ดาวคู่มิตร-คู่ธาตุ

วันแรม 1 ค่ำ 11 เดือน ตั้งแต่ฟ้าสางมาจนกระทั่งเช้าได้อรุณทั่งชาววัดและชาวบ้านคึกคักเป็นพิเศษเพราะเป็นวันออกพรรษา รอบอุโบสถเช้าวันนี้ ชาวบ้านร้านตลาดรายเรียงเบียดเสียดแน่นขนัดจนแทบจะไม่มีที่ว่าง ต่างตั้งโต๊ะอาหารคาวหวานคอยตักบาตรมากน้อยตามฐานะ ที่ยังหนุ่มสาวก็แต่งตัวสีสรรค์ฉูดฉาดหลากสีดูเบิกบานละลานตาเหมือนดอกไม้นานาชนิดบานอยู่กลางสวน

ท้ายอุโบสถ ราชรถซึ่งตกแต่งด้วยกระดาษสีเป็นธวัชฉัตรธงและอัญเชิญพระพุทธตั้งกลางราชรถ รายรอบด้วยบาตร คอยเวลาเคลื่อนออกให้ชาวบ้านตักบาตรเทโวและต่อกระบวนด้วยพระภิกษุสงฆ์ทั้งวัดที่เข้าแถวเพื่อรับบาตรยาวจนท้ายกระบวนออกไปอยู่นอกโบสถ์

ผู้เชิญราชรถสองคนแต่งกายสวมเสื้อกรุย ใส่ตลอมพอกยอดสูง สมมุติเป็นเทวดาผัดหน้าขาวผ่อง ทั้งคู่กำลังยืนปรึกษาเดี่ยวกันเป็นต้นเสียงโห่

“ปีนี้ครูรับหน้าที่โห่ไปก็แล้วกัน ผมเป็นหวัดสุ้มเสียงมันแหบเครือ ไม่ไพเราะเลย”

“อ๊ะ ไม่ได้แน่” ครูก้อนเริ่มปฏิเสธเสียงแข็ง “หมอเถาแหละเหมาะ กระบวนเสียงดังเสียงดี ทั้งจังหวัดเรานี่ไม่ใครเกินหมอเถา” “อย่ายอ…” หมอเถายิ้มจนเห็นฟันขาว

“อ้าว จริงนะ” ครูก้อนพูดขึงขังจริงจัง “เมื่อก่อนเข้าพรรษานี้หมอเถาไปช่วยงานบวชนาคเป็นต้นเสียงโห่ ได้ยินไปสามคุ้งน้ำเขาลือกันทั่วตำบล รึว่าไม่จริง” หมอเถายิ้มแย้มปลาบปลื้มที่มีคนชม แต่ยังไม่ทันตอบก็ได้ยินเสียงพระภิกษุอาวุโสที่อยู่หัวแถวเตือนดังๆ

“เอ้า…เฮ้ยพ่อเทวดา มัวแต่คุยกันเมื่อไรจะเคลื่อนขบวน” หมอเถาหันขวับ ขยับจะเถียง แต่พอเห็นผู้พูด คือหลวงตาชื้นก็เลยนิ่ง หันมาทางเพื่อน “เอา…เคลื่อนขบวนเถอะ”

“ก็หมอเถาโห่ก่อนซี” หมอเถากระแอมกระไอพอคล่องคอก็ตะเบ็งสุดเสียงโห่ และเอื้อนเสียงยาวทิ้งท้ายโหยหวล เสียงฮิ้วรับพร้อมกันรอบโบสถ์ วงระนาดบนศาลาก็เริ่มบรรเลงรับครึกครื้น เทวดาก้อนและเทวดาเถา ก็ค่อยๆ จูงราชรถรับบาตรเทโวเคลื่อนไปช้า ๆ ชาวบ้านก็ชิงกันตักบาตร ชุลมุนคนละไม้คนละมือ พอพ้นช่วงราชรถก็ใส่บาตรพระสงฆ์รายองค์ ชั่วกระบวนราชรถผ่านไปเพียงครึ่งรอบถึงหน้าโบสถ์ บาตรซึ่งตั้งเรียงรอบบนราชรถก็เต็มจนล้นท่วมลงกับพื้นราชรถ

