กฎแห่งกรรม
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
[3 กรกฎาคม พ.ศ.2543]
วันนั้นเป็นวันพระ ขึ้น 8 ค่ำ เดือนยี่ อากาศหนาวจัดเช่นทุกๆปี ถึงกระนั้นผมก็ตื่นแต่เช้าใสบาตร์อันเป็นกิจวัตร์ที่ผมทำมาหลายปีดีดักจนเป็นนิสัย บางทีก็หลายองค์บางทีก็องค์เดียวสุดแต่อัฐฬสจะอำนวย อาหารใส่บาตร์ก็มักเป็นไข่ต้มไข่เค็มยืนพื้น จนชาวบ้านที่ปากเปราะมักล้อผมว่า ชาติหน้าผมคงได้เกิดเป็นพอค้าไข่แน่ ผมมักเอาหูทวนลมเสีย ผมคิดตามประสาตาแก่โง่ๆว่าทำบุญก็เหมือนฝากออมสิน ผมตายไปเป็นผีก็จะได้เบิกเอามากินมาใช้ได้ เพราะผมตัวคนเดียวพี่น้องญาติกาไม่มี ใครเล่าเขานะทำบุญไปให้
พอสัก 8 โมงกว่าๆ ผมก็เข้าวัดแอบไปนั่งอยู่ริมประตูทางเข้าโบสถ์ ฟังพระท่านลงอุโบสถสวดมนต์ตั้งแต่ทำวัตรเช้าเรื่อยไป ถ้าเป็นวันพระข้างขึ้น 15 ค่ำ ก็เป็นบุญหูได้ฟังท่านสวดปาฎิโมกข์ จะได้บุญหรือกุศลอะไรผมก็ไม่ได้คิดจริงจังนัก เพียงแต่ได้ฟังพระภิกษุท่านสวดมนต์พร้อมๆกัน ดังกังวาลกระหึ่มในโบสถ์ มันก้องหูก้องหัวใจ ผม ทำให้จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานเป็นสุขเสียนี่กระไร เป็นความสุกตามประสาคนแก่ที่จะหาได้วันพระละครั้ง และพอพระท่านสวดจบออกจากอุโบสถไปแล้ว ผมก็คลานไปกราบพระประธานองค์ใหญ่ จุดธุปเทียนบูชาท่านและอาราธนาศีลและรับศีลเองเสร็จ ผมถือศีล 5 ด้วยวิธีนี้มาทุกวันพระ ศีลข้อ อทินนา ปาณา กาเม สุรา ผมเคร่งทุกข้อมีแต่ศีลข้อ 5 มุสาวาทาเว นี่แหละลำบากใจอยู่ทุกวันพระ มันคอยแต่จะพลั้งๆ เผลอๆ อยู่ร่ำไปตามนิสัย ผมถือศีลไม่ได้กุศลส่งขึ้นสวรรค์ก็อีตรงศีลข้อ 5 นี่แหละ ที่จะทำให้ศีลขาดทุกวันพระ
พอเสร็จกิจอื่นๆผมก็ออกมาลานโบสถ์ เอาแรงกายทำบุญถวายพระ กวาดระเบียงโบสถ์จนรอบเป็นประจำ เช้าวันนี้ก็เช่นเดียวกับทุกวันพระ ผมกราบพระประธานแล้วก็ออกมากวาดลานโบสถ์ กวาดไปคิดไปว่ากุศลนั้นเป็นของมีจริงเป็นจริงได้กะตัวผมเอง การมาโบสถ์เป็นกิจนิจสินนี่เอง วันพระหนึ่งนานมาแล้ว ท่านเจ้า คุณเจ้าอาวาสท่านเสร็จกิจออกจากโบสถ์มา ทักผมด้วยเมตตาบอกว่า “หมอเถาเอ๋ย ใจหมอเป็นกุศลมั่นคงดี หมอแก่แล้วตัวคนเดียวไร้ญาติ ฝากผีไว้กับฉันเถอะ เวลาตายฉันจะรับเป็นเจ้าภาพเผาให้ ไม่ต้องเป็นห่วง”
