยเรา จริงๆ มันเป็นแบบไหนกันแน่ หากมองพระเกจิ อาจารย์ ผมว่าน่าจะเป็นแบบมนตรายานด้วยนะครับ ซึ่งน่าจะมาจากธิเบต หรือ มหายาน จากอัฟกัน แพร่เรื่อยมาจนแถบภาคใต้แหลมมลายู

จะมองว่าเป็นอุบายให้คนฝึก เวทย์มนต์ คาถา พินิจพิจารณาบทสวด คาบการสวด การเขียน จาร อักขระ เลขยันต์ เพราะ คนเราทุกคนก็อาจไม่ได้มองจุดหมายคือ นิพพาน คือ ไม่เกิดอีก อยากมีอยากเป็น อยากอยู่จนหลายๆ ชาติ อยากเป็นผู้มีฤทธิ์มีเดช มีอำนาจ

แต่พอถึงจุดหนึ่งทำใจ ทำจิตเป็นสมาธิได้ แล้วเมื่อเบื่อหน่ายในวัฏฏะสงสาร ก็พร้อมที่จะเดินสู่ทางนิพพานได้

หากลองไปถาม มนุษย์ปุถุชน ว่าอยากสาบสูญตัวตนไปเลยหรือไม่ หรือ ว่าอยากมีชาติหน้า ผมว่าทุกคนก็นึกถึงชาติหน้ากันทั้งนั้น

เอ... ดังนั้นการแบ่งแยก เขาแยกเรา ว่า หินยาน มหายาน นี่ จะทำให้เราแคบไปไหม ครับ หรือ เราควรอ่านทั้งสอง เพราะทั้งสองก็มาจากรากเหง้าเดียวกัน แต่เมื่อเกิดความขัดแย้งกันแล้วแยกสายออก

กลุ่มที่ชอบในทางอิทธิปาฏิหาริย์ ก็อาจจะอยู่ในพวกมหายาน ซึ่งเหล่าสาวกนี้บางคน อาจเคยร่ำเรียนทางอิทธิปาฏิหาริย์มา ก่อนบวช ก็น่าจะยังคงใช้บางในบางโอกาสที่ไม่ผิดพระวินัย

ผมเขียนไปเขียนมาก็งงบ้าง เพราะผมมาคิดอีกที บางทีพระพุทธศาสนาในทางหินยาน(เถรวาท) แบบของสยามประเทศเราก็ไม่ได้จำกัด เพราะเราแบ่งพุทธบริษัทเป็น 4

หากคนที่ไม่อาจบวชได้ หรือ ไม่สามารถบวชได้ก็ยังอยู่เป็น อุบาสก หรือ อุบาสิกาได้

ขอแสดงความเข้าใจของตัวผมเท่านี้ เนื้อหาจริงๆ อยู่เพียงย่อหน้าแรก หลังจากนั้นเป็นความคิดเห็นของผมครับ รบกวน อ.วรกุลแนะนำครับ


หนูน้อย - 10 มีนาคม พ.ศ.2550 12:09น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 26) ............ที่ผมเขียนคราวก่อน เมื่อดูดาว และราศี ของดวงชะตา “ในทางจลน์” หมายถึง การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเนื่องมาจากกำลัง หรือ พลังงานในตัวปัจจัยเอง ทำให้ดวงชะตาโดยส่วนรวม มีสภาพที่เปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหว (พลวัต) แต่หากมองดวงชะตาที่เป็นกรอบนิ่ง แล้วดาวจรเคลื่อนที่เข้ามาสัมพันธ์กับดาว หรือ เรือนเดิม ก็เป็นการมองดวงจรตามปกติครับ ลองคิดดูนานหน่อย จะเห็นวิธีมองที่ต่างกัน “การมองทางจลน์” นี้ เรามักจะใช้มองดวงฤกษ์ เพราะดาวที่วางในดวงฤกษ์ จะมีพลังงานต่อเนื่อง แม้หากนำมามองดวงชะตาทั่วไป ก็จะเห็นการพัฒนาของดวงชะตานั้น ซึ่งจะต่างจากการดุดาวจรทับดาวเดิม

เปรียบเทียบง่ายๆ สมมุติมีเด็กเกิดใหม่ เราผูกดวงชะตาไว้ดวงหนึ่ง สมมุติ ดาว a อายุ หนึ่งวัน หากมีดาวเสาร์จรมาทับดาว a เราก็เพียงดูว่าเสาร์ทับ a เกิดผลมาตรฐานอันหนึ่ง ทีนี้อีก 90 ปีผ่านไป คนผู้นี้อายุแก่มากแล้ว มีเสาร์ จรมาทับ a อีก หากทำนายตามมาตรฐานเดิมคำทำนายก็ใกล้เคียงกัน นี่เป็นการทำนายดาวจรทั่วไปตามเรือนและดาวอื่นในดวงเดิม ดวงจร แต่หากพิจารณาดูดาวในทางจลน์ ดาว a น yho0tcdjwx9k,;ypงจลน์ ดาว ฤั้นจะมีความ”แก่” ตัว พร้อมกับมี “ความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง” ดังนั้น หากมีเสาร์จรมาทับ a อีก ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงใน “ทางลึก” ของดวงชะตาด้วย

การพิจารณาเช่นนี้ จึงมักนิยมใช้ในการวางดวงฤกษ์ ที่ต้องคงอยู่นาน เพราะหากวางฤกษ์ดวงเมืองเพียงให้เจริญรุ่งเรือง หรือ เข้มแข็ง ไม่เสียกรุงเพียงเท่านั้น ก็เป็นการวางหมากแค่ชั้นเดียว อีก 100 ปีก็หมดอายุดวงชะตาได้ ใครๆก็วางได้ครับ แต่โหรที่เก่งจะวางดวงเมืองทางจลน์ สามารถทำให้พลังงานธาตุในดวงชะตาถ่ายเทกันเป็นวงจร พลังงานเดินได้ไม่อับ มีตัวหนุน ตัวแก้ หากอับจนเพราะการเดินของดาวใดมาส่งผลในวันข้างหน้า ดวงชะตาจะมีทางออก คลี่คลายได้ด้วยตนเองเสมอ เปรียบเทียบวงจรธาตุ ในดวงเมืองก็เหมือนเป็นวงจรไฟฟ้าสมัยใหม่นั่นแหละครับ ดังนั้น หากเราดูดาวอังคารในดวงเมืองวันนี้ กับ อังคารในปีหน้า อังคารในดวงเมืองจะมีสถานะเปลี่ยนไปแล้ว ผลจากดาวจรทับดวงเมืองจะต่างกัน นี่เป็นการดู “ในทางจลน์” ต้องเรียนเรื่องโครงสร้างของฤกษ์ไปแล้วจึงจะดูเข้าใจได้ครับ แต่หากจะเรียนเพื่อวางฤกษ์ ก็จะอยู่ในขั้น advance ไปแล้ว