ขบวนผ่านไปจนเกือบถึงเจดีย์พระธาตุท้ายโบสถ์ เทวดาเถาก็เจอคู่ปรับเก่าจึงสะกิดให้เพื่อนดู “พับผ่า วันนี้แม่เฮี๊ยะแต่งสีสดสวยเช้งทีเดียว”

“เชิญพ่อหมอเถา เห็นสวยเห็นงามไปคนเดียวเถอะย่ะ ฉันน่ะกลัวปากแก ยิ่งกว่ากลัวเสือเสียอีก” ครูก้อนส่ายหน้าระอาใจจริงๆ ราชรถผ่านไปหยุดอย่างจงใจตรงหน้าหมอเถาทำท่ากรุ้มกริ่มแต่แม่เฮี๊ยะมัวแต่ก้มหน้าก้มตาตักบาตรไม่ทันสังเกตกระทั่งหมอเถากระแอม

“เออน่ะ ช่างใจบุญสุนทานแท้ๆชาติหน้าได้เกิดเป็นนางฟ้าแน่แม่เฮี๊ยะ” แม่เฮี๊ยะเงยหน้าดูผู้พูด พอเห็นหน้าถนัดก็ตอบสวนทันควัน

“อพิโธ่หมอเถา เขาแต่งตั้งให้เป็นเทวดาวันนี้ก็ยังไม่วายปากเปราะ” จริงอยู่ถึงน้ำเสียงแม่เฮี๊ยะจะไม่กาดเกรี้ยวอย่างเคยๆแต่คารมนั้นพอทำให้หมอเถาเผ็ดเหมือนกินพริก

“เออน๊ะคนเรา ฉันน่ะหวังดี ให้ศีลให้พรให้เกิดเป็นนางฟ้ากลับไม่ชอบ ใจแม่เฮี๊ยะน่ะคิดจะเกิดเป็นเมียเจ๊กทุกๆชาติรึยังไงน๊ะ”

นัยตาแม่เฮี๊ยะลุกโพลงยังกับมังกรไฟ เคราะห์ของหมอเถายังไม่ถึงฆาต เพราะแม่บุษบา ฮวยลูกสาวที่เพิ่งแต่งงานไปเมื่อเดือน 6 รีบสะกิดแม่ไว้ทั้งบุ้ยใบ้ไปทางสามีที่ยืนอยู่ข้างหลัง แม่เฮี๊ยะจึงได้สติคิดอายเกรงลูกเขยจะรู้กำพืชตนจึงต้องกลั้นหายใจตั้งสติแล้วทำเหมือนไม่ได้ยินคำหมดเถา กลับเปลี่ยนสีหน้ายิ้มแย้มพูดเล่น

“ใส่บาตรพระแล้ว วันนี้ขอใส่บาตรเทวดาสักหน่อยเถอะ” ชายเสื้อกุยเฮงตัวใหม่เอี่ยมของหมอเถาถูกแม่

เฮียะดึงเข้าไปใกล้ตักข้าวเต็มทัพพีใส่กระเป๋าเสื้อ

ปกติหมอเถาเป็นคนคิดช้า จึงนึกเป็นเรื่องสนุกสนานในวันทำบุญจึงมิได้ปิดป้อง แต่ตอนใส่กับข้าวเป็นถุงแกงส้มนั้น แม่เฮี๊ยะกลับปลดยางรัดปากถุงออกเทพรวดลงไปในกระเป๋าเสื้อเต็มรัก อีตอนนี้แหละหมอเถาเพิ่งจะคิดว่าเสียทีแม่เฮี้ยะเสียแล้ว ยิ่งเสียกลุ่มผู้หญิงหัวเราะเฮฮาซ้ำเข้าอีก หมอเถาได้แต่เงอะงะก้มลงดูสังขารตนเอง ที่น้ำแกงไหลเป็นทางลงไปจนถึงเท้า

