เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 25)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 24 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 25 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.207.34)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน อ.วรกุล...

จริงๆ ในช่วงนี้ผมรู้สึกอาย อ.วรกุลจังเลย เพราะผมให้เวลากับการอ่านบทความของ อ.วรกุล น้อยเกินไป เป็นการอ่านลวกๆ และข้ามๆ แต่อย่างไรก็ดี มีปัญหาหรือ ข้อข้องใจอันหนึ่งติดมาพอสมควร อยากเรียนให้ อ.วรกุล ช่วยแนะนำให้ครับ คือ การสร้างเมืองในสมัยโบราณ เป็นอย่างไรครับ พอจะจำได้คร่าว จากข้อเขียนเก่าของ อ.วรกุล ว่า ดวงเมืองไม่ได้อ่านแบบดวงคนธรรมดา

ประเด็นคือ หากมีเมืองหนึ่ง ดวงเมืองจากสมุดข่อยโบราณ มีลัคนาที่ราศีกรกฎ, มีพฤหัส ศุกร์ เสาร์ เล็งลัคน์, จันทร์และราหูร่วมกันที่ตุลย์, อังคารอยู่พิจิก, อาทิตย์และพุธ อยู่ธนู โดย มีผู้คำนวณเป็นวันทางสุริยคติ เป็นวันพฤหัส เดือนกุมภาพันธ์

ซึ่งหากดูจากรูปดวงเมืองแล้วคงไม่สอดคล้อง เพราะว่า อาทิตย์อยู่ธนูคงจะตกราวๆ ปลายเดือนธันวาคมและต้นมกราคม แต่อย่างไรก็ดี ดวงเมืองที่ได้นี้อาจได้จากการขับดวง ก็ได้ หรืออย่างง่ายสุด ตายน้ำตื้นผู้หาวันทางสุริยคติหาผิดก็ได้ หรือ วันเดือนปี จดไว้หลอกๆ หรือ ว่านี่ก็คือ ดวงเมืองหลอกๆ เช่นกัน อย่างไรก็ดี หากเราว่านี่คือดวงเมืองของเมืองนี้จริงๆ แล้ว ข้อสงสัยของผม คงต้องย้อนความประวัติก่อนการสถาปนาเมืองนี้ คือ

สถานที่สถาปนาเมืองนี้เคยเป็นอาณาจักรใหญ่ แต่ถึงกาลพินาศเนื่องจากเกิดโรคติดต่อระบาด กษัตริย์ผู้ครองเมืองหนีขึ้นเรือ ก็พากันไปตายหมด อาณาจักรข้างเคียงส่งคนมาปกครองสร้างหลักเมืองใหม่ โดยมีผู้กล่าวว่า เมืองนี้ต้องคำสาปจากดวงเมืองที่อาณาจักรข้างเคียงนี้(ใช้ไสยศาสตร์ของพราหมณ์)สาปเอาไว้เพื่อให้อยู่ในอำนาจเป็นส่วนหนึ่งตลอดไป ดวงเมืองที่ว่านี้ก็คือ ที่ยกมาข้างต้น

ข้อสงสัยคือ ดวงเมืองนี้ต้องคำสาปจริงหรือครับ หรือว่า เขาทำไว้เพื่อแก้กับโรคภัยที่ระบาดในเหตุการณ์ตอนนั้น (เจ้าเรือนมรณะมากุมตนุลัคน์) เพราะคนเราจะใจร้ายกันถึงขนาดนั้นหรือครับ

เห็นคุณเสนอ เสนอความเห็นมาเรื่องดวงตัวอย่างพอดี ก็เลยนำดวงเมืองดวงนี้ให้ อ.วรกุลช่วยชี้แนะครับ ต้องขอโทษด้วยเพระไม่ได้เป็นดวงบุคคลอาจจะผิดความมุ่งหมายของคุณเสนอครับ

และ ถ้า อ.วรกุลเห็นว่าข้ามขั้นตอนการเรียนรู้เกินไปก็ต้องขออภัยด้วยครับ

ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 14 มีนาคม พ.ศ.2550 16:35น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 3
ระหว่างเตรียมตัวบวชผมยังติดตามอ่านข้อเขียนของอาจารย์อยุ่เป็นระยะเช่นเคยครับตามอ่านถึงกระทู้ถามของคุณ bccได้ความรู้เรื่องคาถาชินบัญชร พาหุง และมหาการุณิโกโดยเฉพาะคาถาชินบัญชรนั้นผมสวดเป็นประจำ..อาจด้วยเพราะประสบการณ์หลายๆครั้งเห็นอานุภาพของพระคาถากับตัวผลพลอยได้จากการติดตามอ่าน พลอยให้มีความรู้ไปด้วยต่อจากนี้คงจะเลือกสวดให้เหมาะสมมากขึ้นขอบคุณคุณ bcc และความกรุณาตอบในทุกคำถามของอาจารย์จริงๆหลายๆคำถามต้องเป็นคนที่มีเมตตาสูงมากจึงอดทนตอบได้อย่างไม่รู้จักที่รักที่ชัง..คนที่่ติดตามอ่านอย่างผมก็ได้ความรู้ตามไปด้วยขอบพระคุณครับ


มือใหม่ทักษา - 15 มีนาคม พ.ศ.2550 02:39น. (IP: 202.91.19.200)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบคุณ เสนอ (ความเห็นที่ 45 กระทู้ที่ 24) ............การอ่านดวงตัวอย่างที่คุณแนะนำมายังทำไม่ได้หรอกครับ เพราะความรู้ของผู้ที่มาอ่านไม่เท่ากัน และยังใช้วิธีอ่านดวงชะตาคนละวิธี เนื่องจากกระทู้เหล่านี้ ตั้งใจเพียงจะเสนอความคิดและอธิบายข้อข้องใจต่างๆเท่านั้น ไม่ได้สอนให้อ่านดวงชะตา ดังนั้น การตรวจและแนะนำกลับไปจึงเป็นภาระมาก เหมือนพยายามสอนที่ผิดให้ถูกใหม่ บางคนไม่ได้เรียนมาเลย ก็ต้องอธิบายกันยาว เดือนหนึ่งก็ไม่จบ แต่หากตอบย่อเกินไป ก็จะกลายเป็นปัญหามากเข้าไปอีก นอกจากนี้ เทคนิคทุกเรื่องต้องมีพื้นฐานมาก่อนทั้งนั้น หากผู้ตอบใช้วิชา 5 วิชามาตอบ ก็ต้องอธิบายหมด 5 วิชาไปด้วย

ที่เขียนอยู่นี้ ไปได้ช้ามาก เพิ่งเขียนกรอบธรรมชาติจบพอแค่สังเขป ต่อไปจะไปเขียนดาว และเรือนนิดหน่อย แล้ว ต้องไปกล่าวถึงกำลังดาว กำลังธาตุ ซึ่งเป็นเบสิคที่สอนกันน้อยมาก ซึ่งพอพ้นพวกนี้ไปแล้วก็จะมีเสรีพอที่จะกล่าวถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับดวงชะตาได้ง่ายขึ้น สามารถใช้ศัพท์อะไรที่อธิบายไปแล้วได้สะดวกขึ้นมาก ดังนั้น จึงต้องเขียนให้หมดพอขั้นนี้ไปก่อน เหมือนพอให้ว่ายน้ำไปได้ไม่จมเท่านั้น วันหลังเวลาจะบอกอะไร จะได้ไม่ต้องกล่าวซ้ำอีกบ่อยๆ


วรกุล - 15 มีนาคม พ.ศ.2550 04:47น. (IP: 203.107.204.1)

ความคิดเห็นที่ 5
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ในบทต้นๆ ที่อาจารย์สอนการอ่านในขั้นแรกสำหรับพวกเรานักเรียนหัดใหม่ ดิฉันอ่านแล้วนำมาฝึกหัดอ่านเอง สามารถหัดอ่านดวงตัวเองและพี่ๆน้องๆได้ดี แต่เกิดมีปัญหาสงสัยตรงที่อาจารย์กรุณาสอนว่า เช่น

...ให้อ่านเรือนที่สัมพันธ์กันก่อน ห้ามอ่านชื่อดาว เสร็จแล้วค่อยอ่านความหมายของดาวโดยไม่ให้เอาความหมายของเรือนมาเกี่ยว อันนี้เป็นเบสิกในการอ่าน...ซึ่งตรงนี้ดิฉันเข้าใจดีและนำไปปฏิบัติแล้ว หัดอ่านแล้วไม่งงเลย ปัญหาคือ พอไปอ่านอย่างนี้ในเว็บบอร์ด มักดูตำหนิ(ด่า)ว่าอ่านดาวลอยเฉยๆไม่ถูกวิธี บ้างก็ด่าเอาว่า เอาดาวลอยมาพยากรณ์เป็นพวกชุ่ย ฯลฯ ดิฉันหมดกำลังใจเลยค่ะ ก็อ่านเรือนแล้วสองจังหวะ แล้วก็เอาความหมายดาวมาผสม ทำอย่างนี้ผิดตรงไหนอีกคะอาจารย์

หัดดูดวงให้คนอื่นเป็นการฝึกฝน และก่อนทำนาย ก็ขอโทษเจ้าของดวงทุกครั้งว่าถ้าทายผิดต้องขอโทษด้วยไม่อยากทำเวรทำกรรม อย่างนี้แล้วยังถูกด่ากินเปล่า เสียกำลังใจจริงๆค่ะ


forte - 15 มีนาคม พ.ศ.2550 06:23น. (IP: 210.246.80.31)

ความคิดเห็นที่ 6
อ.วรกุลที่เคารพ

ขอบพระคุณ อ.วรกุลมากค่ะที่ให้ความรู้และขอขอบคุณ mg มากๆค่ะที่กรุณาช่วยค้นหา


จีน - 15 มีนาคม พ.ศ.2550 12:12น. (IP: 125.24.218.37)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 2 ) ............ข้อมูลจากคำถามของคุณ คือ ดวงเมืองจากสมุดข่อยโบราณ มีลัคนาที่ราศีกรกฎ, มีพฤหัส ศุกร์ เสาร์ เล็งลัคน์, จันทร์และราหูร่วมกันที่ตุลย์, อังคารอยู่พิจิก, อาทิตย์และพุธ อยู่ธนู โดย มีผู้คำนวณเป็นวันทางสุริยคติ เป็นวันพฤหัส เดือนกุมภาพันธ์

1 / ไม่น่าเป็นดวงเมือง เพราะไม่ควรวางจันทร์กุมราหู ทั้งทำจตุโกณเข้าหาพฤหัส ศุกร์ เสาร์ พฤหัสเป็นนิจ ถึงจะคอยเวลาไม่ได้ แต่จันทร์เลี่ยงได้วางจันทร์ราศีกันย์ง่ายกว่า เพราะดวงนี้อาทิตย์ไม่เจริญด้วย จะว่าวางดวงเมืองให้อ่อนเพื่อเป็นบริวารในอำนาจก็ไม่ใช่ หากต้องการแบบนั้นเขาจะไม่ทำดวงเมืองให้อ่อน เพราะเสียแก่ข้าศึกได้ง่าย แต่จะทำดวงเมืองให้แข็ง แล้วฝัง “ดวงฤกษ์บางอย่าง” ซ้ำลงไปให้เป็นบริวาร (เช่นข้อ 5) นอกจากนั้น หากเป็นดวงเมือง อาทิตย์ในราศีก็ควรตรงกับวันที่เทียบตามสุริยะคติ เพราะเป็นวันตามฤกษ์

2 / ไม่น่าเป็นดวงมีอายุมากสมัยโบราณ เพราะโบราณจะไม่ลงราหูในดวงชะตา

3 / ไม่น่าเป็นดวงขับ หากเป็นการขับดวงจริง ไม่ควรวางพฤหัสกับจันทร์ในที่อ่อน ศุกร์กุมเสาร์ จันทร์กุมราหูเป็นสิบแก่เสาร์แบบนี้ ซึ่งเป็นข้อหลีกเลี่ยงในการวางดวงขับและดวงเมือง

4 / หากคำนวณเป็นสุริยะคติแล้ว อาทิตย์อยู่ผิดราศีก็แสดงว่าไม่ใช่วันที่ตามดวงชะตา แต่เป็นวันที่ฝังดวงชะตา จึงห่างกันราวเดือนเศษ เมื่อไม่ใช่ดวงขับ แล้วมีการฝังดวงต่างวันกัน ดวงนี้จึงน่าจะเป็นได้สองอย่าง คือ หนึ่งเป็นดวงบุคคล เดิมสมัยก่อนผู้มีอำนาจมักจะทำดวงตนเองฝากไว้กับดวงเมือง เพราะเป็นที่มีพลังธาตุสูง และทำให้ตนเองมีความมั่นคง มีอำนาจถาวรในยศตำแหน่งปกครอง แต่ดวงบุคคลเช่นนี้เมื่อเสียชีวิตแล้วจะมีปัญหาทั้งวิญญาณผู้นั้นและดวงเมือง ต่อมาจึงไม่ทำกัน และก็ไม่เรียกว่าดวงเมือง หากอ่านจากดวงชะตาข้างต้นแบบดวงบุคคล “บุคคล” ผู้นี้มีอำนาจทางทหารและการเมือง มีฝีมือกล้าแข็ง มีฝีมือรบพุ่งสูง ได้อำนาจมาจากการปราบปรามและสังหารศัตรู จึงเป็นไปได้ว่าจะเป็นดวงบุคคล มีเพียงปัญหาว่า เป็นใคร (ดูข้อ 6 )

5 / สองเป็นดวงไชยชาตา หรือดวงพิไชยสงคราม (เคยเขียนอยุ่กระทู้ไหนไม่รู้) ที่ใช้ในทางยุทธศาสตร์ทางทหาร(พิชัยสงคราม) ปกติดวงพิไชยสงครามจะไม่ฝังรวมกับดวงเมือง แต่อาจจะทำไว้ในดวงเมืองหรือใช้แทนดวงเมืองได้ หากนำมาจากสมุดข่อยโบราณ ก็ต้องดูบันทึกจริงๆ หรือ หากขุดค้นพบก็ต้องดูสภาพที่พบและวัตถุใกล้เคียงว่าเป็นดวงอะไรแน่ ดวงไชยชาตาปกติทำให้ดี เจริญ แต่จะทำกลับกันให้เป็นบริวารเมืองขึ้นของเมืองแม่ก็ได้ เมื่อทำพิธีอะไรที่เมืองแม่ ก็จะครอบคลุมเมืองนี้ได้ด้วย ดูจากการวางดาวแล้ว อาจจะเป็นดวงไชยชาตาที่ทำพิธีนำมาจากเมืองแม่ (เมืองหลวง) การวางอาทิตย์ในเรือน(อริ)ที่เจ้าเรือนเป็นนิจกุมคู่ศัตรู เนื่องจากอาทิตย์เป็นกาลกิณีของจันทร์ เจ้าเรือนลัคนาราศีกรกฎ อาทิตย์ไม่เสียแต่ก็ไม่เจริญ เมื่อดูดาวอื่นด้วยทำให้ดวงแข็งไปทางฤทธิ์เดชรบพุ่ง ไม่ยกประเด็นวางดวงให้เจริญทางพัฒนาดังเช่นดวงเมืองทั่วไป และไม่ได้แก้โรคระบาดแน่ การวางอาทิตย์ไม่ไห้เจริญ เพื่อให้เหลืออาทิตย์ (กษัตริย์)เดียวที่เมืองหลวงนั่นเอง แต่เมื่อมีโรคระบาดก็ทำให้สูญเสียชีวิต (อาทิตย์+พุธวินาสน์)ด้วย เนื่องจากจันทร์ กุมราหูมรณะโยคหลังอาทิตย์อยู่ สรุปว่าดวงที่ถามน่าเป็น ดวงไชยชาตา (ดวงพิไชยสงคราม) เอาไว้ควบคุมในจุดยุทธศาสตร์ (ทางทหารและการปกครอง) ซึ่งก็ถือเป็นดวงเมืองชนิดหนึ่งเหมือนกัน เป็นคำตอบสุดท้าย

6 / กลวิธีจึงอยู่ตรงนี้ เวลามีข้าศึกมารบพุ่งปะทะที่เมืองนี้ ดวงเมือง(ไชยชาตา)นี้จะเป็นเหมือน “บุคคล” ทางไสยศาสตร์ ที่ (ดูข้อ 4) ว่า “บุคคล” ผู้นี้มีอำนาจทางทหารและการเมือง มีฝีมือกล้าแข็ง มีฝีมือรบพุ่งสูง ได้อำนาจมาจากการปราบปรามและสังหารศัตรู นี่เป็นการเข้าปะทะศึกขั้นแรกให้แข็งแกร่ง

ธรรมดาการวางดวงเมืองในสมัยก่อน ต้องคิดทั้งอาณาจักร ดังนั้น ดวงเมืองแต่ละเมืองมักจะวางดวงพิไชยสงครามควบคู่กันไว้ หรือวางเป็นดวงเดียวกันกับดวงเมือง และเป็นดวงที่สอดคล้องกันไม่ขัดกัน เช่น พิษณุโลก เมืองมหาอุปราช กับเมืองหลวงอยุธยา ไม่ได้วางเอาตัวรอดเป็นเอกเทศเมืองเดียว ดังนั้น เวลาวิเคราะห์ดวงเมืองต้องดูชัยภูมิและดวงพิไชยสงครามแต่ละเมือง แม้เวลามีเหตุการณ์ดาวจรก็เช่นกัน คิดง่ายๆว่า สมมุติดวงกรุงเทพเสีย อยุธยา เชียงใหม่ อุบล ก็ต้องเสียด้วยไหม หากเมืองเหล่านี้ไม่เสีย แสดงว่ากรุงเทพมีเพียงปัญหาที่แก้จบได้ เราอาจตามอ่านสัญลักษณ์บางอย่างในดวงเมือง ตามที่โบราณชี้รหัสไว้ให้ก็ได้ แล้วค่อยมาตัดสินแปลความ ไม่ใช่อ่านดาวเดียวดวงเดียวแล้วฟันธง