ดังนั้น ปัญหาที่คุณถามมา จึงเป็นเพียงการดูดวงจรตามปกติเท่านั้น ที่จริงทั้งสองปัญหา ก็ใช้คำตอบเดียวกัน ข้อบกพร่องในการมองของคุณอยู่ที่ มองเพียงดาวในเรือน ซึ่งเป็นการมองแค่ครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่ง คือเจ้าเรือน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของเรื่องราว และรายละเอียด คุณไม่ได้มอง อย่างข้อแรก ดาว 7 และ 3 ในเรือนกดุมภะ ต้องดูว่าเจ้าเรือนกดุมภะ แสดงเรื่องราวอย่างไร สัมพันธ์กับอะไร มีความดีเลวแค่ไหน และส่งความดีเลวกลับมายังเรือนตนมากน้อยเพียงใด ต่อมา ดูดาว 7 และ 3 ที่ทับลัคนา ต้องดูว่าเจ้าเรือนตนุ แสดงเรื่องราวอย่างไร สัมพันธ์กับอะไร มีความดีเลวแค่ไหน และส่งความดีเลวกลับมายังเรือนตนมากน้อยเพียงใด ดูเหมือนกัน แต่ผลจะไม่เหมือนกัน ดังนั้น ดาวที่เดินมาในตำแหน่งทั้งสอง ชีวิตก็จะเกิดผลแตกต่างกันอย่างแน่นอน ข้อสอง ก็ไม่ต่างจากข้อแรกเลย เปลี่ยน ดาวเป็นพฤหัส เท่านั้นเอง เปลี่ยนเรือนเป็น 12 กับ 2 ก็แตกต่างที่เจ้าเรือนนั่นเอง เราต้องอ่านดวงเดิมดวงจรให้เป็นก่อนครับ จึงจะบอกเรื่องราวได้


วรกุล - 10 มีนาคม พ.ศ.2550 14:01น. (IP: 203.107.205.113)

ความคิดเห็นที่ 29
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 28) ............อากาศร้อนๆ พูดเรื่องโหราศาสตร์พอไปได้ พอพูดเรื่องไสยศาสตร์ คนภายนอกอาจจะดูผู้ที่พูดนั้นว่า “ไม่ปกติ” ก็ได้นะครับ ผมเองจะเขียนเกี่ยวกับไสยศาสตร์ยังไม่ค่อยกล้า เพราะหาคนเข้าใจยาก ทั้งๆที่พวกเราใช้ไสยศาสตร์ อยู่กับไสยศาสตร์ทุกวัน ตั้งแต่ไหว้พระภูมิ ไหว้พระพรหม เทวรูปต่างๆ ถวายข้าวพระพุทธ ฯลฯ โดยไม่รู้เหตุผลที่ทำ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ทำหรอกครับ เราอยู่เมืองไทยทำอะไรคุ้นชินนิสัย พอไปเมืองนอกดูชาวพุทธที่อื่นปฏิบัติบ้าง บางทีก็ต้องหวนกลับมาดูตัวเราว่าทำถูกหรือทำผิดกันแน่

ไสยศาสตร์ เป็น “ศาสตร์” ใหญ่พอๆกับโหราศาสตร์ มีปรัชญา มีหลักการพื้นฐานของศาสตร์ ลูกของศาสตร์เราเรียกว่า “วิชา” เช่น วิชาเคมี วิชาฟิสิกส์ เป็นลูกของวิทยาศาสตร์ ใช้หลักพื้นฐานเดียวกับวิทยาศาสตร์ ไม่ได้บัญญัติใหม่ คำว่า “ไสย” แปลว่า “วิเศษ” หรือ “ดีเลิศ” เป็นคำของพวกพราหมณ์ คนโบราณจึงศึกษาไสยศาสตร์ เพราะค้นพบความพิเศษต่างๆในธรรมชาติ แบบเดียวกับเราศึกษาวิทยาศาสตร์ในสมัยนี้ บังเอิญความพิเศษเหล่านี้ เป็นคุณสมบัติทางนามธรรม ที่เรามองเห็นได้ด้วยจิต ไสยศาสตร์จึงกลายเป็นความลึกลับ ชี้ให้ใครเห็นไม่ได้ หลักวิชาที่แท้จริงจึงหายสาบสูญไป เหลือแต่พิธีกรรม และวิธีการที่เราเองไม่รู้เบื้องหลัง เวลาใครเอาไสยศาสตร์มาทำให้เราดู เราเห็นแล้วรู้สึกทึ่ง แปลกใจ ก็พอๆกับ นักวิทยาศาสตร์เอาทีวี ไปให้คนป่าดู คนป่าก็ทึ่ง แปลกใจพอๆกันกับเรานั่นเอง

1 / เรื่องการทรง เป็นไสยศาสตร์ จริงเท็จแล้วแต่คุณสมบัติของคนทรง หากตัดพวกปลอมทรงออกไป คนทรงคือคนที่สามารถรับรู้สิ่งที่เป็น “ผลิตผล” จากจิตวิญญาณได้หลายแบบ ตั้งแต่เจตสิกทั่วไป ไปจนถึงจิตวิญญาณที่อยู่ได้ด้วยกรรม ทั้งรูปธรรม และนามธรรมนั้น มีองคประกอบ และสาเหตุที่เกิดขึ้นได้หลายอย่าง ในตัวเราทุกคน เต็มไปด้วยรุปธรรมและนามธรรมที่ซับซ้อนมากมาย คำว่า “รูป” นั้น อาจจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็นก็ได้ ไสยศาสตร์บางสาย สอนว่า มนุษย์เรามี “กาย” อยู่ 5 ชั้น ได้แก่ กายเนื้อ (กายวัตถุ) กายวิญญาณ กายอุปาทาน กายธรรม (ธรรมกาย) และ กายราหู(กายอวิชชา) ซึ่งกายแต่ละชั้นมีคุณสมบัติที่ต่างกัน ที่เขาทำคุณไสย แก้กัน รักษาโรค หรือทำอะไรแปลกๆก็ใช้บางชั้นกายนี่แหละ แต่ที่เหมือนกันทุกชั้น คือ จะมีการระวังป้องกันโดยจิตและกรรมของเจ้าของเอง แต่ “กาย” บางชั้น เมื่ออ่อนแอลง นามธรรม หรือ รูปบางชนิดก็เข้าควบคุมแทรกแซงได้ การครอบทรง จึงเป็นการทำให้กายบางชั้นที่ต้องการ เข้าได้สะดวก แต่การครอบที่ไม่ดี ก็อาจจะทำให้กายนั้นเสียหายไปเลย หรือเปิดกว้างอ่อนแอต่อสิ่งที่ไม่ต้องการด้วย

