เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 29)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 28 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 29 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.155.229.74)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
การดูดาวนั้น มีสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ต้องย้ำว่า ดาวแต่ละดวงประกอบด้วยธาตุดาวที่ต้องแสดงความหมายทางปรัชญาของมันออกมา ดังนั้น จึงขึ้นอยู่กับสิ่งสำคัญสองอย่างคือ หนึ่ง ธาตุของมันที่ต้องมีอยู่มากเพียงพอและเป็นโครงสร้างที่ดี เราเรียกว่ามี กำลังธาตุ ดี กำลังธาตุนั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัวของดาวแต่ละดวง กับ สอง พลังงานที่มันต้องใช้ในการทำงานและแสดงออกของปรัชญาในตัวมัน หากมีพลังงานมากพอเพียงและสม่ำเสมอ เราเรียกว่า กำลังดาว ดี พลังงานนั้นได้มาจากแหล่งพลังงานในดวงชะตาซึ่งได้เขียนไปแล้ว แต่หากการใช้พลังงานไปนั้นไม่สมดุลย์กับพลังงานที่มันได้รับและสามารถเก็บไว้ได้ กำลังดาวจะลดลงไม่เพียงพอที่จะทำให้ธาตุแสดงคุณสมบัติของตัวมันออกมาได้เต็มที่

พึงเข้าใจว่า ในระบบราศีจักร ระดับพลังงานของดวงอาทิตย์ ซึ่งถือว่าเป็นภูมิพลังงานส่วนที่ใช้มากที่สุด พลังงานธาตุเป็นธาตุชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงมีภูมิหรือระดับพลังงานเช่นกัน แต่จะยังไม่บอกเล่าในตอนนี้ ระดับที่ธาตุทำงานในภูมิพลังงานที่ต่างกันนั้น ทำให้เกิดผลทางรูปวัตถุและนามธรรม ตลอดลงไปถึงจิตใจ ความรู้สึกไม่เหมือนกัน ในช่วงของพลังงานที่ทำงานในราศีจักรจึงครอบคลุมเรื่องราวทั้งหมดของชีวิตมนุษย์อย่างเพียงพอที่เราจะศึกษาได้

เมื่อธาตุดาวทุกดวงได้รับพลังงานนั้น จะทำให้มันมีกำลังดาวดีและแสดงคุณสมบัติดีทางปรัชญาของมัน ดังนั้น ที่มีบางท่านสอนว่าดาวบางดวง เช่น ราหู เสาร์ อังคาร เป็นดาวร้าย หากถุกทำลายในดวงชะตาแล้ว ผลจะเป็นดี ในทำนองว่าผู้ร้ายถ้าหมดฤทธิ์เสียแล้ว ก็จะทำให้ดวงดี การสอนแบบนี้ทำให้เสียหลักสำคัญในโหราศาสตร์ไทย เพราะหลักโหราศาสตร์ไทยแต่ดั้งเดิมมา มีกฎ ที่ถือว่า ไม่ว่าดาวดวงใด หากมีกำลังดีเข้มแข็งก็จะส่งผลดี ยิ่งเข้มแข็งมาก ก็ยิ่งส่งผลดีต่อดวงชะตามาก ดาวที่มีกำลังยิ่งลดน้อยลงเท่าใด ยิ่งแสดงผลเสียมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

ส่วนมากมักจะสับสนกับการทำหน้าที่ของดาว เช่นในฐานะเจ้าเรือน เนื่องจากหน้าที่ของดาวซึ่งเป็นในทางไม่ดี เช่น เป็นอริ มรณะ หากดาวอริตกมรณะ ไม่ได้ทำหน้าที่ขัดขวางเจ้าชะตาเสียแล้ว ย่อมเป็นผลดี (แต่ก็เสียสิ่งที่เป็นประโยชน์ของ “อริ” ไปด้วย) เป็นคนละเรื่องกับกฎในวรรคก่อน พวกเรามักจะจำสับสนกันเสมอ โดยเฉพาะคณิตศาสตร์แบบเสียกับเสียเป็นดี อะไรแบบนั้น ตามหลักโหรไทยแล้ว ดาวเสียตกที่เสีย จะทำให้ดาวเสียมากขึ้น แต่ต้องเข้าใจว่าดาวนั้นเสีย หรือ เรือนเสีย หรืออะไรเสีย

ธรรมดาดาวที่อยู่ดวงเดียว การปรับธาตุและพลังงานของดาวจะง่าย และก็ง่ายต่อการอ่าน แต่เมื่อมีดาวอยู่ร่วมกันหลายดวงในราศี หรือทำเกณฑ์สัมพันธ์ถึง ธาตุและพลังงานจะปรับโดยสัมพันธ์กับดาวอื่นเหล่านั้น ซึ่งความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน อาจจะทำให้ง่ายเข้าโดยวิธีดูดาวคู่ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการมอง แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็จะทำให้วิเคราะห์ดวงชะตาได้ใกล้เคียง

การพิจารณาดาวคู่ เรามักจัดกลุ่ม โดยแบ่งตามสาเหตุและคุณสมบัติที่สัมพันธ์กัน เป็น 4 ประเภท ได้แก่ ดาวคู่ที่เกิดจาก 1 / ปรัชญาของดาว 2 / ระบบ(ภพ) ที่ดาวทำงานอยู่ 3 / ธาตุและพลังงาน 4 / หน้าที่ของดาว

หนึ่ง ดาวคู่ที่เกิดจากปรัชญาของดาว เรื่องนี้เคยเขียนมาบ้างแล้วเมื่ออธิบายกรอบธรรมชาติ ดาวคู่โดยทั่วไปจะเป็นธาตุที่อยู่ในกรอบธรรมชาติของจักรวาลใหญ่ซึ่งกว้างที่สุด ดังนั้นจึงครอบคลุมลงมาถึงกรอบที่แคบที่สุดในดวงชะตาด้วย คุณสมบัติทางปรัชญานั่นเองที่ทำให้ดาวที่มาเขาคู่กันมีผลเป็นความขัดแย้งหรือส่งเสริมกันได้ อย่างเช่น จันทร์ เป็นนามธรรมของการเพิ่มจำนวน พฤหัส เป็นนามธรรมของการขยายออกไป ดังนั้น ๒๕ จึงเป็นปรัชญาที่ส่งเสริมกัน คือ เพิ่มจำนวนพร้อมกับขยายตัวออกไป มักจะหมายถึงการสร้างครอบครัวและเพิ่มจำนวนลูกหลาน แต่หาก จันทร์ มาร่วมอยู่กับเสาร์ ซึ่งเป็นนามธรรมที่หดตัวเล็กเข้าจนเป็นจุล ก็ย่อมเป็นอุปสรรคแก่จันทร์ในการเพิ่มจำนวน เสาร์เองก็ไม่สามารถหดขนาดตัวได้ หากจันทร์เพิ่มจำนวนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ๒๗ จึงนับเป็นคู่ปรปักษ์ทางปรัชญา หากมีกำลังมากจะทำให้เกิดการฉีกขาดทำลาย ความหมาย ๒๗ จึงเป็นความจากพราก ฉีกขาด นั่นเอง

สอง ดาวคู่ที่เกิดจากระบบ(ภพ) ที่ดาวทำงานอยู่ ตัวอย่างเช่น ธาตุดาวในภูมิทักษา ภูมิที่เรียงต่อกัน เช่น ๑๒ ๒๓ ๓๔ ๔๗ ๗๕ ๕๘ ๘๖ ๖๑ ที่เรามักเรียกว่า จักรพายุ ไม่ได้เกิดจากดาวเป็นศัตรูกันเลย แต่เกิดจากระบบที่ธาตุทำงานเมื่อได้รับพลังงาน ทำให้ภูมิแรกกลายเป็นกาลกิณีของภูมิที่ถัดไป การขัดกันเนื่องจากวงรอบพลังงานเช่นนี้มีอยู่ในทุกภพ และกลไกที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานที่ธาตุใช้ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เกิดเป็นเรื่องราวในดวงชะตา

ในราศีจักรเอง เราจะเห็นว่า เกษตรในราศีที่นับไปเป็น 6 แก่ราศีใดราศีหนึ่ง จะเป็นคู่ศัตรูหรือ อริ ทางระบบเสมอ เริ่มจาก ราศีกรกฏ นับ 6 จะตกราศีธนู ทำให้ ๒๕ เป็นคู่ศัตรูตามชาติเวร ราศีสิงห์นับ 6 ตกราศีมังกร ทำให้ ๑๗ เป็นคู่ศัตรูชาติเวร ดาว ๔๘ ระหว่างราศีกันย์และราศีกุมภ์ก็เช่นกัน ส่วน ๖๓ นั้นเป็นคู่ปัตนิ ระหว่างราศีตุลย์และราศีเมษ ซึ่งหมายถึง ศัตรูเปิดเผย ดังนั้น คู่ดาวที่เป็น อริ มรณะวินาสน์ หรือปัตนิแก่กันในราศีจักร ก็จะเป็นคู่ที่ขัดแย้งกันโดยระบบ ส่วนคู่ที่เป็น 3 5 และ 9 แก่กัน ก็จะเป็นคู่ที่ส่งเสริม เมื่อใดที่ระบบทำงาน ก็จะทำให้ธาตุเหล่านี้ถูกบังคับให้ทำงานตามระบบเสมอ

สาม ดาวคู่ที่เกิดจากธาตุและพลังงาน หากดาวทุกดาวเป็นดาวที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพัง (ซึ่งทางปฏิบัตินั้นไม่มี) กำลังดาวก็จะเป็นไปตามคุณสมบัติของดาวนั้นเอง แต่เมื่อดาวอยู่ร่วมกับดาวอื่น ก็จะเกิดเป็นปฏิกิริยาทั้งธาตุและพลังงานระหว่างกัน ปฏิกริยาเหล่านี้แบ่งได้เป็น 3 จำพวก ก็คือ หนึ่ง ทำให้ธาตุและพลังงานของดาวเพิ่มขึ้น สองทำให้ธาตุและพลังงานคงตัว สาม ทำให้ธาตุและพลังงานลดลง ทำให้ดาวที่มาเข้าคู่กันนั้นสามารถแบ่งแยกพวกได้ตามปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นในธรรมชาติ เกิดเป็นคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล คู่ปรปักษ์ธาตุขึ้น ดาวคู่เหล่านี้ จึงมีคุณสมบัติที่เกิดจากธาตุและพลังงาน ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่เกิดจากกลไกในธรรมชาติเอง ดาวคู่มิตร ทำให้ธาตุทำงานได้มีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น เหมือนน้ำมันหล่อลื่น ดาวคู่ศัตรู บั่นทอนกำลังดาวให้ลดลง เป็นผลมาจากต้องใช้กำลังส่วนหนึ่งไปต้านการทำงานกัน ดาวคู่ธาตุ ทำให้กำลังดาวคงตัว ธาตุสามารถทำงานได้สม่ำเสมอดี และดาวคู่สมพล (มีกำลังรวมกันเป็น 27 ทุกคู่) นั้นทำให้กำลังดาวเพิ่มขึ้นทั้งคู่ เนื่องจาก จังหวะสอดคล้อง (resonance) กับวงรอบธาตุโดยรวมของทักษาคู่ธาตุ ทำให้ทวีกำลังแรงขึ้นนั่นเอง

สี่ ดาวคู่ที่เกิดจากการหน้าที่ของดาว จะคล้ายข้อสองที่กล่าวมา แต่ในข้อสองนั้น ระบบจะบังคับดาวทุกดวงให้เป็นไปตามหน้าที่ดังนั้นเสมอ แต่การทำหน้าที่ของดาวในข้อนี้ จะเป็นไปเฉพาะบุคคล หรือปัจจัยสำคัญที่ใช้อ้างอิงเช่น ลัคนา เช่น ลัคนาอยู่ราศีเมษ ราศีกันย์จะเป็นอริ ๓๔ จึงเป็นคู่ศัตรูชนิดหนึ่งที่เกิดจากการทำหน้าที่ของดาว และมักเกิดขึ้นประจำเพราะการทำหน้าที่ในดวงโลก เราจึงถือว่า ดาวที่เป็น อริ (มรณะ วินาสน์) แก่ลัคนา มักจะให้โทษแก่ดวงชะตา และดาวใดที่ไปสถิตอยู่ในเรือนเหล่านี้มักให้โทษ ที่เกิดจากหน้าที่ของดาวในดวงชะตาเรา ส่วนดาวที่เป็นเกษตรเรือน โยค ตรีโกณ ก็จะให้คุณแก่ชะตาส่วนหนึ่ง ดังนั้น ดวงชะตาของแต่ละคน จึงมีส่วนกำหนดความหมายดาวคู่ที่เป็นเฉพาะบุคคลไม่เหมือนคนอื่น

ในทักษาก็เช่นกัน เช่นสมมุติ ๓๕ ซึ่งตามทักษาเป็นคู่สมพลเพิ่มกำลังแก่กัน แต่หากเจ้าชะตาเกิดวันพุธ ภูมิ อังคารก็จะเป็นกาลกิณี และ พฤหัสจะเป็นเดช ดังนั้น ๓๕ ก็จะกลายเป็นกาลกิณี กุมเดช ซึ่งกลายเป็นการบ่อนทำลายคุณความดีของเดช ทำให้ได้อำนาจไม่มั่นคง ไม่มีอำนาจ หรือ ได้อำนาจแล้วเสียไป นี่เกิดจากการทำหน้าที่ของดาว ที่แย้งกับคู่สมพลที่เกิดจากธาตุและพลังงาน

ความหมายของดาวคู่เหล่านี้มีความสำคัญ เพราะหน้าที่ของดาวในดวงเดิมจะมีผลมากในการพิจารณาดาวจร เราจะเห็นว่า ดาวคู่หนึ่งอาจจะมีความหมายได้ทั้งขัดแย้ง หรือเป็นมิตรแก่กันก็จริง แต่เกิดจากหน้าที่ในแต่ละเรื่องราวไม่เหมือนกัน เช่น หากเราจะพิจารณาดาวคู่เพื่อดูกำลังดาวแล้วเป็นมิตรเสริมกัน ช่วยให้กำลังดีขึ้น ความหมายตามเจ้าเรือนก็จะดีด้วย แต่ความเป็นคู่ศัตรูในด้านธรรมชาติตามปรัชญาของดาว หรือภพที่มันทำงานอยู่ ก็จะทำให้มันทำลายกันตามเรื่องราวที่มันสื่อถึงนั่นเอง

อย่างเช่น ๓๖ หากเราอ่านทางกำลังดาว ก็เป็นคู่มิตรที่ส่งเสริมให้ดาวมีกำลังดี มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น แต่ส่วนใหญ่เราอ่านเรื่องราวในดวงชะตา ก็ต้องถือเป็นคู่ศัตรูที่ก่อเรื่องวุ่นวายทางความรักความใคร่ไปโดยตลอด ดาวคู่ธาตุ ทุกคู่ตามทักษา คือ ๑๗ ๒๕ ๓๘ ๔๘ จะเป็นคู่ศัตรูกันทางเรื่องราวเสมอ ๑๗ ๒๕ เป็นศัตรูกันด้านการดำเนินชีวิต ที่นำมาแต่งเป็นนิทาน “ชาติเวร” ๓๘ เป็นคุ่ศัตรูที่ใช้กำลังทำลาย ๔๖ เป็นคู่ศัตรูกันทางจิตใจ ทำให้ปรับอารมณ์ได้ยาก ทั้งนี้เพราะดาวคู่ธาตุนั้นมาจาก “ธาตุหนัก” ดวงหนึ่ง จับคู่กับ “ธาตุเบา” อีกดวงหนึ่ง โครงสร้างของดาวขัดกันระหว่างธาตุละเอียดกับหยาบ เป็นเหตุให้เกิดการถ่วงในการทำหน้าที่ของมันให้เกิดช้าเร็วไม่เท่ากันนั่นเอง

ดาวคู่ที่จำแนกในข้อเขียนนี้เป็นดาวคู่ที่เกิดจากคุณสมบัติทั่วไป แต่ยังมีดาวคู่พิเศษที่เกิดจากหลักอื่นอีก หากมีเวลาจะนำมาบอกให้ทราบ


วรกุล - 22 มิถุนายน พ.ศ.2550 05:05น. (IP: 203.155.229.74)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียน อาจารย์วรกุล ครับ

ผมอยากได้อีเมล์ส่วนตัว ของอาจารย์ไว้ขอรับคำปรึกษาหน่อยได้มั้ยครับ ปรึกษาทางเวบบอร์ดไม่ค่อยสะดวกน่ะครับ

ขอบคุณมากครับ


ซำเหมา ^_^ - 22 มิถุนายน พ.ศ.2550 19:49น. (IP: 210.246.72.135)

ความคิดเห็นที่ 3
ขอบคุณอาจารย์วรกุลอีกครั้งครับ ผมคิดว่าผมเข้าใจคำอธิบายที่อาจารย์ให้มา แต่อ่านคำตอบแล้วก็เริ่มท้อแท้อีกแล้วครับ เส้นทางเดินเส้นนี้สำหรับผม คงยังอีกยาวไกล

ยิ่งถ้าอาจารย์ต้องมีภารกิจ ห่างหายไปจากกระดานคำตอบนี้จริงๆ ผมว่าเส้นทางนี้ของผม คงขรุขระขึ้นอีกเยอะครับ

ยังไงแล้วถ้าผมปรับระบบความเข้าใจตามคำอธิบายของอาจารย์ได้ คงต้องขอรบกวนอาจารย์อีกนะครับ


เดชา - 23 มิถุนายน พ.ศ.2550 07:54น. (IP: 124.120.222.152)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบคุณ ซำเหมา ^_^ (ความเห็นที่ 2 ) ...........ผมไม่มีเวลาส่วนตัวให้เลยตอนนี้ อีเมลล์ก็ไม่ได้ใช้และก็ไม่ได้เปิดดู นอกจากใช้ส่งข้อมูลบางอย่างเท่านั้นครับ ทางเว็บบอร์ดพอจะสะดวกกว่าบ้างครับ


วรกุล - 23 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:05น. (IP: 203.155.228.19)

ความคิดเห็นที่ 5
เรียนอาจารย์วรกุล ครับ

พอดีนึกขึ้นได้ครับว่าลืมถามไปว่า ตกลงในดวงชะตาหุ่นที่ผมยกตัวอย่างนั้น อาจารย์พอจะเฉลยให้ได้ไหมครับ ว่าตกลงถือว่าดาวจันทร์นั้น เข้มแข็ง หรือไม่อย่างไรครับ (คือว่า คงสมมุติดาวอีก 6 ดวงไม่ไหวแล้ว เอาเท่าที่มี 4 ดวงได้ไหมครับ) ถ้าไม่มีเรื่องเรือนมาเกี่ยวข้อง (ตามที่อาจารย์บอก) ในขณะที่ ดาวจันทร์มีคู่มิตร คู่ธาตุ และ คู่สมพล สัมพันธ์ถีง น่าจะ เข้มแข็งนะครับ ติดอยู่ตรงเจ้าเรือนที่จันทร์อยู่ คือ ศุกร์ เป็นนิจ อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะกลายมาเป็นตัวชี้ขาด ที่ทำให้จันทร์การเป็นอ่อนแอหรือไม่

อีกประเด็นหนึ่งครับ ที่อาจารย์อธิบายว่ามรณะไม่เล็งจันทร์ มีแต่ราหูเล็ง ก็บอกเป็นนัยว่า เรื่องของเรือนให้นับแต่เรือนชะตาสัมพันธ์ 2 จังหวะเพื่อบอกเรื่องราว กับดาวลอย (ถ้ามี) เท่านั้น ใช่ไหมครับ กรณีที่ยกตัวอย่างเมื่อพูดถึง เจ้าเรือนลัคน์ ก็ถือแค่ว่า ตนุ-พันธุ-สหัชชะ เท่านั้นใช่ไหมครับ อืม แล้วก็มี อริ-ศุภะ (พฤหัส) อีกเรื่องหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็คือ จะมี อริ-ศุภะ เป็นเหตุ ให้ตนุ เป็นพันธุ โดยการสหัชชะ ใช่หรือไม่ครับ

ต้องเรียนอาจารย์อีกอย่างหนึ่งครับว่า เรื่องการตีความคู่ดาวของอาจารย์นั้น ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยครับ ไม่ทราบว่าเป็นวิชาเฉพาะ หรือสายวิชาอะไรหรือครับเช่น คู่ ๓-๕ ที่ไม่ให้คุณ กับ ๓-๖ เป็นโทษในแง่ความวุ่นวาย("ไปตลอด"อีกต่างหาก - เหมือนเป็นโทษไปตลอด) รวมไปถึงดาวคู่ธาตุต่างๆ ที่ถือว่าเป็นคู่ศัตรู (อย่างนี้ ใช้กับทุกกรณี หรือว่าเฉพาะ เรื่องที่เป็นโทษครับ) หรือว่าจริงๆ แล้วก็อยู่ในสายวิชาระบบเรือนชะตาสัมพันธ์นี่เอง แต่เป็นขั้นลึกซึ้ง หรือขั้นสูง ซึ่งตำราที่วางขายจะไม่พูดถึงกันครับ


เดชา - 23 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:32น. (IP: 124.120.227.94)