ครูก้อนทั้งๆที่อายแทนเพื่อน ก็อดหัวเราะไม่ได้ ทางดีที่จะแก้หน้ารอดตัวไปก็คือกระตุ้นหมอเถาลากราชรถไปให้พ้นๆหน้าแม่เฮี๊ยะไปเสียโดยเร็วจะได้พ้นอาย

ตะวันขึ้นกลางฟ้าบอกเวลาเลยเพลไปนานแล้ว พระที่ลงอุโบสถและรับนิมนต์ฉันในโบสถ์คับคั่ง รอฟังเทศน์รอบบ่าย ภิกษุที่ท่านเสร็จกิจแล้วก็ทยอยกลับ องค์สุดท้ายที่ออกจากโบสถ์คือหลวงตาชื้น ซึ่งต้องใช้ลูกศิษย์เอกคือหมอเถาและครูก้อนช่วยกันแบกข้าวของที่ชาวบ้านถวายสังฆทานและอดิเรกลาภจนเต็มบ่าทั้งสองคน พอกลับขึ้นกุฏิ หมอเถาและครูก้อนก็ขอแยกตัวไปอาบน้ำอาบท่าล้างแป้งที่ผัดหน้าไว้แต่เช้า หายกันไปสักพักใหญ่ ศิษย์เอกหลวงตาก็หวลกลับขึ้นกุฏิมาพร้อมกันทั้งคู่ เห็นภิกษุหนึ่งนั่งสนทนาอยู่กับหลวงตา พอเข้าไปใกล้ก็ถูกทัก “หมอเถากะครู ดีใจจริงที่พบกันกำลังถามหลวงลุงท่านอยู่ทีเดียว”

“นึกว่าใคร มหาครื้นน่ะเอง ไปอยู่กรุงเทพฯเสียนานเกือบจำไม่ได้” ครูก้อนทักภิกษุหลานชายหลวงตาชื้น ซึ่งเดิมจำพรรษาอยู่วัดนี้และหลวงตาท่านเป็นคนบวชห็ หมอเถาคุ้นเคยสนิทสนมมาก่อนก็สัพยอก “ท่านครื้นกลับกรุงเทพฯเที่ยวนี้ราศีเจ้าคุณชักจับผิวอร่าม อีกไม่นานคงได้พัดยศแน่”

มหาครื้นหัวร่อชอบใจ “หมอเถาเดี๋ยวนี้ความรู้โหราศาสตร์ก้าวหน้าขจนาดเห็นหน้าทายได้เชียวหรือ”

หมอเถาพยักหน้ายิ้มรับสมอ้าง เข้าไปนั่งใกล้

“พูดถึงโหราศาสตร์ท่านครื้นยังเล่นอยู่หรือว่าทิ้งเรื้อไปเสียแล้ว

“ยังเล่นอยู่ แต่ว่า…” มหาครื้นหันไปสบตาหลวงตาชื้น ซึ่งเคยแนะนำให้ก่อน “ที่กรุงเทพฯเขาเล่นกันละเอียดถี่ถ้วนมากขึ้นก็เลยเปลี่ยนแนวไปบ้าง”

“ละเอียดถี่ถ้วนยังไงครับมหา” ครูชักสนใจ “ดาวมันเกินกว่า 10 ดวง ยิ่งกว่าที่เราเล่นๆกันอยู่นี้หรืออย่างไร”

“ดาวมันก็สิบดวงเท่ากันน่ะแหละ แต่เกจิอาจารย์ชื่อดังในกรุงเทพฯเขามีกฏเกณฑ์ละเอียดมากขึ้นไปอีก ไม่เล่นกับหยาบๆอย่างเราถคยเล่นกันเมื่อก่อน”

