ความคิดเห็นที่ 1ถ้าหากจะศึกษาจริงๆ ผมแนะนำว่าควรหาตำรามาอ่านให้เข้าใจพื้นฐานก่อนดีกว่าครับส่วนเรื่องการคำนวนให้เป็นเรื่องของโหร ที่เชี่ยวชาญก่อนแล้วกันครับถ้าหากต้องการคำนวนดวงชะตาแนวโหราศาสตร์สากล ก็ดูได้จากที่ผมเคยทำนายไว้ให้แล้วนั้นแหละครับใช้ได้เหมือนกันหมดทุกที่ หรือหากต้องการแปลงเป็นแนวโหราศาสตร์ไทย ก็ลอง ลบด้วยค่าประมาณ 23 องศา ก็พอใช้ได้ครับ
ความคิดเห็นที่ 2ถึงคุณนกน้อย...ผมเป็นเพียงผู้สนใจโหราศาสตร์ครับ นามแฝงคุณคล้ายๆ ของผมเลย (ของผม หนูน้อย) ขอลองช่วยตอบคุณนกน้อยนะครับ เป็นข้อๆ 1.) เกิดจากวิธีคำนวณหาตำแหน่งดาวแตกต่างกันครับ ความต่างของวิธีคำนวณทำให้ระยะองศาไม่เท่ากัน และเนื่องจากดาว ๕ คงกำลังย้ายราศีด้วยครับทำให้แตกต่างชัดเจนวิธีคำนวณตำแหน่งดาวมี 1.1) ทางดาราศาสตร์ 1.2) คัมภีร์สุริยาตร์ (อาจจะแยกย่อยอื่นๆ ได้อีก)การคำนวณเป็นแบบหนึ่ง การทำนายเป็นแบบหนึ่ง หากคุณใช้ปฏิทินแบบไหน ก็ให้ยึดปฏิทินนั้นตลอดการทำนายเมื่อ “เรา” ลองศึกษาโหราศาสตร์แล้ว ก็ลองลืมแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ไปบ้างนะครับ ขึ้นชื่อว่า ศาสตร์ แล้ว แต่ละศาสตร์ก็มี เหตุ-ผล ในตัวเอง วิทยาศาสตร์เพียง ทดลอง เก็บข้อมูล ตรวจสอบแล้วได้เหมือนเดิม หรือ ทำนายผลลัพธ์จาก กรอบที่วางไว้ได้ แล้วสอดคล้องตรงกับของจริง หรือกระทั่งประมาณเอาละเอียดและบอกว่ายกเว้นบางส่วนเอาไว้ครับแต่การแสวงหาคำตอบ ผลลัพธ์ที่ได้ ไม่ใช่มีแต่กระบวนการทางวิทยาศาสตร์อย่างเดียว ที่ “เรา” นำไปใช้ ไม่ใช่มีแต่ข้อมูล สถิติ นะครับ ลองไปทำการศึกษา การอนุมาน การเปรียบ การเทียบ นอกจากนี้ยังมี ปรัชญาอื่นๆ ครับ เช่น ใช้สิ่งที่เราทราบ รับรู้ อธิบายสิ่งที่เหลือที่เราไม่ทราบครับ2.) เท่าที่ทราบโหราศาสตร์ทางตะวันตก ยึดถือ ตำแหน่งมาก และต้องการความละเอียดทางตำแหน่งมากๆ โหราศาสตร์ไทยเดิม ใช้วิธี ตรวจสอบ เรื่องที่เกิดจริง และ คุณสมบัติ แทน และสัมพันธ์กันเป็นทอดๆ ตำแหน่ง(คร่าวๆ ) - -> ตรวจความหมายสอดคล้องชีวิตจริง - -> ละทิ้งตำแหน่งใช้เพียงความหมาย(แต่หากต้องการตำแหน่งที่ อิงคุณสมบัติที่แท้จริง ก็หาย้อนกลับได้ครับ)พอเราไม่ยึดตำแหน่ง ก็เปิดโอกาสกว้างในการแสวงหาคำตอบครับมนุษย์เพียงขีดกำหนดราศี เรือน แต่แท้ “ตัวจริงธรรมชาติ” จะเป็นของมันเอง หากคุณอยู่ชายทะเล คุณต้องทราบเวลาว่า ขณะไหนอาณาบริเวณผืนแผ่นดินจะมีเท่าใด เพราะน้ำมันขึ้นลงได้ครับโหราศาสตร์ไทย มีทั้งระบบดาว และ ระบบเรือน ให้ศึกษาแยกกันอ่านอย่างอิสระก่อนจะไม่งง แล้วค่อยกลับมาอ่านรวม (ยากมากครับ ผมฝึกมาไม่ดี หลงๆ ไปบ้าง หากคุณฝึกแต่ต้นจะไม่หลงครับ)โหราศาสตร์ไทย อาจจะคล้าย ที่พวกเราตอนเด็กๆ ฝึกประสม อ่านเขียน เรียน ก ข ก กา นะครับ ปรัชญาความรู้มันออกมาที่ภาษาครับ เลยอาจจะเป็น (ความคิดผม) สิ่งหนึ่งที่หาก เราเข้าใจวิธีเรียน ก ข ก กา เราจะเข้าใจวิธีอ่านในโหราศาสตร์ไทยได้ดีนะครับการอ่านเรือน เท่าที่ผมจำได้จากการอ่าน บทความ ของ อ.วรกุลนะครับ ผมขอสรุปในแบบความเข้าใจของผมนะครับ คือ คุณจะอ่านยังไงก็ได้ ความหมายมันมีเป็นล้าน ยิ่งอ่านได้เยอะ จะมีผลดีในเวลาอ่านพยากรณ์จรนะครับ เปรียบเสมือน (อ.วรกุล เขียนบอกไว้) ปลาว่ายในอ่าง แล้วเราเอาสวิงมาช้อนนะครับ เราจะเอาสวิงมาช้อนได้ตัวไหน ตัวนั้นก็คือคำทำนายในตอนนั้นนะครับลงพยายาม อ่านบทความ อ.วรกุลในเวปนี้ก่อนซิครับ “คุยกันสบายๆ ตามประสาโหราศาสตร์ไทย” ถึงตอนนี้ อ.วรกุลเขียนมา 27 กระทู้ได้แล้วครับ ผมพยายามหา อ.วรกุลแนะนำไว้นะครับ ลองไปหาอ่านดูกระทู้ที่ 16 ครับ ถามโดยคุณ bcc ใน29 และ อ.วรกุล ตอบ ใน32กระทู้ส่วนเพิ่ม ผมจะลองตัดปะให้ข้างล่างนะครับ
ความคิดเห็นที่ 3ข้อความข้างล่างนี้เป็นของ อ.วรกุล นะครับ ผมนำมาตัดปะ ตบบรรทัด ให้ดูอ่านง่าย เพราะคุณนกน้อย อาจจะค้นหายากนะครับ ลองไปอ่านดูนะครับ52 โดย คุณ วรกุล 26 dec 2004 08:46 #763091 ลบ ***คุณ moon คุณสว่างนภา คุณโจโรฤกษ์..........ครูโหรท่านเป็นชาวสวน “ไม้ค้อมมีลูกน้อม นวยงาม” ความหมาย ก็คือ กิ่งไม้ที่ตรงสวยชี้ฟ้า ชูเด่น นั้น เพราะมันเบา ไม่มีลูกไม้ แต่ไม้ที่ค้อมลงต่ำ ยิ่งต่ำลงก็เพราะมันหนักด้วยผล ยิ่งมีผลงามมาก ยิ่งค้อมลงมาก ผลนั้นย่อมต้องคล้อยต่ำกว่ากิ่ง ลงเรี่ยติดดิน เปรียบเหมือนมนุษย์เราที่อวดชูเด่น ก็คือกิ่งไม้ที่ตรงชี้ฟ้า ไม่มีคุณค่าเท่าปราชญ์ผู้มีความรู้ล้ำค่า แต่อ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่สูงสุดคือการกลับคืนลงสู่สามัญ กิ่งไม้ที่ตรงชี้อวดชูตนเองนั้น แม้เราจะแขวนลูกไม้ไว้ให้สักเท่าใด