ฤกษ์งาม-ยามดี

พอตกเวลาสายวันอาทิตย์
สามศิษย์ซึ่งเป็นหนึ่งหมอกับสองครู อยู่พร้อมหน้ากันบนกุฏิหลวงตาชื้นเช่นเคย เพราะวันอาทิตย์หลวงตาชื้นมักจะมีแขกมาเยี่ยมเยือนมากกว่าวันปกติทั้งหมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ จึงถือเป็นหน้าที่จะต้องมาคอยปรนนิบัติรับใช้เป็นประจำ เป็นการแสดงกตัญญุตาคุณต่อครูบาอาจารย์
ครูก้อนมองสารรูปหมอเถาอย่างพินิจพิจารณาหลายตลบและยิ้มๆทัก “วันนี้ดูหมอเถาแปลกตาไปแยะ”
ครูสมศักดิ์พลอยสังเกตบ้าง ก็เห็นจริง “นั่นซี ดูค่อยมีราศีคุณหมอขึ้นมาหน่อย”
หมอเถาดูตัวเองแล้วก็ดูหน้าเพื่อน ยังไม่ค่อยไว้ใจว่าจะถูกชมหรือถูกล้อเลียน จึงยักคิ้วเล่นๆ
ครูก้อนค่อยบรรจงจับเสื้อและกางเกงซึ่งใหม่เอี่ยม รอยกลีบที่พับวางหงายขึ้นเป็นรอยสี่เหลี่ยมชัด
“เปลี่ยนคราบใหม่ทั้งชุดกระทั่งผ้าขาวม้าคาดพุงทีเดียว ดูค่อยมีมาดเป็นหมอยาก่อนๆมันซอมซ่อดูเป็นหมอผีมากกว่า”
หมอเถาถูกล้อก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย “ชุดเก่ามันขาดเย็บก็ไม่ติด เพราะเนื้อมันเปื่อยเต็มที ก็เลยต้องเปลี่ยน ไม่ได้อยากสวยอยากงามอะไรหรอก”
ครูสมศักดิ์ซึ่งค่อยคุ้นเคยขึ้นจนกล้าถามตรงๆ”ทำไมต้องรอให้ขาดแล้วจึงเปลี่ยนทีละชุดน๊ะหมอเถา ใส่ทั้งปีทั้งชาติก็ใส่สีน้ำเงินชุดเดียวตลอด จนจะกลายเป็นเครื่องแบบไปแล้ว”
“อุบ๊ะ…ถามโง่ๆไปได้” หมอเถาตอบโดยไม่ต้องคิด “ก็ไม่มีสตังค์จะเปลี่ยนมากกว่าหนึ่งชุดนะซี ลำพังชุดเดียวก็ยังต้อยค่อยๆเก็บสตังค์ไว้เป็นเดือน
ครูก้อนซักต่อไปอีก “หมู่นี้ถ้าจะมีไข้ให้รักษา ได้เงินทองดีกระมัง”
“ก็พออาศัยอยู่บ้างหรอก หน้านี้เปลี่ยนฤดูร่างกายคนเรามันปรับตัวตามความร้อนหนาวไม่ทันก็มักเป็นไข้กันมาก” หมอเถาจับเสื้อตัวเองดูแล้วเล่าเปิดเผย “ชุดนี้ไม่ได้ซื้อ รักษาไข้เขาหาย เขาเลยซื้อทำขวัญ”
ครูสมศักดิ์ออกความเห็นว่า “ธรรมดาหมอแผนโบราณเขาต้องตั้งเงินขวัญข้าวค่ารักษากันไว้เป็นราคาเงิน เมื่อรักษาหายก็ชำระกันทำไมหมอเถาไม่ถือแบบอย่าง”
หมอเถานิ่งอึ้ง สีหน้าที่ดูสนุกครึกครื้นดูสลดไป “คนไข้ที่มารักษาหมอไทยส่วนมากล้วนแต่คนยากจนหาเช้ากินเช้าหมด จะกินค่ำก็ต้องหาค่ำอีก ไม่มีเงินพอจะไปฉีดยาวฝรั่ง เพราะฉะนั้นจะหวังเงินทองน่ะมันยาก ส่วนมากรักาหายแล้วมักได้เป็นสิ่งของ ได้ข้าวสารบ้าง ปลาเค็มบ้าง ได้น้ำปลาขวดเดียวก็ยังเคย เหมาะเกิดตายลงค่ารักษาไม่ได้ก็ยังต้องช่วยเป็นสัปเหร่อเสียอีก เพื่อนเอ๋ย หมอมันถึงยากจนเข็ญใจต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหกเดือนต่อชุดยังงี้”
ครูสมศักดิ์ยิ้มไม่ออก คอหอยต้นตันนึกสมเพศเพื่อนซื่อๆโง่ๆเช่นหมอเถาคนนี้ ที่ต้องต่อสู้กับความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นตลอดมาแต่ไม่เคยปริปากคงมีอารมณ์สนุกสนานเฮฮาเหมือนคนมีความสุกเช่นเขาอื่น นึกในใจว่าต้นเดือนจะต้องซื้อชุดใหม่ให้หมอเถาอีกสักชุด
ส่วนครูก้อนแม้จะคิดเช่นเดียวกับครูสมศักดิ์ก็จริงแต่ได้คบหากับหมอเถามานานจนรู้นิสัยดีว่าถ้าให้หมอเถาเปล่า แกปฏิเสธไม่ยอมเอาของใคร ให้ยัดเยียดจนตายก็ไม่รับ จึงคิดอุบายหาทางเสียเงินให้หมอเถา
“เออพ่อหมอ มียาอะไรดีๆขอสักขนาดเถอะเป็นอะไรไม่รู้เหตุ แขนแมนมันปวดเมื่อย นวดน้ำมันเท่าใดก็ไม่หาย”
