ทักษาประสมเรือน
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
[3 กรกฎาคม พ.ศ.2543]
เป็นวันพระสิ้นเดือนชาวบ้านร้านตลาดในจังหวัด ทำบุญตักบาตรกันแทบทุกบ้านวันนี้ไม่ว่าพระหรือเณร ภัตตาหารสันบาตรจนปิดฝาบาตรไม่ลงทุกองค์ แม้ฉันเช้าจนฉันเพลอีกมื้อ ทั้งข้าวปลาอาหารก็ยังเหลือซึ่งจะต้องทิ้งเสียเปล่า
เป็นกิจวัตรของหมอเถา ซึ่งเป็นที่รู้ๆ กันทั่ววัดทั้งพระทั้งเณรว่า ในวันพระพอพ้นเพลแล้ว หมอเถาจะแบกกระบุงไปขออาหารเหลือบาตรพระทุกกุฏิพอได้เต็มกระบุงหมอเถาก็มุ่งออกหลังวัดอย่างรีบร้อน เหมือนมีนัดกับใครคนหนึ่งไว้
ลานกว้างโคนโพธิ์ใหญ่ท้ายวัด สถานที่นัดพบบริวารทั้งหลายทั้งนั่งนอนและเดินกันขวักไขว่มากหน้าหลายตา สายตาทุกคู่คอยมองไปต้นทางที่จะมา
หมอเถาแบกกระบุงเลี้ยวเจดีย์ออกมาให้เห็นถนัด บริวารทั้งหลายก็คึกคัก ที่นอนก็ลุกขึ้นนั่งที่นั่งอยู่ก็ลุกขึ้นยืน ที่ยืนอยู่ก็วิ่งเข้าไปรุมล้อม จนหมอเถาก้าวเดินไม่ถนัดจนต้องตวาดไล่เต็มเสียง “ไอ้ดำ ไอ้ดอก ไอ้เด่น ไอ้แดง หลีกไปก่อนเดี๋ยวข้าล้มอดกินกันหมด”
บริวารทั้งหลายไชโยโหร้องทั้งเห่าทั้งหอนเกรียวกราวพร้อมกันจนอึงคนึงโกลาหล หมอเถาเดินฝ่าฝูงบริวารจนถึงโคนโพธิ์จัดแจงวางกระบุงลง ควักแบ่งกองเป็นหย่อมๆให้แต่ละตัวอย่างเป็นธรรม มากน้อยตามฐานานุรูปทั้งต้องคอยเป็นกรรมการรักษาความสงบเรียบร้อยมีทั้งการตัดสินลงทามิให้ฝูงบริวารมีการแย่งกันเกิดขึ้น หมอเถานั่งยองๆมองดูฝูงสุนัขที่อุตส่าห์หาอาหารมาเลี้ยงทุกวันพระ มองดูไปทีละตัวเจ้าตัวที่ผอมโซอดอยากก็กินตะกละตะกรามหมดก่อนแล้วเลี่ยงภัยเข้าแย่งตัวอื่นต่อไป ข้างนังตัวเมียลูกดกไม่ค่อยได้กินมัวแต่แยกเขี้ยวขู่คำรามกีดกันตัวอื่น ปล่อยให้ลูกๆกินจนอิ่มหมอเถาดูไปคิดไปปลาบปลื้มอิ่มอกอิ่มใจไปตามประสาคนแก่ใจบุญและคิดเพ้อๆไปว่าชาติหน้าถ้ามีจริงอย่างคำพระท่านว่าเป็นบุณกุศลเจ้าพวกนี้เกิดเป็นขึ้นจะเป็นบริวารห้อมล้อมตัวเราเป็นแน่ พอคิดมาถึงครั้งนี้ก็เกิดชะงักนึกในใจว่าถ้าเป็นจริงก็คงต้องขอข้าวพระมาเลี้ยงดูบริวารเช่นเดียวกับเมื่อเป็นชาติสุนัขอีกเป็นแน่ กำลังคิดเพลิดเพลินเพ้อฝันอยุ่รู้สึกมีอะไรมาดุนหลังไม่ต้องหันไปดูก็นึกรู้ว่าต้องเป็นเจ้าตัวที่กินหมดแล้วจะขออีก จึงพูดภาษาคนแทนภาษาหมาบอกปัดส่ง “หมดแล้วเว้ย ไม่มีการฉายรอบสองอีกว่ะ”กลับได้ยินเสียงอ้อนวอน “ขอฉันกินมั่งซีลุง ฉันหิว”
หมอเถาได้ยินถนัดสองหูทีเดียว พอได้คิดว่าหมาพูดได้เท่านั้นขนลุกซู่ตลอดหัวร้องเอิ๊บผวาสุดตัวลุกขึ้นยืน เหลียวขวับดูเจ้าหมาตัวพูดได้