ผมก้มลงกราบเท้าท่าน ดีใจดังได้สมบัติพระศรีอารย์ก็ไม่ปาน เพราะเหตุนี้แหละอดมั่งอิ่มมั่งผมก็ไม่ค่อยจะทุกข์ร้อนเท่าไร จะทุกข์อยู่นิดๆ ก็ตรงที่กลัวว่าท่านเจ้าคุณจะเกิดมรณภาพไปก่อนผมละก็เป็นกรรมของเถา แน่ ! กำลังกวาดลานโบสถ์เพลินคิดเพลินนึกอิ่มอกอิ่มใจอยู่ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะมีคนสะกิดบั้นเอวข้างหลัง “บ๊ะเล่นพิเรนอะไรกัน ตกกะใจ” ผมจ้องหน้าคนสะกิดนึกฉุนคิดว่าถ้าวันนี้ไม่ใช่วันพระจะด่าในใจให้แหลกทีเดียว “จะทักทายให้สุ้มให้เสียงซักหน่อยก็ไม่ได้ มาเงียบๆ ยังกะอ้ายโจร”
“ก็โจรน่ะซี ฉันละ” ชายร่างเล็กที่ยืนคู่กับชายร่างใหญ่กำยำ รับสมอ้างสีหน้าทะเล้นยิ้มระรื่น “บ๊ะ ลุงนี่เส้นตื้นพิลึก สะกิดหน่อยเดียว เต้นยังกะหนังตะลุง”
ผมพิจารณาดูชายสองคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ชายหนึ่งกำยำล่ำสัน หน้าเข้มดูเป็นคนจริงจัง อายุอานามราว 30 แต่งเนื้อแต่งตัวทะมะทะแมง แววตากล้าจน ผมไม่อยากสบสายตา อีกคนหนึ่งเป็นคนร่างเล็กเกร็งอายุน้อยกว่า สง่าราศรีดูแค่ชั้นลูกกะโล่ และดูเป็นคนแปลกหน้าไม่ใช่คนเมืองนี้ทั้งคู่ จึงบอกชื่อเรียงนามของผม “ฉันชื่อหมอเถา พ่อสองคนนี้มีธุระอะไรกะฉันรึ”
“เถาอะไรน่ะลุง” จ้าคนตัวเล็กสอดปากถาม
“เถาวัลย์ หรือจะว่าเถาวัลย์เปรียงก็ยังได้ เพราะฉันเป็นหมอยาไทย”
“อ้อ-นึกว่า เถาคัน” เจ้าคนตัวเล็กปากอยู่ไม่สุขสัพยอกให้เจ็บ ผมเหลียวดูรอบๆตัวเอง มันห่างกุฎิพระไกล แม้เกิดอะไร ตะโกนเรียกคนช่วยก็คงไม่มีใครได้ยิน เลยต้องเป็นคนอารมณ์เย็น เฉยไว้ พอดีเจ้าผู้ชายคนตัวใหญ่สะกิดห้ามเพื่อนให้นิ่ง และยกมือไหว้นอบน้อม “ขอโทษ พ่อลุง รู้จักกุฎิหลวงตาชื้นไม๊ ฉันอยากพบท่านสักหน่อย”
“ถ้าเป็นหลวงตาชื้นโหรละก็รู้จักแน่” ผมนึกชอบใจเจ้าหมอตัวใหญ่ที่รู้จักเด็กรุ้จักผู้ใหญ่ “หลวงตาเป็นอาจารย์ของฉันเอง กุฎิท่านไม่ไกลจากที่นี่เท่าใดหรอก พาไปพบก็ยังไหว”
“ถ้าเมตตาพาไป ฉันก็ขอขอบพระคุณพ่อลุง” เขายกมือไหว้อีก