หมอเถาเป็นคนซื่อคิดว่าจริง “จะต้องกินหยูกยาให้มันเปลืองเงินทำไม มีวิธีรักษาง่ายๆถมไป แขนมันขัดเลือดขัดลมไม่เป็นอะไรหรอก”
ครูก้อนไม่สมคะเน เพราะหมอเถาซื่อมากไปจึงย้ำถามล้อๆ “ใช้วิธีเป่าคาถาหรือรดน้ำมนต์น่ะไม่เอาน๊ะ”
“เออน่ะ…” หมอเถาพยักหน้า “ใช้ท่าดัดตนแบบกายบริหารนี่แหละชะงัดนักสองสามครั้งก็หาย”
“ครูสมศักดิ์ยิ้มชอบใจ “หมอเถาจะรักษาด้วยวิธีสมัยใหม่แบบกายภาพบำบัดละซี”
“ไม่ใช่ของสมัยใหม่นาแบบดึกดำบรรพ์ทีเดียว” หมอเถาท่องโคลงเก่าให้ฟัง
เหยียดหัตถ์ดัดนิ้วนั่ง ชันเพลา
แก้เมื่อยขัดแขนเบา โทษได้
ยาคะรูปนี้เอา ยาชื่อ ใส่เฮย
ผสมสีนักสิทธิ์ให้ ชื่ออ้างอยุทธยาฯ
ครูสมศักดิ์เป็นคนอ่านหนังสือมามากก็จำได้ “นี่มันโคลงฤาษีดัดตนที่จารึกไว้ที่วัดโพธิ์นี่”
“ก็ใช่น่ะซี จารึกศิลาไว้ตามผนังศิลารายรอบวัด ตั้งแต่ปีจุลศักราช 1198 ถึงเดี๋ยวนี้หนึ่งร้อยสามสิบกว่าปีมาแล้ว” หมอเถาท่องจำนวนปีแม่นยำ
หลวงตาชื้นนั่งฟังอยู่นาน ชอบใจหมอเถาอ้างของเก่า ก็พลอยสนับสนุน “ท่าฤาษีดัดตนนี้ ของเขาดีจริง แต่ดั้งเดิมคงจะเป็นด้วยฤาษีท่านนั่งเข้าฌาน นานวันแรมคืนใช้ดัดตนแก้เมื่อยขบ ไหนหมอเถาลองทำให้ดูทีหรืออีท่าไหน จะได้จำเอาไว้ใช้มั่ง”
หมอเถาขยับท่านั่ง ยกเข่าทั้งสองขึ้นชันแนบหน้าอกไว้ แล้วเหยียดตรงไปข้างหน้าจนแขนตึง แบฝ่ามือดัดมาทางข้างหลัง พร้อมทั้งอธิบายเสร็จ “ค่อยๆดัดโน้มมาจนรู้สึกว่าเส้นใต้ท้องแขนตึง พอทนไม่ไหวค่อยปล่อยเลือดลมมันจะวิ่งซู่ตลอดแขนทำสักสองสามคราวก็หายขัด”
หลวงตาชื้นเป็นคนแก่มีโรคเมื่อยประจำจึงสนใจมากกว่าคนอื่น จึงจัดแจงลุกขึ้นทำท่าตามหมอเถา ทดลองทำอยู่พักหนึ่งก็ออกปาก “ถ้ามันเข้าทีว่ะ แขนแมนเบาดี”
หมอเถาลุกขึ้น จับครูก้อนทำท่าให้ถูกแบบ ครูก้อนตกที่นั่งตกกระไดพลอยโจน ก็เลยต้องปล่อยให้หมอเถาปล้ำดัดแขนอยู่หลายรอบจนแขนที่ออกอุบายว่าขัดยอก เกือบจะขัดยอกไปจริงๆ เพราะท่าดัดตน
“หมอเถาเป็นคนมีบุญ ได้เรียนรู้ของดีๆไว้แยะ” ครูก้อนชมจริงใจและก็อดพูดวกมาเป็นเรื่องเล่นมิได้ “มีท่าดัดตนแก้ขี้เกียจเวลาตื่นนอนมั่งไม๊”
“อ๊ะ...มีซี” หมอเถาหลิ่วตาตอบ คิดแก้เผ็ดครูก้อน “เป็นท่าเอกเสียด้วย รับรองผลทีเดียว”
หมอเถาลุกขึ้น จับครูก้อนให้คุกเข่ามือเท้าพื้นเหมือนกำลังคลานสี่ขา แล้วออกคำสั่ง
“เอ้า เอื้อมมือยืดตัวไปข้างหน้า ให้หลังตึงไว้ เออ...น่าน ยังงั้นแล้วทีนี้สะบัดหัวแรงๆหลายๆที นั่น...เอาละ ทีนี้สะบัดลำตัวสั่นเร็วแรงๆให้ร่ายกายมันตื่นตัวถึงจะได้ผล เออ...เด็ด”
เสร็จแล้วหมอเถาหัวเราเอิ๊กชอบอกชอบใจ จนครูก้อนอดแปลกใจถามมิได้ “เออท่านี้รู้สึกเข้าทีดี แต่เอ๊ะ...หมอเถาหัวร่ออะไรหรือ
”หมอเถาตอบทั้งกำลังหัวเราะ “เออ...ครูก้อนทำเหมือนแบบเปี๊ยะ”
ครูก้อนชักเอะใจ “แบบอะไรของหมอเถา”
“แบบหมาตื่นนอนมันสะบัดตัวน่ะซี”
พอหมอเถาไขปัญหาต้นแบบท่าดัดตนก็หัวเราะครืน แม้ตัวครูก้อนเองทั้งๆที่กำลังคลานสี่ขาก็อดหัวเราะที่ตัวถูกหลอกมิได้
เสียงต้นแบบท่าดัดตนของครูก้อน ส่งเสียงเห่ากันเกรียวอยู่ใต้ถุนกุฏิ แสดงว่าเห็นคนแปลกหน้า
และครู่ต่อมา ประตูกุฏิก็เปิดออก แขกที่เข้าประตูมาเป็นชายอายุกลางคตนแต่งกายเรียบร้อยท่าทางภูมิฐานและตามหลังด้วยชายหญิงคู่หนึ่งวัย 50 เศษ ด้วยกันทั้งคู่