“เออแน่ะ มาเที่ยวนี้ มหาครื้นมีของดี” หลวงตาชื้นพลอยสนใจไปด้วย “ไหนลองแย้มดูทีหรือว่าอ้ายที่หยาบและละเอียดนั้นมันยังไง”

มหาครื้นถูกยกย่องชมเชยวางท่าภาคภูมิอธิบาย “ดาวเป็นเกษตรในเรือนราศีของเรานั้นมันกว้างทั้งราศี แต่แบบใหม่เขานั้นจำกัดองศา ไว้ว่าเป็นเกษตรจริงหรือไม่จริง”

หมอเถาซัก “หมายความว่า ดาวเป็นเกษตรในราศีนั้นถึงองศาไม่ตามกำหนด เขาว่าไม่เป็นเกษตรยังงั้นใช่ไม๊มหา”

“ก็ทำนองนั้นแหละ” มหาครื้นถูกซักก็ยิ่งยืนยัน “ถ้าได้องศาที่กำหนดถึงจะเป็นเกษตรแท้ให้คูณแรง ถ้าพ้นไปก็อ่อนลงไม่เกิดมรรคผล”

หมอเถาส่ายหน้า “ผมรู้สึกว่ามันไม่เข้าที”

มหาครืนชักรู้สึกว่าจะถูกขัดคอจึงชักเสียงแข็ง “ไม่เข้าทียังไงหมอเถา พวกกรุงเทพฯเขาเล่นทั้งนั้น”

“ฟังนะมหาครื้นคะรับ” หมอเถายืดอกดูมั่นใจในความคิดของตนเองเต็มประตู “ดาวเป็นเกษตรในเรือนในราศีของเขามันก็คือเจ้าเรือนเจ้าของบ้านนั่นแหละ มันจะกี่องศาก็เหมือนกับว่าอยู่ที่ไหนไม่ว่าอยู่ชั้นบนชั้นล่างอยู่ห้องไหนๆเชาก็เป็นเจ้าของบ้านมีอำนาจสิทธิขาดเต็มที่ทั้งบ้านน่ะแหละคะรับ”

“ช้ะ…ช้าหมอเถา” หลวงชื้นถูกใจหัวเราะร่า “เมื่อก่อนเคยคิดว่าจะเปลี่ยนชื่อหมอเถาเป็นหมอทึ่ม แต่วันนี้เออแน่ะความคิดทั้งแหลมทั้งคมยังกะเข็ม”

มหาครื้นชักเสียงอ่อนๆ เพราะเห็นหลวงตาชื้นให้ท้าย “เขาเล่นกันเช่นนั้นจริงๆเพราะมันเกี่ยวกะให้คุณมากให้คุณน้อยแก่ดวงชะตาคนเรา”

ครูก้อนไม่ยอมน้อยหน้าหมอเถาเอ่ยขึ้นบ้าง “เรื่องดาวเกษตรให้คุณมันก็ไม่แน่ครับมหา ผมคิดโง่ๆตามประสาของผมว่าคุณเรื่องให้คุณมันไม่เกี่ยวกะเกษตรหรือไม่เกษตรหรอก ดาวประให้คุณก็ได้ ดาวเกษตรให้โทษก็ได้”

มหาครื้นเห็นครูก้อนพูดทิ้งท้ายให้ฉงนแล้วนิ่งก็อดซักมิได้ “มันไม่ฝืนตำราเขาหรือครูลองวิสัชนาให้ฟังสักหน่อยเถอะ”

“ฝืนตำราน่ะก็คงจะฝืนมั่งละ แต่ตำราเล่มไหนไม่รู้เพราะตำราเดี๋ยวนี้มันมีมากเหลือเกิน แต่ตำราเก่าน่ะไม่ฝืนแน่ ผมรับรอง”