ความคิดเห็นที่ 6
เรียน อ. วรกุลครับ

รบกวนสอบถามนิดนึงครับ คือลักษณะดวงที่ดาวได้ตำแหน่งเยอะๆ นั้น ถือว่าเป็นดวงที่แรงมั้ยครับและดวงที่แรงนั้นมีประโยชน์และมีโทษอย่างไรครับ ยกตัวอย่างเช่น 6 เป็นประ กุมลัคน์ ราศีเมษ, 7 อยู่เมถุน, 9 อยู่กรกฎ, 2 อยู่ กันย์(ราชาโชค),0 อยู่ ตุลย์,8อยู่ พิจิก(อุจน์),3 อยู่ มังกร(อุจน์), 145 อยู่ มีน (ภพวินาศน์) 1 เป็นอุจจาวิลาศ ดาว 4 ถ้าผูกในเวบทั่วไปจะอยู่ มีน ภพวินาศน์ เป็น ประ,นิจ แต่ถ้าผูกตามที่ อ. การเวกบอกนั้นจะอยู่ กุมภ์ ภพลาภะ และดาว 5 เป็น เกษตรอยู่มีนครับ จากลักษณะดวง ดาวที่ให้คุณ คือดาวอังคารใช่หรือไม่ครับ เป็น องค์เกณฑ์ เป็นอุดมเกณฑ์ และเป็นอุจน์ อยากทราบว่า แล้วดาวที่ให้โทษ กับดวงนี้เป็นดาวอะไรครับ ใช่ดาวเสาร์หรือไม่ และจากดวงนี้เรียกได้ว่าได้เกณฑ์ จตุสดัยได้มั้ยครับ และการเรียนแบบผ่อนส่ง ตามที่อาจารย์ เคยบอกเนี่ย เป็นไปในลักษณะไหนเหรอครับ จริงๆ แล้วครอบครัวและญาติผมรู้จัก กับอาจารย์การเวก มานานแล้วเพราะนับถืออาก๋งที่อยู่ที่บ้านแกมาหลายสิบปี ถ้าไม่ได้แก(อาก๋ง)ผม ก็คงแย่เหมือนกัน แกสอนให้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ชีวิตจึงดีขึ้น แต่ไม่ค่อยได้คุยกับ อ. การเวกเท่าไหร่เพิ่งมารู้ว่าแกเชี่ยวชาญด้านนี้เมื่อปีที่แล้วตอนเจอที่งานพยากรณ์ดอทคอม และแกให้หนังสือผมมาเล่มนึงน่ะครับ จริงๆ แล้วผมอยากเรียนโหราศาสตร์มาก แต่ อย่างที่บอกว่ามักมีอุปสรรคตลอด ทำให้ไม่ได้เรียนมั่ง ต้องหยุดกลางครันมั่งคำถามสุดท้ายครับการเรียนโหราศาสตร์ จำเป็นมั้ยที่ต้องมีการไหว้ครู ตั้งแต่ศีกษามา2-3 สำนักนี่ยังไม่เคยไหว้ครูเลย เพราะเรียนไม่ทันไหว้ครูก็ต้องเลิกเรียนซะก่อนน่ะครับ อยากให้อ. วรกุล วิเคราะห์ดวงให้หน่อย โดยเฉพาะเรื่องการเรียนโหราศาสตร์ และ ที่เกี่ยวกับด้าน จิตวิญญาณ น่ะครับ

พอดีช่วงนี้เห็นอาจารย์บอกว่ายุ่งๆ เลยไม่ทราบว่ารบกวนมากไปหรือเปล่า ตอบช้าหน่อยก็ได้นะครับ ไม่เป็นไร ขอบคุณล่วงหน้าที่กรุณาสละเวลามาตอบให้ครับ อ้อ ผมเกิด 27/3/2518 09.01 น เช้าครับ กทม


ซำเหมา ^_^ - 23 มิถุนายน พ.ศ.2550 20:08น. (IP: 210.246.68.165)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบคุณ เดชา (ความเห็นที่ 5 ) ...........ผมอธิบายหลักการเพื่อให้คุณไปทำความเข้าใจให้ถูกก่อน ดาวที่คุณยกตัวอย่างมา หากมองแบบภาพนิ่งก็ถือว่า จันทร์เข้มแข็งได้ เมื่อศุกร์เจ้าเรือนเป็นนิจก็ถือว่าจันทร์อ่อนแอได้เช่นกันครับ ดวงดาวก็เหมือนคนนั่นแหละ อาจจะเข้มแข็งในเรื่องหนึ่ง แต่อ่อนแอในอีกเรื่องหนึ่ง ดีในเรื่องหนึ่ง อาจจะเสียในอีกเรื่องหนึ่ง ได้ตอบคุณไปแล้วในครั้งก่อน เหมือนคนไปให้หมอตรวจสุขภาพ หมอบอกว่าแข็งแรงดี พอเดินออกมาหน้าโรงพยาบาลถูกรถชนขาหัก จะบอกว่าหมอโกหกได้หรือเปล่า

“อริ-ศุภะ เป็นเหตุ ให้ตนุ เป็นพันธุ โดยการสหัชชะ” ที่คุณอ่าน ตอบว่าใช่ก็ได้ หากแปลความได้ถูก

เรื่องที่ผมเอามาเขียน ส่วนใหญ่ก็เป็นหลักโหราศาสตร์ไทย ผมเขียนแนะนำสิ่งที่คิดว่าเป็นประโยชน์ ไม่ได้สอนโหราศาสตร์ แต่จะมีในตำราหรือไม่ผมไม่ได้สนใจ

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ซำเหมา ^_^ (ความเห็นที่ 6 ) ...........เรื่องดวงแรง เขียนไปแล้วหลายครั้ง กระทู้นี้ไม่อยากทำนายหรือวิจารณ์ดวงชะตาครับ คำถามเรื่องดาวให้โทษ ดาวให้คุณ ก็เขียนไปมากแล้ว ดวงแบบนี้ไม่ใช่จตุสดัย เรื่องไหว้ครูนั้นหากมีโอกาสก็ไหว้ แต่ไม่มีโอกาสก็ไม่สำคัญ คนเราจะนับถือใครหรืออะไรอยู่ที่เราทำตามสิ่งเขาบอกหรือแนะนำหรือไม่ต่างหาก


วรกุล - 24 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:55น. (IP: 203.155.229.141)

ความคิดเห็นที่ 8
ขอบคุณอาจารย์วรกุลอีกครั้งครับ อย่างน้อยผมเริ่มเข้าใจถูกบ้างแล้วก็ยังดีนะครับ ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งแหละครับ ที่วนเวียนอยู่กับความสับสนในถนนสายนี้มานานแสนนาน ทั้งเสียเงิน (ซื้อตำรา+เรียน) เสียเวลา (อ่านตำรา+ไปเรียน+ไปลองใช้สิ่งที่คิดว่าเป็นความรู้)และเสียหน้า(เมื่อทายผิด ทั้งที่เราคิดว่าถูก - ก็มันเคยเรียนมา และเคยทายอย่างนี้แล้วถูกนี่ครับ)

ขออนุญาตระบายแค่นี้แหละครับ เดี๋ยวจะกลายจากกระทู้โหราศาสตร์ เป็นศาลาคนเศร้าไป

สำหรับตอนนี้ จากคำถามของผมนั้น ดาวจันทร์ถือว่าเข้มแข็งซึ่งหมายถึงเป็นคุณ (ตามกฎว่าดาวเข้าแข็งให้คุณใช่ไหมครับ) ก่อนนะครับ ผมจะได้ประยุกต์ต่อได้ว่า เจ้าเรือนตนุเข้มแข็งในเรือนพันธุ ก็คงจะเจ้าชะตาจะมีความมั่นคงในชีวิต หรือมีหลักฐานบ้านช่องที่ดีใช่ไหมครับ

ว่าแต่ว่าถ้ามีประเด็นว่าเข้มแข็งเรื่องหนึ่งแต่อาจอ่อนแออีกเรื่องหนึ่งนั้น ผมคงงงไม่จบอีกแล้วหละครับ

คือ ผมคิดว่าเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องของคนที่ศึกษาด้านนี้นะครับ นอกจากความหมายของเรือนที่หลากหลาย และ "ดิ้น" ได้ไม่สิ้นสุด ก็น่าจะมีเรื่องนี้แหละครับ ว่าตกลงว่าเรื่องที่พูดถึงนั่นน่ะ ดี หรือ ไม่ดี

ขนาดดาวได้ตำแหน่งเกษตร อุจจ์ ที่ว่ามีความมั่นคง เข้มแข็ง ยังกลายเป็นว่า "ไม่ดี" ต่อเจ้าชะตาได้น่ะครับ (จำได้ว่า ดาวดีก็เป็นเรื่องของดาว ยังไม่ใช่เรื่องของเรา - ใช่ไหมครับ)

นี่ผมคงยังต้องไป "แกะ" ความหมายชุดเจ้าเรือนที่ถามอาจารย์ต่อไปอีกนะครับเนี่ย ว่าที่เริ่มจาก อริ-ศุภะ เนี่ยมันคืออะไร แต่อย่างน้อย ก็พอลำดับจากเหตุมาหาผลได้ก็ช่วยไปได้เยอะเลยครับ ว่ามันคงไปจบแถวๆ พันธุ+สหัขขะ (พอดีนึกได้ว่าดวงหุ่นนั้น เจ้าเรือนสองเรือนนี้ดันสลับเรือนอีก) วนเวียนไปไม่จบสิ้น

ผิดถูกอย่างไร อาจารย์ช่วยผมด้วยนะครับ


เดชา - 24 มิถุนายน พ.ศ.2550 22:32น. (IP: 124.120.228.110)

ความคิดเห็นที่ 9
ขออนุญาต อ.วรกุล ครับ...

ถึงคุณเดชา คคห.8 ...

ลองอ่าน คุยกันสบายๆ ...(18)คคห. 1 ดูซิครับ ผมว่าเป็นคำตอบที่คุณถาม อ.วรกุลนะครับ


หนูน้อย - 25 มิถุนายน พ.ศ.2550 08:41น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบคุณ เดชา (ความเห็นที่ 8) ...........ที่คุณเล่ามาก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่เรียนโหราศาสตร์ โดยเฉพาะคนที่เรียนเองก็จะเป็นอย่างนี้แทบทุกคน ผมได้เขียนมานานแล้ว คนที่จะหลุดออกจากความสับสนเช่นนี้ได้ด้วยตนเองก็จะต้องเป็นคนที่มีความสามารถในการเรียนที่ดี สามารถแยกแยะสอนตัวเองได้ดี แต่คนเช่นนี้หาได้ยาก ส่วนมากก็เรียนได้แต่ไปได้จำกัด เพราะหนังสือก็มีเพียงเท่าที่ขายกันอยู่ในท้องตลาด สิ่งที่แนะนำมาตลอดก็คือควรไปหาที่เรียนแบบมีครูผู้สอน อย่างน้อยๆเริ่มต้นให้ก็ยังดี การเรียนเองเพราะไม่มีเวลา และหาความรู้เองนั้น อาจจะเชื่อความเห็นในที่ต่างๆทำให้สับสนผิดทางไปได้ หนังสือที่มีอยู่ในท้องตลาดนั้น ต่างก็มีหลักวิชาปลีกย่อยคนละอย่าง หากอ่านแล้วไม่ทราบก็เอามาปนกันทำให้กลายเป็นความรู้ที่สับสน บางคนก็ยึดติดความคิดที่เข้าใจเองมานาน หากไม่ได้บอกใคร ก็ไม่มีใครรู้ว่าผิดมาตั้งแต่ตอนไหน

เมื่อเรียนเองมานาน การที่จะให้คนอื่นมาแก้ให้นั้นทำได้ยากมาก และยังมีปัญหาเรื่องเวลาของคนที่จะมารับฟังปัญหา แล้วแก้ให้เฉพาะตัว ซึ่งจะลำบากกว่าการสอนให้ใหม่หมดตั้งแต่ต้นเสียอีก เท่าที่ผมเขียนมา บางปัญหาที่คุณถามก็มีอธิบายไว้บ้างแล้ว การที่เราอยากรู้อะไรนั้น ก็จะผลักดันให้เราขยันอ่าน ขยันค้นคว้าไปเอง คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าอ่านหนังสือเอาเองเพียงไม่กี่หน้าก็เข้าใจได้แล้ว โดยไม่เคยลองทำลองฝึกตามที่ตำราสอนเอาไว้เลยก็มี วิธีที่คุณอ่านเรือนก็ยังไม่ถูกลำดับของการอ่าน (อาจไปจำของใครมา) ดังนั้นเมื่อเรียนต่อๆไป ก็จะอ่านไม่เข้ากับตำราที่สอนเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ โหราศาสตร์ไทยนั้น การฝึกอ่านดาวและเรือนสำคัญมาก ทั้งๆที่เป็นเรื่องไม่ยาก แต่หากไม่ฝึกก็จะไม่เคยชินต่อการอ่านและมุมมอง คนที่เห็นว่าหมูๆมักจะอ่านผ่านๆเลยไป แล้วก็มักไปตกอยู่ในความสับสนเมื่อเรียนต่อไปอีก


วรกุล - 25 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:33น. (IP: 203.155.229.42)

ความคิดเห็นที่ 12
ขอบคุณอาจารย์วรกุลอีกครั้งครับ

อืม เกือบลืมขอบคุณ คุณหนูน้อย ที่แนะนำกระทู้ด้วยครับ ผมว่าผมอ่านไปเรื่อยๆ จนข้ามกระทู้ไปไม่น้อยแน่ๆ เลย อาจารย์วรกุล ท่านให้ความรู้ไว้แน่นไปหมด อ่านไปมากๆ เข้าก็เลยข้ามๆ ไปหลายครั้งเหมือนกันครับ

เดี๋ยวต้องกลับไปทวนกระทู้แรกๆ ใหม่ สงสัยต้องอ่านข้ามไปบ้างแล้วแน่ๆ ครับ


เดชา - 25 มิถุนายน พ.ศ.2550 20:46น. (IP: 124.120.218.16)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ.. เรื่องตรีวัยครับ จากกระทู้ทีแล้ว(28) ความเห็นที่24 “ตรีวัยก็มีจุดบอดบางราศี’’ ผมมีความสงสัยว่ามันเกี่ยวข้องกับอัตราการจรของดาวแต่ละดวงหรือเปล่าครับ ที่ดาวบางดวงก็โคจรไวแต่บางดวงก็โคจรช้าและหากนำตรีวัยมาใช้กับดาวจรกรณีดาวเดินไวเราใช้ดาวตรีเทพมาพิจารณาแทนได้หรือไม่ครับ


ศ.fa200 - 26 มิถุนายน พ.ศ.2550 07:48น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 14
รบกวนเรียนถามอาจารย์วรกุลค่ะ เนื่องจากอ่านกระทู้ที่ 28 ความเห็นที่ 51 อาจารย์ตอบว่า "หมอดูเขาดูไม่ได้หรอกว่าใครจะหมดอายุหมดบุญเมื่อไหร่..." ดิฉันสงสัยว่าที่ว่าหมอดูทายไม่ได้นั้น หมายถึงตามหลักโหราศาสตร์แล้วไม่ว่าหมอดูจะเก่งระดับใดก็ไม่สามารถทายได้เพราะเรื่องนี้ทายไม่ได้ หรือว่า จริงๆแล้วหมอดูที่เก่งๆทายได้ว่าใครจะหมดอายุเมื่อไหร่แต่เขาไม่ทายเพราะผิดหลักจรรยาโหร

ที่เรียนถามเช่นนี้เพราะครั้งหนึ่งก็อยากทราบเช่นกันว่าตัวเองจะตายเมื่อไหร่จึงพยายามจะศึกษาวิชานี้ แต่จนวันนี้ก็ยังเรียนรู้ไม่ไปถึงไหน และการที่เราจะรู้วันตายก็ดีเหมือนกัน จะได้เลือกซื้อประกันชีวิตถูกว่า ระหว่างสามีภรรรยา ควรจะซื้อของคนไหนมากคนไหนน้อยเพื่อคนที่รับผลประโยชน์


พิทา - 26 มิถุนายน พ.ศ.2550 10:30น. (IP: 210.246.80.99)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 11) ...........เรื่องนี้ไม่โง่เลยครับ แต่เท่าที่จำได้ไม่มีใครถาม หากตอบโดยรวมๆแล้ว ดาวเจ้าเรือน ที่มาอยู่เรือนอื่นเป็นได้ทั้ง สาเหตุแก่เรือนสถิต และ เป็นผลจากเรือนสถิต

การอ่านเรือน “สัมพันธ์” กันนั้น สัมพันธ์ได้หลายแบบ ส่วนมากในขั้นต้นจะสอนให้ดูแบบไปข้างหน้าก่อน โดยการตามเจ้าเรือนไปหาเรือนเจ้าบ้าน แล้วตามเจ้าบ้านไปยังเรือนสถิต เป็นสองจังหวะ ถือว่ามีอิทธิพลแรงในช่วง 2 จังหวะนี้ แต่จะอ่านจังหวะ 3 ก็ได้ อันที่จริงการอ่านแบบนี้ ดูเสมือนดาวเจ้าเรือน a เป็นเหตุให้เกิดเรื่องของเรือนb แต่พอแปลความแล้ว บางเรื่องแปลความกลับกันทำให้เกิดความสับสนสงสัย

เราลองสมมุติว่า มีเศษผ้าชุบน้ำมันสีเขียว กับ สีแดง เอาปลายมามัดเข้าด้วยกัน หากเราจุดไฟที่ผ้าสีแดง ไฟจะลามไปติดผ้าสีเขียว เราพูดรวบรัดว่า ผ้าแดงเป็นสาเหตุ(ติดไฟ)ของผ้าเขียว แต่เมื่อเราจุดไฟที่ผ้าสีเขียวไฟก็จะลามไปติดที่ผ้าสีแดง เราก็เรียกว่า ผ้าเขียวเป็นสาเหตุ(ติดไฟ)ของผ้าแดงได้ ในลักษณะนี้ ทั้งผ้าแดงและผ้าเขียวมีอยู่ก่อนแล้ว ไม่ใช่ผ้าแดงเกิดมาจากผ้าเขียว การที่อะไรจะเป็นเหตุติดไฟหรือเป็นผลนั้นอยู่ที่ว่า ผ้าอะไรจะติดไฟก่อนกัน

อันที่จริง ทั้งเรือนและดาวเจ้าเรือนอื่น(ดาวลอยมาอยู่) เป็นได้ทั้งเหตุและผลแก่กัน พึงทราบว่า “เรือน กับดาวเจ้าเรือน” ก็เหมือนกัน เราอาจจะมองเรือนเปล่าๆ ว่าเป็นดาวชนิดหนึ่ง เราถือว่าเรือนและดาวในดวงชะตานั้น มีคุณสมบัติที่บ่งบอกอยู่ก่อน เหมือนกับมันมีสิ่งนั้นอยู่ก่อนแล้ว สิ่งที่สำคัญคือ “ความสัมพันธ์” ระหว่างกัน เมื่อมีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ก็จะเป็นการกระตุ้นให้สิ่งหนึ่งที่สัมพันธ์อยู่ทำงาน (ถ้ามีอยู่) หรือ เกิดขึ้นตามคุณสมบัติ (ถ้ายังไม่มี) การแปลความเราก็ต้องแปลแบบดูความเป็นไปได้ เช่นหาก ตนุไปอยู่ปุตตะ จะแปลว่า มีเราก่อนแล้วจึงมีลูก แต่พอปุตตะไปอยู่ตนุ จะแปลว่ามีลูกก่อนแล้วจึงมีเรา จึงเป็นไปไม่ได้ จึงต้องเลี่ยงไปแปลว่า เจ้าชะตาเป็นคนขี้เล่น (ปุตตะ) หรือ บุตรมาอยุ่กับเรา การที่เรือนหรือ เจ้าเรือนใด อะไรจะเป็นเหตุ และอะไรจะเป็นผลอย่างไร จึงขึ้นอยู่กับธรรมชาติข้อเท็จจริงประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งคือการที่เรือนใดจะทำงานก่อนกัน เหมือนกับผ้าที่ว่า ผืนใดจะติดไฟก่อนกัน เรือนใดทำงานก่อน ก็จะกระตุ้นให้อีกเรือนหนึ่งที่สัมพันธ์กันทำงานต่อมาได้

เมื่อเราฝึกอ่านดวงชะตา หากเราอ่านไปข้างหน้า จึงดูเหมือนเป็นเหตุที่ต่อเนื่องกันไป การอ่านแบบนี้เป็นการอ่านดวงเดิม เพื่อให้เข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น แต่ถ้าเราอ่าน ย้อนกลับ คือเริ่มจากดาวลอยย้อนกลับไป 2 จังหวะ ก็ดูเหมือนอ่านจากผลไปหาเหตุ และก็ไม่ใคร่จะมีใครสอนอ่านแบบย้อนกลับ แต่อันที่จริง ทั้งเรือนและดาวเจ้าเรือนอื่น(ดาวลอยมาอยู่) เป็นได้ทั้งเหตุและผลแก่กัน ดังนั้น จริงๆแล้วไม่ว่าจะอ่านแบบไปข้างหน้า หรืออ่านแบบย้อนกลับ ก็ถือเป็นเหตุหรือเป็นผลได้ทั้งนั้น และก็มีความสำคัญเท่ากัน เหมือนกัน และเราอาจจะอ่านเรือนหนึ่งเพื่อขยายความอีกเรือนหนึ่งก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านแบบเป็นเหตุและผลกันเสมอไป

แต่มีขั้นตอนอยู่ที่ว่า ดาวที่ทำหน้าที่เจ้าเรือนนั้น มักทำงานเร็วกว่าเรือนที่มันสถิต เนื่องจากดาวเป็นธาตุขนาดเล็ก เร็วกว่าทั้งธาตุและพลังงาน แต่เกษตรธาตุในราศีเป็นธาตุขนาดใหญ่ มี(ปริมาณ)พลังงานมาก แต่ระดับต่ำกว่าดาว ดังนั้น เมื่อสิ่งตามความหมายนั้นเพิ่งเกิดขึ้น ดาวเจ้าเรือนจึงเกิดก่อน กลายเป็นเหตุของเรือนสถิต แต่ถ้าทั้งเจ้าเรือนและเรือนนั้นมีอยู่ก่อน ทั้งสองก็อาจจะเป็นเหตุหรือเป็นผลได้เท่ากัน การสอนให้อ่านแบบไปข้างหน้า จึงลำดับเหตุผลได้เป็นทางเดียว ไม่สับสน แต่ถ้าหากเข้าใจการลำดับเหตุผลแล้ว จะอ่านจากทางใดก็ได้ความหมายเท่าเทียมกัน

หากเราจะสังเกตโหรที่ชำนาญแล้ว เมื่ออ่านดวงชะตาใดก็ตาม เขาจะอ่านทั้งไปข้างหน้า และย้อนกลับ ผสมผสาน ทั้งอ่าน 2 จังหวะ จังหวะเดียว หรือ ครึ่งจังหวะ สลับกันอยู่ เหมือนคนกำลังเต้นรำสลับเท้าหรือ ฟุตเวิร์ค ดังนั้น การอ่านข้อความจึงไม่ได้เป็นไปตามลำดับของการอ่าน แต่ไม่มีการสอนทักษะอันนี้ เนื่องจากต้องปล่อยให้เป็นไปตามสถานการณ์เรื่องราวในดวงชะตา การฝึกเช่นนี้จนชำนาญ ทำให้ได้ความหมายที่เนียนกลมกลืน และจะมีผลมากในการอ่านดวงจรต่อไป


