เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 30)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 29 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 30 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.200.157)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
เขียนเรื่องดาวคู่มานาน พร้อมทั้งยกตัวอย่างระบบที่มีผลต่อคุณสมบัติของดาวคู่ เราจะเห็นได้ว่า การเรียนเรื่องดาวคู่ หรือ ดาวสัมพันธ์กันนั้น ในตำราเบื้องต้นทั้งหลาย มักจะดูจากดาวกุม และดาวเล็ง กันเป็นพื้น มีหลายคนที่พยายามใช้โยคเกณฑ์อื่นบ้าง แต่ยังใช้ได้น้อย ดังนั้น เมื่อพอเข้าใจเรื่องดาวคู่แล้ว จะหันมาเขียนเรื่องเกณฑ์ที่ใช้ในดวงชะตาสักเล็กน้อย

ในโหราศาสตร์ทั่วไป เกณฑ์ของดาว หรือ เรือนก็ตาม มีอยู่มาก แม้ในโหราศาสตร์ไทย จะเลือกเอาเกณฑ์ที่ใช้กันบ่อยมาเรียนเป็นเพียงส่วนน้อย ก็ยังคงมีเรื่องราวหลากหลาย เกณฑ์ที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทยจึงแบ่งได้เป็นสองพวก คือ หนึ่ง เกณฑ์ที่ใช้ทั่วไป มักจะมีผลมาก มีเงื่อนไขน้อย หรือ เงื่อนไขมักจะใช้ได้กับดาวและเรือน

ได้ทั่วไป กับ สอง เกณฑ์เฉพาะเจาะจง เป็นเกณฑ์พิเศษที่ใช้เฉพาะดาว หรือ เรือนแต่ละชนิด เช่น เกณฑ์ของปัจจัย เกณฑ์โสฬส (ของดาว) เกณฑ์พินทุบาทว์ องคเกณฑ์ อุดมเกณฑ์ เป็นต้น แต่ละเรื่องล้วนแต่มีเรื่องมากทั้งสิ้น เพราะเกณฑ์เป็นเครื่องมือของความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย ปัจจัยแต่ละแบบอาจจะมีผลต่อเกณฑ์อย่างเดียวกันไม่เหมือนกัน จึงยังไม่คิดว่าจะยังมีโอกาสที่จะเขียนถึงเกณฑ์ประเภทหลัง ในข้อเขียนตอนนี้ จึงจะยกเอา เกณฑ์ที่ใช้ทั่วไป มาเขียนก่อน เพราะเป็นประโยชน์มากกว่า

เกณฑ์ทั่วไปที่โหรไทยเราใช้กันมาก คือ เกณฑ์ตรีโกณ และจตุโกณ ส่วนเกณฑ์อื่นๆไม่ค่อยได้ใช้ เป็นเพราะเนื้อหาของเกณฑ์จะมากเกินไปและซ้ำกัน (แต่ก็มีเกณฑ์ทั่วไปบางอย่างที่ใช้โดยไม่เปิดเผย) ได้เคยบอกนานแล้วว่า จักรราศีของไทยเราเป็นจักรราศีเชิงเส้น เหมือนกับตู้รถไฟเรียงต่อกัน หมุนวนในดวงชะตาเป็นกระแสของธาตุ ดาวในดวงชะตาจึงไม่ได้ทำมุมกันเหมือนอย่างที่อยู่ในอวกาศหรือจักรวาล ดังนั้น คำว่าเกณฑ์ “ตรีโกณ” จึงหมายถึงดาวที่สถิตเป็น 1 5 9 ราศีแก่กัน เรารวมกลุ่มดาวเป็น “โยค” คือ สถิตเป็น 3 และ 11 ราศีแก่กันด้วย ในทำนองเดียวกัน เกณฑ์ “จตุโกณ” ก็คือ ดาวที่สถิตเป็น 1 4 7 10 ราศีแก่กัน พึงสังเกตว่า เกณฑ์ ทั้งสองใช้หน่วยเป็น “ราศี” คือถือเอาราศีเป็นหน่วย โดยไม่ต้องดูสมผุส หรือ องศาของดาวในราศี ส่วนการมองมุมนั้นเป็นการมองในที่ว่างอวกาศของจักรวาล พึงเข้าใจว่า มุมทั้งหลายที่เป็น 60 120 180 240 300 360 องศา อะไรเช่นนั้นเป็นกรอบของจักรวาล ซึ่งโหราศาสตร์อื่นใช้ ไทยเราอนุโลมเรียกตามได้

เกณฑ์เหล่านี้ เป็นเพียงเครื่องมือที่ดาวหรือ ธาตุจะใช้เข้าสัมพันธ์ทำปฏิกิริยากัน และตามที่จริงเกณฑ์ทั้งสองแบบนี้ยังใช้ต่อไปเรื่อยๆตามความซับซ้อนของโหราศาสตร์ไทย ในความรู้ขั้นสูงนั้น เกณฑ์ทั้งสองจะเปลี่ยนจากเกณฑ์ที่ใช้ทั่วไป ไปเป็นเกณฑ์ที่ใช้เฉพาะเจาะจงด้วยก็ได้ ดังนั้น เมื่อเราพิจารณาเกณฑ์ที่ใช้ในระดับเบื้องต้นทั่วไป จึงไม่อาจจะนำไปใช้ตีความเอกสารหลักฐานทางโหราศาสตร์ที่ใช้วิชาเบื้องสูงได้ชัดเจน และการเขียนในข้อเขียนนี้ จึงขอให้เข้าใจว่าเป็นกฏเกณฑ์ที่ใช้ในระดับต้นถึงกลางเท่านั้น นอกจากนั้น ต้องย้ำว่า ในระดับของเรานี้ เกณฑ์ ตรีโกณ และจตุโกณ ใช้ในระบบดาวเท่านั้น ยังไม่ให้ใช้ตรีโกณ จตุโกณกับระบบเรือน เช่น ไม่ใช้เจ้าเรือนปุตตะ เล็งเจ้าเรือนปัตนิ อะไรแบบนั้น เพราะการใช้ตรีโกณ จตุโกณกับเจ้าเรือนไม่ใช่การใช้ในเชิงมุมตามปกติ แต่จะใช้ในทางกระแสธาตุและโครงสร้างธาตุ ดังนั้น จึงต้องทราบพฤติกรรมของธาตุแต่ละชนิด (ซึ่งไม่เหมือนกัน)ก่อน

ที่มาของเกณฑ์ตรีโกณสำหรับดาวมาจากกำลังดาวนั่นเอง เมื่อหลายตอนก่อน เมื่อกล่าวถึงเรื่องกำลังดาว ได้เคยบอกแล้วว่า พลังงานธาตุกระแสตรงจากแหล่งพลังงาน (ลัคนา อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส) คือ ราศีที่เป็น 1 3 5 7 9 11 ราศีจากแหล่งพลังงาน เราจะสังเกตเห็นได้ว่า ราศีที่เป็นโยค ก็คือ 3 และ 11 ส่วนตรีโกณ คือราศีที่ 5 และ 9 นั่นเอง นี่แสดงว่า เกณฑ์ตรีโกณเป็นเกณฑ์ที่พลังงานธาตุส่งถึงกันโดยตรงและแรงกว่ากระแสธาตุหมุนวนในจักรราศี ดังนั้น ตรีโกณระหว่างดาวจึงส่งพลังงานพร้อมธาตุให้แก่กัน เช่น สมมุติ ลัคนาอยู่ราศีมิถุน ๑ อาทิตย์ อยู่ราศีตุลย์ พลังงานและธาตุของลัคนาจะส่งมายังอาทิตย์ที่เป็น 5 ได้ และอาทิตย์ก็จะส่งธาตุพร้อมพลังงานกลับไปยังลัคนาได้ด้วยเช่นกัน เคยบอกแล้วว่าเมื่อใดธาตุมีพลังงานดี คือ กำลังดาวสูงก็จะแสดงความหมายทางปรัชญาของมันออกมาดี ดังนั้น ธาตุที่ส่งไปกลับโดยเกณฑ์ตรีโกณ จึงเป็นไปในทางดี เพราะมีพลังงานเสริมให้แก่กันทุกครั้ง อย่างเช่น ๑ ตรีโกณ ๓ แม้จะเป็นคู่ศัตรูกัน ก็ส่งความดีให้แก่กัน เช่น ๑ มีกำลังสูงขึ้น ความเป็นคู่ศัตรูนั้นแสดงว่า มีอุปสรรคก่อนที่จะได้รับความดี ความสำเร็จ หรือ ศัตรูให้ลาภ ให้ความช่วยเหลือ ศัตรูเป็นยากำลัง จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม เราจึงมักสรุปว่า “ตรีโกณมีส่วนช่วย” เสมอ

มีความแตกต่างระหว่าง “โยค” กับ “ตรีโกณ” ที่ควรทราบในที่นี้ โดยพื้นฐานแล้ว มุมตรีโกณนั้นเป็นระยะของราศีที่ห่างกันมากกว่าโยค ธาตุและพลังงานที่ช่วยกันของตรีโกณจะมาถึงกันช้ากว่าโยคด้วย เราจึงมักทำนายตรีโกณว่า เป็นการช่วยเหลือที่เป็นหลักๆ ช้า นาน หรือ อะไรที่เป็นนามธรรม เช่น การค้ำประกัน อุปถัมภ์ส่งเสียเลี้ยงดู เครดิต หรือ ช่วยแนะแนวทางชีวิต ให้คำปรึกษา ให้กำลังใจ ให้เงินทุนระยะยาว ให้ที่พักอาศัย ให้ความจงรักภักดี ส่วน โยค มักเป็นการช่วยเหลือระยะสั้นที่รวดเร็วกว่า ประเภท ช่วยจับ ช่วยยก ช่วยทำ ช่วยด่า ช่วยต่อยตี บีบนวด ให้สิ่งของ ให้อาหาร ให้เงินสด ให้ยืม ปลอบใจ เลี่ยงข้าว ให้ที่นอน ฯลฯ ทางธาตุเราจึงเห็นว่า ดาวที่ทำโยค ตรีโกณกันจึงได้พลังงานช่วยเหลือกันทำให้กำลังดาวดีขึ้น แต่การส่งธาตุผ่านตรีโกณมักเป็นธาตุที่เจือพลังงาน จึงไม่ทำให้ธาตุที่ถูกผสมสูญเสียกำลังไป

มมุโยค (หรือ มุม 60 องศา) ที่เรามักเรียกว่าโยคหน้า และโยคหลัง นั้น เราจะสังเกตว่า มุมโยคหน้านั้น ธาตุหมุนวนไป (ทวนเข็มนาฬิกา) ก่อน จาก 1 2 และ 3 เมื่อถึง 3 เป็นมุมโยคหน้า ซึ่งธาตุปะทะอยู่ด้านหน้า เมื่อดาวส่งธาตุและพลังงานผ่านเกณฑ์มายังจุดที่ 1 กระแสธาตุจะย้อนทางกลับเล็กน้อย ดังนั้น ดาวที่เป็น “โยคหน้า” จึงหมายความว่า ช่วยก่อนหรือ พร้อมเหตุการณ์ คือเข้าปะทะเหตุอุปสรรคก่อน อย่างเช่น ๑ สถิตโยคหน้า ลัคนา เราจะไปสมัครทำงาน มีคนผู้มีอำนาจ (๑) ช่วยวิ่งเต้นให้เราก่อนจะสอบ เป็นต้น ส่วนตำแหน่ง โยคหลัง นั้น ธาตุหมุนวนไปแล้วเป็น 11 ราศี ก่อนที่จะออกจากลัคนา ดังนั้น ดาวที่เป็น “โยคหลัง” จึงหมายความว่า ช่วยหลังหรือ พร้อมเหตุการณ์ เช่น ๑ สถิตโยคหลัง ลัคนา เราสมัครทำงาน ไปสอบแล้วไม่ได้ มีคนผู้มีอำนาจ (๑) ช่วยวิ่งเต้นให้เราเข้าทำงานได้ หรือ ความช่วยเหลือมาทีหลัง อะไรประมาณนี้ ตรีโกณหน้า ตรีโกณหลังก็ทำนองเดียวกันกับโยคหน้าโยคหลัง ทั้งโยคและตรีโกณ ของปัจจัยสองตำแหน่ง จะไปหรือกลับ ความหมายจึงต่างกันอยู่บ้าง เช่น ๒ โยคหน้า ๔ จะต่างจาก ๔ โยคหลัง ๒ ในความหมาย และยังมีความแตกต่างในการอ่าน แก่น และบริวารเหมือนดาวคู่ที่เราผ่านมา

สำหรับจตุโกณ เป็น 1 4 7 10 ราศีระหว่างกัน เราจะสังเกตว่า ปัจจัยที่เป็น 1 และ 7 นั้นเป็นมุมกุม และ เล็ง ซึ่งก็เป็นจังหวะส่งพลังงานเหมือนตรีโกณด้วยเช่นกัน ส่วนมุม 4 กับ 10 นั้น ไม่ใช่มุมส่งพลังงาน ดังนั้น จตุโกณในมุมกุมและเล็งจึงเป็นมุมส่งทั้งพลังงานและธาตุ ส่วน มุม 4 กับ 10 การส่งธาตุนับเป็นครึ่งหนึ่งของกุมเล็งและไม่ส่งพลังงานให้กัน ลองอ่านทบทวนย่อหน้านี้ใหม่อีกครั้ง

เกณฑ์จตุโกณ เป็นเกณฑ์ที่ธาตุเข้าผสมกันเหมือนดาวกุม ดังนั้น ดาวที่เป็น 1 4 7 10 ราศีแก่กันก็จะเหมือนดาวคู่ ต่างกันที่ มุม 4 กับ 10 เป็นมุมไม่ส่งพลังงานคิดเหมือนส่งธาตุล้วนๆ ดังนั้น เกณฑ์จตุโกณจึงเป็นได้ทั้งดีและร้าย อาจลดกำลังดาว หรือ เพิ่มกำลังดาว เหมือนการดูดาวคู่ที่เรียนมาแล้ว มีข้อสังเกตว่า ดาวกุมกัน หรือ เป็น 1 ราศี ร่วมราศีกันนั้น อยู่ในเกณฑ์ ทั้งตรีโกณ และจตุโกน เป็นทั้งมุมส่งพลังงานด้วยซ้อนทับกันอยู่ ดาวร่วมราศีจึงมีปฏิกิริยาได้ทุกอย่างทั้งธาตุและพลังงาน และบทบาทตามระบบ ดังนั้น ดาวคู่ที่กุมร่วมราศีจึงมีบทบาทในโหราศาสตร์ทุกระบบ จึงเป็นเหตุผลที่เขานำมาให้นักเรียนเรียนก่อนอย่างอื่น