พอเห็นถนัดตา ก็ถอยหลังไปตั้งหลักแปลกใจที่ผู้พูดกลายเป็นเจ้าเด็กน้อยหน้าตาน่ารักผิวพรรณสะอาด แต่เสื้อผ้าขมุกขมอมนั่งมองตาแป๋ว แปลกใจในกิริยาของหมอเถาเช่นกัน
“บ๊ะ…เจ้าหนู” หมอถาทักทายวิสาสะ แต่หัวใจยังเต้นกระทบซี่โครงโครมคราม “มันยังไงกันว๊ะถึงมาสะกิดข้า ขอข้าวหมากิน”
“ฉันหิวจริงๆ จ้ะลุง” เจ้าเด็กน้อยตอบซื่อๆ “ไม่ได้กินมาสองวันแล้ว”
“ประเดี๋ยวก่อน เอ็งสาบานก่อนว่าเอ็งเป็นคนไม่ใช่ผีนะ” หมอเถายังไม่ไว้ใจสายตาตัวเองที่เห็น
“โธ่ลุง ฉันคนแท้ๆ” เจ้าหนุตอบขึงขัง “ถ้าอดข้าววันนี้อีกวันละก็ ต้องเป็นผีอย่างลุงว่าแน่ๆ
ในใจหมอเถานึกว่าเจอเด็กดีเข้าแล้ว แกหัวเราะชอบใจ
“ไปยังไงมายังไงกันว่ะเจ้าหนู อยู่ๆ มาขอแย่งข้าวหมากิน ข้าไม่เคยเห็นหน้าตามาก่อน เจ้าเป็นคนเมืองนี้หรือเปล่า”
“เดี๋ยวค่อยตอบก็ได้ลุง” เจ้าหนูคารมแหลมกลับย้อนถามเอา “ว่าแต่เรื่องข้าวลุงพอมีแบ่งให้ฉันกินมั่งหรือเปล่าล่ะ”
“ว๊ะ ใครถามใครกันแน่” หมอเถาเกาหัวแกรกแล้วก็พูดลองใจ “ก็ถ้าเผื่อข้าวมันไม่มีหรือมีแต่ไม่แบ่งให้ จะว่าอย่างไรเจ้าหนู”
“ก็ไม่จำเป็นต้องเล่ากำพืดของฉันให้ลุงฟังน่ะซี”
“บ๊ะ…แล้วกัน” หมอเถาอุทานเพราะฟังดุยอกย้อนจนคิดไม่ทันเด็ก
“ไม่บ๊ะ…ละลุง” เจ้าหนูยืดอกพูดฉะฉาน “เมื่อไม่มีข้าวกินก็เรื่องอะไรจะมาเสียเวลาเล่า ให้มันหิวจัดเข้าไปอีก ลุงก็ไม่ได้ประโยชน์ฉันก็ไม่ได้ประโยชน์แล้วก็คนกำลังหิว ๆ เล่าอะไรไม่ออกหรอกลุง เรื่องมันยาวนักเสียเวลานาน”
หมอเถาครางอือในคอ นิ่งพินิจพิจารณาหน่วยก้านเจ้าเด็กน้อย ดูมันพูดจาองอาจชาญฉลาดน่ารัก จนขนาดตัวเราอายุห่างกันถึง 4 รอบ ยังคิดไม่ทัน ชักนึกชอบใจและเกิดเมตตาจิต “เอาเป็นตกลง
ว๊ะ” หมอเถารับปาก “ข้ายอมเสียข้าว 1 มื้อแลกฟังนิทานชีวิตของเจ้าแต่เอ็งต้องสัญญากันก่อน”
เจ้าหนูนัยน์ตาเป็นประกายดีใจ “สัญญาอะไรลุง ถ้าไม่ใช่สัญญาว่ากินแล้วจะต้องจ่ายสตางค์ค่าข้าวละก็ สัญญาอะไรก็ตกลงหมดขอให้ได้กินก็แล้วกัน”
หมอเถาพูดหัวเราะสัพยอก “สัญญาว่าจะไม่เล่าเรื่องยาวแรมเดือนถึงจะจบน่ะซี ข้าไม่มีปัญญาจะหาข้าวมาให้กินทุกวันน่ะซี”
“โธ่ลุง ไม่ใช่เรื่องยี่แกนี่” เจ้าหนูหัวเราะยิงฟันขาว หมอเถาหัวเราะชอบใจคิดในใจว่ายิ่งพูดยิ่งเสียท่าเจ้าเด็กน้อยนี้ทุกประตูจึงคว้ากระบุงข้าวแบกใส่บ่าหันมาพยักหน้าชวน “มาตามข้ามาเจ้าหนู ข้าจะพาไปเลี้ยงข้าวที่ตลาด คนปากดีๆ อย่างเจ้า อย่ากินข้าวแย่งหมาเลยว๊ะ”
เจ้าหนุแสดงความยินดีปรีดาจนเห็นได้ชัดออกเดินตามพมอเถาต้อยๆถ้ามีหางก็คงจะกระดิกชอบใจเช่นเดียวกับกลุ่มบริวาร ซึ่งอิ่มหมีพีมันหมดแล้วทุกตัว บนกุฏิหลวงตา ครูก้อนมาคอยอยู่ตั้งแต่เที่ยง นั่งคุยกับหลวงตาชื้น จนหมดน้ำชาเป็นกาที่ 2 ก็แล้ว ก็ยังไม่เห็นหมอเถาโผล่มาจนชักนึกเป็นห่วงว่า จะมีเหตุเภทภัยเกิดแก่เพื่อนจนถึงผิดนัด พอครูก้อนจะนึกต่อไปอีก ก็พอดีประตูชานกุฏิเปิดออก เห็นหมอเถาเดินยิ้มเข้ามาและมีเจ้าเด็กน้อยอายุประมาณ 13-14 เดินตามหลังมาติดๆ พอถึงระเบียงยกพื้นต่อหน้าหลวงตาชื้นหมอเถาก็บอกเจ้าเด็กน้อยให้กราบเคารพรวมทั้งไว้ครูก้อนซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่า ครูก้อนมองหน้าหมอเถาเหมือนจะถาม หมอเถารู้ใจจึงชิงล่าเสียก่อน “พบกันหลังวัดอดอยากมาสองวัน ก็เลยพามาเลี้ยงข้าว” “ก็แล้วมันลูกเต้าเหล่าใครล่ะ” หลวงตาชื้นถามขึ้นบ้าง “เด็กชุมพรคะรับ” หมอเถาเล่าเรื่องแทน เพราะเพิ่งได้รับคำบอกเล่ามาเมื่อตอนเลี้ยงข้าว “หนีออกจากบ้านมาหลายวันแล้วเพราะคับแค้นทางบ้านเรื่องพ่อ เกาะรถไฟมาลงที่เที่ยวขอข้าวเขากินเรื่อยมา” ครูก้อนมองดูหน้าเด็กแล้วปรารภลอยๆ “หมอเถาคบเด็กอีกแล้วลืมเรื่องเจ้าหนูบุญเกื้อที่เอาไปยกให้ท่านนายอำเภอเสียแล้วรึ อีทีนี้ละก็หมอเถาต้องรับเป็นพ่อเลี้ยงเองละ”
“เดี๋ยว ครูก้อน” หมอเถายกมือห้ามไว้แล้วหันไปเรียนหลวงตา “ผมพบที่หลังวัด อดข้าวมาน่าสงสารมาขอกิน หมาผมยังยอมเหนื่อยยากหาข้าวให้กิน นี่เด็กทั้งคนตาดำๆจะให้ผมทอดทิ้งยังไงได้”
“เออหมอเถามันใจบุญ เป็นกุศลดีแล้วหมอเถา” หลวงตาชมต่อหน้า
“เด็กเล่าให้ฟังว่า กำพร้าแม่เมื่อปีที่แล้ว พ่อมีเมียใหม่ ตัวเองเกลียดแม่เลี้ยง ถูกหาเรื่องให้ถูกลงโทษเสมอแทบทุกวัน ครั้งสุดท้ายนี่โดนทั้งตีนทั้งมือพ่อและแม่เลี้ยง ทนความทารุณไม่ไหวก็เลยหนีออกมาจากบ้าน มุ่งไปตายเอาดาบหน้า อดๆอยากๆน่าเวทนา ถ้าเป็นครูก้อนพบเข้าคิดว่าจะปล่อยไปตามบุญตามกรรมอย่างนั้นรึ”
ครูก้อนสงสัยยังซักต่อไปอีก “แล้วหมอเถาพามาที่นี่เพื่ออะไร”
“ก็พามาจะปรึกษาหาทางช่วยเด็กมันบ้างนะซี ปัญญาฉันคนเดียวคิดเท่าไรๆมันก็คิดไม่ออก
ครั้นจะให้สตางค์ไปเป็นค่าข้าวก็ทำได้หรอกแต่ไม่กี่วันก็ต้องไปอดอีกน่ะแหละ”
