เป็นวันพระ ตรงกับวันอาทิตย์ หมอเถาและครูก้อนมาถึงกุฏิหลวงตาตั้งแต่เช้า ครูสมศักดิ์ซึ่งมิได้สอนนักเรียนก็พลอยติดตามเป็นเกลอมากับเขาด้วย เพราะเป็นหน้าที่มาแต่ไหนแต่ไรของสองศิษย์เก่า คือ ทุกวันพระจะต้องมาปัดกวาดเช็ดถูกุฏิอาจารย์ ตั้งแต่หน้าบันไดจนถึงที่จำวัด ตลอดจนล้างถ้วยโถโอชามผึ่งแดด ครูสมศักดิ์ก็พลอยเต็มใจเป็นศิษย์วัดช่วยงานแข็งแรงจนได้เหงื่อไปตามๆกัน จนตกสายแดดจัดก็เสร็จเรียบร้อย ต่างลงนั่งพักเหนื่อยหน้าระเบียงรอหลวงตาชื้น ซึ่งไปลงโบสถ์ยังไม่กลับกุฏิ เณรชั้วซึ่งดีอกดีใจเพราะมีคนทำงานแทนตน ก็เอาอกเอาใจจัดชงน้ำชาเต็มกายกมาตั้งบริการ หมอเถาดื่มชาถ้วยที่ 3 หมดแล้วก็หันไปสะกิดเณรชั้วถาม “เณรมีอะไรหวานๆกินกะน้ำชาไม๊ เหนื่อยๆยังงี้หัวอกมันแห้งจริงๆ” เณรยักคิ้วตามนิสัยคะนอง “มีแต่ขนมที่จะถวายเพลหลวงตาน่ะซี จะเอาไหม” “อ๊ะ…อย่าๆ” หมอเถาร้องห้ามเสียงหลง “ของส่วนตัวของเณรที่เก็บตุนไว้กลางค่ำกลางคืนไม่มีมั่งเชียวเรอะ” “เอ๊ะ หมอเถา หาว่าฉันเก็บขนมไว้กินกลางคืนซี ถึงฉันเป็นเณรก็ครองผ้าเหลืองถือศีลเหมือนกันนา” “ใจเย็นๆอย่างเพิ่งโกรธน่าเณร” หมอเถาตบหัวเข่าเณรปลอบยิ้มๆ “ผมหมายถึงองเหลือๆนั่น ใครๆเขาก้รู้ว่าเณาชั้วไม่ฉันขนมกลางคืน ผมสาบานแทนก็ยังได้” พูดถึงฉันขนมกลางคืน เณรชั้วหลบๆตาตอบ “ไม่มีหรอกขนมมีแต่ของอื่น พอแทนๆได้” “อะไรหรือเณร” ครูก้อนชักสนใจ “น้ำตาลปึกซีครู ล่อกับน้ำชาชุ่มคอดีนักหนา” เณรชั้วอธิบายสรรพคุณ “อ้อ ผู้ชำนาญ” หมอเถาสัพยอกเพราะเณรพูดจนหลวมตัว “เอาก็เอาเณร ชักแสบหัวอกแล้ว” เณรชั้วหายเข้าครัวครู่เดียวก็คว้าน้ำตาลปึก 2 ฝาใหญ่มาวางให้ตรงหน้า หมอเถาบิใส่ปาก ดื่มน้ำชาตาม ทั้งหันมาพยักเพยิดชวนครูก้อน “แหม ถ้ามีข้าวเหนียวสักลิตรก็จะดี” หมอเถาจุ๊ปากอย่างมันเขี้ยว เณรชั้วยักคิ้วทังๆที่ไม่มีคิ้ว “เอาว่ามาจะเอาอะไรอีก” ครูก้อนพลอยนึกตะกละไปกะเขาด้วย “มะพร้าวสักลูก จะได้ครบเครื่องข้าวเหนียวเปียก” เณรชั้วหันไปถามครูสมศักดิ์อีกคน “ครูสมศักดิ์ล่ะ จะเอาอะไรบอกมาจะได้จัดการเสียทีเดียวให้ครบคน” ครูสมศักดิ์ชักระแวงจึงย้อนถาม “เณรถามน่ะจะจัดการหาให้เขาได้ทุกคนหรือ” “ใครบอกว่าฉันจะหาให้” เณรชั้วยิ้มหน้าเป็นกวนโมโห ”ที่ให้บอกครบทุกคนนั้นจะได้จัดการปฏิเสธรวบยอดเสียครั้งเดียวหมดเรื่องขี้เกียจคอยตอบทีละคนทีละหนเสียเวลา” หมอเถาถูกเณรเด็กน้อยหลอกให้ตะกละขยับปากจะว่าให้แสบ ก็ต้องชะงัก เพราะเสียงประตูระเบียงเปิด ผู้ก้าวเข้ามาเป็นชายอายุกลางคนแต่งกายเรียบร้อย ซึ่งทั้งสามฆราวาสกับเณรหนึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน เขาพนมมือไหว้มาแต่ไกล ไม่เจาะจงชัดว่าไหว้ใคร ทั้งหมอเถาและสองครู จึงต้องยกมือไหว้รับกันทุกคน เมื่อเข้ามาใกล้ เณรเป็นคนปากไวก็ถามก่อน “คุณถ้าจะมาหาหลวงตา” “ครับเณร” เขารับคำ “ผมอยากมากราบรบกวนให้ท่านดูดวงชะตา” “ท่านไปลงโบสถ์ยังไม่กลับ” เณรรายงานคล่องแคล่ว “แต่ว่าวันนี้เป็นวันพระนี่” เขาคงจะเป็นคนแปลกถิ่น จึงไม่เข้าใจได้แต่มองหน้าเณรและคนอื่นๆนิ่งอยู่ เณรชั้วเป็นพูดจาไม่ใคร่ยับยั้งตามอารมณ์คะนองก็อธิบายต่อ “วันพระหลวงตาไม่รับแขกดูหมอเพราะท่านต้องสวดมนต์ธรรมวัตร์ ปฏิบัติกิจของสงฆ์ ถ้าวันโกนไม่ละ วันพระไม่เว้น พระจะกลายเป็นเณรไป” ชายแปลกหน้าถือวิสาละนั่งลงบนระเบียง ทีท่าลังเลใจและผิดหวัง และในขณะที่ทุกคนยังไม่มีใครออกความเห็น หลวงตาชื้นก็ก้าวล่วงประตูขึ้นมา ทักทายหมอเถาและครูก้อน ครูสมศักดิ์ และรับไหว้ชายแปลกหน้า เมื่อท่านขยายจีวรออกครองตามสบาย และนั่งลงบนอาสน์ประจำ เณรชั้วก็เข้าประเคนกาน้ำชาของโปรด ชายแปลกหน้ากระเถิบเข้ามาใกล้ท่าทีเกรงๆใจ ก้มลงกราบเคารพ “ผมมาจากกรุงเทพณมาเยื่อนญาติที่จังหวัดนี้และได้ทราบเกียรติคุณหลวงตา จึงมากราบเท้า ชีวิตผมผิดหวังและอาภัพมากไม่ทราบว่าดวงชะตาชีวิตจะเป็นอย่างไร” หลวงตาชื้นยิ้มแย้มเป็นอัธยาศัย “คุณจะยังพักอยู่อีกหลายวันหรือ” “ผมตั้งใจจะกลับรถเย็นนี้ขอรับ เพราะพรุ่งนี้วันจันทร์ต้องทำงานแล้ว” หลวงตานิ่งอึดอัดอยู่ครู่หนึ่ง “โดยปกติอาตมาไม่รับแขกดูหมอในวันพระ” “ขอรับ…” เขารับคำ “เมื่อครู่นี้เณรก็บอกผมแล้ว ผมมาไกลและรู้สึกว่าจะเสียโอกาสที่ดีที่สุด ที่ได้มากราบเท้าหลวงตา ไม่ทราบว่าพระคุณจะมีข้อยกเว้นเป็นพิเศษอย่างอื่นบ้างหรือไม่” หลวงตามีความรู้สึกเหมือนถูกบังคับจากคำขอร้องอย่างสุภาพเรียบร้อยของคนกรุงเทพณ ท่านคิดตัดสินใจประเดี๋ยวหนึ่งก็กวักมือเรียกศิษย์ทั้งสามคนเข้ามาใกล้ๆ “หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ รวมกันช่วยสงเคราะห์ดูดวงให้เขาสักหน่อยเถิด” หลวงตาหันไปทางแขก “ทั้งสามคนนี้เป็นศิษย์ของอาตมาเอง จะได้ไม่เสียความตั้งใจมา” “สุดแต่พระคุณจะกรุณา” เขายกมือไหว้นอบน้อม หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์คลานเข้ามาใกล้รับกระดานโหรและปูมดาวจากหลวงตา ครูก้อนเป็นคนซักถาม วันเดือนปีและเวลาเกิด ครูสมศักดิ์เป็นคนคล่องกว่า จึงเป็นคนหาตำแหน่งดวงดาว และวางลัคนา หลวงตานั่งมองยิ้มๆ พออกพอใจที่ลูกศิษย์คล่องแคล่วทะมัดทะแมง เมื่อวางดาวและลัคนาประจำราศีแล้ว ครูสมศักดิ์ก็เงยหน้ามองเจ้าชะตา ส่วนครูก้อนและหมอเถาอ่านดวงในดวงชะตาเงียบอยุ่ยังไม่กล้าออกความเห้นพยากรณ์ ชายชาวกรุงเทพฯเห็นผู้พยากรณ์นิ่งอยู่ก็ระบายความทุกข์ เล่าเรื่องของตนโดยละเอียด “ผมเรียนสำเร็จมหาวิทยาลัย การเรียนผมกล่าวได้ว่าดีเด่นกว่าเพื่อนๆรุ่เดียวกันหลายคน แต่มาพอเริ่มชีวิตการงานผมกลับประสบความผิดหวังไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร ผมทำงานแต่ละแห่งนานๆไม่สู้จะเปลี่ยนบ่อยนัก ปัจจุบันนี้ผมทำงานในบริษัทใหญ่โตแห่งหนึ่ง ในหน้าที่ๆพอควร จนถึงขณะนี้ 10 ปีเศษ ผมทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรและสัตย์ซื่อสุจริตตลอดมา แต่ผลที่ได้รับคือความผิดหวังอย่างรุนแรง การเลื่อนขั้นเงินเดือนนั้นได้เสมอ แต่ตำแหน่งหน้าที่ได้เลื่อนอย่างยากเข็ญ ล้าหลังกว่าเขา เพื่อนที่ทำงานรุ่นเดียวกันทั้งหมดทุกคนเขาได้เลื่อนขั้นเป็นระดับหัวหน้างานหมด อยู่แต่ผมคนเดียวเป็นคนสุดท้ายที่ยังมิได้เลื่อน เมื่อถึงคราวพิจารณาตำแหน่งครั้งใด ผมขมขื่นผิดหวังทุกครั้ง แม้เด็กรุ่นหลังก็กำลังจะผ่านหน้าผมไป ครั้นผมจะลาออกเปลี่ยนงานใหม่ อายุวัย 45 ของผมก็ทำให้สายเกินไป แก่เกินไปที่จะไปตั้งต้นชีวิตงานใหม่ ขณะนี้ผมท้อแท้และตัดสินใจไม่ถูกว่าควรทำอย่างไร ดวงชะตาของผมเป็นอย่างไร จึงอับโชคเรื่องการงานและจะเป็นไปตลอดชีวิตเช่นนี้หรือไม่ก็ไม่ทราบ” นักพยากรณ์ทั้งสามคนฟังเรื่องอันยืดยาวของผู้เล้าจนเพลิน