ดวงตะวันยังไม่ทันเยี่ยมฟ้า อากาศเช้ามืดขมุกขมัว หมู่ไม้และบ้านเรือนห่างๆออกไป ดูเป็นสีดำมืดไปทุกสารทิศ ทุกบ้านข่องกำลังหลับไหลสุขารมณ์ แต่… อีกบ้านหนึ่ง ต้องตื่นขึ้นโดยกะทันหัน เพราะเหตุฉุกเฉิน มีผู้มาตบประตูบ้านเรียกเหมือนมีธุระร้อน ทั้งตบปึงปังและเรียกชื่อเจ้านของบ้าน “ครูก้อนเว้ย ตื่นเถอะ” ครูก้อน ทั้งตกใจแปลกใจ รำคาญใจที่ถูกปลุกจากที่นอนกำลังสบาย ออกจากมุ้งปิดไฟฟ้า เดินหลับๆตื่นๆจนถึงประตู พอถอดกลอนเปิดออกเห็นผู้เรียกก็ตาสว่าง เพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้า ประหลาดมหัศจรรย์ เป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ผิดมนุษย์และส่วนหัวเป็นพุ่มไม้โตขนาดเท่าตุ่ม ครูก้อนขนลุกเกรียวกระทั่งผมบนหัวประสาททั้งห้าสั่งประการเดียวพร้อมกันคือร้อง “เฮ้ย…ผี” พอขยับจะหันหลังวิ่ง ก็ถูกตะครุบข้อมือฉุดเอาไว้ ครูก้อนหัวใจแทบหยุดเต้นกระชากมือหนีสุดแรงเกิด มือหลุด..แต่เสียหลักหงายหลังล้มลงกลางเรือนดังสนั่น เสียงผีหัวร่อฮ่า…ฮ่า ชอบอกชอบใจและเอื้อมมือเปิดสวิทไฟฟ้าหน้าระเบียง “ครูก้อนตาขาวไปได้ ฉันเอง” พอแสงไฟฟ้าหน้าระเบียงนอกเปิดสว่างเห็นถนัดว่าเป็นหมอเถาเพื่อนเกลอนั่นเอง ที่พิเรนก็คือหมอเถาถือกิ่งมะขามพุ่มใหญ่ประดับประดาเข้าของเครื่องใช้สารพัด มองดูมือๆจึงดูน่าสะพรึงกลัว เสียงร้องเอะอะและเสียงล้มตึงๆ ปลุกลูกเมียครูก้อนตื่นกันทั้งบ้าน ออกมารุมดูเดาสาเหตุไม่ออก หมอเถาประคองกิ่งมะขามลอดประตูเข้ามา และเอาพิงข้างฝาไว้ก้มลงประคองครูก้อนลุกขึ้น “ปัดโธ่ ครูก้อน รูปร่างออกจะใหญ่โตใจเป็นมด เห็นอะไรเป็นผีสางไปหมด” ครูก้อนทั้งโกรธทั้งอาย “อุว๊ะ มืดๆ ใครจะมัวไปพิจารณา หัวมันโตเท่าพ้อม จะมีใครเสียอีก” หมอเถาปลอบ “โถ ปากคอสั่น ถ้าจะยังไม่หายกลัว” “ไม่ใช่สั่นเพราะกลัวเว้ย สั่นเพราะโกรธแกน่ะแหละ” ครูก้อนปัดมือหมอเถาที่ลูบหน้าลูบหลัง “เอ้า…ขอโทษไหว้ละ” หมอเถายกมือไหว้เพื่อน “มันมีธุระสำคัญเลยรีบมา” “ธุระอะไรของแก ถึงรอเช้ารอสายไม่ทันใจ ต้องมาปลุกจากที่นอนแต่หัวมืด” “คือยังงี้” หมอเถาหันไปชี้กิ่งมะขามที่พิงฝา “ฉันจะทอดผ้าป่าก็เลขจะมาชวนไปทำกุศลด้วยกัน 2 คน” ครูก้อนพิจารณากิ่งมะขามที่ผูกเครื่องอุปโภคพร้อมสรรพมีทั้งไม้ขีด เทียนไข และสบงผ้าอาบน้ำฝนสารพัดสิ่ง