การอ่านเกณฑ์จตุโกณก็เหมือนอ่านดาวคู่กุมกัน ที่มีข้อแตกต่างก็คือแต่ละดาวที่อยู่ตามเกณฑ์ราศี 1 4 7 10 กันนั้น จะผสมธาตุกับเกษตรราศีที่มันอยู่ด้วย ก่อนที่จะมาผสมร่วมกัน จึงทำให้ต่างจากดาวกุมที่ผสมธาตุในราศีเกษตรเดียวกัน เรื่องราวการอ่านดาวจตุโกณจึงแตกต่างออกไป เราจึงมักสรุปว่า “จตุโกณมีส่วนร่วม” ถึงอย่างไร ผู้ที่ต้องการอ่านเรื่องราวจตุโกณ ก็ควรอ่านดาวคู่ให้เป็นก่อน มิฉะนั้นจะสับสนยุ่งยากเนื่องจากการอ่านผสมธาตุซ้อนตลอด 4 ราศีมาร่วมกัน จนอ่านไม่ออกเลยก็ได้


วรกุล - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:56น. (IP: 203.107.200.157)

ความคิดเห็นที่ 2
สวัสดีครับอาจารย์ เพิ่มกระทู้ใหม่รวดเร็วปานสายฟ้าแล๊บเลยนะครับ แสดงว่าเรทติ้งสุดยอด อาจารย์สมเป็นผู้ให้จริงๆครับส่วนเรื่องที่ถามอาจารย์คราวที่แล้วต้องขอโทษจริงๆเพราะผมพึ่งเรียนรู้ด้านโหราศาสตร์ดวงดาวเนื่องจากสนใจมากๆพยายามหาอ่านจากเว็บต่างๆแล้วเอามาประติดประต่อกันทำให้ยังงงๆการถามเลยไม่รู้ว่าจะเรียบเรียงยังไง เอาไว้คราวหน้าผมจะพยายามเรียบเรียงการถามมาใหม่นะครับขอขอบคุณอาจารย์มากครับที่กรุณาตอบ และไม่ท้อกับคำถามนะครับ


a19 - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:00น. (IP: 125.25.202.236)

ความคิดเห็นที่ 3
อยากเรียนโหราศาสตร์กับอาจารย์วรกุล ไม่ทราบจะติดต่อได้ที่ไหนค่ะ?


มือใหม่ - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:03น. (IP: 124.120.179.13)

ความคิดเห็นที่ 4
ดวงมาลัยโยคนี่เป็นอย่างไรค่ะ แล้วมีผลดีผลเสีย หรือส่งผลอย่างไรต่อดวง

รบกวนอาจารย์วรกุลอธิบายให้อ่านหน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ


มือใหม่ - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:14น. (IP: 124.120.179.13)

ความคิดเห็นที่ 5
อยากให้เอาจารย์วิจารย์ดวงเพื่อเป็นความรู้ค่ะ (การส่งกระแสของดาว, ซึ้งในที่นี้ดาวพฤหัส ได้ตำแหน่งมหาอุจ ร่วมกันจันทร์เป็นเกษตร (ซึ่งเขาบอกกันว่า ปัญญาบริสุทธิ์ทายพฤหัส แต่แท้จริงฆ่าคนมาแล้วสามคน) คือตอนแรกหนูดูดวงก็ยังไม่ทราบเลย ได้แต่ทายตามตำราว่าเขาน่าจะมีศีลธรรมดี กับกลายทายผิดไปโดยปริยายค่ะ อธิบายข้อข้องใจทีค่ะ การที่ทำนายผิดนี้เกิดจากอะไร

เห็นอาจารย์พูดเรื่อง กำลังดาว กำลังธาตุ อะไรทำนองนี้ จึงอยากให้ ยกตัวอย่างวิจารณ์ดวงๆนี้ขัยข้อข้องใจค่ะ

วันเกิดวันที่ 12 ก.พ. 2522 เวลา 01.05 จังหวัดนครปฐม

ลัคนาราศีพิจิ

ราศีธนู มีดาวศุกร์

ราศีมังกรมีดาว อังคารและดาวอาทิตย์

ราศีกุม มีดาวพุธ

ราศีเมถุน มีดาวเกฑ

ราศีกรกฎ มีดาวจันทร์ และดาวพฤหัส

ราศีสิง มีดาวเสาร์กับราหู

ราศีตุลย์ มีดาวมฤตยู


สงสัยหนักมาก - 13 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:40น. (IP: 124.120.179.13)

ความคิดเห็นที่ 6
ตอบคุณ มือใหม่ (ความเห็นที่ 3 4) ...........ผมไม่ได้สอนโหราศาสตร์นานแล้วครับ และก็ไม่มีเวลา ส่วนเรื่องดวงมาลัยโยค หมายถึงดวงชะตาที่มีดาวอยู่ในราศีเว้นราศีจนครบรอบ รวมทั้งมีลัคนาด้วย(ราศีที่ไม่เกี่ยวข้องจะมีดาวอยู่หรือไม่ก็ได้) เช่น ลัคนาอยู่ราศีเมษ แล้วในราศีมิถุน สิงห์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ จะต้องมีดาวอยู่ คล้ายพวงมาลัยดอกไม้ เป็นดวงที่มีกำลังดาวดี ถือว่าส่งผลดี มีความมั่นคง ไม่อับจน แต่จริงๆแล้วก็ต้องดูเฉพาะแต่ละดวงชะตาไป เพราะเรื่องผลดีนั้นเป็นเพียงพิจารณาเจ้าชะตาเอง อาจจะเป็นผลเสียเรื่องอื่นๆ หรือ ผิดศีลธรรมก็ได้ ตามหลักก็มีแค่นี้ แต่ละดวงมาลัยโยคจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะดีทางธรรมบ้าง บางคนดีทางโลกบ้าง แต่ก็อาจจะมีทุกข์สุขได้เท่าๆคนอื่น00000000000000000000000000000000000000000000000000ตอบคุณ สงสัยหนักมาก (ความเห็นที่ 5) ..........ผมมีเวลาเล็กน้อย เป็นชายใช่ไหมครับ เวลาดูดวงใคร ไม่ได้ดูแต่ดาวดวงเดียวอย่างพฤหัสเป็นอุจ กุมจันทร์เกษตร ตู่ธาตุ ก็แสดงว่ามีปัญญาดี เป็นคนที่มักช่วยหรือเห็นแก่พวกพ้อง พฤหัสเป็นอุจไม่ได้แปลว่ามีศีลธรรมดี ศีลธรรมเป็นเรื่องที่ต้องเพาะบ่มขึ้นมา ไม่ใช่เกิดมาก็มีเลย เหมือนกับคนจะมีดวงเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นคนเลวเลยไม่ได้ และไม่ได้เป็นประกันว่าจะไม่ไปทำชั่ว ขึ้นอยู่กับการควบคุมตัวเองและอารมณ์ หากคุมอารมณ์ได้ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ดวงชะตาของแต่ละคนก็มีส่วนปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดให้เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ทำให้ควบคุมได้ไม่เท่ากัน ดวงนี้ลัคนาอยู่ราศีพิจิก อังคารตนุลัคน์ไปอยุ๋ราศีมังกรเป็นอุจกุมอาทิตย์คู่ศัตรู เมื่อมีโทสะอังคารจะแรงและเสียการควบคุมตนเองได้ง่าย อังคารเป็นตนุเศษ หมายถึงนิสัยใจคอ ก็หุนหันพลันแล่น เสียได้เพราะกุมอาทิตย์กาลกิณี เจ้าชะตาเกิดวันจันทร์ อาทิตย์เป็นกาลกิณีแลกเรือนกับเสาร์ เสาร์ไปกุมราหูเป็นประอยู่มรณะของตนุเศษทำให้ยับยั้งชั่งใจได้ยาก อาทิตย์กัมมะกาลกิณีหมายถึงการกระทำ เมื่อหุนหันหรือ พลั้งมือก็ฆ่าได้ พุธอยู่เรือนราหูเล็งราหู คู่ศัตรูและเสาร์เจ้าเรือนที่อังคารอยู่ทำให้เสียหาย มฤตยูอยู่ตุลย์ ทำเกณฑ์ 10 เข้าหาอังคาร หากคุมอารมณ์ไม่ได้ก็ฆ่าเขาหรือทำร้ายตนเอง น่าเสียดายจริงๆ ดวงนี้หากไปทางธรรมจะไปได้ดีเพราะพฤหัส จันทร์ ศุกร์ ให้คุณดี แต่กรรมเก่ามาชักจูงไปเสียก่อน


วรกุล - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:47น. (IP: 203.107.193.147)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบคุณ มือใหม่ (ความเห็นที่ 3 4) ...........ผมไม่ได้สอนโหราศาสตร์นานแล้วครับ และก็ไม่มีเวลา ส่วนเรื่องดวงมาลัยโยค หมายถึงดวงชะตาที่มีดาวอยู่ในราศีเว้นราศีจนครบรอบ รวมทั้งมีลัคนาด้วย(ราศีที่ไม่เกี่ยวข้องจะมีดาวอยู่หรือไม่ก็ได้) เช่น ลัคนาอยู่ราศีเมษ แล้วในราศีมิถุน สิงห์ ตุลย์ ธนู กุมภ์ จะต้องมีดาวอยู่ คล้ายพวงมาลัยดอกไม้ เป็นดวงที่มีกำลังดาวดี ถือว่าส่งผลดี มีความมั่นคง ไม่อับจน แต่จริงๆแล้วก็ต้องดูเฉพาะแต่ละดวงชะตาไป เพราะเรื่องผลดีนั้นเป็นเพียงพิจารณาเจ้าชะตาเอง อาจจะเป็นผลเสียเรื่องอื่นๆ หรือ ผิดศีลธรรมก็ได้ ตามหลักก็มีแค่นี้ แต่ละดวงมาลัยโยคจะไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะดีทางธรรมบ้าง บางคนดีทางโลกบ้าง แต่ก็อาจจะมีทุกข์สุขได้เท่าๆคนอื่น

00000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ สงสัยหนักมาก (ความเห็นที่ 5) ..........ผมมีเวลาเล็กน้อย เป็นชายใช่ไหมครับ เวลาดูดวงใคร ไม่ได้ดูแต่ดาวดวงเดียวอย่างพฤหัสเป็นอุจ กุมจันทร์เกษตร ตู่ธาตุ ก็แสดงว่ามีปัญญาดี เป็นคนที่มักช่วยหรือเห็นแก่พวกพ้อง พฤหัสเป็นอุจไม่ได้แปลว่ามีศีลธรรมดี ศีลธรรมเป็นเรื่องที่ต้องเพาะบ่มขึ้นมา ไม่ใช่เกิดมาก็มีเลย เหมือนกับคนจะมีดวงเกิดมาเป็นพระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นคนเลวเลยไม่ได้ และไม่ได้เป็นประกันว่าจะไม่ไปทำชั่ว ขึ้นอยู่กับการควบคุมตัวเองและอารมณ์ หากคุมอารมณ์ได้ก็ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แต่ดวงชะตาของแต่ละคนก็มีส่วนปรุงแต่งอารมณ์และความรู้สึกนึกคิดให้เข้มแข็งหรืออ่อนแอ ทำให้ควบคุมได้ไม่เท่ากัน

ดวงนี้ลัคนาอยู่ราศีพิจิก อังคารตนุลัคน์ไปอยุ๋ราศีมังกรเป็นอุจกุมอาทิตย์คู่ศัตรู เมื่อมีโทสะอังคารจะแรงและเสียการควบคุมตนเองได้ง่าย อังคารเป็นตนุเศษ หมายถึงนิสัยใจคอ ก็หุนหันพลันแล่น เสียได้เพราะกุมอาทิตย์กาลกิณี เจ้าชะตาเกิดวันจันทร์ อาทิตย์เป็นกาลกิณีแลกเรือนกับเสาร์ เสาร์ไปกุมราหูเป็นประอยู่มรณะของตนุเศษทำให้ยับยั้งชั่งใจได้ยาก อาทิตย์กัมมะกาลกิณีหมายถึงการกระทำ เมื่อหุนหันหรือ พลั้งมือก็ฆ่าได้ พุธอยู่เรือนราหูเล็งราหู คู่ศัตรูและเสาร์เจ้าเรือนที่อังคารอยู่ทำให้เสียหาย มฤตยูอยู่ตุลย์ ทำเกณฑ์ 10 เข้าหาอังคาร หากคุมอารมณ์ไม่ได้ก็ฆ่าเขาหรือทำร้ายตนเอง น่าเสียดายจริงๆ ดวงนี้หากไปทางธรรมจะไปได้ดีเพราะพฤหัส จันทร์ ศุกร์ ให้คุณดี แต่กรรมเก่ามาชักจูงไปเสียก่อน


วรกุล - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.193.147)

ความคิดเห็นที่ 8
ขอถามต่อเรื่อง กำลังของเสาร์ และอิทธิพลของดาวอื่นๆค่ะช่วยวิเคราห์ดวงนี้ดวงค่ะ

อาทิตย์ 21 สิงหาคม 2526 10.02 กทม

ลัคนาราศีตุลย์

ราศีพฤศก = ราหู

ราศีกรกฏ = อังคาร

ราศีสิงห์ = อาทิตย์, ศุกร์

ราศีกันย์ = พุธ

ราศีตุลย์ = เสาร์

ราศีพิจิ= พฤหัส, มฤตยู

ราศีมังกร = จันทร์, เกตุ


อีกข้อค่ะ

(อันนี้ถามประเด็นเดียว อาจารย์บอกไว้หน้ากระทุ้ว่า ดาวคุ่สมพลในภพวินาส์ กำลังดาวยังไม่เสียไป) นี่รวมทั้งอริ และ มรณะภพด้วยหรือป่าวค่ะ คือ ถ้ามีดาวคุ่สมพลไปอยู่ กำลังธาตุจะไปเสียไป ก็อีกหล่ะค่ะ ทราบว่าต้องดูทั้งดวง ถ้างั้นรบกวนอาจารย์ พูดเรื่องกำลังธาตุของดวงนี้ด้วยนะค่ะ (++ไม่ได้จะขอดูดวงนะค่ะ +++ แต่อยากฟังเรื่องกำลังดาวจริงค่ะ)

เกิดวันพุธ ลัคนาราศีตุลย์

ราศีพฤศก = ราหู

ราศีเมถุน = จันทร์,เกตุ

ราศีสิงห์ = พุธ

ราศีกันย์ = อาทิตย์,ศุกร์

ราศีตุลย์ = เสาร์

ราศีพิจิ= อังคาร,มฤตยู

ราศีธนู = พฤหัส


สงสัยอีกแย้ว - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2550 06:11น. (IP: 124.121.225.96)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบคุณ สงสัยฯ (ความเห็นที่ 8) ..........หลักทั่วไป คู่สมพลกำลังดาวไม่เสีย ซึ่งต้องดูดาวและดวงชะตาทั้งดวง เรื่องกำลังธาตุ และกำลังดาวเขียนมาหลายครั้งแล้ว หากสนใจก็ลองกลับไปอ่านดูครับ


วรกุล - 15 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.194.134)

ความคิดเห็นที่ 10
ช่วยด้วยค่ะ หนูกลุ้มใจมาก เครียดจนร่างกายแย่ มีปัญหาทั้งที่บ้านกับแม่และพี่ ทั้งเรื่องงานที่ไม่ประสบผลสำเร็จ แถมตอนนี้ยังมีหนี้สิน แต่หนูยังอยากจะสู้ค่ะ หนูขอแค่ช่วยมีคนแนะนำหนูว่างานที่หนูจะเลือกทำต่อไปนี้ ถ้าหนูต้องเลือกในตอนนี้ อันไหนจะมีอุปสรรคน้อยกว่ากันค่ะ ระหว่างค้าขายอาหาร หรือไปสมัครงานเพื่อเป็นพนักงานบริษัท หนูเกิด 9 มิ.ย. 2519 ค่ะ เวลา 20.19 วันพุธกลางคืนค่ะ ขอบคุณมากนะคะ หนูจะไม่ลืมพระคุณเลย


ออย - 15 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:23น. (IP: 203.153.173.161)

ความคิดเห็นที่ 11
เรียน อ.วรกุล...