เมื่อแขกคนแรกเข้าใกล้ ครูก้อนและครูสมศักดิ์รู้จักจึงยกมือไหว้ทักทาย เมื่อเขานั่งลงกราบหลวงตาชื้นเสร็จก็หันมาทักกับครูทั้งสอง” ซึ่งเคยเป็นผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามาก่อนและแนะนำแขกแปลกหน้าสองสามีภรรยาที่ตามหลังมาให้หลวงตาชื้นรู้จัก
“คุณประวัติและคุณศรี อยู่กรุงเทพฯขอรับ”
หลวงตาชื้นรับไหว้สองผัวเมีย และหันมาถามทุกข์สุขผู้แนะนำซึ่งเคยรับราชการจังหวัดนี้มาก่อนและเหมือนเป็นศิษย์ทางโหราศาสตร์ของท่านคนหนึ่งก่อนชุดหมอเถา
“ท่านศึกษาฯอยุ่เพชรบุรีสบายดีหรือ นานๆครั้งจะได้พบกันสักที”
ศึกษาวิเชียร หันไปเรียนตอบหลวงตาแล้ว ก็ถูกซักจากครูก้อนซึ่งคุ้นเคยกันมาก่อนในราชการ
“โหราศาสตร์นั้นยังเล่นอยู่ หรือทิ้งไปเสียแล้วท่านศึกษาฯ”
ศึกษาวิเชียรตอบตรงๆไม่ปิดบัง “อยู่ห่างหลวงตาไม่กล้าใช้วิชาจริงจัง กลัวพลาดแต่ก็ยังมิได้ทิ้งเสียทีเดียว เข้าวงอับวงราก็ใช้อยู่เสมอ”
คุณประวัติและคุณศรีคลานเข้าหาหลวงตาชื้นประเคนถวายของ มีทั้งใบชาและของอื่นๆ
หลวงตาชื้นรับประเคนแล้วถามตามมารยาทพระ “มีธุระอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าล่ะคุณ”
คุณศรีภรรยาเป็นผู้ตอบ “มีเจ้าค่ะหลวงตา เป็นเรื่องสำคัญถึงคอขาดบาดตายทีเดียว แต่ขอให้ท่านศึกษาฯท่านเป็นผู้เล่าดีกว่าเจ้าค่ะ”
หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ได้ยินว่าเป็นเรื่องสำคัญก็เกรงใจขยับตัวจะเลี่ยงออกไปให้อยู่กันตามลำพัง
ศึกษาฯรู้ใจคนทั้งสามจึงดึงตัวไว้ “ไม่ต้องหลบไปหรอกมิใช่เป็นเรื่องลี้ลับอะไร”
หลวงตาชื้นฟังกำกวมไม่เข้าใจเรื่องราวจึงได้แต่มองหน้าฉงนสนเท่ห์อยู่ จนกระทั่งศึกษาๆวิเชียรเป็นผู้เล่าว่า
“บุตรสาวคนโตของผมมเรียนวิชาครูอยุ่กรุงเทพฯไปเกิดรักใคร่ชอบพอกับบุตรชายคุณประวัติและคุณศรี ซึ่งเรียนวิทยาลัยเดียวกัน ตอนนี้สำเร็จแล้วทั้งคู่ คุณประวัติและคุณศรีขึ้นมาสู่ขอ ผมก็ไม่รังเกียจสินสอดทองหมั้นก็ไม่ได้เรียกสักเก๊เดียวขอแต่ให้เขารักกันจริงผมก็เต็มใจยกให้ กะว่าอีก 2-3 เดือนข้างหน้า จะจัดพิธีแต่งกันในกรุงเทพฯ ทางฝ่ายเจ้าบ่าวเขารับไปหาฤกษ์แต่ง แต่ทางตัวเจ้าบ่าวเวลาเกิดไม่แน่นอน วางดวงชะตาไม่ได้เขาจึงเอาดวงลูกสาวผมไปวางฤกษ์ได้ฤกษ์มาแล้วไม่ถูกใจผมเลยจริงๆขอรับ”
“อ้าว...งั้นจะมาให้อาตมาวางฤกษ์ให้ใหม่กระนั้นหรือ หลวงตาเดาเรื่องเอาเอง “ไม่เห็นมันจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายตรงไหน”
“เป็นซีเจ้าค่ะหลวงตา “ คุณศรีเป็นคนตอบแทนสามีทุกเรื่อง ส่วนคุณประวัติเอาแต่ฟังกับยิ้ม ยอมเป็นช้างเท้าหลังของเมียทุกเรื่อง “ผู้ให้ฤกษ์เป็นพระชั้นพระราชาคณะ ซึ่งเกี่ยวเป็นญาติผู้ใหญ่ของเราและเมื่อท่านศึกษาฯทักท้วงฤกษ์ อิฉันก็ไปกราบเท้าท่าน เพื่อขอเปลี่ยนฤกษ์แต่ไม่กล้าบอกท่านตรงๆว่า พ่อเจ้าสาวเขารังเกียจฤกษ์เกรงท่านจะโกรธ อ้างเหตุอื่นๆหลายประการ ท่านก็ยืนยันให้ใช้ฤกษ์เดิม ดิฉันจึงตกที่นั่งลำบากและถ้าไม่เปลี่ยนฤกษ์ท่านศึกษาฯท่านก็ว่าจะไม่ยอมให้ลูกสาวแต่งเป็นอันขาด งานแต่งของลูกชายอิฉันคงล้มเหลวหมด”
หลวงตายิ่งฟัง ดูมันยิ่งยุ่งจนจับต้นชนปลายไม่ถูก หันไปถามศึกษาฯ
“แล้วพากันมาหาอาตมาเพื่อประสงค์อะไรกันล่ะ ฤกษ์เขาเป็นอย่างไรหรือ”