วรกุล - 16 มีนาคม พ.ศ.2550 04:54น. (IP: 203.107.203.204)

ความคิดเห็นที่ 8
ข้อเขียนหลายตอนก่อนได้กล่าวถึงนามธรรมของธาตุที่เราเรียกว่า “ธาตุดาว” มามาก เช่น พฤหัส – ขยายออก เสาร์ - หดตัว ฯลฯ ซึ่งเริ่มต้นอยู่ในกรอบจักรวาลใหญ่ เมื่อนามธรรมเข้ามาอยู่ในกรอบสุริยจักรวาลและโลก ก็จะถูกกรอบธรรมชาติเหล่านี้ทำให้ความหมายทางปรัชญานามธรรมของธาตุเปลี่ยนไป ในระบบเรือน ซึ่งกล่าวมาในตอนที่แล้ว ธาตุที่เป็นนามธรรมชนิดหนึ่ง คือ เกษตรธาตุ จึงกลายเป็นส่วนสำคัญในการแสดงปรัชญาของนามธรรมฝ่ายเรือน ในขณะที่ ธาตุดาว แสดง ความหมายปรัชญาฝ่ายดาว

ดังที่กล่าวแล้ว สรุปว่า ระบบเรือนเกิดจากการหมุนของโลก เรือนที่มี 12 เรือนนั้น เกิดจากราศี 12 ราศี (ยังไม่ได้บอกที่มา) การหมุนของโลกบังคับให้ “ราศี” ทำ “หน้าที่” เป็น “เรือน” เกษตรธาตุ จึงแสดงคุณสมบัติของเรือนนั้นๆ ธาตุดาว (ซึ่งมีเนื้อธาตุเดียวกันกับ เกษตรธาตุ) ทำหน้าที่เป็น “เจ้าเรือน” (ยังไม่ได้อธิบาย) เคยบอกแล้วว่า กระแสธาตุ (และพลังงานธาตุ)จากจักรวาล เข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนา แล้วเคลื่อนวนทวนเข็มนาฬิกาตามทิศโคจรของธาตุอาทิตย์ เมื่อเกิดปฏิกิริยาธาตุต่างๆแล้ว ธาตุที่เหลือจะหมุนวนผ่านออกจากดวงชะตาทางลัคนาเช่นเดิม นี้เป็นความรู้บัญญัติโหราศาสตร์ไทย ที่เขียนมาแล้วหลายตอน

เขียนเกี่ยวกับกรอบธรรมชาติที่ต้องใช้ในโหราศาสตร์ไทยมาพอใช้เป็นจิ้กซอว์อ้างอิงได้แล้ว เพื่อว่าต่อไปพอเขียนถึงจะได้ไม่ถูกถามว่าหมายถึงอะไร ทีนี้จะหันมาเขียนเรื่องเรือนกับดาวบ้างเพราะเป็นสิ่งที่เราต้องใช้กันบ่อยที่สุดในการดูดวงชะตา แต่หากจะเขียนความหมายทั่วๆไป ก็คงจะเสียเวลาเปล่า เนื่องจากพวกเราก็คงจะอ่านหนังสือกันมามากแล้ว เก่งกว่าคนที่เขียนอยู่เสียอีก ดังนั้นจึงจะเขียนความหมายแปลกๆที่พวกเราไม่ทันคิด หรือ เป็นเคล็ดลับ นอกจากนั้น การที่ผมเขียนจากความทรงจำในทุกวันนี้ โดยไม่ได้เปิดหนังสือเลย ก็คงจะเขียนความหมายได้น้อยกว่าที่หลายท่านมีอยู่แล้ว หรือ อาจจะค้นเอาเองได้ตามที่ต่างๆ

หากเราจะสังเกตดูเรือนชะตา เราจะเห็นว่าภายในอาณาเขตของ เรือน นั้น มีหลายสิ่งซ้อนกันอยู่ เกิดจากกรอบธรรมชาติที่ได้อธิบายมาแล้ว ถ้าเราลองจ้องดูเรือนใดเรือนหนึ่ง ซึ่งเราเห็นเป็นช่องธรรมดา แต่จริงๆแล้วมันจะเสมือนประกอบด้วยชั้นนามธรรมอย่างน้อย 3 ชั้น ชั้นที่อยู่ด้านหลังสุดก็คือ เนื้อแท้ทางปรัชญาของธรรมชาติในราศี ซึ่งตอนนี้ถูกครอบงำด้วยจักรราศีของสุริยจักรวาล ชั้นที่ซ้อนขึ้นมา คือ เรือนตามดวงชะตาโลก เกิดจากโลกหมุนและมีลัคนาโลกอยู่ที่ราศีเมษ ชั้นสุดท้ายที่อยู่ใกล้ตาเรา ก็คือ เรือนชะตาของเราเอง ที่เกิดจากลัคนาของเราอีกเหมือนกัน กรอบราศีที่ซ้อนกัน 3 ชั้นนี้ เมื่อมองด้วยตาเปล่าก็เป็นช่องเดียวกันสนิท แต่นักโหราศาสตร์ไทยจะต้องมองดวงชะตาอย่างน้อย 3 ชั้นนี้ให้เป็น มองให้เห็น เนื่องจากความหมายของเรือนที่บังเกิดขึ้น จะเกิดจากชั้นใดชั้นหนึ่ง นอกจากนั้น เมื่อดูดาวจร เราจะได้รู้ช่องทางที่ดาว และพลังงานเคลื่อนที่ผ่านไปมาสัมพันธ์กันด้วย

พวกเราส่วนมากที่เริ่มศึกษาโหราศาสตร์เบื้องต้น อ่านตำราแล้วมักจะเห็นว่าไม่ยาก เนื่องจากตำรามักจะสอนให้ดูดาวในราศี ดาวอะไรอยู่ราศีใดก็นำมาทำนายได้ หรือ จะเอาดาวสองดวงมาผสมกัน ก็มีตำราชี้แนะไว้ ครั้นดูเรือนก็ดูดาวในเรือน ดาวอยู่ในเรือนใดก็ดูคำทำนายเอาได้อีกเหมือนกัน ที่เริ่มซับซ้อนขึ้นและเรามักจะรู้สึกว่ายากก็คือ การดูสัมพันธ์เรือนสองเรือนขึ้นไปมาผสมกัน เนื่องจากความหมายเรือนนั้นอ่านยาก ไม่ชัดเจน มักเป็นเหมือนคำปริศนาที่ต้องถอดออกมาผสมกันแล้วจึงแปลความหมายให้เหมือนตามความเป็นจริง แม้จะมีตัวอย่างให้ดูกี่ครั้ง เราก็ยังจะ งง งง อยู่นั่นเอง นี่เป็นเพราะเรายังไม่เข้าใจความหมายของเรือนและราศีนั่นเอง

ปรัชญาโหราศาสตร์ที่จะกล่าวในตอนนี้มีความสำคัญเกี่ยวกับเรือน สมมุติ เราเอาแก้วน้ำใส่น้ำวุ้นใสๆมาเต็มแก้วหนึ่ง เมื่อเราเอานิ้วชี้ของเราค่อยๆจุ่มลงไปในวุ้นใสตรงกลางลึกลงไปตรงๆ จนสุดนิ้ว มองผ่านแก้วก็จะเห็นนิ้วมือจุ่มอยู่ในวุ้นใส ล้อมรอบนิ้วมือของเราแนบสนิท สมมุติว่าวุ้นนี้เริ่มข้นแข็งคงตัวได้แต่นิ่มอยู่ เมื่อเราดึงนิ้วมือออกมา ก็จะเห็นวุ้นนั้นมีช่องว่างเป็นรู เป็นแบบพิมพ์นิ้วมือของเรานั่นเอง นี่เป็นวิธีคล้ายการหล่อรูปเหมือน หรือ หล่อพระพิมพ์ อะไรแบบนั้น ช่องว่างรูปนิ้วมือในวุ้นนั้น ก็คือ แบบหล่อ หรือ mold ของนิ้วมือ ที่เราอาจจะหล่อนิ้วปลอมให้เหมือนของจริงก็ได้ ถ้าทำ mold ให้ถูกต้อง

ทีนี้เมื่อเรามามองทางปรัชญา รูพิมพ์รูปนิ้วมือที่อยู่ในวุ้นใสนั้นก็คือ ส่วนกลับของนิ้วจริง ภาษาตรรกะคณิตศาสตร์เรียกว่า inverse หรือ ส่วนกลับที่สมบูรณ์ ซึ่งเป็นสิ่งตรงกันข้ามประเภทหนึ่ง “สิ่งตรงกันข้าม” ที่เรารู้จักกันนั้น มีหลายอย่าง ที่ไม่เป็นแบบเดียวกัน เช่น ภาพกลับด้านในกระจกเงา (image) ภาพที่กลับสีในฟิล์มถ่ายรูป (negative) หรือ การกลับขั้วศักดาไฟฟ้า บวก – ลบ ( e potential) หรือ สภาพตรงกันข้ามของ electron – hole ในอิเล็คทรอนิคส์ เป็นต้น ซึ่งแต่ละอย่างเป็นการกลับข้าง กลับด้าน หรือ กลับขั้ว เพียงบางส่วน แต่สภาพ inverse ทางนามธรรมนี้ มีคุณสมบัติที่สำคัญสองประการ ก็คือ หนึ่ง มันมีความเหมือนของต้นแบบ (นิ้วมือ) แต่กลับกันทุกอณู ของต้นแบบ อาจจะเรียกได้ว่าเป็น แบบพิมพ์ระดับอณูของต้นแบบนั่นเอง สอง หากเอานิ้วมือต้นแบบ มาสอดกลับเข้าไปในรูรูปนิ้วมือนี้ดังเดิม องค์รวมจะกลับกลายเป็น “หนึ่ง”เหมือนเดิมใหม่ คือรูปนิ้วมือนั้นหายไป ซึ่งคุณสมบัติเช่นนี้ มีได้ในนามธรรมเท่านั้น เราไม่สามารถจำลองให้ดูจริงๆได้

การทดลองการพิมพ์นิ้วมือของเราในวุ้นนี้ จึงเป็นเรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่งในโหราศาสตร์ซึ่งอิงอยู่กับ ดุลยภาพของธรรมชาติ หลักนี้มีว่า “ธรรมชาตินี้ โดยปกติมีความเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นหากมีธรรมชาติใดถูกแยกชิ้นส่วนออกไปเป็นเอกเทศ ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะย่อมกลายเป็นสิ่งตรงข้ามที่เป็นส่วนกลับ (inverse) ที่เหมือนกัน (identical) หากทั้งสองส่วนกลับรวมกันเข้าก็จะเป็น “หนึ่ง”โดยสมบูรณ์ดังเดิม หรือกล่าวได้ว่า ทั้งสองส่วนเป็นสิ่งเติมเต็ม (complement) ระหว่างกัน”

มูลฐานของความคิดนี้มีอยู่ในคำสอนทางศาสนา และลัทธินิกายต่างๆ ทางตะวันออกมากมาย เช่น ใน อินเดีย จีน ญี่ปุ่น ซึ่งได้พัฒนาไปอย่างหลากหลายในวิชาต่างๆ เช่น ลัทธิของพราหมณ์ ฮินดู โยคะ เต๋า ขงจื้อ ตัวอย่างที่เห็นก็เช่น สัญญลักษณ์ของเต๋า ที่เป็นรูปวงกลม มีเส้นโค้งเหมือนตัวเอส แบ่งเป็นสีดำ กับ ขาว แทนความเป็นสองสิ่งที่ตรงกันข้าม แต่รวมกันเป็นหนึ่ง หรือ ทฤษฎี หยิน – หยาง ที่สรรพสิ่งแยกออกจากความสมดุล แต่เป็นคู่ตรงข้ามซึ่งมีอยู่หลากหลายในธรรมชาติรอบตัวเรา รวมทั้งทฤษฎีพยากรณ์จำนวนมากที่อาศัยการพิจารณาธรรมชาติที่เห็น เพื่อเข้าใจในธรรมชาติที่ไม่เห็น ก็เป็นพัฒนาการของความคิดนี้

การทดลองตัวอย่างของนิ้วมือเราในวุ้นใสนั้น เป็นเพียงการกลับด้านของผิว แต่ยังคงรูปเดิมอยู่เท่านั้น เราไม่สามารถจำลอง “ส่วนกลับที่สมบูรณ์” ซึ่งเป็นการกลับ “ทุกสิ่งทุกอย่าง” ทุกอณูได้ เช่นในทฤษฎี แต่คุณสมบัติของการกลับด้าน และเป็นส่วนเติมเต็มของธรรมชาตินี่เอง ที่เป็นรากฐานใหญ่ในการพิจารณารูปธรรมและนามธรรมในดวงชะตา ในดวงชะตาของเรา ราศี(เรือน)ที่อยู่ตรงกันข้ามนี้ มีสภาวะธาตุที่ถูกแยกออกยันกันเป็นสองด้าน (ดูเรื่องสภาวะธาตุในตอนก่อน) ดังนั้น จะมีผลในการใช้ทฤษฎีดุลยภาพของธรรมชาติ ในกรอบของจักรวาล เมื่อเราใช้ราศีแทนเรือน แต่ด้วยเหตุที่ จักรราศี และดวงชะตาที่เกิดจากโลกหมุน กำหนดรูปแบบลักษณะของรูปธรรม นามธรรม ออกไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่งแล้ว จึงทำให้หลักดุลยภาพ สามารถกลับด้าน หรือ คุณสมบัติ ในลักษณะที่เหลือเท่านั้น ไม่สามารถกลับได้ทุกมิติเป็นส่วนกลับที่สมบูรณ์

พฤติกรรมของกระแสธาตุที่หมุนเวียนในโลกมีความสำคัญ เมื่อธาตุเริ่มเข้าสู่ลัคนา ลัคนามีจุดกำเนิดพร้อมกับ อัตตาตัวตน เป็นเหตุให้ราศีที่ลัคนาอยู่ถูกหมายรู้เป็นตัวตน หรือ เรือน “ตนุ” หรือ เรือนที่ 1 ด้วย เรือนตนุ จึงหมายถึง เรื่องส่วนตัวที่ครอบคลุมถึงการกำเนิดและมีชีวิตอยู่ของเจ้าชะตา เรือนตนุนั้น ไม่ได้เป็นสิ่งเดียวกับลัคนา แต่เป็นที่ซึ่งลัคนาอยู่ ลัคนาเป็นช่องทางเข้าของธาตุ เข้าสู่ดวงชะตา เมื่อลัคนาจากอัตตาเกิดขึ้น ก็ยึดเอาราศีที่สถิตนั้นเป็นตัวตน จึงเกิดเป็นเรือนตนุ เรือนตนุโดยทั่วไปเราก็จึงใช้ดูเรื่องส่วนตัวที่เป็นธาตุของเจ้าชะตานั่นเอง แต่ธาตุของคนเรามีหลายชั้น ที่แสดงออกมาเห็นได้ก็คือบุคลิกภาพส่วนตัว และเรื่องที่เป็นส่วนตัวทั้งหลาย แต่เรามักไม่เปิดเผยเรื่องส่วนตัวให้รู้กัน ดังนั้น เขาจึงมักดูเรือนตนุว่าเป็น “ความลับ” ของเจ้าชะตา

ควรรู้ว่าบรรดาสิ่งที่เป็นความลับในโลกของเรา มีอยู่หลายระดับแบบชั้นความลับในวงการข่าวกรอง หากเป็นสิ่งลับๆที่ไม่มีใครรู้เลย ไม่มีใครเคยเห็น มักจะเป็น “มฤตยู” ใครที่ค้นคว้าก็ต้องหาสิ่งที่ไม่รู้นั้นเอง รองลงมาก็คือ ลับเพราะไม่เห็น ได้แก่เรือนวินาสน์ เช่น ของที่เก็บไว้ลับตาคน ทั้งนี้เพราะธาตุที่เข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนาจะวนแล้วไหลออกทางลัคนาผ่านเรือนวินาสน์เป็นเรือนสุดท้าย วินาสน์ จึงกลายเป็นเบื้องหลัง (ทางออก)ของกระแสธาตุ หรืออะไรที่ปกปิดไว้ หากเปิดเผยหรือไปเห็นเข้าก็จะไม่ลับ เหตุที่ลับเพราะไม่มีใครเห็น เมื่อไม่มีใครเห็นบ่อย พอเห็นเข้าก็เลยแปลกๆ ความหมายที่ไม่ใคร่จะมีใครใช้ คือ ลับเสียง ลับกลิ่น เช่น พุธ – วินาสน์ จึงแปลว่าข่าวลับๆ หรือ ศุกร์ - วินาสน์ คือ กลิ่นแปลกๆ ก็ได้ การลับเสียงอาจจะหมายถึงที่สงัดเงียบ การลับตา ก็อาจจะเกิดเพราะถูกซ่อนไว้เช่น การเล่นกล ดังนั้น เราจึงอาจจะแปลวินาสน์ ว่า ความลวง (ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) เมื่ออยู่ในกลุ่ม ความลวงที่มีหลายแบบ ความหมายขั้นรองลงมา บางทีก็เลยกลายเป็น ความหลอกลวง นั่นเอง

ความลับถัดมาคือ มรณะ เพราะเป็นของที่ทิ้งไว้ตรงไหนไม่รู้แล้วหายไป คือลับเพราะไม่รู้อยู่ไหน หายไปจากสายตาเท่านั้น หรือ วางทิ้งไว้โดยไม่มีใครสนใจ เหตุที่ไม่สนใจเพราะมันไม่เด่น หรือ ขี้เหร่ หรือ เป็นของตาย ของทิ้ง ของใช้แล้ว ดังนั้น มรณะจึงแปลว่า ไม่เด่น ไม่น่าสนใจ ขี้เหร่ ของทิ้ง ของตาย ของใช้แล้ว นั่นเอง ความลับ อันท้ายสุดคือ ตนุ คือ ความลับส่วนตัวของเจ้าชะตา เพราะเขาไม่บอกออกมา ดังนั้น เวลาเราอ่านตนุ บางคนจึงใช้ลูกเล่นว่าหมายถึง “ความลับอะไรที่ปกปิดส่วนตัว”