“ออกพรรษาปีนี้ ลูกศิษย์ฉันมันช่างเฉลียวฉลาดกันทั่งคู่ เออเล่าเรียนวิชามันไม่เสียเปล่า” หลวงตาชมด้วยใจจริง “เอ้าลองอธิบายให้มันตลอดทีซิครู”

ครูก้อนได้ท่าเลยอธิบายฉอดๆ “ที่ว่าดาวประให้คุณก็คือว่าถ้าเป็นดาวเจ้าเรือนที่เป็นโทษ เช่นเป็นเจ้าเรือนอริมรณะวิสาสน์หรือว่าเป็นดาวกาลกิณี เมื่อมันเป็นประเสียหายไปเสียมันก็ย่อมไม่เกิดโทษ เขาก็เรียกว่าให้คุณ แต่ถ้าดาวเจ้าเรือนโทษเป็นเกษตรมันกลายเป็นให้โทษแรงไปเสียอีกน่ะนา มหา”

“อ้างเช่นนั้นมันก็จริงแหละครู” มหาครื้นแบ่งรับแบ่งสู้แต่ยังไม่ยอมเป็นเบี้ยล่างเพราะถือได้เรียนรู้มาจากแห่งที่เจริญกว่า “ราศีหนึ่งมันกว้างขวางไม่มีอาณาเขต เขาจึงแบ่งราศีออกเป็นเก้าส่วน ๆ หนึ่ง ๆ เรียกว่านวางศ์หนึ่ง เหมือนราศีย่อยๆในราศีใหญ่อีกที แต่ละนวางศ์มีเจ้านวางศ์เป็นดาวประจำเหมือนเจ้าเรือนเกษตรเช่นพระจันทร์เป็นเกษตรในราศีกรกฏ แต่ถ้าเกิน 20 องศา ถึง 23 องศา 20 ลิปดา เขาก็ถือว่าเกาะนวางศ์เสาร์ ซึ่งเป็นเจ้าเรือนราศีมังกรถือว่าเท่ากับระจันทร์อยู่ราศีมังกรเป็นประไปเสียเล้ว เป็นเกษตรไม่สมบูรณ์ครูกับหมอเถาพอจะอธิบายได้ไม๊ว่า กฎเกณฑ์ของเขามันผิดถูกตรงไหน”

หมอเถากะครูก้อนหันมาสบตากันนิ่งอึ้ง ไม่เคยเรียนเคยรู้มาก่อนไม่รู้จะขัดแย้งเขาอย่างไร ข้างหลวงตาชื้นนั่งเคี้ยวหมากยิ้มพรายอยุ่ในหน้าพอใจที่ศิษย์พระและฆราวาสโต้แย้งเหตุผลซึ่งกันและกัน หมอเถาจจมุมเข้าก็พนมมือหันเข้าหาที่พึ่งคือหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์

“หลวงตาช่วยอรรถาธิบยายทีเถอะครับ ว่ามันน่าจะผิดถูอย่างไร”

ท่านมหาครื้นก็เห็นด้วยที่มีกรรมการตัดสิน “หลวงลุงกรุณาสักครั้งก็จะเป็นพระคุณ เขาว่ากันว่าแบบเก่าๆของเราเบ่นดาวดวงเดียวในราศีทั้งราศี มันหละหลวมเกินไป สู้แบบจำกัดองศาหรือแบบเกาะนวางศ์ไม่ได้เพราะพิจารณาได้ละเอียดถี่ถ้วนดีกว่า” หลวงตายิ้มแย้มอารมณ์ดี

“จะว่ากฎเกณฑ์ของเขาผิดถูกชั่วดีอย่างนั้นไม่ได้เพราะเราไม่เคยเล่นอย่างเขา แต่ที่จะว่าดีกว่าของแบบโบราณของเรานั้นเห็นจะไม่ถูกแน่ ที่ว่าแบบเก่าๆเล่นดาวราศีดวงเดียวนั้นเข้าใจผิดถ้ารู้จักเล่นตามทาเก่าเขาจริงๆแล้วมีทาง พิจารณาลึกซึ้งละเอียดพิศดารมากมายกว่าวิธีเล่นองศา หรือนวางศ์ที่มหาว่ามากนัก” “ไม๊ล่ะ ผมนึกแล้ว” หมอเถาได้ทีผสมโรง