ดังนั้น ทางการแพทย์ จะตรวจพบเสมอว่า คนทรง เกือบ 100% มีความไม่ปกติทางกายหรือ สมอง เมื่อรักษาทางยา หรือให้สารเคมีที่พร่องไป เขาก็จะกลับมาเหมือนคนปกติได้เอง วิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่าการทรงเกิดจากการป่วยของคนผู้นั้น แต่ไสยศาสตร์สามารถทำให้สารเคมีในสมองพร่องไปได้ชั่วคราว รวมทั้งสารสื่อประสาทบางชนิดที่จำเป็นต้องใช้ทางประสาทรับรู้ เราจึงสามารถใช้ไสยศาสตร์ระดับล่าง เสกอะไรให้เห็น หรือปรากฏบางสิ่งต่อหน้าได้ ก็คล้ายกับป้อนข้อมูลจากหน่วยความจำเทียม ผ่านเข้าซีพียู ให้ออกทางมอนิเตอร์คอมพิวเตอร์นั่นเอง

ที่เขาเข้าทรง “เจ้า” หรือ “เทวดา” กันทุกวันนี้ เป็นคำยกย่องเท่านั้น จิตวิญญาณที่มาเข้าทรงจำนวนมากเป็นวิญญาณที่ไม่หมดกรรม เป็นโอปปาติกะเร่ร่อนก็มี ผี เปรต วิญญาณเหล่านี้มักสำคัญผิดว่าตนเองเป็น “คนโน้น” “คนนี้” ในประวัติศาสตร์บ้าง ในวรรณคดีบ้าง เพราะกรรมปรุงแต่งไป คนทรงเองก็มักมีกรรม หรือ กำลังชีวิตอ่อนลง ทำให้กายภายในอ่อนแอ มีคนทรงส่วนน้อยมากส่วนหนึ่งจึงเข้าทรงเทพเทวดาได้ แต่หายากมาก ยิ่งเข้าทรงเทพองค์สูงๆเช่น พระพรหม พระนารายณ์ หรือ พระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นนามธรรมละเอียด ยิ่งเกือบจะไม่มีเลยเพราะทำไม่ได้ ทั้งนี้เพราะคนทรงเทวดาที่มีจริง แม้จะมีคุณสมบัติพิเศษหาได้ยาก ก็ยังไม่สามารถทรงนามธรรมระดับนี้ได้

ปัจจุบัน องค์ที่ลงทรงได้จริง เกือบทั้งหมด จึงเป็นองค์ “พระรัศมี” ซึ่งเป็น “ภาค” หรือ “อวตาร” คือ นามธรรมที่องค์เทพแผ่มาด้วยบารมี เท่านั้น องค์พระรัศมี จะมีภาวะที่หยาบกว่า สามารถแฝงในกายบางชั้นของคนเราได้ เราจึงมักเห็นคนทรงสองคน ที่กำลังเข้าทรงองค์เทพเดียวกัน คุยกันได้ นั่นเป็นพระรัศมีทั้งคู่ หากองค์จริงเสด็จมา องค์พระรัศมีจะหายหมด ยกเว้นท่านอยู่ได้เท่านั้น จริงๆแล้ว คนที่ป่วยอยู่ หรือดวงไม่ดี ไม่ควรไปดูการทรง เพราะหากเป็นการเข้าของผี เปรต ก็ทำให้กายภายในป่วยได้ง่าย ทั้งทางกายและทางจิต หรือ เป็นการลงทรงองค์เทพจริง ก็อาจจะทำให้กายอ่อนแอเจ็บป่วยได้เช่นกัน หมอจีน เรียกว่า “ชง” เหมือนกัน

2 / การเข้าทรง ผิดพุทธศาสนาแน่ครับ ไม่ว่านิกายไหน แต่ปัจจุบันเกิดสัทธรรมปฏิรูปมาก ทำให้พระสงฆ์บางนิกายเข้าทรงก็มี บางศาสนาถือเอาว่า พระพุทธเจ้าเป็นองค์อวตารของพระนารายณ์ บางพุทธนิกายก็เชื่อตามไปด้วย ที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าทรงสอนสติปัฏฐาน ให้เรามีสติในกาย เวทนา จิต และธรรม “กาย” ในที่นี้ ใน ไสยศาสตร์ แปลความว่า คือกายทุกชั้นด้วย ทำให้บางนิกายตีความในสติปัฏฐานที่ให้มีสติ “เห็นกายในกาย” ว่าหมายถึงกายทั้งหมดนี่เอง

ธรรมดาเมื่อกายเนื้อ ภายนอกสุดดับ กายภายในตั้งแต่กายวิญญาณลงไปอาจจะดับช้ากว่าเพราะเป็นกัมมชรูป (รูปอันเกิดแต่กรรม) เหมือนกัน กายภายในสุดท้าย คือธรรมกาย หรือ กายธรรม ก่อนที่เข้าถึงจิต ยังมีกรรมแรงอยู่ ก็อาจจะทำให้วิญญาณคงอยู่ (ในกายที่เหลือ แสดงรูปได้ไม่เต็ม) หลงว่าตนเองยังมีกาย หรือ เร่ร่อนแสวงหากาย เพื่ออาศัย จึงเป็นสาเหตุของการทรงในคนทรง ที่มีกายบางชั้นอ่อนแอ ในการทำพิธีกงเต้ก เมื่อพระท่านสวดให้วิญญาณได้รับรู้ “สัจจธรรม” แล้ว ท่านจึงประกาศเตือนให้วิญญาณสำนึกรู้ตัวเองว่า บัดนี้กายเนื้อตายไปแล้ว ไม่ใช่ของตนเองอีก เมื่อวิญญาณรู้สำนึกความจริง ก็จะได้ละทิ้งกายทั้งหมด ไปสู่โลกุตระ(พุทธภาวะ)ที่ท่านชี้ทางให้ หรือไปสู่สุคติตามสมควร

ศาสนาพุทธแปรเปลี่ยนไปนานแล้ว ทั้งในอินเดีย จีน ทิเบต ไทย “มนตร์” ทุกอย่างก็เป็นไสยศาสตร์ แม้ที่เรียกว่า “พุทธมนตร์” ก็ตาม ต่างจาก “คาถา” ที่เป็นคำประพันธ์ เราสวดคาถาได้ แต่คนส่วนมากคิดว่าสวดมนตร์ การสวดมนตร์ของไสยศาสตร์มีวิธีพิเศษนะครับ ต้องฝึกจึงจะได้ผล แต่มักใช้กันผิดทาง พระเกจิท่านจึงสวดมนตร์ได้ผลมากกว่าเรา การทรงอะไร จึงถือว่าไม่ดีทั้งนั้น เพราะพุทธศาสนาสอนให้มีสติคุ้มครองกายและจิต ไม่ทำอะไรโดยสติหายไป ดังนั้นการเข้าทรงจึงผิดศาสนาพุทธ การแก้ทรง ทางไสยขาว มักแนะให้ใช้วิธีทางพุทธคุณ อาจจะต้องสวดพระคาถาพาหุง หรือ หากทรงเทวดา ก็แก้โดยสวดโพชฌงคปริตร หากไม่มีผู้ชำนาญมาช่วย แต่หากรุนแรง ร่างกายทำงานพร่องไป อาจจะต้องปรึกษาร่วมกับแพทย์ทางจิตเวช ให้ยาบางอย่างร่วมด้วย