ก็ไม่สามารถรับได้เพราะไม่รู้จักน้อมลงรับคุณค่า ของลูกไม้ มีแต่จะหักโค่นลงเพียงต้องลมพายุฤดูเดียวเรา ต้องเข้าใจก่อนว่า โหราศาสตร์นั้น เหมือนต้นไม้ที่มีหลายกิ่งก้านแหละกิ่งแขนงมากมาย ถ้าหยิบหนังสือขึ้นมาสักเล่มจะไม่รู้เลยว่าเรากำลังอยู่ที่แขนงไหน กิ่งไหน ดังนั้นบางคนที่อ่านหนังสือหลายเล่มก็จะเอามารวมกันไปโดยไม่รู้ตัว เวลาเป็นอาจารย์ใครก็สอนลูกศิษย์ไปทั้งอย่างงั้นแหละ โหราศาสตร์ไทยเดิมแท้นั้น มีหลักแม่บทอยู่ที่เรื่อง “ธาตุ” ต่อมามีคนเอาหลักโหรอื่น เช่นสากลบ้าง ฝรั่งบ้างอินเดียบ้าง จีนบ้าง มาผูกรวมกัน แล้วเรียกว่า โหราศาสตร์ไทยประยุกต์ มีตั้งแต่ประยุกต์น้อยๆ ไปจนถึงประ ยุกต์กันใหญ่ ดูไม่รู้ว่าเป็นไทยเผ่าไหน เมืองไหน ได้ยินอาจารย์บางคน สอนลูกศิษย์ว่าได้มาจากเมืองบาบิโลนนั่นทีเดียว ทำให้พวกเราหาแก่นของเรื่องไม่เจอ การเรียนโหราศาสตร์ไทยจึงต้องพยายามเกาะไปตามกิ่งใหญ่ของโหราศาสตร์ระบบธาตุ ไม่ออกทางกิ่งแขนงจนเกินเลยไป เดี๋ยวจะพากันไปตกต้นไม้ ทั้งคนสอน คนเรียน ขาหักทั้งคู่ขั้นแรกเรื่องการผูกดวงชะตา ให้ใช้ปฏิทินสุริยาตรชนิดมีองศาหรือไม่มีก็ได้ การวางลัคนา ให้ใช้เวลาท้องถิ่นที่เกิด โดยเอาเวลาเกิดตัดเวลานาฬิกาให้ถูกต้อง เมื่อตัดเวลาแล้ว ให้ใช้อันโตนาทีสามัญคำนวณหาตำแหน่งองศาลัคนา หรือหากใช้แผ่นหมุนก็หมุน เอาตำแหน่ง 6:00 น. ตั้งต้นหาลัคนา แล้วไปขั้นที่สองขั้นที่สอง ให้ตรวจสอบลัคนา ที่โหรเรียกว่า “สอบลัคนา” ซึ่งต้องตรวจสอบจากเรื่องส่วนตัวและเหตุการณ์ต่างๆ เพื่อให้เชื่อได้ว่าลัคนาอยู่ที่ไหน ลัคนาเป็นสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ ถึงไม่รู้ก็ต้องหา ไม่งั้นจะขาดความรู้จำนวนมาก ใครไม่รู้วิธีวางลัคนา ก็ไปให้คนอื่นทำให้ก่อนมาถึงตรงนี้ต้องออกกิ่งแขนง เพราะจะเกิดปัญหาสงสัยมากมายในหมู่ผู้เรียน ถ้าไม่พูดถึง ก็จะทำให้ลังเลจนเรียนต่อไม่รู้เรื่อง ปัญหาหลักจะมีอยู่ 2 ข้อใหญ่(1.) เรื่องจักรราศี ปฏิทินสุริยาตรใช้จักรราศีแบบคงที่ หรือที่เรียกนิรายนะ จริงๆ แล้วเรียกผิด แต่โหรไทยขี้เกียจแก้ เพราะเรื่องใหญ่ๆ ยังมีอีกตั้งภูเขาเลากา บางปฏิทินที่ใช้แบบสายนะมาตัดอายนางศะ ให้ปิดเก็บไว้ ปฏิทิน และตำราที่ใช้สายนะก็เก็บ เพราะใช้เรื่องธาตุจะเกิดช่องให้มีปัญหา(2) เรื่องตัดเวลา