มหาครื้นแม้จะไม่ถือสาหมอเถาเพราะคุ้นเคยมเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งเป็นเณร แต่ก็อดค้อนไม่ได้ทั้งที่เป็นผู้ชาย หลวงตานิ่งนึกลำดับความหลัง

“เมื่อหลายปีก่อนฉันเคยติดตามเจ้าคุณใหญ่ไปกรุงเทพฯมีโหรเก่าๆหลายท่านมาสนทนากับท่านเจ้าคุณใหญ่ ถึงเรื่องนี้เหมือนกันฉันยังจำได้ดีแหละที่ว่ากรุงเทพฯเขาเล่นกันแบบนี้หมดน่ะยังไม่ถูก โหรเก่าๆรุ่นผู้ใหญ่เขาก็ยังเล่นแบบเดิมๆของเขาอยู่นอกจากโหรรุ่นใหม่ๆที่เจริญก้าวหน้ารวดเร็วจึงนิยมในแบบใหม๋ๆนี้เท่านั้น รุ่นใหม่ๆบางคน”

มหาครื้นก็รับว่า “จริงครับ มีพวกหัวรุนแรงตำหนิติเตียนว่าพวกรุ่นเก่ามีทิษฐิไม่ยอมรับรู้ของใหม่ๆ” “แต่คงไม่หมายความมาถึงฉันด้วยหรอกน๊ะ” หลวงตาชื้นสัพยอก

มหาครื้นรีบพนมมือ “มิได้ครับหลวงลุง ผมพูดตามที่ได้ยินมาเช่นนั้น เป็นการพูดถึงทั่วไป”

“จำไว้ให้ดี มหาก็ดี ครูหรือหมอเถาก็ดี ฉันขอเอาถ้อยคำของพระเดชพระคุณ เจ้าคุณใหญ่ที่ท่านได้เคยอรรถาธิบายเรื่องนี้ เมื่อครั้งไปกรุงเทพฯคราวนั้นมาเล่าให้ฟัง”

หมอเถา และครูก้อนดีใจจนออกนอกหน้าแม้มหาครื้น ตัวเจ้าปัญหาก็ยินดีที่จะได้ฟังเพราะกิติศัพท์ท่านเจ้าคุณใหญ่ในเรื่องโหราศาสตร์นั้นท่านแตกฉานรอบรู้ เป็นที่นับถือแก่บรรดาโหรทั่วทั้งเมืองไทย

“เรื่องนวางศ์ก็ดีหรือการกำหนดองศาดาวเสวยตำแหน่งเกษตรอุจจเหล่านนี้นัยว่าเป็นวิธีของแขกเขาเล่นมาก่อน ต่อมาตำรับตำราแขกตกเข้ามาบ้าง โหราศาสตร์เราก็รับเอามายักย้ายวิธีเล่นพลิกแพลงกันไปตามมติที่ตัวเห็นชอบ เรื่องนวางศ์นั้นทางแบบโหรไทยเราก็เล่นอยู่ แต่เล่นกันไปทางฤกษ์ผานาที ท่านเรียกว่าบาทฤกษ์ หนึ่งฤกษ์มี 4 บาท ฤกษ์ก็คือลูกนวางศ์นั่นแหละ” เห็นหลวงตาหยุดอธิบาย แต่พียงนั้นมหาครื้นซึ่งชักเห็นแสงสว่างก็รีบซักต่อเพราะอยากรู้อย่างจริงใจ “แล้ววิธีเล่นดาวในราศีที่หลวงลุงว่าแบบเก่าๆเขาเล่นได้ละเอียดถี่ถ้วนนั้นเป็นอย่างไรครับ”