วรกุล - 11 มีนาคม พ.ศ.2550 04:57น. (IP: 203.107.203.245)

ความคิดเห็นที่ 30
เรียน อ.วรกุลที่เคารพ

หนูขอรบกวนถามอาจารย์เรื่องคนดวงอ่อน ด วงแข็ง และดวงแรง ว่าหมายความว่าอย่างไรเช่นหนูมีญาติคนนึงเป็นผู้ชายแต่ต้องตั้งชื่อคล้ายผู้หญิงเพราะเค้าบอกว่าคนนี้ดวงแข็งไปแล้งน้องเค้าอีกคนเป็นผู้หญิงต้องตั้งชื่อคล้ายผู้ชายเพราะคนนี้เป็นคนดวงอ่อนหรือบางดวงเห็นมีคู่อสีติธาตุชั้นหนึ่งอยู่ก็บอกว่าคนนี้ดวงแรงอันนี้ถูกหรือเปล่าคะ และที่จริงดวงทั้ง สามแบบนี้ดูยังไงคะถึงบอกได้ว่าเป็นดวงชะตาที่อ่อนแอ แข็งหรือดวงแรงขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


จีน - 11 มีนาคม พ.ศ.2550 08:47น. (IP: 125.24.241.179)

ความคิดเห็นที่ 31
ขอบพระคุณ อ.วรกุล ที่ช่วยชี้แนะครับ...


หนูน้อย - 11 มีนาคม พ.ศ.2550 11:27น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 32
ตอบคุณ จีน (ความเห็นที่ 31) ............เรื่องพวกนี้เคยเขียนเป็นข้อเขียนอย่างยาวไปแล้วครับ ไม่รู้อยู่กระทู้ไหน คงต้องหาดูหน่อย ภาษาที่แต่ละคนเรียกว่าดวงอ่อน ดวงแข็ง ดวงแรง อาจจะไม่ตรงกัน ดวงอ่อนดวงแข็ง ต้องดูดวงชะตา ดวงแข็ง หรือ ดวงเหนียว หมายถึง ดวงชะตาที่มีความมั่นคง ล้มยาก ล้มแล้วลุกได้ มีอุปสรรคหรือศัตรูก็ไม่ทำให้ชีวิตเกิดความเสียหาย ส่วนดวงอ่อน หรือ ดวงเปราะ ก็คือล้ม หรือ เสียง่าย เวลามีดาวเดินผ่านไม่ดีสักหน่อย ก็หวั่นไหว มีเรื่องไม่ดีง่าย แปรไปตามดาวหรือชะตากรรม ฝืนยาก ส่วนดวงแรง คือดวงชะตาที่มีความพลิกผันสูง วูบวาบขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะตีลังกา พุ่งเร็ว ลงเร็ว คือดีก็ดีมาก เลวก็เลวมาก ควบคุมไม่ค่อยได้ เบรคเสียทั้งปี อะไรประมาณนี้ เราจะไปดูจากดาวดวงสองดวงไม่ได้ แต่ต้องดูดาวประกอบกัน ว่าเข้ารูปอย่างไร เพราะโครงสร้างดาวและกำลังดาวมีส่วนทำให้ดวงอ่อนแข็ง หรือปฏิกริยาแรงต่างกัน


วรกุล - 12 มีนาคม พ.ศ.2550 04:39น. (IP: 203.107.204.202)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียน อ.วรกุล

กราบสวัสดีอาจารย์ครับ ผมมีคำถามอยากเรียนปรึกษาอาจารย์ครับ ในความเห็นที่ 30 ที่อาจารย์กล่าวว่า "การแก้ทรง ทางไสยขาว มักแนะให้ใช้วิธีทางพุทธคุณ อาจจะต้องสวดพระคาถาพาหุง หรือ หากทรงเทวดา ก็แก้โดยสวดโพชฌงคปริตร หากไม่มีผู้ชำนาญมาช่วย แต่หากรุนแรง ร่างกายทำงานพร่องไป อาจจะต้องปรึกษาร่วมกับแพทย์ทางจิตเวช ให้ยาบางอย่างร่วมด้วย" นั้น

เพราะเหตุใด พระคาถาพาหุง หรือ โพชฌงคปริตรถึงสามารถแก้ได้อ่ะครับ หรือว่าสามารถแก้คุณไสยต่างๆได้อ่ะครับ

ขอบพระคุณครับ


bcc - 12 มีนาคม พ.ศ.2550 10:18น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ และคุณจีน

อาจารย์เคยตอบเรื่อง ดวงอ่อน-ดวงแข็ง, ดวงแรง ในกระทู้ของวันที่ตามที่ส่งมานี้ครับ (ผมไม่ได้save เลขกระทู้ไว้)

ดวงแข็ง 02-04-2005

ดวงแข็ง 08-08-2006

ดวงแรง 26-06-2006


นพ - 12 มีนาคม พ.ศ.2550 13:22น. (IP: 203.147.36.35)

ความคิดเห็นที่ 36
เรียน อจ วรกุลครับ ขอรบกวนเวลาสักครู่นึง

อยากขอความรู้ทางด้านดวงอ่อน ดวง แข็ง นี่จากตัวอย่าง ดวง จริงๆอ่ะครับ เพราะผมอ่านแต่หลักการแล้ว มันไม่แน่ใจว่าจะเข้าใจถูกรึเปล่าครับ

ขออนุญาติ โพส ดวงผมอีกครั้งน่ะครับ ( ขออจ อย่ารำคาญน่ะครับ ผมเพียงแค่ต้องการขอความรู้เท่านั้นเองครับ ไม่ได้มีเจตนาอื่นใด เพียงแต่ยกตัวอย่างคนอื่นผม จินตนาการไม่ออกครับ)

ลัคนา ราศีธนู ดาว ๑ กุมลัคน์ /ดาว ๕ ราศีมังกร / ดาว ๒๘ ราศ๊เมษ/ ดาว ๓๙ ราศ๊ตุล / ดาว ๐๔๖๗ ราศี พิจิก ผมขอวิเคราะห์กระบวนการ มันหน่อน่ะครับ ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกรึเปล่า