ช่วงนี้ ผมอ่านกระทู้ อ. แทบไม่ทันเลยครับ วันศุกร์ อ.เพิ่งเปิดกระทู้นี้วันนี้วันจันทร์ กลายเป็น คคห.10 เข้าให้แล้ว ผม ตัดปะ ตบบรรทัดชุลมุนเลย ขอเรียนถามนะครับ

1.) เรื่องการโยค ทิศของราหูจะย้อนต่างจากดาวอื่น จะมีผลสลับกันใช่ไหมครับ

2.) เรื่องราหูกับจันทร์เป็น 11 แก่กันก็มาจากเรื่องโยคหน้าโยคหลังนี่เองใช่ไหมครับ (รู้สึกว่าคุณศิษย์2000 เคยบอกผม ว่าดูจากการบีบของราหูเข้าหาจันทร์ อะไรทำนองนี้ละครับ)

ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 16 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:40น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 12
ตอบคุณ ออย (ความเห็นที่ 10) ..........กระทุ้นี้ไม่ได้รับดูดวงชะตาครับ เห็นใจคุณแต่ไม่มีเวลาพิจารณาให้เลยน คุณลองถามจากที่อื่นดู มีผู้รับทำนายให้มากหลายแห่ง จะได้ติดตามถามเขาต่อไปได้ ขอให้โชคดีครับ


วรกุล - 16 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:39น. (IP: 203.107.200.5)

ความคิดเห็นที่ 13
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 11) ..........1 / ที่คุณว่ามีผลสลับกัน หมายถึงเหตุการณ์ก่อนหลังใช่ไหม ไม่สลับหรอกครับ เกณฑ์ตรีโกณ จตุโกณนี้เป็นเกณฑ์ทั่วไป ใช้ได้ทุกดาวเหมือนกัน 2 / ราหู เป็น 11 แก่จันทร์ เป็นเกณฑ์เฉพาะเจาะจงของดาวอย่างหนึ่ง บังเอิญทับกับโยคหน้าโยคหลังซึ่งเป็นเกณฑ์ทั่วไป แต่ความหมายไม่เหมือนกัน พวก โยคหน้า โยคหลังจะมีความหมายทางธาตุและพลังงานธาตุของดาวและราศี ต่างกันนะครับ


วรกุล - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.201.238)

ความคิดเห็นที่ 14
เรียนอาจารย์ วรกุล ที่เคารพค่ะ

แล้วจากกฎการตรีโกณ โยค จตุโกณ พวกนี้ จะใช้ดูการเป็นเกษตรได้ด้วยไหมคะ?

อย่างเช่น การแลกเรือนเกษตรกัน จะได้เป็นอนุเกษตร

แล้วสมมติ ราศีสิงห์เลข 1 ไปอยู่ราศีเมษ เป็นตรีโกณกับเจ้าเรือนเดิม แบบนี้มีค่าเกษตรอยู่บ้างไหม ถ้ามีๆ น้ำหนักสักเท่าไหร่ รวมถึงการโยคกัน จตุโกณกันด้วย ระหว่างดาวเจ้าเรือน กับเจ้าเรือนเดิมค่ะ ขอบคุณค่ะ


reader - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2550 09:15น. (IP: 58.136.99.182)

ความคิดเห็นที่ 15
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพครับ

ผมขอรบกวนอาจารย์ ช่วยอธิบาย ความหมายของคำว่า "แม่ธาตุ" และ "ลูกธาตุ" ได้ไหมครับ

(ผมทราบแต่เพียงว่า เสาร์ พฤหัส ราหู ศุกร์ เป็นแม่ธาตุ และ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เป็นลูกธาตุ)

ขอบพระคุณครับ


นกกระจิบ - 17 กรกฎาคม พ.ศ.2550 22:26น. (IP: 124.120.222.176)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบคุณ reader (ความเห็นที่ 14) ..........คำถามของคุณเข้าใจยาก ตรีโกณ จตุโกณใช้ดูดาวกับดาว ไม่ใช่ดาวกับเจ้าเรือน และไม่มีการโยค ตรีโกณ จตุโกณระหว่างเจ้าเรือนในระบบเรือน ถึงแม้จะไปตรีโกณกับเจ้าเรือนเดิมก็ไม่เป็นเกษตรครับ


วรกุล - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.196.104)

ความคิดเห็นที่ 17
ตอบคุณ นกกระจิบ (ความเห็นที่ 15) ..........ไม่ทราบเลยครับว่าเป็นศัพท์บัญญัติของใคร จึงอธิบายให้ไม่ได้ สังเกตว่ากลุ่ม เสาร์ พฤหัส ราหู ศุกร์ เป็นธาตุไฟ ดิน ลม น้ำ ที่เป็นดาวเดินช้า กับกลุ่ม อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ เป็นธาตุไฟ ดิน ลม น้ำ ที่เป็นดาวเดินเร็ว การแยกกลุ่มเช่นนี้ใช้ในการดูธาตุในราศีและนวางค์ ซึ่งทั้งสองกลุ่มแต่ละคู่ธาตุมีความสัมพันธ์ด้านกำลังธาตุอยู่ มีความเห็นเพียงเท่านี้ครับ


วรกุล - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:31น. (IP: 203.107.201.148)

ความคิดเห็นที่ 18
สรุปคือ การโยค ตรีโกณ ฯลฯ จะเป็นการกระทำระหว่างดาวกับดาวเท่านั้น

แล้วดังนั้น ระหว่างดาวจรที่จะมากระทบกับดาวในจักรราศีเดิมละคะ ..ผลก็ส่งถึงกันด้วยใช่ไหม?

แต่กุมกับเล็งจะแรงกว่า ส่วนการโยคกับตรีโกณก็รองๆกันไป ใช่ไหมคะ?

ขอบคุณค่ะ


reader - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:41น. (IP: 58.136.99.248)

ความคิดเห็นที่ 19
สวัสดีค่ะอาจารย์วรกุล ที่นับถือ

หนูเข้ามาอ่านบทความในกระทู้นี้ ตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว นั่งดึงบทความต่างๆ ย้อนหลังไปแต่ต้น เพื่อจะได้นั่งอ่านและเลคเชอร์ แยกแยะเนื้อหา เพื่อให้ตัวเองได้ลำดับความเข้าใจ จะได้สรุปให้เห็นเป็นภาพที่ตัวเองพอจะสามารถเข้าใจได้ แต่จนแล้วจนรอด ก็ยังอ่านไม่หมด แถมก็ทิ้งร้างไป 4-5 เดือน พึ่งจะได้กลับมาอ่านอีกครั้งนี่เอง

ความตั้งใจแต่แรก คือ ตั้งใจจะอ่านให้หมดก่อน สรุปให้ได้ตามความเข้าใจให้ได้ก่อน ถึงค่อยถาม สิ่งที่ตัวเองสงสัย เพราะเกรงว่าอาจารย์จะเหนื่อยจนเกินไป ที่จะต้องตอบคำถามที่อาจจะซ้ำซาก แต่ตอนนี้เห็นว่า ขืนรอ อ่านเอง สรุปเอง เพียงเพราะจากการอ่าน รับสื่อสารทางเดียว คงจะยากเกินไปสำหรับ นักเรียนโหรใหม่ๆอย่างหนู

จึงขอเรียนถามอาจารย์ตามความเข้าใจมาดังนี้ค่ะ

และจากดวงตัวอย่างนี้1 ราศี พิจิก ๕ กุมลัคน์ (มหาจักร)

3 ราศีมังกร ๓ ๘ โยคหน้า (อุจจ์ , มหาจักร )

5 ราศีมีน ๒ ตรีโกณหน้า

7 ราศีพฤกษ ๗ เล็งลัคน์ (มหาจักร)

9 ราศีกรกฎ ๑ ๔ ๖ ๙ ตรีโกณหลัง (มหาจักร , ๖ราชาโชค)

11ราศีกันย์ 0 โยคหลัง

* เกิดวันพุธ ๓ เป็นกาลกิณี , ตนุเศษ ๑

คำถามค่ะ 1. ดวงนี้เป็นดวงดอกพิกุล (กุศลธาตุ) กับดวงมาลัยโยค นี่เหมือนกันมั้ยค่ะ ในทางกำลังธาตุแล้ว จำได้ว่า อาจารย์บอกว่าการที่ดาวได้ตำแหน่งมากเกินไป (มหาจักร 4 ดวง เล็งกัน ) ย่อมทำให้กำลังธาตุอาจจะสูงเกินไป เหมือนกับต่างคนต่างว่าตัวเองดี ทำให้ขัดแย้ง ดึงกันเอง ซึ่งไม่เป็นผลดี ในทางธาตุต่อเจ้าชะตา หนูเข้าใจถูกมั้ยค่ะ

2. ในด้านกำลังดาว จะถือว่า ดาวในดวงนี้ ทุกดวง มีกำลังดาวที่ดี รึเปล่าค่ะ เพราะ เป็นโยค,ตรีโกณทั้งหมด

3. หากการใช้พลังงานไปนั้นไม่สมดุลย์กับพลังงานที่มันได้รับและสามารถเก็บไว้ได้ กำลังดาวจะลดลง “พลังงานที่มันใช้ + พลังงานที่ได้รับเก็บไว้” ดูจากอะไรค่ะ

4. การที่ ดาว ๔ ๖ อยู่ราศีกรกฎ เป็นอสิติธาตุ จะทำให้กำลังธาตุดีขึ้นไปอีก หรือกลายเป็นมากเกินไปทำให้ด้อยลงค่ะ

5. การที่ดาวทุกดวงถึงกันหมด เวลาจะหัดอ่านแต่ละเรือน มันดูโยงลากกันมาเกือบหมดทำให้ งง และสับสน เช่น จะอ่านปัตนิ ๗(พันธุ,สหัชชะ) อยู่บนเรือน ๖ à ศุภะ[๒]+๑ ๔ ๙ àปุตตะ[๕]àตนุ[๓]àสหัชชะ[๗]+๓ ๘ รูปแบบการอ่านเป็นแบบนี้รึเปล่าค่ะ และจะอ่านว่ายังไงอ่ะค่ะ

6. ถ้าจำที่อาจารย์เคยเขียนไม่ผิด ดวงแบบนี้ เป็นดวงแรง ใช่มั้ยค่ะ

7.จากในดวงชาตา พลังงานธาตุกระแสตรงจากแหล่งพลังงาน (ลัคน์ ๑ ๒ ๕ ) ตรีโกณกันเป็นเกณฑ์ที่พลังงานธาตุส่งถึงกันโดยตรงเร็วกว่าและแรงกว่ากระแสธาตุหมุนวนในจักรราศี แต่ดาวที่เป็นโยคหน้า หลังอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้กว่าอาจจะให้ผลที่น้อยกว่า แต่จะให้ผลที่เร็วกว่า ตรีโกณ ใช่มั้ยค่ะ(ชักงง)

8. อยากจะรบกวนอาจารย์ ให้ช่วยอธิบายเป็นตัวอย่าง ว่าในแง่ กำลังดาว กำลังธาตุแล้ว ดาวแต่ละดวงในชาตานี้ มี ธาตุมากไป น้อยไป กำลังดาวดี, น้อยไป, มากไป และ เพราะเหตุผลอะไร ค่ะ เพื่อจะพอเป็นแนวทางให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นค่ะ

9. การที่มี ดาว ๕ กุมลัคน์ มี ๘ โยคหน้า 0 โยคหลัง มี ๔ ๙ ตรีโกณหลัง ถึงกัน อย่างนี้จะให้ผลดีในแง่การศึกษาเล่าเรียนเป็นนักโหราศาสตร์แบบมีเหตุมีผล มีแบบแผนหลักการ หรือว่า จะได้ผลดีในเชิงที่ไม่มีหลักเกณฑ์ เป็นแต่เพียงความรู้สึกว่า”รู้” ค่ะ

ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลไว้ ล่วงหน้านะค่ะ ถ้าคำถามใด ทำให้อาจารย์รำคาญใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้นะค่ะ


fairyastro - 18 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:28น. (IP: 58.10.93.45)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบคุณ reader (ความเห็นที่ 18) ..........ระหว่างดาวจรที่จะมากระทบกับดาวในจักรราศีเดิมละคะ ..ผลก็ส่งถึงกันด้วยใช่ไหม? แต่กุมกับเล็งจะแรงกว่า ส่วนการโยคกับตรีโกณก็รองๆกันไป ใช่ไหมคะ?