หลวงตาชื้นลากกระดานโหรมาวางตรงหน้าศิษย์ทั้งสาม ขีดดวงและเขียนดาวประจุลงในราศีโดยสมมุติ ทั้งหมอเถา ครูก้อนและมหาครื้นจ้องมองตามแทบไม่กระพริบ “นี่เป็นดาวสมมุติ ลองดูทีละดวงซิทั้งสามคนนั่นแหละ” หลวงตาชื้นชี้ดวงบนกระดาน “จันทร์ก็เป็นอุจจ อังคารก็เป็นอุจจ สองดวงอุจจนี้ดวงไหนจะยิ่งหย่อนกว่ากัน” ทั้งมหาครื้นและหมอเถาครูก้อนจ้องแล้วจ้องอีก ก็คงยังนิ่งคิดไปทางไหนก็มืดมนต์นึกไม่ออก จึงได้มองดูตากันเฉยอยู่จนถูก หลวงตาชื้นซักอีก “ว่ายังไง เอ้าหมอเถาล่ะ วันนี้ดูปัญยาดีกว่าคนอื่นๆเขา ลองว่ามาซิ” หมอเถาตอบเสียงอ่อย “จนปัญญาครับหลวงตาดูๆมันก็อุจจเท่ากัน จะว่าดาวเล็กดาวใหญ่ผมก็ไม่แน่ใจนอกจากนึกเดาๆเอา”

“ขั้นต้นต้องรู้เสียก่อนว่าเป็นอุจจ หรือมหาอุจจนั้นมีความหมายขึ้นมาอย่างไร” หลวงตาชื้นอธิบายต่อ “คำว่าอุจจก็แปลว่าสูงส่ง ดาวได้ตำแหน่งอุจจ ก็เหมือนคนได้มีอำนาจราชศักดิ์มีเกียรติอำนาจขึ้น ถ้าดาวได้ตำแหน่งเกษตรก็แปลว่า มั่นคงเป็นหลักฐานยืนยง” “ผมพอเข้าใจละครับ มันเข้ารูปเข้ารอยดี” หมอเถาพูดแล้วมองดูทางมหาครื้น

“เข้ารูปเข้ารอยยังไงกันหมอเถา” มหาครื้นยังงๆไม่เข้าใจ “เข้ารูปรอยทางพยากรณ์ น่ะซีมหา” หมอเถาได้ท่าเลยตั้งตนเป็นอาจารย์ที่สองสอนต่อ “ถ้าว่าดาวเจ้าเรือนมันภพกัมมะเป็นอุจจมันก็หมายถึงงานใหญ่หรืองานมีเกียรติ ถ้าเป็นเกษตรก็หมายถึงมีฐานะการเงินมั่นคง ถ้าเป็นดาวเจ้าเรือนภพกดุมภะเป็นอุจจ ก็หมายถึงมีฐานะมีหน้ามีตามีเกียรติ ถ้าเป็นเกษตรก็หมายถึงมีฐานะการเงินมั่นคงเป็นปึกแผ่นยังงั้นใช่ไม๊คะรับหลวงตา”

“พับผ่า…ถ้าข้ามีเหรียญ วันนี้เห็นจะต้องติดเหรียญความฉลาดให้หมอเถาเขาสักหน่อย” หลวงตาชื้นหัวร่อชอบอกชอบใจแล้วก็วกมาพูดเรื่องเดิม “พระจันทร์เป็นอุจจในเรือนของพระศุกร์ ตัวพระศุกร์เองก็ไปได้ตำแหน่งอุจจในราศีมีนเช่นกัน ถ้าเปรียบเหมือนคนเรา พราะจันทร์เขามีเกียรติมีอำนาจในถิ่นฐานบ้านเมืองที่มีเกียรติมีอำนาจ ส่วนพระอังคารนั้นเป็นอุจจในเรือนพระเสาร์ แต่พระเสาร์ไปเป็นนิจเสียแล้ว พระอังคารจึงเสมือนคนที่มีเกียรติมีอำนาจ ในบ้านเมืองที่ต่ำต้อยไร้เกียรติก็ย่อมจะยิ่งใหญ่สู้พระจันทร์ไม่ได้เป็นธรรมดา”