ขอสมมตุน่ะครับ ว่า ตอนนี้ ราศีพิจิก มันโดนโจมตี(ไม่ทราบว่ามันจะมีดาวอะไรมาโจมตีได้มั่ง ผมความรู้น้อย) พอตรงนี้ที่มันโดนโจมตีนี่ ผมมองเห็นได้ก่อนว่า มีดาว ๕ อยู่ในมุมโยค คอยส่งกำลังมาช่วยเหลือราศีพิจิกที่โดนโจมตีตรงนี้ แต่ดาว ๕ มันเป็น นิจ กำลังดาวมันน้อย ดูเหมือนมันไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้มาก แต่ ในเรือนดาว ๕ นั้น มีดาว ๑ มาอยู่ ซึ่งเป็นดาว ที่คอยส่งกำลังให้ดาว ๕ อีกทีนึง แล้วเป็นคู่มิตรกันอยู่ ดาว๑ ดวงนี้จึงสามารถช่วยดาว ๕ ได้มากขึ้นหน่อย

พอที่นี้ผมมาดูจากที่มุมดาว ๑ ในสถานะที่มันกำลังช่วยเหลือดาว ๕ อยู่มั่ง ผมเห็นว่า มีดาว ๒๘ เป็นมุมตรีโกณ กับดาว ๑ และมีดาว ๓๙ เป็นมุมโยคกับดาว ๑ ที่กำลังช่วยเหลือดาว ๕อยุ่ ผมพอเข้าใจว่า มุมตรีโกณกับ มุมโยค มันจะคอยช่วยเหลือ เพราะฉะนั้นดาว ๑ตัวนี้ จึงเหมือนไฟได้ เครือ่งเป่าไฟที่ดีๆ( มันจะมีผลทางการเป็นคู่ศัตรู ระหว่างดาวด้วยใช่มั้ยครับ แต่ยังไงมันก็ยังช่วยได้ใช่รึเปล่าครับ) ทำให้มีกำลังดีในการส่งพลังให้ดาว ๕ ที่เป็นตนุลัคน์ต่อไป

สมมุตว่ามันเป็นเรื่องจริง หน่อยน่ะครับ จากราศีพิจิกคือเรือนวินาศย์ ผมเปรียบเทียบเป็นการล้มละลาย ( แค่เปรียบเทียบน่ะครับ ไม่ทราบว่าความหมายจริงๆของมันเป็นการล้มละลายได้รึเปล่า ) มีดาว เข้ามาโจมตีให้ เกิดความผิดพลาดในเรื่องงานอยู่รุนแรง อะไรประมาณนี้ ดาว ๕ ที่ตนุลัคน์และพันธุในเรือกดุมพะ จะช่วยเหลือ ขึ้นมาทันที คือใช้ความรู้ที่พอมีอยู่และมีเครือญาติเข้าช่วยแก้ไขช่วยเหลือตรงนั้น โดยดาว ความรู้และเครือญาติ สามารถช่วยเหลือได้ดีเพราะ มีดาว ๑ คอยช่วยเหลืออีกที ( ผมไม่ทราบว่า เจ้าเรือน ศุภะ สามารถแปล ให้เข้ากับเรื่องนี้ได้อย่างไรมั่ง ) เจ้าเรือนศุภะที่ได้รับการช่วยมาจาก ๒๘ และ ๓๙ อยู่แล้ว อะไรทำนองนี้อ่ะครับ ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่า รบกวนอจช่วยชี้แนะ เรื่องนี้ให้หน่อยได้รึเปล่าครับ

ขอรบกวนเท่านี้ครับ ขอบคุณครับ


แบงค์ - 12 มีนาคม พ.ศ.2550 17:03น. (IP: 124.121.0.169)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียน อจวรุกุล อีกครั้งครับ

จากด้านบนที่ผมถามอจ ไป การที่เราจะดู ว่า พื้นฐานในดวงเดิมนั้น จะช่วยเหลือ ได้ดี ระดับไหนอย่างไร รึเปล่า เราต้อง ดู จากความสามารถของมันที่เปลี่ยนไปตามเวลาด้วยใช่มั้ยครับ อย่างเช่น ในดวงเดิม บอกว่า เครื่องญาติจะช่วย ก็ต้องมาดูด้วยว่า เครือญาตินั้น ตอนนี้ได้พัฒนาไปถึงไหนแล้ว ตามพวก วงรอบธรรม ( อะไรนั่น ) ใช่รึเปล่าครับ


แบงค์ - 12 มีนาคม พ.ศ.2550 17:30น. (IP: 124.121.0.169)

ความคิดเห็นที่ 38
ตอบคุณ นพ (ความเห็นที่ 35) ............ขอบคุณมากครับ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ bcc (ความเห็นที่ 34) ............การสวดนั้น ปกติให้คนที่ทรงสวดเองครับ แต่หากสวดไม่ได้ ก็ให้สวดตามผู้ที่สวดนำก็ได้ ในกรณีที่ไม่มี “ผู้ที่ชำนาญ” มาช่วย เพราะการแก้ทรง คนที่รู้วิชาก็จะใช้วิธีของเขาเอง การสวดคาถาที่เป็นพุทธพจน์ หรือ สรรเสริญพระคุณนั้น ไม่ได้แก้คุณไสยในทุกกรณีทั่วไป แต่อาศัยอำนาจของ “พระคุณ” หรือ “องค์คุณซึ่งมีอำนาจ” มาแก้เป็นบางกรณี