ผมมาเจอคนมืออ่อนปากอ่อนเข้าก็เลยใจอ่อน ขมีขมันอาสาวางมือจากงานออกเดินนำหน้าลัดเลาะต้นโพธิ์ใหญ่ท้ายวัดมากุฎิหลวงตาชื้น พอก้าวขึ้นกุฎิเห็นหลวงตากำลังฉันเพล ก็นึกออกว่าอีตอนกวาดวันได้ยินเสียงกลองเพล และแปลกใจที่เห็นครูก้อนนั่งอยู่กับหลวงตา ผมจัดแจงบอกเจ้าสองคนให้นั่งคอยที่ระเบียงหอฉัน คอยหลวงตาท่านฉันเพลเสียก่อน ตัวผมเองก็เข้าไปกราบหลวงตา
ครูก้อนหันมาเห็นก็ทัก “อ้าวหมอเถา-ไหงมาแต่เพล ตั้งใจว่าบ่ายๆจะแวะไปชวนอยู่”
“พ่อสองคนโน่น เขาขอให้พามาหาหลวงตา” ผมบุ้ยปากไปที่สองคนแปลกหน้าที่นั่งคอยอยู่ห่างๆ”ครูล่ะ”
“การ์ดรถไฟ เขาเอาชมภู่มาเหมี่ยวมาจากกรุงเทพฯมาฝาก ก็เลยคิดถึงหลวงตา เลยเอามาถวายเพล” หลวงตาชื้นหันมาทักทายปราศรัยผม 2-3 คำ และปรายตาดูเจ้าสองคนนั่น แล้วก็ลงมือฉันต่อไปจนเสร็จ เมื่อเณรชั้วยกสำรับออกไปแล้ว ท่านก็จุดบุหรี่เอกเขนกพิงหมอนขวานตามสบาย จิบน้ำชานิ่งอยู่สักพักใหญ่ๆ แล้วท่านก็กวักมือเรียกเจ้าสองคนที่นั่งอยู่ระเบียงหอฉันให้มาหา
เจ้าคนตัวใหญ่ซุบซิบอยู่ครู่หนึ่ง เจ้าคนตัวเล็กยกมือไหว้มาทางหลวงตา แล้วก็ถอยลงจากกุฎิไป แล้วเจ้าคนตัวใหญ่ก็เข้ามาคุกเข่ากราบหลวงตา
“มีธุระอะไรหรือพ่อว่าไปไม่ต้องเกรงใจ” หลวงตาทักเสียงเรียบๆ แสดงความเมตตากรุณา
“ผมมีทุกข์ในใจเหลือเกิน” มือที่กราบยังคงพนมอยู่ที่อกแสดงความเคารพ “อยากจะให้หลวงตาตรวจดูดวงชะตาสักหน่อย เมื่อไรมันจะพ้นเคราะห์”
“จำวันเดือนปี และเวลาเกิดได้ไม๊ล่ะ”
“ได้คะรับ ผมเกิดวันเสาร์ ขึ้น 6 เดือน 7 ปีมะเส็ง เวลาตีสี่ครึ่ง”
หลวงตาพยักหน้าและซักถามต่อ “ตีสี่ครึ่ง ของคืนวันเสาร์และรุ่งเช้าเป็นวันอาทิตย์ยังงั้นรึ”
“คะรับ-หลวงตา”
หลวงตาคว้าปูมโหรที่อยู่ข้างๆมาเปิดๆ “อ้อตรงกับวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 แล้วท่านก็ลุกขึ้นนั่งหยิบกระดานโหรลงดาวลงเดือนวางลัคนา เสร็จแล้วท่านก็ก้มหน้าลงพิจารณาอย่างพินิพิเคราะห์อยู่นานสักครู่ใหญ่ แล้วท่านกลับหันไปรินน้ำชามาจิบเงียบๆไม่พูดว่ากระไร เป็นกิริยาแปลกที่ผมและครูก้อนฉงนใจ เพราะไม่เคยเห็นท่านปฎิบัติดังนี้มาก่อน” เห็นนิ่งอยู่นานผมอดรนทนไม่ได้ก็ถามท่าน “ดวงชะตาเขาเป็นอย่างไรครับ หลวงตา”
หลวงตาเหลือบดูผมแวบหนึ่ง แล้วก็มองดูหน้าเจ้าชะตาหนุ่มใหญ่อย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนจะอ่าน หัวใจ “ฉันว่า ดวงนี้จะมาหาพระผิดกุฎิเสียแล้วกระมัง” หลวงตาพูดเรื่อยๆ “มันควรจะไปหาพระที่เป็นอาจารย์ขลังๆรดน้ำมนต์สะเดาะเคราะห์ หรือขอของดีคุ้มตัว ไม่ใช่มาหาพระหมอดู” ผมสังเกตว่าเจ้าหมอนั่นสะดุ้งจนเห็นชัด