ทีนี้เราจึงได้ความหมายที่เกิดจากย่อหน้าข้างบนเพิ่มขึ้นมา จะสังเกตว่า อริ อยู่ตรงข้ามกับ วินาสน์ ความหมายบางอย่างจึงมักตรงข้ามกันตามหลักดุลยภาพของธรรมชาติ เมื่อวินาสน์แปลว่า “ลับ” อริ จึงแปลว่า “เปิดเผย เปิดโปง” แบบที่ใครเปิดโปงใคร ก็ดูได้ที่อริ เช่น อริจรเข้าปัตนิ หรือ ทับปัตนิ มักแปลว่าถูกเปิดโปงเรื่องคู่ หรือในทางตรงข้าม อริ ที่หมายถึง อุปสรรค ติดขัด วินาสน์ ตรงข้ามกับอริ จึงแปลว่า คลี่คลาย เช่น อริไปตกวินาสน์ หมายถึง ปัญหาที่ติดขัดนั้นคลี่คลายไป ที่คล้ายกันคือ ตนุ หมายถึง ความลับส่วนตัว ดังนั้น ปัตนิ ก็คือ เรื่องส่วนตัวที่ถูกเปิดเผย หรืออาจจะเป็นหน้าตาท่าทางก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เราเห็น

ถ้ามองว่า เรือนที่ตรงข้ามกันเป็นสิ่งเติมเต็ม (complement) ซึ่งกันและกัน เราจะเห็นว่า เมื่อตนุ คือตัวเรา เรือนปัตนิที่อยู่ตรงข้ามก็จึงหมายถึงสิ่งแวดล้อมที่ห่อหุ้มตัวเราอยู่ เหมือนกับวุ้นใสที่หุ้มนิ้วมือ เมื่อเราขับถ่ายอะไร หรือ เหงื่อออกก็จะไปสู่สิ่งแวดล้อม เมื่อเรากินอะไร ส่วนของสิ่งแวดล้อมก็จะมาสู่ตัวเรา เพราะเป็นสิ่งเติมเต็มระหว่างกัน ดังนั้น เมื่อตนุเสีย -ปัตนิจะได้ เมื่อปัตนิเสีย - ตนุจะได้ ข้อนี้เองทำให้เราได้ความหมายว่า ปัตนิคือ สถานที่ที่เราอยู่เป็นส่วนตัว เช่น เรากำลังนั่งเก้าอี้อยู่ ในห้องนอน ห้องนั้นก็คือ ปัตนิ นอกจากนั้น ปัตนิยังหมายถึง คู่ครองที่ร่วมกัน เพราะเวลาสองคนได้เสียกัน จะมีธรรมชาติที่เติมเต็มกันตามทฤษฎี โหราศาสตร์มักแปล ปัตนิ ว่าเป็นนายจ้างหรือ ผู้บังคับบัญชา เพราะเวลาเราทำผลงาน นายจ้างจะได้ เวลาเราไม่ทำ นายจ้างจะเสีย นอกจากนั้น เมื่อตนุ หมายถึงตัวเรา ปัตนิจึงหมายถึง คนอื่น ได้ ใครที่ชอบตำหนินายจ้าง หรือคู่ครองของตนเองว่าไม่ดี ต้องลองคิดดูใหม่หันมาดูตัวเรา เพราะเรานั่นเองเป็นต้นแบบพิมพ์ของปัตนิ

แต่มีเงื่อนไขอยู่ว่า ความหมายต่างๆที่พิสดารพลิกแพลงเหล่านี้ ไม่ได้เกิดขึ้นตลอดเวลาเสมอไป แต่จะอ่านเมื่อมีเงื่อนไขของเหตุการณ์ ( เช่น ใน ดาวจร หรือดวงกาลชะตา) ซึ่งจะกล่าวถึงในวันหลัง ดังนั้น เราจึงไม่ได้ยึดเอาความหมายพิเศษเหล่านี้เป็นหลัก แต่ต้องยึดเอาความหมายดั้งเดิมของเรือนตามปกตินั่นเองเป็นหลักในการการอ่าน ที่มาแนะนำเอาไว้ก็เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่มาของความหมายแปลกๆที่โหรไทยใช้ทฤษฎีที่กล่าวมาเท่านั้น

ตอนนี้ยาวพอสมควรแล้ว ที่จริงยังมีเรื่องของแต่ละเรือนอีกมาก เขียนไม่หมด เอามาเล่าโดยสังเขปก่อน เพราะยังเหลือเรือนอื่นๆซึ่งจะเขียนต่อไป และยังมีการอ่านดาว กับ เทคนิคอื่นๆอีกมาก จะได้รู้ว่ามีเหตุผลอะไรที่เอามาใช้อ่านดวงชะตาราศีจักร


วรกุล - 16 มีนาคม พ.ศ.2550 04:56น. (IP: 203.107.203.204)

ความคิดเห็นที่ 10
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ดิฉันมีข้อสงสัยจากที่ได้อ่านที่อาจารย์ตอบตอบคุณ ศ. fa200 ในกระทู้ที่ 23 ดังที่ดิฉันสำเนามาใส่ไว้ข้างล่างนี้

ความเห็นที่ 12 (815275)กระทู้ที่ 23 ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 10)...........ข้อที่อยากแนะนำให้ทำความเข้าใจหลักดาวจรในคำถามนี้มี 2 ประเด็น ก็คือ หนึ่ง ดาวจร ไม่ว่าจะจรไปอย่างไร มันไม่ใช่ดาวชองเรา เป็นเพียงดาวสาธารณะ ดังนั้น ราหูจรจะไปที่ไหน ก็ยังไม่เกี่ยวกับราหูในดวงเดิมของเรา สอง ราหูในจักรวาล จรไปอยู่ราศีใดก็มีธาตุตามราศีนั้น เรามักเรียกธาตุของราหู หรือดาวอื่นเมื่อมันลงมาสู่โลกแล้ว ไปตามธาตุในธรณี (โลก) ดังนั้น ราหูจร มันก็ติดธาตุลม ตามธาตุในธรณี (มหาทักษา) นั่นเอง ส่วนราหูในดวงเดิม ก็เป็นธาตุราหูในตัวเรา จะเกิดเป็นราหูธาตุน้ำ(มีน)เพราะความสัมพันธ์กับธาตุในราศีมีน และจะเป็นองคประกอบเพียงดวงเดิม ที่เราอ่านนิสัย ใจคอ ร่างกาย ฯลฯ ราหูเดิมดวงนี้ไม่ได้ติดธาตุน้ำแล้วจรไป เพียงติดคุณสมบัติเดิมเมื่อแสดงผล เราอาจจะคิดว่าเป็นราหูของเราทั้งคู่แต่เป็นราหูคนละดวงก็ได้

ดังนั้น ราหูที่จรไปในราศีต่างๆ จะให้คุณ หรือขัดแย้ง ก็อยู่ที่ราหูธาตุลมกับธาตุราศีและเจ้าเรือน แต่ก็ยังเป็นราหูจรที่เป็นดาวสาธารณะอยู่ การจรในราศีธาตุของดาวจร แสดงความเข้มแข็ง อ่อนแอได้ แต่ต้องดูลักษณะการแสดงผลในเรื่องธาตุ ที่สรุปรวมความขัดแย้งหรือ สนับสนุนให้กลายเป็นความดีเลวของดาวแล้ว ต่อเมื่อมันเข้ามาสัมพันธ์เป็นราหูจรของเราเมื่อใด จึงจะนำความดีเลวนั้นมาแสดงผลในดวงเรา หวังว่าคงเข้าใจนะครับ

1. ที่ดิฉันสงสัยคือ แสดงว่าในกรณีนี้ ราหูจรตามตัวอย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้สำหรับอ่าน "เรื่องอริจร" ในปีนั้นหรือคะ อาจารย์หมายถึง อ่านความหมายของราหู (ลุ่มหลง มัวเมา ฯลฯ) จรไปตามราศีและเรือนต่างๆ ในดวงของเรา อย่างนั้นใช่ไหมคะ

2. แล้วเราจะอ่านเรื่อง อริจร ในปีนั้น อย่างไรคะ ในกรณีนี้ เจ้าเรือนอริ ก็คือ ราหู อยู่นั่นเอง อย่างในตอนนี้ ราหูจรอยู่ที่เรือนตัวเอง ในราศีกุมภ์เรือนอริของคุณ ศ.f200 จะอ่านว่า ตอนนี้เรื่อง อริ ของคุณ ศ.f200 มีปัญหามาก(ราหูจร-เกษตร) อ่านคร่าวๆได้อย่างนี้ อ่านอย่างนี้ผิดหรือคะ

ที่สงสัยคืออ่านที่อาจารย์ตอบตามที่ quote มาข้างบนแล้วไม่เข้าใจน่ะค่ะ เพราะอาจารย์บอกว่า ราหูจร เป็นราหูสาธารณะ เพราะฉะนั้นราหูที่จรไปไหน ไม่ใช่ราหูในดวงของเรา จึงสงสัยว่า ในกรณีนี้ ราหูจรจึงไม่ใช่ เจ้าเรือนอริจร หรือคะ แล้วเราจะดูจร เรื่องอริจร ได้จากตรงไหนคะ (หมายถึงในตัวอย่างของคุณ ศ.f200) กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ


nacl - 16 มีนาคม พ.ศ.2550 06:51น. (IP: 210.246.80.75)

ความคิดเห็นที่ 11
เรียน อาจารย์วรกุล

ข้อเขียนของอาจารย์ทำให้ดิฉันรู้สึกเป็นครั้งแรกว่านี่แหละคือความรู้ด้านโหราศาสตร์แบบที่ทำให้มีเหตุผล ลึกซึ้ง และทำให้เชื่อมั่นในวิชานี้เช่นที่ดิฉันใฝ่หามานาน ขณะเดียวกันก็ตระหนักถึงภูมิปัญญาความรู้อันยิ่งใหญ่ที่บรรพชนเพียรสั่งสมมาและอาจารย์ได้กลั่นกรอง ทดสอบ และถ่ายทอดให้เป็นวิทยาทานอย่างดีเยี่ยมอย่างอาจารย์ ดิฉันขอแสดงความเคารพต่ออาจารย์อย่างสุดซึ้งค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


ดาว - 16 มีนาคม พ.ศ.2550 22:35น. (IP: 58.8.211.206)

ความคิดเห็นที่ 12
ตอบคุณ nacl (ความเห็นที่ 10 ) ............คำถามไม่เหมือนกัน แต่คำตอบก็ทำนองเดียวกันคือ ดาวจร ไม่ว่าจะจรไปอย่างไร มันไม่ใช่ดาวชองเรา เป็นเพียงดาวสาธารณะ ดังนั้น ราหูจรจะไปที่ไหน ก็ยังไม่เกี่ยวกับราหูในดวงเดิมของเรา

1 / ราหูจรในขณะปกติทั่วไปที่ผมเรียกว่าราหูสาธารณะ ก็อ่านราหู (ลุ่มหลง มัวเมา ฯลฯ) จรไปตามราศีและเรือนต่างๆ ในดวงของเรา อย่างนั้น ถูกแล้วครับ ดวงใครๆ ราหูมันก็จรไปเช่นเดียวกัน แต่เมื่อใดเงื่อนไขที่ตรงกับดวงเดิมของเรามันจึงจะเป็นอริจรสักทีหนึ่ง แล้วจึงค่อยกลับไปเป็นราหูสาธารณะอีก แล้ววันใดวันหนึ่งก็อาจจะมาเป็นอริจรอีก แบบนี้ไปเรื่อย

2 / ราหูจรเป็นเกษตรก็ยังเป็นสาธารณะอยู่ครับ ไม่ต่างกับจรไปที่อื่น สมมุติดวงผมลัคนาอยู่ธนู ราหูจะเป็นเจ้าเรือนสหัชชะเพื่อนผม ราหูก็จะเป็นอริต่อคุณ ศ.f200 บ้าง เป็นสหัชชะของผมบ้าง เป็นบางวัน เมื่อมันตรงเงื่อนไข ในวันทั่วไปมันก็ไปเล่นบทเป็นอะไรต่อคนอื่นทำนองเดียวกัน

การที่ดาวบนท้องฟ้า จรไป จะไม่เกี่ยวข้องกับระบบเรือนในดวงเรา หากยังไม่ตรงกับความสัมพันธ์เดิมในดวงชะตา แต่มันจะเป็นดาวจรที่มีปฏิกิริยาต่อดาวของเราได้ตามระบบดาว นี่แหละจึงแนะนำให้ทุกคนแยกเรือนและดาวตั้งแต่แรกในกระทู้ต้นๆ หรือดูความเห็นที่ 5 และ 9 ข้างบนก็จะเห็นว่า หากเราไม่แยกแยะแต่แรก พอเรียนมาเรื่อยๆจะแยกแยะไม่ถูก ทำให้เป็นปัญหาอยู่ตลอด


วรกุล - 17 มีนาคม พ.ศ.2550 04:43น. (IP: 203.107.207.46)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

แต่ที่ยังไม่ทราบกราบขอบพระคุณสำหรับคำอธิบายค่ะ ดิฉันคิดว่าเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์อธิบายค่ะ โดยเฉพาะตรงที่ว่า "...การที่ดาวบนท้องฟ้า จรไป จะไม่เกี่ยวข้องกับระบบเรือนในดวงเรา หากยังไม่ตรงกับความสัมพันธ์เดิมในดวงชะตา แต่มันจะเป็นดาวจรที่มีปฏิกิริยาต่อดาวของเราได้ตามระบบดาว"

แต่ที่ยังไม่ทราบ (ไม่ใช่ไม่เข้าใจ) คือ แล้วเมื่อไหร่ ดาวจรมันจะตรงกับความสัมพันธ์เดิมในดวงชาะตา จึงจะอ่านว่า อริจร กัมมะจร ฯลฯ ได้หล่ะคะ อย่างในตัวอย่างของคุณศ.f200 เมื่อไหร่จะอ่านราหูที่ขณะนี้จรอยู่ที่ราศีกุมภ์เรือนอริของคุณ ศ.f200 หรือเมื่อไหร่ราหูจรขณะนี้จะอ่านว่าเป็นสหัชชะจรของอาจารย์(ลัคน์ธนู) หรือเมื่อไหร่ราหูขณะนี้จะอ่านว่าเป็นปุตตะจรของดิฉัน(ลัคน์ตุลย์) ได้คะอาจารย์

คือดิฉันกำลังอยากจะหัดอ่านดวงจรน่ะค่ะอาจารย์ ตอนนี้อ่านตำราของอาจารย์ ศ.ดุสิต เรื่องการพยากรณ์จรอยู่น่ะค่ะ แต่ไม่อยากจะ quote เนื้อหาในหนังสือมาให้อาจารย์วรกุลอธิบายเพราะดูไม่ค่อยสุภาพไม่ค่อยดีเหมือนเป็นการเสียมารยาท

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้อยากอ่านเรื่อง กัมมะจร อย่างมากค่ะ อยากดูเรื่องการงานในปัจจุบันและอนาคต และการเรียนของเด็กๆ (กัมมะจร) แต่ไม่ได้ซีเรียสขนาดจะต้องไปหาหมอดูพยากรณ์ให้ แค่อยากเรียนการอ่านดวงจรน่ะค่ะอาจารย์ จึงเรียนมาเพื่อขอรบกวนอาจารย์อธิบายข้อสงสัยที่เรียนถามเพิ่มเติมด้วยค่ะ ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


nacl - 17 มีนาคม พ.ศ.2550 08:06น. (IP: 210.246.80.23)

ความคิดเห็นที่ 14
อ้าว...โพสต์ไปแล้วปรากฎว่า ย่อหน้าแรกข้างบน คห.13 copy มา paste ผิดตำแหน่ง เดี๋ยวอาจารย์อ่านแล้วจะงง ขอแก้ไขเป็น..