ใช่ ใช่ ถูกแล้วครับ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ fairyastro (ความเห็นที่ 19) ..........ผมมีเวลาน้อยขอตอบสั้นๆนะครับ ข้อเขียน+คำถามในกระทู้ไม่ได้เรียงเนื้อหา เพราะว่าไม่ทราบภูมิหลังของผู้อ่านทุกคน จึงพยายามยึดความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ และสมมุติเอาเองว่าทุกคนได้เรียนรู้พื้นฐานมาบ้างแล้ว คำอธิบายบางอย่างจึงตัดลัดให้สั้นเข้า อาจจะดูเหมือนขัดแย้งกับคำอธิบายอย่างยาว และอย่างลึก โหราศาสตร์ไทยจะเป็นเช่นนี้

1 / ดวงดอกพิกุล กับ มาลัยโยค เข้าใจว่าเหมือนกันครับ ชื่อแบบนี้เป็น “สมญานาม” มากกว่าเป็นชื่อมาตรฐาน อย่าไปซีเรียสมากนัก อาจารย์บอกว่าการที่ดาวได้ตำแหน่งมากเกินไป (มหาจักร 4 ดวง เล็งกัน ) ย่อมทำให้กำลังธาตุอาจจะสูงเกินไป เหมือนกับต่างคนต่างว่าตัวเองดี ทำให้ขัดแย้ง ดึงกันเอง ซึ่งไม่เป็นผลดี ในทางธาตุต่อเจ้าชะตา หนูเข้าใจถูกมั้ยค่ะ ไม่ถูกครับ ผมบอกว่าให้ระวังในการพิจารณาดาวที่มีกำลังธาตุสูงเกินไป เช่นตำแหน่งมาตรฐานดีหลายดวง อาจจะมีพลังงานธาตุไม่พอ จึงมีการดึงพลังงานให้เกิดขัดแย้งกันได้ แต่ถ้าพลังงานดี มีมากพอ ดาวมีตำแหน่งดีๆมาก ก็เป็นดวงดีเลิศได้นี่ครับ

2 / เริ่มต้นมีกำลังดาวดีเกือบทุกดวงถูกแล้วครับ ในแง่การรับพลังงานและช่วยกัน เรายังไม่ได้พิจารณาว่าดาวอยู่โดยต้อง ใช้พลังงานอย่างใด เช่น เป็นศัตรู ก็จะเปลืองพลังงานทำให้กำลังดาวอ่อนด้อยลง

3 / เรื่องพลังงานธาตุของดาวเป็นเรื่องยาว แบ่งย่อๆเป็น การได้รับพลังงาน อันนี้เขียนเบื้องต้นไปแล้ว ราวกระทู้ที่ 25 มั้ง การเก็บพลังงาน ก็ดูกำลังธาตุ เป็นเบื้องต้น การใช้พลังงาน (การดำรงอยู่) เขียนไปบ้าง หลายข้อเขียน เช่น การเป็นคู่มิตร คู่ศัตรู ฯลฯ ทุกเรื่องเขียนไปบ้างเพียงพอแก่ความเข้าใจก่อน ยังเขียนเรื่องยาวไปไม่ได้ เพราะพัวพันกับความรู้อื่น เช่น เกณฑ์ โครงสร้าง ฯลฯ ฯลฯ

4 / กำลังธาตุดีขึ้นครับ ส่วนจะมากเกินไปหรือไม่ ยังต้องขึ้นอยู่กับมากในเรื่องอะไร อย่างเงินทองถ้ามีมากไม่เป็นไร โรคภัยถ้ามีมาก ก็ไม่ดี อย่างดวงนี้นับว่าดีในทางกำลังธาตุ แต่เรื่องความดีที่จะมีต่อเรื่องราว ต้องพิจารณาอีกเรื่องด้วย

5 / คุณยังอ่านเรือนขั้นต้นไม่เป็นนี่ครับ ลองกลับไปดูกระทู้ต้นๆอีกที หรือ หาตำราเรียนเอา ที่อ่านมาจึงสับสน เพราะไม่รู้การอ่านตามหลัก

6 / ดวงแรง หมายถึงดวงที่พลิกผัน หรือ ผันผวนมาก มักพบในดวงที่มีดาวแรงๆ แต่ดวงที่มีดาวแรงๆ กำลังมาก อาจจะไม่ผันผวนเป็นดวงแรงก็ได้ ยังต้องดูโครงสร้าง และอะไรอีกหลายอย่าง เช่น วัย ฯลฯ

7 / พลังงานธาตุกระแสตรงจากแหล่งพลังงาน (ลัคน์ ๑ ๒ ๕ ) xตรีโกณกันx เป็นเกณฑ์ที่พลังงานธาตุส่งถึงกันโดยตรงเร็วกว่าและแรงกว่ากระแสธาตุหมุนวนในจักรราศี แต่ดาวที่เป็นโยคหน้า หลังอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้กว่าอาจจะให้ผลที่น้อยกว่า แต่จะให้ผลที่เร็วกว่า ตรีโกณ ใช่มั้ยค่ะ(ชักงง)

ถูกต้องแล้ว แต่ตรงคำว่า “ตรีโกณกัน” ไม่ถูก ต้องแก้เป็น “เป็น 1 3 5 7 9 11 ราศี”

8 / เรื่องกำลังธาตุ กำลังดาว ให้หลักเบื้องต้นมาพอสมควร เขียนย่อไปคุณก็จะถามมาอีก หากไม่อ่านหลักก็ไม่เข้าใจ ย่อๆ ๕ มหาจักรกำลังธาตุดี ๓ เจ้าเรือนเป็นมหาอุจโยคหน้า ๑ ๒ ตรีโกณ // ๓๘ คู่ธาตุกำลังธาตุดี กำลังดาวดี ๑๒ เล็ง โยค ๕ โยคหลัง // ๗ นิจ กำลังดาวอ่อน แต่กำลังดาวก็ดีขึ้นเพราะ ๑๔๖๙ เจ้าเรือนดี ได้โยค ๕ ๒ และ ๓๘ ตรีโกณ ฯลฯ ควรกลับไปอ่านก่อนนะครับ ผมขี้เกียจเขียนซ้ำ

9 / เป็นนักโหราศาสตร์ที่มีหลักการ เหตุผลและทฤษฎี สอนคนได้ แต่ปฏิบัติไม่ค่อยดี กลับกันกับที่คุณถาม คือหากศีกษาก็จะ “รู้วิชา” แต่ต้องใช้ความรู้ให้เป็นด้วย


วรกุล - 19 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:31น. (IP: 203.107.200.195)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียนอาจารย์วรกุลครับ

ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วง"ย้อนรอย"กลับไปอ่านกระทู้เก่าๆ ของอาจารย์อยู่ครับ ยังอ่านไม่จบหรอกครับ (เพราะเยอะจริงๆ ครับ รวมกันคงได้หนังสือเป็นเล่ม)แต่ก็พอดีมีข้อสงสัย (แบบค่อนข้างข้ามขั้น) ที่ต้องขออนุญาตรบกวนอาจารย์ (เพราะสงสัยมานานแล้วครับ) ดังนี้ครับ

1. ในการแปลความหมายในดวงชะตานั้น การโยกย้ายงานแบบย้ายสถานที่ หรือย้ายจากองค์กรหรือบริษัทหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่ง กับการย้ายภายในองค์กร แบบเปลี่ยนแผนกหรือฝ่าย น่าจะมีข้อสังเกตอย่างไรครับ (ผมคิดว่าน่าจะมี เรือนมรณะ(พลัดพราก) และปุตตะ(ใหม่ๆ)มาเกี่ยวข้องสำหรับการย้ายแบบเปลี่ยนนายจ้างไปเลยครับ แต่กรณีย้ายฝ่ายผมยังนึกไม่ออก - ศุภะน่าจะเป็นการเลื่อนขั้น ซึ่งก็หมายถึงย้ายไปอีกองค์กรแต่ก็ย้ายภายในแบบได้ตำแหน่งดีขึ้นก็ได้, สหัชชะก็น่าจะย้ายไประดับเดิมๆ)

2. ในการแปลความหมายซึ่งมีความหมายแย้งกันจะผสมความหมายอย่างไรดีครับ เช่น ดาว ๗ เป็นปุตตะ - ๗ คือ หดตัว เคร่งเครียด แต่ปุตตะเป็นความสนุกคึกคะนอง แปลไปเลยว่าคนคนนี้ (ก็คือลัคน์ราศีกันย์) ไม่ค่อยมีความสนุกหรือบุคลิกไม่ค่อยคึกคะนอง พอได้ไหมครับ (โดยเฉพาะถ้า ๗ เป็นเกษตร) หรือกรณี ดาว ๘ เป็นเกษตร - ๘ คือ ลุ่มหลง ผันผวน เปลี่ยนแปลงแบบโครมคราม (ใช่ไหมครับ) แต่เป็นเกษตร คือ มั่นคง เรื่อยๆ นิ่งๆ อย่างนี้ต้องผสมอย่างไรดีครับ

3. เวลาดาวจรมาเป็นเกษตร (พอดีช่วงนี้ดาว ๘ เป็นเกษตร) จะหมายถึงว่า เรื่องตามนั้นจะเกิดแน่ๆ หรือไม่อย่างไรครับ ขอย้อนกลับไปอ้างชะตาหุ่น (ถามประมาณเดือนที่แล้วครับ) ที่มีลัคน์กรกฎนะครับ เดิม ๘ อยู่กัมมะครับ ตอนนี้มาอยู่มรณะเป็นเกษตร คืองานเสียหาย หรือย้ายงาน ใช่หรือไม่ครับ (เป็นเกษตร ผมคิดว่าน่าจะตีความว่า งานเสียหายแบบ"กัดกร่อน" - พอจะได้หรือไม่ครับ - ย้ายงาน มรณะไม่น่าเป็นเกษตร)

4. เวลาดาวจรมาทับดาวลอยในดวงเดิม ความหมายของดาวลอยนั้นจะมีลำดับในการแปลความหมายอย่างไรดีครับ(ตัวอย่างจากชะตาหุ่น - เดิมลัคน์กรกฎ ๕ กุม ตอนนี้ ๗ มาทับ ก็ปัตนิมาทำให้ตนุ เป็นไปตาม ๒ (เจ้าเรือนลัคน์) แต่สำหรับ ๕ (ตอนนี้อยู่ พิจิก ปุตตะของชะตาหุ่น) แปลว่าอย่างไรดีครับ

คิดว่าช่วงนี้อาจารย์คงธุระยุ่งนะครับ คงรบกวนอาจารย์เพียงเท่านี้ครับ ตามแต่อาจารย์เห็นสมควรครับ

ปล. เคยมีคนถามอาจารย์มาก่อนเรื่อง "สิบลัคน์" แต่อาจารย์ตอบว่าเคยศึกษาแต่แบบ "โลกหมุน" ไม่ทราบว่าพอจะบอกได้หรือไม่ครับว่า แบบ "โลกหมุน"ที่ว่านี่คือสายวิชาที่ต้อง "รับสัจจะ" เช่น ไม่ถ่ายทอดก่อนผ่านการตรวจชะตามาเป็นพันๆ ดวง เป็นต้น ใช่หรือไม่ครับ


เดชา - 19 กรกฎาคม พ.ศ.2550 21:57น. (IP: 124.121.211.29)

ความคิดเห็นที่ 22
ขออภัยคุณเดชาด้วย ไม่มีเวลาตอบให้แล้ว

ขออภัยครับ ผมไม่มีเวลาที่จะเข้าเน็ทมาอ่าน มาตอบคำถามและเขียนเรื่องโหราศาสตร์ได้อีก เนื่องจากมีภารกิจส่วนตัวมาก คงไม่ได้เข้ามาอ่านต่อไปเพราะต้องเตรียมเดินทางไกลด้วย หวังว่าในโอกาสข้างหน้าคงจะได้กลับมาเขียนที่นี่อีก ขอขอบคุณผู้ดูแลเว็บที่ช่วยดูแลกระทู้ให้เป็นอย่างดี และขอขอบคุณทุกท่านที่เคยอ่าน และคุยกัน ผมเองก็ได้ประโยชน์จากคำถามที่มีผู้ถาม ทำให้ได้ทราบความเห็นและข้อมูลที่เป็นประสบการณ์ที่ดี ตลอดจนได้พบน้ำใจไมตรีจากหลายๆท่านตลอดมา ขอให้ทุกท่านมีความสุขสวัสดีโดยทั่วกัน

จึงขอพักปิดกระทู้ไปไม่มีกำหนดนับตั้งแต่วันนี้


วรกุล - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:51น. (IP: 203.107.194.38)

ความคิดเห็นที่ 23
เรียนอาจารย์วรกุล

รู้สึกเหมือนสูญเสียที่พึ่งแห่งปัญญาของโหราศาสตร์ไทย

แต่ก่อนเคยศึกษาเอง และพยายามหาเหตุผลในความรู้ที่พอจะค้นคว้าได้

ปรากฏว่าหาสิ่งที่สมเหตุสมผล มีเหตุผลอธิบายไม่ค่อยชัดเจน

จวบจนเมื่อได้อ่านแนวโหราศาสตร์ของอาจารย์ รู้สึกได้ว่าเหมือนเห็นทาง

สว่างอะไรหลายอย่างที่คลุมเครือ เริ่มมองเป็นแนวทางพอให้เข้าใจได้บ้าง

แต่ที่สำคัญคือทำให้เห็นคุณค่าแห่งโหราศาสตร์ไทยมากขึ้นจนซาบซึ้งภูมิใจ

ในวิธีคิดของไทย

ผลงานของอาจารย์ในกระทู้นี้ นับเป็นคุณูปการ อย่างยิ่ง และน่าจะคงอยู่ตลอดไป

ขอผลบุญของอาจารย์ที่ได้ทำนี้ดลบันดาลคุ้มครองป้องกันเภทภัย

ให้อาจารย์มีความสุข มีกำลัง มีโอกาสมาให้ความรู้แก่พวกเราอีก

ขอแสดงความเคารพอย่างสูง


สุชาติ - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:10น. (IP: 61.19.199.142)

ความคิดเห็นที่ 24
กราบขอบพระคุณครูวรกุลเป็นอย่างสูงด้วยความสำนึกในพระคุณค่ะ

ครูได้เสียสละเวลาอันมีค่ามาถ่ายทอดความรู้ผ่านบทความที่มีคุณค่าแฝงด้วยแง่คิดดีๆให้วิทยาทานให้คำแนะนำและอบรมสั่งสอนพวกเราด้วยความเมตตาปราณีเสมอมา สิ่งเหล่านี้จะคงความงดงามอยู่ในจิตใจของพวกเราตลอดไปค่ะ

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายได้โปรดคุ้มครอง และดลบันดาลให้ครูมีความสุข ประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่พึงประสงค์ และมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงค่ะ

ปล. ศิษย์จะคอยแวะเวียนมารอครูที่ web นี้ค่ะ


ศิษย์กระทู้ - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:28น. (IP: 203.144.130.176)

ความคิดเห็นที่ 25
กราบเรียน ท่าน อ. วรกุลที่เคารพ

หนูเพิ่งกลับจากการเดินทางเมื่อคืนนี้ เช้านี้มาอ่านเจอว่าอาจารย์ปิดกระทู้ไม่มีกำหนด ก็รู้สึกใจหายค่ะ สิ่งที่อยากจะกล่าวก็คล้ายกับที่คุณ สุชาติและคุณศิษย์กระทู้กล่าวไว้แล้ว และอยากขอบพระคุณอาจารย์ ในความมีน้ำใจที่กรุณาตอบคำถามต่าง ๆ และเจ้าของดวงชะตาที่อนุญาติให้หนูนำดวงของเขามาโพสถามอาจารย์เพื่อการศึกษาและทุกท่านที่แวะเวียนเข้ามาขอความรู้จากอาจารย์ เป็นการเปิดโลกทัศน์แก่ทุกคนและเป็นประโยชน์มากค่ะ

