เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆฉันมิตร.........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย



คุยกันสบายๆฉันมิตร.........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย

ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแต่ละท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น อาจมีความแตกต่างกันทั้ง ทัศนคติ ภูมิความรู้ ประสบการณ์ และวัยวุฒิ จึงอาจมีข้อผิดพลาดบ้างในการแสดงข้อความ ผมจึงประสงค์ที่จะเห็นทุกท่านเปิดใจให้กว้าง ไม่จับความผิดเล็กๆน้อยๆที่จะมีอยู่เสมอ ทั้งในถ้อยคำ หรือ ความรู้ มีความสุภาพ จริงใจ ไม่แสดงถ้อยคำลบหลู่เสียดสีผู้หนึ่งผู้ใค หรือวิชาของผู้ใด ขอให้พึงแสวงจุดร่วมในความคิดเห็น และสงวนจุดต่าง ที่อาจจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง ลดอัตตาตัวตนลง มีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งของจิต เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเกิดความเศร้าหมอง ท่านใดที่เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏในกระทู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ ก็สามารถออกไปตั้งกระทู้ใหม่เองได้ตามที่ท่านเห็นสมควร

จาก: วรกุล [3 feb 2005 07:33]ผู้ดู [1045]ผู้ตอบ[75] ลบ

ความคิดเห็นที่ 1โดย คุณ การเวก (กรวิก)

3 feb 2005 07:40#799231ลบ

เรียน อาจารย์วรกุล

ผมยินดีด้วยครับ ที่ท่านอาจารย์ได้กลับมาให้ความรู้เหมือนเดิม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า "กระทู้นี้จะได้รับความนิยม"

สวัสดีครับ

ความคิดเห็นที่ 2โดย คุณ นร.

3 feb 2005 09:56#799304ลบ

สวัสดีครับ อาจารย์วรกุล

ดีใจครับที่อาจารย์กลับมาให้ความรู้ หรือตอบข้อซักถาม

ความคิดเห็นที่ 3โดย คุณ ต้น

3 feb 2005 12:43#799411ลบ

ถามเลยดีกว่าค่ะ ไหนๆ อาจารยืก็เปิดช่องให้แล้ว ดิฉัน เกิดวันที่ 5 ธันวาคม 2511 เวลา 02.45 ที่ระยอง ตอนนี้ราหูเล็งลัคที่ภพปัตนิ เมื่อ เดือนที่ผ่านมารู้สึกอบากอยู่คนเดียว อยู่ๆ ก็รู้สึก เบื่อแฟน อยากอยู่คนเดียว ทั้งๆที่ผมก็ไม่ได้มีใครใหม่ แต่พอบอกเธอไปแล้วก็รู้สึกเสียดายแฟน แต่ก็อยากอยู่คนเดียว พอราหูออกไปจากผัตนิแล้ว ผมมีดอกาสที่จะเป็นคนเดิม เหมือนเดิมกับเธอมั้ยครับ

ผมรู้สึกสับสน อลหม่านไปหมด กลัวตัวเองตัดสินใจผิดพลาด กลัวว่า จะทำให้คนอื่นๆมองผมไม่ดี

ผมควรจะทำยังไงให้ผ่านช่วงนี้ไป โดยไม่ต้องเสียแฟนผมไป แก้ไขอะไรได้บ้างมั้ยครับ

ความคิดเห็นที่ 4โดย คุณ นร.

3 feb 2005 13:03#799435ลบ

สวัสดีครับ อ.วรกุล

ขอถามเกี่ยวกับ ระบบ โครงสร้าง แนวทางของโหราศาสตร์ไทยแท้ๆ กรุณาช่วยอธิบายด้วยครับ ขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ 5โดย คุณ ดิฉันครับ ผมค่ะ

3 feb 2005 16:54#799666ลบ

ก๊าก....

คห. 3 คุณต้น ราหูเล็งลัคน์ ทำให้คุงเปี๋ยนไป๋

เด๊วชาย เด๊วหญิง ... ผมเหงชาวตุลย์ ช่วงที่ผ่านมาหลายราย แฟนไปมีคนใหม่เกือบทั้งนั้น ... เพิ่งเหงคุงต้นเนี่ยละ ....

ความคิดเห็นที่ 6โดย คุณ นู๋นิด

3 feb 2005 20:06#799848ลบ

สวัสดีคะ อาจารย์วรกุล

ตามอ่านมานานแล้ว แต่เพิ่งเข้ามาคุยเป็นครั้งแรกคะ

ตอนนี้ยังไม่กล้าถามอะไร คราวหน้าดีกว่านะคะ

ความคิดเห็นที่ 7โดย คุณ ศิษย์น้อย

3 feb 2005 20:52#799895ลบ

เย้ๆๆ ดีใจจังเลย อาจารย์เข้ามาให้ความรู้กับพวกเราอีกแล้ว หนูจะได้แวะเข้ามาอ่านบ่อยๆ ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรงนะค่ะ

ความคิดเห็นที่ 8โดย คุณ moon

3 feb 2005 21:44#799966ลบ

ตกลง คห 3 เปงผู้หญิงหรือผู้ชายคะ งง อิอิ

อาจารย์กลับมาแล้วดีใจด้วยคะ สวัสดีคะอาจารย์

ความคิดเห็นที่ 9โดย คุณ ศิษย์ 2000

3 feb 2005 22:06#799982ลบ

สวัสดีท่าน อ.วรกุล

ดีใจที่อาจารย์กลับเข้าบ้านอีกครั้งไม่ปล่อยให้พวกเราเคว้งคว้างอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีคำถามเมื่อไหร่จะขอเข้ามาปรึกษาท่านอาจารย์อีก ขอบพระคุณ

ความคิดเห็นที่ 10โดย คุณ ต้น

3 feb 2005 23:42#800067ลบ

เป็นทอมค่ะ ตั้งใจเขียนบอกเลยค่ะเนี่ย

ความคิดเห็นที่ 11โดย คุณ วรกุล

4 feb 2005 05:13#800143ลบ

*** ตอบ 1 คุณ การเวก ยินดีที่ได้คุยกันอีกครับ เรื่องกระทู้จะได้รับความนิยมหรือไม่ ผมไม่ได้สนใจหรอกครับ แต่ที่เปิดกระทู้ใหม่ เพราะอยากเปิดกว้าง ให้ใครที่อยากคุยเรื่องอะไรต่างๆก็ทำได้ ไม่รู้สึกว่าฝืนกระทู้ และจะได้บอกวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน สำหรับผู้ที่มาใหม่ จะได้เข้าใจเจตนารมณ์เท่านั้นเอง

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

*** ตอบ 3 คุณ ต้น ตกลงนี่คือวันเกิดของคุณใช่ไหมครับ ลัคนาราศีตุลย์ ราหู เล็งลัคนาในเรือนปัตนิ และ เสาร์จรมาเล็งเจ้าเรือนลัคนา คือดาวศุกร์เดิม ดาวความรักที่ราศีธนูเข้าไปด้วย จึงเป็นเหตุให้เซ็งและเลิกกับแฟน อีกสองเดือนราหูยก ค่อยไปง้อก็ได้ แต่ยังคงต้องเซ็งๆอย่างนี้ไปสักพัก รอดาวเสาร์ยกจากมิถุนก่อน คงจะหายเซ็ง เวลาไปง้อ ก็อธิบายว่ามันเกิดจากดวงดาวน่ะ แต่ยังรักเขาอยู่ ชวนเขามาเรียนโหราศาสตร์ก็ได้ ไหนๆก็เป็นนักโหราศาสตร์แล้ว ต้องใช้วิชาให้คุ้ม ง้อบ่อยๆเขาก็จะกลับมา ไม่เกินปลายปีนี้ แต่ปีหน้าจะสดใสกว่า

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

*** ตอบ 2 , 4 คุณ นร. สวัสดีครับ เรื่องระบบโครงสร้างโหราศาสตร์ไทยแท้ๆที่ถาม ตอบยาวก็มากไป ตอบสั้นก็ไม่เข้าใจ และที่จริงก็แบ่งออกได้เป็นหลายอย่าง ผมจะเลือกแบ่งตามอิทธิพลของการเกิดเหตุการณ์ก็แล้วกัน และอธิบายเฉพาะโหราศาสตร์ที่ใช้ราศีจักร เพราะน่าจะมีประโยชน์มากกว่าอย่างอื่น

.......ตามทฤษฎีแบบไทย เหตุการณ์ตามโหราศาสตร์จะเกิดจากอิทธิพลของ ปัจจัย 3 พวก คือ หนึ่ง ธาตุจากดวงอาทิตย์ สอง วงรอบเวลาในจักรวาล และสาม การหมุนและแกว่งของโลก เข้ารับธาตุจากจักรวาล

.......หนึ่งธาตุจากดวงอาทิตย์ เป็นเรื่องยาวมาก เรียน สองปีไม่จบ ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานออกมา สองทาง ทางหนึ่งกระทบดาวในจักรวาล แล้วกลั่นกรองสะท้อนธาตุกลับมา โลกรับไว้ แล้วเข้าสู่ดวงชะตา อีกทางหนึ่ง กระทบโลกโดยตรง โลกก็กลั่นกรอง แล้วสะท้อนธาตุสู่ดาวอื่น แต่ก็ดูดกลืนธาตุไว้ที่ดวงชะตาเช่นกัน ปฏิกริยาระหว่างนั้น จะเหมือนวิชาเคมี คือ ผสมกัน ทำปฏิกริยากัน มีผลผลิตตามออกมาอีกเยอะแยะ แต่ที่สำคัญธาตุเหล่านี้มีอายุธาตุของมัน เหมือนธาตุกัมมันตรังสี จะค่อยๆแปรเปลี่ยน และส่งกระแสธาตุออกมาทำปฏิกริยากัน ทำให้เกิดโหราศาสตร์ระบบธาตุขึ้นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจับเอาธาตุที่ดวงชะตาได้รับจากจักรวาล และปรากฏในดวงชะตา เพราะถือว่าเป็นการแสดงเรื่องหลักของชีวิต เช่น โหราศาสตร์ไทยสายที่พวกเราเรียนเป็นส่วนใหญ่นี้ ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง ติดตามดูธาตุที่แปรเปลี่ยนไปด้วย เช่น วิชาอสีติธาตุวิภังค์ ตามดูการเปลี่ยนของธาตุในกายมนุษย์ เพื่อรักษาโรค หรือวิชา สุริยโชติรัตน์ ตามดูธาตุที่ก่อเกิดเหตุการณ์ตามดวงชะตา หรือ วิชา วีสตรี ที่ใช้ธาตุส่วนสะท้อนจากดวงจันทร์ บางกลุ่มก็ใช้ดาว 7 ดวง บางกลุ่มพัฒนามาใช้ 8 ดวง หรือ 10 ดวง ก็ตามแต่ เป็นต้น แต่ทุกกลุ่ม ก็อาศัยราศีจักรที่แบ่งตามระบบธาตุ คือ ที่ถูกเรียกว่า นิรายนะ คือจักรราศีคงที่ เหมือนเล่นบาสเก็ตบอล ก็เล่นในสนามที่ตีเส้นแบบบาสเก็ตบอลนั่นแหละ นี่ว่าอย่างย่อสุดๆแล้ว

........สองวงรอบเวลาในจักรวาล แบ่งเป็นสองพวก พวกแรก เกิดจากการเคลื่อนที่ของดวงดาวและโลก รอบดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวงรอบ 3 ชนิด คือ หนึ่ง......วงรอบของอาทิตย์รอบโลก (โดยภาพจากโลก) สอง.....ดวงจันทร์หมุนรอบโลก สาม....โลกหมุนรอบตัวเอง นี่คือ ปี เดือนจันทรคติ และวัน วงรอบเวลาเหล่านี้มีอิทธิพลในการคลี่คลายเหตุการณ์ “ตามวงรอบเวลา” เป็นต้นตอของโหราศาสตร์กลุ่มที่ใช้วันเดือนปี เลข 7 ตัว เลข 12 ตัวทั้งหลาย เป็นต้น พวกที่สอง ใช้วงรอบของดวงดาวและปัจจัย รอบโลก (โดยภาพจากโลก) มีอิทธิพลในการคลี่คลายของเหตุการณ์เช่นกัน เป็นต้นตอของโหราศาสตร์กลุ่มที่ใช้ ลัคนาจร กาลจักร ชันษาจร และปัจจัยบนท้องฟ้าโคจร และปัจจัยเหล่านี้ยังสัมพันธ์กัน เกิดจุดอิทธิพลท้องฟ้าอีกมาก แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกวิชาเหมือนๆกัน เพราะอธิบายสั้นๆได้ไม่หมดที่นี้

......สามการหมุนและแกว่งของโลก เข้ารับธาตุจากจักรวาล ด้วยเหตุที่โลกหมุนไปรับแสงอาทิตย์และธาตุจากดวงดาวต่างๆ ซึ่งทำให้บังเกิดดวงชะตา และลัคนาขึ้นจำนวนมาก สามารถดูเหตุการณ์ และธาตุในดวงชะตาได้ กลุ่มนี้ โบราณเรียกกันหลายชื่อ ตามวิชาที่ใช้ แต่หมอดูรุ่นเก่ามักเรียกรวมๆว่า วิชา ดวงโลกหมุน ซึ่งมีวิชาในกลุ่มนี้ไม่น้อยเช่นกัน และแตกต่างกันอยู่มากมาย