"แต่ที่ยังไม่ทราบ (เอาวลี "แต่ที่ยังไม่ทราบ" ออกไป) กราบขอบพระคุณสำหรับคำอธิบายค่ะ ดิฉันคิดว่าเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์อธิบายค่ะ โดยเฉพาะตรงที่ว่า "...การที่ดาวบนท้องฟ้า จรไป จะไม่เกี่ยวข้องกับระบบเรือนในดวงเรา หากยังไม่ตรงกับความสัมพันธ์เดิมในดวงชะตา แต่มันจะเป็นดาวจรที่มีปฏิกิริยาต่อดาวของเราได้ตามระบบดาว"

คือว่าดิฉันใช้เว็บบอร์ดไม่เก่งค่ะ และเครื่องคอมพ์ของดิฉันเครื่องนี้ไม่มีภาษาไทยเพราะต้องใช้ภาษาจีนและอังกฤษ ถ้าโหลดภาษาไทยอีกมันตีกันยุ่งค่ะ เวลาพิมพ์ต้องใช้นั่งนึกเอา บางคำก็ใช้ copy มา paste


nacl - 17 มีนาคม พ.ศ.2550 08:11น. (IP: 210.246.80.23)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบคุณ nacl (ความเห็นที่ 13 ) ............นึกแล้วเชียว เพราะคุณไม่ได้บอกว่าเรียนอะไรมาอย่างไร ผมเองไม่อยากจะยุ่งกับใครเท่าไร คุณไม่รู้ว่าเวลาเขียนตำราโหราศาสตร์ หากเขียนวิธีพยากรณ์ดวงเดิมจบแล้ว ก็ควรจะมีวิธีพยากรณ์จรต่อ ไม่งั้นตำราไหนที่ไม่มีพยากรณ์จรก็คงตลกดี แต่ทีนี้ วิธีพยากรณ์จรแต่ละวิชา ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ “ไม่อยากบอก” ทั้งนั้น เหตุเพราะต้องใช้วิธีพลิกแพลงบ้าง วิธีที่อธิบายยากบ้าง ก็เลยมีพิมพ์ไว้นิดๆหน่อยๆ หรือ พิมพ์ไว้ แต่ใช้ “ตรงๆ”ไม่ได้ จะว่า “ไม่จริง” ก็พูดไม่ได้ นี่ยังไม่นับรวม วิธี “หลอกๆ” ที่หลายตำราชอบเอามาใส่ไว้ด้วยให้ดูขลัง

คำตอบที่คุณอยากรู้ก็คือ “แต่ที่ยังไม่ทราบ (ไม่ใช่ไม่เข้าใจ) คือ แล้วเมื่อไหร่ ดาวจรมันจะตรงกับความสัมพันธ์เดิมในดวงชะตา จึงจะอ่านว่า อริจร กัมมะจร ฯลฯ ได้หล่ะคะ” คำตอบของคำถามนี้คือ กุญแจ ในเมื่อไม่ให้กุญแจไป คุณก็ใช้ไม่ได้ ตำราทั้งหลายก็จึงพิมพ์วิธีพยากรณ์จรทำนองนี้ไว้ ต่างกันเพียงสำนวน ไม่กลัวใครลอก เพราะลอกเล่มไหนก็มี นักเรียนโหราศาสตร์แต่ละคนจึงมาติดกันอยู่ตรงนี้ บางคนก็ถูกสอนให้นับทักษาบ้าง นับโน่นนับนี่ หรือเป็นวิธี “พิเศษ” ที่ไม่ซ้ำใครบ้าง นับไปนับมา พยากรณ์ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็ได้แต่พยากรณ์ดวงเดิมให้ลูกค้าแล้วก็จบ อาจารย์บางท่านเรียนมาอย่างไรก็สอนต่อไปอย่างนั้นก็มี บางโรงเรียนจึงมีหลักสูตรเรียนต่อ เรียนแล้วก็มีต่ออีก (เพราะไม่ได้บอกว่าต่อหนเดียว) มีต่อพิเศษ ต่อสเปเชียล ต่อเอ็กซตร้า ต่อกระซิบ หากใครเลิกเรียนก่อนก็จะได้โทษตัวเองว่า อยากไม่ “ต่อ” เองนี่

ผมก็บอกกุญแจให้ไม่ได้ ขออภัยด้วย เพราะแม่กุญแจมันมีเยอะ ต่อเติมกันก็มาก หากจะบอกก็ต้องสอนกันหลายขั้นตอนตั้งแต่ดวงเดิมมา จับมือสอนให้เข้าใจจึงจะทำได้ และคนที่เรียนดวงเดิมมาแต่ละคน อาจจะรู้ไม่เท่ากัน จะบอกกุญแจผีให้ไปไขได้ทุกแบบก็จะเสียของ เขาจึงมักบอกกันในชั้นเรียน ไม่ใช่ใครซื้อหนังสือเล่มละไม่กี่ตังค์ แล้วก็รู้ได้เลย แล้วใครจะมาเรียนให้เสียเงินเสียเวลา ดังนั้น คำถามของคุณแบบนี้จึงไม่มีใครถามใครตอบในที่สาธารณะ ควรทราบด้วยว่าวิธีพยากรณจรมีอยู่หลายวิธี วิธีที่คุณอ่านอยู่เป็นแบบที่เรียกว่า “ใช้ดาวโคจร” ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้ในระดับต้นๆ ดังนั้น หากไปพบผู้อื่นใช้วิธีอื่นที่ยุ่งยากกว่า ก็จะได้ไม่แปลกใจ


วรกุล - 17 มีนาคม พ.ศ.2550 16:55น. (IP: 203.107.203.240)

ความคิดเห็นที่ 17
ขอบคุณมากครับ สำหรับความกระจ่างที่ได้รับ จากความกรุณาของท่านซึ่งกระผมขอความกรุณาเรียกว่าอาจารย์หวังว่าคงไม่ขัดข้องนะครับ ผมได้ติดตามบทเรียนมาโดยตลอดแต่ไม่เคยแสดงความคึดเห็น หรือเรียนถามเพราะเข้าใจว่าในที่ท้ายสุดแล้วอาจารย์คงจะสรุปเรื่องราวต่างๆๆให้เข้าใจซึ่งผมก็คึดไม่ผิด ขอบพระคุณมากครับ


ธนพล - 21 มีนาคม พ.ศ.2550 08:30น. (IP: 222.123.133.192)

ความคิดเห็นที่ 18
เรียนท่าน อ. วรกุล

ขอบพระคุณมากครับซาบซึ้งในพระคุณเหลือเกินครับ จะจดจำไว้ศึกษาต่อไปครับ

นิตย์ กลิ่นจันท์


นิตย์ กลิ่นจันท์ - 22 มีนาคม พ.ศ.2550 01:20น. (IP: 203.156.10.71)

ความคิดเห็นที่ 19
เรียน อ.วรกุล

ไม่ทราบว่าอาจารย์มีกระทู้ปุจฉา วิสัชนาด้านพุทธศาสนาในเว็บอื่นใดบ้างไหมครับ คือ อยากจะเรียนถามข้อสงสัยด้านพุทธศาสตร์อ่ะครับ ขอบคุณมากครับ


bcc - 22 มีนาคม พ.ศ.2550 08:34น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบคุณ bcc (ความเห็นที่ 19 ) ............ผมไม่ได้ไปตอบกระทู้ทางพุทธศาสนาครับ เรื่องพุทธศาสนานั้นกว้าง หากคนถามเรื่องเกี่ยวกับความเห็นและการปฏิบัติก็พอจะตอบตามประสบการณ์ได้ แต่ถ้าถามทางปริยัติ หลักวิชา ไม่มีเวลาค้นคว้าครับ จะเขียนบาลีสักคำหนึ่งยังเลือนๆเลย เพราะห่างหนังสือไม่ได้ใช้นานแล้ว


วรกุล - 23 มีนาคม พ.ศ.2550 09:37น. (IP: 203.107.205.74)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียน อ. วรกุล

มีคำถามครับ

ในกระทู้เก่าๆเคยมีการพูดถึงว่าเราสามารถดูดวง ลูกได้มุมมองมากขึ้นถ้าดูดวงแม่ หรือดวงพ่อประกอบด้วย เพราะว่าดวงลูกขณะเกิดก็เป็นเหตุการณ์อย่างหนึ่งของแม่ด้วยเช่นกัน

ในกรณีว่าพ่อหรือแม่ได้จากไปแล้วเรายังสามารถใช้ดวงพ่อหรือแม่ มาดูดวงเกี่ยวกับบุตรได้หรือไม่ครับ


กล้วย - 27 มีนาคม พ.ศ.2550 20:32น. (IP: 124.121.20.3)

ความคิดเห็นที่ 22
ช่วงนี้อ่านข่าว มีแต่ข่าวโหดร้าย ทั้งนั้นเลย รู้สึกแปลกใจกว่าทุกๆครั้งที่อ่าน ไม่ว่าเรื่องอะไร เหมือนคนบางคนบางกลุ่มขาดสติยับยั้งความคิด อย่างเช่นข่าว หัวหน้าครอบครัว ฆ่า คนในครอบครัว4-5คน ข่าวตำรวจยิงเด็กปั้มด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ฯลฯ หลายอย่างเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะอะไร ถ้าได้จับคนเหล่านั้นเอามารวมไว้เป็นพวกเดียว คงเป็นกลุ่มใหญ่ๆแน่ๆเลยครับ ลักษณะอารมณ์แบบนี้มันเกี่ยวเนื่องกับ ดาว ๘ ที่จรเป็นเกษตรด้วยรึเปล่าเหรอครับ?


สมชาย สมเชือน - 28 มีนาคม พ.ศ.2550 15:36น. (IP: 203.188.20.191)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียนถาม อจ วรุกุลครับอยากทราบว่าเรามีวิธีทราบได้รึเปล่าครับ ว่า ดวงที่เรากำลังดูอยุ่นี้ มีพลังงานธาตุ สูงหรือต่ำ หรือเป็นเช่นไรครับ ? เรื่องของพลงงานธาตุนี่ มันใช่เกี่ยวกับทางด้าน id ego superego อะไรด้วยรึเปล่าหรือครับ คือผมสงสัย ที่ ข้อเขียนของอาจารย์ครั้งนึง เคยเขียนไว้ว่า ดวงชะตาใดที่มีพลังงานธาตุสูงมักจะเป็นบุคคลสำคัญของโลกได้ ไม่ว่าทางดีทางร้าย ...ผมจึงสงสัยว่า มันเหมือนกับพลังใจในตัวเรานี่รึเปล่าครับ ดวงดีแค่ไหน แต่คิดเล็กก็ได้เล็กๆแบบดีๆ อะไรทำนองนี้ครับ??


ไข่เจียวหน่อเหรียง - 28 มีนาคม พ.ศ.2550 15:42น. (IP: 203.188.20.191)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบคุณ กล้วย (ความเห็นที่ 21 ) ...........ในกรณีว่าพ่อหรือแม่ได้จากไปแล้วเรายังสามารถใช้ดวงพ่อหรือแม่ มาดูดวงเกี่ยวกับบุตรได้หรือไม่ครับ

ดูได้เป็นบางคนและบางกรณีครับ การที่เราดูดวงพ่อแม่เพื่อให้รู้เรื่องบุตรนั้น ในดวงเดิม จะดูให้รู้คุณสมบัติเช่น นิสัยใจคอ และชีวิตการงาน สุขภาพของบุตร ส่วนในดวงจร จะได้รู้ความเป็นไปที่ส่งผลกระทบแรงๆต่อพ่อ หรือ แม่นั่นเอง เช่นบุตรป่วย ตาย อุบัติเหตุ ได้รับยศสูง บวช แต่งงาน มีบุตร (หลาน) อะไรแบบนี้ ดังนั้น เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้ว เรื่องตามดวงเดิมก็ยังดูได้อยู่ ส่วนในดวงจรต้องดูข้อแม้ของเรื่องว่าจำกัดอยู่ที่เรื่อง ชีวิต การงาน ความเป็นไปที่ส่งผลกระทบแรงที่ตัวบุตรเอง อาจจะดูได้เป็นบางเรื่องเท่านั้น

หากพ่อแม่มีบุตรหลายคนนั่นแหละจะยุ่ง เพราะหากบุตรแต่ละคนมักจะมีโครงสร้างดาวไม่ใช่ชุดเดียวกัน การดูทั้งดวงเดิมและดวงจรจะทำได้บ้างไม่ได้บ้าง ในดวงจรมักทำไม่ได้ผล การรู้เรื่องนี้ ส่วนใหญ่มักเอาไว้สอบลัคนา และสอบดวงชะตา เช่นสมมุติดวงบุตรไม่รู้ลัคนาแน่นอน หากลัคน์เมษจะเป็นทหาร ลัคน์พฤษภจะเป็นนักดนตรี แต่ในดวงพ่อ(ซึ่งรู้แน่)ไม่เห็นมีบุตรเป็นนักดนตรี แต่เป็นทหารได้ บุตรก็น่าจะลัคน์เมษ

ในทางกลับกันก็สอบดวงพ่อ ได้ด้วยดวงบุตร (ที่รู้แน่) ทำนองเดียวกัน ในดวงเดิม การที่โหรถามอาชีพของบิดามารดา (ขณะที่เจ้าชะตาเกิด) ก็สามารถสอบดวงชะตาได้ เพราะเมื่ออ่านดวงชะตากำเนิด ก็พออ่านได้ว่าเจ้าชะตาเป็นบุตรของใคร เช่น ข้าราชการ หรือ พ่อค้า ทำนองนี้ ในดวงชะตาจร หากดูจากดวงบุตรแล้วไม่แน่ใจ (มักมีหลายเหตุการณ์ซ้อนกัน) ก็ลองสอบจากดวงพ่อแม่ได้ ว่าจะเกิดเหตุทางใด ดีหรือร้ายต่อบุตร ดวงแต่ละคนดูยากง่ายไม่เหมือนกัน บางคนไม่ว่าดูวิธีไหนก็ไม่ได้เลยก็มี เหมือนไม่ใช่พ่อแม่ลูกกันจริง แม้เขาจะยืนยันว่าใช่จริงๆก็ตาม


วรกุล - 28 มีนาคม พ.ศ.2550 16:22น. (IP: 203.107.204.175)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบคุณ สมชาย สมเชือน (ความเห็นที่ 22 ) ............ข่าวที่คุณว่าก็เห็นมีอยู่เสมอครับ เพียงแต่สมัยก่อนคนเราจิตใจอาจจะไม่ว้าวุ่นเท่าปัจจุบันนี้ แต่สังคมเดี๋ยวนี้แย่ลง เพราะการครองชีพที่ตกต่ำไม่มีคุณภาพ ประเทศเราเองก็ไม่มีรัฐบาลที่ถูกต้องซึ่งจะแก้ปัญหา มีแต่จะสร้างปัญหากันเอง ในประเทศตะวันตกอย่างสหรัฐ ยุโรปผู้คนก็เป็นโรคทางจิตใจกันมาก และก็ระบาดไปทั่วทุกหนแห่ง ต่อไปจะทำลายล้างกันทั้งโลก และหาความสุขไม่ได้ ก็จะกลับไปแสวงหาทางออกของชีวิตและความสุขทางจิตใจ ปรัชญาและธรรมะก็จะกลับมาเจริญอีกครั้ง พระพุทธเจ้าทรงมาอุบัติก็เมื่อมนุษย์สิ้นหวัง ไร้ทางออกของชีวิตแล้วเท่านั้น ๘ ราหู แม้ไม่จรเป็นเกษตร โลกก็เป็นเช่นนี้ได้ เพราะเราอยู่ในตัวของราหู ราหูคือโลก ตราบใดที่โลกยังหมุนอยู่ แล้วเราต้องวนเวียนอยู่ในโลก เราก็จะเผชิญกับความหลงเลอะเทอะเป็นยุคๆอยู่เช่นนี้แล้วก็ทำลายชาติพันธุ์มนุษย์แตกดับไป มีสัตว์ชนิดใหม่เกิดขึ้นมาอีก

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ไข่เจียวหน่อเหรียง (ความเห็นที่ 23 ) ............ไม่มีวิธีบอกโดยตรงครับ เราดูได้จากกำลังดาวและรูปแบบโครงสร้างดาวที่สัมพันธ์กัน พอบอกได้ว่าดวงไหนแรง กำลังเขียนเรื่องกำลังธาตุกำลังดาวอยู่ พลังงานทำให้ธาตุที่เป็นนามธรรมแสดงออกได้ และเปลี่ยนเป็นรูปธรรมและเหตุการณ์ได้ ด้านจิตใจที่คุณคิดนั่นนับว่าใกล้เคียง พวกอารมณ์ จิตใจ ความรู้สึก จิตใต้สำนึก ลางสังหรณ์ ความฝัน ความคิด ความปรารถนา เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรูปแบบ ที่พลังงานมีผลผลักดันให้ธาตุเปลี่ยนรูปแบบในทางโหราศาสตร์ได้ครับ


วรกุล - 29 มีนาคม พ.ศ.2550 04:45น. (IP: 203.107.202.126)

ความคิดเห็นที่ 26
หวังว่าพวกเราส่วนใหญ่ที่มาอ่านตอนนี้ คงจะได้เรียนรู้วิธีอ่านดาวเดี่ยว ดาวคู่ ในเรือนหรือ ราศี กันมาทุกคนแล้ว บางคนก็ท่องจำเกณฑ์ต่างๆได้ ทั้งองคเกณฑ์ อุดมเกณฑ์ สิงหเกณฑ์ ฯลฯ ทั้งหลักพินทุบาทว์ ดาวมาตรฐาน บางคนก็เรียนจนจบนวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ จนเป็นอาจารย์แล้วก็มี ที่แปลกมากคือเมื่อเวลาดูดาวเดิมในดวงชะตารวมทั้งดาวจรที่สัมพันธ์กันเอง หรือ สัมพันธ์กับราศี ไม่ยักมีคนถามว่า ที่เราอ่านเรือนสัมพันธ์ ดาวสัมพันธ์ นั้น ใช้ “อะไร” ล่ะที่สัมพันธ์กัน มีแต่คำอธิบายที่ยังเป็นเรื่องไม่ชัดเจนอยู่บ้าง เช่น มีแสง มีรังสี มีกำลัง มีธาตุ ผสมธาตุ อะไรทำนองนั้น แต่ก็ไม่รู้กลไกอะไรที่ทำงาน ดังนั้น ในเมื่อเราไม่รู้ว่า มี “อะไร” สัมพันธ์กัน จึงทำให้ต้องเข้าใจอะไรแบบท่องจำสำเร็จรูปอยู่

การเรียนโหราศาสตร์ไทยสมัยก่อน มักจะสอนเรื่องเรื่อง ธาตุ และ พลัง (งาน)ในดวงชะตาให้รู้เรื่องเสียก่อน เหตุเพราะเรื่องธาตุ และพลังงาน เป็นเรื่องเฉพาะในวิชาโหราศาสตร์ไทยและเป็นที่มาของกำลังธาตุและกำลังดาว (โหรรุ่นเก่าเรียกว่ามักเรียกว่า “พลังธาตุ” “พลังดาว”) แต่การเรียนในทุกวันนี้ ไปจับเอาหลักการของโหราศาสตร์ต่างประเทศมาสอนก่อน เช่น ให้เรียนดาวสถิตในราศี ทำให้การเรียนโหราศาสตร์ไทยมีเนื้อหาผิดลำดับไป บางคนไปรู้เรื่องธาตุเอาจริงๆตอนเรียนชั้นสูงไปแล้วเมื่อต้องศึกษาเรื่องฤกษ์ แต่บางคนก็ไม่ได้เรียนเลย ทำให้กลายเป็นโหราศาสตร์ปฏิรูปกันไปหมด