วรกุล - 26 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:32น. (IP: 203.155.229.9)

ความคิดเห็นที่ 16
เรียน อ.วรกุล

ไม่ได้เข้าเนทมาอ่านกระทู้ของอาจารย์หลายวันมาก พึ่งทราบว่าอาจารย์จะไม่ว่างมาให้วิทยาทานแล้ว รู้สึกเสียดายมาก ผมลองทำตามอาจารย์ลองอ่านที่อาจารย์เขียนแล้ว ถ้าเขียนให้คนอื่นเข้าใจคงยากมาก พยายามใช้คำที่ง่ายและสั้นด้วยเพื่อจะได้เข้าใจ ถ้าอาจารย์รวบรวมและทำเป็นหนังสือคงจะดีนะครับ ผมจะอุดหนุนคนแรกเลย ส่วนการตอบกระทู้สงสัยต้องเป็นคนที่อดทนจริงๆ นะครับ ผมอ่านดูแล้ว แต่ละคนก็เหมือนอยากรู้เรื่องของตัวเองก่อน บางทีเรื่องที่ถามก็คล้ายๆ กัน คำถามก็เลยคล้ายๆกัน ผมลองตอบคำถามในใจด้วย แต่พออ่านไปก็รู้สึกว่าทำไมต้องถามด้วยถามทำไม ตอบไปแล้วนี่นา(ผมไม่ได้ว่าคนที่เขียนกระทู้ถามนะครับ เป็นความรู้สึกของผมเอง) บางคนก็ถามเหมือนเป็นวงกลม

สุดท้ายนี้ขอให้กำลังใจอาจารย์ครับ และผมจะติดตามผลงานของอาจารย์ต่อไปเรื่อยๆ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


นิวส์ - 27 มิถุนายน พ.ศ.2550 00:03น. (IP: 124.121.164.251)

ความคิดเห็นที่ 17
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 13) ...........ที่ว่าตรีวัยมีจุดบอดบางราศี เพราะว่าการนับวัยเกิดจากการคำนวณตนุเศษ แล้วอาศัยเกษตรเรือนจากตนุเศษ ซึ่งเป็นดาวเดินช้าบ้าง เดินเร็วบ้าง เป็นดาววัย เช่น กรณีดาววัยเดินพักร หรือ เดินข้ามราศีบางราศี ซึ่งจะมีปัญหาการนับช่วงวัย จากราศีจักรมีโอกาสคลาดเคลื่อน อาจช้า หรือเร็วไปกว่าความเป็นจริงในแต่ละคน ก็จะทำให้การใช้ดาวตรีวัยเป็นดาวอิทธิพลคลาดเคลื่อนอายุไปด้วย นอกจากนั้นยังมีปัญหาการกำหนดเรือนเกษตรในตรีวัย ซึ่งเป็นเรื่องยาว คนที่ใช้ตรีวัยได้ดี เขามีวิธีของเขาครับ ส่วนเรื่องดาวตรีเทพเป็นคนละเรื่อง ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนี้

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ พิทา (ความเห็นที่ 14) ...........เรื่องผิดจรรยาโหรนั้นแน่อยุ่แล้วครับ จะไปพูดเป็นนัยๆก็ยังไม่สมควร แต่การที่ทำนาย “หมดอายุ” หรือ “ตาย” นั้น ในหลักโหราศาสตร์ไม่มีโดยตรง แต่ถ้าหากมีเหตุที่แสดงอยู่ก่อน เช่น คนป่วยด้วยโรคที่คาดหมายได้ หรือ อายุมาก หรือมีอาการทางกายและจิตใจแสดงออกถึงธาตุที่เสื่อม ก็สามารถคาดเดาได้ รวมแล้วเป็นการคาดหมายหรืออนุมานเอาทั้งสิ้น การทำนายวันตาย ก็จะกำหนดถึงดาวสำคัญๆต่อชีวิตที่จะถูกทำให้เสียหาย หรือ หมดกำลัง แล้วไปดูดาวจรฆาตที่ทำงานตามปฏิกริยาเท่านั้น แต่ถ้าหากไม่มีเหตุที่คาดหมายได้มาก่อนแล้ว แม้ดาวที่สำคัญจะอ่อนแอ หรือถูกเบียนอย่างไรก็ตาม ยังมีกฎที่ห้ามสรุปทายว่า “ตาย” อยู่ หมอดูที่อยากเสี่ยงทำนายโดยไม่รู้ ก็เป็นการก่อกรรมของเขาเอง ผิดศีลครับ ไม่เพียงแต่ผิดจรรยาบรรณ วิบากกรรมเรื่องนี้แรง อาจทำให้หมอดูเองวิบัติได้ ดังนั้น หากหมอดูเก่ง แต่นอกครู อันนั้นไม่ถือว่าเป็นโหราศาสตร์ ยิ่งหมอดูเองดวงไม่ดี หากไปพยากรณ์คนดวงแข็ง ไปพยากรณ์แช่งเขาเท่ากับหมอดูแช่งตัวเอง

ส่วนหมอดูประเภทที่ไม่ได้ใช้โหราศาสตร์ดู เช่น ใช้ไสยศาสตร์ หรือ มีญาณหยั่งรู้อะไรแบบนั้น เป็นเรื่องเฉพาะตัวนะครับ ส่วนใหญ่ ไสยศาสตร์ (ที่แท้) ดูตายได้เป็นบางคน(ที่ตาย) การรู้เรื่องนี้โดยที่ไม่มีคุณธรรมพอ ก็อาจจะทำให้หมอดูเองวิบัติรุนแรงได้เช่นกัน แม้แต่นักไสยศาสตร์ ถึงแม้ “เห็นได้ ก็พูดไม่ได้” เป็นข้อห้ามเหมือนกัน เรื่องนี้ไม่อยากเล่า ขอไม่เล่าละครับ


วรกุล - 27 มิถุนายน พ.ศ.2550 05:00น. (IP: 203.155.229.236)

ความคิดเห็นที่ 18
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ.. “เรื่องชะตาจร” การพยากรณ์ตามแนวทางอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ นั้น “ชันษาจร” ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่นำมาใช้พยากรณ์จรเพื่อบอกเรื่องราวความเป็นไปในแต่ละช่วงเวลา นอกจากนั้น “ชะตาจร”(นับเริ่มต้นที่ชันษาจรย้อนไปลัคนา แล้วนับต่อจากลัคนาไปเท่าเศษ ) ก็เป็นเครื่องมืออีกตัวหนี่งที่ถูกนำมาใช้ประกอบเพื่อช่วยให้เรื่องราวที่อ่านได้จากชันษรจรมีความชัดเจนยิ่งขึ้น นี่คือความเข้าใจของผม..ของรบกวนให้อาจารย์ช่วยเขียนประโยชน์ของ”ชะตาจร” หรือ “ชะตาจร”เสริมขยายหรือสัมพันธ์ “ชันษาจร “อย่างไร พอสังเขปด้วยครับ


ศ.fa200 - 27 มิถุนายน พ.ศ.2550 07:44น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 19
กราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลสำหรับคำอธิบายที่ทำให้ตาสว่าง นับแต่นี้จะได้เลิกสงสัยเรื่องนี้เสียที จะได้เลิกไปกวนใจหมอดูถามเขาเรื่องนี้เสียที กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ


พิทา - 27 มิถุนายน พ.ศ.2550 08:17น. (IP: 210.246.80.115)

ความคิดเห็นที่ 20
ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูงครับสำหรับคำอธิบายในเชิงลึก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยทราบมาก่อน

จากคำตอบของอาจารย์ ผมได้พยายามอ่านและทำความเข้าใจซึ่งถ้าผมเข้าใจไม่ผิดก็คือ เวลาอ่านดวงชะตาในระบบเรือน เราไม่ควรจะอ่านว่า เหตุการณ์ในเรือนนี้ เป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ในเรือนนั้น แต่เราควรจะอ่านว่า เหตุการณ์ในเรือนนี้เกิดก่อน/หลังเหตุการณ์ในเรือนนั้น ใช่ไหมครับ? รบกวนอาจารย์ช่วยกรุณาปรับความเข้าใจของผมด้วยครับ

------------------------------------

อีกสิ่งหนึ่งที่ผมใคร่ขอเรียนถามอาจารย์ก็คือ ผมสงสัยว่า เวลาที่ดาวในดวงชะตาของคนเรา "ทำงาน" นั้น...

- การทำงานของดาว เป็นไปได้ใช่ไหมครับ ที่ดาวจะทำงานใน "ระบบดาว" เพียงอย่างเดียว โดยปราศจากซึ่งการทำงาน "ระบบเรือน" ? (คือว่า ดาวแต่ละดวงสามารถแสดงความหมายทางปรัชญาของดาว ซึ่งเกิดจากธาตุดาวนั้นๆ ออกมาโดยทางตรง ดาวไม่จำเป็นต้องแสดงความหมายทางปรัชญาผ่านทาง "หน้าที่" อันเนื่องมาจากความเป็นเจ้าเรือนของมัน ออกมาเลย ใช่ไหมครับ)

- แต่ในทางกลับกัน เวลาที่ดาวได้เกิดการทำงานใน "ระบบเรือน" ขึ้นมา ดาวทุกดวงที่เกี่ยวข้องจะต้องแสดงความหมายทางปรัชญาของตัวมันเองออกมาเสมอ(โดยผ่านทางเรือน) ใช่ไหมครับ?

ผมขอขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ


นกกระจิบ - 27 มิถุนายน พ.ศ.2550 20:40น. (IP: 124.120.222.155)

ความคิดเห็นที่ 21
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 18) ...........ผมไม่ได้ใช้ทั้ง “ชะตาจร” และ “ชันษาจร” ครับ เคยถามท่านอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ ท่านอธิบายให้ฟัง แต่ไม่ได้จดไว้และก็จำไม่ได้ตลอด ขืนอธิบายต่อจะผิดแน่


วรกุล - 28 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:51น. (IP: 203.107.194.9)

ความคิดเห็นที่ 22
เรียนอาจารย์วรกุล ที่เคารพ คือเวลาดิฉันบันทึกข้อเขียนของอาจารย์เป็นบทๆ ดิฉันจะสรุปความเข้าใจของตัวเองเอาไว้ท้ายบทเสมอ ในบทนี้ดิฉันจะทำบันทึกท้ายบทที่ 29 คห.1 ของอาจารย์ว่า....

1. ดาวคู่ต่างๆนั้น เมื่อสัมพันธ์กัน คือสถิตย์เป็นเกณฑ์กัน (1 4 7 10) โยคกัน หรือ ตรีโกณฑ์กัน ก็สามารถอ่านตามความหมายของดาวคู่ (คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล)ได้ ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะ

2. ความหมายของดาวคู่ที่เป็นเกณฑ์ในมุมกุมกัน (เป็น 1 แก่กัน) และเล็งกัน (เป็น 7 )นั้น ให้อ่านความหมายของดาวคู่เต็มที่ ส่วนความหมายของดาวคู่ที่ดาวอยู่ในมุมอื่น (โยค ตรีโกณฑ์)นั้น อ่านความหมายของดาวคู่ด้วยได้ใช่ไหมคะ และควรจะมีน้ำหนักสักเพียงใดคะ

3. ความหมายของดาวคู่นั้น หมายรวมถึงตำแหน่งที่ดาวสถิตย์อยู่ เช่น ดาว a ที่อยู่ในเรือนของดาว b หรือราศีของดาว b ซึ่ง ดาว a เป็นดาวคู่ (คู่มิตร คู่ธาตุ ฯลฯ)ของดาว b ก็สามารถอ่านความหมายของดาวคู่ได้ด้วยถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในมุมที่ถึงกันก็ตาม แต่ดาวทั้งสองถึงกันตามเรือนที่สถิตย์ ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะ

ในเรื่องที่เรียนถามนี้ อาจารย์เคยเขียนไปบ้างแล้วในบทก่อนๆ แต่มันกระจัดกระจายอยู่ ดิฉันต้องการจะสรุปรวมไว้ในบทนี้ เพราะบทนี้อาจารย์พูดถึงเรื่องดาวคู่ ขอรบกวนอาจารย์กรุณาตอบด้วยค่ะว่าดิฉันเข้าใจถูกหรือผิดเท่านั้นเอง จะได้บันทึกลงไป


ocd - 28 มิถุนายน พ.ศ.2550 09:25น. (IP: 210.246.80.112)

ความคิดเห็นที่ 23
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 20) ...........คำถามของคุณ ทั้งคราวนี้และคราวก่อน อันที่จริงเขาไม่ได้สอนกันในการเรียนโหราศาสตร์เบื้องต้น แต่ค่อนข้างจะเป็นขั้นสูงแล้ว ผมเองก็ไม่ค่อยอยากพูดถึงมากนัก คนที่รู้ก็ไม่ได้มาอ่านและสนับสนุน เพราะพวกเราเองก็อยู่ในกลุ่มที่เพิ่งเริ่มเรียน เขียนมากไปคนที่ไม่รู้มาอ่านก็มักจะมองในทางไม่ดี แต่ถ้าเราไปถามผู้ที่เรียนจบจากสถาบันโหราศาสตร์มาตรฐานในต่างประเทศ จะยืนยันได้ว่า ในต่างประเทศเขาเรียนเช่นนี้แหละในหลักสูตรต้นๆ เพราะคนที่มาเรียนเป็นนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ เป็นนักดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เป็นนักเรียนหมอ หรือเป็นนักปรัชญาก็มี

1 / คำถามของคุณว่า “เวลาอ่านดวงชะตาในระบบเรือน เราไม่ควรจะอ่านว่า เหตุการณ์ในเรือนนี้ เป็นสาเหตุให้เกิดเหตุการณ์ในเรือนนั้น แต่เราควรจะอ่านว่า เหตุการณ์ในเรือนนี้เกิดก่อน/หลังเหตุการณ์ในเรือนนั้น ใช่ไหมครับ?” เรื่องเกิดก่อนหลังนั้นไม่ได้เน้นครับ เรามักอ่านว่า เหตุการณ์หนึ่งนำไปสู่อีกเหตุการณ์หนึ่ง หรือสิ่งหนึ่งนำไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ครับ

2 / ตามปกติระบบดาว เกิดขึ้นจากดาวอยู่ในราศี เมื่อยังไม่มีลัคนา ก็ยังไม่มีเรือน ดาวเหล่านั้นก็จะเป็นดาวสาธารณะ เมื่อใดบังเกิดลัคนา ดาวจึงจะอยู่ในเรือน ดาวจึงจะทำงานให้แก่ใครที่เป็นเจ้าของลัคนาได้

ส่วน ระบบเรือนเกิดขึ้นจากลัคนาเพียงประการเดียว ลัคนาทำให้เกิดเรือนตนุและเรือนอื่นๆ ระบบเรือนประกอบด้วยเกษตรเรือน และดาวเจ้าเรือน การเกิดเรือนนั้น ทั้งลัคนา เรือน เจ้าเรือน คือเกษตรธาตุที่ทำหน้าที่เจ้าเรือน ต้องทำงาน ซึ่งเป็นกรอบธรรมชาติในวงที่แคบสุด ดังนั้น ระบบเรือนจึงทำงานช้าและน้อยกว่าระบบดาวมาก

ดังนั้น ในดวงชะตาทั่วไป ดาวดวงหนึ่งๆจะทำงานตามกรอบมากน้อยต่างกันดังนี้ หนึ่ง ทำงานเป็นดาวสาธารณะ มากที่สุด สอง ทำงานในระบบดาว รองลงมา สาม ทำงานในระบบเรือน น้อยที่สุด ที่เราเรียน เราอ่านเรื่องดาว เรื่องเรือนนั้น เป็นการอ่าน “เมื่อมันทำงาน” ต่างหาก แต่มันไม่ได้ทำงานตลอดเวลา อย่างเช่น สมมุติว่า เราอ่าน “ตนุ - สหัชชะ เจ้าชะตาชอบท่องเที่ยว” เราจะเห็นว่า เจ้าชะตาไม่ได้ท่องเที่ยวไปไหนตลอดเวลา ต่อเมื่อมีการกระตุ้นเรือนตนุ ตนุมันก็จึงจะวิ่งไปท่องเที่ยวเพราะแรงผลักดันทางจิตวิทยา บ่อยๆแต่ไม่ใช่ตลอดเวลา ระบบดาวจะทำงานบ่อยกว่าระบบเรือน หากทั้งระบบดาวและเรือนไม่ทำงาน ถึงแม้ดาวจะทับเล็งกันในอวกาศ แล้วแผ่นดินไหว ก็ไม่ใช่เรื่องของเรา เพราะตอนนั้นดาวมันเป็นสาธารณะ

แต่ถ้าระบบเรือนทำงานเมื่อไร แสดงว่า ดาวมันกำลังทำงานทั้งเป็นสาธารณะ และระบบดาวพร้อมอยู่แล้ว จึงมาทำงานในระบบเรือน ดังนั้น การอ่านระบบเรือน เราสามารถจะอ่านระบบดาว และราศี ทั้งธาตุ และปรัชญาได้ทั้งหมดเลย เพราะมันกำลังทำงานอยู่ก่อนที่ระบบเรือนจะทำงาน เพราะเหตุนี้โหรไทยเราจึงอ่านลึกถึงระบบเรือน แต่หากระบบเรือนยังไม่แสดงออก เราก็อ่านระบบดาวได้ก่อน โหรไทยอ่านระบบดาวสาธารณะก็ได้ เป็นการอ่านแยกแยะตามกรอบระบบ

ดังนั้นเราจึง 1 / ต้องแยกกันให้ออกระหว่างการอ่านระบบดาวกับระบบเรือนตั้งแต่แรก 2 / เอามารวมกันเมื่อต้องอ่านนิทานชีวิตทั้งหมด ถือเสมือนว่าทุกระบบกำลังทำงาน 3 / แล้วมาแยกกันให้ออกเมื่อดาวจรทำงานอยู่จริงๆ ว่าดาวกำลังทำงานอยู่ในระบบใด


วรกุล - 28 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:06น. (IP: 203.107.193.51)

ความคิดเห็นที่ 24
ภายใน อาทิตย์ เจอ ครั้งไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนผู้หญิงมี ผีเสื้อ บินมาเกาะที่ตัวด้านหน้าลำตัว เเล้วเมือวานไปนั่งดื่มกับเพื่อนชายที่ตึกสูงตอนกลางคืน ช่วงที่มองออกไปดูวิว ผีเสื้อบินมาเกาะตรงกระจกด้านหน้าอีก มิทราบว่าหมายความอย่างไร รู้สึกเเปลกค่ะ


li - 29 มิถุนายน พ.ศ.2550 01:46น. (IP: 69.211.1.165)

ความคิดเห็นที่ 25
ภายใน อาทิตย์ เจอ ครั้งไปนั่งทานข้าวกับเพื่อนผู้หญิงมี ผีเสื้อ บินมาเกาะที่ตัวด้านหน้าลำตัว เเล้วเมือวานไปนั่งดื่มกับเพื่อนชายที่ตึกสูงตอนกลางคืน ช่วงที่มองออกไปดูวิว ผีเสื้อบินมาเกาะตรงกระจกด้านหน้าอีก มิทราบว่าหมายความอย่างไร รู้สึกเเปลกค่ะ


li - 29 มิถุนายน พ.ศ.2550 01:47น. (IP: 69.211.1.165)

ความคิดเห็นที่ 26
ตอบคุณ ocd (ความเห็นที่ 22) ...........คุณเขียนสรุปได้ถูกทั้งสามข้อเลยครับ แต่เรื่อง “เข้าใจถูก” หรือไม่ ไม่แน่ใจว่าถูกมากหรือถูกน้อย เพราะคำสรุปที่เขียนมาก็ยังหมิ่นเหม่อยู่เหมือนกัน ต้องขออธิบายเสริมที่คุณสรุปทีละข้อ

1 / ดาวคู่ต่างๆนั้น เมื่อสัมพันธ์กัน คือสถิตย์เป็นเกณฑ์กัน (1 4 7 10) โยคกัน หรือ ตรีโกณฑ์กัน ก็สามารถอ่านตามความหมายของดาวคู่ (คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล)ได้ ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะ

“ความหมายของดาวคู่” กับ “กำลังของดาวคู่” นั้นต่างกันนะครับ เวลาเราพูดถึง ความเป็นคู่ธาตุ คู่มิตร คู่ศัตรู คู่สมพล มีผลด้านกำลังของดาวและความหมายของคู่ แต่ความหมายของดาวคู่ คือคำแปลเฉพาะตัว เช่น ๒๘ เป็น คู่หนี้สิน เราไม่ได้มองว่าเป็นคู่สมพล แต่มันเป็นคู่สมพลเมื่อดูกำลังดาว คุณสรุปแล้วเข้าใจถูกตามนี้ไหม

2 / ความหมายของดาวคู่ที่เป็นเกณฑ์ในมุมกุมกัน (เป็น 1 แก่กัน) และเล็งกัน (เป็น 7 )นั้น ให้อ่านความหมายของดาวคู่เต็มที่ ส่วนความหมายของดาวคู่ที่ดาวอยู่ในมุมอื่น (โยค ตรีโกณฑ์)นั้น อ่านความหมายของดาวคู่ด้วยได้ใช่ไหมคะ และควรจะมีน้ำหนักสักเพียงใดคะ

อ่านได้ครับ เอาน้ำหนักเหลือครึ่งหนึ่ง แต่คุณอ่านน้ำหนักครึ่งหนึ่งได้หรือครับ เช่น ๑ จตุโกณ ๗ เขาไม่ได้อ่าน “ความหมาย” ในแง่ลดครึ่งหนึ่ง แต่อ่าน “ความแรง” ของ ๑๗ โดยรวมทั้งคู่ในแง่ที่มีผลลดครึ่งหนึ่งต่างหาก หากข้อความสรุปของคุณอธิบายตามนี้ ก็ถูก

3 / ความหมายของดาวคู่นั้น หมายรวมถึงตำแหน่งที่ดาวสถิตย์อยู่ เช่น ดาว a ที่อยู่ในเรือนของดาว b หรือราศีของดาว b ซึ่ง ดาว a เป็นดาวคู่ (คู่มิตร คู่ธาตุ ฯลฯ)ของดาว b ก็สามารถอ่านความหมายของดาวคู่ได้ด้วยถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในมุมที่ถึงกันก็ตาม แต่ดาวทั้งสองถึงกันตามเรือนที่สถิตย์ ดิฉันเข้าใจถูกใช่ไหมคะ