“ไม่ผิดหรอกคะรับหลวงตา ผมตั้งใจมาหาหลวงตาจริงๆ” เขาว่าเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว “ผมอยากจะรู้ว่ามีเคราะห์ถึงเป็นถึงตายหรือไม่ในระยะนี้”
“เมื่อตั้งใจมาอาตมาก็ต้องสนองศรัทธาตามกำลัง” สายตาท่านยังจับใบหน้าอยู่ไม่วางตา “ตอบฉันก่อนว่า พ่อเป็นคนจังหวัดไหน คงไม่ใช่คนพื้นนี้แน่
เขานิ่งตรึกตรองก่อนตอบอยู่ครู่หนึ่ง “ผมเป็นคนสุพรรณครับ”
“อ้อ” หลวงตาชื้นพยักหน้า “อ้ายเรื่องราวของชีวิตก็พอจะรู้ๆ เค้าอยู่ละ ถ้าแต่เจ้าตัวจะปิดๆบังๆไม่อยากให้ใครรู้อาตมาก็จะทายให้แต่เพียงว่า อ้ายเรื่องที่หนักอกหนักใจเป็นทุกข์อยู่นี่น่ะ มันยังไม่เกิดขึ้นหรอกในระยะ 3 เดือนนี้ แต่มันมีข้อแม้อยู่…”
“ข้อแม้อะไรคะรับหลวงตา จะบนบาลศาลกล่าว หรือสะเดาะห์เคราะห์อะไรผมยอมทั้งนั้น” เขารีบรับคำรวดเร็วดีอกดีใจ
“ไม่ใช่ยังงั้น” หลวงตาโบกมือ “เมื่อจะพูดข้อแม้มันก็ต้องพูดกันละเอียด มันก็จะกลายเป็นเปิดโปงเรื่องที่เจ้าจะปิดไป มันผิดมารยาทสงฆ์ มันพูดยาก”
“สำหรับหลวงตาผมไม่ปิดหรอก…แต่” เขามองมาทางผมและครูก้อน
หลวงตารู้นัยในกิริยาว่าไม่ไว้ใจจึงรับรองว่า “หมอเถากับครูก้อนเป็นศิษย์อาตมา ไว้ใจได้ มีศีลธรรมเหมือนพระเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ได้นุ่งเหลืองห่มเหลืองเท่านั้น”
“ถ้าหลวงตารับรองผมก็ไว้ใจ” เขาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว เพราะอยากรู้ชะตาชีวิตของตนเองให้ละเอียดถี่ถ้วน ตัวผมเป็น…..” “หยุดก่อนอย่าเพิ่งเล่า” หลวงตารีบชิงห้าม “ขอบใจพ่อที่เชื่อหน้าอาตมา นิ่งๆ ฟังอาตมาก็แล้วกัน ถ้าผิดก็คอยท้วงว่าผิดไม่ต้องเกรงใจ ขอเอาดวงสอนศิษย์สองคนนี่สักหน่อย”
หลวงตาชื้นเลื่อนกระดานโหรเข้ามาใกล้ ผมและครูก้อนกระเถิบเข้าไปจนติด เพื่อจะดูให้ถนัด รู้สึกตื่นเต้นแปลกใจสงสัยสับสนไปหมด หลวงตาท่านชี้ให้ดู
“หมอกะครูดูให้ดีพื้นดวงเขาเป็นอย่างไรเสียก่อน”
ผมมองปราดดูลัคนา เห็นเสาร์กุมก็ได้ช่องจะพยากรณ์อวดภูมิโหรกับคนแปลกหน้า จึงรีบทายเพราะถ้าขืนช้า เดี๋ยวครูก้อนแกจะคว้าเอาไปกินเสียก่อน