ดังนั้น ข้อเขียนในตอนนี้ อยากจะให้เรากลับไปลองตั้งต้นดูใหม่ ให้รู้จักเรื่องกำลังธาตุก่อน โดยมีความรู้ที่เรียนมาแล้วเป็นแบ็คกราวน์ จะไม่กลับไปเอ่ยถึงชนิดของธาตุอีกต่อไปเพราะเคยเขียนมาแล้วในกระทู้แรกๆ เราลองดูดวงชะตาแบบไทยเปล่าๆ กลมๆดูสักหน่อย ถ้าหากเรายังไม่มีลัคนา ก็ยังไม่มีเรือน แต่จะมีราศี 12 ราศี กับดาว 10 ดวง ในดวงชะตาไทย สภาพที่ไม่มีลัคนาเช่นนี้แหละคือกรอบธรรมชาติใน จักรราศี จักรราศีแบบไทย เป็นแบบเกษตร 2 เรือน ทีนี้จะลองให้เราพิจารณาดูราศีเปล่าๆดูก่อน จักรราศีแบบไทยนั้นเกิดจากโลกหมุนเอาจักรราศีของจักรวาลเข้ามา ธาตุที่เข้าสู่จักรราศีแบบไทย จะถูกเรียงเข้าประจำที่ (เพราะอะไรจะกล่าวทีหลัง) ตามราศีที่มันเป็นเกษตรอยู่ทุกรอบ เราจึงเรียกมันว่า เกษตรธาตุ (ในราศี) เมื่อใดที่มีลัคนา และเรือน เกษตรธาตุก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าเรือนนั่นเอง

เมื่อเข้ามาดูที่ดวงชะตา เรารู้ว่ามีธาตุอยู่หลายชนิดที่หมุนวนเวียนอยู่รอบๆในดวงชะตา แต่เราก็จำเป็นที่จะยังไม่เอ่ยถึงธาตุที่สำคัญๆอีกหลายชนิดอีกเหมือนกัน ในเบื้องต้น เราเข้าไปจับที่ธาตุดาว เกษตรธาตุในราศี และพลังงานธาตุ ส่วนสำคัญที่เราจะเห็นคือ เลขแทนดาว นั่นหมายถึงดาวในดวงชะตา ไม่ใช่ดวงดาวในจักรวาล ดาวนี้มีองคประกอบคือธาตุดาวเป็นส่วนใหญ่ เช่น ธาตุดาวอังคาร ธาตุดาวพฤหัส ซึ่งแต่ละดาวไม่เหมือนกัน ส่วนเกษตรธาตุ นั้น ได้มาจากดาวดวงเดียวกับธาตุดาว เช่น เกษตรธาตุศุกร์ ก็จะมีธาตุเหมือนธาตุดาวศุกร์นั่นเอง ต่างกันที่ เกษตรธาตุจะรับพลังงานไว้ได้สูงกว่าจึงมีพลังงานสูงกว่าธาตุดาว แต่ต่างกันอยู่ที่การกำเนิดของธาตุสองชนิดนี้ เพราะเมื่อดวงดาว (ในจักรวาล) กลั่นกรองธาตุที่ส่งมาจากดวงอาทิตย์นั้น ธาตุถูกแยกออกเป็นสองส่วน คล้ายกับขั้วธาตุต่างกัน ที่เป็นขั้วบวก (โดยสมมุติ) ก็คือ ธาตุดาว ส่วนที่เป็นขั้วลบ ก็คือ เกษตรธาตุ เมื่อธาตุสองชนิดนี้ส่งผ่านจากจักรวาลเข้าสู่ลัคนา ราศีธาตุ (คือ จักรราศีในดวงชะตา ไม่ใช่ ราศีของจักรวาล) ในดวงชะตาของเราจะรับเอาเกษตรธาตุขั้วลบเอาไว้ ส่วน ธาตุดาวซึ่งมีขั้วบวก จะเคลื่อนลอยอยู่โดยรอบดวงชะตา ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้ธาตุที่ส่งจากจักรวาล ผ่านเข้าทางลัคนา สามารถเติมธาตุเข้าในขั้วธาตุทั้งสองได้โดยไม่ผิดพลาด ทำให้เกิดสมดุลย์ของราศีในดวงชะตาและจักรวาล ที่ต้องเน้นย้ำในตอนนี้ ก็คือความหมายของขั้วธาตุนี้ เป็นขั้วเฉพาะของธาตุดาวแต่ละชนิด เช่น ธาตุศุกร์ ไม่ได้ปะปนเกี่ยวข้องกับธาตุดาวชนิดอื่น

เรามักอ่านธาตุดาวในราศีกันบ่อยๆ แต่มักจะใช้ในแง่ดาวสำเร็จรูป คืออ่านดาวดวงเดียวว่าดี หรือ เสีย โดยที่ไม่ได้พิจารณาโครงสร้างภายในของดาวที่เป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจาก ตำแหน่งดาวเป็นเพียงตำแหน่งที่เกิดขึ้นในจักรราศี คล้ายกับ ห้วยคลองหนองบึงตามธรรมชาติ แต่การที่จะแสดงผลดี หรือ เสียต่อเจ้าชะตานั้น เราต้องเข้าใจสิ่งที่เป็นโครงสร้างภายในดาวแต่ละดวงเสียก่อน หากเป็นธาตุ หรือ วัตถุทางวิทยาศาสตร์ ก็เหมือนเป็น microstructure หรือ ลักษณะทางกายภาพที่แสดงออกมา เพราะสิ่งเหล่านี้จะแสดงพฤติกรรมที่แท้จริงของดาวที่แสดงออกในดวงชะตาแต่ละดวง โครงสร้างภายในดาว มี 2 ส่วนที่สำคัญก็คือ ธาตุ และพลังงานธาตุ

เราลองสมมุติเอาดาวมาดูสักดวงหนึ่ง หากเราจินตนาการ(เอาเอง)ว่า ดาวดวงกลมๆนี้มีอณู หรือ granules ของธาตุจำนวนมาก ยึดเหนี่ยวกันอยู่ห่อหุ้มด้วยสิ่งที่มีสภาพคล้ายของไหล คือ พลังงานธาตุ ที่บรรจุอยู่ในดาวที่เป็นก้อนกลมนั้น คล้ายๆกับผลทับทิมที่มีเมล็ดหุ้มเนื้อเล็กๆจำนวนมากมายอยู่ภายใน เช่นดาวศุกร์ หรือ เลข ๖ นั้น หากเราคิดว่า เป็นเหมือนก้อนธาตุกลมๆ ที่เคลื่อนที่ไปได้ในจักรราศี ธาตุดาว ศุกร์จะรวมตัวกันเป็นก้อนที่ประกอบไปด้วยอณูธาตุของศุกร์จำนวนมากยึดเหนี่ยวกันอยู่ อณูเหล่านี้จะอยู่ในพลังงานธาตุที่บรรจุอยู่ในดาวที่เป็นก้อนกลมนั่นเอง ดาวดวงหนึ่งๆจะมีปริมาณเนื้อของธาตุไม่เท่ากัน ปริมาณเนื้อของธาตุในดาวนี้ มีกำลังที่จะแสดงคุณสมบัติของธาตุทางปรัชญา เราเรียกว่า กำลังธาตุ หากดาวมีธาตุมาก(ความหนาแน่นมาก) ก็จะมีกำลังธาตุมาก มีธาตุน้อยก็มีกำลังธาตุน้อย

อณูของธาตุที่ต้องทำปฏิกิริยาเคลื่อนไหวและกิจกรรมต่างๆต้องใช้พลังงานจากพลังงานธาตุ (เป็นธาตุชนิดหนึ่ง) ซึ่งอยู่ล้อมรอบอณูของธาตุนั่นเอง หากมีพลังงานมาก อณูของธาตุจะมีกำลังแสดงปรัชญาอยู่ได้นาน นอกจากนั้น ธาตุยังใช้พลังงานเพิ่อดำรงรุปธรรมและนามธรรมในตัวมันเองอีกด้วย (จะกล่าวถึงภายหลัง) ดังนั้น การมีพลังงานธาตุในดาวมากน้อย ทำให้ดาวมีกำลัง จึงเรียกว่า กำลังดาว

โครงสร้างในดาวเช่นนี้จะเป็นเช่นเดียวกับในราศี หรือ เรือน ในราศีนั้น ธาตุจะเป็นเกษตรธาตุ แทนที่จะเป็นธาตุดาว ราศีมีขอบเขตไม่ได้มีรูปร่างกลมเหมือนดาว แต่โครงสร้างภายในก็ยังคงเป็นเม็ดอณูของเกษตรธาตุ ที่บรรจอยุ๋ในท่ามกลางพลังงานธาตุเช่นกัน เราทราบอยู่แล้วว่า เกษตรธาตุและธาตุดาวเป็นธาตุเดียวกัน เราจึงต้องมองว่า ราศีเป็นเหมือนดาวดวงหนึ่ง ซึ่งมีคุณสมบัติของธาตุเหมือนกับดาว แต่มีพลังงานมากกว่าเท่านั้น

เมื่อดาวอยู่ในอาณาบริเวณต่างๆที่เป็นราศีโดยรอบดวงชะตานั้น ธาตุดาวที่อยู่ในดาวจะมีลักษณะทางกายภาพไม่เหมือนกันเลย ทั้งนี้เพราะราศีแต่ละราศีจะมีคุณสมบัติ และอิทธิพลที่ทำให้ลักษณะของธาตุดาวเปลี่ยนไปได้ สิ่งที่เราเพ่งเล็งเป็นเรื่องใหญ่ในการทำความเข้าใจธาตุดาว คือ ปริมาณของธาตุในดาว ที่แสดงด้วยจำนวนอณูธาตุนั้น เพราะทำให้มีกำลังธาตุ มากหรือน้อย ธาตุของดาว (และราศี) เมื่อเกิดขึ้นในดวงกำเนิดครั้งแรก จะได้รับธาตุจากจักรวาลที่ผ่านเข้ามาทางลัคนาไหลวนมา ธาตุที่ไหลวนมานี้ จะถูกจับไว้ในดาว แต่ปริมาณธาตุนั้นไม่เท่ากัน เบื้องต้นขึ้นอยู่กับ หนึ่ง ตำแหน่งของดาวในจักรวาลอย่างหนึ่ง และ สอง ตำแหน่งของดาวในจักรราศีของโลก สาม ปัจจัยอื่นมาเสริมหรือบั่นทอนอีกอย่างหนึ่ง

หนึ่ง ตำแหน่งของดาวโคจรในจักรวาล นั้น มีผลทำให้ธาตุที่ดาวส่งมามีปริมาณมากน้อยต่างกัน อย่างเช่นตำแหน่งของดาวที่เป็นมหาอุจ หรือ อุจ เกิดจาก ดาวในจักรวาลนั้นโคจรใกล้โลก ทำให้ความถี่ของธาตุส่งมาได้มากในทุกวงรอบหมุนของโลก ก็จะทำให้ส่งธาตุเข้ามาสู่โลกได้บ่อยครั้งขึ้น หมายถึงจำนวนความถี่ที่ส่งธาตุของดาวนั้นสูงขึ้น เมื่อได้รับปริมาณธาตุมากในดาวก็จะมีอณูธาตุมาก อณูธาตุดาวก็จะเพิ่มพูนจากที่เคยมีอยู่ ได้มากกว่าที่ใช้ไปเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ ทำให้ธาตุในดาวคล้ายมีลักษณะโป่งสูงขึ้นเป็น peak เหมือนยอดเขาแหลมหรือดูอ้วนขึ้น นี่คือ ลักษณะทางปรัชญาของ อุจ อุจจึงหมายถึงอะไรที่สูงส่ง อะไรเป็นอุจ จึงดูเหมือน ยิ่งใหญ่ ใหญ่โต โด่งดัง เด่น เห็นได้ชัด ยอดเขา ที่แจ้ง หากเป็นตัวบุคคล ก็จะเหมือนดารา หรือคนตัวสูงๆ แต่หากเป็นตำหนิ แผลเป็น ไฝปาน ก็ มักเห็นได้ชัด อะไรแบบนั้น

ส่วนตำแหน่งที่เป็น อตินิจ หรือ นิจ นั้นดาวอยู่ไกลโลก ความถี่ของธาตุที่ดาวส่งมายังโลกก็จะลดลงเมื่อโลกหมุนรอบเท่าเดิม ในขณะที่ ดาวในดวงชะตามีกิจกรรมต้องใช้ธาตุออกไป ทำให้เหลือปริมาณธาตุอยู่ต่ำ เหมือนเวลาเรารองน้ำประปาเก็บไว้ใช้ แต่น้ำไม่ค่อยไหล เพราะอยู่บ้านอยู่ไกล นิจ จึงหมายถึง เล็ก ผอม อะไรที่ต่ำ อยู่ในระดับต่ำ คนชั้นต่ำ อะไรที่คน ไม่ใคร่จะเห็น เห็นยาก เหวลึก ที่ลับ อะไรแบบนั้น นิจนั้นปริมาณธาตุส่งมาได้น้อยกว่า ในดาวก็จะมีอณูธาตุน้อย เราจึงเรียกว่านิจ ผลดังนี้ มีความสำคัญในดวงเดิมและดวงจร ในราศี ของดาวก็จะมีเกษตรธาตุที่มากตามอุจ หรือน้อยตามนิจไปด้วย ดังนั้น ความเป็นอุจ นิจ จึงต้องดูในราศีด้วย

สอง ตำแหน่งของดาวในจักรราศีของโลก จักรราศีของโลกเป็นผลให้ธาตุที่เข้ามาสู่ดวงชะตาทางลัคนาจะถูกธาตุดาวและราศีจับเอาไว้เป็นเกษตรธาตุ ในทุกรอบที่โลกหมุน สะสมไว้ตลอดเวลา หากดาวอยู่ในเกษตรราศีธาตุเดียวกับตน ก็จะเป็นเกษตร แต่หากไปอยู่ตรงข้ามก็จะเป็นปรเกษตร หรือ ประ เกษตรแบบไทยมี 2 เรือน หรือ 2 ราศี ดังนั้น ธาตุที่เข้ามาในดวงชะตาทุกรอบก็จะสะสมไว้ในดาว และราศีเกษตรทั้งสอง ที่เหลือ จึงไหลวนผ่านออกจากลัคนาผ่านไปทางวินาสน์ ส่วนตำแหน่งมาตรฐานอื่นๆที่ดีๆ ก็มักจะมีกำลังธาตุดี อย่างเช่น ราชาโชค และมหาจักร ดังนั้นตำแหน่งของดาวที่เทียบกับจักรราศีของโลกจึงมีผลต่อปริมาณธาตุที่เก็บไว้ในดาวโคจรต่างกัน

ตัวอย่างเช่น เมื่อดาวศุกร์ อยู่ในราศีที่มันเป็นเกษตร อย่างราศีพฤษภ ราศีจะมี เกษตรธาตุ ซึ่งอณูเป็นธาตุของศุกร์เหมือนกันกับดาว แต่จะมีพลังงานสูงกว่าธาตุดาว เมื่อธาตุดาวศุกร์อยู่ในเกษตรธาตุของดาวศุกร์ที่เหมือนตัวมัน และขั้วธาตุต่างกัน (บวกกับลบ) มันจะเหมือนกลับรวมตัวกันกลายเป็นเหมือนธาตุศุกร์ดั้งเดิมตอนที่อยู่ในจักรวาล หากคิดว่าธาตุดาวเป็นก้อนน้ำตาล หรือ ท้อฟฟี่นุ่มๆ หนืดๆ เกษตรธาตุในราศีก็จะเหมือนสารละลายเข้มข้นของน้ำตาลที่อยู่ในอ่างเล็กๆ ก้อนน้ำตาลที่ว่านี้จึงมีเสถียรภาพมากกว่าไปอยู่ในเกษตรธาตุราศีอื่นที่เป็นธาตุอื่น ดังนั้น อณูของธาตุดาว จึงเรียงตัวกันเป็นระเบียบดี มีการละลายตัวช้ามาก เพราะเกษตรธาตุนั้นมีทั้งธาตุและพลังงานที่ธาตุดาวต้องใช้อยู่พร้อมแล้ว อณูของธาตุดาวที่เรียงกันเป็นระเบียบนี้ จะอยู่ได้อย่างมีเสถียรภาพสูง นี่คือคุณสมบัติความเป็นเกษตร ของดาว

ดาวในฐานะเกษตร นั้น ธาตุดาวจะเรียงตัวกันอย่างดี สม่ำเสมอ เพราะเมื่ออยู่ในเกษตรธาตุที่เป็นธาตุเดียวกับตนเอง มันจึงไม่เปลี่ยนแปลงง่าย เราจึงมักทำนายว่า เกษตรว่า สม่ำเสมอ อุดมสมบูรณ์ มั่นคง ยืดเยื้อ ยาวนาน นั่นเอง ในกรณีที่ธาตุดาวไปอยู่ตรงข้ามราศีของมัน เพราะขั้วของราศีนั้นเป็นสิ่งตรงกันข้าม ที่เกิดจากสมดุลของจักรวาล ดาวจึงมีสภาพเป็น ปรเกษตร หรือ ประ ธาตุดาวจะแยกกระจาย ไม่รวมตัวกัน เหมือนชิ้นส่วนที่แยกลอยเปะปะออกเป็นชิ้นเล็กๆ พยายามที่จะเคลื่อนที่กลับไปอยู่ในราศีเกษตรที่เป็นบ้านเดิมของมัน เหมือนเราเอา น้ำมันมาหยดลงในน้ำ น้ำมันนั้นจะแตกแยกกระจายลอยหนีห่างกันออกไป เราจึงมักทำนาย ประ ว่า เป็น ความไม่มั่นคง เคลื่อนย้าย กระจาย แตกสลาย ขัดสน ไม่คงทน นั่นเอง หากกดุมภะเป็นประ ก็มักใช้จ่ายสิ้นเปลือง เก็บไม่อยู่ หรือ ปัตนิเป็นประ การครองคู่ก็ลุ่มๆดอนๆ คอยแต่จะแตกแยก ไม่รวมตัวกัน ไม่มั่นคง เป็นต้น