ถูกครับ แต่หากไม่ถึงกันโดยมุม แต่ถึงโดยเรือน ไม่ให้ใช้ความหมายนี้ในแง่อิสระเหมือนดาวคู่ที่เป็น ดาวกุมดาวในราศีเดียวกัน เรามักจะอ่านความเป็นคู่ธาตุ คู่มิตร ฯลฯ มากกว่าจะอ่าน คำแปลของคู่ดาว เพราะดาวไม่ได้ผสมกันโดยตรงในราศีเดียวกัน เว้นบางกรณีที่ธาตุถึงกัน

อีกอย่างหนึ่ง เรื่องตรีโกณ จตุโกณ ยังเป็นเรื่องยาว ส่วนมากไม่ค่อยมีใครสอนความหมายที่แท้จริง เพราะเกณฑ์ทั้งคู่นี้เป็นเพียงเครื่องมือในการใช้งานหลายระดับชั้น คล้ายเครื่องหมาย บวก/ลบ/คูณ/หาร ตามปกติเราไม่อ่านความหมายดาว จับคู่จากดาวหนึ่ง ตรีโกณ/จตุโกณไปถึงอีกดาวหนึ่ง แต่จะอ่านความหมายดาวกุม หรือดาวสถิต แล้วจึงเอาเรื่องราวที่อ่านนั้นมาตรีโกณ/จตุโกณกัน ซึ่งยังมีวิธีอ่านแบบลึกอีกหลายอย่าง และการที่เราสรุปการใช้ จตุโกณ เหมือนกับตรีโกณไปก่อน ก็ถือว่าเป็นการชั่วคราวในระดับนี้นะครับ


วรกุล - 29 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:55น. (IP: 203.107.200.49)

ความคิดเห็นที่ 28
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ.. เรื่อง “จุดเจ้าชะตา : ตนุลัคน์’’ โดยปกติดาวจรไม่ว่าดาวใจก็ตามเมื่อจรมาทำมุมกับจุดเจ้าชะตาไม่ว่าจะเป็นอาทิตย์กำเนิดหรือจันทร์กำเนิดก็ตาม ก็จะส่งอิทธิพลต่อเจ้าชะตาตามความหมายของดาวจรและจุดเจ้าชะตานั้นๆ เช่น ช่วงเวลาที่ดาวเสาร์จรทำมุมสัมพันธ์กับอาทิตย์กำเนิด เจ้าชะตาจะต้องระมัดระวังอาจจะเกิดเหตุการณ์ต่างๆในทางร้ายซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเจ้าชะตาหรือร่างกายของเจ้าชะตาตรงๆตามความหมายของอาทิตย์ หากแต่ดาวจรนั้นทำมุมสัมพันธ์กับจันทร์กำเนิดการพิจารนาของเรานั้นต้องพิจารณาผลกระทบที่เกิดกับความรู้สึกหรือจิตใจประกอบด้วยตามความหมายของจันทร์..ผมสงสัยว่าหากดาวจรมาทำมุมสัมพันธ์กับตนุลัคน์กำเนิด จะส่งผลอย่างไรกับเจ้าชะตา เช่นดาวเสาร์จรมาทับ(มุม0)กับตนุลัคน์กำเนิดเป็นต้น จะมีความรุนแรงเหมือนจรมาทำมุมสัมพันธ์กับอาทิตย์กำเนิดหรือไม่ หรือจะส่งผลในแง่มุมที่ต่างกับทำมุมสัมพันธ์กับอาทิตย์เดิมอย่างไร


ศ.fa200 - 29 มิถุนายน พ.ศ.2550 09:13น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 29
ตอบคุณ li (ความเห็นที่ 24) ...........ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยครับ ในวันหนึ่งๆเราจะพบเหตุการณ์หรืออะไรซ้ำๆบ่อยๆ แต่เราไม่สังเกตเอง คุณช่างสังเกต ก็จะเห็นแปลก


วรกุล - 29 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:19น. (IP: 203.107.196.202)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบคุณ ocd (ความเห็นที่ 27) ...........เวลาแปลความหมายดาว อย่าแปลตายตัวดื้อๆสิครับ ลองหลับตานึกดูว่า คำแต่ละคำในความหมายเหล่านั้น เนื้อแท้แล้วจะบอกลักษณะอะไรกับเรา ๒๘ หนี้สิน หมายถึง การติดค้าง การติดค้างนั้นเป็นไปได้ทั้ง งาน เงิน บุญคุณ ความช่วยเหลือ ความรัก ความเกลียด คำด่า ใส่ร้าย กลั่นแกล้ง คดโกง ฯลฯ นี่เป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ /แก้แค้น ๒๘ ยังหมายถึงการ หมุนเงิน ไปต่างประเทศ ภาษาต่างชาติ การติดต่อ หรือ ถิ่นไกล ก็ได้ ลองคิดดูนะครับ ทั้งดาวและเรือนในดวงชะตา ทุกคำ ก็มีคำแปลที่หลากหลายด้วยกันทั้งนั้น

ส่วนเรื่อง aspects (ไทยเรียก “ท้ศนสัมพันธ์”) นั้นเป็นเรื่องธรรมดาของโหราศาสตร์สากลครับ เขาทำนายด้วยคุณสมบัติดาว และทัศนสัมพันธ์ระหว่างดาวเป็นหลัก แล้วใช้เรือน (houses) เป็นที่รับผลจากดาว หลักพวกนี้มีมานานกว่า 1000 ปีแล้ว เขาเอามารวบรวมและอธิบายเพิ่มเติม ข้อสำคัญคือต้องใช้ปฏิทินแบบดาราศาสตร์เลย เพราะอาศัยมุมและตำแหน่งดาวจริง หากสนใจจะรู้ไว้ก็ดี แต่ต้องแยกแยะว่า โหรไทยไม่ได้ใช้อย่างนี้ หากอ่านความหมายของ aspects ได้ครบ ก็อาจจะจะเข้าใจดีขึ้น แต่ถ้าราคาแพงก็ไม่จำเป็นต้องซื้อ ตำราโหราศาสตร์สากลภาษาไทยก็พอมี และพอได้อาศัย ควรจะถูกกว่า โหราศาสตร์สากลมีตำราภาษาอังกฤษมาก อธิบายไปถึง “โยค”ของโหรภารตะบางเรื่องเลย ไม่แน่ใจว่าห้องสมุดเมืองไทยจะมี แต่เมืองนอกมีมาก มีถ่ายไว้ในไมโครฟิลม์อยู่เหมือนกัน เพียงแต่จะไม่มีเกี่ยวกับเนื้อหาในโหราศาสตร์ไทยโดยตรง

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ocd (ความเห็นที่ 2) ...........ตนุลัคน์ มาจากลัคนา และเป็นเจ้าเรือนตนุ เมื่อดาวมาทำปฏิกิริยากับตนุลัคน์ ก็จะส่งผลถึงเรือนตนุ ในความหมายของเรือนตนุเป็นเรื่องแรกครับ แต่เมื่อตนุลัคน์สื่อถึงลัคนาด้วย ก็จะมีผลถึงลัคนา คือชีวิต “ชีวิต” หมายถึงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพาเอาร่างกายและจิตใจของเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อ จุดเจ้าชะตาจุดใดรับปฏิกริยาอยู่ ปฏิกริยานั้นก็จะเข้ามาสู่ชีวิตได้ ดูคล้ายๆกับว่า เมื่อใดตนุลัคน์ ถุกกระทบ ก็จะกระทบถึงชีวิตโดยตรง และเป็นสื่อรับปฏิกิริยาที่เกิดในที่ต่างๆมายังชีวิตด้วย

จุดสำคัญ ก็คือ ตนุลัคน์ เชื่อมโยงกับ เรือนตนุ และลัคนา ลัคนา เชื่อมโยงกับดาวและเรือนทั้ง 12 เรือน ตามตัวอย่างของคุณเมื่อดาวเสาร์มาทับตนุลัคน์ เรื่องราวย่อมขยายกว้างกว่า การที่เสาร์ทับอาทิตย์ แต่จะกว้างที่สุด เมื่อเสาร์ทับลัคนาครับ เราจะเห็น scope ของ ลัคนา ตนุลัคน์ อาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ รวมทั้งจุดเจ้าชะตาอื่นๆ มีไม่เท่ากันนะครับ


วรกุล - 30 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:54น. (IP: 203.107.201.57)

ความคิดเห็นที่ 31
ขอโทษครับ ใส่ชื่อผิด

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 28) ...........ตนุลัคน์ มาจากลัคนา และเป็นเจ้าเรือนตนุ เมื่อดาวมาทำปฏิกิริยากับตนุลัคน์ ก็จะส่งผลถึงเรือนตนุ ในความหมายของเรือนตนุเป็นเรื่องแรกครับ แต่เมื่อตนุลัคน์สื่อถึงลัคนาด้วย ก็จะมีผลถึงลัคนา คือชีวิต “ชีวิต” หมายถึงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เพื่อพาเอาร่างกายและจิตใจของเราไปเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อ จุดเจ้าชะตาจุดใดรับปฏิกริยาอยู่ ปฏิกริยานั้นก็จะเข้ามาสู่ชีวิตได้ ดูคล้ายๆกับว่า เมื่อใดตนุลัคน์ ถุกกระทบ ก็จะกระทบถึงชีวิตโดยตรง และเป็นสื่อรับปฏิกิริยาที่เกิดในที่ต่างๆมายังชีวิตด้วย

จุดสำคัญ ก็คือ ตนุลัคน์ เชื่อมโยงกับ เรือนตนุ และลัคนา ลัคนา เชื่อมโยงกับดาวและเรือนทั้ง 12 เรือน ตามตัวอย่างของคุณเมื่อดาวเสาร์มาทับตนุลัคน์ เรื่องราวย่อมขยายกว้างกว่า การที่เสาร์ทับอาทิตย์ แต่จะกว้างที่สุด เมื่อเสาร์ทับลัคนาครับ เราจะเห็น scope ของ ลัคนา ตนุลัคน์ อาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ รวมทั้งจุดเจ้าชะตาอื่นๆ มีไม่เท่ากันนะครับ


วรกุล - 30 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:49น. (IP: 203.107.200.108)

ความคิดเห็นที่ 32
เรียนถามอ.วรกุลครับ เรื่อง คราสทางโหราศาสตร์

มันมีความน่าสนใจยังไงหรอครับ แล้วมันจะส่งผลกระทบแก่ผู้ที่เกิดภายใต้คราสอย่างไรบ้างครับ

ขอขอบคุณเลยครับ


สิงห์ - 30 มิถุนายน พ.ศ.2550 23:48น. (IP: 124.120.80.169)

ความคิดเห็นที่ 33
ตอบคุณ สิงห์ (ความเห็นที่ 32) ...........เรื่องคราสนี่แค่สรุปยังยาวเลย เพราะไปเกี่ยวกับราหู ซึ่งเป็นเรื่องยาวของโหราศาสตร์ไทย จนถึงกับมีคนว่า “ใครรู้เรื่องคราส จะเป็นอาจารย์ได้” ซึ่งไม่ค่อยจริง เพียงแต่มันเรื่องมาก เคยมีตำราคราส ตกทอดมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ในหอสมุดแห่งชาติ (หอเดิม - หอพระวชิรญาณฯ) ก็เคยมี แต่เป็นภาคพยากรณ์เกี่ยวกับคราส หรืออุปราคา หายไปนานแล้วเท่าที่เคยเห็นครั้งสุดท้าย

คราสมี 2 อย่าง คือคราสดาราศาสตร์ ได้แก่ จันทรุปราคา สุริยุปราคา (๑ ๒ โลก อยู่แนวเดียวกัน) กับ คราสโหราศาสตร์ (๑ ๒ ราหู อยู่ในราศีร่วมเล็งหรือใกล้เคียง) คราสดาราศาสตร์จะเป็นคราสโหราศาสตร์ด้วย แต่คราสโหราศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็นคราสดาราศาสตร์ คราสโหราศาสตร์แบบนี้ โบราณเรียกว่า “คราสใหญ่” หรือคราส “สูรย์จันทร์ ” (อาทิตย์+จันทร์) เกิดจากราหู

ยังมีคราสอย่างอื่น ที่ไม่เกิดจากสูรย์จันทร์ (หรือ ดาวเข้าไปร่วมอยู่ในคราสใหญ่) บางทีเรียกว่า “คราสดาว” หรือ เรียกตามชื่อดาว เช่น เกิดจากเสาร์ เรียกว่า “คราสเสาร์” เกิดจากพฤหัส เรียกว่า “คราสพฤหัส” หมายความว่าทั้ง เสาร์ หรือ พฤหัส เป็นตัวถูกคราส (หรือ เป็นตัวทำคราสเสียเองแทนราหู แต่ใช้น้อย) เช่น หาก เสาร์ไปแทนที่ ๑ (หรือ ๒) ถูกแล้วถูกราหูเล็ง ก็จะเป็น (๗ + ๒ + ราหู) เรียกสามัญว่า “เสาร์ถูกคราส” หรือ ภาษาเก่าว่า “เสาร์มีเคราะห์” ต่อๆมาคำว่า “มีเคราะห์” ก็ใช้กันอยู่หลายความหมายของโหราศาสตร์ จนกลายเป็นความไม่ดี เดี๋ยวนี้ความหมายจึงเพี้ยนๆไป พอพูดว่า “มีเคราะห์” กลับหมายความว่า “ซวย” ซึ่งความหมายเดิมไม่ได้หมายถึงไม่ดี

โหราศาสตร์ไทยมีราหู 8 ตน ราหูเกือบทุกตัวเป็นตัวป่วนธาตุ ราหู(ส่วนมาก)เมื่อร่วมเล็งดาวใดจึงทำให้ธาตุป่วน ทำให้โบราณเพ่งเล็งความสำคัญของคราส คือ เกิดปฏิกิริยาของดาวได้ง่าย ทั้งดีและไม่ดี แต่ปฏิกิริยาเหล่านั้นคาดหมายยาก (ไม่ดีต่อผู้ศึกษา) ผลของคราสนั้นมีเยอะ จะยกตัวอย่างสองอัน คือ คราสลัคนา ราหูเล็งและกุมลัคน์ ลัคนาเป็นทางเข้าสำคัญของธาตุ เมื่อราหูป่วนลัคนา ทำให้อารมณ์ไม่คงเส้นคงวา และพลอยทำให้ดวงชะตาคาดหมายยาก หากดาวราหูจรทับเล็งลัคนา โหรจึงไม่อยากให้ริเริ่มงาน หรือ ตั้งบริษัทฯ หรือ ทำอะไรที่สำคัญเกินไป เพราะเสี่ยงอาจจะเสียได้ง่าย ตัดสินใจผิด แต่บางคนก็ดี ได้อะไรฟลุคๆ หากคิดความปลอดภัยเซฟไว้ก่อน ก็รอราหูหนีไปก่อนจะมั่นใจได้มากกว่า

อีกอย่าง คือ “คราสใหญ่” ด้วยเหตุที่ อาทิตย์ และจันทร์ เป็นดาวที่มีผลต่อชีวิตและสุขภาพ หากดาว ๑ ๒ ถูกคราส ทำให้ธาตุของชีวิตคุมตัวกันไม่ดี หากเป็นดวงเดิม ก็ต้องระวังชีวิตมักเปราะในหลายเรื่อง ถ้าเป็นดวงจร หากทำอะไรเสี่ยงต่อชีวิตและสุขภาพช่วงนั้นก็ไม่ดี พูดสามัญว่า ดวงกำลังเสี่ยงภัย ขับรถ ขับเรือซิ่ง ก็เสี่ยงกว่าเวลาปกติ นอกจากนั้น ๑ และ ๒ และ ๕ (จันทร์ ครุ สุริยา) เป็นแหล่งพลังงานธาตุที่สำคัญในดวงชะตา นอกเหนือจากลัคนา ดาวใดที่ได้รับการอุดหนุนพลังงานจากดาวเหล่านี้ ก็อาจจะช้อตได้ชั่วคราว ที่ชั่วคราวนี่แหละบางทีก็สำคัญ หากเป็นท่อออกซิเจนช่วยหายใจ ก็อาจจะถึงตายได้เลย ดังนั้น การดูดาวจรบางครั้ง ก็ดูที่คราสเป็นทางอ้อม ว่าคราสไปตัด “ท่อหายใจ” ของใครหรือเปล่า อาจจะทำให้เกิดจุดอ่อนที่เปลี่ยนชีวิตได้

สำหรับคราสของดาวอื่น มักทำให้ธาตุป่วน ซึ่งโหรไม่ชอบ โดยเฉพาะการวางฤกษ์ จะไม่วางในระยะที่ดาวเจ้าการในเรื่องที่วางฤกษ์นั้นถูกคราส เช่น ฤกษ์การเกษตร ไม่วางเมื่อ ๔ ถูกคราส ฤกษ์แต่งงาน ไม่วางเมื่อ ๖ ถูกคราส อะไรแบบนี้ การถูกคราสนั้นมีดีอย่างใหญ่หลวงก็มี แต่ทำนายดวงชะตายาก โหรไม่ชอบ แต่อย่าไปทาย “ซวย” ดวงที่ถูกคราสอาจจะมีโชคลาภ ได้ตำแหน่ง ได้คู่ครองก็มี แต่มักได้มาจากความหลงผิด ผิดประเพณี โกงมา ฉุดมา ขโมยมา ปฏิวัติมา หรือ ได้จากอะไรที่ไม่เป็นคลองธรรมปกติประเพณี อะไรแบบนั้น เราจะเห็นว่าบ้านเราคนโง่ได้เป็นใหญ่ มีอำนาจ ซึ่งจะเห็นว่ามีบ่อยๆ บางทีได้ตำแหน่งและเงินทองมาจากความหลงผิด สืบทอดอำนาจกันมาก็มี แต่ไม่ได้มาจากทำนองคลองธรรม นี่เป็นฤทธิ์เดชของคราส ยังไม่เรื่องอีกยาว เกี่ยวกับคุณสมบัติของคราส แต่ยังเล่าไม่ไหว


วรกุล - 1 กรกฎาคม พ.ศ.2550 14:34น. (IP: 203.107.196.97)

ความคิดเห็นที่ 34
ขอขอบพระคุณอาจารย์มากๆ เลยครับ ด้วยใจจริง


นกกระจิบ - 1 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:26น. (IP: 124.120.225.62)

ความคิดเห็นที่ 35
ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์อธิบายค่ะ


ocd - 2 กรกฎาคม พ.ศ.2550 06:52น. (IP: 210.246.80.31)

ความคิดเห็นที่ 36
เรียนถาม อ.วรกุล ครับ กระผมสงสัยว่าถ้า ๙ ๐(ซึ่ง อ. เคยเขียนไว้ว่า เป็นองค์ประกอบของโหราศาสตร์)ไม่ส่งเสริมดวงชะตาแล้ว กรณีเช่นนี้เจ้าชะตาไม่ควรจะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ใช่ไหมครับ อยากทราบว่าเพราะเหตุใดครับ


พิษณุ - 4 กรกฎาคม พ.ศ.2550 19:27น. (IP: 124.120.225.224)

ความคิดเห็นที่ 37
แล้วกรณีดังกล่าว ๙ ๐ จะเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตเจ้าชะตาไหมครับ


พิษณุ - 4 กรกฎาคม พ.ศ.2550 19:35น. (IP: 124.120.225.224)

ความคิดเห็นที่ 38
หลังๆนี่มีผู้ถามคำถามที่เป็นประโยชน์่ต่อส่วนรวมมากๆครับมีคำถามดีดีแบบนี้ ท่่านอาจาร์ืวรกุลก็กรุณาตอบให้กระจ่างเสียด้วยคนอาศัยอ่านอย่างผมก็เลยได้อาศัยไปด้วยขอบพระคุณครับ


จีระนันท์ - 5 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:13น. (IP: 124.121.38.237)

ความคิดเห็นที่ 39
อันที่จริง เรื่อง “ดาวคู่” ที่เขียนไปในข้อเขียนก่อน โดยหลักการก็นับว่าครอบคลุมการอ่านดาวในดวงชะตาของเราได้แล้ว ส่วนมากเราไม่ค่อยได้สนใจหลักการเหล่านี้ เพราะมีความหมายดาวคู่ที่มีผู้เผยแพร่กันกว้างขวางอยู่แล้วมาใช้อ่านดวงชะตา ซึ่งอันที่จริงก็ใช้ได้ดี หากไม่สนใจทางทฤษฎีมากนัก เราจะกลับมาเห็นคุณค่าของหลักการของความหมายดาวคู่อีกครั้ง ก็เมื่อความหมายเหล่านั้นขัดกันเอง ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเลว ดังนั้น การแยกแยะว่าความหมายใดของดาวคู่ใดมาจากไหน จะช่วยได้มาก

โดยทั่วไปหากจะตั้งคำถามว่าดาวคู่ใดหมายความว่าอย่างไร พวกเราส่วนมากจะตอบได้ แต่หากถามในทางกลับกันว่า ความหมายใดมาจากดาว(คู่)ใด หลายคนอาจจะงง ทั้งนี้ตามข้อเท็จจริงมีอยู่ว่า เรื่องในธรรมชาติที่เกิดขึ้น อาจจะมาจากเรือน ดาว หรือดาวคู่ ที่แตกต่างกันหลายอย่างได้ เช่น สมมุติเราดูเรื่องการแต่งงาน การครองคู่ บางคนก็ดูจากปัตนิ บางคนก็ดูจากดาวศุกร์ ๖ บางคนก็ดูจาก ๒๕ ตามนิทานชาติเวร บางคนก็ดูจาก ๓๖ ตามความหมายของดาวคู่พิศวาส บางคนก็ดูจากดาวบริวาร + ศรี บางคนก็ดูจากดาวมนตรี + บริวาร บางคนดูจากดาวคู่มิตรถึงกันก็มี บางคนก็ดูจากสมพงศ์นักษัตร สารพัดที่จะดู ดังนั้น พอมีคนถามเรากลับบ้างว่า จะแต่งงานเมื่อไร ตอนไหน เราก็จะเริ่มงง ไม่รู้ว่าจะดูที่ตรงไหนดี ที่พอเอาตัวรอดได้ก็ใช้วิธีเลียนแบบครู หรือตำราที่สอนมา แต่บางครั้งเลียนแบบแล้วไม่ได้ผล หรือบางทีครูไม่ใช้ตามที่สอน เช่น ยกตัวอย่างหนังสือว่า “พฤหัส เป็นศรีจรเข้าเรือนปัตนิ จะได้แต่งงาน” ที่นี้ไม่เจอพฤหัสจรเข้าปัตนิ และก็ยังไม่เป็นศรีจร ซ้ำเป็นกาลกิณีจรด้วย ตอบไปว่าไม่ได้แต่งงาน แล้วเกิดเขาได้แต่งงานจริงๆ เราจะฉีกตำราทิ้งดีไหม ที่จริงตำราเขาก็ไม่ผิดอะไรนี่ เพราะเขาไม่ได้บอกว่า “จะได้แต่งงาน เมื่อพฤหัสเป็นศรีจรเข้าเรือนปัตนิ (เท่านั้น)” ความหมายมันต่างกันมาก แล้วจะว่าตำราผิดได้อย่างไร