...........จริงๆไม่อยากอธิบายเรื่องแบบนี้เลย เพราะอธิบายลงรายละเอียดไม่ได้ อ่านแล้วก็ไม่ค่อยจะถูกทุกเรื่อง และการแบ่งกลุ่มก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นไปตามนั้น เพราะเทคนิคทางโหราศาสตร์ก็ใช้ปะปนกันไปหมด ไม่มีใครถือเคร่งบังคับใช้หลักวิชาเดียว และนี่ว่าแบบไทยแท้ ยังไม่ได้กล่าวถึงพวกที่ประยุกต์มาเลย พูดมากไป เดี๋ยวจะโดนขว้างวิกเอาอีก จึงอยากให้เข้าใจพอสังเขปเท่านั้น อย่าไปอ้างทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกเข้าก็แล้วกัน

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

*****สวัสดีท่านอื่นๆ ด้วยนะครับ

ความคิดเห็นที่ 12โดย คุณ ปอง

5 feb 2005 12:39#801118ลบ

ผมมีข้อสงสัย เวลาเราจะดูหมอ ตี๊ต่าง ถ้าสมมุติคนที่ตายตอนคลื่นยักษ์ซีนามิมาดูหมอกับ

เราก่อนทุกคน

เราก็ดูว่ามีคนดวงดีมั่งดวงเสียมั่งแล้วเราจะรู้ไหมว่าเขาจะตายทุกคน

ตั้งหลายแสนคนแล้วเราจะรู้ไหม

คือไม่ได้มากวนนะครับ อยากถามใครตอบก็ได้

คือผมว่าดาวมันก็ต้องเหมือนกันมั้ย

ความคิดเห็นที่ 13โดย คุณ สว่างนภา

5 feb 2005 13:42#801156ลบ

อาจารย์กลับมาแล้วดีใจจังค่ะ ความรู้ที่ขาดช่วงไป จะได้สานต่อเสียที เริ่มเลยนะคะ ตอนนี้ดิฉันกำลังเริ่มอ่านหนังสือโหราศาสตร์ใหม่อีกครั้ง ตามแนวทางที่อาจารย์เคยบอกไว้ แต่ติดปัญหาในเรื่องความหมายของเรือนทั้ง 12 เรือน (ตนุ,...,วินาสน์) ซึ่งแต่ละเรือนมีความหมายมากมาย ไม่รู้ว่าจะจับความหมายไหนดีถึงจะเหมาะสมที่สุด

ความคิดเห็นที่ 14โดย คุณ อยากรู้มากๆ

6 feb 2005 13:11#801788ลบ

คนรักเพศเดียวกัน จะดูเรื่องคู่ครองได้เหมือนคนรักต่างเพศไหมคะ

อยากขอความรู้ค่ะ เห็นหลายกระทู้พูดเรื่องดวงรักเพศเดียวกัน มีเกย์ มีเลสเบี้ยนมาตั้งกระทู้ดูดวง

เลยอยากทราบว่า ในการดูเรื่องความรักและคู่ครอง จะใช้วิธีการเดียวกับ คนที่รักต่างเพศไหมคะ

เช่นถ้าคู่เกย์ ฝ่ายนึงแสดงตัวเป็ยชาย อีกฝ่ายเป็นหญิง เราจะดูดวงคู่นี้ในเรื่องความรักแบบคู่ครอง หรือเพื่อน หรือคนรักคะ

เช่นกันกับเลสเบี้ยน ข้างนึงเป็นทอม ข้างนึงเป็นดี้ เราจะดูอย่างไรคะ ว่าคู่นี้จะใช่คู่ชีวิตกัน หรือไม่

เคยเห็นตำราบางเล่ม มีดวงเกย์ ทอมดี้ มาบันทึกไว้ แต่ไม่เห็นใครบอกได้ว่า ดาวดวงไหนน่าจะทำให้เขาเป็นแบบนั้น อย่างฟันธง เลยสงสัยเรื่องการดูความรัก เนื้อคู่ การแต่งงาน การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันของรักเพศเดียวกันค่ะ

ความคิดเห็นที่ 15โดย คุณ วรกุล

7 feb 2005 08:22#802324ลบ

คำถามคุณปองนี่น่าสนใจ ขอฟังความเห็นท่านอื่นเผื่อมีใครมีความเห็นดีๆ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 13 คุณสว่างนภา เรื่องความหมายเรือนต่างๆนั้น ผมอยากแนะนำให้ทำอย่างนี้ คือไม่ใช่ให้ใครบอก เพราะเมื่อบอกไปแล้วก็จะเอาไปท่องและผูกมัดตัวเองกับความหมายเรือน ทำให้เข้าไม่ถึงหลักการ

........หลักการอ่านเรือนนั้น คืออ่านเอาความหมายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้น เช่นสมมุติ เรือนกดุมภะ เมื่อดูเรื่องเงินทองสมบัติ เราก็ดูมันเป็นสมบัติ เป็นเรือนการเงิน เจ้าเรือนการเงิน แต่เมื่อดูเรื่องของใช้ ของกิน เสื้อผ้า ทีวี กดุมภะก็เป็นสิ่งเหล่านี้ หรือ เมื่อดูคุณสมบัติ ซึ่งก็เป็นสมบัติทางนามธรรม เราก็ดูกดุมภะได้ หรือกรณีเกี่ยวกับสถานที่ ก็เป็นสถานที่เก็บเงิน ธนาคาร โรงจำนำ เป็นบุคคล ก็พวกสมุหบัญชี คนเก็บของ ขายของ เราก็ดูความหมายนี้ มันอยู่ที่เราพลิกดูเหลี่ยมใด กำลังอ่านเรื่องอะไรอยู่ เมื่ออ่านบ่อยเข้า ก็จะรู้ว่าจะจับความหมายใด เมื่อใด การที่คนอื่นมาบอกให้ท่อง มันจะไม่ฝังเข้าไปในใจ ไม่เกิดทักษะ และหากคุณไปท่องจำมากๆเข้า ก็จะทายไม่ออก หัดอ่านดูดวงหลายดวงมากเข้า ความหมายที่ใช้บ่อยๆก็จะซึมซับเข้ามาเอง ต่อไปก็จะเป็นอัตโนมัติ

.........หลักนี้ ใช้กับการอ่านดาว และอ่านเรือนสัมพันธ์กันด้วย การอ่านดวงชะตาของโหรไทย เวลาฝึก ขอให้พลิกเหลี่ยมมองตลอดเวลา พลิกให้มาก จะทำให้ความหมายมันเซ็ทตัวได้ เหมือนเราหยิบของอะไรจนชิน ไม่กำจนแน่น ไม่ปล่อยจนหลวม ปล่อยตามสบายๆ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 14 คุณ อยากรู้มากๆ ดวงคนทุกคน เราต้องรู้ด้วยว่าเป็นดวงชาย หรือดวงหญิง ดวงคนรักเพศเดียวกัน เป็นเกย์ เป็นทอม ก็ดูเหมือนดวงคนทั่วไปนี่แหละครับ อ่านดีๆนะครับ ผมบอกว่า “ให้ดูเหมือนคนทั่วไป ” ไม่ได้บอกว่า “เป็นดวงธรรมดาเหมือนคนทั่วไป” ดวงของเขาก็เหมือนคนอื่น แต่ดูแล้วจะจับได้ว่ารักคนเพศเดียวกัน เท่านั้นเอง คนที่เป็นชาย คู่เป็นชาย ก็ดูปัตนิเช่นเดิม ทอมก็ทำนองเดียวกัน นี่เป็นหลักการดูของผม แต่ใครจะมีหลักอย่างใด ก็แล้วแต่ ซึ่งเป็นธรรมดา ดวงบางคนก็ดูเรื่องบางเรื่องยาก บางคนก็ดูง่าย เพราะการผิดเพศนั้นมีดีกรีของมัน ถ้าเป็นอ่อนๆ ผู้ชายก็ดูนิ่ม ผู้หญิงก็ดูห้าว แต่ก็ยังดำเนินชีวิตตามปกติ แต่งงาน มีบุตรได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก

ความคิดเห็นที่ 16โดย คุณ สว่างนภา

7 feb 2005 11:33#802516ลบ

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ ที่แนะแนวให้

ความคิดเห็นที่ 17โดย คุณ นร.

7 feb 2005 11:54#802534ลบ

เรียนถาม อ.วรกุล ครับ

1. โหราศาสตร์เรียนรู้ไปเพื่ออะไร

2. จุดหมายปลายทางของการเรียนโหราศาสตร์เป็นอย่างไร

3. โหราศาสตร์มีประโยชน์ต่อผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์แค่ไหน

กรุณาอธิบายตามความเห็นของ อาจารย์

ขอบคุณมากครับ

ความคิดเห็นที่ 18โดย คุณ dioneus

7 feb 2005 16:29#802756ลบ

ศิษย์2000เรียกอาจารย์ว่าท่านแปลว่าไม่ธรรมดาแน่ขอร่วมวงด้วยคนนะครับอาจารย์ ถ้าความรู้ใดที่ได้มาเป็นอมตะจริงจะไม่นำไปเพื่อประโยชน์ส่วนตนเด็ดขาด

ความคิดเห็นที่ 19โดย คุณ ศ.fa200

7 feb 2005 17:56#802813ลบ

มีความสงสัยเรื่องมุมดาว รบกวนอาจารย์วรกุลช่วยไขข้อสงสัยด้วยครับ

***ดาวทำมุม60 องศา กับดาวทำมุม 45 องศา กับเจ้าชะตา มุมใหนแรงกว่ากันครับ , มุมดาวทั้งสอง ส่งอิทธิพลต่อเจ้าชะตาในลักษณะเหมือนกับหรือแตกต่างกับอย่างไรครับ( สมมุติ อาทิตย์กำเนิดเป็นจุดเจ้าชะตา)

***ดาวทำมุม 45องศา กับดาวทำมุม 22.5 องศา ก็สงสัยลักษณะเดียวกันครับ

*** ความแรงของมุมดาว มีหน่วยวัดหรือไม่ครับ และมุมดาวต่างๆ สามารถเทียบอัตราส่วนความแรงได้หรือไม่ครับ เช่น มุมเล็งมีความแรง เท่ากับ 0.8เท่ามุมทับ เป็นต้น

*** หากนำแรงเอื้อมมาพิจารณา ด้วยเราจะเทียบความแรงของมุมได้หรือไม่ หากได้มีหลักเกณฑ์อย่างไรครับ

เช่น ดาวa ทำมุม90องศา กับนาย ก. โดยมีความเคลื่อน2องศา. และอีกกรณี ดาว a ทำมุม 180องศา กับนาย ข. โดยมีความเคลื่อน 4 องศา มีความสงสัยว่าณ.ขณะนี้ใครได้รับอิทธิพลของดาวa มากกว่ากันครับ

*** รบกวนอาจารย์วรกุลช่วยไขปริศนาเรื่องมุมดาวด้วยครับ..

ความคิดเห็นที่ 20โดย คุณ ศ.fa200

7 feb 2005 18:04#802821ลบ

ขอแก้ไขข้อความส่วนหนึ่งของความคิดเห็นที่19

***ดาวทำมุม 30องศา กับดาวทำมุม 22.5องศา ครับ

(45องศา กับ 22.5 องศา keyผิด ครับ )

ความคิดเห็นที่ 21โดย คุณ วรกุล

8 feb 2005 04:44#803171ลบ

ตอบ 17 คุณ นร. “โหราศาสตร์เรียนรู้ไปเพื่ออะไร” เพื่อให้เข้าใจธรรมชาติครับ ธรรมชาติของสรรพสิ่งและชีวิตบนโลกใบนี้ โหราศาสตร์ไม่สามารถบอกเราได้ว่าชีวิตเรามาจากไหน จะไปไหน แต่จะบอกเราได้ว่า ชีวิตเราจะดำเนินไปอย่างไรในธรรมชาติ ธรรมชาติ ทั้งหลายที่เราเห็นทั้งหมดนี้ความจริงมันคือสิ่งเดียวกัน เป็นองค์รวมเดียวกัน เหมือนอ่างใส่น้ำหวาน คุณเอาช้อนตักขึ้นมาตรงไหนมันก็หวาน ดังนั้น หากคุณตักน้ำหวานขึ้นมาช้อนหนึ่ง ชิมแล้วหวาน อีกช้อนหนึ่งคุณไม่ต้องชิมก็ได้ เพราะมันมาจากอ่างเดียวกัน ดังนั้นเมื่อคุณอ่านธรรมชาติส่วนหนึ่งส่วนใดได้ คุณก็จะรู้ธรรมชาติส่วนอื่นๆได้เช่นกัน

.........“จุดหมายปลายทางของการเรียนโหราศาสตร์” ก็คือ ความสามารถตีความหมายที่ธรรมชาติแสดงออกมาได้ โดยไม่ต้องสงสัยอีก ธรรมชาติจะบอกเราตลอดเวลาว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง อะไรกำลังเปลี่ยนแปลงไป และอะไรกำลังสิ้นสุดลง เมื่อใดเราสามารถแปลภาษาที่ธรรมชาติกำลังบอกเรื่องราวของมันออกมาได้กระจ่างชัด เราก็บรรลุถึงจุดหมายปลายทางในการเรียนโหราศาสตร์

......... “โหราศาสตร์มีประโยชน์ต่อผู้มีความรู้ทางโหราศาสตร์แค่ไหน” ประโยชน์ก็คือความเข้าใจ “ชีวิต” รู้จัก โลก ตัวเรา และผู้อื่น ในแง่มุมที่เป็นจริง เมื่อเข้าใจเช่นนั้นแล้ว ใจก็จะรู้จัก ปล่อยวาง ไม่ยึดติด เป็นทุกข์ ในสรรพสิ่งที่บังเกิด แปรปรวนไป และปรุงแต่งโดยธรรมชาติ รู้เหตุที่เกิด รู้ท่ามกลางที่เป็นไป และรู้จุดจบชองธรรมชาติ ไม่ทุกข์เกินเหตุ ไม่สุขเกินผล มีความเห็นใจที่จะช่วยเพื่อนมนุษย์ให้รอดพ้นจากทุกข์ ใจจะเป็นสุข และ รู้คุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ครับ

ความคิดเห็นที่ 22โดย คุณ นร.