ศึกษาฯวิเชียรพนมมือเคารพ “ผมเป็นศิษย์โหราศาสตร์ของหลวงตา ผมเชื่อหลวงตาองค์เดียว อยากจะให้พิจารณาฤกษ์นี้ว่าดีหรือชั่วและเป็นผู้ตัดสิน ถ้าหลวงตาว่าฤกษ์เสีย ผมจะให้ลูกสาวเป็นหม้ายขันหมาก ความรู้ที่ผมเรียนจากหลวงตาพิจารณาดูแล้ว เห็นว่าเป็นฤกษ์พินทุบาทว์ ขืนแต่งกันไปมันก็ต้องเลิกร้างกันแน่นอน เพราะฉะนั้นให้มันเลิกกันเสียเมื่อยังไม่แต่งดีกว่า จะได้ไม่มีราคี”
หลวงตาจึงเข้าใจแจ่มแจ้งและปลอบโยนตามประสาผู้ใหญ่ “เอาเถอะ ค่อยคิดค่อยอ่านอย่าเพิ่งวู่วามรุนแรง คงไม่ใช่เรื่องสำคัญจนไม่มีทางแก้ไขหรอก ขอดูฤกษ์สักหน่อยเถอะมันยังไงแน่”
ศึกษาฯวิเชียรส่งดวงชะตาบุตรสาวและดวงฤกษ์แต่งงาน ซึ่งเป็นปัญหาขัดแย้งให้หลวงตาชื้น ท่านพิจารณาดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ค่อยประจงเขียนลงบนกระดานโหร หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์สนใจเต็มที่ ค่อยๆเลื่อนเข้ามาใกล้เพื่อจะได้ดูดวงนั้นให้ถนัดตา
เมื่อหลวงตาลอกดวงลงในกระดานแล้วก็นิ่งพินิจโดยละเอียดถี่ถ้วนทุกกระบวนความและถามให้แน่ใจ
“ดวงฤกษ์นี้เขาเขียนดวงดาวไว้ แต่มิได้วางลัคนาฤกษ์ไว้นี่ท่านศึกษาฯ”
“ถูกแล้วขอรับ” ศึกษาฯวิเชียรตอบ “แต่เวลาฤกษ์ท่านกำหนดไว้ 16.30 น. และเมื่อตัดเวลาอัตราที่เกินเวลาจริงตามหลักโหราศาสตร์ 18 นาทีออกแล้ว ลัคนาจะอยู่ราศีตุลย์พอดีขอรับ”
หลวงตาชื่นไม่พูดว่ากระไร เพียงแต่พยักหน้าหันไปคว้ากลักบุหรี่จุดสูบอัดแรงๆอย่างใช้ความคิด ท่านหยิบปูมโหรมาตรวจตำแหน่งดาวอีกครั้งให้แน่ใจทั้งขีดกาทักษาตรวจโดยละเอียด
ท่านศึกษาฯวิเชียรใจร้อนจึงชิงอธิบายตามที่ตนเห็น เมื่อลัคนาฤกษ์อยู่ราศีตุลย์ ลัคนาฤกษ์ก็เป็นมรณะกับลัคนาเดิมของเจ้าชะตาจันทร์จรซึ่งเป็นเจ้าการฟกษ์ที่สำคัญก็อยู่ในตำแหน่งมรณะกับลัคนาฤกษ์ในปีนี้เจ้าชะตาอายุย่าง 23 เกิดวันจันทร์ ภูมิจรตกพฤหัส เสาร์จรอันเป็นกาฬกิณีประจำปี ก็จะเล็งลัคนาฤกษ์ทำให้เป็นฤกษ์พินทุบาทว์และให้ผลชั่วแก่เรือนปัตนิของลัคนาฤกษ์ด้วย ทั้งวันฤกษ์เป็นวันศุกร์ กาฬกิณีของวันคือราหูจร ซึ่งกำลังทับลัคนาเดิมอยู่ ผมไม่เข้าใจว่าท่านให้ฤกษ์มงคลเช่นนี้มาได้อย่างไร ทั้งๆที่มีจุดเสียหายร้ายแรงทุกสถาน การมันเป็นเช่นนี้ ผมจึงไม่ยอมให้ลูกสาวผมแต่งในฤกษ์นี้เป็นอันขาดไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”
“ก็เมื่ออะไรๆท่านศึกษาณก็รู้ดีแจ่มแจ้งหมดแล้ว อะไรๆก็ตั้งใจและตัดสินใจมาแล้วจะต้องมาหาอาตมาอีกเพื่ออะไร เพราะอาตมาจะมีความเห็นอย่างไรก็ไร้ประโยชน์” หลวงตาพูดเสียงต่ำๆบอกถึงความรู้สึกไม่พึงใจในคำสุดท้ายของศิษย์กิติมศักดิ์
ศึกษาฯวิเชียรได้สติกรางหลวงตาชื้นซึ่งเป็นอาจารย์ที่เคยเคารพจะขุ่นเคืองและเข้ามจผิดเพราะอารมณ์ฉุนเฉียวของตน จึงก้มลงกราบแทบตัก “กระผมขออภัย ที่พูดจาแรงไปขอรับ แต่มิได้มีเจตนาจะลบหลู่หลวงตาผู้มีพระคุณมิได้ ที่มาหาหลวงตาก็เพราะเคารพหวังจะพึ่งในความคิดและสติปัญญาของหลวงตาในทางแก้ไขผ่อนปรน เพราะใจแท้ผมเองยังไม่ปรารถนาจะขัดขวางความสุขของลูก”
“ก็น่านน่าซี...” หลวงตาหายเคือง “ถ้าใช้ทิฐิของผู้ใหญ่ การแต่งมันก็ล้มเหลวลง ลูกสาวมันเกิดหาฤกษ์หอบผ้าตามเขาไปมันมิเดือดร้อนยิ่งไปกว่าหรอกหรือ”
ท่านศึกษาฯอดดื่อมิได้ “ ลูกสาวผมคงจะเชื่อคำพ่อมั่งหรอก”
“ฟังน๊ะ...ท่านศึกษาฯคุณก็ได้ศึกษาเรียนรู้โหราศาสตร์ไว้มากมาย อย่าเอาโทสะจิตเข้าครอบงำปัญญาให้มืดมัว” หลวงตาเตือนสติและชี้กระดานโหรตรงหน้า “จงพิจารณาดวงดาวเขาให้ดีตามที่อาตมาเคยสอนไว้ จงดูดาวเดิมดาวจรประกอบกันว่าลูกสาวเรามันถึงคราวจะมีสามีหรือหาไม่ ถ้ามันถึงคราวแล้วมนุษย์เราๆจะขัดขืนฝ่าฝืนดวงดาวเขาได้หรือไม่”
ท่านศึกษาฯนิ่งอึ้งไม่กล้าโต้แย้งให้ยาวความเพราะเกรงใจท่าน ด้วยรู้นิสัยหลวงตาชื้นดีว่าเวลาขัดเคืองใจขึ้นมาไม่เคยไว้หน้าใคร แม้ขนาดข้าหลวงฯท่านก็ยังเคยเชิญลงจากกุฏิมาแล้ว”
หลวงตาชื้นเห็นศึกษาฯนิ่ง ก็คิดว่าได้สำนึก จึงค่อยๆอธิบายดาวให้ฟัง เพื่อให้ความคิดความรู้แก่ศิษย์ที่นั่งอยู่ทั้งหมด
“ทางดวงเดิมของเขา เจ้าเรือนปัตนิคือพุธมาครองอยู่ภพสหัชชะอันหมายถึงคู่ครองย่อมเป็นบุคคลเคยคบหาสนิทสนมฉันท์เพื่อนมาก่อนและพุธมาสถิตร่วมราหูเล็งตนุเศษอันเป็นตัวจิตใจ ก็แสดงถึงในความรักของเธอย่อมหลงใหลขาดความยับยั้ง เพราะภพที่พุธและราหูครองนั้นเป็นเรือนศุกร์ มันอาจคิดเห็นผิดเป็นชอบไปได้ง่ายๆ”
ท่านศึกษาฯอ่านดาวตามคำหลวงตาไปด้วย และเห็นจริง แต่นิสัยดื้อก็อดติงมิได้ “ตนุเศษเธอคือพฤหัสน๊ะขอรับ ควรจะมั่นคงในศีลธรรมและคุณงามความดีไม่ควรหลงผิดไป”
“นี่แหละเขาถึงว่าเอาแต่ใจตน อ่านดาวให้เข้ากับความนึกคิดที่ตนอยากให้เป็นไป” หลวงตาใช้นิ้วเคาะกระดานตรงราศีกันย์ดังโป๊ก “พฤหัสที่เป็นตนุเศษนั้น เป็นพฤหัสกำเนิดเดิมตั้งแต่เกิดจนตาย มันจะยึดมั่นศีลธรรมอยู่ตลอดชีวิตได้ยังไง ดูนี่ซีตัวพฤหัสที่เคยเป็นตนุเศษขณะนี้จรอยู่ราศีกันย์เป็นประ เล็งลัคน์อยู่เห็นไม๊ ยังคิดอยู่อีกหรือว่าพฤหัสตนุเศษนั้นยังจะยึดมั่นจารีตประเพณีและคุณธรรมอยู่อีก”
เห็นได้ชัดว่าสีหน้าท่านศึกษาเผือดลงถนัด เพราะเห็นจริงตามคำที่หลวงตาชื้นชี้ให้ดู หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ลืมตัวนั่งกระเถิบเข้ามาจนติดกระดาน เบียดตัวตะแคงชะโงกหน้าจ้องแต่ดวงในกระดาน ทั้งแปลกและอัศจรรย์ใจที่หลวงตาชื้นอ่านดาวเป็นว่าเล่นเหมือนอ่านหนังสือให้ฟัง
หลวงตาสังเกตสีหน้าท่านศึกษาฯออกว่าคลายทิฐิไปมากแล้วก็เริ่มต่อไปอีก
“ดวงเดิมของเธอ ราหูเดิมตัวดาวลอยนั้นเล็งพฤหัสตนุเศษ และตนุลัคน์อยู่ก่อน และบัดนี้ราหูจรทับลัคน์และเล็งพฤหัสจร ตามเกณฑ์เดิมของเธอ มันจะแคล้วคลาดกันไปได้ยังไง ซ้ำราหูจรทับศุกร์เดิมในเรือนลัคน์ดาวคู่นี้มันหลงใหลมัวเมา ขาดความยั้งคิดเสมอในเรื่องความแสน่หา และพฤหัสจรซึ่งเป็นตนุลัคน์มาเป็นประเสียอีก ลองคิดกันเล่นๆถ้ามันเกิดแต่งกันเองเข้าแล้วก่อนฤกษ์ที่มัวมาทะเลาะกันอยู่นี้ เขาจะเลิกกันตามใจพ่อหรือ”
หลวงตาชื้นเหลียวดูหน้าท่านพ่อตาศึกษาเห็นนิ่งขึงอยู่ ก็รำพึงไปตามอารมณ์เจ้าบทเจ้ากลอนของท่าน
“ความรัดดั่งโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็จะโลดจากคอกไป บ่มิคิดถึงเจ็บตน”
เมื่อสิ้นเสียงหลวงตาชื้น ทุกคนก็ได้แต่นิ่งและคิดไปต่างๆกัน ท่านศึกษาฯนั้นเห็นจริงไปทุกสิ่งสิ้นข้อสงสัย ความขุ่นเคืองและดื้อดึงลดลงมา กลายเป็นความวิตกกังวลใจ อย่างเป็นทุกข์ตามภาวะของดาว ในดวงลูกสาวที่เห็นๆอยู่ ข้างหมอเถาและครูก้อนนั้นจ้อง แต่จะดูแล้วก็จดจำมิให้หายหกตกหล่นไปเลยสักคำ เพื่อเก็บเอาไว้ใช้ในโอกาสที่ตนจะพยากรณ์ ส่วนครูสมศักดิ์นั้นมีประสบการณ์ผ่านวงการโหราศาสตร์อื่นๆมาก่อน เมื่อมาได้ยินได้ฟังการอ่านดาวเดิมผสมดาวจรได้แนบเนียนและตรงเป้าหมายชีวิตของหลวงตาเข้าก็เกิดความศรัทธาเต็มเปี่ยมหัวใจ ข้างคุณประวัติและคุณศรีไม่มีความรู้ทางโหราศาสตร์ ก็ได้แต่ฟังและคิดว่าหลวงตาชื้น ท่านช่วยพูดกล่อมให้พ่อเจ้าสาวใจอ่อนลง