หรืออย่างการใช้ทักษามักจะสับสนมาก บางตำราสอนว่า บริวาร คือ คู่ครองสามีภรรยา บุตร ฯลฯ ดังนั้น หากบริวารจรเป็นศรี ก็จะได้คู่ครองแต่งงาน บางตำราสอนว่า มนตรี นั่นแหละคือ คู่ครอง สามีภรรยา หากมนตรีจรดี จึงจะได้แต่งงาน ถ้าดูในดวงชะตา เรื่องที่วุ่นวายที่สุดคือเรื่องสมบัติ และเงินทอง ตั้งแต่กดุมภะจะเป็นสมบัติบ้านเรือนที่ดินก็ได้ แต่พันธุ ก็เป็นบ้านด้วยเหมือนกัน ศุภะก็เป็นบ้านที่อยู่อาศัย และตนุก็เป็นที่อยู่ส่วนตัว ไหนก็ยังมี เสาร์เป็นที่ดิน อสังหาฯ จันทร์ก็ที่ดินเหมือนกันนะจ๊ะ พฤหัส ก็เป็นที่ดินที่อยู่อาศัย ในทักษามูละ กับ ศรี และ บริวาร ก็เป็นที่ดิน และบ้านที่อยู่ได้ ตกลงแล้วโหรมือใหม่หัดขับ ก็เลยไม่รู้ว่าจะเอามือข้างไหนกุมขมับดี

จึงต้องย้ำว่า เรื่องในธรรมชาติที่เกิดขึ้น อาจจะมาจากเรือน ดาว หรือดาวคู่ ที่แตกต่างกันหลายอย่างได้ นี่ต่างหากเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เรียนสูงขึ้นมา หรือผู้ที่คิดอะไรให้ละเอียดขึ้น เราจะเห็นว่า “การดูดาวแบบง่ายๆ” คือเปิดตำราแล้วอ่านคำทำนาย อาจจะไม่พอเพียงกับประสบการณ์จริงทางโหราศาสตร์ หรือใช้ได้ก็กับการเรียนชั้นต้น แต่เมื่อต้องการเรียนรู้มากขึ้นไปแล้ว เราต้องคิดหลายมุมมองทั้งไปและกลับ การทำนายผิดมักเกิดจากการแปลความหมายเรือนและดาวไปในทางเดียว โดยไม่ระแวงว่าจะมีความหมายอื่น บางครั้งก็อาจจะทายถูกได้ แต่หากมีเรื่องซับซ้อนก็อาจจะทายผิด

จากสาเหตุของดาวคู่ที่กล่าวมาแล้วนั้น เราจะพบว่าดาวคู่หนึ่งมีความหมายได้หลายทาง แต่ละความหมายนั้น อันที่จริงเกิดจากดาวทำงานในกรอบธรรมชาติ หรือ ระบบ หรือ หน้าที่อันใดอันหนึ่ง นักโหราศาสตร์ที่รู้ว่า ขณะนั้นดาวกำลังทำหน้าที่อยู่ในกรอบใดจึงมักได้เปรียบในการทำนาย และกลายเป็นเคล็ดในการทำนายแม่นไปโดยปริยาย การที่ดาวแต่ละคู่มีความหมายได้หลายทาง จึงทำให้ความหมายซ้อนทับกับดาวคู่อื่นได้เช่นกัน โชคดีที่ดาวแต่ละคู่ที่ทำงานในความหมายเดียวกัน มักทำงานอยู่คนละระบบ ดังนั้น เราจึงสามารถตรวจความหมายเดียวกันนั้นจากระบบสองระบบขึ้นไปเพื่อยืนยันเหตุการณ์ได้ ข้อความทั้งหมดนี้ หมายถึง “เรือน” ได้เช่นเดียวกับดาว

ในตัวแต่ละระบบเอง ดาวหลายดวง และเรือนหลายเรือนมักทำงานร่วมกัน เพื่อให้สำเร็จความหมายหนึ่ง นี่เป็นสิ่งสำคัญในการเรียนโหราศาสตร์ กรอบการเรียนในขั้นต้นที่เราผ่านมา คือการดูดาวเดี่ยวและดาวคู่ แต่ในขั้นถัดมา คือการดูดาวหลายดาวที่สัมพันธ์พร้อมกัน ดาวคู่หลายคู่ และเรือนหลายเรือนเพื่อประกอบเป็นความหมายของเหตุการณ์อันเดียว ดังนั้น การเข้าใจกรอบระบบที่ดาวแต่ละดวงทำงานอยู่จึงมีความสำคัญมาก อย่างที่เคยยกตัวอย่างมาแล้ว เช่นการแต่งงาน หากเจ้าชะตาแต่งงานจริง จะต้องย้ายบ้านไปอยู่กับคู่ครองด้วยไหม การเงินต้องเปลี่ยนแปลงด้วยหรือเปล่า สังคมและสิ่งแวดล้อมจะเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันนั้นไหม สภาพจิตใจเจ้าชะตาจะร่าเริงสุขสบายกว่าที่เป็นด้วยไหม สิ่งเหล่านี้มีผลที่นำมาคาดหมายเหตุการณ์ มากไปกว่าการดูเพียงว่า พฤหัสจรเป็นศรีกาลกิณีเข้าเรือนอะไร การที่เรือนและดาวหลายเรือนสัมพันธ์กระทบถึงกันที่เราอ่านมาตั้งแต่เบื้องต้น จึงเป็นประโยชน์มากต่อการทำนาย

เราลองหันมาดูดาวคู่อีกที ยกตัวอย่างดาวคู่เล็กสักคู่หนึ่ง เช่น ๖๗ ศุกร์กุมเสาร์ กรณีที่หมายถึงอารมณ์ ศุกร์เป็นความสุขสดชื่น เสาร์ เป็นความทุกข์ระทม ขมขื่น หากดาวสองดวงนี้ส่งผลทางอารมณ์ ก็จะกลายเป็นความ “ผะอืดผะอม” เพราะมีสุขก็ไม่ใช่ ทุกข์ก็ไม่เชิง กลไกการทำงานเนื่องจากเมื่อมีความสุขจากศุกร์แล้ว ดาวศุกร์นั้นส่งกำลังให้แก่ดาวกุมคือเสาร์ เกิดเป็นความทุกข์ขมขื่น เมื่อเสาร์ทำงาน ก็จะส่งกำลังกลับมายังศุกร์ กลายเป็นความสุขอีก กลับไปกลับมา ดังนั้น ความหมายในช่วงใดช่วงหนึ่ง หากดาวทำงานก็จะอยู่ในระหว่างความหมายเหล่านี้

เมื่อใดศุกร์ทำงาน เป็นความรัก เจ้าชะตาก็จะรักในความทุกข์ คือมักชอบอะไรที่ลำบากยากเย็นจึงจะถูกใจ แต่งงานก็มักแต่งกับคนที่ต่ำชั้นกว่า (เสาร์) หรือ คนที่ทำงานหนักงานต่ำกว่า การศึกษาต่ำกว่า เช่นเป็นคนขับรถ หากรุนแรงมากก็จะ มีทุกข์เจ็บตัวแบบเสาร์ จึงจะมีความสุข (ซาดิสม์) ชอบสักยันต์ หรือ ทำอะไรเจ็บๆเหนื่อยๆจึงจะมีความสุขได้ ทั้งนี้เกิดจากปฏิกริยาระหว่างธาตุที่มักหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น เมื่อดาวคู่นี้ ดวงใดดวงหนึ่งทำงาน อีกดาวหนึ่งก็จะทำงานถัดมาด้วยเพราะได้รับพลังงานที่ส่งต่อมา อย่างเช่น เสาร์เป็นกัมมะ เจ้าชะตาเมื่อทำงานหนัก มักจะประสบความสำเร็จ (ศุกร์) หรือ เมื่อใดได้รับมอบงานหนัก ก็มักได้เลื่อนตำแหน่งทุกครั้ง นี่เป็นการทำนายโดยอาศัยปฏิกิริยาระหว่างดาวที่ต่อเนื่องกัน

แต่ปฏิกิริยาระหว่างดาวคู่ที่เป็นความหมายรวมออกมานั้น เกิดจากบทบาทของดาวอยู่สองแบบ ดาวมักจะเล่นบทบาทสองอย่าง คือ หนึ่ง ตัวมันเองให้ความหมายหลัก สอง ตัวมันเองเป็นส่วนขยาย การทำหน้าที่ความหมายหลักทั้งคู่อย่าง ๖ เป็นความสุข ๗ เป็นความทุกข์ เช่นนี้ ถือว่าดาวเป็นคู่ศัตรูกัน แต่หากดาวดวงใดดวงหนึ่งทำงานในหน้าที่ส่วนขยาย ก็จะกลายเป็นคู่ส่งเสริมกัน เช่น ๖ เป็นความรัก (หลัก)+ ๗ เป็นความมั่นคง (ขยาย) ก็จะเป็นความรักที่มั่นคง หรือ ๗ เป็นการคาดหมาย (หลัก) + ๖ เป็นความสำเร็จ(ขยาย) ผลก็จะเป็น การคาดหมายที่ถุกต้องสำเร็จ เราจะเห็นได้ว่าน้ำหนักของดาวในการแสดงบทบาทนั้นมีความสำคัญต่อการให้ความหมายของดาว

กรณีที่มีดาวหลายดวง โหรไทยจึงมักดูดาวใดดาวหนึ่งเป็นแก่น แล้วดูดาวอื่นเป็นบริวารเพื่อขยายความ การแปลความหมายละเอียดจะเกิดจากการส่งถ่ายให้พลังงานแก่ดาว เช่น ถ้าดาวคู่ ๖๗ ถูกกระตุ้นทั้งคู่ ก็จะกลายเป็นคู่ศัตรู แต่หากถูกกระตุ้นดาวเดียวแล้วอาศัยปฏิกริยาส่งต่อ ก็จะเป็นคู่มิตรได้ แต่การที่ดาวจะผสมธาตุและมีปฏิกิริยากันอย่างไรนั้น จำเป็นต้องดูการกระตุ้นให้พลังงานแก่ธาตุของดาวนั้น เช่น หากมีดาวหลายดวงที่ต่างก็กระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาแก่ศุกร์และเสาร์พร้อมกัน เราก็ทำนายได้ว่าระยะนั้นถ้ามีรัก ก็จะเกิดผิดหวังในความรัก ดังนี้เป็นต้น

นอกจากกรณีปฏิกิริยาเนื่องจากดาวแล้ว ยังมีปฏิกิริยาเนื่องจากระบบ อย่างเช่น ในทักษาคู่ธาตุที่กล่าวถึงในตอนก่อน ธาตุที่เป็นคู่ควงรอบแกนธรณีนั้น จะมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกัน ได้แก่ ๑๒ ๖๓ ๘๔ ๕๗ คุณสมบัติที่ว่านี้ สามารถใช้แทนกันได้ในความหมายใกล้เคียงกัน เช่น ๒ คือเด็กๆ ๑ จึงหมายถึงเด็กๆได้ ๑ คือเกียรติ ยศศักดิ์ ๒ ก็เป็นเกียรติยศได้ ๖ คือความรัก ๓ คือความใคร่ ซึ่งก็เป็นความรักชั่วคราว ๓ เป็น ความขยัน(วิริยะ)ทำงาน ถ้าเราไม่มี ๓ แต่มี ๖ เป็นความพอใจ (ฉันทะ)ในงาน ก็พอผลักดันให้งานเดิน ๘ เป็นดาวเล่ห์เหลี่ยม เราจึงมักดู ๔ ว่าเป็นดาวกะล่อนเล่ห์กล ๕ เป็นดาวประสบการณ์แบบใช้ปัญญา ๗ ก็เป็นประสบการณ์ที่เกิดจากการฝึกฝนทำงานได้ ดังนี้เป็นต้น

ดังนั้น การดูดาวคู่ หากดาวที่เป็นความหมายดั้งเดิมไม่อยู่โดยตรง เราก็สามารถใช้ดาวคู่ควงรอบแกนธรณี ตีความหมายออกมาได้ใกล้เคียงเช่นกัน และหากดาวคู่ควงรอบธรณีอยุ่ด้วยกัน และมีกำลังดี ผลของดาวคู่จะเป็นความชำนาญของเจ้าชะตาถึงขั้นมีพรสวรรค์ได้ เช่น ๑๒ คือความประณีต สร้างสรรค์ ๓๖ เป็นคู่คล่องแคล่ว พรสวรรค์และฝีมือ ๔๘ คู่ไหวพริบปฏิภาณพลิกแพลง และ ๕๗ คู่วางแผนสุขุมรอบคอบ ทั้งนี้เพราะดาวคู่เหล่านี้มีความหมายที่ส่งเสริมกันเป็นทวีคูณนั่นเอง ดาวคู่เหล่านี้ เมื่อดาวดวงหนึ่งแสดงความหมายอะไร คู่ของมันจะแสดงความหมายเลียนแบบตามไป เพราะเกิดจากการควงของธาตุรอบธรณีทับแนวธาตุกัน จะเห็นได้ว่า ที่เกิดเป็นเช่นนี้เพราะดาวเมื่ออยู่ด้วยกันโดยสอดคล้องกับระบบที่ถูกจัดการ แทนที่ดาวจะมีความหมายอิสระได้ตามใจชอบ ก็จะถูกบังคับให้ (เลือก) มีความหมายตามระบบ นี่เป็นหลักสำคัญในการตีความดาวคู่ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในดวงชะตา


วรกุล - 5 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:46น. (IP: 203.107.196.81)

ความคิดเห็นที่ 40
สวัสดีครับอาจารย์ รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายดวงทุรารัมภะให้หน่อยนะครับว่ามีผลต่อดวงอย่างไร อย่างเช่นมีดาวเกตุอยู่หน้าลัคนาราศีพิจิกอย่างนี้ใช่ไหมครับ


a19 - 5 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:20น. (IP: 125.25.207.163)

ความคิดเห็นที่ 41
ตอบคุณ พิษณุ (ความเห็นที่ 36 37) ...........กระผมสงสัยว่า ถ้า ๙ ๐ (ซึ่ง อ. เคยเขียนไว้ว่า เป็นองค์ประกอบของโหราศาสตร์) ไม่ส่งเสริมดวงชะตาแล้ว กรณีเช่นนี้เจ้าชะตาไม่ควรจะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ใช่ไหมครับ อยากทราบว่าเพราะเหตุใดครับ แล้วกรณีดังกล่าว ๙ ๐ จะเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตเจ้าชะตาไหมครับ

คำถามเรื่องการเรียนโหราศาสตร์มักเข้าใจไม่ตรงกันนะครับ บางคนก็เรียนเพียงเพื่ออยากรู้เอาไว้คุยกันเวลาเข้าสังคม บางคนก็เรียนเพื่อไว้ดูตัวเอง บางคนก็คิดจะหารายได้พิเศษ บางคนก็สนใจแต่เรียนแล้วก็ทิ้งๆไว้พอรู้ๆก็มี บางคนก็เรียนเอาจริง แต่มองว่าอะไรที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ตรงกับดาราศาสตร์ ฝรั่งแขกไม่มีสอนไว้ ก็ไม่เอาละ บางคนก็เอาจริงเหมือนกัน ศึกษาถึงรากฐานวิชา แต่ไปไม่ตลอดเพราะไม่มีครูสอนก็มี บางคนไม่เอาจริง แต่กลับได้วิชามา เลยเอาวิชามาพิมพ์ขายเสียก็มี บางคนก็เอาจริงและได้ครูสอนให้ แต่รับวิชาไม่ได้ก็มี และก็ยังมีบางคน.... อีกร้อยแปดพันอย่าง แต่ที่เหมือนกันก็คือ ทุกคนเรียนโหราศาสตร์ทั้งนั้น

โหราศาสตร์เรียนง่ายจะตายไป มีบางแห่งโฆษณาว่า เรียน 3 วันทำนายได้เลย หากไม่จริงยินดีคืนเงิน ดังนั้น หากไปบอกใครว่าจะเรียนโหราศาสตร์ ก็ควรจะบอกด้วยว่ามุ่งจะเอาชั้นไหน หากจะมุ่งเป็นโหร เพื่อสืบทอดวิชา ก็ต้องมีดาวเป็นครูดี อธิบายรู้เรื่อง มีจิตวิญญาณเป็นครู ไม่โลภโกรธหลงง่าย อดทน มีความเพียรพยายาม ฯลฯ อะไรแบบนี้ เมื่อมองคุณสมบัติของระดับที่เราจะเรียนแล้ว ก็มาดูว่าดาวดวงไหนที่มันส่งเสริมเรื่องนั้น ทำอย่างนี้แหละกับศาสตร์ทุกศาสตร์ ไม่เฉพาะโหราศาสตร์ เช่น อยากจะเรียนเปียโน ควรจะนิ้วมือยาวเรียว หากนิ้วสั้นเป็นลูกชิ้นนายฮั่งเพ้ง จะเรียนเปียโนไปรอดได้อย่างไร คนตาบอดอยากจะเรียนคอมพิวเตอร์ก็ได้แต่ทฤษฎีกับปฏิบัตินิดหน่อย หากจะเรียนถึงสถาปัตยกรรมในชิป แม้แต่คนตาดีก็ยังต้องใช้กล้องจุลทรรศน์ส่องดู คนตาบอดก็ย่อมไม่เหมาะที่จะเรียนแน่

โหราศาสตร์มีดาวสำคัญ 4 ดวง คือ ๕ ๔ ๐ ๙ บวก ๘ อีกดวงเป็นดาวงมงาย ไม่ใช่โหราศาสตร์ ๕ พฤหัส เป็นดาวพุทธิปัญญา มองเห็นความเป็นจริง หาก ๕ ไม่ดี ก็เห็นผิดๆถูกๆ แล้วจะไปรู้ จะไปเข้าใจธรรมชาติได้อย่างไร ๔ พุธ เป็นดาวการศึกษา หากไม่มี ๔ แล้วจะรับความรู้เข้ามาได้อย่างไร ทำนายอะไรไปก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ๐ มฤตยู เป็นดาวลึกลับ เรื่องลึกลับทั้งหลายในธรรมชาติรวมทั้งโหราศาสตร์ มักซ่อนอยู่ในมฤตยู หากไม่มีมฤตยู ก็เรียนแต่สิ่งที่มีดาษดื่น เฉพาะตำราที่มีพิมพ์ขาย ก็ย่อมเข้าไม่ถึงสิ่งลึกลับ ๙ เกตู เป็นวิชาเก่าแก่และยังเป็นดาวเชี่ยวชาญ ลึกซึ้ง เรียนไปหากไม่ลึกซึ้งก็เหมือนหัดวาดเขียน วาดรูปเป็ด คนดูคิดว่าไก่ และหากไม่ได้ ราหู ๘ งมงาย หมกมุ่นมาช่วย การเรียนก็อาจจะล้มเหลวกลางคันได้เช่นกัน นอกจากนั้น ดาวอื่นๆก็มีส่วนช่วย เช่น เสาร์อดทน อังคารขยัน ศุกร์ศิลปะ จันทร์จินตนาการ อาทิตย์แจ่มแจ้ง แต่ดาว ๕ ๔ ๐ ๙ ดาวใดเพียง 2 ดาวก็เพียงพอแล้ว ก็แล้วแต่ว่าเราต้องการเรียนโหราศาสตร์ระดับไหน ระบบไหน หากจะดู โหงวเฮ้ง แต่ไม่เคยสังเกตผู้คนและธรรมชาติเลย ก็ไปดูอะไรที่เราสนใจดีกว่า เพราะโหราศาสตร์มีลักษณะที่แตกต่างกันหลายวิชาให้เลือกมากมาย

ทั้ง เกตุและมฤตยู ๙ ๐ มักเกี่ยวข้องกับสิ่งลึกลับ จิตวิญญาณ เว้นแต่มีพลังงานสูงมากพอ จึงจะแสดงออกเป็นรูปธรรม หากไม่ส่งเสริมดวงชะตาถามว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อชีวิตไหม ทำไมไม่คิดว่า คนทุกคนก็มีดาวสองดวงนี้ หากคนไม่เป็นโหราศาสตร์แล้วมีอันตรายต่อชีวิต ก็เป็นกันทั้งโลกแหละครับ ไม่น่าถามเลย ก็ต้องขึ้นอยู่กับดวงคนแต่ละคน หากดาวใดให้โทษร้ายแรงก็เป็นอันตรายต่อชีวิตได้ทุกดวง ในทางกลับกันหากดาวใดให้คุณ มันก็ให้คุณได้ทุกดวง ไม่ต้องมาเพ่งเล็ง ๐ ๙ ซึ่งไม่จำเป็นเลย เกตุ มฤตยู เกี่ยวข้องวิทยาศาสตร์ วิทยาการ การค้นพบ สิ่งประดิษฐ์ หุ่นยนต์ โรบ็อต เป็นต้น หากมีกำลังดี ถึงไม่เกี่ยวข้องกับลัคนา แต่สัมพันธ์ กัมมะ ปุตตะ ศุภะ ลาภะ ก็ให้ความเจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงอย่างเหลือเชื่อ ไม่เห็นน่าจะอยากเป็นหมอดูไปทำไม

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ a19 (ความเห็นที่ 40) ...........ผมไม่รู้จักดวงทุรารัมภะครับ


วรกุล - 5 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:35น. (IP: 203.107.196.217)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ บอกพื้นฐานก่อนนะคะ เรียนโหราศาสตร์เองด้วยการอ่านและถามท่านอื่นๆ มาได้ 2 ปีกว่าๆแต่ก็ยังไม่ได้เรื่องเท่าไหร่ อ่านพื้นดวงพอรู้งูๆปลาๆ ไม่สวิงสวาย ประกอบกับเพิ่งจะมีดวงในบันทึกเพียงแค่ 12 ดวงที่เป็นคนรู้จักจริงๆ หัดดูอยู่เพียง 12 ดวงนี้ นั่งแกะดวงทั้ง 12 นี้ทุกวัน มีเรื่องสงสัยอยู่เรื่องหนึ่ง คือเรื่องเรือนปัตนิ คู่ครอง หุ้นส่วน หุ้นส่วนชีวิต โดยเฉพาะเรื่องคู่ครอง (สามี ภรรยา) นั้น เรือนที่ 7 เป็นเรือนปัตนิ เช่น ลัคนาราศีเมษ จะมีราศีตุลย์เป็นเรือนปัตนิ ก็จะทายลักษณะคู่ครองตามเรือนราศี และตามดาวเจ้าเรือนที่ไปอยู่เรือนใด สัมพันธ์กันดาวอะไรบ้าง ฯลฯ ดังที่อาจารย์อธิบาย

สิ่งที่สงสัยคือ ใน 12 ดวงที่มีอยู่ในมือนี้ มีดวงชาตาเพียง 2 ดวงเท่านั้นที่ชีวิตจริงๆของเขามีคู่ครองเป็นเรือนปัตนิราศีตรงข้าม คือทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน สามีลัคนาราศีเมษ ภรรยาลัคนาราศีตุลย์ คือทั้งคู่ต่างมีปัตนิเป็นราศีปัตนิจริงๆ อีก 10 คนล้วนแต่มีสามีหรือภรรยาเป็นลัคนาราศีอื่นที่ไม่ใช่ราศีที่ 7จากลัคนาที่เป็นเรือนปัตนิเลย อย่างนี้จะบอกว่า คนที่ได้คู่ครองที่ไม่ได้เป็นลัคนาราศีปัตนินั้นไม่ใช่คู่แท้หรือคะ จะมีสักกี่เปอร์เซนต์ที่จะได้คู่ครองเป็นลัคนาราศีปัตนิของตนเองตรงๆ เราจะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไรคะ

ดิฉันพยายามจะอธิบายสิ่งที่ตัวเองสงสัยเพื่อเรียนถามอาจารย์แต่มันอธิบายไม่ค่อยถูก ถ้าอาจารย์พอจะเข้าใจว่าดิฉันกำลังสงสัยอะไร และอาจารย์จะกรุณาอธิบายตามแต่อาจารย์เห็นสมควรจะขอบพระคุณยิ่งค่ะ


อัลฟาแรล - 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 08:24น. (IP: 210.246.80.43)

ความคิดเห็นที่ 43
แก้ไขพิมพ์ข้อความไม่กระจ่างใน คห 42

"สามีลัคนาราศีเมษ ภรรยาลัคนาราศีตุลย์ คือทั้งคู่ต่างมีปัตนิเป็นราศีปัตนิจริงๆ" .......> ควรจะเป็น.......