8 feb 2005 09:49#803266ลบ

เรียนถาม อ.วรกุล ครับ

1.ทักษา ทำไมมี 9 ช่อง 8 ภูมิ แล้วในทักษานี้ มีที่มาอย่างไร นำไปใช้อะไรได้บ้าง ซ่อนความหมายอะไรไว้บ้าง

2.จักรราศี มีที่มาอย่างไร มีความสัมพันธ์กับทักษาหรือไม่ อย่างไร

ขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ 23โดย คุณ วรกุล

9 feb 2005 04:45#804156ลบ

ตอบ 19 20 คุณ ศ. fa 200 คุณไม่ได้บอกว่าเรียนโหราศาสตร์ระบบไหนอยู่ เรื่องมุมระหว่างดาวนี้ มีหลักการทฤษฎีที่แตกต่างกันอยู่มาก แต่ระบบจะมีข้อพิจารณาไม่เหมือนกัน ดังนั้น ในที่นี้ ผมจะให้ความเห็นในโหราศาสตร์ไทย ซึ่งเมื่อเข้าใจหลักการแล้ว จึงจะไปปรับใช้ต่อไปก็ได้

.........ขั้นแรกอยากแก้ความเข้าใจเรื่องมุมดาว คือพวกเราส่วนใหญ่มักจะเหมาหลายเรื่องมารวมกัน เพราะตำราหลายเล่มชักจูงให้เข้าใจผิด เวลาอ่านหนังสือต่างระบบก็ยังเอามาปนกันอีก มุมระหว่างดาวในโหราศาสตร์ มีอยู่ 2 ลักษณะ เรียกว่า 2 อนุกรม (หรือ 2 อนุพันธ์ หรือ 2 ชุด)

.........อนุกรมแรกคือชุดของมุม 180 องศา แล้วหารสองไปเรื่อยๆ ก็จะได้มุมเรียงจากน้อยไปมากคือ 22.5 45 67.5 90 112.5 135 157.5 180 และถ้าเรา เพิ่มไปอีกทุก 22.5 องศา ก็จะวนกลับจนครบ 360 องศา ซึ่งโหราศาสตร์บางระบบจะทำอย่างนั้น กรณีของโหรไทยจะใช้เพียงมุม 90 180 ซึ่งอ่านออกไปทั้งสองข้าง ซึ่งก็คือที่เรียกว่า มุมจตุโกณ ส่วนอนุกรมชุดที่สอง คือมุม 180 หารสาม ก็จะได้ 60 120 180 เมื่อวัดออกสองข้าง ก็จะได้มุม โยค และตรีโกณ ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการกำหนดจุดวัด และเลือกมาใช้เท่านั้น ในโหราศาสตร์ต่างระบบจะมีการเลือกองศาที่ละเอียดลงไปเพียงใด แล้วแต่หลักการของระบบนั้น

.........อนุกรมของมุมดาวทั้งสองแบบ มีผลไม่เหมือนกัน อย่างที่คุณยกตัวอย่างมาว่า หากใช้อาทิตย์กำเนิดเป็นจุดเจ้าชะตา แล้ววัดออกไปหาดาวอื่น อนุกรมในชุดจตุโกณนั้น จะ “มีผลร่วม” เป็นอิทธิพลหลัก แต่อนุกรมในชุด ตรีโกณ จะ “มีผลช่วย” เป็นอิทธิพลหลัก

........ยกตัวอย่าง มีวงดนตรีวงหนึ่งเล่นเพลงอย่างไพเราะอยู่บนเวที แซ็กโซโฟน กำลังโซโล่เพลงฮิตเป็นพระเอกอยู่ เครื่องดนตรีอย่างอื่นจะบรรเลง เป็นเสียงองคประกอบของเพลง เรียกว่า “มีผลร่วม” ในเพลง ให้เพลงนั้นสมบูรณ์ แต่เครื่องเสียงเครื่องอุปกรณ์ขยายเสียงต่างๆ “มีผลช่วย” ให้คุณภาพ และความดังของเสียงดีขึ้น

........มุมดาวทั้งสองแบบก็เช่นกัน ในชุดมุมจตุโกณ ดาวที่เป็นสี่ เจ็ด สิบ แก่จุดเจ้าชะตา หรือดาวใด จะมีผลเหมือนเข้าร่วมกับจุดเจ้าชะตานั้น แต่อิทธิพลที่คุณเรียกว่า “ความแรง” นั้น จะแรงสุดในมุม กุม ( 0 องศา) และ มุมเล็ง ( 180 องศา )อ่อนลง ส่วนมุม จตุโกณ ( 90 270 องศา) นั้นจะอ่อนลงกว่า มีเพียงสี่ตำแหน่งที่นับว่าแรง แต่ หากคิดตลอดอนุกรม องศาอื่นๆที่อยู่ระหว่างสี่ตำแหน่งนี้ จะอ่อนลงกว่ามาก นี่คือ ความแรงของการ “เข้าร่วม”กับจุดเจ้าชะตา ไม่ได้เกี่ยวกับกำลังของดาว

.........ส่วนชุดมุมตรีโกณ การ “เข้าช่วย” จุดเจ้าชะตานั้น มุมโยค (60 องศา) กำลังอ่อนกว่า มุมตรีโกณ ( 120 องศา) เป็นไปทั้งสองด้าน.........ดังนั้น เราจึงเปรียบเทียบความแรงระหว่างอนุกรมทั้งสองไม่ได้ เพราะเป็นคนละเรื่อง

........สำหรับคำถามที่คุณถามว่าจะมีหน่วยวัดความแรงของมุมดาวไหม ตอบว่าไม่มี และมีไม่ได้ เพราะจริงๆความแรงของดาวในมุมใด ขึ้นอยู่กับชนิดและตำแหน่งของดาว เช่น ดาวที่อ่อนกำลัง แม้อยู่ในมุมที่แรงสุด ก็อาจจะอ่อนกว่าดาวที่มีกำลังแรง แต่อยู่ในมุมที่แรงน้อยสุด ทุกดาวยังมีข้อปลีกย่อยแตกต่างกันออกไป รวมทั้งปฏิกริยากับจุดรับ เช่น จุดเจ้าชะตาด้วย เช่น หากดาวที่จตุโกณ ส่งอิทธิพลเข้าร่วมกับจุดเจ้าชะตา แล้วเป็นคู่มิตร ก็ย่อมมีอิทธิพลแรงกว่า เป็นคู่ศัตรู

........สำหรับ แรงเอื้อม หรือ ความคลาดเคลื่อนองศา ก็เช่นกัน มีรายละเอียดอีกมาก โหราศาสตร์บางระบบให้ความเคลื่อน จาก 3 องศา ไปถึง 5 องศา แต่ โหราศาสตร์ไทยมีแรงเอื้อมมากกว่า เพราะ ถือระบบธาตุ การสัมผัสกัน ก็ใช้เพียงขอบนอกดาวก็ใช้ได้ ไม่ต้องวัดที่จะจุดกลางดาว นอกจากนั้นยังพิจารณาธาตุดาว และ ธาตุราศีประกอบด้วย ดังนั้น โหรไทยอาจมีองศาดาวทับกัน ชนิดที่ดาวห่างกันได้ถึง 7 – 10 องศาทีเดียว ความคลาดองศาไม่ว่าในระบบใด ถ้าอยู่ในระยะที่ยอมให้เคลื่อน ต้องถือว่าเท่ากัน เพราะอิทธิพลดาวไม่ได้ส่งเป็นเส้นตรงแบบแสง แต่ส่งไปแบบดาวกระจาย คลาดเล็กน้อยก็โดนแล้วเหมือนกัน

000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 22 คุณ นร. ทักษาคือการหมุนเวียนเรียงลำดับของธาตุในสุริยจักรวาล มี 8 ภูมิ 8 ธาตุ ตามดาวเคราะห์รวมถึงราหู ตัวแทนของโลกด้วย ถ้าเราดูการหมุนเวียนธาตุอย่างเดียว ก็ใช้เพียง 8 ช่อง เท่านี้ อันที่จริง ช่องตรงกลาง เกิดจากเส้นตัดกันเฉยๆ ไม่ใช่ภูมิ แต่เพราะเหตุว่าการนับทักษาที่ใช้ทางจันทรคติ ในหนึ่งปีสุริยคติแล้ว ไม่ลงตัว จึงทดเพิ่มตากลางอีกช่องเป็น 9 ช่อง การใช้ก็เอามาทำนายชะตาชีวิตคนได้โดยอาศัยวงรอบธรรมชาติ แบบหนึ่ง ส่วนจะซ่อนความหมายอะไรไว้มั่งนั้นพูดยาก เพราะวงรอบธรรมชาติเองจะสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมได้มาก ถ้าเอาไปสัมพันธ์กับอะไรก็จะเป็นความหมายนั้น เช่น เอามาสัมพันธ์กับชีวิตคน ก็จะเป็นคุณสมบัติในคน เช่น บริวาร อายุ เดช ฯลฯ การเพิ่มเป็น 9 ช่องนี้ ทำให้สามารถใช้กับจักรราศีได้ อ่านต่อไป

.......ส่วนจักรราศี นั้น เกิดจากปรัชญาฝ่ายโหราศาสตร์เอง เหตุการณ์ในธรรมชาติทั้งปวงมีลักษณะที่ดำเนินไป คือ “หยุดอยู่ แปรปรวน เคลื่อนไป” อย่างที่อาจารย์ สส.เคยบอกไว้แล้ว องค์สามนี้จะเกิดขึ้นเป็นลูกโซ่ไม่รู้จบ “ หยุดอยู่ แปรปรวน เคลื่อนไป หยุดอยู่ แปรปรวน เคลื่อนไป.........” ดังนั้นการออกแบบจักรราศี จึงต้องกำหนดจำนวนราศีเป็นจำนวนอนุกรมของ 3 คือ 3 6 9 12 15 18 21 24...........เพื่อให้สามารถนำวงรอบเหตุการณ์ทุกอย่างในธรรมชาติมาเข้าจักรราศีได้ทั้งหมด ค่า 6 นั้นใช้ไม่ได้ เพราะ โบราณพบดาว 7 ดวง จึงต้องเลือกค่า 12 เพื่อให้เพียงพอการพิจารณาเข้ากับดาราศาสตร์ ซึ่งปัจจุบันถ้าหากพบดาวมากขึ้นเกินกว่า 12 ดวง เราก็ต้องขยายราศี เพิ่ม แต่ต้องคำนึงถึงสมดุลย์ของธาตุด้วย จึงต้องเลือกค่า 24 ราศีจะใช้ได้

........ทักษานั้น เมื่อถูกปรับให้เข้ากับสุริยคติเหมือนจักรราศี เป็น 9 ช่อง จึงสามารถนำมาเข้าจักรราศีได้ เพราะอยู่ในอนุกรมของ 3 เดิมมี 8 ช่อง วงรอบธรรมชาติจะต่างเวลากันอยู่ เมื่อทักษาปรับใช้เป็น 9 ช่อง จึงทำให้ วงรอบเวลาเหลื่อมกันน้อยลง แต่ยังวางไม่สนิททีเดียว ผู้ที่ใช้ทักษาในดวงชะตาจึงมีเคล็ดลับวิธีปรับอัตราทักษา ให้เข้ากับดวงชะตาสนิท ทำให้อ่านทักษาประกอบดวงชะตาได้แม่นยำมาก โดยเฉพาะทักษาจร เรื่องนี้เป็นความลับของหลายสำนัก บอกให้ไม่ได้ครับ เพราะมีค่าควรเมือง นำมาวางกลางตลาดก็หมิ่นวิชาครูเกินไป แต่ถึงใครไม่ทราบก็พอนำมาใช้ได้เป็นตัวอ่านประกอบดวงชะตา ด้วยเหตุนี้ ครูบางท่านจึงไม่ใช้ ทักษา (ให้เห็น) เสียเลย เพราะขี้เกียจตอบศิษย์ และขึ้นใจอยู่แล้ว คิดในใจก็ไม่มีใครรู้

ความคิดเห็นที่ 24โดย คุณ นร.

9 feb 2005 09:18#804237ลบ

ขอบคุณมากๆครับ ท่านอาจารย์วรกุล ที่คอยชี้แนะข้อสงสัยและตอบข้อซักถามของผมด้วยความเมตตา ขอบคุณครับ

ความคิดเห็นที่ 25โดย คุณ ดิน

9 feb 2005 16:43#804590ลบ

อยากสอบถามอาจารย์วรกุล ในเรื่องของ ตรียางค์จักรครับ คือถ้าเป็นตรียางค์เฉยๆ ว่าลักขณาหรือดาวนั้น มีสมผุสอยู่ในตำแหน่งไหนได้ตรียางค์อะไร ถูกลูกพิษอะไรหรือเปล่านั้น พอเข้าใจครับ แต่ตรียงค์ที่เป็นจักรนั้น เป็นอย่างไรครับ แล้วมีวิธีพยากรณ์ อย่างไรครับ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วยครับ

ความคิดเห็นที่ 26โดย คุณ วรกุล

10 feb 2005 04:58#805126ลบ

ตอบ 25 คุณ ดิน ผมขอไม่ตอบคำถามของคุณ.........ตีความเอาเองนะครับ ถามเรื่องอื่นเหอะ จะช่วยตอบได้บ้าง

ความคิดเห็นที่ 27โดย คุณ ดิน

10 feb 2005 14:45#805530ลบ

ทำไมล่ะครับ ผมแค่ไม่รู้วิธีการเขียนดวง ตรียางค์แค่นั้นเองครับ คือหมายความว่าเมื่อเรารู้ว่าดาวอะไรอยู่ตรียางค์ลูกไหนแล้วเราจะเอามาเขียนในวง12ช่องนั้นอย่างไรเท่านั้นเองครับ คือผมทำไม่เป็น

ความคิดเห็นที่ 28โดย คุณ นร.