หมอเถามัวฟังเพลินจนลืมกิจวัตร์ที่เคยปฏิบัติมา ต่อเมื่อถูกหลวงตาขอน้ำชา จึงรีบรินถวาย หลวงตาชื้นจิบน้ำชาไปนิ่งไปมองดูหน้าท่านศึกษาฯไป เหมือนอ่านให้ลึกเข้าไปถึงจิตใจ กำลังคิดอยู่และคิดตามประสาคนแก่ว่าจะต้องถอนเอาทิฐิมานะออกเสีย ให้หมดก่อน แล้วจึงค่อยพูดจากันให้รู้เรื่อง
“อันว่า ฤกษ์ คือ คราวอันเหมาะ” หลวงตาชื้นเอ่ยอ้อมๆไป “ผู้ใช้ฤกษ์มักยึดมั่นผิดๆจนเกินความหมายฤกษ์ไปมากเช่นเปิดร้านค้าขาย ก็หาฤกษ์ที่ร่ำรวยและอุดมด้วยลาภผลเงินทองและยึดถือว่าการค้าของตนจะต้องอุดมสมบูรณ์รำรวยไปตลอดชาติ ครั้นถึงคราวชะตาดีชะตาร้ายเกิดขาดทุนหรือเสียหายก็โทษฤกษ์ไม่ดี ชีวิตคนเรากำเนิดมาด้วยบุญและกรรมที่บัญชาชีวิตให้มาเกิด ย่อมต้องมาใช้หนี้บุญหนี้กรรมที่บัญชาชีวิตให้มาเกิด ย่อมต้องมาใช้หนี้บุญหนี้กรรมของตนไปชั่วชีวิต ฤกษ์วิเศษใดๆเล่าจะเปลี่ยนแปลงฤกษ์กำเนิดแห่งชีวิตของเขาแต่เดิมได้”
ท่านศึกษาฯพนมมือ ถามหลวงตาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม “หลวงตาประสงค์ให้กระผมละทิฐิและยอมรับฤกษ์ที่เขาหามานี้เป็นฤกษ์แต่งลูสาวกระผมหรือขอรับ”
หลวงตาโบกมือ “ยังก่อน อาตมาไม่ขืนใจท่านศึกษาฯถึงเพียงนั้น อาตมาต้องการให้ท่านเห็นผิดเห็นชอบและตัดสินใจเอาเองด้วยเหตุผลที่ถูกต้อง เพื่อตัวองจะได้สบายใจด้วย”
หมอเถานึกรู้ว่าวันนี้ หลวงตาต้องเทศน์กัณฑ์ใหญ่แน่ จึงรินน้ำชาเพิ่มเติมถวายอีก”
“มีฤกษ์สำคัญอันวิเศษสุด อยู่ฤกษ์หนึ่งเป็นฤกษ์อันยิ่งใหญ่เหนือฤกษ์ทั้งปวง” หลวงตาเริ่มช้าๆชัดถ้อยชัดคำ “เป็นฤกษ์บรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ในรัชสมัยพระปกเกล้าเจ้าอยุ่หัวรัชกาลที่ 7 ซึ่งผู้คำนวณฤกษ์และสอบฤกษ์เป็นคณะโหรผู้สูงสุดในแผ่นดินคือกรมโหร อันมีพระยาโหราและคณะ ได้กราบถวายบังคมทูลกำหนดพระฤกษ์วันที่ 25 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2468 ตรงกับวันพฤหัสบดีขึ้น 14 ค่ำ เดือน 4ได้มหาศุภมงคลเวลา 9 นาฬิกา กับ 53 นาที และ 52 วินาทีก่อนเที่ยง เสด็จขึ้นสู่พระแท่นสรง ผินพระพักตร์สู่ทิศอีสานมหามงคล พราหมณ์ถวายน้ำพระมหาสังข์ชำระพระองค์ ทรงเครื่องมุรธาภิเษก เมื่อได้เวลา 10 นาฬิกา 52 นาที 52 วินาทีก่อนเที่ยงเป็นปฐมฤกษ์ เสด็จเถลิงสู่แท่นภัทรบิษฐ์
พระฤกษ์นี้ได้ “จัตุรงคโชค” อันเกิดชัยชำนะข้าศึกศัตรูทั้งสิบทิศ ประกอบด้วยราชาและลาภะฤกษ์ ทั้งศรีจรร่วมพระราชลัคนาและเป็นลาภะแก่พระฤกษ์ ทั้งกาฬกิณีจรเป็นมรณะ เป็นพระฤกษ์อันสมบูรณ์ดีทุกประการ ซึ่งจะหาวันฤกษ์ใดมาเทียบมิได้”
หลวงตาชื้นท่านหยุดไว้แต่เพียงนั้น ท่านศึกษาฯรำพึงเหมือนบอกแก่ตนเองตามความรู้สึก “ต่อมาอีก 7 ปี พระองค์ท่านก็ทรงสละราชสมบัติ และดำรงพระชนม์ชีพในต่างประเทศ จนเด็จสู่สวรรคต”