รวมทั้งธนบัตรทำเป็นธวัชฉัตร์ธง คำนวณในใจเป็นเงินหลายร้อยเกินฐานะหมอเถาน่าแปลกใจ “ไปถูกหวยมืดมารึ จึงคิดทำบุญ หรือเป็นผ้าป่าสามัคคีเรี่ยไร” “ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละ ตัวเจ้าภาพผ้าป่าน่ะมีแน่” “บ๊ะ…ดูมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงว๊ะหมดเถา” ครูก้อนยิ่งไม่เข้าใจ หมอเถาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกลางพื้นเรือน “เรื่องมันยังงี้ครูเอ๋ย เรื่องเจ้าวัวตัวนี้แหละ ฉันเป็นทุกข์กินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน วันหนึ่งตรองไปตรองมางีบหลับไปครู่หนึ่ง เทวดามาดลใจให้คิดวิธีออก” “วิธีอะไรของแก หมอเถา” “อ้าว ก็วิธีเรียกค่าเสียหายคืนจากเจ้าวัวตัวนี้น่ะซี เป็นวิธีทันสมัยเปี๊ยบเชียว ฉันรับรองใครๆก็คิดไม่ถึง” ครูก้อนหมั่นไส้ท่าทางอวดฉลาดของหมอเถาก็เลยพูดแดกส่ง “นั่นซี ลงได้ปัญญาเทวดามาช่วย ใครเล่ามันจะคิดทันหมอเถา” หมอเถาไม่ทันคิดว่าถูกเยาะ ก็เล่าต่อ “คือว่า ฉันเอาหมึกมาเขียนสีข้างวัวทั้งสองข้างประกาศโฆษณาว่า ข้าพเจ้าเป็นวัวพเนจรได้บุกรุกทำความเสียหายแก่ท่านผู้มีชื่อ เขาจับตัวไว้ และจะส่งไปขางโรงฆ่าสัตว์ในสามวันนี้เพื่อเอาเงินมาเป็นเบี้ยปรับสินไหม” ท่านผู้ใจบุญทั้งหลายโปรดสละทรัพย์ช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด” วัวแดง(สัตว์ผู้ยาก) “แล้วฉันเอากระป๋องเจาะช่องใส่เงินผูกคอเจ้าวัวไว้ จูงไปผูกไว้ข้างตลาดสด พอตกเย็นก็ไปจูงเอามา นับเงินในกระป๋องได้ถึง 600 กว่าบาท ฉันหักค่าเสียหายบ้านที่ซ่อมไว้ 200 บาท นอกจากนั้นก็เอามาซื้อข้าวของทอดผ้าป่า เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเงินเขาคืนไป” ครูก้อนขำก็ขำแต่ก็อดปลงสังเวชมิได้ “โธ่เอ๋ย หมอเถาคุยว่าปัญญาเทวดา ที่แม้มันก็ใช้สัตว์ไปขอทานชาวบ้านเขานั่นเอง” “เหอะน่า ได้เงินแล้ว มันดีทั้งนั้น” ครูก้อนยังติดใจถึงเจ้าวัว จึงถามถึง “แล้ววัวล่ะ เป็นอย่างไร” “ก็ฉันได้ครบ ก็ปล่อยเขาเป็นไทน่ะซี ฉันลบประกาศเรี่ยไรเขียนใหม่ตัวโตๆ” “ข้าพเจ้าเป็นวัวของชาวตลาดสด แล้วเอาไปปล่อยข้างตลาดอย่างเดิม แม่ค้าผักเอาผักเหลือตอนเย็นเลี้ยงเจ้าวัวเปรมไป เลยกินนอนอาศัยเป็นนิวาสน์สถานอยุ่ที่ตลาดนั่นเอง” “แล้วเจ้าของวัว มันไม่แอบมาจูงเอากลับหรือ” หมอเถาส่ายหน้า “ฉับสืบได้ความว่าเป็นวัวแขก มันต้อนเดินทางผ่านจังหวัดเราเจ้าตัวนี้แตกฝูงหนีมา” ลูกเมียครูก้อนมานั่งฟังหัวเราะกันคิกคัก เกิดใจกุศลช่วยกันเอาธนบัตรมาติดองค์ผ้าป่าได้เงินอีหลายบาท ครูก้อนยังหาวหวอดไม่หายง่วง “แล้วจะไปกันแต่หัวมืดยังงี้น่ะเรอะ” “ก็ยังงั้นซี ทอดผ้าป่ามันต้องเช้ามืดยังงี้ ม่ายก็โพล้เพล้ไปเลยเพราะว่าต้องแอบๆเอาไปปักไว้ริมทางเปลี่ยวผู้คน และเจ้าของผ้าป่าก็ไปซ่อนเสีย พระออกบิณฑบาตรเช้าพบเข้าก็ชักผ้าป่าไป บางรายเขาใช้จุดประทัดบอกพระ ครูก้อนกระวีกระวาดลุกไปแต่งตัวลวกๆออกมาและยังสงสัยคำของหมอเถาทีแรก “ไหน หมอเถาว่ามีเจ้าภาพ ทำไมเขาไม่มาด้วย” “มาซี เขาคอยอยู่ข้างนอกแล้ว” หมอเถาเหลียวออกไปนอกประตู “ก็เจ้าวัวตัวเอกนั่นแหละ ฉันไปชวนเขามาด้วยกัน เพราะเขาเป็นเจ้าของเงินผ้าป่าโดยตรง ก็ดูเขาเต็มอกเต็มใจมาด้วย” ครูก้อนหัวเระหึ นึกอ่อนอกอ่อนใจในความพิเรนของหมอเถาเป็นที่สุด และก็ต้องออกเดินตามหมอเถาที่ประคองยกกิ่งมะขามองค์ผ้าป่าออกประตูไปสมทบกับเจ้าวัวตัวเอกเจ้าภาพทที่ยืนรออยุ่ข้างนอกเคลื่อนขบวนไปหลังวัด พอตกบ่าย ตะวันคล้อยได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว ครูสมศักดิ์ก็รีบแน่วมาวัดเพราะมีเรื่องร้อนอกร้อนใจที่จะต้องพบหลวงตาชื้นให้ได้ เดินพลางคิดพลางว่าป่านฉะนี้ เพื่อนเกลอทั้งสองซึ่งว่างงานคงจะพร้อมหน้ากันอยุ่ที่กุฏิหลวงตาแล้ว กระทั่วล่วงเข้าเขตวัดและเลี้ยวขึ้นบันไดกุฏิต้นมะยมคู่พอเปิดประตูนอกชาน ก็จริงอย่างคิดทั้งครูก้อนและหมอเถานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้าหลวงตาเช่นเคย หมอเถาหันมาทักทายครูสมศักดิ์ “กำลังคิดถึง ก็มาพอดี” ครูสมศักดิ์ยิ้มรับ ตรงเข้าไปกราบคารวะหลวงตาก่อนอื่นและเข้าไปนั่งชิดเพื่อนทั้งสอง หลวงตาชื้นเคลื่อนป้านน้ำชามาให้ และมองดูครูศักดิ์เต็มหน้าและทักขึ้น “ดูหน้าครูสมศักดิ์ มีเรื่องกังวลใจอยู่มีธุระเดือนร้อนอะไรหรือ” ครูสมศักดิ์ถูกทายใจรงเผง ก็เลยระบายความทุกข์ “ผมได้รับจดหมายจากยาติในกรุงเทพฯผมไม่สบายใจเรื่องน้องชายขอรับหลวงตา” หมอเถาและครูก้อน เห็นเป็นเรื่องส่วนตัวก็เกรงใจไม่กล้าซักถามแต่หลวงตาท่านถือว่าเป็นผู้ใหญ่จึงถามต่อไปอีก “เรื่องมันอย่างไรหรือ ครูสมศักดิ์จึงเป็นทุกข์เป็นร้อน” “ชีวิตเขากำลังจะยุ่งยากเดือนร้อนและผมอยากจะรบกวนหลวงตา” ครูสมศักดิ์ล้วงกระเป๋าควักเอาดวงชะตาออกมา พนมมือไว้ส่งให้ หลวงตารับดวงมาพิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่สีหน้าดูยิ้มๆมิได้พลอยเป็นทุกข์ไปตามครูสมศักดิ์จนหมอเถาและครูก้อนนึกสงสัยยอมเสียมารยาทเอียงตัวชะโงกดูดวงบ้าง หลวงตานึกรุ้ใจศิษย์ จึงหยิบกระดานมาลอกดวงลงกระดานให้ดูถนัดๆ ครูสมศักดิ์ออกตัว “ผมดูดวงเขาแล้วพอจะพยากรณ์เขาได้ ตั้งแต่พบหลวงตาแล้วผมไม่แน่ใจความรู้ดหราศาสตร์ของตัวเองเลยกลัวผิดร่ำไป อยากจะขอคำพยากรณ์จากหลวงตาขอรับ” หมอเถาเป็นคนคิดอะไรเก็บความคิดไว้ไม่อยู่จึงถามหลวงตา “ครูสมศักดิ์แกเป้นทุกข์แต่หลวงตากลับยิ้มๆเหตุใดหรือคะรับหลวงตา” หลวงตาเอาก้อนดินสอพองเคาะกระดานเล่น “ไม่น่าจะเห็นเป็นเรื่องทุกข์ร้อนหนักหนาอะไร กะอีเรื่องได้น้องสะใภ้” “ถูกขอรับ แต่เรื่องมันร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีก” ครุสมศักดิ์เล่าหนักอกหนักใจ “มันจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงซีขอรับ” “เออว่าไป” หลวงตาพยักหน้า หมอเถาเอียงหน้าเข้าไปกระซิบครูก้อนเบาๆข้างหูว่า “เจอเอาดวงพินทุบาทว์เข้าอีกแล้ว” ครูสมศักดิ์เล่ารายละเอียดให้หลวงตาฟัง “น้องชายผมมีภรรยาอยู่เดิม มีบุตรด้วยกัน 3 คน ฐานะดีพอสมควร สะสมเงินทองซื้อที่ดินไว้ 2-3 แปลงหวังจะไว้เป็นสมบัติของลูกๆ ในวันข้างหน้า เมื่อปีที่แล้วเมียเขาตายลงตกเป็นพ่อหม้ายเปล่าเปลี่ยวไม่นาน เมื่อเร็วๆนี้ไปคว้าสาวใหญ่คนหนึ่งมาเป็นเมีย หลงไหลเอามากมาย ถึงขนาดขายที่ขายทางสมบัติของลูกๆเอาเงินมาบำเรอกันเหลวเหลก ญาติๆก็ห่วงว่าจะถูกปอกลอกหมอตัวและวันข้างหน้าลูกๆจะลำบาก นี่แหละขอรับ ญาติพี่น้องทุกคนเดือดร้อนไปตามกัน” “นั่นนะซี มันเรื่องของคนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อนต่างหาก เจ้าตัวเขาเองสำเริงสำราญด้วยรสเสน่หาเป็นสุขอยู่” หลวงตายืนยัน “อันความทุกข์เพราะสมบัติหมดมันอีกนาน” “ผมสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง ขอรับหลวงตา” ครูสมศักดิ์ชี้ดวงบนกระดาน “ราหูจรทับเสาร์คู่มิตรในเรือนปัตนิ มันน่าจะดีมีคุณและพฤหัสจรก็เป็นเกษตรร่วมด้วย ไม่น่าจะสูญเสียสมบัติที่ทางเลย หรือว่าพฤหัสจนทับศัตรูเสาร์เดิม และเป็นศัตรูรับราหูจร