10 feb 2005 16:33#805670ลบ

เรียนถาม อาจารย์วรกุล

ยามอัฐกาลมีที่มาอย่างไร เกี่ยวข้องกับทักษาและจักราศีอย่างไรครับ

ความคิดเห็นที่ 29โดย คุณ วรกุล

11 feb 2005 05:06#806023ลบ

ตอบ 12 คุณปอง เรื่องที่คุณถามกรณีมีคนเสียชีวิตจากคลื่นยักษ์จำนวนมากหลายแสนคน ที่มาของคลื่นคือแผ่นดินไหวในบริเวณเวิ้งอ่าวทะเลอันดามัน เป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ จริงๆก็น่าสงสัยว่า ถ้าเรามีโอกาสดูดวงชะตาของคนเหล่านี้ก่อน เราจะทราบได้ไหมว่า เขาจะถึงแก่ชีวิตเกือบพร้อมๆกัน ที่จริงจำนวนคนที่ว่านี้รวมผู้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหวโดยตรงด้วยนะครับ........ผมเห็นมีหนังสือพิมพ์บางฉบับลงบทสัมภาษณ์ความเห็นของบางคน อธิบายเหตุผลของเหตุการณ์นี้ จากการโคจรของดาวบนท้องฟ้ามาให้อ่านด้วย อ่านแล้วก็รู้สึกงงๆ มึนๆ เห็นทีเราต้องกลับไปทบทวนหลักทฤษฎีการพยากรณ์ดูใหม่

.........โหราศาสตร์ใช้วิธีศึกษาเหตุการณ์ในธรรมชาติหนึ่ง เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ในอีกธรรมชาติหนึ่งที่เราต้องการรู้ เช่นใช้การโคจรของดวงดาวในจักรราศี มาพยากรณ์ ความเป็นไปในชีวิตมนุษย์ ธรรมชาติส่วนแรกที่ใช้ศึกษานั้นเป็น “ตัววัด” ในฐานะเป็นเครื่องมือเทียบเคียง ส่วนธรรมชาติที่เราต้องการรู้นั้นคือ “วัตถุที่ถูกวัด”

..........ตัววัด ของโหราศาสตร์จำเป็นต้องมีเสกลที่ละเอียดกว่าตัวถูกวัด เช่น เราอยากรู้ส่วนสูงของตัวเรา เราก็ต้องเอาตลับเมตรที่มีเสกลละเอียดกว่ามาวัด เพื่อบอกส่วนสูงเป็นเซ็นต์ เป็นนิ้ว หรือฟุต แต่ถ้าเราเอาตลับเมตรที่มีขีดเสกลความยาวหนึ่งไมล์มาวัดส่วนสูงของคน เราจะวัดไม่ได้ผลครับ เพราะไม่มีขีดแบ่งที่สั้นกว่าส่วนสูงของเรา...........ชีวิตคนนั้น โดยเฉลี่ยจะมีอายุไม่เกิน 100 - 150 ปี ดังนั้นการเอาธรรมชาติจากดาราศาสตร์มาใช้วัด ก็ต้องเลือกเอา พารามิเตอร์ ที่มีเสกลต่ำกว่าอายุของชีวิตมนุษย์ลงไป เช่นการโคจรของดาวมฤตยู รอบละไม่ถึง หนึ่งร้อยปี หรือหากมีรอบวงโคจรที่นานกว่านั้น เช่น เนปจูน หรือพลูโต ก็ต้องแตกเสกลออกเป็นราศี เพื่อให้สั้นกว่าชีวิตมนุษย์ ส่วนดวงดาวนอกจากนั้นรอบการโคจรก็ต่ำกว่าอยู่แล้ว เมื่อแบ่งละเอียดลงไปถึงราศี ก็สั้นมาก เช่น จันทร์โคจรราศีหนึ่งเพียง 2 - 3 วัน เท่านั้น เมื่อเป็นดังนี้ เราจึงสามารถอ่านเหตุการณ์ความเป็นไปในชีวิตมนุษย์ได้ละเอียดตามต้องการ

...........นอกจากนั้น การที่เราเลือกดาราศาสตร์มาเป็นตัวใช้วัด ก็ด้วยเหตุผลหนึ่งที่สำคัญ ก็คือ การโคจรของดวงดาวนั้น กำหนดไว้เกือบจะแน่นอน ในรอบหลายพันปี ดวงดาวจะมีวงโคจรผิดไปไม่กี่องศาเท่านั้น สมมุติว่าดาวอังคาร ดาวศุกร์เต้นขึ้น เต้นลง ตามใจของมัน หรือมีคาบการโคจรที่ไม่แน่นอน อยากเดินก็เดิน อยากถอยก็ถอย หากเป็นเช่นนี้ ก็เหมือนตลับเมตรของเรายืดๆ หดๆ เอามาเป็นหลักอะไรไม่ได้ การคำนวณตำแหน่งดาวก็ทำไม่ได้ เช่นนี้ เราก็ไม่สามารถพยากรณ์ได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงไม่ทำปฏิทินดาวหาง ดาวตก หรือผีพุ่งใต้ มาใช้พยากรณ์ดวงชะตา ไม่ว่าจะมีดาวตกอยู่บ่อยๆแค่ไหน

..........เหตุการณ์แผ่นดินไหว หรือการเกิดของคลื่นยักษ์ที่ตามมา เหตุที่มันเกิดโดยไม่แน่นอน ต่อให้เกิดบ่อยแค่ไหน นักวิทยาศาสตร์ก็ยังพยากรณ์ไม่ได้ นอกจากจับได้คร่าวๆเพียงอาฟเตอร์ช็อคที่ตามมา เราไม่สามารถทำปฏิทินพยากรณ์การเกิดเหตุได้ในตอนนี้ นอกจากเอาข้อมูล สักร้อยหรือพันล้านปีมาศึกษาดู ก็น่าจะทำโมเดลคณิตศาสตร์ได้ชัดเจนขึ้น

..........ดังนั้น หากผู้ประสบเหตุจากคลื่นยักษ์มาดูหมอกับเราก่อนทุกคน ตามที่คุณยกตัวอย่างมา คุณผูกดวงตามปฏิทินร้อยปี อย่างเก่งก็ทราบรายละเอียดในรอบร้อยปี ซึ่งถือเป็นจุดที่สั้นมากในเสกล พันล้านปีของธรรมชาติการเกิดคลื่นยักษ์เท่านั้น และข้อมูลดวงดาวที่มีคาบการโคจรสั้นๆ เช่นดาวเพียง 10 – 12 ดวงที่เราใช้อยู่ก็จะไม่ได้บอกอะไรเรา เพราะเราอาจจะต้องเอาเอาธรรมชาติที่ยาวกว่านั้น เช่น คาบการ เคลื่อนขึ้นลงจากระนาบของกาแล็กซี่ของเรา หรือ การเปลี่ยนยุคของโลกจากยุคน้ำแข็ง กลับมาร้อน แล้วไปสู่ยุคน้ำแข็งใหม่ เพราะทำให้ผิวโลกร้าว อะไรแบบนั้น มาคำนวณปฏิทินแล้วสร้างหลักโหราศาสตร์ใหม่ใหม่

..........ผมจึงเชื่อว่า ทุกคนที่เสียชีวิต หากพยากรณ์ทางโหราศาสตร์แล้ว คงจะมีเพียงส่วนเดียวที่ เราทำนายได้ว่าจะเสียชีวิต ซึ่งจะเป็นคนกลุ่มเล็กมากๆ ในขณะที่คนกลุ่มใหญ่กว่าสองแสนคนในจำนวนนี้ ไม่อาจพยากรณ์ว่า “ตาย” ได้เลย คนทั้งหมดนี้ จะมีลัคนาอยู่ได้ทั้งสิบสองราศี ราศีละร่วมสองหมื่นคน และบางคนอาจแสดงว่ามีโชคอยู่ด้วยซ้ำ...........นี่คือ “ข้อจำกัดของโหราศาสตร์”

000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 27 คุณ ดิน ไม่เข้าใจคำตอบหรือครับ โหราศาสตร์ยังมีอะไรยากกว่านี้เยอะ ผมจะถามคุณดินบ้าง เอ้า

.......คุณดินครับ ผมอยากทราบวิธีทำ เสื้อแขนยาว 5 แขน และกางเกง 7 ขาน่ะครับ กรุณาตอบให้ทราบด้วย และอย่าลืมบอกวิธีใส่ด้วยนะครับ ผมจะใส่ไปอวดแฟน...........อ้าว ทำไมหรือครับ ผมแค่ไม่รู้วิธีทำเสื้อ 5 แขน กางเกง 7 ขา เท่านั้นเอง ถ้าเรารู้วิธีเอาแขนไหน ไปใส่ขากางเกงข้างไหน เอาขาไหนไปใส่ในแขนเสื้อข้างไหน ในเสื้อกางเกง 12 แขน ขา ก็จะหล่อได้ใช่ไหมครับ คือผมทำไม่เป็นเท่านั้นเอง.........ช่วยอธิบายให้ละเอียดด้วยนะครับ

........ถ้าคุณดินตอบคำถามผมไม่ได้ อยากแนะนำว่าอย่าไปเรียนโหราศาสตร์ต่อไปเลยครับ ปริศนาโหราศาสตร์มันยากกว่าหลายสิบเท่า

0000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 28 คุณ นร. ยามอัฐกาล เป็นถ่ายเอาการหมุนเวียนธาตุออกมาตามเวลา พูดตามภาษาอย่างเรา คือเป็น profile ของวงรอบวัฎจักร ออกมาเป็นแนวตรงตามสเกลเวลา แต่ รายละเอียดบอกมากกว่านี้ไม่ได้ครับ ส่วนที่เกี่ยวกับทักษากับจักรราศี นั้น เมื่อ เปลี่ยนถ่ายมาแล้วก็ไม่เกี่ยวกันโดยตรง เพราะต่างฝ่ายต่างก็มาจากต้นตอ เกือบจะเดียวกัน แต่เป็นคนละรูปแบบ การเปลี่ยนแปลงของธาตุเกิดขึ้นขณะหมุนเวียนไปด้วย ทั้งสามเรื่องเกิดขึ้นคนละลำดับขั้นตอนเท่านั้นเอง

ความคิดเห็นที่ 30โดย คุณ ดิน

11 feb 2005 12:21#806277ลบ

ผมคิดว่าอาจารย์คงไม่เข้าใจเจตนาผมจริงๆ ผมถามด้วยความไม่รู้จริงๆ ผมอ่านเอาจากตำราไม่มีบอกเกี่ยวกัยบดวงตรียางค์จักร มีแต่ตรียางค์ธรรมดาว่าเป็นดาวอะไรลูกพิษอะไร พอลองเข้าเว็ปไซด์horasad.com เห็นมีในโปรแกรมว่าทำดวงตรียางค์จักรจึงเกิดความสงสัยอยากรู้ และหวังว่าคงจะได้คำตอบ หรือไม่ได้คำตอบเพราะผู้ตอบไม่รู้ ผมก็จะเข้าใจและคงต้องไปหาคำตอบจากผู้ที่รู้ในด้านนี้ แต่นี่ไม่ขอตอบให้คิดเอาเอง ผมก็คิดว่าผมคงถามคำถามโดยใช้คำพูดไม่ถูกต้องจึงอธิบายขยายความคำถามอีกครั้ง คำตอบคือถ้าไม่เข้าใจก็อย่าเรียนโหราศาสตร์อีกต่อไปเลย อะไรกันครับเนี่ย

??????????????????????????????????????????????

ความคิดเห็นที่ 31โดย คุณ นร.

11 feb 2005 13:45#806338ลบ

เรียนถามอาจารย์ วรกุล

แนวทาง และ ลำดับการศึกษาโหราศาสตร์ไทย ควรดำเนินไปอย่างไร จึงจะถูกต้องร่องรอยตามแบบไทย

กรุณาตอบตามทัศนะของท่าน อาจารย์ครับ

ความคิดเห็นที่ 32โดย คุณ ช่วยกัน

11 feb 2005 16:29#806479ลบ

ผมขออนุญาตตอบคุณดินละกันครับ

ดวงตรียางค์จักรแบบที่เห็น

ก็นำดาวทุกดวงที่คำนวณแบบมีสมผุสมาทำการขับไปว่าจะอยู่ราศีไหน

ถ้าดาวนั้นอยู่ในช่วง 0-10 องศาจะอยู่ในราศีแรก(ราศีเดิมที่อยู่)

ถ้าอยู่ 10.01-20 องศาจะอยู่ในราศีที่ห้าจากราศีเดิมที่อยู่

ถ้าอยู่ 20.01-30 องศาจะอยู่ในราศีที่เก้าจากราศีเดิมที่อยู่

จริงๆหาอ่านในหนังสือโหราศาสตร์ทั่วๆไปนะครับ มีเขียนอยู่หลายๆเล่ม แต่วิธีพยากรณ์อันนี้ผมไม่ทราบ และผมก็ไม่ได้ใช้ด้วย ใช้แค่ดวงราศีจักรธรรมดาครับ

ความคิดเห็นที่ 33โดย คุณ วรกุล

12 feb 2005 04:06#806904ลบ

ตอบ 31 คุณ นร.........ความจริงถ้าว่าถึงการศึกษาโหราศาสตร์แล้ว ก็เป็นการศึกษาวิชาแบบหนึ่ง มองในแง่วิธีการ จะใช้การศึกษาวิธีใดก็ได้ที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้นผมคงตอบไม่ได้ว่าอะไร “ควร” อะไร “ไม่ควร” นอกจากนั้น โหราศาสตร์ไทยยังมีหลายแนวทาง ดังนั้น การเรียนจึงต้องพิจารณาให้ดี เพราะนอกจากหลักการจะต่างกันแล้ว ยังมีโหราศาสตร์ภาคคำนวณ ซึ่งก็ต้องคำนึงถึงคุณสมบัติของผู้เรียนอยู่เหมือนกัน