“คนเกิดวันเสาร์ เสาร์กุมลัคน์มักดื้อ”
“เออแน่ะ หมอเถา..” หลวงตาพูดยิ้มๆ “ทายยังกะหมอจีนเขาทาย”
เห็นท่านพูดทิ้งท้ายแล้วนิ่ง ผมคิดว่าท่านชมก็เลยซักต่อ “เขาทายว่าไงครับหลวงตา”
“เขาทายว่า มั่ว เหล็ก ๆ หลู้ หล้าน ไม่ ซั่วโพ่ ซั่วแม่”
ผมหน้าร้อนฉ่าเพราะความอาย ได้แต่หัวเราะแหะ ๆ กลบเกลื่อนและนึกรักครูก้อนที่มิได้พลอยหัวเราะเยาะเพียงแต่ยิ้มอยู่ในหน้า
“หลวงตาทายดีกว่าครับ” ครูก้อนว่า “ผมกะหมอเถายังอ่อนหัดทายทีไรมันออกมาทั้งท่อนยังกะดุ้นฟืน”
“เอ้าดูให้ดี” หลวงตาชี้เสาร์ที่กุมลัคน์ “มันทายได้หลายแง่ เสาร์เขามาจากเรือนกัมมะ ถ้ากุมลัคน์ ได้ตำแหน่งดี ๆ ก็ทายว่าเป็นคนเอางานเอาการ นี่เสาร์เป็นนิจก็ต้องทายว่า เรื่องการงานไม่มีน้ำอดน้ำทน ทำการสิ่งใดพักเดียวก็เลิก” “พ่อผมมีนาอยู่มาก” หนุ่มใหญ่ออกตัว “แต่มีลูกจ้างทำอยู่ และแบ่งให้เขาถือทำ ผมก็เลยไม่ค่อยได้ลงนา”
“เออว่ะ พ่อเองเป็นคนดี แม่เอ็งมีสมบัติเก่ามา พ่อก็ช่วยขยันทำมาหากินสร้างฐานะจนเป็นปึกแผ่นมีหน้ามีตา กับลูกใครๆ เขาก็ว่าเอ็งเป็นลูกเศรษฐี”
เจ้าหนุ่มอ้าปากหวดแปลกใจ “จริง คะรับ”
“หลวงตาทายยังกับรู้จักเหล่ากอเขามาก่อน” ผมยังก้มหน้ามองดูดวงจับดาวตามรอยไม่ทัน
“ว๊ะ ก็ดวงมันบอกยังงั้นจริงๆ” หลวงตาชี้ที่เรือนพันธุ “เรือนแม่ เจ้าเรือนเป็นเกษตร แม่เขาก็มีฐานะเป็นปึกแผ่น เจ้าเรือนศุภะคือ พฤหัสตัวพ่อมันกดุมภะ เจ้าเรือนก็เป็นเกษตร ทั้งพ่อทั้งแม่มันโยคหน้ากัน และพ่อแม่ พฤหัส จันทร์ ก็เป็นดาวคู่ธาตุกัน มันบอกอย่างอาตมาทายไหม ดูเอา”
หลวงตาแนะดาวผมกะครูก้อนร้องอ้อ มองเห็นเป็นฉากๆใสแจ๋ว “จริงครับหลวงตา”
“ต้องดูตรงที่มันคัน” หลวงตาว่าแล้วก็รินน้ำชาดื่มกลั้วคอ ตายังจับอยู่ที่กระดาน “ว่าทางทักษา ตัวกาลกิณีมันก็พุธสหัชชะเพื่อนฝูงนั่นเอง เพื่อนเลวเพื่อนชั่วก็พอทำเนา ตนุเศษคือจิตใจ ตัวเองมันก็ตกพุธกาลกิณีไปด้วย แสดงว่าตัวเรานี้มันใฝ่ชั่ว เห็นดีงามตามเพื่อนชั่วๆไปกะเขาด้วย หันมาดูตนุลัคน์คือตัวตนของตนซิ มาอยู่เรือนราหูเรือนเดช ราหูตัวเจ้าเรือนมันมาอยู่ภพอริเรือนกาลกิณีเข้าอีก ว่ะ ตัวราหูมันตัวลุ่มหลง นักเลง เป็นเดช ตัวเราประพฤตินักเลงขนาดคนกลัวทีเดียว ติดอริมันก็ตัวเราเดือดร้อนมีเรื่องไม่หยุด แล้วไม่ใช่เรื่องดีเสียด้วย เพราะมันติดอริเรือนกาลกิณี ดูเสาร์ที่กุมลัคน์ก็คือบริวารมันล้อมหน้าหลัง ยิ่งเสาร์ได้คู่มิตรกะราหูเรือนอริเข้าด้วย ทั้งเพื่อนทั้งบริวารมันจะจูงมือตัวเราลงเหวเสียน่ะนา”