การผูกวางลัคนาตามที่บอกไว้ข้างบน คนหัวหมอจะเห็นว่าไม่ถูก เหตุที่ทำง่ายๆ เช่นนั้นเพราะความสำคัญอยู่ที่ต้องสอบลัคนา ไม่ว่าจะคำนวณโดยเทคนิคอะไร แผ่นหมุนที่ใช้อันโตนาทีสารัมภ์ก็เก็บไว้ก่อน นอกจากนั้นบางคนที่ชอบเข้าไปในเว็บที่มีการผูกดวงอัตโนมัติ ว่าผมผูกดวงเอง แล้วเอามาถาม ว่าช่วยดูหน่อยว่าผมผูกดวงผิดตรงไหน ก็ขอให้เลิกใช้ เพราะคุณไม่รู้ว่าเขาโปรแกรมคำนวณไว้อย่างไร ตัดเวลาอย่างใด0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000หนังสือที่ใช้ จะใช้ของใครก็ตามใจ ดูที่มีเนื้อหาครบๆ ซื้อมาสักสองสามเล่มมาเทียบกันดู แล้วก็ต้องปล่อยวางลงก่อน หันกลับมาตั้งใจใหม่ ไม่ว่าจะเรียนมาแล้วกี่ปีก็ตาม ลองทำตามนี้ จะไม่ผิดพลาดขั้นแรก ลัคนาเป็น สิ่งสำคัญในการกำหนดเรือน เรือนที่หนึ่ง ที่ลัคนาอยู่คือ ตนุ ถัดไปคือ กดุมภะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ อริ ปัตนิ มรณะ ศุภะ กัมมะ ลาภะ วินาสน์ รวม 12 เรือน เมื่อเราใช้จักรราศีคงที่ ซึ่งเป็นหลักเดียวกับการวางระบบธาตุแล้ว จะเห็นว่า “ เรือนจะซ้อนทับกับราศี” พอดี ดังนั้น เวลานี้เรากำลังดูเห็นดวง 2 ชั้น คือ ดวงจักรราศี และ ดวงของเรือน เป็นดวงชะตาในตัวของเรา ดวงของเรือน ที่เกิดจากลัคนานี้ เรียกว่า ....”ดวงเรือนชะตา”ดวงเรือนชะตา มีแต่ตัวเรือนที่เป็นธาตุ ทั้ง 12 เรือนมี 12 เกษตรธาตุ ตัวเลขดาวที่เราลงไว้จากปฏิทินมีอยู่ 10 ดวง คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๐ เรือนแบบไทย ที่เรียกเกษตร 2 เรือน เราพอทราบว่า ตัวเลขแทนดาวใดเป็นเจ้าเรือนใด เช่น ลัคนา ราศีธนู ๕ เป็นเจ้าเรือนตนุ และพันธุ คงไม่ต้องสอนอีก แต่ความสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อกำหนดว่า ตัวเลขใดเป็นเจ้าเรือนอะไรแล้ว ห้ามอ่านชื่อดาวเป็นอันขาด เพราะในเรือนชะตานี้ ตัวเลขทำหน้าที่ของเจ้าเรือน เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับว่าเป็นดาวอะไร เช่นเราอ่านว่า “เจ้าเรือนพันธุ” ห้ามหลุดปากคำว่า “พฤหัส” ออกมา เพราะพฤหัสไม่เกี่ยว เช่น เราอ่านเจ้าเรือนดังนี้ เจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนกัมมะ หรือสั้นๆ ว่า ตนุ - กัมมะ ตนเองจะไปเกี่ยวข้องกับอาชีพการงาน