ต้องอธิบาย 2 เรื่องก่อนในกรณีนี้คือ หนึ่ง ปกติผู้มีบารมีสูง ได้แก่ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอนุพุทธเจ้า เทพชั้นสูง หรือ ผู้มีบุญ เช่น วีรบุรุษ วีรสตรี ผู้อุทิศตน เป็นต้นเหล่านี้ เมื่อกระทำกรรมใดจะเกิดเป็น “พระคุณ” ทางไสยศาสตร์หมายถึง นามธรรมที่แสดงออกเป็นได้ เช่น พระพุทธเจ้าทรงชนะมาร พระคุณ คือ สัจธรรมที่เป็นคุณสมบัติชนะมารนั้นสามารถแสดงออกเป็นรูปได้ และยังคงมีอำนาจอยู่ (คล้ายกับ “ปาง” หรือ “อวตาร” แต่ องค์อวตารจะเกิดจากเจตนาเสด็จเองเมื่อมีเหตุ) พวกภูตผี ปีศาจ ที่เป็นบริวารของมาร หรือ อยู่ในพวกเดียวกับมาร (ความไม่รู้)ก็จะกลัวสัจจะ (ความจริง) การอาราธนาพระคุณนั้นจึงใช้คาถา พาหุง ซึ่งหากดูในพระคาถาซึ่งพระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ จะอ้างถึงเกียรติคุณและความดีที่พระองค์ทรงเอาชนะพญามารที่มีพลพรรคเสนามารมากมายมหาศาลได้ เมื่อสวดระลึกพระคุณเช่นนี้ “พระพุทธคุณ” นั้นก็จะเสด็จมาเฉพาะหน้า หากภูตผีปีศาจใด สิง ทรง อยู่ในร่างทรงก็จะกลัวอยู่ไม่ได้ คาถาพาหุงนี้เมื่อสวดเต็มๆ จะเชิญพระพุทธคุณที่พระพุทธเจ้าทรงชนะอุปสรรคหลายครั้ง หลายกรณี ดังนั้น หากเป็นเทพชั้นต่ำลงไป เมื่อเชิญ “พระพุทธคุณ” ให้เสด็จ วิญญาณเหล่านี้จะหนีไปหรือถอยห่าง ยกเว้นบางกรณีที่คนทรงถูกกระทำผูกไว้จนออกไม่ได้ไม่ไป หรือวิญญาณชั้นต่ำที่หาทางออกไม่เจอ ก็ต้องหาคนมีวิชามาถอน ไล่ หรือ จับออกไป หากวิญญาณไม่มารบกวนแล้ว การฟื้นฟูสุขภาพก็จะทำได้ง่ายขึ้น

สอง ส่วนเทพเทวดาระดับสูงขึ้นนั้น ไม่ได้เป็นพลพรรคพญามาร จะไม่สะดุ้งต่อ “พระพุทธคุณ” นี้ เพราะเทวดาระดับนี้ท่านเป็นองค์สัจธรรมเช่นกัน เช่น พระอินทร์ มีทานบารมีสูงมาก และยังส่ง “พระรัศมี” คือปางอวตารมาทรงได้ ดังนั้น การขับ เทพเทวดาหรือพระรัศมี ต้องสวดโพชฌงค์ ซึ่งเป็นองค์ธรรมตรัสรู้ เป็นองค์ธรรมที่สูงกว่า เพราะโพชฌงค์ เป็นสัจธรรม ที่ประกอบไปด้วย สติ ธัมมวิจยะ วิริยะ ปิติ ปัสสัทธิ สมาธิ อุเบกขา เนื่องจาก เทวดา พรหมจะยังยึดอัตตา ดังนั้น เมื่อเชิญองค์ธรรมตรัสรู้ ซึ่งมุ่งชี้ว่า “อัตตานั้นไม่มี” เป็นอนัตตา เทวดาและพรหมจะหวั่นไหว และเหตุที่ โพชฌงคปริตรนั้น ปลุกให้เกิดสติพิจารณาธรรมแล้วปล่อยวางให้เป็นอุเบกขาธรรม จึงทำให้ เทพซึ่งปกติยึดถือคุณธรรมใดอันหนึ่งเสมอ จึงจากไป นอกจากนั้น คาถานี้ใช้สวดแก้โรคภัยไข้เจ็บด้วย จึงขับสิ่งอื่นที่ไม่ต้องการได้ไปพร้อมกัน นี่เป็นทัศนะคติคำอธิบายทางไสยศาสตร์เท่านั้น หากมองในทางพุทธธรรม การดำรงสติอยู่อย่างดี และอยู่ในองค์ธรรมโพชฌงค์ ก็เข้าทรงไม่ได้อยุ่แล้วตั้งแต่แรก

ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนเราให้สวดสรรเสริญ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ คือพระรัตนตรัยอยู่เสมอ ทั้งระลึกไว้ในใจ จะแก้ความชั่ว ความไม่ดี ไม่ให้เข้ามาในชีวิตได้ หากเรานำเอาข้อความที่สวด อิติปิโสมาดูคำแปล แล้วมองในมุมไสยศาสตร์ ก็จะเห็นว่า พระคาถาที่ทรงสอนนั้น เป็นการอัญเชิญ “พระคุณ” มาสถิตในกายและใจ เหมือน ชาวฮินดู ที่สวดว่า “โอม” เป็นคำย่อเพื่อเชิญ พระพรหม พระอิศวร พระนารายณ์ นั่นเอง


วรกุล - 13 มีนาคม พ.ศ.2550 04:57น. (IP: 203.107.203.248)

ความคิดเห็นที่ 39


เรื่อง ดวงแรง อาจารย์เขียนไว้ในกระทู้ที่ 15 คห 23

ดวงแข็ง อาจารย์เขียนไว้ในกระทู้ที่ 17 คห 1


mg - 13 มีนาคม พ.ศ.2550 06:24น. (IP: 210.246.80.25)

ความคิดเห็นที่ 40
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณมากครับ ผมขอรบกวนเรียนถามท่านอาจารย์ต่อสักนิดนะครับ คือ ผมเคยไปพบร่างทรงท่านหนึ่งในต่างจังหวัด ร่างทรงท่านนั้น แนะนำว่า คาถาที่ผมสวดประจำ ได้แก่ คาถาพาหุง และมหาการุณิโก ให้สวดต่อไปเรื่อยๆ แต่อย่าสวดคาถาชินบัญชร เนื่องจากตามที่ได้รับการอ้างถึง คาถาดังกล่าวมีอานุภาพที่ขับไล่ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีเข้ามาในชีวิต(อาจหมายรวมถึง การขับไล่เทพ ภูติผี สัมภเวสีต่างๆ)ไม่ทราบว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคาถาชินบัญชรเป็นอย่างไรครับอาจารย์

อีกประการหนึ่ง ในระหว่างที่ร่างทรงท่านนั้นกระทำน้ำมนต์ นัยว่าเพื่อขจัดภัยหรือสะเดาะเคราะห์ ระหว่างพิธีกรรมดังกล่าว ผมภาวนาถึงบทพุทธคุณตลอดเวลา ไม่ทราบว่า ถ้าร่างทรงนั้นเป็นร่างทรงของเทพชั้นต่ำหรือภูติผีปีศาจตนใดที่มาอาศัยร่างทรงนั้น โดยหลักแล้วไม่น่าที่จะสถิตในร่างทรงนั้นอยู่หรือไม่ อย่างไรครับ ขอบคุณครับ

ที่กล่าวเช่นนี้ ไม่ได้หมายความว่า เรามีอำนาจขับไล่ภูติผี หรือสิ่งที่ไม่ดีในร่างทรงนั้น แต่ผมยังแคลงใจในคุณธรรมของร่างทรง เนื่องจากได้ยินมามากเกี่ยวกับร่างทรงที่ดีและไม่ดีครับ หากท่านเป็นผู้มีเมตตาธรรม ที่ปรารถนาสะสมบารมีในการช่วยเหลือผู้คน ผมก็ขออนุโมทนาด้วยครับ แต่ถ้าท่านมีเจตนาเป็นอื่น ผมก็หวังเพียงว่า เรามิได้ถูกคุณไสยหรือสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาครอบงำชีวิตครับผม


bcc - 13 มีนาคม พ.ศ.2550 08:29น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 41
ตอบคุณ mg (ความเห็นที่ 57) ............ขอบคุณมากครับ ดวงอ่อนก็ตรงข้ามกับดวงแข็ง ผมจึงคงไม่ได้เขียน