สุดท้ายนี้ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยเละสิ่งศักดิ์สิทธิทั้งหลายดลบันดาลให้อาจารย์ประสบความสำเร็จให้ภาระกิจทั้งหลายสมดังใจปราถนาทุกประการ ขอให้อาจารย์โชคดี มีความสุขและมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ค่ะ

ป.ล หนูรู้สึกผิดและเสียมารยาทที่ไมได้กล่าวขอคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถามในกระทู้ที่แล้ว เนื่องจากต้องเดินทางกระทันหันช่วงนี้ก็จะขอศึกษาจากข้อเขียนที่ผ่านมาของอาจารย์ก่อน และจะยังรอการกลับมาของอาจารย์อยู่ค่ะ ด้วยความเคารพอย่างสูง


จีน - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 12:37น. (IP: 125.24.222.23)

ความคิดเห็นที่ 26
ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูง

ระหว่างที่รออาจารย์กลับมาเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทานอีกครั้ง จะหมั่นทบทวนข้อเขียนของอาจารย์ที่ผ่านมากว่า ๙๐๐ หน้า ซึ่งยิ่งอ่านก็ยิ่งได้แง่คิดมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าเดิม แต่บางตอนอ่านเป็น ๑๐ เที่ยวแล้วยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าใจอยู่ดี ก็หวังไว้ว่าเวลาและประสบการณ์ในอนาคตอาจจะพอช่วยได้ก่อนเท่านั้น

ขอตั้งอธิษฐานจิตให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง เดินทางปลอดภัย และบรรลุในสิ่งที่ปรารถนาทุกประการ เทอญ


นพ - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 12:42น. (IP: 203.147.36.35)

ความคิดเห็นที่ 27
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

แล้ววันที่ดิฉันกลัวก็มาถึง วันที่กลัวว่าอาจารย์จะมาบอกลาปิดกระทู้ที่เฝ้าติดตามอ่านข้อเขียนความรู้โหราศาสตร์ที่พวกเราหาไม่ได้จากตำราเล่มไหนๆ ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ติดตามอ่านข้อเขียนของอาจารย์ ถึงแม้ว่าเพิ่งจะมาอ่านได้เพียงปีเศษๆ และก็ได้ส่งคำถามข้อสงสัยหลายๆข้อมารบกวนเวลาปรึกษาอาจารย์โดยใช้ชื่อหลายๆชื่อในการเรียนถาม ได้รับคำตอบอธิบายทุกคำถาม หลายวันนี้ได้หนังสือมาหลายเล่มที่ไม่ใช่หนังสือโหราศาสตร์ มีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นของท่านเสฐียรโกเศศ ในเนื้อความกล่าวว่า "...ข้อความในพระเวทบทหนึ่งกล่าวว่า ศาสดาย่อมไม่กระหายอยากได้ศิษย์ แต่ศิษย์ต้องกระหายอยากได้ศาสดาเอง..." ดิฉันเห็นจริงอย่างนี้ในกระทู้ของอาจารย์ค่ะ หลายๆคนมีความปรารถนาอยากจะฝากตัวเป็นศิษย์ให้อาจารย์ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ แต่มาตอนนี้อาจารย์บอกปิดกระทู้เสียแล้ว...เหลือแต่พวกเราที่ยังคงมีความรู้สึกเช่นเดิมคือ ถึงแม้ไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นกิจจะลักษณะ ก็ขอให้ได้อ่านสิ่งที่อาจารย์ถ่ายทอดเป็นวิทยทานก็ยังดี ข้อเตือนสติ เตือนใจสำหรับการก้าวเดินในเส้นทางการศึกษาโหราศาสตร์ การเป็นโหรหรือผู้พยากรณ์ที่ดีที่อาจารย์สั่งสอนเตือนสตินั้นจะยังคงอยู่ในสำนึกตลอดเวลาค่ะ กราบขอบพระคุณอาจารย์สำหรับวิทยาทานที่ท่านกรุณามอบให้โดยไม่เลือกว่าผู้ถามเป็นใคร

ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากล ได้โปรดดลบันดาลให้อาจารย์มีความสุข ความเจริญ สุขภาพอนามัยสมบูรณ์แข็งแรงด้วยเทอญ


ocd - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 12:52น. (IP: 210.246.80.38)

ความคิดเห็นที่ 28
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ...

ศิษย์กราบขอบพระคุณ ที่ท่านอาจารย์ได้เสียสละเวลา ในกระทู้ต่างๆ แนะนำศิษย์และศิษย์ทั้งหลาย ด้วยหลักธรรม ข้อพึงคิด ปรัชญา ศาสตร์อื่นๆ และที่สำคัญได้ปรับเปลี่ยนแนวคิดของศิษย์ผู้นี้ ให้กว้างไพศาลกว่าเดิม เข้าใจศาสตร์ทางสุวรรณภูมิและธรรมชาติมากขึ้น

ขอประณตน้อม อ.วรกุล ในงานไหว้ครูที่มูลนิธิฯ วันอาทิตย์ที่ 22 นี้ครับ


หนูน้อย - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:07น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 29
ขอให้อจ วรกุลมีความสุข อายุยืนแข็งแรงขึ้นทั้งวันทั้งคืนเลยครับ

ผมยังซาบซึ้งที่ อจ เคยเตือนสติอยู่ตลอดเวลาครับ จะจำคำเตือนของ อจ ไว้ตลอดไปเลยครับ แต่เสียดายจังที่ไม่ได้ทราบว่า ตัวจริงของ อจ คือใคร เพื่อทีเจอที่ไหนจะได้ทักทายขอบคุณตรงๆกับอจ วรกุล

หวังว่าเมื่อไหร อจ.วรกุลว่างและกลับมาที่เว็บนี้เมื่อไหร จะได้กลับมารออ่านกระทู้ของ อจ อีกครั้งครับ


แบงค์ - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:42น. (IP: 124.121.7.68)

ความคิดเห็นที่ 30
ขอบพระคุณอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูงครับ

สำหรับความรู้ที่อาจารย์ให้ ผมทั้งติดตามอ่านหาความรู้จากอาจารย์และเคยถามปัญหาบ้าง ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างยิ่งครับ

และหวังลึกๆว่าสักวันหนึ่งจะได้อ่านกระทู้และคำสอนของอาจารย์อีกครับ (เมื่ออาจารย์มีเวลา)


กล้วย - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:44น. (IP: 58.8.189.26)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียนอาจารย์วรกุล (ถ้ามีโอกาสได้เข้ามาอ่านกระทู้นะครับ)

แล้ววันที่ผมกลัวก็มาถึงจนได้ครับ จากที่อาจารย์เคยบอกไว้ถึงภารกิจที่รัดตัวมาก่อนหน้านี้พอสมควร สำหรับผม เท่าที่อาจารย์ได้ให้วิทยาทานไว้ 30 กระทู้ที่ผ่านมา ก็ถือว่าเป็นความเสียสละอย่างยิ่งครับ ผมต้องขอแสดงความนับถืออาจารย์มาอย่างจริงใจ ณ ที่นี้ และต้องขอขอบคุณสำหรับความอนุเคราะห์ที่เคยได้รับครับ ขออนุญาตอวยพรให้อาจารย์ประสพแต่ความสุข ความสมหวัง และมีสุขภาพแข็งแรงตลอดไปครับ


เดชา - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 19:26น. (IP: 124.120.223.168)

ความคิดเห็นที่ 32
ขอบคุณครับ สำหรับทุกข้อเขียนของอาจารย์


อายครู บ่ รู้วิชา - 20 กรกฎาคม พ.ศ.2550 21:26น. (IP: 64.62.138.12)

ความคิดเห็นที่ 33
ขอบคุณในน้ำใจของอ.วรกุลมากๆครับ


สิงห์ - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 00:01น. (IP: 124.120.73.211)

ความคิดเห็นที่ 34
ขอบพระคุณอาจารย์ที่เสียสละเวลาให้ความรู้กับพวกเรามานาน เดินทางปลอดภัยนะคะ


ดาว - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 02:00น. (IP: 58.8.5.155)

ความคิดเห็นที่ 35
ขอบคุณทุกท่านที่มาคุยและอวยพรครับ มีข้อเขียนที่ผมเขียนค้างไว้ พยายามเรียบเรียงให้ดีแต่ไม่มีเวลาทำให้ แต่ไม่ผิด คิดว่าโพสต์ไว้ดีกว่า เผื่อได้ประโยชน์ ขอให้อ่านไว้ในภายหน้าจะได้ประโยชน์ครับ

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

เรารู้จากข้อเขียนก่อนๆทั้งเรื่องกำลังธาตุและกำลังดาวแล้ว ต่อไปจะนำเอาภาพภายในธาตุดาวและเรือนเกษตร มากล่าวอีกที เพราะเป็นเหตุผลของการทำนายหลายอย่างที่เราใช้กันอยู่ เรื่องในโหราศาสตร์ไทย หากจะเขียนให้ละเอียดถึงพื้นฐานทุกอย่าง ก็อาจจะใช้เวลานานหลายปี ดังนั้น จะใช้วิธีรวบรัดย่นย่อ อย่างเช่นการกำหนดภูมิธาตุ (ระดับธาตุ)ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดทางทฤษฎี ซึ่งใช้ทางพยากรณ์ก็จะมีความจำเป็นน้อย เพราะต้องเร่งรีบ ดังนั้น โหรส่วนมาก จึงยึดถือแนวทางแบ่งภูมิอย่างหยาบเป็นชั้นตามชนิดของภูมิในการพยากรณ์ มากกว่าจะแจกแจงภูมิธาตุตามระดับ

ภพ (ระบบ) ของธาตุในโหราศาสตร์ไทยมี 4 ภพ คือ ธาตุในดาวฤกษ์ ธาตุในจักรวาล ธาตุในบรรยากาศ และธาตุในธรณี ธาตุเมื่อเข้าสู่ดวงชะตาแล้วจะมีชั้นภูมิ (ระดับ) 4 ประเภท ได้แก่ 1 / นามธาตุและ 2 / รูปธาตุ 3 / ธาตุสังเคราะห์(ปฏิกิริยา) 4 / เหตุการณ์ นอกจากนั้น ยังมี 5 / วัตถุ(วัตถุธาตุ) ซึ่งมักใช้ในดวงสิ่งไม่มีชีวิตเช่นดวงฤกษ์ ซึ่งแต่ละประเภทจะแยกออกเป็นภูมิธาตุอีก หากเราเป็นโหรที่ทำนายดวงชะตาอย่างเดียวก็ไม่ต้องจดจำรายละเอียดมากนัก เพียงทราบเอาไว้บ้างเท่านั้น

ภูมิธาตุ ที่ใช้ทำนายจึงแบ่งตามธาตุดาวและเกษตรธาตุซึ่งเป็นธาตุหลักที่ใช้ทำงานในดวงชะตา ส่วนธาตุชนิดอื่นๆ (เช่น ชีวะธาตุ วิญญาณธาตุ ) ตามปกติใช้น้อย ผู้ใช้ก็ทราบดีอยู่แล้ว ภูมิธาตุที่ใช้ทั่วไปแบ่งคร่าวๆได้เป็นภูมิสูง และภูมิต่ำ (บางทีก็จัดเป็น ภูมิกลางด้วย แต่ในที่นี้ยังไม่จำเป็น) ธาตุภูมิสูง คือพวกธาตุที่มีพลังงานสูง ได้แก่ สิ่งที่ปรากฏเป็นรูปร่างตัวตน วัตถุ และเหตุการณ์ คือกลุ่มภูมิธาตุที่เป็นรูปธาตุ ธาตุสังเคราะห์ และเหตุการณ์ ส่วนพวกธาตุภูมิต่ำ คือธาตุพวกที่มีพลังงานต่ำ ได้แก่ อารมณ์ ความรู้สึก ลางสังหรณ์ จิตใจ ความฝัน คือกลุ่มที่เป็นพวกนามธาตุ นั่นเอง ยกเว้น พวกชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ จะเป็นพวกธาตุที่มีภูมิธาตุต่ำ (ไม่แสดงรูปวัตถุ) แต่มีพลังงานสูง มักปรุงแต่งจิต หรือแสดงรูปเป็นเทวดา หรือภูติให้เห็นเพียงชั่วคราว หากจะแสดงรูปวัตถุเช่นธาตุภูมิสูงก็จะใช้เวลานานมาก

ในดวงชะตาของเรานั้นประกอบไปด้วยราศี 12 ราศีซึ่งทำหน้าที่ของเรือน เรือนเหล่านี้ได้รับพลังงานธาตุที่หมุนเวียนตามกระแสธาตุเข้าทางลัคนา ซึ่งจะเข้าหล่อเลี้ยงเรือนและเกษตรธาตุในราศีทั้งหมด พึงเข้าใจว่า พลังงานดังกล่าวนี้มีกระแสที่อ่อน และต้องผ่านการเคลื่อนที่และขัดขวางของเรือน ที่ทำหน้าที่อยู่ในดวงชะตา (ซึ่งได้อธิบายมาแล้ว) ดังนั้น ในเรือนชะตาทุกเรือน แม้จะมีพลังงานในราศีสะสมไว้มาก แต่ก็จะมีระดับต่ำ เหมือนกับอุณหภูมิที่ต่ำ เราเรียกว่ามีพวกธาตุภูมิต่ำอยู่ในราศี นั่นย่อมหมายความว่า ราศีเกือบทั้งหมด มีสภาพเป็นนามธรรมและผลทางจิตใจเป็นพื้นฐาน

อย่างเช่นลัคนาในเรือนตนุหากเป็น เรือนพฤหัส ก็จะมีลักษณะทางจิตใจเป็นอย่างพฤหัส ไม่ได้แสดงออกเป็นรูปร่างลักษณะ พฤหัสเกษตรธาตุซึ่งเป็นธาตุภูมิต่ำนี่เอง หากได้รับพลังงานจากทางใดทางหนึ่ง ก็จะยกระดับภูมิของมันให้สูงขึ้น กลายเป็นบุคลิก ซึ่งก็คือ จิตใจที่แสดงออกมา เราจะเห็นจากบุคลิก ซึ่งเป็นสิ่งครึ่งกลางๆ คือเป็นลักษณะของจิตที่แสดงออก แต่ก็ยังไม่เป็นรูปร่างที่ตามองเห็นเป็นรูปธรรม ดังนั้น บางทีเราเรียกภูมิธาตุระดับบุคลิกนี้ว่าเป็นภูมิกลาง และเมื่อธาตุนี้ถูกกระตุ้นให้ได้รับพลังงานสูงขึ้น ธาตุของพฤหัส กลายเป็นระดับธาตุภูมิสูง จึงจะแสดงออกเป็นรูปร่างหน้าตาของเจ้าชะตาได้ โดยเฉพาะตอนที่เราเกิด ซึ่งเมื่อร่วมมีสัมพันธ์เรือนและดาวกับดาวอื่นที่มีธาตุภูมิสูงด้วยกัน ก็จะบังเกิดเป็นปฏิกริยา และเหตุการณ์ในที่สุด