"สามีลัคนาราศีเมษ ภรรยาลัคนาราศีตุลย์ คือทั้งคู่ต่างมีคู่ครองที่เป็นคนลัคนาราศีปัตนิของตนเองจริงๆ"


อัลฟาแรล - 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 08:29น. (IP: 210.246.80.43)

ความคิดเห็นที่ 44
กราบเรียนท่าน อ. วรกุลค่ะ

วันนี้หนูมีข้อสงสัยหลายเรื่องที่อยากจะเรียนถามอาจารย์ค่ะ

๑ เรื่องของกำลังดาว เนื่องจากราศีเมษเป็นทางเข้าของพลังงาน ดังนั้นไม่ว่าดาวอะไรที่สถิตย์อยู่ในราศีนี้ก็จะมีกำลังดาวดี รวมถึงกำลังธาตุด้วยใช่มั้ยคะ และถ้าเป็นอย่างนี้ ดาวเสาร์ที่ตกตำแหน่งนี้ก็จะกลายเป็นนิจฟื้นถูกมั้ยคะ

๒ เรื่องของกัมมะ หนูเห็นว่าเป็นปัญหาอย่างหนึ่งของคนหลายๆคน ที่แท้สิ่งที่เรากระทำอยู่นั้นเพราะถูกลิขิตมาให้เป็นไปในแนวทางที่เป็นอยู่หรือสามารถเปลี่ยนแปลงตามใจชอบคะ หนูเห็นด้วยกับอย่างแรกแต่ก็ไม่แน่ใจหนูเห็นเพื่อนๆ หลายคนไปดูดวงมาแล้วก็คิดปวดหัวกับเรื่องเหล่านี้ เช่นบางคนมีดวงเด่นๆอยู่ในดวงหลายดาวก็กะจะทำทุกอาชีพตามความหมายของดาวเหล่านั้น หรือบางคนก็คิดจะละทิ้งสิ่งที่ตนเองเรียนอยู่(ปริญญาเอก)เพื่อกลับไปเรียนโทในอีกสายตามที่หมอดูบอก แต่ทำไม่ได้เพราะต้องใช้ทุนให้หลวงเลยกลายเป็นปมในใจเค้าว่าตัวเองเดินมาผิดทาง

๓ ข้อนี้เป็นเรื่องของเกตุ กับมฤตยู อันนี้กลัวอาจารย์ดุอยู่เหมือนกันแต่สงสัยมานานแล้ว เคยอ่านเจอให้กระทู้เก่าๆของอาจารย์แต่ก็ตีความหมายไม่ถูกคือมฤตยู อยู่กดุมภะ เจ้าเรือนคือพุธ ไปอยู่ที่ศุภะ ร่วมอาทิตย์ เสาร์เคยใช้เป็นดวงตัวอย่างสอบถามข้อสงสัยบางเรื่องกับอาจารย์ไปบ้างแล้วค่ะทีนี้มฤตยูนี่เล็งกับเกตุ เจ้าเรือนที่เกตุอาศัยอยู่คือพฤหัส พฤหัสไปอยู่ที่เรือนศุกร์ในราศีตุลย์ ศุกร์ไปอยู่พฤษกร่วมอังคารทีนี้หนูไม่ทราบว่าจะอ่านเกตุ ที่อยู่เรือนมรณะนี้ว่ายังไง และมฤตยูที่อยู่กดุมภะ อาจารย์กรุณาได้ตอบคุณพิษณุไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าจะใช้ได้ในกรณีนี้หรือเปล่าคะ และอีกอย่างค่ะ เมื่อมฤตยู(กดุมภะ)เล็งกับเกตุ(มรณะ) จะตีความหมายออกมาได้อย่างไรคะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


จีน - 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:55น. (IP: 58.8.191.107)

ความคิดเห็นที่ 45
กรานเรียนอ. วรกุลที่เคารพค่ะ

ที่จริงก็อยากให้อาจารย์แนะนำวิธีอ่านเกตุ กับดาวมฤตยู ให้ด้วยค่ะ เท่าที่เคยทราบมาโดยส่วนมากเขาก็จะถือว่ามฤตยูอยู่เรือนไหนก็เบียนเรือนนั้น เช่นอยู่กดุมภะก็แปลว่ากระเป๋ารั่ว รั่วไปอยู่ที่ไหนก็ตามไปดูที่เจ้าเรือนเพราะ สัญญลักษณ์ของมฤตยูคือเลข ๐ เป็นรู อยู่เรือนอะไรก็ทำให้เรือนนั้นเหมือนมีรูรั่วเสียหาย และจะเป็นไปอย่างฉับพลันโดยไม่ทันได้คาดคิด จะทำให้เรือนนั้นมีความผันผวนไม่แน่นอน ฯลฯ ส่วนเกตุนั้น มักจะบอกกันว่าเป็นเทพ เมื่ออยู่ในเรือนทุสถานภพแล้ว ก็มักจะตีความกันว่า ไม่เอาพระไม่เอาเจ้า อยู่มรณะ พระเจ้าไม่คุ้มครอง ขออะไรกับพระไม่ได้ หรือบางคนก็ว่าเป็นคนมีลางสังหรณ์และเกตุอยู่เรือนไหนก็จะทำให้เรือนนั้นวุ่นวาย เพราะสัญญลักษณ์ ของเกตุคือ เลข ๙ ซึ่งหมายถึงความคดเคี้ยววกวน ส่วนมฤตยูที่เล็งกับเกตุนั้น หมายถึง การเสียชีวิตแบบฉับพลัน การถูกปองร้าย การฆ่าตัวตาย อุบัติเหตุที่รุนแรง จริงเหรอคะ แต่หนูเป็นคนที่เวลาไปวัด หรือโบราณสถานจะค่อนข้างระวังเพราะเคยเจอเหตุการณ์ แปลกๆกับตัวอยู่หลายครั้งไม่ทราบว่าเป็นเพราะเกตุหรือเปล่าค่ะ ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยให้คำแนะนำด้วยนะคะ

ในเรื่องดาวพระเคราะห์คู่นั้น เป็นเรื่องของดาวอย่างเดียว หรือต้องนำเรือนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วนคะ เช่น ๑๒ เป็นความประณีตสร้างสรรค์ ถ้าอยู่เรือนกัมมะก็แปลว่าประณีตสร้างสรรค์ในเรื่องงาน แล้วดูต่ออีกว่า๑ ๒ เป็นเจ้าเรือนอะไรแล้วจึงนำความหมายนั้นมาอ่านประกอบ อ่านอย่างนี้ถูกมั้ยคะ ขอคำแนะนำด้วยค่ะ แล้ว เช่น ตามคำกลอน อังคารเสาร์กุมกันแลจันทร์เล็ง มักซื้อเซ้งคู่ศักดิ์รักทาสา ถ้าใครมีดาวคู่นี้อยู่ แล้วมีจันทร์เล็ง ต้องมีปัญหาแบบนี้หรือคะ หรือจะต้องสัมพันธ์ กับเรือนตนุ หรือเรือนปัตนิคะ

เรื่องดาวพระเคราห์คู่ของไทยเรากับทางภารตะมีการจัดคู่ที่แตกต่างกันบ้างไม่ทราบว่าเป็นเพราะ ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันหรือเปล่าคะจึงมีการจัดคู่ไม่เหมือนกัน

วันนี้ถามอาจารย์หลายคำถามมากค่ะคงต้องพอก่อน เกรงใจอาจารย์มากค่ะ สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ


จีน - 6 กรกฎาคม พ.ศ.2550 21:16น. (IP: 58.8.193.102)

ความคิดเห็นที่ 46
อาจารย์คะ

ที่อาจารย์บอกว่า "กรณีที่มีดาวหลายดวง โหรไทยจึงมักดูดาวใดดาวหนึ่งเป็นแก่น แล้วดูดาวอื่นเป็นบริวารเพื่อขยายความ" นั้นมีเกณฑ์ดูอย่างไรคะว่าในกรณีใดจะเอาดาวดวงไหนมาเป็นแก่น แล้วดาวดวงไหนเป็นส่วนขยายจะดูองศา หรือ เรือนที่มา และจะทำงานเมื่อไร ขอความรู้ด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


ดาว - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 02:57น. (IP: 58.8.11.225)

ความคิดเห็นที่ 47
ตอบคุณ อัลฟาแรล (ความเห็นที่ 42) ...........ดีเลยครับที่ถาม เหตุที่คุณเกิดปัญหาสงสัยนี้ เป็นความเข้าใจผิดประการหนึ่งของบุคคลทั่วไปในเรื่องดวงชะตา แต่บังเอิญเรื่องนี้เป็นเรื่องลึกๆ ผมเคยเขียนถึงนานมาแล้ว อยู่ตรงไหนไม่รู้ซี จะบอกหลักสำคัญไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน

หลักสำคัญของดวงชะตาคือ “ดวงชะตาแต่ละดวง เป็นดวงเฉพาะของเจ้าชะตาแต่ผู้เดียว ห้ามอ้างอิงไปใช้กับดวงชะตาอื่น” อย่างเช่น ดูดวงนายแดงมีแฟนอยู่ทิศเหนือ ดูดวงนางสาวเขียวมีแฟนอยู่ทิศใต้ จะสรุปว่านายแดงเป็นแฟนกับนางสาวเขียวไม่ได้ เพราะดวงของใครก็เป็นของผู้นั้น ไม่ว่า ทิศทาง สีผิว ใจคอ การศึกษา ฯลฯ เราจะไปเทียบข้ามดวงไม่ได้ แต่ เราจะเทียบในแต่ละดวงชะตากับตัวเจ้าชะตาเองได้ เช่น ดวงบอกว่าคู่ครองการศึกษา “น้อยกว่า” ไม่ใช่ไปทายว่าคู่จบ ป.4 แน่นอน เพราะหาก นายแดงจบปริญญาเอก คู่ก็มีสิทธิ์จบปริญญาโท แต่หากนายแดงจบ ป.2 คู่อาจจะไม่ได้เรียนหนังสือเลย อะไรแบบนี้ หรือ คู่นายแดงผิวขาวกว่า หากนายแดงเป็นนิโกร คู่ก็ยังผิวดำได้อยู่ ไม่ใช่ผิวขาวเป็นหยวก เราอาจจะลองคิดดูว่า สมมุติ นายบิลเกตส์ มหาเศรษฐี มีดาวศุกร์มหาอุจอยู่เรือนกดุมภะมหาอุจ แกรวยตั้งห้าแสนล้านบาท ผมเกิดพร้อมกัน ก็จะมีดาวศุกร์มหาอุจอยู่เรือน กดุมภะมหาอุจ เหมือนกัน แต่ผมรวยสูงสุดได้แค่ 1 ล้านบาท สมมุติว่าไม่มีดาวที่ดีกว่านี้แล้ว จะใส่ดาวศุกร์ให้บิลเกตส์สักห้าแสนล้านดวงเพื่อให้เทียบได้ตรงกันก็ทำไม่ได้ ดังนั้นการแปลความก็ต้องเทียบดวงใครดวงมันเท่านั้น ไม่งั้นเราจะเทียบเสกลได้อย่างไร

พวกเรือนต่างๆก็เหมือนกัน ผมเคยบอกแล้วว่า ห้ามจับเอาดวงชะตามาซ้อนกัน เมื่อคุณจับมาซ้อนโดยเทียบราศีต่างๆตรงกัน แล้วคิดว่าเหมือนกัน ก็จึงทำให้เข้าใจผิด บางคนที่เขานำมาซ้อนกันเพื่อดูตำแหน่งเทียบเพื่อดูมุมกับปัจจัยอื่น อันนั้นไม่เกี่ยว อันที่จริงราศีเมษ ซึ่งกลายเป็นเรือนเฉพาะของนายแดง ก็จะไม่ใช่ราศีเมษของนางสาวเขียว หรือ ราศีเมษของผม หรือราศีเมษของคนอื่นคนใดอีก เนื่องจากคุณสมบัติของเรือน ราศี ดาว และดวงชะตาทั้งดวง กลายเป็นสิ่งที่มีคุณสมบัติเฉพาะของแต่ละคนไปแล้ว ไม่อาจจะนำมาเทียบกันได้อีก เช่น เราไม่อาจจะเอา ๕ นิจของคนหนึ่ง ไปเทียบกับ ๕ อุจของอีกคนหนึ่ง เพราะคนที่มี ๕ นิจอาจจะฉลาดกว่า คนที่มี ๕ อุจ หลายร้อยเท่าก็ได้ ดวงชะตาจึงเป็นโลกของเราแต่ผู้เดียวเท่านั้น

พวกเรามักสับสนเวลาอ่านหนังสือตำรา มักเอาดวงชะตามาเทียบกัน นั่นเป็นเพราะเขานำดวงชะตาของทุกคนไปเทียบกับธรรมชาติของโลก หรือ สิ่งแวดล้อมอันเดียวกันต่างหาก เมื่อเทียบเช่นนั้นแล้ว จึงนำคุณสมบัติที่เทียบได้มาโยงเข้าหากัน อย่างเช่น สมมุติ ผมมี ๖ มหาอุจอยู่เรือนสหัชชะ อ่านว่า มีเพื่อนร่ำรวย นายบิลเกตส์เดินมาก็จะถูกชะตากับผมเองแหละ ไม่ใช่ดวงชะตามาซ้อนกัน แต่เพราะคุณสมบัติของบุคคล มาตรงเสป็คกันต่างหาก คุณสมบัติของบุคคล สิ่งของ หรืออื่นใดก็ตาม เป็นสิ่งที่เทียบมาแล้วจากสิ่งเดียวกัน คือธรรมชาติของโลก เมื่อมีโลกอยู่ลูกเดียวกัน เราจึงเอามาเทียบกันได้ ดังนั้น การมีคู่ครอง แม้เราจะดูเรือนปัตนิ หรือ เรือนใดเรื่องใด ก็ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ใช่ว่าเราลัคนาราศีเมษ แล้วต้องจ้องดูแฟนลัคนาราศีตุลย์ เพราะตุลย์ของเรากับตุลย์ของเขาไม่เกี่ยวกัน แม้แฟนเราจะมีบุคลิกลักษณะของคนราศีตุลย์ ก็ไม่ได้เกี่ยวกับคนที่ลัคนาราศีตุลย์เลย

ส่วนการดูคู่ครองนั้น ก็ต้องดูทั้งเรือนและดาวในดวงเรา ว่ามีคุณสมบัติอย่างไร หากจะเทียบคุณสมบัติว่า แฟนเราจะสูง สวย หน้าเก๋ มีเสน่ห์อย่างไร หากมีเพศตรงข้ามที่หน้าตาตรงกันนี้ ตรวจสอบคุณสมบัติแล้ว เป็นคู่ของเราแน่ก็เชื่อได้ว่าเป็นคู่ครอง ดังนั้น คู่ครองของเราอาจจะมีลัคนาราศีอะไรก็ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคู่แท้ คู่ไม่แท้ หากจะไปหาเปอร์เซ็นต์สถิติว่า คู่ใดมีลัคนาอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งโลก ก็มีเท่าๆกับราศีอื่น และก็ไม่สื่อความหมายอะไร

พวกราศีตรงกันข้ามกันนั้น หากเรามองจากโลก เกษตรราศีมักจะแสดงบุคลิกลักษณะของคนแต่ละราศี ดังนั้น หากจะหาเรื่องจับสถิติกันจริงๆ ก็อาจจะมีข้อสังเกตว่า คู่ครองที่มีลัคนาราศีตรงข้ามกัน ควรจะมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกัน “เพียงบางอย่าง” ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดๆ อาจจะเป็นบุคลิก รูปร่าง รสนิยม ฯลฯ เช่น หญิงเตี้ยชายสูง หญิงเฉื่อยชายขยัน หญิงชอบเปรี้ยวชายชอบหวาน หญิงผมดก ชายผมบาง ฯลฯ ประมาณนี้แหละ ไม่เชื่อเอาข้อมูลของคุณมาดูก็ได้ แล้วลองไปดูหญิงและชายที่มีลัคนาตรงกันราศีเดียวกันบ้าง หากรู้จักเขายิ่งดีใหญ่ เพราะเขาทั้งสองจะมีอะไรบางอย่างที่ตรงกัน แต่การเปรียบเทียบเช่นนี้ได้ผลไม่แน่นอน เพราะคุณสมบัติแต่ละเรื่องยังเปลี่ยนไปเพราะเรือนและดาวได้มาก แต่พวกที่ราศีตรงกันข้ามกันนั้น อาจจะมีจุดสนใจคือเป็นคู่อารมณ์ หรือ คู่ชั่วคราวระหว่างกัน เพราะเกิดจากธรรมชาติของโลกเอง จะเป็นที่เฉพาะตัวแต่ละคน เช่น มีคนที่ลัคนาราศีตรงข้ามเดินผ่านมา เราอาจจะรู้สึกสนใจขึ้นมาสักแว่บหนึ่งโดยไม่รู้เหตุผล แล้วก็หายไปเอง


วรกุล - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.193.75)

ความคิดเห็นที่ 48
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

อ่านคำอธิบายแล้วเข้าใจแจ่มแจ้งค่ะ อาจารย์อธิบายละเอียดจนดิฉันเห็นภาพเลยค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงค่ะ

ดิฉันเซฟข้อเขียนทุกบททุกตอนของอาจารย์ไว้ใน .pdf ทำ bookmark เป็นเรื่องๆ ไว้ด้วย แต่หาเรื่องนี้ไปเจอค่ะ อาจารย์บอกว่าเคยเขียนไว้ครั้งหนึ่งนานแล้ว กลับไปค้นอีกยังไม่พบ เดี๋ยวจะไปค้นอีก ถ้าพบแล้วจะโพสต์มาบอกเพื่อนๆติดตามข้อเขียนของอาจารย์ให้ค่ะว่าอยู่ตรงไหน

กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งสำหรับความกรุณาค่ะ


อัลฟาแรล - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 07:22น. (IP: 210.246.80.70)

ความคิดเห็นที่ 49
ยิ่งอ่านคำตอบของอาจารย์หลายๆครั้งให้ซึมทราบก็ยิ่งอยากเขียนหาเพื่อ...จะเรียกว่าเพื่อคุยกับอาจารย์ก็ได้ค่ะ อยากจะคุยกับอาจารย์อีกถึงเรื่องนี้ เพราะที่อาจารย์เขียนในย่อหน้าสุดท้ายนั้น ขอเรียนเพิ่มเติมว่า คู่สามีภรรยาที่สามีลัคน์เมษและภรรยาลัคน์ตุลย์นั้นคือดวงชาตาของดิฉันและสามีค่ะ ที่เรียนว่าอยากจะคุยกับอาจารย์คือ อาจารย์บอกว่า "หากจะหาเรื่องจับสถิติกันจริงๆ ก็อาจจะมีข้อสังเกตว่า คู่ครองที่มีลัคนาราศีตรงข้ามกัน ควรจะมีบุคลิกที่ตรงกันข้ามกัน “เพียงบางอย่าง” ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดๆ" ต้องเรียนว่า มันใช่เลยค่ะ ซึ่งทำให้ดิฉันอึ้งกับคำอธิบายของอาจารย์อย่างยิ่ง คือ สามีของดิฉันนั้นมีบุคลิกและรสนิยมตรงกันข้ามกับดิฉันโดยสุดขั้วค่ะ เขาชอบเครื่องยนต์กลไก เครื่องจักร เทคโนโลยี่ทันสมัย จบวิศวะcu ไม่คลั่งไคล้ศิลปะ ไม่อ่านหนังสือที่ไม่ใช่ fact จะอ่านแต่อะไรที่มันเป็นเทคโนโลยี่ คณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ ตรงกันข้ามกับดิฉันราวฤดูฝนกับฤดูร้อน ดิฉันจบอักษรศาสตร์ ชอบศิลปะและวาดภาพด้วย ศึกษาภาษาศาสตร์ literary sense วาดรูป เขียนบทประพันธ์ เขาตัวสูง(มาก)ดิฉันสันทัด และอะไรอีกหลายอย่างค่ะที่ตรงกันข้ามอย่างนี้ แต่มันก็เหมือนขั้วบวกกับขั้วลบ นึกย้อนถึงสมัยที่เราเพิ่งโคจรมาพบกัน มันก็เหมือนสองขั้วดึงดูดกัน สนใจกันแบบขั้วบวกกับขั้วลบทีเดียวค่ะ อย่างที่เรียกว่าเขามีในสิ่งที่ดิฉันไม่มีและในทำนองเดียวกันกับฝ่ายเขาที่ดิฉันมีในสิ่งที่เขาไม่มีนั่นเองจึงทำให้ต่างฝ่ายต่างสนใจซึ่งกันและกัน