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 37) ............ที่จริงถ้าตามอ่านมาเรื่อยๆ ผมจะพยายามปรับความคิด และความเข้าใจพื้นฐานมาให้ เพราะหลายๆคนมักคิดอะไรเองโดยไม่มีหลักเบื้องต้น แต่อาศัยอ่านแล้วจับเอาจากที่ต่างๆซึ่งมีผู้พยากรณ์เอาไว้ แล้วเอามาแปลความหมายเป็น “หลักหลวมๆ” ของตัวเอง เหมือนกับจับแพะมาชนแกะ ทำให้ผิดรูปร่างและเข้ากันไม่ได้

ข้อที่ผิดในคำถามของคุณ คือ 1 / เอาระบบดาวมาปนกับระบบเรือน เกณฑ์บางอย่างที่ใช้ เช่น โยค ตรีโกณ นั้นใช้ในระบบดาวของจักรราศี ไม่ได้ใช้ในระบบเรือนของโลก เช่น เราไม่บอกว่า เจ้าเรือนกดุมภะ ไปโยคกับเจ้าเรือนกัมมะ หรือ ๒๘ ตรีโกณกับเจ้าเรือนพันธุ ดาว ๕ โยคกับราศีพิจิก อะไรแบบนี้ ก็คล้ายกับพูดว่า “ดาวเทียมไทยคมโคจรมาอยู่ตรงหัวเรา ทำให้เราหัวโน ขณะที่เพื่อนแทะขาไก่ เลยทำให้มือเราเจ็บ” การใช้เกณฑ์ในระบบดาว เอามาเข้าระบบเรือนโดยตรง ต้องทำเป็น ในเมื่อทำไม่เป็น ก็จะอ่านไม่ได้ ซึ่งทั่วไปก็ไม่มีใครเขาอ่านกันแบบนี้

2 / บางเรื่องเช่น ระบบดาว ระบบเรือน กำลังดาว กำลังธาตุ ที่เขียนไปเบื้องต้นให้ปรับความคิดก่อนบ้างแล้ว แต่คุณไม่ได้อ่าน ทำให้คิดอะไรสับสน คิดสร้างหลักเองก็ยังบกพร่องอยู่ หลักพวกนี้ก็ยังจะเขียนต่อไปอีกเนื่องจากยังไม่จบ วิชาตั้งแต่โบราณมาเขาคิดและแก้ไขข้อบกพร่องไว้ให้แล้ว หากเราจะเรียนรู้คนอื่นก่อนเพื่อให้เข้าใจ ก็จะตอบปัญหาตนเองได้ โดยเฉพาะความหมายเรือนพื้นฐานตามตำราเบื้องต้น เมื่อยืนไม่หัดยืนให้มีหลัก เวลาเดินก็จะเดินโซเซได้

ผมจึงตอบคุณแทบไม่ได้ เหมือนคุณเดินเป๋โย้เย้ไปตามทาง ผมก็ต้องเดินขาไขว้ตามคุณไปด้วย ถ้าจะพูดถึงดาว ก็ต้องพูดกันให้จบ อย่ากระโดดไปมา เข้ามาหาเรื่องเรือน หากทำไม่เป็นก็จะทำให้งง คุณจะให้ชี้แนะก็เลยชี้แนะไม่ได้ ปัญหาของคุณ คนอื่นที่อ่านมาตลอดก็รู้ได้เลยว่า เพียงแต่ไปเรียนรู้เรื่องเรือน สัมพันธ์เรือน ดาวและดาวคู่ ในราศี มาบ้าง ก็จะมีคำตอบได้มากมายโดยไม่ต้องถามแล้ว ส่วนเรื่องที่ต้องการรู้มากกว่านี้ เช่น วงรอบธรรมชาติ และวัย ผมก็มีเขียนเอาไว้แล้วทุกเรื่อง แต่ละเรื่องจะเกริ่นให้รู้ว่าเรื่องนี้จับตอนที่ระดับใด อยู่ขอบเขตในเรื่องใด ถ้าลองย้อนไปอ่านสักหน่อยจะเห็นว่าผมตอบซ้ำๆอย่างนี้หลายหนแล้ว

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ bcc (ความเห็นที่ 58) ............ประเด็นแรก คือ คาถาชินบัญชร ผู้คนส่วนมากมักจะนิยมสวดคาถานี้เห่อตามกันเป็นแฟชั่น อย่างการบูชาองค์จตุคามรามเทพเดี๋ยวนี้ ธรรมดาพระคาถานั้น คือคำประพันธ์ เมื่อเอ่ยพระคาถาก็คือคำกล่าวของเรา ต้องดูว่าเรากล่าวอะไรไป เป็นกรรมไม่ดีหรือไม่ เหมาะสมหรือไม่ ธรรมดาโบราณประเพณีจะไม่เอ่ยคาถาเรียกเชิญอะไรที่สูงๆโดยไม่จัดเตรียมต้อนรับ อย่างการอัญเชิญพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์มาสถิตในกาย กายผู้นั้นต้องสะอาด เป็นผู้ทรงศีล อย่างเช่น สมเด็จโตท่านเป็นบุคคลพิเศษ สะอาดบริสุทธิ์ ทั้งกายและจิต ท่านจึงสวดได้ อัญเชิญได้ แม้กระนั้นท่านก็ไม่ได้เอ่ยคาถาพร่ำเพรื่อ ต้องบูชาพระรัตนตรัยก่อน จัดที่บูชาต้อนรับ เป็นต้น แม้แต่การเชิญเทวดาก็ไม่ได้เรียกเชิญกันตามใจชอบแบบที่ทำกันสมัยนี้ ต้องจัดเครื่องบูชาให้ถูกต้อง มิฉะนั้น นอกจากเทวดาไม่มาแล้ว เหล่าบริวารวิญญาณจะให้โทษได้