ส่วนพวกดาวลอยอยู่ในราศี โดยทั่วไปเป็นพวกธาตุที่มีปริมาณน้อย แต่มีพลังงานระดับสูง เรียกว่า ธาตุภูมิสูง หมายความว่า ดาวในราศีเกือบทั้งหมด (ยกเว้น เกตุ มฤตยู ราหูบางตำแหน่งจะเหมือนเป็นธาตุที่มีพลังงานต่ำเกือบตลอดเวลา) มักแสดงรูปธรรม และเป็นตัวทำปฏิกริยาและเหตุการณ์ ในตอนตั้งต้น หากมีดาวลอยอยู่ในราศีหนึ่ง โดยทั่วไปดาวจะแสดงลักษณะรูปธรรมออกมามากกว่าราศีที่มันสถิต เว้นแต่รูปร่างรูปธรรมของเราขณะเกิด จะเกิดจากราศี เนื่องจากได้รับพลังงานจากชีวะธาตุและวิญญาณธาตุ

สรุปว่า ราศีมักแสดงออกเป็นนามธรรม (ภูมิต่ำ) ส่วนดาวลอยมักแสดงออกเป็นรูปธรรม(ภูมิสูง) เว้นแต่ขณะที่เราเกิด (ตกฟาก) พลังงานขณะเกิดจะมีมากพอที่จะแสดงรูปธรรมได้ทั้งดาวและราศี

เมื่อหลักการของธาตุเป็นเช่นนี้ เราจึงได้ข้อสังเกตุในดวงชะตาหลายประการ เพื่อที่จะใช้เป็นหลักในการพิจารณาดาวในราศี ที่ควรทราบมีดังนี้

หนึ่ง...เรือนใดที่มีดาวลอยอยู่ในราศี ราศีนั้นจะมีภูมิพลังงานสูงกว่าราศีที่ว่าง เนื่องจากราศีที่มีดาวอยู่ ดาวนั้นอาจจะได้รับพลังงานในทางตรง (เป็น 1 3 5 7 9 11จากแหล่งพลังงาน) เนื่องจากดาวจะเป็นผู้ปะทะรับเอาพลังงานที่ไหลหมุนเวียนมาถึง ทำให้ภูมิธาตุของดาวและเรือนที่อยู่ด้วยกันสูงขึ้นเป็นพวกธาตุภูมิสูงได้ ดังนั้น เวลาเราดูดวงชะตา เรือนที่มีดาวอยู่นั้นจะมีบทบาทต่อชีวิตเรามากกว่าเรือนว่างๆที่ไม่มีดาว เรือนว่างมักจะมีบทบาทในเรือนนิสัยใจคอ หรือลักษณะทางขยายความ ขยายเรื่องตามเรือนอื่น แต่เรือนที่มีดาวมักแสดงรูปธรรมในชีวิต น้ำหนักในการอ่านและทำงานตามเรื่องในดวงชะตามักทวีพลังงานขึ้นแล้วแปรเป็นเหตุการณ์ได้ง่าย นอกจากนั้น เกษตรที่มีสองเรือน (เช่น มีน-ธนู ฯลฯ) จึงเน้นความหมายในเรือนที่มีดาวมากกว่าเรือนว่าง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการพยากรณ์ดวงเดิมและดวงจร

สอง....เรือนเกษตร กับ ธาตุดาว(คือเจ้าเรือน)ที่จรอยู่ จะแลกเปลี่ยนธาตุกันอยู่โดยตลอด เรื่องนี้เกิดจากเกษตรธาตุของเรือน เป็นธาตุชนิดเดียวกับเจ้าเรือน (ธาตุดาว)ที่โคจรอยู่ในราศีใดก็ตาม เมื่อราศีของมันถูกกระตุ้นให้มีพลังงานสูงขึ้น ก็จะผลักดันให้ธาตุที่มีภูมิสูงหลุดออกหมุนไปรวมกับธาตุดาวเจ้าเรือน และธาตุดาวก็จะส่งธาตุที่ทำงานแล้วเสียพลังงานไปแล้วมีภูมิต่ำ ลง หมุนวนกลับไปที่เรือนของมันเช่นกัน นี่เองทำให้เราอ่านความสัมพันธ์เรือนตามเจ้าเรือนเกษตรได้ อย่างเช่น ลัคนาราศีเมษ ศุกร์เป็นเกษตรราศีพฤษภเรือนกดุมภะ เมื่อศุกร์อยู่ราศีธนูเรือนศุภะ ดาวศุกร์จะมีค่าเท่ากับเป็น “เรือน” กดุมภะ ร่วมอยู่ใน ศุภะ จึงอ่านว่า “กดุมภะ-ศุภะ” นอกจากนั้น การแลกเปลี่ยนธาตุระหว่างราศีทั้งสองโดยผ่านธาตุศุกร์ที่เหมือนกัน จึงทำให้ราศีทั้งสองของศุกร์กลายเป็นเหมือนราศีเดียวกันที่แยกกันอยู่ เราจึงเรียกเรือนเกษตรของศุกร์ พฤษภ และตุลย์ ว่า กดุมภะ – ปัตนิ นั้น “ถึงกัน” อยู่ตลอดเวลา

หลักข้อนี้มีผลทำให้เกิดเทคนิคหลายประการในการดูดวงชะตา ที่สำคัญมากคือ การแฝงของธาตุ (บางหนังสือเรียกว่า “แฝงแสง”) หรือ การเกี่ยวพันของธาตุในราศ๊ หลักพื้นฐานเป็นดังนี้

หนึ่ง.....เมื่อมีธาตุดาวอื่นอยู่ในราศีของศุกร์ที่สมมุติ เช่น มี อังคารอยู่ราศีพฤษภ ธาตุของอังคารส่วนที่เป็นภูมิต่ำจะหลุดแล้วติดไปกับธาตุศุกร์ที่วิ่งไปยังดาวศุกร์ที่ราศีธนู แบบนี้เราจึงเรียกว่า “ดาว (อังคาร) แฝงตามเจ้าเรือนศุกร์” เกิดจากธาตุส่วนน้อยของอังคารติดไปกับศุกร์ตลอดเวลา พลอยทำให้ ตนุ – มรณะ ซึ่งเป็นหน้าที่ของอังคารแฝงไปกับศุกร์ด้วย

สอง.....หากมีดาวอื่น เช่น พุธ มากุมศุกร์อยู่ที่ราศีธนู พุธจะผสมธาตุกับศุกร์ แล้วพุธจะติดธาตุส่วนน้อยกลับไปที่ราศีพฤษภ- ตุลย์เรือนของศุกร์ด้วย แบบนี้เราเรียกว่า “(พุธ) ถูกดาว(ศุกร์)ดึงกลับเรือน” ในกรณีนี้เท่ากับ ธาตุพุธส่วนหนึ่งไปอยู่ในเรือนกดุมภะและปัตนิด้วย หากมีปฏิกิริยาเกิดขึ้นก็อ่านเรื่องราวได้

สาม.....หากมีดาวอื่น เช่น จันทร์ มาอยู่ในราศีตุลย์ ธาตุของจันทร์จะติดตามเจ้าเรือนคือศุกร์ไปยังราศีพฤษภด้วย คือออกจากตุลย์ ไปธนู จากธนูไปพฤษภ จึงเสมือนกับ จันทร์ที่อยู่ตุลย์ วิ่งทะลุถึงราศีพฤษภได้ตลอดเวลา แบบนี้เราเรียกว่า “ดาว (จันทร์) แฝงเรือนเกษตร” ไปโผล่ที่ราศีพฤษภ นั่นเอง

พึงเข้าใจว่า หากธาตุดาว x แฝงธาตุจากตำแหน่ง a ผ่านธาตุของเจ้าเรือน y ไปยังตำแหน่ง b เราจะดู

1 / ความดีความเลวของดาว x ที่ตำแหน่ง a (เช่น เป็นมหาอุจ นิจ ฯลฯ) ส่งความดีเลวผ่านไปที่ b แต่จะไม่ได้ดูความดีความเลวของดาว x ที่ตำแหน่ง b และ

2 / ส่วนสำคัญที่เป็นหลักในกรณีแฝงธาตุ คือความดีเลวของธาตุเจ้าเรือน y ซึ่งเป็นธาตุส่วนใหญ่ และเป็นเจ้าของกระแสธาตุ ไม่ใช่ยึดถือเอาตามดาว x ซึ่งเป็นธาตุส่วนน้อยที่ติดมา เช่น หากดาว x ดี แฝงเจ้าเรือน y ที่เลว เรื่องราวก็ยังคงเลวตามเจ้าเรือน y เพียงแต่เรื่องนั้น ธาตุดาว x ที่ดี จะถูกใช้ในทางไม่ดีเท่านั้น เหมือนเงินดีถูกเอาไปใช้ในทางเลว ไม่ใช่เงินเลวเงินปลอมเอาไปใช้ทางดี ต้องแปลให้ถูก

บางคนจะเห็นว่าในเมื่อดาวพัวพันถึงกันหมดอย่างนี้จะอ่านอย่างไร มิยุ่งยากจนแปลไม่ออกหรือ อันที่จริงการที่ธาตุของดาวพัวพันเช่นนี้แหละ เป็นเคล็ดการทำนายรายละเอียดที่คนทั่วไปมักไม่รู้ เพราะการแฝงของธาตุที่มักเป็นธาตุภูมิต่ำ จึงมีผลปรากฏเป็นครั้งคราว เช่น ลักษณะบุคลิก นิสัยใจคอและการพูดจาต่างๆ ทำให้สามารถพยากรณ์ได้ลึกซึ้งขึ้น หลายครั้งก็ใช้สอบลัคนาได้ สิ่งสำคัญของการที่ธาตุแฝงไปนั้น ควรทราบว่า ธาตุที่แฝงส่วนเล็กที่เจือปนไปมีกำลังธาตุน้อย ดังนั้นจึงไม่ได้แสดงเด่นในที่ที่มันแฝงไปได้ แต่จะกลายเป็นรายละเอียดของเรื่องราวที่เราอาจจะอ่านได้ภายหลัง เช่นเมื่อได้รับกำลังจากดาวจร ก็กลายเป็นต้นเหตุของ หรือ เหตุการณ์ที่ต่อเนื่องได้

นอกจากนั้น เราต้องจดจำความสำคัญอย่างหนึ่งว่า เมื่อเกษตรราศีใดถูกดวงชะตากำหนด “หน้าที่” ให้เป็นเจ้าเรือนอะไรแล้ว ธาตุที่แฝงติดไปยังที่ใดในดวงชะตา แม้จะเจือปนอยู่เล็กน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ยังคงทำหน้าที่เช่นนั้นด้วย ยกตัวอย่าง เช่น ศุกร์เป็นเจ้าเรือนกดุมภะ – ปัตนิ ดังนั้นไม่ว่าศุกร์จะแฝงไปอยู่ที่ใด แม้เพียงเล็กน้อยเพียงใด ศุกร์จะมีความหมายเป็นกดุมภะ-ปัตนิอยู่เสมอไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะของศุกร์ในดวงชะตานั้น นี่เองจึงทำให้เราสามารถทำนายเรื่องราวได้อย่างละเอียดพิสดารยิ่งขึ้น จากธาตุที่แฝงมา

ดังนั้น การจำแนกภูมิธาตุที่ทำงานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เราจะเห็นว่า โหรที่ชำนาญมักอ่านดาวและดวงชะตาในดวงได้ลึกซึ้ง เมื่อพิจารณากำลังธาตุและกำลังดาวแต่ละดวงร่วมด้วย ก็จะทราบกำหนดเวลาที่จะบังเกิดเหตุการณ์ตามธรรมชาติได้ และสามารถตัดสินใจได้ว่าเหตุการณ์ใดยังไม่ถึงเวลาที่จะเกิด ด้วยวิธีเช่นนี้นั่นเอง

ยกตัวอย่างเคล็ดการพยากรณ์อย่างหนึ่ง สมมุติว่า หญิงผู้หนึ่งลัคนาอยู่ราศีมีนเรือนพฤหัส มีจันทร์ ๒ กุมลัคนา ๓๘ อยู่ราศีธนู มองทางบุคลิกทั่วไป เป็นสาวเรียบร้อย นุ่มนวล นุ่มนิ่ม (๒) เป็นกุลสตรี พูดจามักเป็นที่น่าเชื่อถือ (๕) ตามธาตุ ๒ และ ๕ ที่มักถูกกระตุ้นให้ขึ้นมาอยู่ในภูมิสูง แต่ดวงชะตามี ๓ ๘ ในราศีธนูที่แฝงธาตุในเรือนเกษตรของพฤหัสไปยังราศีมีนตลอดเวลา ภูมิธาตุของ ๓ และ ๘ ที่แฝงไปนี้มีภูมิต่ำ เมื่อใดได้รับพลังงานสูงขึ้นบางโอกาส เจ้าตัวจะแสดงออกตามลักษณะนักเลง (๘) หรือ กล้า (๓) แบบแปลกๆไม่น่าเชื่อ เช่น จับงูเห่า หรือต่อยตีกับโจร เอาอยู่หมัด มักเป็นเวลาที่โกรธ หรือ ดวงชะตามีสถานะพลังงานสูงจากดาวจร เช่นนี้เป็นต้น หรือในเวลาปกติมองเผินๆมาแบบไม่ตั้งใจ หลายคนจะเห็นหญิงนุ่มนิ่มผู้นี้มีท่าทางนักเลงแฝงอยู่ ทำให้คนเกรงโดยไม่รู้สาเหตุ กรณีตามทักษาหากดาว ๓ หรือ ๘ เป็นเดช หรือ กาลกิณี ก็มักแสดงลักษณะแสดงออกรุนแรงขึ้นได้บ่อย

ลักษณะเช่นนี้จะคล้ายกัน หาก ๓ หรือ ๘ ที่ว่านี้อยู่ในราศีกรกฏเรือนของ ๒ หรือ กุมดาว ๕ เจ้าเรือนตนุ การแฝงธาตุสู่ลัคนาก็จะทำให้มีคุณสมบัติคล้ายกัน ต่างกันที่ธาตุอื่นที่อาจจะแฝงตามมาด้วยไม่เหมือนกันทำให้มีรายละเอียดที่แตกต่างกันนั่นเอง นี่เป็นวิธีการใช้เทคนิคการพยากรณ์ทางภูมิธาตุอย่างง่าย