.........โหราศาสตร์ไทยนั้น ผูกพันอย่างมากกับวัฒนธรรมไทย ในแง่ที่เป็นวิชาชั้นสูงของคนยุคก่อน เพราะเป็นวิชาของบัณฑิต แพทย์แผนไทย และบุคคลระดับสูง โหราศาสตร์เข้าถึงหลักที่แท้จริงยาก การเรียนโหราศาสตร์ในระดับสูงขึ้นไปล้วนแต่ต้องคิดมากซึ่งยากไม่ใช่เล่น.........แนวทางที่เขาเรียนกันสมัยก่อนก็คล้ายที่เราเรียนกันนี่แหละ คือทุกคนต้องรู้องคประกอบของโหราศาสตร์เสียก่อน เหมือนเราเรียนอนุบาล ก็ต้องเรียน ก.ไก่ ข.ไข่ แล้วค่อยๆประกอบเป็นคำขึ้นมา เสร็จแล้วจึงค่อยมาเรียนสูงขึ้น โหราศาสตร์ก็เรียนเช่นนี้ แต่ถ้าเป็นในสำนักที่เขาสอนเฉพาะศิษย์จริงๆ จะไม่มีตำราวางไว้ตายตัว ส่วนใหญ่อาจารย์จะบอกวิชาให้ทีละน้อย แต่เขาจะถามเหตุผลเราทุกเรื่อง “ถาม” นะ ไม่ใช่ “บอก” เป็นการถามให้เราตอบ ถ้าตอบไม่ถูกก็จะถามอยู่นั่นแหละ เพราะคุณต้องคิดออกเอง ไม่ใช่ให้ใครมาบอก อย่างดีคนที่ถามเขาตั้งคำถามได้ถูก คำถามนั้นจะนำความคิดเราสร้างองคประกอบของวิชาขึ้นมาได้ พอคุณตอบมากๆเข้า วันใดวันหนึ่ง คุณก็เห็นมันกระจ่างสดใส บรรลุถึงความคิดของคนที่สร้างวิชาตรงนั้นขึ้นมาชัดแจ๋วตรงหน้า อาจารย์รู้ว่าเราเห็นแล้ว ก็จะข้ามไปสอนเรื่องใหม่ เพราะโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ต้องคิดจึงจะรู้ เป็นลักษณะเฉพาะโดดเดี่ยวแปลกลึกลับเฉพาะตัวของมันเลย เมื่อรู้แล้วก็อธิบายเป็นคำพูดให้คนอื่นรู้ด้วยลำบากมาก

..........สมัยนี้มีตำรามากมายแล้ว มีคอมพิวเตอร์ใช้ แต่คนกลับเข้าถึงโหราศาสตร์ที่แท้จริงน้อยลง ส่วนใหญ่ก็จะสะสมวิชา หรือตำราไว้มาก แต่ไม่รู้ว่าจะเอาวิชามาใช้อย่างไร ถ้าเราหวังจะให้การเรียนกลับไปเหมือนสมัยก่อน ก็ทำได้ยาก เพราะหาอาจารย์ไม่ได้ ที่สำคัญกว่าคือ “มีอาจารย์ แต่หาลูกศิษย์ไม่ได้” ลูกศิษย์ที่จะยอมคิดอะไรเองเพื่อที่จะรู้ความจริง แทนที่จะถาม แล้วรอให้เขาบอก อาจารย์ทุกคนหาลูกศิษย์ไม่ได้มานานแล้ว คุณไม่เชื่อลองไปถามดูเถอะ โลกมันหมุนเร็วเกินไป อีกไม่กี่ปี วิชาโหราศาสตร์ไทยก็จะตายไปในช่วงชีวิตของเรานี่เอง เหลือแต่เพียงซากที่ไม่มีแก่นสารส่งต่อไปให้คนรุ่นหลัง คิดแล้วก็ใจหายเหมือนกันครับ

..........ผมมีความคิดอยากแนะนำว่าพวกเราที่เรียนเอง หรือเรียนที่อื่นมาบ้างแล้ว ถ้าตั้งคำถามให้ตัวเองคิดเองบ่อยๆ ก็เรียนได้เหมือนกัน หัดค้นคว้าให้มาก คิดให้มาก ขัดข้องค่อยถามคนอื่น กลับมาคิดอีก แล้วลองฝึกดู ทำเช่นนี้เรื่อยไป ก็น่าจะเรียนก้าวหน้าได้ดี

ความคิดเห็นที่ 34โดย คุณ crv

12 feb 2005 13:49#807087ลบ

อยากถาม อ.วรกุล สมมุติว่า มีดาว 6 อยู่ราสีพฤษภ 29.5 องศา ดาว 4 อยู่ราศีมิถุน 0.5 องศา ดาวสองดวงนี่เกือบทับกันสนิท แต่โหราศาสตร์ไทยดูดวงอีแปะแล้วไม่ดูองศาจะดูได้ถูกเรื่องอย่างไร โหรระบบอื่นเขาดูองศาละเอียดกว่ามาก ส่วนใหญ่ก็ต้องตรวจองศา เว้นแต่คลาดกันเล็กน้อย เหตุนี้ทำให้คนไม่นิยมโหรไทยจึงเสื่อมมากกว่าครับ พอทายไม่ได้ก็ขอดูลายมือเอาหลักอื่นมาช่วย แล้วก็สะเดาะเคราะห์ ที่ถามเพราะอยากรู้ครับ ไม่ได้มีเจตนาหมิ่น ดูแล้วไม่ศรัทธาอยาศึกษาเลยครับบอกตรงๆ เพราะผิดหลักความจริงเห็นๆ แต่ไม่คิดแก้ไข

ความคิดเห็นที่ 35โดย คุณ moon

12 feb 2005 19:43#807304ลบ

มีอาจารย์ท่านนึง บอกว่าเรียนโหราศาสตร์ จะได้อาจารย์ดีและสอนให้นั้น ขึ้นอยู่กับบุญวาสนา แล้วหนูจะมีบุญวาสนาหรือเปล่านี่ แงงงงงงงงงงงงง

ความคิดเห็นที่ 36โดย คุณ เนย

12 feb 2005 21:26#807375ลบ

ดาวพฤหัส เป็นนิจที่ภพกะดุมพะ หมายถึงไม่มีเงินหรือเปล่าค่ะ

ความคิดเห็นที่ 37โดย คุณ นร.

14 feb 2005 09:48#808301ลบ

เรียน ถาม อาจารย์วรกุล

สอบถามเรื่องความสัมพันธ์ระหว่าง ฤกษ์บน กับ ฤกษ์ล่าง มีที่มาและโครงสร้างอย่างไร เกี่ยวข้อง สัมพันธ์กันอย่างไร

ความคิดเห็นที่ 38โดย คุณ [email protected]

14 feb 2005 17:13#808691ลบ

เคยอ่านจากกระทู้เก่าถ้าจำไม่ผิด เห็นอาจารย์วรกุลบอกว่ายังสอนอยู่ ไม่ทราบสอนอยู่ที่ไหนครับ ถ้าไม่สะดวกตอบทางเวบ กรุณาตอบทาง เมล์ [email protected] ด้วยครับ

ความคิดเห็นที่ 39โดย คุณ กล้วย

14 feb 2005 23:20#808994ลบ

ผมอยากทราบด้วยเหมือนกันครับ

เพื่อมีโอกาสวาสนาจะไปขอศึกษาด้วยครับเมล์ผมครับ [email protected]

ความคิดเห็นที่ 40โดย คุณ วรกุล

17 feb 2005 16:20#811031ลบ

********ผมต้องขอโทษที่หายหน้าไป เพราะป่วย และเครื่อง คอมพ์ก็เสียด้วย สังขารแก่พอกัน

0000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 34 คุณ crv.............โหราศาสตร์ไทยแบบเรือนชะตา ใช้องศาครับ เพียงแต่คนเรียนทั่วไปอาจไม่รู้และไม่ได้ใช้ องศาดาวเป็นเรื่องสำคัญมากอย่างหนึ่ง และเป็นหลักในการกำหนดราศีธาตุด้วย ในโหราศาสตร์ระบบเรือนชะตา ระดับมือครูทุกท่านที่เข้าใจองศาดี จึงจะใช้องศาได้ถูกต้อง แต่ที่คุณ crv ตำหนิติติงมานั้น เป็นเรื่องของการใช้องศาเพื่อกำหนดตำแหน่งดาว “ตำแหน่งดาว” ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญในโหราศาสตร์หลายระบบ องศาเป็นเพียงเสกลวัดจากจุดอ้างอิง เมื่อเราเอาไม้บันทัดไปวัดอะไร ก็ได้ระยะตามที่อ่านได้ วัดแล้ว ตัวไม้บันทัดก็หมดหน้าที่ไป องศาก็เช่นกัน เมื่อได้ตำแหน่งดาวแล้ว องศาก็หมดหน้าที่ไป

.........ตำแหน่งดาวมีประโยชน์หลายอย่าง แต่ที่ใช้มากคือการวัด ความสัมพันธ์เชิงองศาระหว่างดาวที่ เรียกสั้นๆว่า “มุมดาว” มุมดาวนี้มีผลต่อการพยากรณ์ดวงชะตาจริงๆ โหรระบบเรือนชะตาก็ใช้มุมดาว และมุมดาวก็มาจากตำแหน่งดาวด้วยเช่นกัน ถ้าเช่นนั้นโหรไทยก็ควรใช้องศาด้วยซี เพราะองศาดาวทำให้รู้ตำแหน่งดาว และก็มุมดาว ไม่จำเป็นครับ ตำแหน่งดาวและมุมดาว ไม่ต้องดูจากองศาก็ได้ แต่โหรไทยดูจากธาตุและระบบธาตุ ผ่านทางเกษตรเจ้าเรือน เพราะมีประสิทธิภาพมากกว่า ในการดูดวงชะตาของมนุษย์

.........โหรสมัยโบราณค้นพบระบบธาตุที่ลึกลับซับซ้อนของจักรวาล และตกทอดความรู้นี้มายังคนรุ่นหลัง ชีวิตมนุษย์เราเกิดจากธาตุในธรรมชาติล้วนๆ ดังนั้น การเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างธาตุ จึงสามารถพยากรณ์รายละเอียดของเหตุการณ์เป็นไปในชีวิตมนุษย์ได้ละเอียดมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ส่วนดาวนั้น เป็นธรรมชาติอีกส่วนหนึ่งนอกจากชีวิตมนุษย์ การอ่านมุมดาวโดยความสัมพันธ์ธาตุในเรือนและราศี จึงทำให้สอดรับกันโดยไม่ต้องไปตรวจจากองศาอีก

........โหรไทยใช้เกษตรเจ้าเรือน ที่เกิดจากราศีธาตุ และธาตุดวงอาทิตย์ เพื่อกำหนดเรือน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโหรไทยจะไม่ได้ใช้ความสัมพันธ์เชิงองศาระหว่างดาว ดวงไทยชนิดองศาละเอียดที่เรียกว่า “ดวงพิชัยสงคราม” นั้นเปลืองเวลาไปนิด แต่ไม่ใช่ประเด็น เพราะในการดูดวงชะตาคนทั่วไป เพียงดูจากดวงเกษตรธาตุก็เพียงพอแล้ว

..........ตามตัวอย่างที่คุณ crv ตั้งขึ้นมาถาม คือ ดาวศุกร์ อยู่ในราศีพฤษภ 29.5 องศา และดาวพุธ อยู่ในราศีมิถุน 0.5 องศา หากกำหนดมุมดาวในท้องฟ้าทรงกลมสมมุติ ถูกแล้วครับ ดาวทั้งสองเกือบทับกันสนิท โหราศาสตร์ไทยก็ทราบ เพราะมาจากหลักครูเดียวกัน แต่เราต้องรู้ก่อนว่าอ่านเพื่ออะไร การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์สามารถอ่านได้จากความสัมพันธ์ในธรรมชาติส่วนใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างธาตุในดวงชะตาเดิม หรือความสัมพันธ์ระหว่างดาว ในจักรวาล ดังนั้น โหราศาสตร์ไทยจึงเลือกทั้งสองความสัมพันธ์ คือ ทั้งธาตุ และดาว เมื่ออ่านธาตุได้ความจริงแล้ว ก็อ่านดาวเพียงประกอบเท่านั้น จึงไม่เข้มงวดเรื่ององศา ในขณะที่โหราศาสตร์ระบบที่ต้องอ่านธรรมชาติเทียบเคียง จำเป็นต้องอ่านมุมดาวที่ชัดเจนกว่า เพราะไม่มีระบบเรือนธาตุเป็นทางเลือก จึงต้องเข้มงวดเรื่ององศาไปด้วย

.........ที่เล่าให้ฟังมาข้างต้นทั้งหมดนี้แหละครับ เป็นเรื่องจริงของโหราศาสตร์ไทย แบบเรือนชะตา หรือ “ดวงอีแป่ะ”