ดังนี้เองที่ทำให้ดิฉันปักใจเชื่ออย่างแน่นอนว่า โหราศาสตร์นั้นเป็นเรื่องที่เป็นจริงไม่ใช่เรื่องงมงายอย่างที่อีกหลายๆคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องนี้พูดกัน เพราะดูเพียงดิฉันตั้งคำถามที่สงสัย แล้วอาจารย์ตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้ดูดาวสักดวงเดียวยังไม่คำอธิบายที่ถูกต้องตรงธรรมชาติของชีวิตจริงเลย


อัลฟาแรล - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:41น. (IP: 210.246.80.115)

ความคิดเห็นที่ 50
แก้คำผิด

"แล้วอาจารย์ตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้ดูดาวสักดวงเดียวยังไม่คำอธิบายที่ถูกต้องตรงธรรมชาติของชีวิตจริงเลย " ----->

ต้องเป็น "..แล้วอาจารย์ตอบกลับมาโดยที่ไม่ได้ดูดาวสักดวงเดียวยังได้คำอธิบายที่ถูกต้องตรงธรรมชาติของชีวิตจริงเลย "


อัลฟาแรล - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:45น. (IP: 210.246.80.115)

ความคิดเห็นที่ 51
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ

การเปรียบเทียบเฉพาะดวงแต่ละคน อาจารย์เคยกล่าวถึงในกระทู้ที่ ๘ ความเห็นที่๗ และกระทู้ที่๑๘ ความเห็นที่ ๑๘ ครับ


นพ - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:23น. (IP: 203.146.63.185)

ความคิดเห็นที่ 52
ตอบคุณ จีน (ความเห็นที่ 45) ...........เวลาเราอ่านตำราหรือคำทำนายที่เป็นเรื่องทั่วไป เราก็ต้องเข้าใจครับว่า เขาพยายามจะจับเอาเรื่องของคนส่วนใหญ่มาเรียบเรียงเป็นตำรา เพราะเวลาเรียนหรือทำนายไปแล้ว มีคนบอกว่าถูกมากกว่าผิด ก็จะเกิดความศรัทธาเชื่อถือ ส่วนคนที่บอกว่า “ไม่เห็นจะถูกเลย” นั้นเป็นคนส่วนน้อย ไม่อยากศรัทธาก็ปล่อยมันไป ถ้าแต่งตำราว่า “ใครมีมฤตยูอยู่กดุมภะ แปลว่ารวยมหาศาล” ตำราก็ขายไม่ได้ เพราะคนรวยมหาศาลนั้นสิบล้านคนอาจจะมีคนเดียว ดังนั้น คนก็จะไปเชื่อว่า “มฤตยูอยู่กกดุมภะทำให้กระเป๋ารั่ว” แน่นอนละ

แต่หากเราเป็นนักศึกษาโหราศาสตร์ ไม่ว่าจะทำนายอย่างใด เราควรจะทราบต่างหากว่าทำไมจึงทายเช่นนั้น มากกว่าจะมาจำอะไรที่บอกว่าทายแม่น เพราะคนที่มาหาเรา 99% เป็นคนจนกระเป๋ารั่วมาทั้งนั้น มฤตยูเป็นธาตุดาวที่มีพลังงานต่ำ ทำให้ต้องอาศัยพลังงานจากที่อื่น ดังนั้น โดยตัวมันเองก็จะเป็นพวกวิญญาณ หรือนามธรรม ซึ่งอยู่ได้ในระดับพลังงานต่ำ เมื่อมฤตยูอยู่ที่ใดก็จึงมักเป็นฝ่ายรับพลังงานเสมอ มันจึงดึงพลังงานจากเรือนและดาวที่อยู่ใกล้ๆมายังตัวมัน หากดาวที่มันเบียดเบียนพลังงานเหล่านั้นมีพลังงานสูงพอ เช่น เจ้าเรือนเป็นมหาอุจ มหาจักร ได้กำลังดี มฤตยูก็จะได้รับพลังงานมากพอ และแสดงความดีออกมาได้ และจะเป็นความดีที่สูงเด่นไม่น่าเชื่อ เช่น มฤตยูในเรือนกดุมภะ ที่บอกว่า “รวยมหาศาล” แต่โดยทั่วไปคนที่รวยมหาศาล หรือรวยมาก เขาไม่เคยมาหาเรา เขามักจะไปพบโหรแบบมือเซียน ราคาแพง ดังนั้น หมอดูระดับเราก็ทายคนที่มาหาว่า “กระเป๋ารั่ว” ย่อมถูกแน่นอน เพราะในดวงคนทั่วไปที่ไม่มีบุญวาสนาอะไรนัก มฤตยูมักจะเป็นดาวเบียนพลังงานนั่นเอง

ส่วนเกตุนั้น เป็นธาตุอีกชนิดหนึ่งที่ไม่ได้เป็นดาวปกติ แต่เป็นจุดคำนวณ โดยทั่วไปเกตุมักทำให้งงงวย งงแล้วจึงเดินหลงทางคล้ายคนเมา เหตุที่เกตุทำให้งงงวยเพราะเกตุ เป็นธาตุที่หมุนวน เป็นการหมุนวนแบบปั่นป่วน ดังนั้นเมื่อเกตุเริ่มเข้าทำปฏิกิริยาก็จะทำให้ธาตุและพลังงานป่วนเป็นเหตุให้ดาวและเรือนสถิตมีกำลังธาตุและกำลังดาวลดลง แต่คุณสมบัติของเกตุ เมื่อป่วนแล้ว หากมีสติเพียงพอ หรือเกิดพุทธิปัญญาขึ้นแล้ว ก็จะสงบลงรวมเป็นหนึ่ง เข้มมาก มีกำลังมหาศาล มันเหมือนตัวเราที่ตกลงไปสู่วังน้ำวน หรือห้วงมหรรณพ หากเราคุมสติไม่ป่วน ดิ้นลอยเปะปะไปตามน้ำวน เกตุจะกลับนิ่งสงบลง เชื่องและมีกำลังสูงมาก เกตุจึงมักเป็นมิตรกับพฤหัส พุทธิปัญญา ความรู้สึกตัว พฤหัส เมื่อได้รับกำลังของเกตุ ก็อาจจะเข้าใจธรรมชาติได้ทั้งหมด ดังนั้น เกตุจึงเหมือนพฤหัสอีกดวงหนึ่งในตอนที่มันสงบนี่เอง ในคนทั่วไป ซึ่งไม่ค่อยจะครองสติ ดังนั้นเกตุจึงให้โทษ แต่คนที่มีวิจารณญาณดี ใช้สติปัญญา เกตุจะให้คุณมาก เพราะ เกตุปล่อยคุณความดี ของมันออกมาในตอนที่มันถึงจุดสงบ

เกตุที่ปั่นป่วนต้องการพลังงานใช้ในการแสดงออกมากเหมือนมฤตยู เกตุจึงมักเบียดเบียนพลังงานจากดาวอื่น ทำให้ดาวสองดวงนี้คล้ายกัน แต่เมื่อเกตุสงบแล้วจะให้พลังงานที่เข้มมากออกมา แต่หากจะอยากรู้คุณความดีของเกตุ ต้องไปดูดวงคนที่เกตุให้คุณ จะพบว่าดาวดวงนี้เป็นดาววิเศษ โบราณจึงยกย่องเกตุว่าเป็นดาวที่สำคัญดวงหนึ่ง หากมฤตยู ทำมุมไม่ดีกับเกตุ หรือเล็งกัน เป็นการปะทะแย่งพลังงาน จึงทำให้เสียได้ทั้งคู่ ต้องดูว่าดาวคู่นี้ในสภาพนี้ได้พลังงานเพียงพอ รวมทั้งพฤหัส(ที่กำลังดี)ส่งถึงหรือไม่ หากได้ดี ดาวคู่นี้ก็ให้คุณมหาศาล 2 เท่าได้ ทั้งเกตุและมฤตยูมักให้โทษแก่ดาวและเรือนที่อยู่ใกล้มัน เพราะมีปัญหาเรื่องพลังงานและทำให้กำลังธาตุดาวอื่นอ่อนแอลง แต่หากอยู่ห่างมันและมีความสัมพันธ์ที่ดี มันก็จะให้ความดีสูงมากเกินกว่าดาวอื่น

ส่วนเรือนพระเคราะห์คู่ ปกติเป็นเรื่องของดาว หากขัดกับทางเรือน ความหมายจะไม่แรง แต่ถ้าทางเรือนไปเกี่ยวข้องด้วย เช่นเรื่องคู่เพศตรงข้าม แล้วเป็นปัตนิด้วยก็ทำให้แรงขึ้น หากสัมพันธ์กับตนุ หรืออยู่เรือนอื่น ก็มักเป็นเหตุการณ์จรเท่านั้น เป็นเฉพาะเมื่อดาวจรไปดึงเอาความเป็นปัตนิมาเกี่ยวพัน การจัดคู่ดาว มีหลายแบบครับ แล้วแต่จัดตามธรรมชาติหรือ กฎเกณฑ์อะไร แต่ละโหราศาสตร์ก็มีหลักทฤษฎีปลีกย่อยไปอีกมาก ที่จริงกฎเกณฑ์ดาวคู่มีมากมาย เรียนไม่หมด ที่เราเอามาเรียนกันนี้เป็นเพียงเท่าที่นิยมกันและเห็นผลแก่คนส่วนใหญ่เท่านั้น หากเป็นสำนักโหรสมัยก่อน ต้องท่องมากยิ่งกว่านี้สัก 2 – 3เท่า ถูกบังคับให้ท่องกฎดาว 3 ดวง 4 ดวง ยิ่งมีมากไปกว่าดาว 2 ดวง(ดาวคู่)นี่อีก

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ดาว (ความเห็นที่ 46) ...........การดูดาวแล้วตีความหมายนั้นมีสองรูปแบบ คืออย่างแรก เป็นการดูดาวเดิม การดูว่าจะเอาอะไรเป็นแก่นหรือบริวารก็ขึ้นอยู่กับคำถามที่เราจะดู เช่น หากจะดูว่าความรักเป็นอย่างไร ก็จับศุกร์เป็นแก่นอะไรประมาณนั้น เราจะจับอะไรเป็นแก่น หรือบริวารก็ได้ทั้งหมด แต่ไม่อาจจะบอกได้ว่าเหตุการณ์แต่ละอย่างจะเกิดมากน้อยอย่างไร เช่น เสาร์อาจจะเป็นแก่น ความทุกข์มีมากกว่าความสุข ก็ขึ้นอยู่กับหลายอย่างเช่น ความสัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา หรือ สถานการณ์ทำงานของดาว ดาวใดมีบทบาทมาก หรือสัมพันธ์กับดาวอื่นมาก ก็มักเป็นแก่นให้ทำนาย

อย่างที่สองก็คือการดูดาวจร ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่กว่า การที่ดาวใดจะแสดงตัวเด่นเป็นแก่น นอกจากมีพื้นฐานอยู่ในดาวเดิมแล้ว ก็ต้องดูดาวจรด้วย อย่างเช่น สมมุติ ดวงเดิมมี ๖๗ กุมกัน เมื่อ ๗ จรมาทับ ๖๗ ก็จะทำให้ ๗ เดิมมีปฏิกิริยากลายเป็นความทุกข์ได้มากกว่า ๖ ความสุข ๗ ก็จะทำหน้าที่เป็นแก่น ส่วน ๖ ซึ่งถูก ๗ จรกดอยู่ก็จะเสียกำลังธาตุ ไม่มีกำลังดาว แสดงเด่นได้ยาก ก็กลายเป็นบริวาร นี่เป็นเรื่องสมมุติอย่างง่าย โดยสรุปเราก็อาจจะพูดว่า ดาวดวงใดที่ดวงเดิมมีบทบาทสูงอยู่ และดวงจรมีกำลังเพราะถูกกระตุ้น ก็จะแสดงบทบาทเป็นแก่น ส่วนดาวอื่นที่เป็นเพียงถูกผลกระทบ หรือสูญเสียกำลัง ก็จะกลายเป็นบริวาร นั่นเอง ส่วนการที่จะอธิบายว่าดาวจะทำงานเมื่อไร เป็นโหราศาสตร์ภาคพยากรณ์จรทั้งภาคเลยครับ อธิบายตรงนี้ไม่ได้


วรกุล - 7 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:47น. (IP: 203.107.194.43)

ความคิดเห็นที่ 53
ขอบพระคุณค่ะอาจารย์


ดาว - 8 กรกฎาคม พ.ศ.2550 02:16น. (IP: 58.8.6.68)

ความคิดเห็นที่ 54
ตอบคุณ อัลฟาแรล (ความเห็นที่ 48 49 50) ...........ขอบคุณนะครับที่ให้ข้อมูลมา น่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นมากครับ เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นของตนเอง ทำ pdf files ก็ดีครับ ช่วยค้นได้บ้าง แต่ผมไม่ได้เขียนแบบตำรา เพราะหัวข้อในโหราศาสตร์ไทยพัวพันกันหมดแบบไม่มีวันจบ บางเรื่องก็สอดแทรกอยู่ในเรื่องอื่นๆ เกรงใจคนอ่าน เพราะหากพิมพ์เป็นกระดาษก็คงจะเกือบ 1000 หน้าแล้ว

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ นพ (ความเห็นที่ 51) ...........ขอบคุณครับที่ช่วยค้นให้ ผมเองเมื่อเริ่มเขียนทีแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะเขียนนาน และก็ไม่ได้ตั้งหัวข้อเอาไว้ ใครมาอ่านทีหลังจึงหาเรื่องไม่พบ และก็ไม่ต่อเนื่องด้วย เวลาเขียนก็มีคำผิด ประโยคผิด ภาษาผิด ไม่ได้แก้มากมาย เพราะมีเวลาน้อยมาก ผมจะแก้เพียงเนื้อความผิดเท่านั้น เพราะไม่อยากให้เป็นปัญหาให้เข้าใจคลาดเคลื่อน


วรกุล - 8 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:51น. (IP: 203.107.200.91)

ความคิดเห็นที่ 55
ผมชื่อ อภิพัฒน์ อภิพัฒน์กังวาน เกิดวันที่ 14 มีนาคม 2518 ปีเถาะ เวลา 06.20 น. คับ ช่วงนี้ผมเครียดมากคับ อยากให้ท่านอาจารย์ช่วยดูดวงให้หน่อยคับ ขอให้อาจารย์ชี้ช่องทางสว่างด้วยนะคับ ช่วยผมหน่อยนะคับ


อภิพัฒน์ - 9 กรกฎาคม พ.ศ.2550 03:16น. (IP: 58.8.102.163)

ความคิดเห็นที่ 56
เรียน อาจารย์วรกุล ที่นับถือ

อาจารย์ครับเวลาเราเห็นแน่ชัดแล้วว่า คู่ของเขาจะต้องมาจากต่างถิ่นแดนไกล หรือ เขาอาจจะต้องไปได้ดียังต่างถิ่นแดนไกล คำว่า เราจะฟันธงลงไปว่า คำว่า ต่างถิ่นแดนไกลนั้นจะเป็น ต่างจังหวัด หรือ ต่างประเทศ ได้อย่างไรครับ เอาดาวหรือเรือนอะไรมาฟันธงครับว่าเป็นต่างจัวหวัดหรือต่างประเทศ หรือว่า อย่าไปฟันเลยธงว่า ตจว หรือ ตปทเสียของเปล่าๆ ให้ทายกว้างๆ อย่างนั้นไปเถอะ เผื่อเหนียว ขอบพระคุณครับ


เอก - 9 กรกฎาคม พ.ศ.2550 08:23น. (IP: 210.246.80.124)

ความคิดเห็นที่ 57
สืบเนื่องมาจากกระทู้ที่ อ.วรกุล แนะนำคุณ อัลฟาแรล

เห็นบางตำรา ปักใจเชื่อนักเชื่อหนาว่า ให้ดูหลักๆคือดูเรือนลัคนา ต้องสัมพันธ์กันดี ไม่เป็นปัตนิ ก็ต้องเป็นตรีโกณกัน ดิฉันไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ มันควรดูอะไรหลายๆอย่างมากกว่านี้

มีอีกที่นึงเค้าแนะนำว่าให้ดูว่าดาว อย่างเช่น 1 หรือ 2 หรือ 4 หรือ 5 หรือ 6 ดาวนี้ ของคนทั้งคู่เป็นอะไรต่อกันด้วย

ยกตัวอย่าง ขออนุญาติยกดวงชะตาของสูงหน่อยนะคะ (ถ้าไม่สมควรทางผู้ดูแลจะลบข้อความส่วนนี้ก็ได้ค่ะ)

ดวงชะตาของในหลวง และดวงชะตาของสมเด็จพระราชินีฯ ท่านทั้งคู่ ตนุเป็นอริและมรณะต่อกันก็จริง แต่ว่าดาวอื่นๆ อยู่ในมุมตรีโกณกันแทบทั้งสิ้น

อยากให้อาจารย์แนะนำเรื่องการดูเนื้อคู่เพิ่มอีก ขอละเอียดลงลึกเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ


reader - 9 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:37น. (IP: 58.136.98.7)

ความคิดเห็นที่ 58
ตอบคุณ เอก (ความเห็นที่ 56) ...........คำว่า “ฟันธง” เป็นเพียงสำนวนที่บอกเพียงว่ามีความมั่นใจ หรือพูดกันเล่นเท่านั้นเองครับ อย่าไปคิดจริงจังถึงกับคิดว่ามีสูตรอะไรที่แน่นอน ทางโหราศาสตร์นั้นเป็นเพียงการประมวลเหตุการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด ในคนทั่วไปมักจะเป็นเช่นนั้นตามยุคตามสมัย ไม่ได้มีสูตรสำเร็จอะไรที่ถึงขนาดตายตัว คนที่ไปเชื่ออะไรแบบนั้นหากไม่ไปเสียคน เสียใจเพราะฟันธงทายใครจริงๆ แล้วล้มเหลว อายเขา ก็มักจะเลิกไม่เรียนโหราศาสตร์ไปเลย

อยากให้อ่านความเห็นที่ 47 ข้างบนนี้ก่อน หลักสำคัญของดวงชะตาคือ “ดวงชะตาแต่ละดวง เป็นดวงเฉพาะของเจ้าชะตาแต่ผู้เดียว ห้ามอ้างอิงไปใช้กับดวงชะตาอื่น” ดังนั้น การที่เราตั้งหลักอะไรสำหรับกลางๆ จะให้ครอบคลุมทุกดวงชะตาไม่ได้ สมมุติเพื่อนผมคนหนึ่งมีฐานะร่ำรวยมาก การไปต่างประเทศสมัยนี้ลัดนิ้วมือเดียว เขาขึ้นเครื่องบินบินไปดูกิจการของเขาที่ต่างประเทศ รวมทั้งติดต่อค้าขาย เหมือนเราขึ้นรถเมล์ ดวงดาวแทบไม่บอกว่ามีการเดินทางไปต่างถิ่นแดนไกล เพราะ คำว่า “ต่างถิ่นแดนไกล” นั้นหมายถึงที่แปลกถิ่น ที่ซึ่งทำให้ชีวิตความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเขาไปเป็นประจำเหมือนกับบ้านของเขาเอง ดวงชะตาก็ไม่แสดงอะไรที่ผิดไปจากชีวิตประจำวัน ก็เหมือนกับดวงบางคนไม่บอกว่าเขาขึ้นรถเมล์จากบ้านที่สมุทรสาคร ไปทำงานที่อยุธยาทุกวัน แต่ถ้าคนหลังนี้ จะต้องไปเมืองนอกบ้าง แม้ไปเพียงแค่พม่า ลาว ดวงชะตากลับแสดงความเปลี่ยนแปลง เราจะเห็นว่า ดวงชะตานั้นมีความหมายต่างระดับกัน การยึดหลักใดๆจึงต้องพิจารณาเหตุผล ไม่ใช่ยึดอะไรตายตัวจนถึงกับฟันธงกลายเป็นความงมงาย หากจะทายดวงขอทาน ว่าเขาจะได้เดินทางรอบโลก ก็ควรจะมีมูลว่า ไปได้ด้วยเหตุผลอะไร มีดวงถูกหวยหรือเปล่า อะไรประมาณนี้

ดังนั้น หลักที่เราใช้ทำนายการโยกย้ายไปต่างถิ่น จึงต้องพิจารณาจากความเป็นไปได้ของแต่ละบุคคล ทางเรือนปกติเรามักจะดูความโยกย้ายไปต่างถิ่น 1 / ด้วยเรือนสหัชชะ ศุภะ หากไม่ได้ย้ายที่อยู่ไปถาวร 2 / ถ้าไปกึ่งถาวรก็ดู มรณะ วินาสน์ 3 / หากย้ายไปนานๆก็จะกระทบถึง ศุภะ พันธุ และตนุ 4 / ถ้าไม่ได้เอาครอบครัวไปด้วยก็จะมีเปลี่ยนแปลงในเรือนปัตนิ 5 / ดาวบาปเคราะห์ทั้งหลาย เช่น อังคาร เสาร์ ราหู มฤตยู เกตุ 2 ดวงหลังมักไปต่างประเทศ 6 / ดวงเดิมบ่งบอกเรื่องราวเช่นนั้นอยู่ก่อนแล้ว หากย้ายเพราะดาวจรก็มักไปเพียงชั่วคราว