วรกุล - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:53น. (IP: 203.107.201.249)

ความคิดเห็นที่ 36
ทุกวันนี้พวกเราดื่มน้ำกันเป็นประจำ ขาดไม่ได้ แต่มีใครเคยดื่มน้ำกลั่นบ้างไหม น้ำกลั่นนั้น เป็นน้ำบริสุทธิ์ หากเรากลั่นกันเองก็พอเชื่อได้ว่ามีเพียงโมเลกุลของน้ำเท่านั้น แม้จะมีสิ่งอื่นเจือปนอยู่บ้างน้อยมาก ก็จะมีรสฝาดเฝื่อนไม่อร่อย บรรดาเครื่องดื่มที่เราเห็นว่ามีรสชาติดี กลับเป็นพวกที่เป็นน้ำแร่ หรือ เครื่องดื่มที่มีสิ่งปรุงแต่งเจือปนอยู่ทั้งนั้น จริงๆแล้ว น้ำที่เรากินไม่จำเป็นต้องเป็นน้ำบริสุทธิ์ เพราะน้ำบริสุทธิ์ไม่มีรสชาติ และอาจจะเป็นโทษ หากดื่มนานๆ ไม่เหมือนเครื่องดื่ม หรือน้ำผลไม้ที่ดื่มแล้วอร่อยกว่า แถมมีประโยชน์กว่า ธาตุดาวก็เช่นกัน จำไว้ว่า ธาตุดาวที่บริสุทธิ์กลับจะไม่ใคร่ดีในทางโลก เหตุผลก็เพราะ ธาตุดาวแต่ละชนิดนั้นเป็นสิ่งที่ส่งผ่านเข้ามาจากจักรวาล และต่างก็มีคุณสมบัติที่ผูกพันกับดาวอื่นๆ ธาตุดาวจึงไม่บริสุทธิ์ แต่มักดี เหมือนน้ำฝนที่ตกแล้วที่ผ่านที่ต่างๆมา โดยมีเกลือแร่ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจึงจะดี หาก ธาตุนั้นบริสุทธิ์เกินไปจึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นได้

ธาตุในธรรมชาติทั่วไปยิ่งไม่มีบริสุทธิ์เลย ทางโหราศาสตร์เอง เมื่อเรียนตั้งแต่เบื้องต้น เรามักจะทราบว่า ธาตุดาวต่างๆมีความหมายใดบ้าง แต่ควรเข้าใจว่า ความหมายของธาตุดาวโดยบริสุทธิ์นั้นเป็นไปตาม “บัญญัติ” เท่านั้น ไม่มีอยู่จริง ทั้งในธรรมชาติ และดวงชะตา ธาตุดาวดวงหนึ่งที่อยู่ในราศี โดยทั่วไปสอนกันว่า หากดาวนั้นอยู่ห่างจากดาวอื่น หรือ ไม่มีความสัมพันธ์กับดาวอื่น ถือได้ว่าเป็นดาวบริสุทธิ์ จะแสดงคุณสมบัติตามธาตุดาวออกมาได้มากที่สุด และถ้าจะให้ดี ควรเป็นเกษตรคืออยู่ในราศีเกษตรของตัวมันเองด้วย ตำราเรียนเบื้องต้นมักทำนายดาวเป็นเกษตรทำนองว่าเป็นดาวบริสุทธิ์ ดีเหลือหลาย แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ดาวทั้งหลายไม่ว่าอยู่ในราศีใด ถึงแม้เป็นเกษตรก็ตาม ก็จะมีธาตุของดาวอื่นเจือปนอยู่ ทั้งโดยการแฝงในดาว ในราศี และทำเกณฑ์ถึง ดังนั้นจึงไม่มีธาตุที่บริสุทธิ์อยู่ในธรรมชาติเลย แต่ก็มีบางดาวที่ฟลุ้คอยู่โดดเดี่ยวจากดาวอื่นได้บ้าง คือมีธาตุอื่นเจือปนน้อยที่สุด อาจจะสมมุติว่าแสดงตนเป็น “ธาตุบริสุทธิ์” ได้

การที่ตำราว่าเมื่อดาวบริสุทธิ์จึงส่งผลดีได้มากที่สุด จึงไม่จริง หากเหมือนนักมวยที่มีแต่มัดกล้าม ใช้กำลังอย่างเดียว เช่น อังคารบริสุทธิ์ ก็ทำอะไรโดยไม่รู้กำลังยับยั้ง ไม่มีความรอบคอบ อาจจะต่อยคนตายได้ก็มี หรือ เป็นนักวิ่งก็วิ่งจนขาดใจ พวกเสาร์บริสุทธิ์ ก็ทำอะไรเป็นภัยแก่ตัวเองได้ มักทำอะไรโดยไม่คิด เช่น เขาให้ทำอะไรก็ทำจนไม่รู้เรื่องรู้ราว ทั้งที่มีประโยชน์และไม่มีประโยชน์ พุธบริสุทธิ์นั้น ได้พูดแต่ค้นคว้าไปอย่างเดียวไม่คิดชีวิตและเงินทอง พูดในสิ่งที่เป็นไปได้ยาก บางครั้งก็เดือดร้อนถึงตนเองและครอบครัว จันทร์บริสุทธิ์ ก็อ่อนจนทนอะไรไม่ใคร่ได้ สะอาดเสียจนไปไหนก็เป็นปัญหา บางครั้งสงสารก็ให้เงินจนหมดตัวไม่มีเหลือ ศุกร์บริสุทธิ์ ก็อ่อนไหวไปกับธรรมชาติจนเกินไป รักอะไรก็ไม่มียั้ง อาทิตย์บริสุทธิ์ มักทะนงตนเสียจนไม่ยอมก้มศีรษะให้ใคร ต่อให้ใครมาฆ่าลูกของตนตาย ก็ไม่ยอมร้องชีวิต แค่คำพูดนิดเดียว ตามความจริงแล้ว ธาตุที่ส่งผลดี เช่น พฤหัส ที่ทำให้ “ปัญญา”ดี จะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติที่เจือปนหลายอย่างอยู่ในตัว “ปัญญา” ปัญญานั้น ต้องมีไหวพริบ ทั้งความเพียร ทั้งพลิกแพลงรู้ทันกิเลสธรรมชาติ จึงจะเอาชนะกิเลสแล้วบรรลุธรรมได้

ตัวอย่างที่อยากยกมาอธิบาย คือดาวพฤหัส พฤหัสเป็นดาวสำคัญดวงหนึ่งที่มักเป็นปัญหาอยู่ในโหราศาสตร์ เนื่องจากถูกหยิบยกมาพิจารณามากกว่าอย่างอื่น เนื่องจากนักโหราศาสตร์มักเข้าใจดาวดวงนี้ผิดพลาด และนักโหราศาสตร์เองก็เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของดาวดวงนี้เช่นกัน ถือกันว่า พฤหัสเป็นตัวแทนของความรู้ และเป็นครู บาอาจารย์ ฤาษี นักบวช จนถึงกับว่าใครไม่มีดาวดวงนี้ให้คุณก็ศึกษาศิลปวิทยาการอะไรไม่ได้ดี บางคนไปตั้งเป็นกฏว่า พฤหัสเป็นอุจ เป็นเกษตร จบปริญญาโท ปริญญาเอก อะไรแบบนั้น

เวลาดูดวงชะตา พวกเรามักจะเหมาเอาว่า ดวงที่มีพฤหัสเป็นนิจ เป็นประ แสดงว่าปัญญาไม่ดี ตรงกันข้ามกับความจริงว่า คนที่มีพฤหัสไม่ดี แต่เรียนจนจบปริญญาเอกได้มากมาย ก็มักจะหาทางแก้ว่า เกิดจากพฤหัสในนวางค์เป็นอุจ เกษตรบ้าง เกิดจากเป็นศรี เดช หรือ ได้คู่ดาวดีๆบ้าง แต่บางคนพฤหัสเป็นเกษตร เป็นอุจ เรียนหนังสือไม่จบชั้น ป. 7 ก็มี อันที่จริงมักมีคำท่องจำว่า “พฤหัสเป็นปัญญาบริสุทธิ์” ใครๆก็เชื่อว่า ตนเองเป็นคนฉลาดมีปัญญาบริสุทธิ์ด้วยกันทั้งนั้น หากใครมาบอกว่าตนโง่ ก็จะไม่พอใจถึงกับมีเรื่องด่าทอกันเสมอ

ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีพฤหัสบริสุทธิ์กุมลัคน์ หากพฤหัสนั้น ไม่มีดาวมาปรุงแต่ง ส่งถึง อย่าไปทำนายว่า เขาเป็นผู้มีปัญญาอันเลิศ เพราะจริงๆแล้ว เจ้าชะตามักจะกลายเป็นคนที่มองโลกแง่เดียวแบบทื่อๆไม่มีสีสัน ซื่อจนเรียกว่าเซ่อ ไม่มีไหวพริบ แทนที่พฤหัสจะมองเห็นธรรม เรากลับพบว่า ปฏิบัติธรรมไม่ได้เรื่องได้ราวก็มี เคร่งก็เคร่งศีลแบบเถนตรง หรือ เถนตกต้นไม้ บางคนเรียนปริญญาสูงๆ แต่ apply ไม่เป็น

พฤหัสนั้น เป็นธาตุที่มีปัญญาบริสุทธิ์ก็จริง แต่จะมองโลกในแง่บริสุทธิ์อย่างที่คนทั่วไปเขาว่า “โง่” นั่นเอง แท้ที่จริงธรรมชาติที่เราอยู่นี้ ถุกปรุงแต่งด้วยปัจจัยต่างๆ ทั้งตัวตน กิเลส ตัญหา ความยึดติด ต่างๆ คนที่มีธาตุพฤหัสอยู่ จะมองโลกที่เนื้อแท้ของธรรมชาติ ในขณะที่ดาวต่างๆดวงอื่น เป็นสิ่งปรุงแต่งธรรมชาติไปตามโลก หากพฤหัสยิ่งมีกำลังมากและปรุงแต่งดี จึงจะเรียกว่า “พฤหัสดี” จะเข้าใจและรู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดี แต่ก็จะมีความโอนอ่อนผ่อนตาม หากเราทดสอบ ถามว่า “1 + 1 เป็น 3 ถูกไหม” คนที่มีพฤหัสดี สามารถยอมรับได้ว่า “ถูก” แต่คนที่พฤหัสไม่ดี จะบอกว่า “ไม่ถูก” เพราะว่า ตรรกะในคำถามนี้ผิดอยู่เห็นๆ ทั้งนี้เพราะพฤหัสไม่มีทิฎิฐิในตน หรือ ไม่มีอัตตา หากพอใจจะให้ตอบว่า “ถูก” ก็ตอบได้ เป็นผู้รู้ทันโลก เป็นคนฉลาดที่แกล้งโง่ ในขณะที่คนมีพฤหัสไม่ดี จะเถียงคอเป็นเอ็น ยอมรับไม่ได้กับความถูก -ผิด เกรงเขาจะว่าโง่ คนที่ชอบเถียงทะเลาะเหตุผลกับคนอื่นอย่างเอาเป็นเอาตาย มักเป็นพวกพฤหัสไม่ดี คือต้องการเอาชนะเพราะตนถูก แต่คิดไม่เป็นว่า “ชนะแล้วจะได้อะไร”

ดังนั้น ในเรื่องการศึกษาจะกลับกันเลย คนที่พฤหัสดีจะเรียนให้เข้าใจจริงๆ หากไม่เข้าใจ หรือถูกบังคับให้เชื่อมากไปก็จะไม่อยากเรียน อาจจะเรียนแค่ชั้นประถมแล้วออกมาทำนาทำไร่เพราะเข้าใจในธรรมชาติ จนบางคนเรียกว่าเป็นพวก “โง่ซื่อ” มักเสียสละยอมแพ้ ต่างจากคนที่พฤหัสไม่ดี บางคนก็เรียนเร็วและสูงมากกว่าเพื่อน เพราะหาทางทำคะแนน หรือ เก็งข้อสอบ จะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ไม่เห็นจะแปลก บางคนเรียนไปได้จนจบปริญญาเอก ทำวิทยานิพนธ์เลียนแบบ หรือ ลอกเขามาดัดแปลงก็มีมาก ผู้มีอำนาจบางคนเป็นด้อกเตอร์ปลอมก็มี เมื่อมาดูแลบ้านเมือง มีอำนาจก็เป็นเหตุให้บ้านเมืองวิบัติได้

ที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ไม่ได้พูดถึงพฤหัสเป็นอุจ หรือ นิจ เกษตร ประเลย เพราะกฎการเป็นอุจ นิจ เกษตรประ รวมทั้งกำลังธาตุ กำลังดาว ได้กล่าวมามากแล้ว เนื่องจากดาวใดเป็นอุจ หรือนิจ อาจจะดีหรือไม่ดีจริงก็ได้ทั้งสองอย่างสุดแต่กำลังธาตุและกำลังดาวของมันเอง หากจะยกย่องดาวที่ดีๆมีคุณภาพจริงๆ เช่น พฤหัสที่ดีจริง โบราณมักถือเอาดาว ราชาโชค และ มหาจักร ว่าเป็นดาวที่ดี เพราะเป็นดาวไม่บริสุทธิ์ ที่มีกำลังในตัวเองมากพอ เมื่อได้กำลังจากที่อื่นมาด้วย ก็อาจจะเป็นดาวดีเลิศได้ อย่างเช่น พฤหัสราชาโชคนั้น หากเป็นดาวที่ถึงลัคนา ตนุลัคน์ จะฉลาดอย่างไม่เซ่อ และก็ขับเคี่ยวกับพวกอธรรมได้อย่างถึงพริกถึงขิง ถ้าจบปริญญาเอกก็เป็นด้อกเต้อร์ ประเภทรู้จริง แม้เรียนหนังสือแค่ ป.4 ก็เก่งกว่า ความคิดกว้างไกลลึกซึ้งกว่า พวกเรียนหนังสือสูงๆเสียอีก