โดยสรุปแล้ว เราจะพบว่าเกษตร มีอณูธาตุมาก สม่ำเสมอ มีเสถียรภาพสูงดี แต่ประ จะมีอณูธาตุกระจายๆลอยเปะปะอยู่ในพลังงานธาตุ ไม่ค่อยมีเสถียรภาพ ทำให้เกษตรมีกำลังธาตุสูง ประมีกำลังธาตุต่ำ ส่วน อุจ มีอณูของธาตุ ที่มีความหนาแน่นสูง แต่ นิจ จะมีความหนาแน่นของธาตุต่ำ ทำให้อุจมีกำลังธาตุสูง นิจมีกำลังธาตุต่ำ เราจะเห็นได้ว่า แม้เกษตรและอุจ ประและนิจ จะมีกำลังธาตุคล้ายกัน แต่โครงสร้างของธาตุภายในจะมีลักษณะไม่เหมือนกัน ข้อนี้จะมีผลทำให้มีคุณสมบัติและปฏิกิริยาต่างกัน ซึ่งจะไปชี้ให้เห็นชัดเมื่อกล่าวถึงกำลังดาว นอกจากนั้น เราจะเห็นว่า โครงสร้างภายในธาตุดาว หรือราศี มีผลต่อกำลังธาตุมาก ในขั้นต้น กำลังธาตุของดาวและราศี ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของมันในดวงชะตา โดยทั่วไปดาวที่มีตำแหน่งมาตรฐานดี มักจะมีกำลังธาตุดี ดาวที่มีตำแหน่งมาตรฐานไม่ดี มักจะมีกำลังธาตุไม่ดี

สาม ปัจจัยอื่นมาเสริมหรือบั่นทอน รวมทั้งดาวที่โคจรพักร มนฑ์ เสริด ทำให้กำลังดาวเปลี่ยนแปลงไปได้ชั่วคราว โหราศาสตร์ดวงชะตายังประกอบไปด้วยปัจจัยคือดาวอื่นๆ และแหล่งของธาตุอื่นที่ส่งอิทธิพลทำให้กำลังธาตุเปลี่ยนแปลงได้อีกมาก โดยเฉพาะการเป็นคู่มิตร คู่ธาตุ คู่ศัตรูและปรปักษ์ธาตุ และเกณฑ์ต่างๆ ปัจจัยต่างๆเหล่านี้ จะมีส่วนเสริมกำลังธาตุให้ดูเหมือนมีกำลังมากขึ้นหรือลดลง อันเนื่องมาจากธาตุจะมีปฏิกิริยาต่อปัจจัยอื่น ตัวมันแสดงผลราบรื่นขึ้น หรือ มีอุปสรรค เช่นสมมุติว่าดาวมีธาตุมาก แต่ถูกบั่นทอนขัดแย้งเป็นปฏิปักษ์อยู่ เหมือนคนที่มีความรู้ความสามารถแต่เอาออกไปใช้ไม่ได้เพราะขาดโอกาส ก็จะไม่ดีไปกว่าดาวที่มีธาตุน้อยแต่ได้รับการส่งเสริมให้แสดงออก จะมีผลต่อชีวิตได้ดีกว่า นอกจากนั้นการที่ดาวโคจรพักร มนฑ์ หรือ เสริด ก็ยังทำให้กำลังธาตุของดาวเปลี่ยนแปลงไปได้ชั่วคราว ยังมีรายละเอียดในเรื่องนี้หลายแง่มุมที่ยังจะต้องกล่าวต่อไป นี่เป็นความซับซ้อนที่ทำให้เราเข้าใจยาก ดูเหมือนไม่น่าจะรู้ แต่ถ้าหากเราค่อยๆเรียนไปทีละขั้น เราจะกลับเข้าใจดวงชะตาได้ง่ายขึ้นและสามารถวิเคราะห์ดาวและเรือนได้ลึกซึ้งกว่าเดิม


วรกุล - 29 มีนาคม พ.ศ.2550 04:47น. (IP: 203.107.203.42)

ความคิดเห็นที่ 27
ขอ อณุญาติ รบกวน อจ.วรกุลสักประเดี๋ยวครับ

คราวก่อนๆ ผมได้เข้ามาขอความรู้จาก อจ มาหลายครั้ง ส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดๆมาตลอด พอมาตอนนี้ ได้ใช้เวลาย้อนกลับไปอ่าน อีกหลายๆเรื่อง พอจะจับใจความได้ขึ้นมา จึงขอรบกวน อจ ชี้แนะอีกครั้งน่ะครับว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่า

คือ ลัคนาผมราศีธนูเนี่ย มีดาว ๒๘ อยู่ในปุตตะราศีเมษ ดาว ๓ ตุลย์ /ดาว๕มังกร/ดาว๑ธนู

ผมขอแค่ถามตรงนี้น่ะครับ(ถ้าตรงนี้ผมทำความเข้าใจได้ไม่ผิดก็คงเข้าใจในพื้นฐานที่อาจารย์เล่ามาได้สักหน่อยครับ) ผมอ่านเรื่องทางเรือนมรณะก่อน มรณะ-ปุตตะ-ลาภะ โรคภัยสุขภาพที่ติดตัวในวัยเด็กจะอยู่เรือยไปจนถึงตอนแก่ ดาว ๒ เจ้าเรือนกุมดาว ๘ คู่สมผล กำลังดาวก็เลยดี ยิ่งเป็นนานเข้าไปใหญ่ ดาว๕ ในราศีมังกรทำจตุโกณโกณ เข้าหา และ ดาว๑ ก็ทำตรีโกณเข้าหา แล้วก็ยังสัมพันธ์ไปถึงดาว ๓เจ้าเรือนปุตตะด้วย (ไม่ทราบผมอ่านออกมาอย่างนี้ถูกรึไม่ ) ก็ครือ ผม เพิ่งเข้าใจว่าทำไมตัวผมถึงเจ็บออดๆแอ่ดๆอยุ่หยั่งนี้ ไม่หายขาดสักที ดีแต่ที่ชอบออกกำลังกาย ( ใช่เพราะ มรณะ มหาจักร รึเปล่าครับ จึงต้องออกกำลังกาย?)

ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกอีกรึเปล่ารบกวน อจ อีกสักครั้งครับ แล้วก็ขอถามอีกสักนิดครับ คือ ความหมาย ของ ดาว ๒๘ ใน เรือนปุตตะ เนี่ย ถ้าเราแยกมามองเป็นดาว อีกหนึ่งดวง คือ อ่านความหมายของ ๒๘ (เช่นคู่หนี้สิน) ผสมกับความสัมพันธ์กับดาวอื่นๆไปได้เลยรึเปล่าครับ เช่น ดาว ๑ ตรีโกณ เข้าหา ก็ดูในเรื่อง กำลังดาว ได้ทันทีเลย เหมือนอ่านว่า เป็นหนี้สินนานเลย อะไรประมาณนี้น่ะครับ ?

รบกวน อจ วรกุลด้วยครับ จริงๆผมไม่อยากจะถามเลยครับ กลัวว่าจะสร้างความรำคาญมากไปเพราะ พิมพ์ถามแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ต้องขอโทษ จริงๆครับ


แบงค์ - 4 เมษายน พ.ศ.2550 04:26น. (IP: 124.121.4.72)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 27) ............ที่จริงการอ่านดาวและเรือนจากดวงจริงเจ้าของชะตาจะได้ประสบการณ์ดีกว่าพูดทฤษฎีลอยๆ แต่เหตุที่ไม่ใคร่จะอยากตอบ (ไม่ใช่เพราะรำคาญ) ก็เพราะหากตอบไปก็จะมีผู้ที่อยากดูดวงชะตาแกล้งทำเป็นถามหลักโหรมาให้วิเคราะห์ดวงชะตาให้เสมอ การวิเคราะห์ดวงชะตาต้องใช้เวลามากพอสมควร หากเขียนคร่าวๆไปก็ไม่ได้หลัก ทำให้อ่านแล้วย่อมไม่รู้เรื่อง แล้วก็ถามกลับมาทำให้ต้องอธิบายต่อเฉพาะตัว คนอื่นก็ถามเอาบ้าง แล้วก็ดูดวงชะตาต่อ ถ้าอยากทำนายดวงชะตาก็ไปเปิดกระทู้ใหม่ไม่ดีกว่าหรือ แต่พอไปเปิดกระทู้ดูดวงชะตา คนก็มาถามหลักโหร หรือให้อธิบายหลัก ผิดที่กันอยู่อย่างนี้

เมื่อจะอ่านเรือน มรณะ-ปุตตะ –ลาภะ ก็ต้องอ่านในทางสัมพันธ์เรือนก่อน หากอ่านมรณะ ว่าโรคภัย ก็อ่านกลางๆว่า “สุขภาพหรือโรคภัย(มรณะ) มักจะเปลี่ยนแปลง(สหัชชะ) เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือ ขาดความเข้าใจ (ปุตตะ - วินาสน์) ซึ่งจะเป็นเรื่องขัดข้องลำบากที่จะรักษาให้สำเร็จได้ (อริ - ลาภะ)” อ่านดาว ๒๘ คู่สมพลนั้น หากอ่านทางโรคภัยก็เกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ ความดันโลหิตและตาต้อ ประสาท เป็นต้น และก็เป็นคู่หนี้สินก่อให้เกิดหนี้ผ่อนชำระ(๒๘) หรือติดพัน (๘) ค่ารักษาพยาบาลอยู่นานยืดเยื้อ (๘๓ คู่ธาตุ)กว่าจะหาย (๓ เรือน ๖ คู่มิตร) มองทางกำลังดาว คู่สมพลเข้มแข็งดี อังคารประเล็งเป็นคู่ธาตุราหูทำให้แรง เมื่อเป็นมรณะก็แสดงว่า มรณะเองยังแข็งแรง หากเป็นแล้วก็มีภูมิต้านทานพลิกฟื้นได้ (คู่สมพล) หรือ ออกกำลังบ้าง สู้กับความเจ็บป่วยแล้วก็จะกลับเป็นดี (มหาจักร) แต่ก็เป็นได้บ่อยๆเป็นๆหายๆ ( ๓ ประเล็ง) ต้นเหตุโรคภัย หากเป็นอุบัติเหตุก็เป็นเรื่องใหญ่ (คู่สมพล) แบบรถพัง (๓ประ) แต่ก็ไม่เป็นอะไร รอดได้ (ลาภะ) ส่วนดาวตรีโกณ จตุโกณ คุณยังใช้ไม่เป็น ไม่อยากอธิบายตอนนี้ เพราะใช้หลายมิติมากมายไม่ใช่เพียงแค่เอามาแจมง่ายๆ

หากอ่านเรื่องมรณะว่าโรคภัย ก็เป็นเรื่องเอก อย่างอื่นก็เป็นเรื่องอ่านประกอบทั้งสิ้น อ่านมุมไหนก็ตาม แต่อย่าเปิดประเด็นอื่น เช่น เรื่องการเงินหนี้สินให้มาเป็นประเด็นเอกซ้อนขึ้นมา ก็หัดอ่านไปอย่างนี้แหละครับ


วรกุล - 4 เมษายน พ.ศ.2550 11:23น. (IP: 203.107.203.244)

ความคิดเห็นที่ 29
ขอบคุณ อจ มากครับที่ช่วยเหลือแนะนำครับ ดูจากที่ อจ แนะนำแล้ว ถ้าสมมุตเราอ่าน เรื่องมรณะ เป็นเรื่องหลัก ถ้าสมมุตผมมีความรู้ทางด้านการใช้ ตรีโกณ จตุโกณ และ ความสัมพันธ์ของดาวอย่างอื่นอีก ก็จะสามารถนำดาว ทั้ง 10 ดวง มาโยงเข้าเรื่องมรณะเรื่องเดียวได้ใช่มั้ยครับ? เพราะทางด้านบนนั้นผมอ่าน จากมุมมองแค่คิดว่า เอาแต่ดาว ๒เป็นหลัก ไม่มีสนใจถึงดาวอื่นที่สัมพันธ์ด้วย พอเห็นอจ อ่านมา จึงได้ทราบว่า ดาวอีกเก้าดวงก็นำมาโยงเข้าด้วยกันทั้งหมดได้ ขอบคุณ อจ มากครับที่แนะนำตรงนี้


แบงค์ - 4 เมษายน พ.ศ.2550 12:17น. (IP: 124.121.4.72)

ความคิดเห็นที่ 30
เรียนอาจารย์ที่เคารพช่วยหนูด้วยเถอะคะ

ชายเกิดวันพฤหัสบดีที่ 5 ตุลาคม 2510 เวลา 14.45 นาฬิกา ที่จ.เพชรบุรี รูปร่างสัดทัดขาว

มีเรื่องจะรบกวนถามอาจารย์หน่อยคะว่าสุขภาพไม่ดีเลยมีโรคประจำตัว แล้วถ้าปี 2551 ราหูกุมลัคน์ ทักษาเดิมราหูเป็นอายุ ทายว่าเจ้าจะชะตาจะมีสุขภาพย่ำแย่สาหัส หรือเปล่าคะ

สุขภาพจะเป็นอย่างไร แต่ทำไมบางท่านบอกว่า มีดาวพฤหัส ศุกร์ เกตุ อยู่ร่วมราศีเดียวกันให้ทายว่า ตายยากใช่ไหมคะ แต่ในเมื่อมันไปตกอยู่ภพมรณะ แสดงว่าอายุสั้นหรือเปล่าคะ หนูไม่เข้าใจคะ

คือว่าหนูเป็นภรรยาของเค้านะคะแต่ไม่ได้แต่งงานเป็นพิธีนะคะ เป็นห่วงเค้ามากนะคะ เพราะเค้าบ่นตลอดว่าสุขภาพเค้าแย่ลงทุกวัน หนูก็เลยกลุ้มใจมากคะ

แล้วอย่างนี้ดวงเราจะพอเกื้อกูลกันบ้างได้ไหมคะ

หญิงเกิดวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2517 เวลา 04.23 น. ที่จ.พิษณุโลก อ้วนขาว คะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะที่กรุณา ขอบพระคุณจริง ๆ คะ


อ้อมแอ้ม - 4 เมษายน พ.ศ.2550 16:11น. (IP: 203.151.42.157)

ความคิดเห็นที่ 31
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 29) ............ถูกต้องตามที่คุณสรุปมาครับ ต้องทราบไว้ด้วยว่าดาวแต่ละดวงที่มาสัมพันธ์นั้น เมื่อใช้ “เครื่องมือในการสัมพันธ์” ที่แตกต่างกัน ผลที่แปลเป็นความหมายก็จะหลากหลายแตกต่างกันไปด้วย

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ อ้อมแอ้ม (ความเห็นที่ 30) ............คำถามของคุณตั้งใจจะให้ดูดวง กระทู้นี้ไม่ได้ดูดวงเพราะไม่มีเวลาพอ เวลาเกิดสามีคุณลองวางดวงดูก็ยังตรวจสอบไม่ได้ แม้ลัคนาจะอยู่มังกร น่าจะมีพี่น้องฝาแฝด หรือพี่น้องที่หน้าตาเหมือนกัน ก็เพียงการงานไม่ดีในช่วงอายุนี้ ตกงานหางานไม่ได้ หรือ หากทำงานอยู่ก็อาจจะเปลี่ยนงาน เสาร์จะทับพฤหัส ศุกร์ในมรณะ ราหูมฤตยูเล็ง อาจจะสูญเสียญาติ ญาติผู้ใหญ่ หรืออย่างน้อยก็เจ็บป่วย ตัวเองต้องย้ายถิ่นฐานชั่วคราว ซ่อมแซมปลูกสร้าง ปรับปรุงที่อยู่อาศัย ล้วนแล้วแต่ต้องเสียเงินมาก อาจจะต้องไปบวชสักพักหนึ่ง โรคภัยสุขภาพดูกลับไม่ร้ายแรงนักถ้าระวังรักษา เป็นเบาหวานก็ต้องระวังเลือดเลี้ยงหัวใจไม่พอ ไตจะเสื่อมเร็ว ดูแลให้มากขึ้น พยายามออกกำลังกาย ลดอาหารให้มากช่วง 2 – 3 ปีนี้อย่างจริงจังให้ผอมลงจริงๆก็จะไม่เป็นอะไรมาก อีกสองปีดวงจะฟื้นขึ้นยกเว้นสุขภาพส่วนตัวเท่านั้น

กระทู้นี้ไม่ได้รับดูดวงชะตา อยากให้ไปตรวจทางอื่นนะครับ ที่คุณถามมาแบบนี้ทั้งๆที่รู้ อ่านแล้วน่าจะเสียใจที่คุณถาม แต่ยกอารมณ์มาเป็นเครื่องเตือนสติ ก็เลยไม่รู้สึกอะไรมาก


วรกุล - 5 เมษายน พ.ศ.2550 04:59น. (IP: 203.107.204.215)

ความคิดเห็นที่ 32
ข้อเขียนคราวที่แล้วเรื่องกำลังธาตุ พยายามใช้ภาษาที่ง่ายแล้ว แต่ก็ต้องพยายามผูกประโยคให้อ่านดูเป็นคำอธิบายแบบตำรา หากเราจะใช้ภาษาง่ายกว่านั้น เรามักจะพูดกันว่า ดาวที่มีกำลังธาตุดีมักจะมีกำลังดาวดี ต่างจากที่เรามักเข้าใจโดยทั่วไปว่า “ดาวเป็นอุจ เกษตร ดี ดาวเป็นนิจ ประ ไม่ดี” ซึ่งความเข้าใจนี้ผิดได้ง่าย

เหตุที่ผิดเพราะลำพังดาวที่มีกำลังธาตุดี เช่น อุจเกษตร ก็เหมือนคนที่มีรูปร่างดี หล่อเหลา สูงใหญ่ นิจประก็เหมือนคนที่รูปร่างผอมบาง ขี้เหร่ เล็กเตี้ย หากเราต้องการจ้างคนมาทำงานแล้วมีอุปาทานต่อรูปร่างดังกล่าว เราอาจจะผิดหวังก็ได้ เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว คนที่สามารถทำงานได้ดี อดทน จะขึ้นอยู่กับ “กำลังทำงาน” ของคนผู้นั้นต่างหาก โดยทั่วไป คนตัวใหญ่ รูปร่างดี มักจะมีกำลังดี ก็จะทำงานได้เก่ง แต่คนตัวเล็ก ผอมบางโดยทั่วไปจะด้อยกว่า ยกเว้นแต่คนตัวเล็กมีแรงดี ขยันทำงาน ก็ทำงานดีได้หรือ ดีกว่าคนตัวใหญ่เสียอีก คนตัวใหญ่ รูปร่างดี หล่อเหลาบางครั้ง หากไม่ขยัน หรือ ไม่มีอาหารเพียงพอ แม้จะทำงานอย่างใดก็สู้คนตัวเล็ก ผอมบางไม่ได้ เราจึงเห็นได้จากอุทาหรณ์ข้างต้นว่า ที่ว่าคนตัวใหญ่ทำงานเก่งกว่าคนตัวเล็กนั้นไม่แน่เสมอไป

ดังนั้น ดาวที่มีกำลังธาตุดี หรือไม่ดี ต้องดูกำลังดาว ดี หรือไม่ดีด้วยเป็นของคู่กัน ดาวจะดีหรือไม่ดีในดวงชะตาเราจึงต้องดูทั้งกำลังธาตุ และ กำลังดาว ทั้งสองอย่างพร้อมกันไป โดยทั่วไป ดาวที่มีกำลังธาตุดี จะมีความจุธาตุ (capacity) สูง จึงเก็บได้ทั้งธาตุและพลังงานได้มากในตัวมัน ส่วนดาวที่กำลังธาตุไม่ดี ความจุธาตุจะน้อย คุณสมบัติกำลังธาตุและกำลังดาวทั้งสองอย่างนี้แหละที่ยืนเป็นหลักเหมือนขาสองข้างของคนเรา ขาดขาข้างใดข้างหนึ่งไม่ได้ อันที่จริงนักเรียนโหราศาสตร์ไทยแต่ก่อนเรียนสองเรื่องนี้เป็นเบื้องต้น แต่นานไปกลับมีการสอนน้อยมาก ทำให้ในปัจจุบันนักเรียนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจวิธีการของวิชาโหราศาสตร์ไทยดั้งเดิม เนื่องจากทฤษฎีโหราศาสตร์ไทยจะต้องใช้เรือนและดาวที่ต้องทราบกำลังธาตุ และกำลังดาวของปัจจัยในดวงชะตาอยู่ตลอดเวลา ทั้งในดวงเดิมและดวงจร ตลอดไปจนถึงการใช้ทฤษฎีชั้นสูงเพื่อการวางฤกษ์สำคัญๆเช่น ในดวงเมือง ที่จะทำให้ดวงฤกษ์เหล่านั้นส่งผลอยู่ได้นานหลายร้อยหรือหลายพันปี

เนื่องจากทั้งสองเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ และยาวมาก และยังจำเป็นต้องรู้ตั้งแต่พื้นฐานด้วย ดังนั้น การเขียนในที่นี้จึงทำให้ได้เพียงการให้ความคิดเบื้องต้นเท่านั้น ไม่อาจจะนำเรื่องราวทั้งหมดมาเขียนได้ หากคิดจะทำเช่นนั้น อาจจะต้องใช้เวลานานนับปีกว่าจะเก็บได้หมด เพราะเรื่องนี้ จะเข้ามาเป็นสิ่งสำคัญในทุกขั้นตอนของโหราศาสตร์ไทย

หากเราต้องการเข้าใจกำลังดาว เราต้องรู้จัก “พลังงานธาตุ” เสียก่อน ซึ่งได้เคยกล่าวถึงมาบ้างแล้ว พลังงานธาตุ (หรือที่สมัยก่อนมักเรียกว่า “พลัง” ) เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งสมัยโบราณยังไม่รู้จักพลังงานดีพอ จึงตั้งข้อสังเกตว่าพลังที่ดาวมีอยู่นั้น เกิดจากธาตุชนิดที่ให้พลังได้ จึงทำให้ดาวสามารถทำงานต่างๆได้ และมีพลังในการแสดงคุณสมบัติทางปรัชญาออกมา พลังงานธาตุมีรายละเอียดคุณสมบัติบางประการที่เปลี่ยนภพภูมิของธาตุดาวได้ แต่จะยังไม่กล่าวถึงในที่นี้

บรรดาธาตุดาวต่างๆ ล้วนต้องใช้พลังงานธาตุในการทำงานในดวงชะตา ดังนั้น การวิเคราะห์ดาวแต่ละดวงว่าจะได้พลังงานธาตุมากน้อยเท่าใดจึงเป็นสิ่งสำคัญ ลองสมมุติหากเรามีดวงชะตาอยู่สองดวงชะตา ดวงแรกมีพฤหัสเป็นอุจ ดวงที่สองมีพฤหัสเป็นนิจ เมื่อมองกำลังธาตุ เราก็เห็นได้ว่าดวงชะตาแรกมีธาตุของพฤหัสมากกว่า แสดงว่ามีกำลังธาตุ และความจุธาตุมากกว่า ก็แสดงว่าพฤหัสในดวงแรกควรจะมีความสามารถแสดงความหมายทางปรัชญาของดาวและเรือนออกมาได้มากกว่าพฤหัสที่เป็นนิจ

ทีนี้เรามาเปรียบเทียบดูอีกที ถ้าเรานึกถึงไฟฉาย หากหลอดของไฟฉายหลายวัตต์ ใช้ถ่านหลายก้อน ก็จะมีแสงสว่างได้มาก หลอดไฟซึ่งเปรียบเหมือนดาวของเรา เมื่อดาวเป็นอจ ก็คือหลอดไฟวัตต์ใหญ่ ส่องแสงสว่างได้มาก ดาวเป็นนิจคือหลอดไฟวัตต์ต่ำ แสงสว่างน้อย แต่หลอดใหญ่นั้น หากมีถ่านไฟฉาย กำลังอ่อนอยู่ ก็จะส่องแสงสลัวและอยู่ไม่ได้นาน ถ่านจะหมดเร็ว ต่างจากหลอดไฟเล็ก ที่มีถ่านไฟฉายแรง แม้จะมีแสงน้อยกว่าในตอนแรก แต่แสงยาวนานกว่า ยิ่งถ้าหากเราต่อไฟฟ้ากระแสตรงจากอแด้ปเตอร์จากไฟบ้านมายังหลอดไฟเล็กได้ด้วยแล้ว แสงไฟส่องสว่างก็จะไม่หมดจะมีแสงมากกว่าไฟหลอดใหญ่ที่ถ่านไฟอ่อนเสียอีก ถ่านไฟฉายหรือไฟฟ้าที่ป้อนให้หลอดไฟนี้ เปรียบเหมือน “แหล่งของพลังงานธาตุ” นั่นเอง

ดังนั้น การที่ดาวมีกำลังธาตุมาก เช่นเป็นอุจ แม้จะเป็นข้อได้เปรียบที่มีธาตุมากกว่า แต่ถ้าหากขาดพลังงานธาตุเพียงพอ อุจก็จะไม่มีกำลังดาวที่จะแสดงความดีออกมาได้ หรือ หากไม่ได้พลังงานเลย ก็จะกลายเป็น “อุจเสื่อม” ไร้ค่า แสดงออกได้ไม่มากนัก ต่างจาก ดาวนิจที่แม้มีกำลังธาตุน้อย แต่ถ้ามีแหล่งพลังงานธาตุสูงหรือได้รับป้อนให้ตลอดเวลา ก็จะมีกำลังดาวสูงมาก กลายเป็น “นิจเด่น” หรือ “นิจฟื้น” (บางท่านเรียกว่า “อุจเทียม” ) นั่นเอง คุณสมบัติจึงย่อมไม่ต่างจากดาวที่มีกำลังธาตุสูงทั่วไป

จะเห็นได้ว่า กำลังธาตุและกำลังดาว จึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่การที่อธิบายมาง่ายๆเช่นนี้ ตามความจริงในการศึกษากำลังธาตุและกำลังดาวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีกฎเกณฑ์ทฤษฎีที่ต้องศึกษาอยู่มากมาย นี่จึงอาจจะเป็นสาเหตุหลักการสอนโหราศาสตร์ทั่วๆไปและตำราที่พิมพ์ขายกันอยู่มักไม่สอน เนื่องจากไม่สามารถอธิบายให้สมบูรณ์ได้เป็นบทสั้นๆ

พลังงานธาตุเกิดมาจากดวงอาทิตย์ในจักรวาล และเรารับเข้ามาสู่ดวงชะตาทางลัคนาเช่นเดียวกับธาตุอื่นๆ เส้นทางและที่อยู่ของพลังงานธาตุในดวงชะตานับเป็นสิ่งสำคัญ หลักใหญ่ๆเบื้องต้น จะสรุปได้ดังนี้

หนึ่ง พลังงานธาตุจากดวงอาทิตย์ผ่านเข้าทางลัคนาโลก และเข้ามาใช้หมุนเวียนในโลกรวมทั้งธาตุในธรณี (เช่นมหาทักษา)

สอง โลกหมุนเอาพลังงานธาตุที่ใช้ในดวงชะตาผ่านเข้าทางลัคนาดวงชะตา หมุนวนทวนเข็มนาฬิกา ผ่านเรือนวินาสน์ มาออกจากลัคนาเหมือนธาตุอื่นๆ

สาม ธาตุดาวต่างๆทุกดวงจะดึงดูดพลังงานธาตุเอาไว้ใช้ เป็นกำลังดาว แต่มีลักษณะในการเก็บและใช้พลังงานไม่เหมือนกัน เกษตรธาตุในแต่ละราศี ก็เป็นแหล่งพลังงานได้ดีหากดาวไปสถิตในราศีนั้น

ดังนั้น แหล่งของพลังงานธาตุในดวงชะตา จึงมาจาก 1 / ลัคนาโลก 2 / ลัคนาดวงชะตา และ 3 / ดาวบางดวงซึ่งเป็นที่เก็บพลังงานธาตุสำรอง ได้แก่ จันทร์ พฤหัส อาทิตย์ (จันทร์ ครุ สุริยา) ที่สามารถเก็บพลังงานธาตุเอาไว้เป็นแหล่งสำรอง ที่ดาวอื่นอาจจะนำพลังงานธาตุไปใช้ได้ ส่วนธาตุดาวอื่นๆที่เหลือจะใช้พลังงานธาตุเพื่อการทำงานของตัวมันเองเป็นส่วนใหญ่เท่านั้น เว้นแต่ 4 / ดาวบางดวงที่มีกำลังดาวมาก ก็อาจจะสะท้อนส่งพลังงานธาตุออกมาให้ดาวอื่นได้ด้วย

โดยทั่วไป การสอนที่เพียงพอต่อการเรียนเบื้องต้น การส่งพลังงานธาตุในดวงชะตามีสองวิธี คือ การส่งโดยตรง และการส่งผ่านตามกระแสธาตุหมุนเวียน การส่งพลังงานธาตุโดยตรงใช้เกณฑ์ 1 3 5 7 9 11 หรือ ราศีเว้นราศี (เกณฑ์ที่เป็นตรีโกณ และโยคจะส่งพลังงานธาตุได้แรงกว่า) จากแหล่งของพลังงานธาตุในดวงชะตา เช่น สมมุติ ดวงชะตามีลัคนาอยู่ราศีมิถุน ตำแหน่งที่พลังงานธาตุส่งได้ตรงเต็มที่ คือราศี มิถุน สิงห์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ เมษ นั่นเอง ส่วนราศีที่เหลือจะได้รับพลังงานธาตุตามกระแสธาตุที่ผ่านเข้าทางลัคนาซึ่งหมุนตามกระแสธาตุโดยปกติ อย่าลืมว่า แหล่งพลังงานธาตุนอกจากลัคนายังมีดาวอื่นๆที่สำคัญอีก 3 ดวง รวมทั้งทางลัคนาโลก(ราศีเมษ) อีกด้วย ดังนั้น กระแสพลังงานธาตุที่ได้รับจึงมีอยู่ทุกราศี แต่ความเกี่ยวข้องในดวงชะตาเดิมของบุคคล นักเรียนระดับต้นจะใช้ แหล่งของพลังงานธาตุ เพียง ลัคนา อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส เว้นแต่มีดาวบางดวงที่มีกำลังดาวมาก ก็อาจจะสะท้อนส่งพลังงานธาตุออกมาให้ดาวอื่นได้ด้วย ส่วนดวงชะตาอื่นๆเช่นดวงฤกษ์จะนำเอาพลังงานธาตุจากลัคนาโลกมาใช้ร่วมด้วย เป็นรายละเอียดที่จะไปกล่าวถึงในภายหลัง

ยกตัวอย่าง ดวงชะตาหนึ่งมีลัคนาอยู่ราศีมีน 1 / ดาวอังคารอยู่ราศีกรกฏเป็นนิจ ความจุธาตุน้อย ปกติมีกำลังธาตุน้อย เมื่อได้ตรีโกณกับลัคนา จะได้รับพลังงานธาตุโดยตรงมากทำให้มีกำลังดาวดีสม่ำเสมอ 2 / หากมีอาทิตย์ จันทร์ หรือ พฤหัส อยู่เป็นโยค ตรีโกณ แก่อังคารอีกด้วยก็จะได้พลังงานเพิ่มขึ้น 3 / สมมุติมีราหูมหาอุจ กำลังดาวดี อยู่ราศีพิจิกเป็นตรีโกณอังคาร ข้อสมมุติ 3 ประการนี้ ประการใดประการหนึ่ง จะมากหรือน้อยก็ตาม อังคารตามความหมายเรือนและดาวจะไม่เสีย แม้จะเป็นนิจ ซึ่งมีกำลังธาตุน้อย ความจุธาตุน้อย แต่กำลังดาวที่ได้จะมีมากสม่ำเสมอ สามารถแสดงผลทางเรือนและปรัชญาได้ตลอดเวลา อังคารจะกลายเป็นดาวเด่นขึ้นมาได้ บางท่านจึงเรียกว่า “อุจเทียม” หรือ “นิจเด่น นิจฟื้น” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้ ดวงชะตาที่เป็น “มาลัยโยค” คือมีดาวรวมทั้งลัคนาอยู่ในราศีเว้นราศี ครบรอบวงดวงชะตา จึงเป็นดวงที่มีกำลังดาวดีเกือบทุกดวง หากยังไม่ดูกฎเกณฑ์อื่น ก็ถือว่าเป็นดวงมีวาสนาเด่นทางใดทางหนึ่ง (ทั้งในทางดีและไม่ดี)


วรกุล - 5 เมษายน พ.ศ.2550 05:02น. (IP: 203.107.204.215)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ขอเรียนถามจากข้อเขียนที่อาจารย์กรุณาอธิบายใน คห.32 ตรงย่อหน้าสุดท้ายค่ะแล้วถ้าเกิดในกรณีที่ ถ้า ลัคนา อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส ไม่เข็มแข็ง เช่น เป็น นิจ เป็น ประ ไปด้วย แต่อยู่ในตำแหน่ง ตรีโกณ หรือ โยค ดาวนั้น (๑ ๒ ๕) จะส่งพลังงานธาตุมาให้ดาวที่มีความจุธาตุน้อยได้ไม่เต็มที่ใช่ไหมคะ เพราะตัวมันเองก็มีความจุธาตุน้อยเหมือนกัน (นิจ ประ) ดิฉันเข้าใจถูกไหมคะ


วู่เม่ย - 5 เมษายน พ.ศ.2550 08:00น. (IP: 210.246.80.104)

ความคิดเห็นที่ 34
ขอโทษด้วยนะคะหากกระทู้จะรบกวนคุณวรกุล ต้องขอโทษด้วย ไม่ได้ดูให้รอบคอบ ขอบคุณที่กรุณาตอบให้บางส่วน ที่ถามเพียงเพราะไม่รู้จะปรึกษาใครดี ที่รู้เพราะรู้มาบ้างเท่านั้นไม่ได้รู้ทั้งหมดและอีกอย่างมีเพื่อนที่เรียนโหราศาสตร์ก็ช่วยกันดูกันวิเคราะห์แล้วแต่ก็ดูดวงไม่แตกที ถ้าใช้สติข่มได้ก็เป็นการดีเพราะได้ช่วยเปิดทางให้แก่ผู้ไม่รู้ที่หาทางออกไม่ได้ แต่ถถ้ายึดถือเอาเป็นอารมณ์คงช่วยไม่ได้คะ เพราะผู้ถามไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้ท่านต้องรู้สึกไม่ดี ดีคะที่ยังมีสติ ขอบพระคุณนะคะ ทีหลังจะระวังไว้


อ้อมแอ้ม - 5 เมษายน พ.ศ.2550 08:18น. (IP: 203.151.42.157)

ความคิดเห็นที่ 35
ลำดับเวลาคคห.28, 30,31 และ 34ดูแล้ว ไม่ถึง 1 วันเลย หนูน้อยอ่านจบแล้วรู้สึก "เซ็ง" เลย ... เฮ้อ ออ...(ถอนใจครับ)

ผมขอเป็นกำลังใจให้ อ.วรกุลอย่าเพิ่งเบื่อเลยนะครับ

ข้อเขียนช่วงนี้สุดๆ เลยครับ จริงๆ ยังไม่อยากเขียนคำถาม อยากอ่านข้อเขียนของ อ. อย่างเดียวครับ แต่ผมขอลองเขียนข้อสงสัย ข้อมึนงงของผมนะครับ