ดังนั้นการดูดาวในดวงชะตาต้องประมวลเหตุผล จะไปต่างจังหวัดหรือ ต่างประเทศก็อยู่ที่เราพิจารณาเหตุผลนั่นเอง เช่นพันธุ ถูกบาปเคราะห์เบียน มักต้องย้ายบ้านไปต่างประเทศเลย ดังนั้น จึงไม่ได้คิดแบบที่คุณว่า คือทายกว้างๆ แบบกลัวผิด แต่จะเป็นว่า หากเราไม่สามารถสรุปข้อมูลได้แน่ชัดก็ทำนายเท่าที่ควรเป็นและเป็นไปได้ ก็ไม่เห็นจะต้องอายใคร

โหราศาสตร์ นั้นไม่ได้มีไว้เพื่อพยากรณ์ การที่เราคิดจะพยากรณ์ให้มันถูกหรือผิดโดยไม่คิดถึงที่มาของเหตุผลนั่นต่างหากที่ทำให้เราจับเอาความจริงมาไม่ได้ เพียงแต่จะคิดเอาชื่อเสียงเพราะทายถูกเท่านั้นเอง นอกจากนั้น อยากจะย้ำเตือนว่า ดวงคนเรานั้นไม่เหมือนกัน มีทั้งทำนายยาก ทำนายง่าย และพวกที่ทายไม่ถุกเลย หากทำนายไม่ได้ ก็รับว่าทำนายไม่ได้ ไม่เห็นจะแปลกอะไร

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ reader (ความเห็นที่ 57) ...........คุณอ้างถึงคำตอบความเห็นที่ 47 ข้างบนนี้ แต่ไม่เข้าใจที่ผมพยายามอธิบาย อยากขอให้ไปอ่านใหม่นะครับ ผมบอกว่าหลักสำคัญของดวงชะตาคือ “ดวงชะตาแต่ละดวง เป็นดวงเฉพาะของเจ้าชะตาแต่ผู้เดียว ห้ามอ้างอิงไปใช้กับดวงชะตาอื่น” และดวงของใครก็เป็นของผู้นั้น ไม่ว่า ทิศทาง สีผิว ใจคอ การศึกษา ฯลฯ เราจะไปเทียบข้ามดวงไม่ได้ แต่ เราจะเทียบในแต่ละดวงชะตากับตัวเจ้าชะตาเองได้

ตำราที่สอนให้เราเทียบดวงชะตา 2 ดวง หรือ หลายดวงเข้าด้วยกัน หากไม่เขียนผิด เขียนมั่วก็แสดงว่าคุณเข้าใจไม่ถูก ดวงชะตาสองดวงนั้นเอามาเทียบกันไม่ได้ เช่นบอกว่า อาทิตย์ของ คนหนึ่งไปตรีโกณกับอาทิตย์ในดวงของอีกคนหนึ่งไม่ได้ ที่เขาเทียบนั้นหมายถึงต่างก็เทียบกับโลก เช่น ดวงแรก ๑ อยู่เมษ ดวงสอง ๑ อยู่ สิงห์ จึงอยู่ในราศีของโลกที่ตรีโกณกัน ไม่ใช่ ๑ ตรีโกณกัน

เรื่องคู่นั้นเขียนมาอย่างยาวบ่อยๆแล้วหลายหน เช่น การที่ดาวแต่ละคนอยู่ในราศีของโลก ที่ทำมุมกันดี เวลาดาวจรผ่านมาก็จะดีทั้งสองดวง อย่างเช่น ชาย มี ๖ อยู่กรกฏ หญิงมี ๖ อยู่พิจิก หากดาวจรผ่านมาทำมุมดี เช่น ๑ อยู่พฤษภเป็นโยคกับ ๖ ในดวงชาย ก็จะเล็งกับ ๖ ในดวงหญิงด้วย เมื่อมีความรัก ก็จะมีความรักพร้อมกัน หรือมีทุกข์ก็จะทุกข์พร้อมกัน แต่ถ้าหากดาวขัดกัน เป็นทุสถานะ เวลาดาวจรมา คนหนึ่งมีรัก อีกคนก็จะมีทุกข์ ไม่ตรงกันสลับกันอยู่ การครองคู่ครองขีวิตก็จะไม่ราบรื่นไม่สุขสมเท่าที่ควร

แต่หลักเช่นนี้ เป็นหลักเพื่อการคลุมถุงชนต่างหาก อันที่จริงแล้ว ความเป็นคู่ครองของคนเรา เมื่อเป็นไปตามกรรม ดาวต่างๆที่เรียงตัวอยู่จะไม่สื่อความเป็นโยคเกณฑ์อะไรเลย การดูคุ่ครองนั้น ต้องแปลความออกมาให้ได้เสียก่อน เช่น ดูดวงหญิงว่าจะได้สามีรูปหล่อ ร่ำรวย จบเมืองนอก มีตระกูลดี ฯลฯ แล้วจึงไปดูในดวงชายว่าจะอ่านได้คุณสมบัติเช่นนั้นตรงกันมากที่สุดหรือไม่ (ไม่จำเป็นต้องครบทุกอย่าง) แล้วจึงอ่านกลับจากดวงชายบ้าง คุณสมบัติต้องตรงกัน ทั้งนี้เพราะ เราจะไปเทียบข้ามดวงไม่ได้ แต่ เราจะเทียบในแต่ละดวงชะตากับตัวเจ้าชะตาเองได้ แล้วจึงเอาคุณสมบัติไปเทียบกัน การดูคู่แท้ในระดับทีสูงขึ้นไป เมื่อเทียบด้วยธาตุในดวงชะตาก็ต้องทำเช่นเดียวกัน คือดูโครงสร้างธาตุของคู่ครองตามธรรมชาติเสียก่อนให้ทราบคุณสมบัติ แล้วจึงเอาโครงสร้างโดยรวมเช่นนั้นไปเทียบในดวงอื่น ไม่ใช่เอาดาวมาเทียบ ดาวต่อดาว ซึ่งไม่มีความหมายอะไร นอกจากความรู้สึกนึกคิด ของคนสองคน ซึ่งไม่ได้แสดงว่าเป็นคู่ครองอะไรกันเลย

คู่ที่แต่งงานกันแล้ว เมื่อเทียบดาวต่อดาว ดาวอาจจะเป็นอริ มรณะ วินาสน์ โยค ตรีโกณกันอย่างไรก็ได้ เพราะดาวแต่ละดาวยังมีความหมายอื่นอีกมากมาย แต่การที่เราอาจจะพบว่า ดวงคนที่แต่งงานกันแล้ว ดาวเป็นโยคตรีโกณกัน ไม่ได้แปลกลับทางว่า คนที่ดาวเป็นโยคตรีโกณกันจะต้องเป็นคู่กัน หรือ แต่งงานกัน เรื่องคู่ครองนั้นเป็นเรื่องที่ยาว ต้องมาสอนหน้ากระดานครับ ผมยังมีเรื่องที่ต้องเขียนอีกมาก ไว้หากพอมีเวลา ก็จะเขียนให้


วรกุล - 11 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:57น. (IP: 203.107.193.148)

ความคิดเห็นที่ 59
ขอบคุณค่ะ

คำแนะนำของอ.น่าคิดมากๆเลย ถ้าเป็นไปได้ มีโอกาส ขอแบบลงลึกไปอีกนะคะ จะตามอ่านกระทู้อ.เรื่อยๆค่ะ


reader - 11 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:13น. (IP: 58.136.98.119)

ความคิดเห็นที่ 60
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ กราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ ผมอ่านจนอิ่มครับ เรื่องที่ผมถามนี้เป็นเพราะผมเกือบจะฉะปากกับไอ้น้องของผมครับ น้องของผมมันชอบพูดขัดคอผมเวลาผมดูดวงให้มัน ขัดคอแล้วก็ยังมาถามอยู่อีก ผมอยากจะเล่าพอสนุกๆ ครับ

คือน้องของผมนั้นผมดูดวงมันแน่ๆแล้วว่ามันจะต้องไปอยู่ "ต่างถิ่นแดนไกล"พอมันจบมามันก็ต้องไปทำงานที่นิคมฯที่ปทุมธานี ขับรถจากบ้านในกรุงเทพฯไปๆมาๆ ทุกวันหลายปีอยู่ พอมาเมื่อปีกลาย น้องมันก็ไปซื้อบ้านที่สมุทรสาคร คราวนี้เลยไกลออกไปอีก ต้องขับรถผ่าเข้ากรุงเทพฯก่อนแล้วเลยไปนิคมฯที่ปทุม สิ่งต่างๆเหล่านี้ผมทายไว้ก่อนที่มันจะย้ายบ้านเสียอีก พอผมเคลมว่า "เห็นมะ ที่ทายไว้ถูกเผง แกต้องไปอยู่ห่างจากถิ่นกำเนิดจริงๆ (เกิดกรุงเทพ)" มันไม่ยอมรับ มันว่าผมว่า ทายหยั่งงี้ใครๆก็ทายได้ เล่นเหวียงแหซะกว่าเชียว ผมล่ะอยากจะเตะมันจริงๆ เพราะมันให้ผมฟันธงว่า ต่างถิ่นแดนไกลนั้นคือ ตจว หรือ ตปทเพราะใจน้องมันอยากไปอยู่ต่างประเทศ ในตอนนั้นผมไม่ฟันธงเพราะจริงๆแล้วผมก็ไม่แน่ใจหรอกครับว่าเป็น ตปท หรือ ตจว แต่ผมดูแล้วว่ายังไงมันต้องไม่อยู่กรุงเทพฯถิ่นเกิดแน่ๆ เพราะดวงมันชีพจรลงเท้า เดินทางตลอดทั้งปี ไปต่างประเทศบ่อยมากเพราะงาน

ขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับที่กรุณาสละเวลาอันมีค่ามาอธิบายสิ่งต่างๆที่พวกเราผู้สนใจวิชานี้แต่หาที่พึ่งไม่ใคร่ได้


เอก - 11 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:12น. (IP: 210.246.80.113)

ความคิดเห็นที่ 61
สวัสดีครับอาจารย์ ขออนุญาตถามบ้างนะครับลัคนาพิจิก ถ้าดาวมหาอุจ1 เล็งดาวเกษตร6 ในดวงนวางศจักรจะเป็นมีผลอย่างไรบ้างครับ รบกวนด้วยนะครับ ขอบคุณมากครับ


a19 - 11 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:54น. (IP: 125.25.193.215)

ความคิดเห็นที่ 62
สอบถามหน่อยค่ะ เกิดวันที่19 กันยายน 2527 เวลา 09.05 ที่ลพบุรี

ลัคนากุมเสาร์ ตนุลัคน์6 ย้ายมาอยู่เรือนวินาสน์โดยย้ายมากุมกับอาทิต (1+6)อยากทราบว่าจุดนี้จะบ่งบอกแระส่งผลอะไรได้บ้างต่อเจ้าชาตาค่ะ?

อยากทราบต่อไปอีกว่า ดาวเจ้าเรือนปัตนิ3 ย้ายมาอยุ่ภพกระดุมพระเป็นเกษตร โดยมาอยู่กับ ดาวo คือ(3+o) อีกทั้งยังมีราหูมาเล็ง โดยราหูเป็นนิจในราศีพฤษก เราจะทำนายเกี่ยวกับ คุ่ครองได้อย่างไรบ้างค่ะ?

แล้วดาวราหูที่อยู่ตำแน่งนี้ มีผลอย่างไรต่อเจ้าชาตาบ้าง?

ขอบคุณค่ะ


น้อย - 11 กรกฎาคม พ.ศ.2550 22:58น. (IP: 124.120.178.162)

ความคิดเห็นที่ 63
ตอบคุณ a19 (ความเห็นที่ 63) ...........คุณถามว่า ลัคนาพิจิก ถ้าดาวมหาอุจ1 เล็งดาวเกษตร6 ในดวงนวางศจักรจะเป็นมีผลอย่างไรบ้างครับ ขอให้ข้อสังเกตดังนี้

หนึ่ง คือ ดวงนวางค์ นั้น โหรไทยไม่ดูทางมุม อย่างมุมเล็งหรือ โยค ตรีโกณอะไรแบบนั้นในดวงนวางค์อย่างเช่นการดูมุมดาวในราศีจักร แต่ตำรารุ่นใหม่ประยุกต์จากโหรต่างประเทศ หรือ คิดดัดแปลงใหม่ อันนั้นผมไม่มีความรู้ เหตุที่ดวงนวางค์เป็นนวางค์ที่นับจากธาตุของราศี โดยพื้นฐานคือดูดาวในนวางค์ เหตุที่อ่านมุมเล็ง หรือ อื่นๆไม่ได้ เพราะดาวที่เล็งกันในดวงนวางค์มาจากคนละราศี ดังนั้น ที่เราเห็นเล็งกันอยู่จึงไม่ได้เล็งกันจริง

สอง นวางค์ในปฏิทินโหรแต่ละแบบไม่ตรงกัน นวางค์ไทยเป็นอย่างหนึ่ง สากลเป็นอย่างหนึ่ง เราจะเอาวิธีหนึ่งมาใช้ดูกับอีกแบบหนึ่งจะคลาดเคลื่อนมาก

สาม การอ่านนวางค์นั้นต้องเริ่มจากธาตุของราศีจักร คือพิจารณาราศีก่อนนวางค์ เพราะการดูนวางค์ก็เพื่อตรวจคุณภาพดาวในราศี ดังนั้น คำถามของคุณบอกแต่ลัคนาแล้วไปดูตำแหน่งในนวางค์เลยจึงไม่ถูกต้อง

สี่ การเป็นอุจ เกษตร นิจ ประ ฯลฯของดาวในนวางค์นั้น เทียบมาจากตำแหน่งเดิมของมันราศี ไม่ได้เทียบจากจักรราศีของโลก ความเป็นอุจ นิจ ประ เกษตร ฯลฯ เหล่านี้ จึงไม่ให้เอามาเทียบกับดาวอื่น ดังนั้น ดาวจึงทำมุมในนวางค์ไม่ได้ แต่ดาวร่วมนวางค์ และเรียงนวางค์ได้

การทำนายดวงนวางค์ เป็นเรื่องที่สูงขึ้นไปจากเบื้องต้นที่เราเรียนกันมาก จะอธิบายตอนนี้ก็ยืดยาวเกินไป โดยเฉพาะคนที่ไม่เข้าใจราศีจักรดีพอ ก็ยังไม่ควรเรียนดวงนวางค์ อนุญาตเพียงให้ใช้คุณสมบัติตามนวางค์ เช่น ลัคนา หรือ ฤกษ์ เกาะนวางค์ หรือ ทางอินทภาส – บาทจันทร์ ซึ่งทำนายทางอินทภาสฯ เท่านั้น แต่คุณสมบัติของธาตุใน นวางค์ยังอธิบายให้ตอนนี้ไม่ได้ เกรงคุณจะอ่านตำราทำให้เข้าใจผิดมากกว่า


วรกุล - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:57น. (IP: 203.107.193.224)

ความคิดเห็นที่ 64
อาจารย์วรกุลค่ะ ช่วยตอบกระทู้ที่ 64 ของน้อยด้วยค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


น้อย - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:04น. (IP: 124.120.178.162)

ความคิดเห็นที่ 65
กราบเท้าครูโหร ครูวรกุล ที่เคารพ

เริ่มอ่านกระทู้แรกๆ ของครูมา 3 วันแล้วค่ะ

วันนี้เป็นวันพฤหัสแรก หนูขอขมา ขอไหว้ครูและฝากตัวเป็นศิษย์ ขอเรียนโหราศาสตร์ไทยกับครูทางกระทู้แห่งนี้นะคะ

ด้วยความเคารพอย่างสูง


ศิษย์กระทู้ - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:52น. (IP: 203.144.130.176)

ความคิดเห็นที่ 66
สวัสดีครับอาจารย์ และต้องขอโทษด้วยครับที่ผมถามข้ามจักรราศีไปเลยคือผมเทียบในดวงของผมที่ผูกมา จักรราศีลัคนาพิจิกดาว1เป็นมหาอุจราศีเมษ ดาว6เป็นมหาอุจราศีมีนพอเป็นนวางศจักร ดาว1เป็นมหาอุจราศีเมษ ดาว6เป็นเกษตรราศีตุลย์ มัีนจะมีผลแตกต่างกันอย่างไรบ้างครับ แต่ชีวิตผมด้านการงานมั่นคง เรียบง่าย(ลูกจ้างประจำของรัฐ) แต่ความรักไม่ค่อยสมหวังครับ รบกวนอาจารย์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ


a19 - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:06น. (IP: 125.25.191.94)

ความคิดเห็นที่ 67
ตอบคุณ น้อย (ความเห็นที่ 64) ...........คุณดูเหมือนไม่ได้เรียนโหราศาสตร์ แต่จะดูดวงชะตา การดูดวงชะตาต้องดูทั้งดวง การที่เรามาถามดาวเพียงบางดวง ตั้งคำถามเอาเองแล้วคิดว่าใครพูดอะไรมาก็แสดงว่าเป็นอย่างนั้น เป็นเรื่องเข้าใจผิด ลัคนาราศีตุลย์กุมเสาร์ ๗ อุจ ๑ ๖ ศุกร์นิจกุมอาทิตย์วินาสน์ ชีวิตกว่าจะตั้งตัวได้ก็ต้องลำบาก จากถิ่นเกิดเพื่อแสวงหาความสำเร็จ ไปไกลถึงต่างประเทศ อังคาร ๓ เกษตร ปัตนิ – ตนุ กุมมฤตยู ราหู ๘ เล็ง ความรักการครองคู่ไม่สมหวัง หากจำเป็นต้องเลือกก็อาจจะแต่งงานกับคนต่างชาติ หรือต่างวัยที่อายุต่างกันมาก บางคนอาจจะเป็นคนลักเพศ ชอบเพศเดียวกัน ชีวิตการครองคู่อยู่ไม่คงทน ระวังการสูญเสียทรัพย์ เงินทองหลักฐาน เพราะถูกลวงหรือ ความประมาท ผมตอบปัญหาตามดาวที่ถามมา แต่หากจะดูดวงชะตาก็ควรไปดูในกระทู้ที่เขารับพยากรณ์ดีกว่านะครับ


วรกุล - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:37น. (IP: 203.107.201.245)

ความคิดเห็นที่ 68
ขอบคุณนะค่ะ ข้องใจมากก็ก็เรื่องราหูนี่แหละค่ะ อิอิ


น้อย - 12 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:05น. (IP: 124.120.178.162)

ความคิดเห็นที่ 69
ตอบคุณ ศิษย์กระทู้ (ความเห็นที่ 67) ...........ที่นี่ไม่ได้มีพิธีรีตองหรอกครับ บังเอิญที่กระทู้นี้ไม่ได้สอนโหราศาสตร์ เพียงแต่เอาบางเรื่องมาคุยกัน หากคิดว่าจะไหว้ครูขอเรียน ก็คงเรียนได้เท่าที่เขียนให้แหละครับ และก็ยินดีที่จะอธิบายหากมีอะไรตอบได้ก็จะตอบให้ครับ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ a19 (ความเห็นที่ 68) ...........คุณถามไม่ชัด จะให้อธิบายโหราศาสตร์ หรือให้แปลความหมายพยากรณ์ครับ จากคำตอบที่แล้ว ดาวตำแหน่งในนวางค์ไม่ได้เกี่ยว การที่อาทิตย์ และศุกร์แข็งแรงดีในนวางค์แสดงว่ามีกำลังดี ดูจากราศีจักร ๑ กัมมะเป็นอุจ การงานก็ดีมีความมั่นคง แต่มีอุปสรรคเรื่องยศ ตำแหน่งล่าช้าหรือไม่ก้าวหน้า ศุกร์ปัตนิ - วินาสน์เป็นอุจ ครอบครัวคู่ครองก็ดี แต่จะผิดหวังมาก่อนก็ได้ หรือ เป็นการแต่งงานที่ไม่คาดหมาย ไม่รัก ไม่อยากแต่ง ก็อ่านได้เท่านี้ การอ่านดาวควรอ่านดวงชะตาในราศีจักรให้ได้ก่อน คุณยังไม่เข้าใจก็อย่าอ่านนวางค์ นอกจากนั้นการวางลัคนาก็ไม่แน่ว่าจะถูก คุณยกมาเพียงบางดาวโดยไม่ดูเจ้าเรือนเลย แสดงว่าเพิ่งมาเรียนหรือครับ การดูดวงชะตาต้องดูทั้งดวง ไม่ใช่ยกมาเพียง 2 ดวง อยากให้ไปเริ่มต้นทำความเข้าใจมาใหม่ หากมาถามทีละคำเช่นนี้ กว่าจะรู้เรื่องก็คงต้องพิมพ์สอนให้คุณใหม่หมด ทำไม่ไหวครับ ลองไปอ่านตั้งแต่กระทู้ต้นๆมาเลยก็ได้ หากเรียนผิดมาจะได้ทำความเข้าใจใหม่


วรกุล - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:51น. (IP: 203.107.200.157)

ความคิดเห็นที่ 70
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 30....ครับ..........


วรกุล - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:52น. (IP: 203.107.200.157)

ความคิดเห็นที่ 71
ขอบคุณมากค่ะครู เท่าที่ครูถ่ายทอดความรู้ไว้ ณ ที่นี้ก็มากมาย มีคุณค่า หาเรียนจากที่ไหนไม่ได้แล้วค่ะ โชคดีที่ยังไม่หายสาบสูญไปจริงๆ จึงตั้งใจไหว้ครูขอเรียนก่อน พอจะมีพื้นฐานอยู่บ้างค่ะ ใช้เวลาว่างศึกษาเอง เพราะสนใจ ใฝ่รู้ แม้ภาระที่มีจะไม่เปิดโอกาสให้เรียนได้มากนัก

ตอนนี้อ่านถึงกระทู้ที่ 5 แล้ว อ่านช้าๆ พยายามคิดและทำความเข้าใจไปด้วย ได้คำตอบหลายๆ อย่างที่หามานาน

ขออ่านให้ทันก่อน เผื่อมีคำตอบอื่นๆ อยู่ในกระทู้ถัดไป ถ้ายังสงสัยค่อยถามครูค่ะ


ศิษย์กระทู้ - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:57น. (IP: 203.144.130.176)

ความคิดเห็นที่ 72
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 30....ครับ..........


วรกุล - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:32น. (IP: 203.107.200.247)