ทั้งผมทั้งครูก้อนฟังหลวงตาอ่านดวงอย่างกับอ่านเรื่องพระอภัยมณี มันคล้องจองเป็นเรื่องเป็นราวสนุกสนาน ส่วนตัวเจ้าชะตานั่งก้มหน้านิ่งไม่เถียงสักคำ
“ว่ายังไงเจ้าหนุ่ม” หลวงตาเงยหน้าจากกระดานโหรถาม “ถ้ามันไม่ถูกไม่จริงอย่างอาตมาว่า ก็ขอให้ค้านได้อย่าปล่อยให้คนแก่เพ้อเจ้อผิดๆ เข้ารกเข้าพงไป เพราะอีตอนต่อไปนี้แหละมันสำคัญที่เป็นที่ตายทีเดียว”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เงยหน้าแววตาสลดเหมือนคนสำนึกตัว ยกมือพนมท่วมหัว “จริงอย่างหลวงตาว่าทุกอย่าง ผมมันคนรักเพื่อน ดีชั่วไม่ใคร่ได้นึก พอมันเกิดแล้วเป็นแล้วถึงได้คิด แม่ต้องร้องไห้เพราะผมบ่อยๆ พ่อก็ต้องวิ่งเอาเงินทำขวัญเขาให้เรื่องมันเงียบหลายต่อหลายราย”
หลวงตานิ่งอึ้งครางอืออยู่ในคอ ผมและครูก้อนพลอยตื้นตันใจ เมื่อนึกถึงหัวอกพ่อแม่ เลยพลอยนั่งนิ่งพูดอะไรไม่ออก ต่างคนต่างนิ่งคิดกันไปหลายสถาน หลวงตาท่านก็คงคิดอย่างสงฆ์ปลงกรรมของสัตว์ เจ้าตัวอาจคิดเสียใจในความมัวเมาหลงผิด นิ่งกันอยู่นานจนกระทั่งหลวงตาชื้นท่านกระแอมเบาๆ “หมอดูหมอยาก็ครือกัน อ่านดวงเหมือนอ่านโรคเขา เพื่อจะได้หาทางบำบัดรักษา ข้อสำคัญอย่าอายหมอเท่านั้น”
“เชิญหลวงตาเถอะคะรับ ผมเคารพหลวงตาเหมือนปู่ย่าตายาย จะไม่ปิดบังเลย”
“หมอเถากะครูดูให้ดีน๊ะตรงนี้สำคัญ” หลวงตาชื้นท่านกรีดนิ้ววนรอบๆดวงบนกระดานโหรตรงหน้า “นี่ก็ปีกุนอายุย่างเข้า 31 ตกภูมิศุกร์อังคารมนตรีเดิมเป็นศรี ราหูเดชเดิมเป็นกาลกิณี ตัวราหูขณะนี้จรอยู่ ภพกัมมะเรือนเสาร์คู่มิตร ตัวเสาร์เจ้าเรือนไปอยู่กดุมภะแสดงว่าเจ้าตัวได้การอย่างหนึ่งร่วมกับเพื่อนเพื่อได้เงินมา และราหูนี้เป็นอริเดิมและเป็นกาลกิณี การกระทำนั้นเป็นเรื่องชั่ว และเป็นเหตุให้เดือดร้อน เหลียวดูอังคารตัวตนุลัคน์เข้าเรือนวินาสน์ ตัวเองต้องหลบๆ ซ่อนๆ หนีหัวซุกหัวซุน เมื่ออังคารเป็นศรีมันถึงหนีเอาตัวรอดมาได้”