1.) พลังงานธาตุ(พระอาทิตย์) ที่ไหลเข้าทางลัคนา ผ่านเรือนต่างๆ แล้วกลับมาออกที่เดิมอีก อยากทราบว่า "เวลา"ที่ใช้เป็นอย่างไรครับ ?( ชั่วขณะนั้นเลย, 1 วันตามโลกหมุน ฯลฯ)

2.)พระอาทิตย์ กับ "รุ้ง" คนโบราณจะนำ "สี" และ "ลำดับสี" ที่ปรากฏมาใช้รวมกับ ธาตุดาว หรือเปล่าครับ

3.) หากข้อ 2.) ใช่ ตอนไหลเข้าลัคนาจะแยกส่วนกันหรือเปล่า

4.) เนปจูน พลูโต อาจรวมยูเรนัส คือ ลักษณะธาตุ(นามธรรม)ในธรรมชาติที่คนโบราณ ไม่ได้นำมาใช้ เพราะไม่รู้จัก (หรือก็เพราะ ไม่จำเป็น)

5.) ดวงชะตาโหราศาสตร์ไทย แท้จริง แล้วคือ "ผิวโลก+ชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม" พิจารณามองจากพื้นผิวโลกมองผ่านชั้น เมฆหมอกไปในท้องฟ้า หากชั้นบรรยากาศมีการกระเพื่อมก็ส่งผลให้ "เห็น" และส่งผลต่อสิ่งที่อยู่ในขอบเขตชั้นบรรยากาศทั้งมวล

ผมคิดมากไปว่า นี่เอง ถึงเคยได้ยินคำว่า "โลกธาตุ" เพราะโหราศาสตร์ไทย พิจารณา ธาตุที่อยู่ในโลก ขอบเขตก็แค่ไม่เกินชั้นบรรยากาศของโลกเรา แต่ ก็ยังพิจารณาถึงสิ่งที่เกินออกนอกชั้นบรรยากาศด้วยจากการมองผ่านชั้นบรรยากาศจากจุดยืนบนโลก เห็น "ราศี" หรือ "ฤกษ์" แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่สนตำแหน่ง เพราะสิ่งที่เราเห็นนี้มันปะติด(โดยสมมุติ) อยู่กับผืนชั้นบรรยากาศ หรือ กล่าวอีกอย่างว่า ธาตุจากจักรวาลที่ส่งมาถึงโลกแล้วก็วนอยู่ในชั้นบรรยากาศเรานั่นเอง

จริงๆ อยากให้กำลังใจ อ. ครับ ว่าศิษย์ก็ยังติดตามอ่านสม่ำเสมอ และก็คิดด้วย แต่ไม่รู้ว่า อ.วรกุล อ่านแล้วจะคิดอย่างไรกับศิษย์คนนี้ อย่าเพิ่งเสียกำลังใจนะครับ

ด้วยความเคารพและนับถือ


หนูน้อย - 5 เมษายน พ.ศ.2550 16:24น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีค่ะ อาจารย์วรกุล

หนูแวะมากราบสวัสดี ทักทายค่ะ และยังคงติดตามอ่านความรู้ที่อาจารย์สอนอยู่สม่ำเสมอนะคะ

อีกอย่างรู้สึกเหมือน "คุณหนูน้อย"มากๆเลยค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้อาจารย์อย่าเพิ่งเบื่อนะคะ

ด้วยความเคารพและนับถือค่ะ


bewitched - 5 เมษายน พ.ศ.2550 19:57น. (IP: 58.9.146.20)

ความคิดเห็นที่ 37
ตอบคุณ วู่เม่ย (ความเห็นที่ 33) ............เข้าใจถุกเผงเลยครับ ถ้าเราคิดว่าทุกดาวส่งพลังงานกันจังหวะเดียว อย่าลืมว่า ๑ ๒ ๕ ตัวมันเองก็มีสิทธิ์จะฟื้นได้ เช่น ๒ เป็นนิจ แต่เป็น ๒ ที่รับพลังงานจากอาทิตย์ได้เต็มที่ ก็ฟื้นได้ และก็ส่งพลังงานต่อให้ใครที่อยู่เป็นโยคหรือตรีโกณต่อจากมันได้ แต่อาจจะช้ากว่าที่มันมีกำลังดาวดีแต่แรกในดวงเดิม เช่น ตอนยังเด็ก ๒ นิจยังด้อย เป็นเด็กวัด ๒ อาจจะเจริญในวัยชรา อายุมากแล้วได้เป็นพระยาก็มี อะไรประมาณนี้แหละ ไม่ได้ทายว่าดาวอะไรเสีย ก็เสียไปตลอดชีวิต

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 35) ............1 / ไม่ได้กำหนดเวลาหรอกครับ กระแสธาตุเหมือนสายน้ำที่ไหลมาจากต้นน้ำ มันไหลต่อเนื่องเข้าทางลัคนาได้ทุกวันที่โลกหมุน หากดาวมันดักทางกระจุกไว้ หรือส่งสลับที่เช่น เกษตรแลกเรือน อนุเกษตร หลายชั้น ธาตุมันก็เคลื่อนถ่ายเทไปมา อาจจะกินเวลาหลายสิบปีกว่าธาตุตอนที่เราเกิดจะวิ่งถึงครบรอบดาว ก็เป็นได้

2 / 3 / ธาตุดาวไม่มีสีหรอกครับ สีที่ตาเรามองเห็นเกิดจากธาตุทำปฏิกิริยากันในโลกจากในมหาทักษา ไม่ใช่ในดวงชะตา ในดวงชะตาธาตุจะมีสีตามวัตถุ สถานที่ เท่านั้น ธาตุที่เป็นดาว ต่างจากธาตุในมหาทักษา จึงอาจจะเป็นคนละสีได้

4 / เรื่องนี้เป็นเรื่องยาว ความจริงดาวไม่เกี่ยว แต่นามธรรมนั้นเกี่ยวข้องด้วย เพียงแต่โบราณไม่เอานามธรรมที่มีภูมิไม่ครบมาพิจารณา เนื่องจากมีปัญหาในภพภูมิของธาตุ ดาว ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๕ ๖ ๗ เพียง 7 ดวงนี้ มีนามและรูปครบตามภูมิธาตุ ที่ใช้ในชีวิตได้แล้ว จะมีประสิทธิภาพที่สุด ที่จริงโหราศาสตร์ไทยเดิม ใช้นามธรรมอื่นๆได้ แม้แต่เนปจูน พลูโต แต่ใช้อ่านประกอบเท่านั้นเพราะมีคุณสมบัติทางธาตุหลายอย่างขาดไป

5 / ชั้นบรรยากาศ คือระบบธาตุ (ภพ)หนึ่งในโหราศาสตร์ไทยครับ ไม่ใช่ดวงชะตา ธาตุจะส่งเข้าดวงชะตาทางลัคนาเท่านั้น ดวงชะตาและลัคนาเป็นสิ่งสมมุติ เป็นแผนผังชีวิตทั้งชีวิตของเรา ชี้ให้เห็นไม่ได้ เพราะเป็นนามธรรมสมมุติชนิดหนึ่ง


วรกุล - 6 เมษายน พ.ศ.2550 05:01น. (IP: 203.107.203.202)

ความคิดเห็นที่ 38
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

กราบขอบพระคุณมากค่ะสำหรับคำตอบ คิดว่าคราวนี้เข้าใจในเรื่องธาตุมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนที่อ่านข้อเขียนของอาจารย์ในกระทู้แรกๆ ตอนนั้นอ่านแล้วโพสต์ถามคำถามที่สงสัยมาสองสามครั้ง อาจารย์กรุณาตอบให้ทุกครั้ง แต่ดิฉันปัญญาน้อยเอง อ่านเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจเลยเบื่อตัวเองไม่ถามอีก ตอนนี้ อาจารย์เขียนกระทู้นี้ อ่านแล้วเข้าใจและตอบปัญหาที่ตัวเองสงสัยในกระทู้เก่าของอาจารย์ได้ด้วยค่ะ

แต่ยังมีอีกข้อเดียวเท่านั้นที่ยังอยากขอให้อาจารย์ยืนยันว่าดิฉันเข้าใจถูก (บังเอิญว่าดิฉันเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (ocd) อันนี้เป็นจริงๆ จิตแพทย์ยืนยันว่าดิฉันเป็นจริงๆ มันเป็นมากถ้าสงสัยอะไรมากๆ) คือสงสัยว่า การพิจารณาเรื่อง ตรีโกณ และโยคนั้น เป็นการมองที่ ดาวกับดาว ใช่ไหมคะไม่เกี่ยวกับเรือนถึงแม้จะอยู่เรือนทุสถานะ แต่เป็นเป็นมุมดังกล่าว ก็ส่งพลังงานได้ใช่ไหมคะ

กราบขอบพระคุณมาอีกครั้งค่ะ


วู่เม่ย - 6 เมษายน พ.ศ.2550 06:53น. (IP: 210.246.80.34)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบคุณ วู่เม่ย (ความเห็นที่ 38) ............เรื่องธาตุมีหลายแง่มุมมากครับ เพียงแต่เข้าใจไปทีละลักษณะที่ละน้อยก็จะทำให้ไม่งง ไม่ได้เกี่ยวกับปัญญาน้อย ที่ผมเขียนก็พยายามไม่แตกประเด็นออกไป วันหลังค่อยกลับมาเขียนซ้ำใหม่ก็จะเข้าใจดีกว่าเขียนไปทีเดียว เหมือนกับบรรยายเรื่อง “ช้าง” ก็อยากให้รู้ก่อนว่ามันตัวใหญ่ อ้วน มีงวง มีขาใหญ่ มีหาง มีตาเล็ก อะไรแบบนั้น ไม่ได้คิดจะเอารายละเอียดทุกมุมมองมาเขียนให้หมดทีเดียว เพราะยังไม่ถึงประเด็นที่จะชี้ให้เห็นก็ไม่มีประโยชน์ในตอนนี้

เรื่อง ตรีโกณ และ โยค นั้น (และเกณฑ์ต่างๆด้วย) คุณเข้าใจถูกแล้ว คือใช้ระหว่างดาวกับดาวเท่านั้น และส่งพลังงานได้ ถูกแล้ว เราไม่อ่านเจ้าเรือนกับเจ้าเรือน แม้ดาวจะเป็นเจ้าเรือน เพราะตัวเจ้าเรือนไม่ได้ทำเกณฑ์กัน ถ้าจะเปลี่ยนไปอ่านเรือน ก็ต้องอ่านผ่านดาวให้เสร็จก่อน เราต้องเข้าใจว่า เกณฑ์ต่างๆนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำความสัมพันธ์ ระหว่าง a กับ b และ c เป็นต้น มันเป็นเครื่องอุปกรณ์เหมือนกับเครื่องหมายบวกลบคูณหาร เช่น ๔ ตรีโกณ ๕ อะไรแบบนี้ จะมีความหมายอย่างหนึ่ง แต่ถ้า ๔ โยค ๕ จะหมายอีกอย่างหนึ่ง หากเอาเกณฑ์ทั้งหมดมาใช้กับดาวคู่หนึ่ง คือ ๔ กับ ๕ ความหมายจะไม่เหมือนกันเลย (แม้บางเรื่องจะคล้ายกันบ้าง) มันจะเป็นเหมือน คณิตศาสตร์ระหว่างดาว ซึ่งให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน ลำพังเพียงเรื่องเท่านี้ ก็สอนกันนานอยู่แล้ว จึงไม่มีใครสอนเบสิคเรื่องนี้ให้กันทั่วไป แต่อย่าเอาไปปนกับโหรสากล เพราะไม่เหมือนกัน

จะให้คุณรู้ไว้ก็ได้ว่า การทำเกณฑ์ ระหว่างคู่ดาว 2 ดวง เมื่อพอเข้าใจแล้ว หากเพิ่ม ดาวเป็น 3 ดวง หรือ หลายดวงเข้าไป ความหมายจะเปลี่ยนไปอีก ในระดับสูง เราสามารถใช้ โยค ตรีโกณ จตุโกณ และเกณฑ์อื่นๆ ใช้กับเรือน และปัจจัยบางอย่างก็ได้ครับ แต่ไม่ได้ใช้โดยตรงและไม่ได้ทุกกรณี เพราะเรือนนั้นมาจากเกษตรเจ้าเรือน ในกรอบของจักรราศีโลก ยังมีเกณฑ์ดาวอีกหลายเกณฑ์ ไม่ใช่เกณฑ์ปกติที่ใช้ทั่วไป จึงยังบอกไม่ได้ สามารถใช้เป็นเครื่องมือ link ระหว่างปัจจัยได้ โหรบางท่าน เพียงแค่ดูดาวทำเกณฑ์กันอย่างเดียวในดวงอีแป่ะ ก็ทำนายได้เรื่องราวมากมายแล้ว แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ต้องเรียนกันมากครับ อายุสักสี่สิบต้นๆ ถ้าไม่ผมขาวก็ผมร่วง มีให้เลือกเพียงสองอย่าง

เพียงแค่ระดับดาวที่กุมกัน ก็ยังมีความหมายหลากหลายจำกันยากไม่ไหวแล้ว อันนั้นแหละสำคัญ เพราะเกี่ยวได้ทั้งกำลังธาตุ กำลังดาว และสัมพันธ์กันแทบทุกอย่าง ต้องทำความเข้าใจก่อน บางทีเรียนเรื่องเดียวเข้าใจก็ทำให้เรียนเรื่องอื่นๆได้ง่ายขึ้นด้วย


วรกุล - 7 เมษายน พ.ศ.2550 04:51น. (IP: 203.107.203.245)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบเพิ่มเติมคุณ วู่เม่ย (ความเห็นที่ 38) ............ผมลืมชี้ประเด็นเรื่องเรือนทุสถานะ อย่าลืมว่า พลังงานธาตุถูกส่งผ่านเข้ามาทางลัคนาด้วย และการส่งพลังงานทางตรงก็จะเป็น 1 3 5 7 9 11 หรือราศีเว้นราศีจากลัคนา ดังนั้นหากดาวใดอยู่ในเรือน(ราศี)ทุสถานะ เช่น 6 8 12 ก็จะไม่ได้รับพลังงานทางตรงจากลัคนานั่นเอง แต่อาจจะได้รับจากดาวอื่นที่เป็นแหล่งพลังงาน เช่น ๒ ๕ ๑ เป็นต้น ดังนั้นทุสถานะจะไม่เกี่ยวกับการส่งพลังงานระหว่างดาว


วรกุล - 7 เมษายน พ.ศ.2550 16:15น. (IP: 203.107.205.28)

ความคิดเห็นที่ 41
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ คำอธิบายของอาจารย์ดิฉันเข้าใจดีแล้วค่ะ ทำให้ดิฉันหายสงสัยไปหลายเรื่องค่ะ อ่านสิ่งที่อาจารย์เขียนตลอดค่ะ ติดตามอ่านเงียบๆตลอดค่ะ


วู่เม่ย - 8 เมษายน พ.ศ.2550 06:04น. (IP: 210.246.80.27)

ความคิดเห็นที่ 42
สวัสดีปีใหม่ (ไทย) ครับอาจารย์วรกุล.ไม่กี่วันก็จะถึงสงกรานต์แล้ว.. ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง และมีกำลังกายและใจที่ดี ปราศจาก ทุกข์ โรค ภัย ครับ..


ศ.fa200 - 10 เมษายน พ.ศ.2550 07:45น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 43
สวัสดีครับอ.วรกุล ตามอ่านอยู่ตลอดครับ แต่ไม่ได้โพสอะไรออกไป... ตอนนี้มีข้อสงสัยสามข้อครับ... 1. เรื่อง ๑ ๒ ๕ ครับ การที่มันเป็นแหล่งของพลังงานธาตุอยู่แล้ว จะถือได้ว่ามีควาำมสำคัญในระดับเดียวกับลัคนาในเรื่องของการส่งพลังงานรึเปล่าครับ พลังงานที่เข้าทาง ๑ ๒ ๕ ในกรณีที่เป็นอุจ หรือนิจ เมื่อเทียบกับระดับของพลังงานที่ผ่านเข้าทางลัคนาจะต่างกันแค่ไหนครับ 2. สงสัยเรื่องตำแหน่ง 4 กับ 10 ครับ ว่าทำไมถึงไม่ได้รับพลังงานธาตุจากลัคนาครับ เพราะแปลกใจที่ตำแหน่งจัดเป็นธาตุชนิดเดียวกันแท้ๆ (อันนี้เกี่ยวหรือเปล่าครับ) อีกทั้งไม่ใช่เรือนทุสถานุด้วย (แต่อันนี้อ.พึ่งตอบไปว่า ไม่เกี่ยวกัน) ขอบคุณมากครับ


โกวเล้ง - 10 เมษายน พ.ศ.2550 22:10น. (IP: 134.28.65.47)

ความคิดเห็นที่ 44
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 42) ............ขอบคุณที่อวยพรครับ ขอให้คุณมีความสุข ความสำเร็จในชีวิตการงานและครอบครัวตลอดปีด้วย พวกเราขยันอวยพรกันตลอดมาตั้งแต่ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ วันครู ฯลฯ พรใดที่เรากล่าวโดยกุศลกรรมวาจา ก็จะย้อนกลับไปเป็นมงคลให้แก่ตนเองทุกท่าน ขอบุญกุศลใดที่เราได้กระทำมาตลอดปี จงดลบันดาลให้ทุกท่านมีปัญญาแตกฉาน เจริญรุ่งเรืองด้วยพรอันประเสริฐ และจงเป็นเกราะป้องคุ้มภัยภยันตรายอยู่ทุกทิวาราตรีกาล

คำถามของคุณโกวเล้งจะยกไปตอบทีหลังในกระทู้ที่ 26 นะครับ


วรกุล - 11 เมษายน พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.203.231)

ความคิดเห็นที่ 45
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 26....ครับ..........


วรกุล - 11 เมษายน พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.203.231)