เราจะเห็นว่า การเรียนที่ชั้นปริญญาใด ไม่ได้วัดได้ด้วยดาวพฤหัส ธรรมดาในสังคมเราปัจจุบันมีวิชาอยู่มากมาย ดาวทุกดวงจึงมีส่วนชี้ขั้นการศึกษาด้วยกันทั้งสิ้น เช่น ศุกร์ เกี่ยวกับศิลปะ เสาร์เกี่ยวกับอุตสาหกรรม ฯลฯ ดาวเหล่านี้ต้องดีอยู่ด้วยก็จะมีการศึกษาสูงได้ แต่หากจะให้เป็นผู้ชำนาญด้วย “พฤหัส – ความเข้าใจ” ก็ควรจะดีด้วย หากพฤหัสไม่ดี ปริญญาที่ได้ก็เป็นเพียงของหลอกลวงเท่านั้น พฤหัสจึงเป็นส่วนเสริมขั้นการศึกษาไม่ใช่ตัวขั้นการศึกษาเอง เนื่องจากคนที่เรียนเข้าใจถ่องแท้ดี มักจะเรียนไปได้ไกล

มีความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่ง คือคิดว่าพฤหัส คือศีลธรรม สอนกันว่า หากพฤหัสเป็นอุจ มีตำแหน่งดี จะเป็นผู้มีศีลธรรม ความเห็นนี้ก็ไม่ถูก ทางโหราศาสตร์แล้ว ดาวทุกดวงที่มีคุณภาพและกำลังดี จะมีศีลธรรมดีทั้งสิ้น เพราะขณะที่เราพูดคำว่า “ศีลธรรม” นั้น หมายถึงเรื่องราวที่แตกต่างกัน เช่น จันทร์ เป็นความเมตตากรุณา ศุกร์ คือ ทานและศีล เสาร์เป็น สมถะ สมาธิ เหล่านี้เป็นต้น ดาวที่ดีๆเหล่านี้ เมื่อสัมพันธ์กับดาวอื่นๆ ก็พลอยนำเอาความดี หรือมีศีลธรรมติดไปยังดาวดวงอื่นได้ แม้พฤหัสก็เป็นดาวศีลธรรมดวงหนึ่ง ดังนั้น แม้พฤหัสเสีย แต่ดาวดวงอื่นดี ก็มีศีลธรรมได้เช่นกัน สิ่งที่ควรคำนึงก็คือ เมื่อดาวอื่นมีศีลธรรมแล้ว หากมีพฤหัสดีอยู่ด้วยก็จะทำดีด้วยความเข้าใจที่ถูกต่างหาก คือไม่ทำความดีเพราะความหลงใหลไปตามสังคม หรือ ถือศีลแบบงมงาย เท่านั้นเอง


วรกุล - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 04:54น. (IP: 203.107.201.249)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียนอ.วรกุล

ปอได้ติดตามอ่านบทความของอาจารย์ตั้งแต่ต้นปี เคยเข้ามาถามแล้วกลับไปอ่านย้อนกระทู้เก่าๆของอาจารย์ พยายามเรียนและทำความเข้าใจ ปอได้มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยความกรุณาของอาจารย์ซึ่งหาที่เปรียบมิได้

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกดลให้อาจารย์และครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญพร้อมด้วยสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป


ปอ - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 10:01น. (IP: 203.156.37.202)

ความคิดเห็นที่ 38
แอบติดตามอ่านมานานแล้วเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เคยโพสต์ ถึงตอนนี้จึงต้องขอกราบขอบพระคุณในความรู้ที่ได้รับ เพราะเป็นประโยชน์มหาศาลจริงๆ


ภัทร์ - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:04น. (IP: 58.8.107.229)

ความคิดเห็นที่ 39
ซาบซึ้งมากเลยครับ อจ จะจากไปแล้ว ยังเหลือทิ้งข้อเขียนดีๆไว้ให้อีกครั้ง ขอบพระคุณ อจ อีกรอบครับ


แบงค์ - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:59น. (IP: 124.121.1.248)

ความคิดเห็นที่ 40
กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ดิฉันติดตามอาจารย์มาโดยตลอด ทุกข้อความของอาจารย์ดิฉันเก็บไว้ครบถ้วน รู้สิกใจหายและเสียดายในความกรุณาของอาจารย์ที่ให้ความรู้มาโดยตลอด จะรอคอยอาจารย์ที่จะกลับมาให้ความกรุณาอีกค่ะ

กราบขอบพระคุณและระลึกถึงพระคุณด้วยความจริงใจมา ณ โอกาสนี้


ตุ๊ก - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 16:30น. (IP: 210.203.178.212)

ความคิดเห็นที่ 41
กราบเรียนอาจารย์ วรกุลที่นับถือ

อันดับแรก ดิฉันขอกราบขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูง ที่เสียสละเวลามาตอบคำถามอันสับสนให้กับ เด็กที่พึ่งหัดเรียนอย่างดิฉัน ดิฉันรู้สึกว่า อย่างน้อยก็โชคดี ที่ตัดสินใจเขียนถามอาจารย์ในครั้งนี้ ก่อนที่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสถามอาจารย์ใหม่........

ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งที่อาจารย์เสียสละและอดทน ในการให้ความรู้อันมากมาย เป็นวิทยาทานแก่ทุกคน

ถึงแม้จะเสียดาย และใจหายอยู่บ้างว่า ต่อไปเมื่อเข้ามากระทู้จะไม่เจอข้อเขียนของอาจารย์อีก ซึ่งอาจจะนาน หรือไม่นานก็ได้(แหะ แหะ ยังหวัง)

อย่างไรเสีย ช่วงเวลาที่อาจารย์พักไป เพื่อที่จะทำภารกิจต่างๆ ดิฉันก็จะพยายามอ่านให้ครบทั้งหมด และทำความเข้าใจให้มากขึ้น

จากคำตอบข้อสุดท้าย ดิฉันจะพยายามใช้วิชาความรู้ไปในทางที่ดี ใช้สติในการใช้วิชาทุกๆครั้ง จะปฏิบัติให้ดีกว่าเดิมที่เคยเป็นมาค่ะ

สุดท้ายนี้ ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลก ขอจงดลบันดาลให้อาจารย์วรกุลและครอบครัว เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พลัง ขอให้ทุกสิ่งที่คิด ทำ อันเป็นสิ่งที่ดีงาม จงปราศจากคำว่า ไม่มี ไม่ดี ไม่ได้ ไม่สบาย อุปสรรคใดๆ ก็ขอให้เบาดุจขนนก ความสำเร็จหนักดุจขุนเขาค่ะ


fairyastro - 21 กรกฎาคม พ.ศ.2550 19:25น. (IP: 58.8.141.108)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียน อ.วรกุล

ขอบพระคุณอาจารย์มากครับที่ได้ให้ความรู้พวกเราทุกคนในเว็บด้วยความเมตตาตลอดมา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียวในการอุทิศเวลาเขียนบทความต่างๆให้ผู้อ่าน รวมทั้งตอบคำถามจำนวนมากจากผู้เรียนที่มีภูมิความรู้ต่างๆกันไปด้วยความกรุณา

ผมในฐานะผู้เรียนคนหนึ่งขอกราบขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ และขอคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิสิทธิ์ที่อาจารย์ให้ความเคารพนับถือ โปรดดลบันดาลให้อาจารย์และครอบครัวเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ และ ประสบแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไปเทอญ

ด้วยความเคารพ


bcc + christian - 23 กรกฎาคม พ.ศ.2550 08:30น. (IP: 61.90.136.94)

ความคิดเห็นที่ 43
ขอขอบคุณท่านอาจารย์วรกุลเป็นอย่างสูง


kp - 24 กรกฎาคม พ.ศ.2550 13:59น. (IP: 125.27.199.19)

ความคิดเห็นที่ 44
สวัสดีครับอ.วรกุล... ผมเข้ามาอ่านเรื่อยๆ และบางทีก็ถามบ้าง ก็ได้รับคำตอบจากอ.ตลอด... มาวันนี้ทราบข่าวว่าอ.จะหยุดเขียนไปแล้ว ก็จะขอขอบคุณอ.นะครับ สำหรับทุกข้อเขียนที่เสริมสร้างความรู้และความเข้าใจทางโหราศาสตร์ ขอขอบคุณจากใจจริงครับ


โกวเล้ง - 24 กรกฎาคม พ.ศ.2550 22:17น. (IP: 134.28.65.47)

ความคิดเห็นที่ 45
คิดถึงอจ จังเลยครับ เมื่อไหร อจ จะกลับมาหรือครับ


แบงค์ - 25 กรกฎาคม พ.ศ.2550 21:55น. (IP: 124.121.8.178)

ความคิดเห็นที่ 46
กราบเรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่งที่อาจารย์จะต้องหยุดพักการถ่ายทอดความรู้ คำสั่งสอน และคำแนะนำอันทรงคุณค่าให้กับนักเรียนโหราศาสตร์ทั้งหลาย ที่เข้ามาเก็บเกี่ยววิชาความรู้ใน horathai web นี้ ข้อเขียนของอาจารย์ ตั้งแต่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๔๗ จนถึงข้อเขียนล่าสุด ๒๑ กรกฏาคม ๒๕๕๐... ๒ ปี ๗ เดือนค่ะ หนูจะศึกษาธรรมะ(ชาติ) ตามแนวทางของอาจารย์ต่อไป แต่คิดว่าใช้เวลานานเท่าไรก็คงไม่จบค่ะ



การที่ใครสักคนจะอุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวมโดยมิได้หวังผลตอบแทน ผู้นั้นจะต้องมีเมตตาจิต และมีความมตั้งมั่นอย่างสูงที่จะทำสิ่งที่มุ่งหวังให้สำเร็จเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง หนูจำคำอาจารย์ได้ค่ะ ว่า มีคนเป็นหมืนเป็นพันที่ตั้งใจจะอุทิศตนเพื่อผู้อื่น แต่จะหาคนที่ทำได้จริงสักหนึ่งคน แสนจะยาก

ด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครูอันต็มเปี่ยมของอาจารย์ ซึ่งพร้อมจะเป็นผู้ให้เสมอ พวกเราถึงมีโอกาสได้รับสิ่งดีๆ ที่อาจารย์กรุณาถ่ายทอดไว้ให้

กราบขอบพระคุณในความเมตตาของอาจารย์ด้วยเศียรเกล้าค่ะ และจะระลึกถึงพระคุณของอาจารย์อยู่เสมอ เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้รับใช้หรือทดแทนพระคุณ อย่างที่ศิษย์พึงแสดงกตเวทิตาต่ออาจารย์ค่ะ

กราบขอพรพระรัตนตรัย พระสยามเทวาธิราช พระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ โปรดปกปักษ์คุ้มครองอาจารย์และครอบครัวให้มีความสุข และโปรดประทานพรให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง มีพลังกาย พลังใจที่เข็มแข็ง ในการที่จะทำงานเพื่อสังคมต่อไปอีกนานเท่านานค่ะ และหวังว่าเมื่อภาระกิจที่สำคัญกว่าของอาจารย์ลุล่วงไปแล้ว พวกเราจะได้พบกับลายลักษณ์ของอาจารย์อีกนะคะ



ด้วยความเคารพอย่างสูง


สุธาวาส - 26 กรกฎาคม พ.ศ.2550 17:25น. (IP: 203.146.116.101)

ความคิดเห็นที่ 47
สวัสดีครับอาจารย์ ขอเรียนถามอาจารย์ว่า เรื่องอาศาดวงดาวนี่มีผลต่อชะตาชีวิตมากน้อยอย่างไรบ้างครับบางคนกำลังดาวดี เป็นเกษตร อุจ ศรี เดช แต่ถ้าองศาดาวไม่ดีจะมีผลไหมครับรบกวนด้วยครับ


a19 - 27 กรกฎาคม พ.ศ.2550 11:31น. (IP: 125.25.130.193)

ความคิดเห็นที่ 48
กราบขอบพระคุณอาจารย์วรกุลมากครับ

วิทยาทานที่อาจารย์ได้กรุณาให้พวกเรามีค่าอย่างยิ่ง

ด้วยความเคารพ เสมอครับปล.ผมได้กำลังรวบรวมข้อเขียนทั้งหมดในรุปแบบบลอกเพื่อง่ายต่อการค้นหา

ตามที่ได้ขออนุญาตอาจารย์ไว้

หวังว่าสักวันหนึ่งที่อาจารย์มีเวลาว่างกลับมาอ่าน

จะได้ภูมิใจที่มีศิษย์รวบรวมงานเขียนเพื่อเชิดชูคุณอาจารย์ครับ


จีระนันท์ - 3 สิงหาคม พ.ศ.2550 21:20น. (IP: 124.121.32.179)

ความคิดเห็นที่ 49
กราบอาจารย์วรกุลที่เคารพรัก

หนูเพิ่งมีโอกาสว่างเข้า มาอ่านกระทู้วันนี้เอง ใจหายมากค่ะ หนูกราบขอบพระคุณอาจารย์อย่างยิ่งที่ให้ความรู้แก่หนูในทุกๆเรื่อง ไม่ใช่เฉพาะโหราศาสตร์อย่างเดียว วิธีคิด วิธีสอน วิธีที่อาจารย์เข้าใจทุกอย่าง ความเมตตาที่อาจารย์มอบให้จะอยู่ในใจหนูตลอดไป ยังคงอธิฐานขอให้ได้กราบอาจารย์ ให้ได้ ค่ะ

รักและเคารพ


bewitched - 4 สิงหาคม พ.ศ.2550 12:31น. (IP: 58.9.141.141)

ความคิดเห็นที่ 50
อาจารย์วรกุลคะ

ในศุภวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ๒๕๕๑

ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักสิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ดลให้อาจารย์และครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญพร้อมด้วยสุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงตลอดไป

คิดถึงอาจารย์ค่ะ


ปอ - 27 ธันวาคม พ.ศ.2550 08:56น. (IP: 203.156.61.119)

ความคิดเห็นที่ 51
เรียน อาจารย์วรกุล

แวะเวียนเข้าเวปนี้ประจำแต่ไม่ค่อยได้เข้ามา webboard เพิ่งเข้ามาอ่านที่อาจารย์เขียนไว้สักวันสองวันนี้เองคะ อ่านตั้งแต่กระทู้ที่ 1 - 30 (แต่ยังอ่านไม่ละเอียดหมดนะคะ เปิดแล้วก็อ่านท่อนที่อยากอ่าน) ได้ความรู้และมุมมองมากมายเลยคะ และก็เห็นได้ว่า อาจารย์เองก็ตั้งใจถ่ายทอดความรู้ให้คนอ่านอย่างเต็มพละกำลัง เสียดายอย่างมากที่ไม่ได้สนใจโหราศาสตร์อย่างจริงจัง ขณะที่อาจารย์ยังตอบกระทู้อยู่ เพราะฉะนั้น"เมื่อศิษย์พร้อม อาจารย์จะปรากฏ" เห็นจะไม่จริง คงมีวาสนาได้แค่ไปอ่านกระทู้เก่าๆที่อาจารย์เขียนไว้อีกครั้งหนึ่ง

ขอบพระคุณมากคะ


ศิษย์ใหม่ 2008 - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2551 13:51น. (IP: 58.136.94.53)