หลวงตาชื้นหยุดเว้นระยะหายใจ จ้องหน้าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าที่ไม่ยอมสบตา แล้วท่านก็ถอนหายใจดังฮือ “ข้าขอพูดตรงๆ อ้ายหนุ่มเอ๋ย เอ็งประพฤติเป็นโจรปล้นเขาและหนีกฎหมายบ้านเมืองมา มาดูดวงชะตาว่าจะหนีรอดหรือไม่”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ขยับตัวลูกขึ้นนั่งทันควัน ทั้งผมและครูก้อนใจหายวาบ เพียงคำทำนายตรงๆ ของหลวงตาก็ตกใจพออยู่แล้ว เห็นทีท่าเจ้าหนุ่มโจรผลุดลุกขึ้นนั่ง ก็ตกใจแทบสิ้นสติตะลึงตัวแข็งอยู่กับที่กลัวหลวงตาถูกทำร้าย
แต่ เจ้าหนุ่มโจรพนมมือซบหน้าลงกราบแทบเท้าหลวงตา เป็นลักษณะเสือสิ้นฤทธิ์ เสียงพูดรับสารภาพเครือๆ บอกความรู้สึกในหัวใจ
“หลวงตาเทวดาดูเหมือนตาเห็น เป็นความจริงอย่างหลวงตาว่าทุกอย่าง ผมปล้นเขามาแต่สุพรรณฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย ทรัพย์สินผมไม่ได้หวังแต่มันเป็นเรื่องแค้นกัน ผมมันเห็นกงจักรเป็นดอกบัว กำลังเมาเหล้าไม่ทันคิดหน้าคิดหลัง ผิดแล้วจึงได้คิดมันก็สายเสียแล้ว ช่วยผมด้วยเถิด ทำอย่างไรจึงจะเอาตัวรอดไปได้ ผมอยากมีโอกาสกลับตัวสักครั้ง แม้แต่จะบนตัวบวชก็ยอมทั้งสิ้น”
หลวงตายกมือลูบหัวแล้วพยุงให้เงยขึ้น “ข้ารู้ตั้งแต่ผูกดวงเสร็จถึงได้ถามว่ามาหาพระรดน้ำมนต์สะเดาะห์เคราะห์หรือมาหาพระหมอดู”
ผมโล่งใจที่เหตุร้ายกลายเป็นดีไปแล็วก็จริง แต่พอนึกถึงคำพูดพล่อยปากที่ผมพูดที่ข้างโบสถ์ว่าเป็นอ้ายโจรเลยชักคิดหวาดๆไม่กล้ามองสบนัยน์ตา
“หนทางเอ็งมันสั้นเต็มที” หลวงตาชื้นก้มหน้าลงตรวจดวงอย่างตั้งอกตั้งใจ “พฤหัสเจ้าเรือนศุภะพ่อเอ็งซึ่งเป็นมนตรีก็ตกมรณะเสียแล้ว เขาคงจนปัญญาจะวิ่งเต้นช่วยได้ เรื่องมันต้องพึ่งตัวเองเอา แต่ข้าประกันได้ว่าในปีนี้เอ็งเอาตัวรอดไม่ถูกจับแน่ แต่ต้องรับสัจจะเสียก่อน”
“ผมยอมรับคะรับ”
“ข้อหนึ่งเอ็งต้องไม่ประพฤติเป็นโจรต่อไปอีก ข้อสองเอ็งต้องไม่กลับคืนถิ่นเดิม ถ้ารับได้ข้าก็ประกันได้อย่างว่า แต่อ้ายที่จะตลอดลอดฝั่งไปตลอดนั้นมันไม่ได้ ก่อกรรมไว้ผลกรรมมันย่อมเกิดย่อมสนองตามกฎแห่งกรรมมันหนียาก ดูแต่พระโมคคัลลาน์มหาเถรสาวกพระพุทธองค์สำเร็จอรหัตน์มีฤทธิ์เดชบารมียังต้องรับกรรมให้โจรฆ่าตาย