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 35 คุณ moon ...........บุญวาสนาไม่ใช่ได้มาโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรนะครับ คนที่มีบุญวาสนา เขาทำบุญมาก่อนแล้วทั้งนั้น แต่เรื่องการมีอาจารย์นั้น ส่วนใหญ่พวกเราจะแสวงหามากไปจนลืมนึกถึงตัวเอง อันที่จริงการรู้โหราศาสตร์มีอยู่หลายระดับ เช่น รู้ทางปฏิบัติ รู้ทางคำนวณ รู้ทฤษฎี และ วิธีสร้างระบบโหราศาสตร์ เป็นต้น ถ้าเราไม่มีอาจารย์ เราก็รู้ทางปฏิบัติได้ ในบรรดา ตำรับตำรา โหราศาสตร์ไทย ที่มีขายกันอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ เพียงพอที่เราจะเรียนรู้ทางปฏิบัติได้เป็นอย่างดี ถ้าเรานำมาลองใช้ดู คอยสังเกตว่าอันใดได้ผล ก็เก็บไว้ใช้ให้คล่อง อันใดไม่ได้ผล ก็เอาแขวนขึ้นหิ้งไว้ ไม่ต้องไปสนใจว่าจะเป็นของจริงหรือของปลอม ถ้าหากทำเช่นนี้จนเชี่ยวชาญ เราจะดูดวงพยากรณ์ได้คล่อง เพียงแต่จะอธิบายเหตุผลที่มาของมันไม่ได้เท่านั้นเอง

........หมอดูบางคนก็ทำเช่นนี้ สมัยผมยังเด็ก มีคุณลุงหมอดูเก่งมากอยู่ท่านหนึ่ง เช่าบ้านอยู่แถววัดเลียบ ผมไปเลียบเคียงถามท่านว่ามีวิชาใด จึงดูหมอได้แม่นมาก แม่นจริงๆ ขนาดมือชั้นอาจารย์เทียบตัวต่อตัวไม่ได้ เมื่อไปถามบ่อยเข้า ท่านก็เปิดเผยอย่างไม่อายว่า ไม่เคยมีวิชาหรืออาจารย์เลย แต่อาศัยเรียนจากตำราเล่มละไม่กี่ บาท สมัยนั้น แล้วก็ไปฟังเขาบ้าง อาศัยครูพักลักจำ และเป็นคนช่างสังเกต หัดฝึกฝนจนชำนาญ ผมเคยดูดวงของท่านก็ไม่ได้มีญาณความรู้พิสดารอะไรเลย สติปัญญาก็ปานกลาง แต่มีความขยันอดทน และละเอียดรอบคอบดีเท่านั้น คุณลองดูคุณสมบัติของท่าน เพียงเท่านี้ ก็เชี่ยวชาญได้แล้ว พวกเราสมัยนี้มีตำหรับตำราช่วยมากมาย จะทำบ้างก็ไม่ยากเลย

.........คุณลุงท่านนั้น คือ “หมอเส็ง วัดเลียบ” นามสกุลจริงของท่านผมจำไม่ได้แล้ว ท่านเรียนหนังสือแค่ ป. 3 เท่านั้นเอง วันวันหนึ่งมีลูกค้าตั้งแต่เช้า เข้าคิวกันยาวไปยันเที่ยงคืนก็มีบ่อยๆ เสียเงินคนละ 5 บาท แต่คนจนๆท่านก็ดูให้ฟรี ความชำนาญของท่านก็เหมือนแม่ค้าทำขนมอร่อย คนติดกันทั้งบ้านทั้งเมือง โดยไม่เคยไปเรียนวิทยาศาสตร์การอาหารใดๆเลย ต่างกับอาจารย์โหราศาสตร์บางท่าน เรียนวิชามามากมายสารพัด ตำรามีอยู่เต็มบ้าน ลูกศิษย์เต็มเมือง แถมเก็บเงินหัวละหลายพัน แต่ทายใครไม่ค่อยจะถูก เพราะหวงวิชา จึงแต่งตำราเป็นเท็จออกมาขายหลอกลวงชาวบ้าน ให้คนหลงทางไปทางอื่น แล้ว “ครู” ที่ไหนท่านจะมาอยู่ด้วยเล่า

..........“รู้อะไร รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล ”

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 35 คุณ เนย..........พฤหัสเป็นนิจที่เรือน (ไม่ใช่ “ภพ”) กดุมภะ พฤหัส ก็มาจากเรือนตนุ และพันธุใช่ไหม แสดงว่าตัวเองจะต้องออกแรง เหนื่อยยากในการก่อร่างสร้างตัว สร้างสมบัติ ส่วนการที่จะมีเงินหรือไม่มีเงิน ต้องดูดาวอื่นๆด้วยครับไม่ใช่ดูดาวดวงเดียว บางคนไม่เอาไหน เที่ยวดึกยันเช้าไม่ยอมทำงาน แต่เป็นลูกเศรษฐี ก็มีเงินได้เหลือเฟือถมเถไป ต้องพยายามเตือนตัวเองว่า จะไม่ดูดาวดวงเดียว ถ้าดูดาวดวงอื่นไม่ได้ ก็จะดูเรือน ถ้าดูเรือนไม่ได้หากดูดาวดวงเดียวก็ต้องดูให้ได้หลายความหมาย มิฉะนั้นก็จะเรียนโหราศาสตร์วนเวียนไม่ไปไหนสักที

0

ความคิดเห็นที่ 41โดย คุณ วรกุล

18 feb 2005 04:44#811446ลบ

ตอบ 37 คุณ นร. เรื่องฤกษ์บน ฤกษ์ล่าง มีหลายทฤษฎีนะครับ เรื่องมันก็ยาวด้วย เรื่องของฤกษ์จะให้พูดทั่วๆไปคุณอ่านหนังสือเอาก็ได้ บังเอิญร่ายกายผมยังไม่ดีมาก ยังนัดหมออยู่ หมออยากให้ผมพักสมองบ้าง และคอมพ์ก็ยังไม่ดีด้วย เสียวๆอยู่ ซ่อมแล้วยังขัดข้อง ผมต้องใช้เครื่องนี้ทำงาน ขอผ่านไปก่อนครับ

0000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 38 39 คุณ asthaiwin และ คุณกล้วย ผมเคยสอนเมื่อราว 25 ปี ก่อนครับ เลิกมานานแล้ว แต่เป็นการสอนในห้องเรียนธรรมดา ส่วนศิษย์ที่สอนเฉพาะวิชายังไม่เคยรับศิษย์ เพราะเรียนยากและไม่มีเวลา นอกจากศิษย์บางคนมาขอความรู้บ้าง เหมือนที่เราถามกันในอินเตอร์เน็ทนี้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้สอนใครอีกเลย

ความคิดเห็นที่ 42โดย คุณ นร.

18 feb 2005 09:56#811549ลบ

เรียน อาจารย์วรกุล

ผมเป็นคนช่างสงสัย เวลาสนใจอะไรแล้ว ก็ชอบถามโน่น ถามนี้ ไปเรื่อยๆ บางทีก็ไม่ควรถามเพราะภูมิความรู้ยังน้อย แต่ยังไงก็หวังว่า อาจารย์จะเมตตาตอบคำถามผมต่อไปนะครับ ถ้าท่านอาจารย์มีอะไรจะชี้แนะหรือติติงผมยินดีรับฟังทุกๆประการ

ขอบคุณมากๆครับ

ความคิดเห็นที่ 43โดย คุณ ช่วยกัน

18 feb 2005 10:56#811601ลบ

การคำนวณดาวแบบสุริยยาตร์เหมาะสำหรับใช้พยากรณ์เกี่ยวกับธาตุใช่ไหมครับ

แล้วดาวที่คำนวณแบบดาราศาสตร์เหมาะสำหรับพยากรณ์แบบมุมดาวหรือเปล่าครับ

ความคิดเห็นที่ 44โดย คุณ วรกุล

19 feb 2005 08:29#812353ลบ

ตอบ 43 คุณ ช่วยกัน ...........พูดอย่างนั้นก็พอได้ครับ แต่ต้องเข้าใจว่า ปฏิทินสุริยาตร์นั้นใช้กับวงรอบธรรมชาติและมุมดาวไม่ดีนัก ถ้าหากจะดูแบบสากล ส่วนปฏิทินดาราศาสตร์ก็ใช้กับระบบธาตุไม่ได้ทุกระดับ ระบบธาตุนั้นมีหลายระดับ ซับซ้อนมาก ในระดับดาวโคจรก็มี ดังนั้น จะสรุปว่าปฏิทินใด ใช้กับแบบใด
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบ 71 คุณ นร.........ตอบไม่ได้ครับ ผมไม่ได้เห็น ตารางที่ว่านั้นนานแล้ว เลยไม่ทราบว่าตรงกับที่คุณเห็นหรือไม่ บังเอิญมีประเด็นที่เกี่ยวข้องอยู่ อาจจะเป็นคำตอบก็ได้.........วิชาทางโหราศาสตร์ และ ไสยศาสตร์ของจีน มีการเรียงธาตุไม่เหมือนมหาทักษาของไทย ข้อแตกต่างใหญ่ๆ มี สอง ประการ

.......หนึ่ง......ทักษาของไทย ที่เรียกว่า ทักษาคู่ธาตุ หรือ “มหาทักษา” กระแสธาตุมีการโคจรเวียนขวา หรือ “ทักษิณา” ( คือ เคลื่อนที่ไปเป็นวงรอบ โดยหันมือขวา เข้าด้านในตรงกลาง ) แล้วไปหยุดสถิตอยู่ตามทิศที่เป็นแหล่งธาตุแต่ละชนิด รวม 8 ทิศ การโคจรของมันเวียนเป็นวงจรวัฏจักร........ มหาทักษา ไม่มีอะไรที่จุดศูนย์กลางหรือตากลาง วงจรทักษาเป็นแนวเชิงเส้น เหมือนเส้นเชือกที่วกกลับมาบรรจบเป็นวงกลมเท่านั้น ต่างจาก ธาตุของจีน ที่มีกระแสธาตุ เข้า และ ออก จากจุดศูนย์กลาง ตามแนวรัศมี ทั้งแปดทิศ และทิศบน ทิศล่าง อีก รวมเป็น 10 ทิศ ดังนั้น แม้การกำหนดทิศของธาตุ จะคล้ายกัน เมื่อมองจากจุดศูนย์กลาง แต่การโคจรของธาตุจะไม่เหมือนกัน

.......สอง.......มหาทักษาของไทยนั้น ธาตุต่างๆเป็นธาตุที่แตกตัวไปจากอาทิตย์ แล้วส่งผ่านมายังโลก โดยโลกหมุนเข้าไปรับธาตุเหล่านั้น เข้ามาสะสมอยู่ในตัวเอง โบราณจึงถือว่าเป็นธาตุใน “ธรณี” อาทิตย์ในโหราศาสตร์ไทย เป็นแหล่งของพลังงานชีวิตและธาตุของ “จักรวาล” ทั้งหมดด้วย ดังนั้นอาทิตย์จึงเป็นประธาน ในจักรวาล ดาวอื่นๆถือว่าเป็นบริวารที่จะต้องรับธาตุจากอาทิตย์...........ต่างจากระบบธาตุของจีนที่ถือว่าอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงาน และธาตุ ก็จริง แต่เป็นการเผาผลาญเรื่อยไป แต่ดาวพฤหัส เป็นผู้รับพลังงานชีวิตและธาตุเหล่านั้นมาสะสมไว้ แล้วเป็นผู้แจกจ่ายให้แก่บริวารทั้งหลาย จีนจึงถือ พฤหัส เป็นประธาน และเป็นจุดเจ้าชะตาสำคัญกว่าอาทิตย์ เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะโหราศาสตร์ และไสยศาสตร์จีน ใช้ระบบดาวฤกษ์ร่วมด้วย ดังนั้น พฤหัสจึงเป็นผู้รับธาตุจากดาวฤกษ์อื่นมาให้แก่บริวาร อีกเช่นกัน จึงมีอำนาจมากกว่าดาวอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ จีน จึงมักสมมุติ พฤหัส เป็นประธานแห่งเทพ คือ เง็กเซียนฮ่องเต้ ในขณะที่ อาทิตย์ และดาวฤกษ์อื่น เป็นเพียงจักรพรรดิ์ หรือ กษัตริย์เท่านั้น..........โหราศาสตร์จีนที่ใช้ “พฤหัสจักร” จึงถือว่ามีวงรอบอิทธิพลสูงกว่า “สุริยจักร” หรือที่ไทยเราเรียกว่า “ราศีจักร” นั่นเอง แผนภูมิธาตุของจีน ที่คุณเห็นเขียนเลข 5 ไว้ตรงกลาง จึงน่าจะหมายถึงการกระจายธาตุจากพลังของพฤหัส ไม่ใช่อาทิตย์ แต่ผมก็อาจจะเข้าใจผิดได้

.........โหราจารย์ของไทยเรา ก็ทราบเรื่อง พฤหัส เป็นอย่างดี ใน วิชาพฤหัสจักร ของไทย ก็ถือพฤหัส เป็นดาวประธานที่สำคัญ เป็นเคล็ดที่รู้ดีในหมู่โหรไทยอยู่แล้วว่า ธรรมดาดาวจร ที่จะเกิดเหตุการณ์ นั้น จำเป็นต้องได้รับ แสง คือ กระแสธาตุ และพลัง จากอาทิตย์ก่อนทุกดวง ยกเว้นแต่ พฤหัส เพียงดวงเดียวไม่จำเป็น เพราะพฤหัสมีพลังอยู่ในตัวเอง ในนิทานโหราศาสตร์ จึงเปรียบเทียบ พฤหัส เป็นอาจารย์ ฤาษี ส่วนอาทิตย์เป็นลูกศิษย์ ก็เพราะเหตุนี้แหละ แต่โดยเหตุที่พฤหัสมีพลังธาตุจากดาวฤกษ์ร่วมด้วย ความรู้จึงมากกว่าลูกศิษย์คืออาทิตย์ แต่ศิษย์ที่รู้มากมักทรนงตัวว่าเก่งกว่าอาจารย์ เพราะมีแสงแสบตากว่า เผลอๆมักคิดล้างครู ครูก็เลยต้องเก็บความรู้บางส่วนเอาไว้ ไม่สอนจนหมด.........ประโยคนี้ไม่ได้พูดเล่น แต่เป็น “ความรู้” ทางโหราศาสตร์ไทย ไปแปลเอาเองเถอะ