พอจบเรื่องทุกคนก็มองดวงชะตาดูเรือนกัมมะทันที ครูสมศักดิ์ซึ่งเคยพยากรณ์แคล่วคล่องฉาดฉานก็นิ่งอึ้ง พึมพำเหมือนปรารภกับตัวเอง “จันทร์เจ้าเรือนกัมมะเป็นเกษตรเสียด้วย” “นั่นซี” หมอเถาพลอยพึมพำเห็นจริงไปด้วย “การงานน่าจะดีไม่น่าเลย” ครูก้อนแอบสะกิดครูสมศักดิ์ กระซิบเบาๆ “อังคารตัวกาลกิณีไปครองภพศุภะ ผู้ใหญ่พึ่งไม่ได้ไม่ช่วยเหลือสนับสนุนหน้าที่การงานเสียเป็นแน่” เสียงกระซิบไม่เบา เจ้าชะตาได้ยินจึงเป็นฝ่ายตอบ “การพิจารณาเลื่อนหน้าที่เป็นระดับหัวหน้างาน ต้องประชุมหัวหน้าฝ่ายต่างๆทุกฝ่าย โหวตเสียงกัน ผมแพ้โหวตทุกครั้ง ส่วนตัวผู้จัดการท่านดีและมีเมตตาต่อผมเสมอ” ครูสมศักดิ์กับครูก้อนร้องอ้อ หมอเถาก็แอบเข้าไปกระซิบบ้าง “ก็พุธเจ้าเรือนศุภะตัวเจ้านายที่พึ่งของเขาไปอยู่เรือนราหู เรือนศรีแท้ๆ เจ้านายเขาไม่เสียหรอก” ครูก้อนกับครูสมศักดิ์ก็ร้องอ้อ อีกเป็นหนสอง “หรือว่าตัวตนุลัคน์เป็นประ” ครูก้อนแนะขึ้นอีก “ทำให้ตัวเองอาภัพทำดีไม่ได้ดี” ครูสมศักดิ์พยักหน้าซักเห็นคล้อยๆไปด้วย แต่ยังไม่สนิทใจ “และอาทิตย์ตัวอุตสาหะตกอริ การงานจึงขัดข้องมีอุปสรรคอยู่” หมอเถาก็แอบเข้าไปกระซิบอีก “ราหูตัวศรีสถิตราศีพฤษเรือนศุกร์ก็เท่ากับทับลัคน์อยู่เพราะลัคนาก็อยู่เรือนศุกร์ ครูก้อนและครูสมศักดิ์ร้องอ้อ อีก หลวงตาชื้นนั่งนิ่งฟังอยู่ชักรำคาญทนไม่ได้ “มันยังไงกันน๊ะ เสียงร้องอ้อๆรวม 3 อ้อ แล้ว ก็ยังไม่ได้เรื่อง” ครูก้อนพนมมือแต้ “ลงดวงรูปนี้ ถ้าจะไปไม่รอดขอรับ หลวงตา” “ใครไปไม่รอด” หลวงตาย้อนถาม “เจ้าชะตาหรือครูก้อน” “พวกกระผมสามคนไปไม่รอดแน่” ครูก้อนบอกอย่างหมดอาย “เหตุการณ์มันผืนดวงเจ้าเรือนกัมมะในดวง เป็นเกษตรดีแน่ๆ แต่เจ้าชะตากลับโชคร้ายมาตลอดเรื่องงาน ผมสงสัยว่าคงจะมีที่ผิด ไม่ดวงก็เจ้าชะตาสักอย่าง” “เออน่า ดวงเขาไม่ผิดหรอก ถ้าจะมีก็พวกๆเราน่ะแหละผิดว๊ะ” หลวงตาชี้หน้ารวดเดียวทั้งสามคน ครูก้อนไม่รู้ว่าจะเถียงว่ากระไรเก้อๆก็เลยรับคำ “อ้อ ครับ” “เจ้าครูอ้อ เอากระดานมานี่เถอะ” หลวงตาชื้นนึกอายที่เสียหน้า หวังจะเอาศิษย์อวดแขก กลับพากันล้มหมด