ทุกคนมีความรู้สึกสำนึกโดยไม่ต้องมีคำอธิบายอะไรอื่นๆ คือ ท่านศึกษาฯยิ่งคิดทบทวนไปตามถ้อยคำของหลวงตามาตั้งแต่ต้นก็ยิ่งเห็นเหตุและผลของชีวิตยิ่งขึ้นและเมื่อคำนึงถึงว่าหลวงตาท่านแตกฉานในโหราศาสตร์มากกว่าตนซึ่งเป็นศิษย์ ย่อมเห็นถูกผิดชั่วดีได้ถ่อยแท้กว่าและท่านย่อมปรารถนาดีแก่ตนและบุตรสาวแน่นอน จึงตัดสินใจบอกหลวงตา
“ถ้าหลวงตาเห็นชอบกับฤกษ์นี้ กระผมก็ยอมรับไม่ขัดข้องทุกประการขอรับ”
หลวงตายิ้มแย้มถูกใจ แต่กลับส่ายหน้า “ยังก่อน ถึงท่านศึกษาฯจะไม่คัดค้านขัดขวางแต่ดวงดาวตามที่ท่านศึกษาฯอ่านอยู่เมื่อครู่นั้นยังคัดค้านขัดขวางอยู่ ไม่บังควรจะปล่อยไว้เช่นนั้น
ทุกคนในที่นั้นยิ่งแปลกในใจอุปนิสัยของหลวงตาชื้น เพราะเหตุการณ์น่าจะลงเอยเรียบร้อยได้ แต่ท่านกลับไม่ยอม จะพิสูจน์ถึงความผิดถูกให้แจ่มชัดเจนหมดความข้องใจ ครูสมศักดิ์มองดูดวงฤกษ์แล้วเห็นจริง ตามท่านศึกษาฯและสงสัยว่าหลวงตาท่านจะพิสูจน์ความผิดให้ถูกขึ้นมาได้ทางไหนมองไม่เห็นหนทางเลย จึงคอยฟังเหตุผลของท่านต่อไป
“ผู้ให้ฤกษ์นี้เป็นพระชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งมีเกียรติคุณมากและชำนิชำนาญในการวางฤกษ์ และรอบรู้โหราศาสตร์ยิ่งกว่าอาตมาจนไม่อาจเทียบได้ ฉะนั้นท่านย่อมไม่กระทำการผิดพลาดถึงเพียงนั้น ท่านย่อมมีเหตุผลของท่าน ทางฤกษ์บนนั้นจันทร์เสวยฤกษ์เป็นหลักใหญ่ๆเหมือนๆกันทุกคัมภีร์ แต่ทางฤกษ์ล่างและฤกษ์เกร็ดนั้นมีมากมายหลายสิบคัมภีร์ล้วนแตกต่างกันในการวางฤกษ์ ตามมติของผู้ให้ฤกษ์”
หมอเถาประเคนน้ำชาส่งถ้วยที่ 5 จนหลวงตาชื้นปัดมือเพราะดื่มจนอิ่ม แล้วท่านก็อ่านทางฤกษ์ของดวงนี้ให้ฟัง
“ฤกษ์นี้เป็นศุภฤกษ์อันสมบูรณ์ยิ่ง คือฤกษ์บนจันทร์เสวยภูมิปาโลฤกษ์ในราศีพฤษภจันทร์เป็นมหาอุจจ์ทับพุธ คู่มิตรซึ่งเป็นเจ้าเรือนปัตนิเดิมของเจ้าชะตา และเล็งพฤหัสคู่ธาตุ ซึ่งเป็นทั้งตนุลัคน์และตนุเศษ แม้ร่วมราหูบาปเคราะห์ก็เป็นคู่สมพลต่อกัน ท่านต้องการความมั่งคงถาวรและอยู่เย็นเป็นสุข และทางฤกษ์ล่างท่านใช้วันศุกร์ อันเป็นวันตามกาลโยคประจำปีเป็นวันธงไชยและอธิบดี ส่วนข้อตำหนิที่ว่ากาฬกิณีของวัน คือราหูจรทับลัคนานนั้นเมื่อมาดูทางตนุลัคน์คือพฤหัสเดิมในราศีพิจิก อังคารจรซึ่งเป็นศรีของวันและเป็นเกษตรทับตนุลัคน์ เป็นมุมแก้ราหูอยู่ย่อมไม่มีโทษ ส่วนกาฬกิณีประจำปีคือ เสาร์ ที่อยู่ภพกดุมภะ ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับการเงินตามดวงชะตาไม่เกี่ยวกับเรื่องคู่ครองแต่อย่างใด และเสาร์ก็หมดฤทธิ์ไปมากเพราะเป็นนิจหมดกำลังสถานหนึ่งและอีกสถานหนึ่งเสาร์นี้เคยเป็นศรีเดิม เมื่อมาเป็นกาลกิณีย่อมทรงโทษไม่รุนแรงนัก”
หลวงตาเว้นระยะพักเหนื่อย จ้องดูหน้าคนฟังที่นิ่งสงบและตั้งใจฟัง เหมือนฟังเทศน์แล้วท่านก็อรรถาธิบายตอนสำคัญ
“ที่สำคัญที่สุดของฤกษ์นี้ ก็คือท่านไม่ใช้ลัคนาฤกษ์อย่างที่ท่านศึกษาฯวางไว้นั้น”
ประการอื่นๆ ที่หลวงตาอ่านฤกษ์ ท่านศึกษาฯก็เห็นด้วยทั้งหมด แต่ถึงช้อสุดท้ายก็อดแย้งมิได้
“อ้าว..หลวงตาขอรับ แล้วเขากำหนดเวลาได้อย่างไร ถ้าไม่มีลัคนาฤกษ์ และจะเอาอะไรเป็นจุดกำหนดฤกษ์เล่าขอรับ”
หลวงตานึกอยู่เสมอว่าจะถูกขัดคอ ท่านจึงยิ้มๆไม่ว่ากระไร คงพูดต่อ “ท่านให้ทางฤกษ์แบบเก่า คือ ถือยามแห่งดาวเป็นฤกษ์เป็นกำหนดเวลา คำโบราณที่ว่า ฤกษ์งาม-ยามดี นั้นแหละ”
ครูสมศักดิ์ขยับปากจะพูด แต่เห็นต่อหน้าแขกแปลกหน้าก็นิ่งเสีย หลวงตาเห็นเข้าก็พยักหน้าให้พูด ครูสมศักดิ์ค่อยๆเอ่ยเกรงๆใจ