“ผมเห็นจริงด้วยครับหลวงลุง” มหาครื้นฟังอธิบายเห็นชัดเจนเหมือนดูภาพยนตร์ “เป็นพระคุณแก่ผมที่สุด”

“ยังก่อนจงดูต่อไปอีก ดูที่พระเสาร์และพระพุธ ซึ่งเป็นประเป็นนิจนั้นทีหรือ มันเสียหายจริงหรือไม่” หลวงตาชื้นอธิบายต่อคล่องปาก “ทั้งพระพุธและพระเสาร์นั้นไม่เสียหลายเสียทีเดียวหรอก เพราะราศีนี้พระเสาร์เป็นประ พระอาทิตย์คู่ธาตุก็เป็นอุจจร่วมอยู่ด้วย เช่นเดียวกับพระพุธเป็นประในราศีนั้น พระศุกร์คู่ธาตุก็เป็นอุจจอยู่ร่วมจึงไม่ถึงกับต่ำต้อยเสียทีเดียว เปรียบเสมือนว่าตนเองต่ำต้อย แต่มีญาติสกุลพี่น้องซึ่งมีธาตุเดียวกันเป็นคนยิ่งใหญ่ มีอำนาจก็พลอยได้อาศัยบารมีญาติเป็นเกียรติอำนาจของตนเอง ไม่ต่ำต้อยเสียทีเดียว”

“ถ้าสมมุติว่า พระอังคารมาเป็นประในราศีพฤษภในเรือนพระศุกร์และพระศุกร์เจ้าเรือนก็เป็นเกษตรอยู่ร่วมด้วยล่ะครับหลวงลุง” มหาครื้นตั้งปัญหาเพื่อจะหาความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง

“เออมหาช่างฉลาดถามดี” หลวงตาก็อธิบายต่อโดยไม่ต้องคิด “พระอังคารก็เปรียบเหมือนคนตกยากไร้ทรัพย์แต่มาอยู่ในบ้านเรือนของคู่มิตรคือเพื่อนฝูงที่เป็นเศรษฐีมีฐานะมั่นคงก็พอได้อาศัยการเกื้อกูลกันฉันท์มิตร ไม่ตกยากตามสภาพมากนัก ได้อาศัยฐานะเกษตรของคู่มิตรเขาได้”

ทั้งหมอเถาครูก้อนและมหาครื้นเหมือนนัดกันไว้ก้มลงราบขอบพระคุณหลวงตาพร้อมกันทั้ง 3 คน มหาครื้นยังพนมมือพูด “ผมเห็นจะต้องเปลี่ยนวิธีเล่าเรียนโหราศาสตร์ไทยเสียใหม่แล้วครับหลวงลุง ตำหรับตำราผมก็อ่านมามากไม่เห็นเขียนอธิบายไว้ชัดแจ้ง เหมือนคำของหลวงลุงสอนอย่างนี้เลย หลงวนเวียนเข้าใจเงอะงะอยู่นาน”

หลวงตาชื้นมองดูศิษย์ทั้ง อย่างคนแผ่เมตตาจิต “การเรียนโหราศาสตร์มันก็เหมือนเรียนว่ายน้ำ ขั้นต้นครูมันต้องว่ายน้ำเป็นเสียก่อน แล้วจึงจะสอนศิษย์ให้ว่ายน้ำได้ ลำพังตนเองจะหัดว่ายน้ำโดยอ่านตำราว่ายน้ำก็เห็นจะเป็นยาก คัดลอกเขาต่อๆมาก็จะทำให้ผู้อ่านจมน้ำตายเสียเป็นแท้”



#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์