เช่นนั้นหรือขอรับ” หลวงตาส่ายหน้าปฏิเสธ และอธิบายอย่างครูสอนศิษย์ “ครู จะเอาดาวคู่มิตรคู่ศัตรูไปบวกลบกันเหมือนตัวเลขไม่ได้ ดาวเป็นคู่มิตรเขาก็ให้คุณ เมื่อเป็นคู่ศัตรูก็ย่อมเกิดโทษ อาจเป็นคุณเรื่องหนึ่งเป็นโทษเรื่องหนึ่งได้ ต้องจับทีละเรื่องๆอย่าเอาไปรวมๆกันมันจะยุ่งเหยิงจนทายไม่ออก อ่านดาวมันต้องอ่านเหมือนอ่านหนังสือ คือ ทีแรกดูว่ามันเป็นอักขระตัวอะไรและประสมสระอะไร มีตัวสะกดการันต์อะไรอ่านว่าอะไร แล้วจึงจะแปลความหมายว่าเป็นอย่างไร” ทั้งครุสมศักดิ์ หมอเถา และครูก้อน นั่งนิ่งฟังตั้งใจจดจำไว้มิให้หลงลืมตกหล่นแม้แต่สักคำ หลวงตาหยุดอยู่ครู่หนึ่ง ก็อธิบายต่อ “อย่างเช่นดวงนี้ ดาวจรเข้าเรือนปัตนิ อย่าเพิ่งไปปุปปับทายเขาว่าเป็นเรื่องผัวเรื่องเมียมันต้องตรวจดูเสียก่อนว่า ราหูเป็นเจ้าเรือนอะไรของลัคนาเป็นศุภะ และราหูเดิมอยู่เรือนอะไรเรือนลาภะก็ได้ความหมายว่าศุภะ ลาภะมาครองเรือนปัตนิ ซึ่งมันเป็นได้ถึง 2 นัย คือ ได้ลาภ หรือสำเร็จผลได้ลูกเมีย หรือได้ลาภเป็นส่วนแบ่งคือร่วมหุ้นร่วมส่วนมีผลประโยชน์ก็ได้ เมื่อหันมาดูทางพฤหัสที่ร่วมราศีด้วย คือพฤหัสเป็นเจ้าเรือนปัตนิ และพฤหัสเดิมอยู่เรือนวินาสน์ จึงย้ำความหายทางราหูว่าได้ลาภเมียแน่” ครูสมศักดิ์นิ่งฟังจดจำแม่นยำ และพูดเบาๆเหมือนรำพึงกับตนเอง “หลวงตาตรวจดาวถึงห้าตำแหน่งเพื่อทายความหมายในเรือนเดียวเท่านั้น” หมอเถาเป็นคนช่างสงสัยและจดจำดีก็ถามบ้าง “หลวงตาเคยมีรายละเอียดประกอบเป็นเรื่องเป็นราวจะต้องเอาอะไรอ่านอีกคะรับ” “ช๊ะ ๆ พวกนี้” หลวงตาชี้หน้ากราดไปทั้งสามคน สีหน้าท่านยิ้มๆ “มันคิดจะถลกจีวรฉันล้วงเอาให้หมดตัวซีน๊ะ” ครูสมศักดิ์จำวิธีของหมอเถาและครูก้อนมาใช้บ้าง คือ พนมมือประจบ “พวกผมตั้งใจขอทานวิชา สุดแต่จะกรุณาขอรับ” “พวกนี้มันเรียนปากหวานมาจากโรงเรียนเดียวกันหมด” หลวงตาชื้นหัวเราะชอบใจและอธิบายต่อ “ถ้าจะดูแบบทรงเครื่องครบมันก็ราหูตัวเก่านั่นแหละ แต่เปลี่ยนเอาตนุเศษดู ก็หมายถึงใจเขา มิได้คิดหมายมาก่อน ราหูจรมาเป็นมรณะแก่ตนุเศษก็หมายถึง ขณะนี้ใจเขาโศกเศร้าสูญเสีญ” ครูสมศักดิ์แทบจะนั่งไม่ติดเพราะความดีใจหนักหนา เหมือนได้ขุมทรัพย์มหาศาล “ตนุเศษตัวนี้นี่เอง โหรเก่าๆเคยพูดเป็นลายแทงไว้ว่า แทนลัคนา