...........เห็นบ่อยๆว่า ในเมืองไทย มีอาจารย์ฮวงจุ้ยบางท่าน สอนวิชาฮวงจุ้ย แต่ท่านเอาแผนภูมิ มหาทักษาของไทยไปกำหนดทิศโคจรธาตุ มีทิศศรี และกาลีเสียด้วย บอกว่าเป็นโหราศาสตร์ไทย ประยุกต์กับจีน ไม่มีใครทราบว่าผิดหรือถูก ที่น่าทึ่งคือท่านใช้ เนปจูน และ พลูโต เป็นเกษตรราศี หากใช้ทำนายยังพอฟังได้ แต่ทราบว่าท่านใช้เนปจูน และพลูโตร่วม ธาตุ ในมหาทักษาด้วย นึกไม่ออกว่าเอาไปใช้อย่างไร

.........เหตุนี้แหละ ครูโหรท่านจึงเก็บความลับใน มหาทักษา ให้ยังคงเป็นความลับตลอดไป เพื่ออนุรักษ์ความรู้ดั้งเดิมเอาไว้ และมอบให้เฉพาะแก่ผู้เหมาะสมเท่านั้น แต่ไม่ใช่ เอามหาทักษามา เวียนซ้าย นะ อันนั้นเป็นเคล็ดลับปลอมๆที่เขาหลอกเอาเงินลูกศิษย์ บาปกรรมจริงๆ ใครจดไว้ให้ลบออกด้วย......จะได้บุญ


วรกุล - 26 มีนาคม พ.ศ.2548 05:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียนอาจารย์วรกุล ขอขอบคุณอาจารย์มากครับ ที่กรุณาคัดลอกข้อความจาก กระทู้ “ กระทู้นี้เพื่อผู้ศึกษาวิชาโหราศาสตร์ไทยได้ถามไถ่ (3)” โดย อาจารย์การเวก (กรวิก) ขึ้นมาเป็นกระทู้ส่วนขยาย ให้ได้มีโอกาสได้อ่านได้ศึกษาเป็นแนวทางหลัก เป็นหลักวิชาที่นำมาซื่งความเข้าใจในปัจจุบัน และความเข้าใจในอนาค นับได้ว่าเป็นของขวัญปีใหม่ที่มีค่ามากที่สุดครับ....


ศ.fa200 - 27 มีนาคม พ.ศ.2548 18:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
จากความคิดเห็นที่ 4......ขอแก้ไขหน่อยครับ การเวียนขวาของทักษา ภาษาหนังสือ เรียกว่า “ทักษิณาวรรค” แต่ โหรชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า “ทักษิณา” เข้าใจตามนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีคนท้วงก่อน

ตอนที่แล้ว เราหยุดอยู่ที่ความพยายามในการเปรียบเทียบธรรมชาติหนึ่ง กับธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอ่านชะตาชีวิต จากข้อมูลทางดาราศาสตร์ หรือ ดาราจักร ผมได้เล่าไว้ในความคิดเห็นที่ 66 แล้วว่า เมื่อเราเทียบระหว่างจุดเกิด และจุดดับที่ตรงกันในธรรมชาติหลายอย่าง จะมีเหตุการณ์ความเป็นไปที่เหมือนกัน เมื่อเราทราบความเป็นไปของธาตุ ที่เป็นสื่อกลางความหมายที่ธรรมชาติสองอย่างสมนัยกัน ก็จะเข้าใจชีวิตได้

ชีวิตคืออะไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่โหราศาสตร์โบราณรู้มาก่อนนานหลายพันปีแล้วว่า ชีวิตไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นเอกเทศกระแสเดียวโดดๆ แต่ชีวิตเป็นกระแสของธรรมชาติจำนวนมากที่เกี่ยวพันกัน เหมือนเชือกที่ถูกฟั่นขึ้นจากเกลียวเชือกเล็กๆจำนวนมาก แต่แม้จะมีความเกี่ยวพันกัน กระแสธรรมเหล่านี้แต่ละอย่างก็มีความอิสระ และจะก่อตัวขึ้นเป็นระบบย่อยๆของมันอีกมากมาย ในรูปแบบที่แน่นอนคงตัวเป็นอัตโนมัติ รูปแบบเหล่านั้นเป็นไปเองเหมือนถูกกำหนด ไว้แน่นอน “ธรรม”เหล่านี้ โหราศาสตร์เรียกว่า “ธาตุ” ธาตุแต่ละระบบ เรียกว่า “ภพ” และระดับ ของแต่ละภพ เรียกว่า “ภูมิ” ธาตุทั้งหลายจะมีตำแหน่งที่อยู่ในภพและภูมิตามเวลาที่แตกต่างกัน และ อย่างที่บอกแล้วว่า ธาตุในแต่ละธรรมชาติ มีทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม และ สัจธรรม

ธาตุจะเปลี่ยนสภาพไป เมื่อมีการเปลี่ยนภพ หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เมื่อเปลี่ยนภพ จะเปลี่ยนสภาพ ธาตุจะสามารถเปลี่ยนภพและภูมิได้ โดยปัจจัยหลายอย่าง โหราศาสตร์ทางธาตุใช้การเปลี่ยนภพภูมิของธาตุมากำหนดในการอ่านเรื่องของเหตุการณ์ และเอาเหตุการณ์กลับไปอ่านการเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดตาม ต่อๆมาอีก..........หลักการของโหราศาสตร์ระบบธาตุก็มีอยู่เท่านี้ แต่มีรายละเอียดมากในการปฏิบัติ

การจำแนกธาตุนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะธาตุแต่ละภพ หรือระบบ แม้จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมที่เหมือนกัน ก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน เช่นโบราณถือว่าธาตุเกิดจากดวงอาทิตย์ เพราะอาทิตย์เป็นแหล่งของชีวิต ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานธาตุออกมา แล้วกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ ดวงอาทิตย์ทางดาราศาสตร์ ก็ถือเป็นธาตุ แต่เมื่อเทียบ กับธาตุอาทิตย์ในระบบต่างๆก็ไม่เหมือนกัน ธาตุอาทิตย์ก็ เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง ที่มีความแตกต่างกันอยู่ในแต่ระบบ หรือ ภพ ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า ดาวอาทิตย์ในชะตาเดิม และ ชะตาจร อาทิตย์ใน มหาทักษา กับ เกษตรอาทิตย์ในราศีจักร ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพียงแต่คล้ายกันทางปรัชญา และจะแปรเปลี่ยนสภาพสู่กันได้ทางกลไกระบบธาตุ นอกจากนี้ธาตุยังอาจผสมกันได้ แตกตัวได้ หรือ เกาะกลุ่มเรียงกันเป็นวัฏจักร เช่น มหาทักษา ก็ได้

ที่สำคัญที่สุด คือกรรม และ การกระทำของมนุษย์ ทำให้ธาตุเปลี่ยน “ภพ” คือระบบ และ “ภูมิ” คือระดับได้ ทำให้เราอ่านเหตุการณ์ต่างๆในชะตาชีวิตเปลี่ยนไป โดยที่กระแสธรรมชาติในดาราจักรยังคงเหมือนเดิม

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังถึงโหราศาสตร์ที่ใช้วิธีพิจารณา....วงรอบธรรมชาติ....มาแล้ว (ดูความเห็นที่ 64 ) ว่ามีวิธีพิจารณา เหตุการณ์ตามอายุในดวงชะตา หรือดวงเดิม แต่เราจะสังเกตได้ว่า หากใช้การพิจารณาสิ่งที่คงที่ เช่น ใช้วัน เดือน ปี เกิด อย่างเดียว จะได้รูปแบบที่ซ้ำกัน เช่น กรณีคนเกิดวันจันทร์ อังคาร ฯลฯ เมื่อเข้ามหาทักษาก็จะเหมือนกัน หรือกรณีเลข 7 ตัวก็ตาม แม้จะมีรูปแบบมากกว่า แต่ก็ซ้ำกันจนได้ ดังนั้น โหราศาสตร์ไทยจึงไม่ได้ใช้เทคนิคเดียวในการพิจารณาเหตุการณ์ โดยทั่วไปจะพิจารณา “เกณฑ์” ดวงเดิม เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดจากวงรอบวัน เดือน ปี ก่อน แล้วจึงใช้โหราศาสตร์ราศีจักรเข้าพิจารณาร่วมด้วย

การพิจารณาอายุ ที่จะเกิดเหตุการณ์ ในระบบธาตุยุ่งยากขึ้น แต่เหตุการณ์จะชัดเจนขึ้น ในระบบธาตุเองมีวิธีที่จะพิจารณาเรื่องนี้ แบ่งเป็นสองทาง คือ ทางแรกใช้การตั้งต้นจาก “ธาตุเดิม” ของดวงชะตา แล้วคำนวณการแปรเปลี่ยนไปของธาตุ ในอัตราที่แน่นอนอันหนึ่ง โดยไม่ต้องดูความเป็นไปจริงๆของธาตุ เช่น สมมุติเรามีดวงชะตาเด็กคนหนึ่ง เราสามารถดูชะตาชีวิตโดยลำดับของเขาได้ โดยการคำนวณเปลี่ยนแปลงของธาตุในดวงเดิมไป ว่าอายุเท่าไร ธาตุจะเกิดปฏิกิริยาอะไร ดังนั้น วิธีนี้ จึงเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าในลักษณะ...อัตราคงที่ ความแม่นยำผิดถูกจึงอยู่ที่เกณฑ์ที่ใช้ และมักจะคลาดเคลื่อนเนื่องจากเวลาเกิด และกรรมที่กระทำโดยเจ้าชะตา โหราศาสตร์ทางธาตุระบบนี้ คือ ที่เราใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ความคลาดเคลื่อนจึงอาจ ผิดได้เป็นปี เช่นพยากรณ์ว่าเจ้าชะตาจะแต่งงานอายุ 30 ปี อาจผิดพลาดได้ ถึง 2 - 3 ปี เนื่องจาก การกระทำของเจ้าชะตาเองมีส่วนผลักดันให้ผิดไป แต่จะมีจุดเด่นที่สามารถบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า เช่น วิชามหาจักร วิชาพฤหัสจักร วิชาตรีทิพย์ เป็นต้น วิชาพวกนี้ใช้ธาตุในดวงเดิมเพียงอย่างเดียว

โหราศาสตร์ทางธาตุแบบที่สอง จะใช้วิธีคำนวณการแปรเปลี่ยนธาตุ จากเหตุการณ์จริงร่วมด้วย เช่น พิจารณาว่าเจ้าชะตาจะร่ำรวย เมื่อแต่งงานได้เป็นเวลา 3 ปีล่วงไป หรือจะไปต่างประเทศ เมื่อมีบุตรคนแรกแล้ว 7 ปี ดังนั้น จะกำหนดรู้ว่าธาตุได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อเจ้าชะตาเริ่มแต่งงานจริง หรือ เริ่มมีบุตรคนแรกจริงๆ เป็นเงื่อนไข ที่จะตั้งต้นนับเวลา เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา หากเหตุการณ์ต้นเหตุยังไม่เกิด ก็จะยังไม่ทำนาย หลักเช่นนี้ เป็นหลัก เหตุ และ ผล ในเรื่องจริงของชะตาชีวิตของคนแต่คนมากกว่า เพราะกรรมจากการกระทำจริงของบุคคล จะทำให้เรื่องราวในชะตาเดิมถูกเลือกขึ้นมาแสดงผลไม่เหมือนกัน ตัวอย่างง่ายๆ จากกรณี เมาแล้วขับรถ เกิดเป็นอุบัติเหตุเสียชีวิต ดังนั้นหากเจ้าชะตาไม่เมา ก็จะไม่เกิดเงื่อนไขให้เสียชีวิตได้ในอายุนั้น.......การรู้เหตุการณ์จริงของเจ้าชะตาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะพยากรณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลของดาวจร ในขณะที่ธาตุในดวงเดิมแสดงผลชัด โหราศาสตร์ทางธาตุกลุ่มนี้ เช่น วิชาอสีติธาตุวิภังค์ วิชาสุริยโชติรัตน์ เป็นต้น......ทำให้โหรเก่าๆเรียกชื่อย่อๆวิชากลุ่มนี้ว่า วิชา “กรรมใหม่” และวิชากลุ่มที่ดูธาตุเดิมในย่อหน้าก่อนว่า วิชา “กรรมเก่า”

ยังมีโหราศาสตร์ทางธาตุอยู่อีกหลายแบบ ที่ไม่อาศัยธาตุดั้งเดิมจากดวงอาทิตย์ แต่ใช้ธาตุของดวงจันทร์ ที่ได้จากดวงอาทิตย์ โหราศาสตร์ในกลุ่มนี้มีอยู่มาก ที่ถูกพัฒนามาหลายรูปแบบ แต่ที่ยังคงรักษาการปรับเข้าราศีจักรได้ดี คือ วิชาวีสตรี (วีสะ – ตรี) เป็นวิชาหวงแหนของนักโหราศาสตร์ ที่ศึกษาไสยศาสตร์ เพราะศึกษาธาตุท้องถิ่น และกรรมต่างๆ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอย่างเข้าใจดี โหรที่เชี่ยวชาญวิชาคาถาอาคมสมัยโบราณ มักจะรู้วิชานี้ แต่ต่อมา กลับตกทอดในหมู่สตรีเพศเป็นส่วนใหญ่ นำมาใช้ป้องกันตัว และสมบัติบ้านเรือน คนสมัยก่อน ท่านใช้วิชาวีสตรีนี้แหละ คู่กับไสยศาสตร์ เสกตุ๊กตาดินเหนียวให้เฝ้าบ้านและสวน แม้จะทิ้งบ้านไปไหนนานนับเดือน ก็ไม่มีศัตรูหรือขโมยหน้าไหน หาทางเข้าบ้าน หรือ หาบ้านเจอได้ หรือใช้ในการเอาสมบัติใส่ตุ่มฝังซ่อนไว้ในดิน แม้จะฝังไว้ตื้นๆ แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ หากไม่รู้วิธี และ วันเวลาถอดรหัส นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าโบราณท่านเข้าใจวิชาธาตุได้ลึกซึ้ง รู้ว่าธาตุจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และ เมื่อใด จึงจะมีผลได้


วรกุล - 28 มีนาคม พ.ศ.2548 16:49น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
เรียนทุกท่าน.........กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว จะทำให้โหลดได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่สองครับ.............