ดังนั้น เราคนธรรมดาจึงไม่ควรสวดพระคาถาชินบัญชรโดยไม่จำเป็น นอกจากจำเป็นในพิธีสำคัญ ต้องอาบน้ำชำระกายให้สะอาด เปลี่ยนผ้าใหม่ นุ่งขาว ถือศีล เสียก่อน คาถาชินบัญชร หากสวดได้ผล ก็เป็นผลต่อผู้นั้น พวกภูตผีปีศาจจะถอยห่างไปเอง เพราะพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ไม่ได้เอาโทษใคร เพียงแต่ผีปีศาจเทวดาเกรงพระบารมีเท่านั้น แต่คนทรงก็สวดไม่ได้ เพราะคาถาทำให้กายเปิด เป็นจุดอ่อน พระพุทธเจ้าและพระอรหันต์ ไม่มีทางเสด็จได้ในร่างคนทรง แต่อาจจะมีผีเปรตที่ปลอมเป็นพระพุทธเจ้ามาแทนก็ได้

แต่พวกเราที่สอนกัน มักท่องสวดคาถานี้แบบเรียกข้าทาสบริวาร นึกอยากจะท่องเรียกก็เรียก เด็กเล็กไม่รู้เรื่องก็สอนท่องกันไปหมด การเรียกเชิญเช่นนี้โดยไม่มีเหตุอันควร ปกติเขาใช้เรียกผีสางมารับส่วนบุญ หากเรียกเทวดาหรือสูงกว่า ไม่เป็นมงคลนะครับ แม้แต่ซ้อมสวดอะไรก็ยังต้องขอขมา ผลที่ไม่ดีนั้นเกิดจากเทวดาที่รักษาพระคาถา รวมทั้งภูติ ผีวิญญาณ เมื่อผู้สวดแสดงความลบหลู่โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตาม จะไม่ได้ให้อภัย ถ้าจะสังเกต บรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ที่ท่านปฏิบัติดีอยู่ ท่านจะไม่ท่องพระคาถานี้เลย และไม่สอนให้ใครท่อง ถือเป็นอัปมงคล ครั้นพูดบอกไปก็ได้เพียงในวงแคบ ทนแรงโฆษณาไม่ได้ ส่วนคาถาพาหุง และมหาการุณิโก (เรียกกันว่า “พาหุงมหากา”) นั่นสวดได้ เพราะเป็นการระลึกถึงพระคุณ ถือเป็นมงคลปกป้องคุ้มภัย สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ถวายให้พระองค์สวดทุกวันและเมื่อออกศึกสงคราม เพียงแต่เราก็ต้องเตรียมตัวเพื่อรับบูชาพระคุณด้วยเช่นกัน

การที่เราภาวนาพระพุทธคุณก็คุ้มครองตัวเรา แต่เรามีกำลังอ่อน จะไม่ได้ส่งผลต่อผู้ใด แม้มีคนถูกผีสิงอยู่ตรงหน้าก็ทำอะไรเขาไม่ได้ เว้นแต่เขาเป็นผู้สวดเสียเองจึงจะมีผลที่ตัวเขาแล้วแต่ความสำเร็จผล การที่เอาอำนาจจากภายนอก ไปยุ่งกับกายภายในผู้อื่นไม่ได้ทำได้ง่ายๆครับ เพราะแม้คนที่เข้าทรง หรือ มีวิญญาณ ก็ยังมีการคุ้มครองทางกายและจิตของเขาอยู่ ดังนั้น การที่เขาจะเป็นคนดี หรือ ไม่ดี เราก็เกี่ยวข้องไม่ได้ แต่คนไม่ดีมักจะไม่ได้ทรงเทพที่แท้จริง มักเป็นองค์ปลอมมากกว่า การทำ “คุณ” ไสยนั้น ผู้ที่มีอำนาจมากกว่าก็ทำเราได้ แม้เราสวดคาถาอะไรอยู่ เพราะเราอาจทำแบบสมัครเล่น ศีลก็พร่อง ดังนั้นการระวังป้องกันจะอ่อน เว้นแต่เราบริบูรณ์ด้วยศีลและความดี บุญกุศลของเราจะเป็นเครื่องคุ้มครองให้เอง แต่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปยุ่งกับพวกเหล่านี้หรอกครับ


วรกุล - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 04:55น. (IP: 203.107.205.70)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ

เรื่อง ดวงอ่อน อาจารย์ก็เอ่ยถึงนิดนึงที่กระทู้เดียวกันค่ะ คือที่ กระทู้ 17 คห 1 และ 6 เขียนเอ่ยถึงในทางตรงกันข้ามกับ ดวงแข็ง อย่างที่อาจารย์บอก ซึ่งน่าสนใจมากๆค่ะ


mg - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 06:57น. (IP: 210.246.80.46)

ความคิดเห็นที่ 43
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณมากครับ ความรู้ของอาจารย์ลึกซึ้งจริงๆครับ

ความจริง ผมไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องคนทรงเท่าไรอ่ะครับ แต่เนื่องด้วย ความหลงหรือความไม่รู้ของเราจึงพยายามหาที่พึ่งที่เราคิดว่าจะช่วยแก้ปัญหาบางอย่างที่เราแก้ไม่ได้อ่ะครับ

มองในอีกแง่มุมหนึ่ง ผมคิดว่า คงเป็นเพราะกรรมบันดาลให้เราถูกชักพาไปในทางนั้น แต่ตอนนี้ก็พยายามใช้ปัญญาไตร่ตรองอย่างรอบคอบ โดยยึดคำสอนของพระพุทธองค์เป็นหลัก เพื่อจะได้ไม่หลงทางครับ

ขอบคุณอาจารย์มากครับ และต้องกราบขอโทษอาจารย์ด้วยครับที่มารบกวนถามเรื่องพุทธศาสตร์ ไสยศาสตร์ในเว็บโหราศาสตร์ ผมเองตอนนี้ได้ละวางเรื่องโหราศาสตร์ด้วยเหตุบางประการ แต่ก็ยังติดตามข้อเขียนดีๆของอาจารย์อย่างต่อเนื่องครับ


bcc - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 08:19น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 44
เรียน อ. วรกุล ที่เคารพ

จากที่อาจารย์ได้ให้บทเรียนที่มีประโยชน์มากๆมาหลายบทแล้ว อยากให้อาจารย์ยกตัวอย่างดวงขึ้นมาสักดวงหนึ่ง แล้วให้พวกเราที่ติดตามกระทู้อาจารย์มาโดยตลอดอย่างเหนียวแน่น ได้ลองอ่านดวงตัวอย่างที่อาจารย์ยกมา แล้วให้อาจารย์ตรวจ แนะนำ วิเคราะห์ เหมือนเป็นการบ้านหลังบทเรียน อาจารย์จะเห็นเป็นอย่างไรคะ


เสนอ - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 11:04น. (IP: 210.246.80.46)

ความคิดเห็นที่ 45
ผมเผลอไปทำให้กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า (เช็คจากจำนวนไบท์ของไฟล์)ครับ จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 25....ครับ..........คำถามที่ค้างอยู่ขอตอบในกระทู้นี้ ขออภัยที่ไม่สะดวก


วรกุล - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 11:42น. (IP: 203.107.207.34)