กระดูกป่นเป็นเมล็ดงา”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ก้มลงกราบรับสัจจะมั่นคง เจ้าเพื่อนร่างเล็กที่ใช้ลงไปดูต้นทางนอกกุฎิเมียงๆเข้ามากระซิบเบาๆ “ตกบ่ายได้เวลารถจะออกแล้ว”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่พยักหน้ารับรู้แล้วหันมาบอกลาหลวงตาชื้น “ผมจะล่องลงใต้หลบไปให้ไกล หางานหาการทำตั้งหลักฐานหาแดนตายเอาใหม่”
“เออ ไปเถอะ ขอให้รอดพ้นภัย อันทั้งปวง” หลวงตาท่านให้พรด้วยใจจริง
“ผมอยากกราบขอของดีหลวงตาติดตัวไว้คุ้มกันอันตรายบ้าง”
“ลูกหลานเอ๋ย อ้ายของดีมันคุ้มตัวสู้ความดีไม่ได้ เอ็งจำคำหลวงตาไว้ ความดีมันคุ้มตัวได้ตลอดชีวิต อยู่ที่ไหนเอ็งทำแต่ความดีไว้เถอะ คุ้มหัวได้ยิ่งกว่าเอ็งแขวนของดีมากนัก”
พอเจ้าคนรับพรเทศน์โปรดของหลวงตาก้มลงกราบลา หลวงตาท่านก็ยึดข้อมือไว้อีกบอกว่า “เอ็งเข้าวัดพบพระทั้งที เอาธรรมะติดตัวไปมั่ง นี่แหละของดีจำใส่ใจไว้เถอะ”
อันทางธรรมถูกถ้วนเป็นถ่องแท้ ตามกระแสต้องพินิจจึงคิดเห็น
ธรรมบทมีกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ เรื่องกรรมเวรที่ได้สร้างแต่ปางบรรพ์
เรื่องกรรมดีกรรมชั่วติดตัวตน ให้ทุกข์ทนดลสุขเกษมสันต์
ไม่เลือกหน้าข้าเจ้าล้วนเท่ากัน ต่างผูกพันผลกรรมที่ทำมา
ทิฎฐธมฺมเวทนิยกมม นั้น เกิดโดยพลันสนองทันชัณษา
ทั้งบาปบุญปัจจุบันเห็นทันตา ตามชะตาบารมีวิถีกรรม
อุปปชชเวทนิยกมม จะน้อมนำชูชุปอุปถัมภ์
ในชาตินี้เบี่ยงบ่ายไม่กลายกล้ำ มุ่งกระทำในชาติหน้าบัญชาชนม์
อัปราปรเวทนิยกมม จ้องประจำไม่รุนแรงแสดงผล
ต่อหลายชาติอาจจะเนาว์เข้าผจญ ติดตามตนจนบรรลุอนุกุล
อโหสิกมม ไม่ซ้ำไม่ค้ำจุน ทั้งแรงบุญแรงบาปก็สาบสูญ
ไม่ก่อกรรมนำชีวาให้อาดูร ไม่เพิ่มพูนความสุขทุกประการ
กรรมลิขิตมิใช่ฤทธิ์ของเทวา ชี้บัญชาชีวันดังบรรหาร
เป็นกรรมเก่าเราเองแต่เพรงกาล ดลบันดาลโทษทัณฑ์นิรันดร
อันบุญกรรมนำชะตาอนาคต มิได้จดลงบัญชีมีอักษร
ทั้งคุณโทษไม่มีโจทก์แจ้งอุทธรณ์ กรรมมันซ่อนอยู่ในทรวงดวงกมล
สุดล้ำเหลือเนื้อกรรมที่จำแนก ล้วนผิดแผกแตกต่างในทางผล
กาลกำเนิดจะบังเกิดแก่ชีพชนม์ ตามยุบลเที่ยงแท้กระแสความ
#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์