หลวงตาก้มลงตรวจดวงในกระดานอยู่ครู่หนึ่ง ก็เงยหน้าขึ้นมองดูเจ้าของดวงชะตาที่นั่งอยู่ เขาพนมมือถาม “เป็นอย่างไรขอรับ” “อาตมาขอเอาดวงคุณเป็นแบบเรียนสอนศิษย์สักหน่อย” หลวงตาหาทางเลี่ยง เพื่อมิให้เสียคำพูดที่ว่าจะไม่พยากรณ์ในวันพระ เมื่อเจ้าตัวอนุญาตหลวงตาก็ชี้ลงตรงจันทร์ที่เป็นเกษตรในดวง “ดูเสียให้ดีพ่อสามสหาย ตัวเกษตรนั้นหมายถึงมั่งคง นาน เป็นปึกแผ่น ก็ถูกกับดวงชะตาเขาแล้ว เจ้าชะตาทำงานที่ใดทนทานไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ และมีพื้นฐานมั่นคงดี เพียงแต่ขาดความก้าวหน้าไม่รวดเร็วเยี่ยงคนอื่นๆเขา ปัญหามันอยู่ที่ว่าอะไรหรือทำให้ชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า” เจ้าชะตารับคำ “ขอรับ จริงอย่างหลวงตาว่า” หลวงตาชี้ดาวสอนศิษย์ ด้วยการพยากรณ์ต่อไปด้วยความรู้ชำนาญอันแตกฉาน “ประการแรก จันทร์อันเป็นกัมมะแก่ลัคนาแต่เป็นมรณะแก่ตนุเศษ แสดงว่าเจ้าชะตาไม่สนใจงานนี้อย่างจริงจัง อาจเป็นงานที่ไม่รักหรือไม่ถูกใจ เพราะมันมรณะคือตายจากจิตใจเสียแล้ว แต่ส่วนอังคารเจ้าเรือนกดุมภะกลับเป็นปัตนิแก่ตนุเศษ บอกถึงใจมุ่งหวังและรักแต่เงินรายได้เท่านั้นเป็นเรื่องสำคัญ” เจ้าชะตานิ่งอึ้ง แต่เมื่อถูกสายตาของหลวงตาและศิษย์ทั้งสามมองจ้องเหมือนจะถามข้อเท็จจริงจึงต้องตอบ “ผมเรียนมาทางหนึ่งงานที่ทำนี้ไม่ต้องใช้วิชาที่เรียนมาเลย แต่รายได้นั้นดีจริงอย่างหลวงตาพยากรณ์ขอรับ” ครูสมศักดิ์นึกในใจว่า เพราะความแตกฉานรอบรู้ในการจับดาวพยากรณ์ของหลวงตาเช่นนี้เองที่ทำให้โด่งดังมีชื่อเสียงเลื่องลือซึ่งตนเองมิได้พบเห็นมาก่อน จึงนึกภูมิใจที่ได้มาฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงตาชี้ที่เสาร์ตัวตนุเศษอีก “ประการที่สำคัญที่สุดที่ตัดชีวิตความก้าวหน้าในการงานของเจ้าชะตาก็คือเสาร์ตนุเศษที่สถิตภพสหัชชะนี่แหละ” และหลวงตาทานก็ขยักนิ่งเสีย ครูสมศักดิ์พยายามอ่านตามก็ยังเดาไม่ออกว่าจะไปเกี่ยวกับกิจการงานอาชีพได้อย่างไร ยังมองไม่เห็นทาง แต่ความเกรงใจมีมากไม่กล้าซัก จึงได้แต่รอท่านอธิบาย สักครู่หลวงตาก็ชี้แจงต่อ “ดาวเสาร์มีความหมายถึงความคับแคบตระหนี่ถี่ถ้วน