แต่ไม่เคยบอกวิธีใช้ไว้เลย” “คนโบราณเขาใช้กันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว มิฉะนั้นเขาจะหาตนุเศษไว้เพื่ออะไร” หลวงตาว่า “อีกเรื่องหนึ่งขอรับ คือว่าคู่มิตรคู่ศัตรูนั่นแหละขอรับ” ครูสมศักดิ์หวลกลับไปเรื่องเดิมอีก “เออ บ้าจี้ตามที่เขาถามจนเกือบลืมเรื่อง” หลวงตาหันไปจุดบุหรี่สูบอัดเต็มแรง “เมื่อดูเหตุเขารู้แล้วว่าได้เมีย ก็ต้องดูผลต่อไปว่ามันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ จับราหูจรดูก่อนที่ว่าทับเสาร์ คู่มิตรควรจะให้คุณอย่างที่ครูสมศักดิ์เข้าใจนั้นจริงหรือไม่ ราหูกับเสาร์นั้นคู่มิตรกันจริงแต่มันเป็นคู่มิตรกันระหว่างดาวต่อดาวมิใช่คู่มิตรของเจ้าชะตาและเสาร์เดิมนั้นคือเจ้าเรือนมรณะมาแสดงโทษอยู่ในเรือนปัตนิเมื่อได้ราหูคู่มิตรก็เท่ากับได้เพื่อนคู่หูมาร่วมกัน ทำให้เกิดโทษรุนแรงยิ่งขั้นไปอีก เพราะเสาร์เขาได้แรงเพื่อน มันจะเกิดโทษเรื่องอะไรก็ทายดีกินเอาได้ว่า เสาร์คือที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์มันก็เสียที่เสียทางนั้นแหละ” “แล้วพฤหัสที่เป็นเกษตรร่วมด้วยล่ะคะรับ” หมอเถาเปลี่ยนหน้าถามบ้าง “เดี๋ยวว่ะ ขอหยุดหายใจก่อน” หลวงตาหยุดพักเหนื่อย เพราะพูดมายืดยาวเป็นครู่ใหญ่ “พฤหัสนี้แหละตัวสำคัญ ความเป็นเกษตรให้ความหมายถึงมั่นคงถาวร เมื่อประกอบเรื่องมีคู่มีเมีย ก็เป็นผัวเมียกันตลอดไป นี่เป็นส่วนที่เป็นคุณ ส่วนที่เป็นโทษมีอยู่เพราะพฤหัสเดิมเป็นวินาสน์ลัคนาอยู่ ย่อมมีทาทางชะตาเดิมอยู่แล้ว” หมอเถาและครูก้อนเคยได้ยินได้ฟังมาหลายครั้ง ส่วนครูสมศักดิ์เพิ่งได้ยินได้รู้ ความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจปนกันยุ่งไปหมด ดีใจที่ได้พบวิชาของจริงจากท่านที่แตกฉานอธิบายให้เห็นชัดเจน เสียใจที่ว่าความรู้โหราศาสตร์ที่ ตัวเองร่ำเรียนมามากเป้นความรุ้ของเด็กนักเรียนไป เณรชั้วเข้ามาเตือนหลวงตา ถึงเวลานัดทานเจ้าอาวาสไว้ว่าจะไปร่วมประชุมเรื่องสร้างศาลา หลวงตาจึงลุกขึ้นคว้าจีวรมาครอง และมองดูศิษย์ทั้งสามแผ่เมตตาจิต ครองจีวรเสร็จแล้ว หลวงตาชื้นกลับนั่งลงอีก “ครูสมศักดิ์ วันพฤหัสนี้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาก่อนเพลนะ จะรับเป็นศิษย์” ครูสมศักดิ์ปลาบปลื้มจนตัวลอย ก้มตัวลงกราบแทบเท้าหลวงตาด้วยความรู้สึกเป็นพระเดชพระคุณอันใหญ่หลวง.