แล้วตามเจ้าเรือนกัมมะที่ ตนุนั้นอยู่ไปอีก เช่น กัมมะไปอยู่วินาสน์ อาชีพการงานที่ลับๆ คาดหมายยาก อ่านเช่นนี้โดยไม่อ่านดาว และต้องไปฝึกอ่านเอง ความหมายเรือนทั้งหลายในหนังสือก็พอใช้ได้ ใช้ไปก่อน เลือกเอาความหมายง่ายๆ พื้นฐานมาก่อน อย่าไปเลือกที่หวือหวาแต่ผิดง่าย เช่น ลาภะ - น้องเมีย กัมมะ – พ่อตา อะไรแบบนั้น เพราะเรายังไม่เข้าใจเรื่องนี้จริง ขอให้อ่านทุกเรือนเช่นนั้นไปให้หมด โดยไม่เอ่ยชื่อดาวเลย ดูดวงตัวเองก็ได้ จนจำฝังใจเมื่อสามารถยึดหลักเรือนชะตาได้แล้ว ให้ปล่อยวางลง ไปฝึกดูดวงจักรราศี ที่มีแต่ดวงดาว ถึงตอนนี้ ตัวเลขเหล่านั้นคือดาว หรือธาตุดาวเท่านั้น เจ้าเรือนไม่เกี่ยว ให้อ่านแต่ดาว โดยคุณสมบัติดาว โดยไม่อ่านเจ้าเรือนเลย แต่ยังคงอ่านเรือนอยู่ เช่น อังคารอยู่ในเรือนกดุมภะ เจ้าชะตาขยันหาสมบัติ และในเมื่อไม่มีเจ้าเรือน ก็ไม่ต้องอ่านตามอะไรไปอีก อ่านให้หมดทั้งดวง ทุกดวง เช่นนี้ เป็นอันจบวิชาโหราศาสตร์แล้ว การอ่านเช่นนี้ยึดเป็นบันไดขั้นแรกไปจนตลอดชีวิตการเป็นโหร เหมือนตุ๊กตาล้มลุก แม้จะถูกผลักให้เอียงไปสักเท่าใด กี่ครั้งๆ ก็ยังกลับมาที่หลักเหมือนเดิม000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000โหราศาสตร์ไทยมีแก่นเนื้อหาเพียงเท่านี้เท่านั้น เคล็ดลับที่พวกเราแสวงหามีอยู่ข้างบนนี้แหละ ไม่ต้องตีความอะไรเลย ขอให้เชื่อเถอะ การที่พวกเราไม่เห็นเคล็ดลับ ก็เพราะเอาอะไรมาเทกลบมาทับมันจนมองไม่เห็น แล้วก็วิ่งไปเสาะแสวงหาตามที่ต่างๆ พอเขาไม่ให้ ก็คิดว่าหวงวิชา ดังนั้นภาระที่เรามีก็คือต้องเอาสิ่งกลบทับมันเอาเสียก่อน สิ่งแรกคือความลังเลสงสัยในใจเรานั่นแหละแล้ววิชาต่างๆ ที่มีอยู่มากมายมันคืออะไรเล่า วิชาเหล่านั้น มันคือคำอธิบาย ว่าเราทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ตามที่อ่านเรือนอ่านดาว ทำไปทำไม มาจากไหน มันเหมือนกับเว็บไซท์ที่ผมเคยว่าไว้ ว่ามันเป็นที่มาจากเบสิกอิเลคทรอนิกส์ เรื่อยมาจน กลายมาเป็นเว็บที่เราดูอยู่เท่านั้น ถ้าเราไม่สนใจว่ามันมาได้อย่างไร โหราศาสตร์ก็จบลงเพียงเท่านี้ ถึงตรงนี้ต้องกระโดดออกนอกทางไปอีกรอบ หลายคนชอบติดเรียกคำว่า “ภพ” แทน “เรือน” ปนกันไป ผมไม่อยากขัดใจกับใคร เอาเป็นว่าให้ลืมคำว่า “ภพ” ไปก่อนหลังจากอ่านย่อหน้านี้จบ ก็เลิกพูดเลย แต่ต้องเคลียร์เรื่องภพไว้ก่อน ดวงชะตาระบบเกษตรธาตุนี้ ใช้ “ราศีจักร” หมายความว่าใช้ราศีเพื่อกำหนดเรือน แต่โหราศาสตร์ไทยประยุกต์จากจักรราศีสายนะ จะใช้เรือนชะตาที่เรียกว่า “ภวจักร” ใช้ “ภวะ หรือ ภพ” กำหนดเรือน ทำให้พวกเรากว่าครึ่งไปไหนไม่ถูก เพราะไม่รู้ตัว ว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหนในเส้นทางโหราศาสตร์ ขอให้เข้าใจว่า “ภวจักร” นั้นดี แต่ต้องรู้จักใช้จึงจะเดินได้ถูก แต่บางคนก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองกำลังถือตำราภวจักรอยู่ เพราะเขาไม่ได้บอก จึงต้องให้เห็นพอสังเขป มิฉะนั้นก็จะมีคนถามจนได้ เรือนภวจักร กำหนดได้หลายแบบ แต่ที่นิยมใช้เป็นหลักมีอยู่ 3 แบบ คือ(1) กำหนดองศาลัคนาที่คำนวนได้ เป็นจุดกลางเรือนที่หนึ่ง ที่เรียกว่า “มัธยภพ” เส้นขอบเรือนก็จะบวกไป 15 องศาทั้งสองข้าง ดังนั้น เรือนถัดไป ก็จะบวกอีก 30 องศาเรื่อยไป จนครบ 12 เรือน(2) กำหนดองศาลัคนาที่คำนวณได้เป็นจุดเริ่มเรือนที่หนึ่ง เรือนที่สองก็บวก 30 องศาไปเรื่อยๆ(3) กำหนดปัจจัยอันใดอันหนึ่งเป็นจุดกลางเรือน แล้วแต่ว่าจะพิจารณาเรือนใดผู้ที่นำตำราบรรยายด้วยภวจักรมาใช้ ไม่อาจนำมาใช้กับระบบธาตุราศีจักรได้ครบ เพราะภวจักรใช้ดูดาวและปัจจัย แต่ดวงเรือนชะตาดูจากเกษตรธาตุ การเหลื่อมราศีทำให้อ่านเจ้าเรือนสับสน แม้ภวจักรจะอ่านระบบเจ้าเรือนได้ในระดับประยุกต์ ก็ควรที่ผู้เรียนจะเข้าใจดวงชนิดนี้ให้ดีเสียก่อน มิฉะนั้นจะตกต้นไม้00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000เมื่อถึงตรงนี้ ขอให้ผู้คิดจะเรียนโหราศาสตร์ไทย ตั้งกฎของตัวเองไว้ดังต่อไปนี้1.) ข้าจะอ่าน เรือนเกษตรและเจ้าเรือนเกษตร อ่านคุณสมบัติดาวและเรือนเกษตร เป็นหลัก สองอย่างนี้ให้มั่นคง2.) ไม่ยึดเรือนอื่นใดอีกนอกจากราศีจักร3.) มหาทักษา อ่านได้ ใช้ได้แต่ทักษาดวงเดิม ถ้าใช้แล้วความหมายข้างบนผลิกผันไป ให้ยกออกพับเก็บก่อน ทักษาจรให้ใส่เซฟไว้4.) อ่าน เกษตร-มีเรื่อยๆ ประ-ไม่ค่อยมี อุจ-เด่นขึ้นมา นิจ-ด้อยลงไป เพียงสี่ตำแหน่งนี้เท่านั้น ตำแหน่งมาตรฐานอื่นไม่ต้องอ่านให้พักเก็บเอาไว้5.) จะยังไม่อ่านเรื่องธาตุใดๆ นอกจากข้อหนึ่ง ไม่อ่านองศา ไม่อ่านเกณท์อะไรทั้งหมด