แยกตัวสันโดษ ชาเย็นเห็นแก่ตัว เมื่อตนุเศษคือดาวเสาร์สถิตภพ 3 อันเป็นภพเพื่อน สังคมการติดต่อ ความเห็นอกเห็นใจ ดังนั้นจึงทำให้จิตใจไม่สนใจการคบเพื่อน ไม่สนใจสังคมขาดความเห็นใจในผู้อื่น พูดง่ายๆก็คือว่า ถือสันโดษ คับแคบไม่เอาเพื่อนเอาฝูงนี่แหละเป็นจุดใหญ่ ถึงแม้จะขยันหมั่นเพียรอย่างไร แต่เมื่อขาดการสนับสนุนส่งเสริมจากเพื่อนและบุคคลในวงงานก็ขาดความก้าวหน้าในการงานและบุคลิกเช่นนี้ย่อมเป็นหัวหน้าที่ดีมิได้ จึงมิได้ถูกแต่งตั้ง พอท่านหยุดพูด หมอเถาก็รีบรินน้ำมาใส่ถ้วย สองมือประคองประเคน ข้างครูก้อนก็จุดบุหรี่ถวายปรนนิบัติเยื่ยงศิษย์ที่ดี ครูสมศักดิ์นั้นมัวแต่คิดคำนึงว่าวิธีพยากรณ์ของหลวงตาแปลกประหลาดผาดโผนแต่ก็ตรงกับข้อเท็จจริงอย่างยิ่ง หลวงตาดื่มน้ำชาหมดถ้วยแล้ว ก็จ้องหน้าศิษย์ทั้งสาม เหมือนจะให้ตั้งใจฟังเฉพาะ “ดวงชะตาชายในปัจจุบันนี้ถ้าสังคมเสีย เพื่อนเสีย มันก็เหมือนคนว่ายทวนน้ำ กว่าจะถึงก็เหนื่อยสายตัวแทบขาด ดูดวงชะตาเขาอย่าจับดาวจุดเดียวเรื่องเดียว เพราะชีวิตคนเราส่วนอื่นๆมันสัมพันธ์ส่งผลดีชั่วถึงกันทั้งนั้น” ครูสมศักดิ์ยังสงสัยก็ค่อยๆและเลียมถามกลัวถูกดุ “กาลกิณีในภพศุภะและอุตสาหะติดอริ และตนุลัคน์เป็นประ จะมีผลมั่งไม๊ครับ “ผลมันมีแน่ กาลกิณีในเรือนศุภะ ก็เจ้านายเขาช่วยโดยตรงมิได้ เห็นอยู่แล้วอุตคสาหะเป็นอาทิตย์เจ้าเรือนลาภะมาติดอริ การงานว่าจะพบความสำเร็จก็พบอุปสรรค ต้องดิ้นรนต่อสู้ตีนถีบปากกัดจึงจะได้ เมื่อดวงชะตามันบอกว่าพึ่งผู้ใหญ่ไม่ได้ จะพึ่งตัวเองตนุลัคน์ก็เป็นประ ผู้ที่พึ่งได้คือเพื่อน เจ้าชะตาก็ไม่เอาเสียอีก แล้วจะพึ่งใคร” ศิษย์ทั้งสามก้มลงกราบเหมือนตอนพระเทศน์จบ แต่เจ้าชะตายังงงๆอยู่หลวงตาจึงพูดตรงๆตามแบบของพระชราที่ตักเตือนด้วยความหวังดี ”ถ้าคุณปรับปรุงตัวคุณเองให้ดีขึ้นจากที่อาตมาว่าคุณก็จะก้าวหน้าในชีวิตการงานแน่นอน จำไว้ว่า ถ้าคุณชนะตัวคุณเอง คุณจะเป็นผู้ชนะในการงาน” เสียงกลองเพลดังแต่เมื่อใด ไม่มีใครได้ยิน มารู้เอาตอนเณรชั้วยกสำรับกับข้าวเข้ามาใกล้เตรียมปูเสื่อจัดที่ฉันเสียแล้ว แขกที่มีมารยาทจึงจำใจต้องลา และจดจำสิ่งที่มีค่าสูงสุดแก่ชีวิตกลับไป.