“ผมเคยเห็นเขาวางดวงฤกษ์สถานที่โบราณว่ามีลัคนาเวลาที่สร้าง”
“ถูกต้องแล้ว เพราะเป็นฤกษ์กำเนิดของสถานที่แห่งนั้นและเป็นสิ่งไม่มีชีวิต จึงมีลัคนาฤกษ์เป็นลัคนากำเนิด แต่มนุษย์เกิดแล้วมีลัคนากำเนิดแล้ว อาจารย์เก่าบางท่านจึงไม่นิยมวางลัคนาฤกษ์เป็นลัคนาซ้อน ท่านจึงใช้ยามและยึดดาวเจ้ายามนั้นๆที่กำลังทำมุมอยู่ในดวงชะตา”
เมื่อเห็นครูสมศักดิ์และท่านศึกาฯนิ่งแสดงถึงเข้าใจแล้วท่านก็อธบายต่อ “จุดเด่นของฤกษ์นี้คือศุกร์ ท่านกำหนดเอาวันศุกร์และเวลา 16.30 น.. เป็นยามศุกร์และขณะที่ดาวศุกร์กำลังจรเข้าเรือนของตนราศีพฤษภได้ตำแหน่งเกษตรอันมั่งคง และเป็นปัตนิแก่พฤหัสอันเป็นตนุลัคน์และตนุเศษ ความต้องการของท่านผู้ให้ฤกษ์ อาตมาพอเดาได้ถูกเพราะเคยพบฤกษ์ชนิดนี้มาแล้ว ในเมื่อศุกร์คือความรักความเสน่หา ความรื่นรมย์และกามกิเลส ท่านต้องการให้คู่บ่าวสาวมันต้องใจในรสรักต่อกัน เพื่อเป็นเครื่องผูกพัน เขาจะได้รักกันดูดดื่ม ไม่ทิ้งขว้างร้างหย่ากันง่ายๆ เพราะอะไรเล่าจะผูกพันชีวิตผัวเมียไว้ได้แน่นหนาได้เท่ากับเชือกแห่งความเสน่หาอันต้องใจและราหูจรทับศุกร์เดิมในเรือนลัคน์และศุกร์จรทับราหูเดิม ในราศีพฤษภเขาก็จะหลงใหลในความรักอย่างมากก็หึงหวงแก่กันเพราะรักกันมากเกินไป เห็นหรือยังท่านผู้ให้ฤกษ์ท่านมีอัจฉริยเพียงใด ท่านศึกษาฯไปลองหาฤกษ์ใหม่ดูเถิด จะดีเท่ากับที่ท่านให้ไว้นี้ไม่มีอีกแล้ว”
ท่านศึกษาฯก้มลงกราบโดยเต็มใจหมดทิฐิและข้อกังขาใดๆอีกแล้ว
“กระผมยอมรับฤกษ์นี้แล้วขอรับ”
หลวงตาชื้นกลับไม่ยอม ท่านจับมือเขาไว้แล้วฉุดขึ้นอีก
“ยังก่อน ตัวลัคนาฤกษ์ที่อ่านไว้เมื่อกี้มันจะฝังใจหลอนไปอีก หากภายหน้าเกิดมีเหตุมีเคราะห์เกิดแก่คู่ผัวเมียเขา ใจท่านศึกษาฯก็จะเกิดระแวงถึงข้อนี้อยู่ร่ำไป ฟังอาตมาให้ดี เวลา 16.30 ย. ที่ท่านกำหนดไว้นั้นเป็นเวลาแรกของยามศุกร์ และ ลัคนาฤกษ์ของท่านศึกษาฯก็อยู่ในราศีตุลย์หมิ่นราศี จะข้ามไปราศีพิจิกอยู่รอมมะร่อแล้ว อันเวลาของยามศุกร์นั้นถึง หนึ่งชั่วโมงครึ่ง ฉะนั้นก็เลื่อนเวลาไปสัก 10 นาที ก็ยังอยู่ในยามศุกร์ ท่านผู้ให้ฤกษ์ท่านก็ไม่ว่ากระไร แต่อย่าให้เลยห้าโมงกว่าเพราะจันทร์จะยกจากฤกษ์ เมื่อเลื่อนเวลาได้แล้ว ลัคนาฤกษ์ก็จะไปอยู่ราศีพิจิกเป็นศุภะแก่ลัคนาเดิมและร่วมอังคารซึ่งเป็นเกษตร และเล็งศุกร์ได้ความหมายตามฤกษ์เดิมของท่านด้วย และตัวเสาร์กาฬกิณีก็ตกเป็นอริแก่ลัคนาฤกษ์ไปเสีย จะพอใจหรือยังเล่า”
ท่านศึกษาฯวิเชียรหมดพยศหมดความถือตำแหน่งราชการก้มลงกราบและกอดเท้าทั้งสองของอาจารย์ไว้แนบกับศีรษะพูดเสียงสั่งเครือเพราะความปิติลันหัวใจ
“ผมพ้นทุกข์แล้วเพราะพระเจ้าของกระผมองค์นี้เอง”
คุณประวัติและคุณศรีน้ำตาคลอทั้งคู่ก้มลงกราบพร้อมกับเสียงพูดปนเสียงสะอื้นเพราะความดีใจปลาบปลื้ม“หลวงตาโปรดสัตว์แท้ๆได้ช่วยให้ชีวิตเด็กทั้งสองได้ครองกัน เพราะภูมิปัญญาของหลวงตาจริงๆดิฉันจะไม่ลืมพระคุณของหลวงตาชั่วชีวิต”
ข้างหมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ เห็นเขากราบกันก็พลอยดีใจเผลอลืมตัวกราบลงพร้อมกับเข้าบ้างทั้งสามคน
ข้างหมอเถากราบไม่กราบเปล่า ดันร้องอนุโมทนาออกมาเต็มเสียง
“สาธุ…”



#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์