วรกุล - 29 มีนาคม พ.ศ.2548 04:08น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
no. 5 (81372) วรกุล 28-03-2005 16:49:08

จาก4......ขอแก้ไขหน่อยครับ การเวียนขวาของทักษา ภาษาหนังสือ เรียกว่า “ทักษิณาวรรค” แต่ โหรชาวบ้านเรียกกันสั้นๆว่า “ทักษิณา” เข้าใจตามนี้นะครับ เดี๋ยวจะมีคนท้วงก่อน

ตอนที่แล้ว เราหยุดอยู่ที่ความพยายามในการเปรียบเทียบธรรมชาติหนึ่ง กับธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ การอ่านชะตาชีวิต จากข้อมูลทางดาราศาสตร์ หรือ ดาราจักร ผมได้เล่าไว้ใน66 แล้วว่า เมื่อเราเทียบระหว่างจุดเกิด และจุดดับที่ตรงกันในธรรมชาติหลายอย่าง จะมีเหตุการณ์ความเป็นไปที่เหมือนกัน เมื่อเราทราบความเป็นไปของธาตุ ที่เป็นสื่อกลางความหมายที่ธรรมชาติสองอย่างสมนัยกัน ก็จะเข้าใจชีวิตได้

ชีวิตคืออะไร ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ยังไม่รู้ว่าชีวิตคืออะไร แต่โหราศาสตร์โบราณรู้มาก่อนนานหลายพันปีแล้วว่า ชีวิตไม่ใช่ธรรมชาติที่เป็นเอกเทศกระแสเดียวโดดๆ แต่ชีวิตเป็นกระแสของธรรมชาติจำนวนมากที่เกี่ยวพันกัน เหมือนเชือกที่ถูกฟั่นขึ้นจากเกลียวเชือกเล็กๆจำนวนมาก แต่แม้จะมีความเกี่ยวพันกัน กระแสธรรมเหล่านี้แต่ละอย่างก็มีความอิสระ และจะก่อตัวขึ้นเป็นระบบย่อยๆของมันอีกมากมาย ในรูปแบบที่แน่นอนคงตัวเป็นอัตโนมัติ รูปแบบเหล่านั้นเป็นไปเองเหมือนถูกกำหนด ไว้แน่นอน “ธรรม”เหล่านี้ โหราศาสตร์เรียกว่า “ธาตุ” ธาตุแต่ละระบบ เรียกว่า “ภพ” และระดับ ของแต่ละภพ เรียกว่า “ภูมิ” ธาตุทั้งหลายจะมีตำแหน่งที่อยู่ในภพและภูมิตามเวลาที่แตกต่างกัน และ อย่างที่บอกแล้วว่า ธาตุในแต่ละธรรมชาติ มีทั้งที่เป็นรูปธรรม นามธรรม และ สัจธรรม

ธาตุจะเปลี่ยนสภาพไป เมื่อมีการเปลี่ยนภพ หรือพูดอีกอย่างได้ว่า เมื่อเปลี่ยนภพ จะเปลี่ยนสภาพ ธาตุจะสามารถเปลี่ยนภพและภูมิได้ โดยปัจจัยหลายอย่าง โหราศาสตร์ทางธาตุใช้การเปลี่ยนภพภูมิของธาตุมากำหนดในการอ่านเรื่องของเหตุการณ์ และเอาเหตุการณ์กลับไปอ่านการเปลี่ยนภพภูมิของธาตุ เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดตาม ต่อๆมาอีก..........หลักการของโหราศาสตร์ระบบธาตุก็มีอยู่เท่านี้ แต่มีรายละเอียดมากในการปฏิบัติ

การจำแนกธาตุนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะธาตุแต่ละภพ หรือระบบ แม้จะเป็นรูปธรรม หรือนามธรรมที่เหมือนกัน ก็มีคุณสมบัติที่ไม่เหมือนกัน เช่นโบราณถือว่าธาตุเกิดจากดวงอาทิตย์ เพราะอาทิตย์เป็นแหล่งของชีวิต ดวงอาทิตย์ส่งพลังงานธาตุออกมา แล้วกระจายออกแปรเปลี่ยนเป็นธาตุอื่นๆ ดวงอาทิตย์ทางดาราศาสตร์ ก็ถือเป็นธาตุ แต่เมื่อเทียบ กับธาตุอาทิตย์ในระบบต่างๆก็ไม่เหมือนกัน ธาตุอาทิตย์ก็ เป็นเพียงธาตุชนิดหนึ่ง ที่มีความแตกต่างกันอยู่ในแต่ระบบ หรือ ภพ ดังนั้น ดวงอาทิตย์ในท้องฟ้า ดาวอาทิตย์ในชะตาเดิม และ ชะตาจร อาทิตย์ใน มหาทักษา กับ เกษตรอาทิตย์ในราศีจักร ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน เพียงแต่คล้ายกันทางปรัชญา และจะแปรเปลี่ยนสภาพสู่กันได้ทางกลไกระบบธาตุ นอกจากนี้ธาตุยังอาจผสมกันได้ แตกตัวได้ หรือ เกาะกลุ่มเรียงกันเป็นวัฏจักร เช่น มหาทักษา ก็ได้

ที่สำคัญที่สุด คือกรรม และ การกระทำของมนุษย์ ทำให้ธาตุเปลี่ยน “ภพ” คือระบบ และ “ภูมิ” คือระดับได้ ทำให้เราอ่านเหตุการณ์ต่างๆในชะตาชีวิตเปลี่ยนไป โดยที่กระแสธรรมชาติในดาราจักรยังคงเหมือนเดิม

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังถึงโหราศาสตร์ที่ใช้วิธีพิจารณา....วงรอบธรรมชาติ....มาแล้ว (ดูความเห็นที่ 64 ) ว่ามีวิธีพิจารณา เหตุการณ์ตามอายุในดวงชะตา หรือดวงเดิม แต่เราจะสังเกตได้ว่า หากใช้การพิจารณาสิ่งที่คงที่ เช่น ใช้วัน เดือน ปี เกิด อย่างเดียว จะได้รูปแบบที่ซ้ำกัน เช่น กรณีคนเกิดวันจันทร์ อังคาร ฯลฯ เมื่อเข้ามหาทักษาก็จะเหมือนกัน หรือกรณีเลข 7 ตัวก็ตาม แม้จะมีรูปแบบมากกว่า แต่ก็ซ้ำกันจนได้ ดังนั้น โหราศาสตร์ไทยจึงไม่ได้ใช้เทคนิคเดียวในการพิจารณาเหตุการณ์ โดยทั่วไปจะพิจารณา “เกณฑ์” ดวงเดิม เพื่อให้ทราบเหตุการณ์ที่เกิดจากวงรอบวัน เดือน ปี ก่อน แล้วจึงใช้โหราศาสตร์ราศีจักรเข้าพิจารณาร่วมด้วย

การพิจารณาอายุ ที่จะเกิดเหตุการณ์ ในระบบธาตุยุ่งยากขึ้น แต่เหตุการณ์จะชัดเจนขึ้น ในระบบธาตุเองมีวิธีที่จะพิจารณาเรื่องนี้ แบ่งเป็นสองทาง คือ ทางแรกใช้การตั้งต้นจาก “ธาตุเดิม” ของดวงชะตา แล้วคำนวณการแปรเปลี่ยนไปของธาตุ ในอัตราที่แน่นอนอันหนึ่ง โดยไม่ต้องดูความเป็นไปจริงๆของธาตุ เช่น สมมุติเรามีดวงชะตาเด็กคนหนึ่ง เราสามารถดูชะตาชีวิตโดยลำดับของเขาได้ โดยการคำนวณเปลี่ยนแปลงของธาตุในดวงเดิมไป ว่าอายุเท่าไร ธาตุจะเกิดปฏิกิริยาอะไร ดังนั้น วิธีนี้ จึงเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้าในลักษณะ...อัตราคงที่ ความแม่นยำผิดถูกจึงอยู่ที่เกณฑ์ที่ใช้ และมักจะคลาดเคลื่อนเนื่องจากเวลาเกิด และกรรมที่กระทำโดยเจ้าชะตา โหราศาสตร์ทางธาตุระบบนี้ คือ ที่เราใช้กันทั่วไปส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ ความคลาดเคลื่อนจึงอาจ ผิดได้เป็นปี เช่นพยากรณ์ว่าเจ้าชะตาจะแต่งงานอายุ 30 ปี อาจผิดพลาดได้ ถึง 2 - 3 ปี เนื่องจาก การกระทำของเจ้าชะตาเองมีส่วนผลักดันให้ผิดไป แต่จะมีจุดเด่นที่สามารถบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ละเอียดกว่า เช่น วิชามหาจักร วิชาพฤหัสจักร วิชาตรีทิพย์ เป็นต้น วิชาพวกนี้ใช้ธาตุในดวงเดิมเพียงอย่างเดียว

โหราศาสตร์ทางธาตุแบบที่สอง จะใช้วิธีคำนวณการแปรเปลี่ยนธาตุ จากเหตุการณ์จริงร่วมด้วย เช่น พิจารณาว่าเจ้าชะตาจะร่ำรวย เมื่อแต่งงานได้เป็นเวลา 3 ปีล่วงไป หรือจะไปต่างประเทศ เมื่อมีบุตรคนแรกแล้ว 7 ปี ดังนั้น จะกำหนดรู้ว่าธาตุได้เริ่มเปลี่ยนแปลงแล้ว เมื่อเจ้าชะตาเริ่มแต่งงานจริง หรือ เริ่มมีบุตรคนแรกจริงๆ เป็นเงื่อนไข ที่จะตั้งต้นนับเวลา เพื่อพยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดตามมา หากเหตุการณ์ต้นเหตุยังไม่เกิด ก็จะยังไม่ทำนาย หลักเช่นนี้ เป็นหลัก เหตุ และ ผล ในเรื่องจริงของชะตาชีวิตของคนแต่คนมากกว่า เพราะกรรมจากการกระทำจริงของบุคคล จะทำให้เรื่องราวในชะตาเดิมถูกเลือกขึ้นมาแสดงผลไม่เหมือนกัน ตัวอย่างง่ายๆ จากกรณี เมาแล้วขับรถ เกิดเป็นอุบัติเหตุเสียชีวิต ดังนั้นหากเจ้าชะตาไม่เมา ก็จะไม่เกิดเงื่อนไขให้เสียชีวิตได้ในอายุนั้น.......การรู้เหตุการณ์จริงของเจ้าชะตาจึงเป็นจุดสำคัญที่จะพยากรณ์ได้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลของดาวจร ในขณะที่ธาตุในดวงเดิมแสดงผลชัด โหราศาสตร์ทางธาตุกลุ่มนี้ เช่น วิชาอสีติธาตุวิภังค์ วิชาสุริยโชติรัตน์ เป็นต้น......ทำให้โหรเก่าๆเรียกชื่อย่อๆวิชากลุ่มนี้ว่า วิชา “กรรมใหม่” และวิชากลุ่มที่ดูธาตุเดิมในย่อหน้าก่อนว่า วิชา “กรรมเก่า”

ยังมีโหราศาสตร์ทางธาตุอยู่อีกหลายแบบ ที่ไม่อาศัยธาตุดั้งเดิมจากดวงอาทิตย์ แต่ใช้ธาตุของดวงจันทร์ ที่ได้จากดวงอาทิตย์ โหราศาสตร์ในกลุ่มนี้มีอยู่มาก ที่ถูกพัฒนามาหลายรูปแบบ แต่ที่ยังคงรักษาการปรับเข้าราศีจักรได้ดี คือ วิชาวีสตรี (วีสะ – ตรี) เป็นวิชาหวงแหนของนักโหราศาสตร์ ที่ศึกษาไสยศาสตร์ เพราะศึกษาธาตุท้องถิ่น และกรรมต่างๆ รวมทั้งอารมณ์ความรู้สึกอย่างเข้าใจดี โหรที่เชี่ยวชาญวิชาคาถาอาคมสมัยโบราณ มักจะรู้วิชานี้ แต่ต่อมา กลับตกทอดในหมู่สตรีเพศเป็นส่วนใหญ่ นำมาใช้ป้องกันตัว และสมบัติบ้านเรือน คนสมัยก่อน ท่านใช้วิชาวีสตรีนี้แหละ คู่กับไสยศาสตร์ เสกตุ๊กตาดินเหนียวให้เฝ้าบ้านและสวน แม้จะทิ้งบ้านไปไหนนานนับเดือน ก็ไม่มีศัตรูหรือขโมยหน้าไหน หาทางเข้าบ้าน หรือ หาบ้านเจอได้ หรือใช้ในการเอาสมบัติใส่ตุ่มฝังซ่อนไว้ในดิน แม้จะฝังไว้ตื้นๆ แต่ก็ไม่มีใครหาเจอ หากไม่รู้วิธี และ วันเวลาถอดรหัส นี่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าโบราณท่านเข้าใจวิชาธาตุได้ลึกซึ้ง รู้ว่าธาตุจะมีปฏิกิริยาอย่างไร และ เมื่อใด จึงจะมีผลได้


webmaster ปรับตัวอักษร - 1 เมษายน พ.ศ.2548 00:56น. (IP: 0.0.0.0)