ไม่อ่านนวางค์ ตรียางค์ ไม่อ่านนักษัตร ไม่อ่านกาลโยค ให้พักเก็บเอาไว้ ในตู้เซฟ6.) โหราศาสตร์อื่นใดนอกเหนือจากนี้ อยากอ่านก็อ่านได้ แต่ต้องปล่อยวางลง เขียนปิดไว้ว่า ตราบใดยังไม่เข้าใจโหราศาสตร์ไทยจริงๆ จะไม่ไปเปิดอ่านเมื่อเรียนถึงตรงนี้ให้มั่นคงแล้ว ให้เตรียมตัวคอยเหตุการณ์ สองประการ หนึ่ง.....คอยอาจารย์ ถ้าดวงคุณมีวาสนาอยู่ จะพบท่านเอง ไม่ต้องแสวงหาไปไกล สอง....คอยอาจารย์ในตัวคุณเอง ไปส่องกระจกเงาดู มองให้ตรงๆ ผู้นั้นแหละคืออาจารย์ ถ้าคุณบ่มเพาะสติปัญญา รู้จักคิดหาเหตุผลโดยไม่ต้องรอโชควาสนา อาจารย์ผู้นี้จะมาเอง แล้วสิ่งต่างๆที่บอกให้คุณเก็บเอาไว้นั้น ให้งัดขึ้นมาอ่านได้ทั้งหมด
ความคิดเห็นที่ 4ขอบคุณนะค่ะ ที่ท่านผู้รู้ทั้งหลายช่วยตอบกระทู้ แต่ว่า นกน้อยขอข้อมูลการทำนายด้วยได้ไหมค่ะ จาเอามาเปรียบเทียบดู ว่า แบบไหนเป็นแบบที่ใกล้เคียงกับตัวเรามากที่สุดนะค่ะ จาได้ตัดสินใจได้ถูกว่าเลือก แบบ1 หรือแบบ2 ดีค่ะขอบพระคุณค่ะ
ความคิดเห็นที่ 5คุณนกน้อยผมคาดว่า โหรท่าน 1 ผูกแบบปฏิทินสุริยาตร์, โหรท่าน 2 ผูกแบบดาราศาสตร์(ดาว 14 อยู่กดุมภะ) คุณนกน้อยจะใช้ดวงชะตาแบบไหนก็ใช้ปฏิทินดาวจรแบบนั้นนะครับหากใช้แบบโหราศาสตร์ไทย(เดิม) ผมคิดว่าน่าจะใช้แบบโหรท่านที่ 1 นะครับจากนั้นแล้วก็ต้องมาดูว่า ตัวคุณนั้น เลือกความเป็นตัวคุณที่ราศีไหนนะครับ โดยการสอบประวัติว่า ลัคนาคุณสอดคล้อง ราศีธนู หรือ มังกร หรือ พิจิก เพราะโหราศาสตร์ไทยเดิม ไม่ได้ดูเวลาที่เดินด้วยนาฬิกาอันเดินได้จาก แม่เหล็กไฟฟ้านะครับ แต่โหราศาสตร์ไทยเดิม เลือกลัคนาจาก “คุณสมบัติ” จากตัวเจ้าชะตาครับ และนำมาเป็นหลักในการยึดถือตัวเองในการทำนายครับและ ข้อมูลการทำนายนั้น- - ผมทายไม่ได้หรอกครับ ยังกำกวมอยู่เลย - - อยากแนะนำอีกเรื่องครับขณะอ่านโหราศาสตร์ไปก็ให้เวลาอ่าน หนังสือพุทธศาสนา ไปด้วยนะครับ จะได้ปรับทั้งจิตและใจเราไปในตัวครับ สิ่งที่จะบังเกิดในชีวิตเรา นอกจาก กฎแห่งกรรม แล้วนะครับ ก็ยังถูกคลอบคลุมด้วย “นิยาม 5” ครับ- - ผมก็ยังไม่ทราบอะไรมาก ถึงยังเป็น “หนูน้อย” อยู่ คุณ นกน้อย ก็ลองให้เวลา ย้อนกลับไปอ่าน กระทู้ทั้งหมดของ อ.วรกุล และยังมีของ อ.สส ด้วยครับ จะได้ความรู้มาก - -เรียนโหราศาสตร์คงต้องอาศัย ความอดทนมากนะครับ