“ก็ชวนอยู่กะหมอเถาเสียซี” ครูก้อนออกความเห็นง่ายๆ “หมอเถาก็อยู่คนเดียวจะได้เป็นเพื่อนและได้อาศัยไหว้วานใช้สอยได้มั่ง” หมอเถามองหน้าเพื่อนนึกตำหนิในใจ “อ้ายการคิดเอาแต่ได้ข้างตัวเองน่ะมันง่าย การเลี้ยงเด็กสักคนคงไม่สิ้นเปลืองเพิ่มขึ้นเท่าไรเช้ากินผักบุ้งผัด เย็นกินถั่วงอกผัดอย่างที่กินอยู่ทุกวันก็พอเลี้ยงให้มันโตไปได้ แต่มันจะโตเป็นควายเหมือนหมอเถาคนเลี้ยง เพราะไม่ได้เล่าเรียนเขียนอ่านอะไร ถ้าเผื่อเด็กมันมีบุญมีวาสนามีปัญญาจะเป็นเจ้าใหญ่นายโตในวันข้างหน้าก็เท่ากับฆ่าให้มันตายทั้งเป็นครูก้อนเอ๋ย” เจ้าเด็กน้อยนั่งสงบเสงี่ยมแต่แรกก็พูดขึ้นบ้าง “ผมตั้งใจรบกวนเพียงข้าวของลุงมื้อเดียวเท่านั้น แล้วก็จะขอลาไปต่อไป หมามันพูดขอใครกินไม่ได้ยังไม่อดตายผมพูดขอเขาได้ ยกมือไหว้ขอเขาไปตลอดทางก็คงไม่อดหรอกลุง ผมขอบใจที่ลุงห่วงผม แต่ชีวิตอย่างนี้ยังดีกว่าอยู่ที่บ้าน ถูกแตะถูกตบเจ็บตัวแลัวยังไม่ได้กินข้าวด้วย”
หมอเถาสะเทือนใจในเคราะห์กรรมของเจ้าเด็กน้อย “เอ็งเฉยๆเถอะให้พวกลุงใช้สติปัญญาคิดกันก่อนไม่อดหรอกว๊ะ ผิดนักก็บวชเป็นเณรกินข้าววัดอยู่กะหลวงตาที่นี่แหละ”
“อ้าวหมอเถา” หลวงตาเอกเขนกนิ่งฟังมานานลุกขึ้นนั่ง “คิดกันไปคิดกันมาเอามายัดไว้กะฉันนั่นเอง เออ..ความคิดจำเริญดีแท้”
ครูก้อนสนใจคำสุดท้าย ของหมอเถาเพราะทำให้เกิดความคิด “เมื่อกี้หมอเถาว่าเผื่อวาสนามันจะดีไปเบื้องหน้าทำไมเราไม่ผูกดวงเด็กดูดีชั่วอย่างไรก็พอจะมองเห็นทางมั่ง”
“จริงซี หัวคิดฉันมันทึบไปได้” หลวงตาชื้นก็พลอยเห็นด้วยจัดแจงหยิบกระดานโหรและปูมส่งให้เสร็จ “เออผูกดวงดูกันเอาเอง ทั้งคู่นั่นแหละ จะได้ฝึกซ้อมไว้ให้คล่อง”
หมอเถารับกระดานโหรมา ถามวันเดือนปีและเวลาเกิดพอผูกดวงเสร็จก็ถูกเด็กถาม
“ลุงเป็นหมอดูเร๊อะ เหมาะที่เดียวผมอยากรู้เรื่องสำคัญเรื่องเดียวเท่านั้น”
“เรื่องอะไรว๊ะเจ้าหนู” หมอเถาเงยหน้าถาม “เรื่องสมบัติพัสถานของพ่อจ๊ะลุง พ่อมีนามีสวนหลายแปลงจะตกถึงผมหรือจะได้กะแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงของพ่อก็ไม่รู้” ทั้งครูก้อนและหมอเถาก้มหน้าลงดูกระดานโหรที่ผูกดวงไว้ “เรื่องทรัพย์สินเงินทอง” หมอเถาพึมพำพูดกับตัวเอง “มันต้องดูเรือนกดุมภะพฤหัสเป็นศรีมาครองเรือนอยู่ เออสำเร็จแน่เรื่องสมบัติว๊ะเจ้าหนูพื้นดวงมันมีหวัง”
“เห็นทีจะผิดกระมังหมอเถา” ครูก้อนค้านทันที “ฉันว่ามันจะอดเสียน่ะนา”
“อดยังไง ศรีครองเรือนกดุมภะเป็นมหาจักรหราอยู่ยังงี้ ร้อยทั้งร้อยแหละครูก้อนเอ๋ย” หมอเถาเถียงเสียงดังแกมหัวเราะเยาะเอาเสียอีก
“เออ ศรีก็ศรีแหละว๊ะ” ครูก้อนชี้นิ้วจิ้มกระดานดังกึก” ดูที่เรือนอังคารเจ้าเรือนกดุมภะตัวเงินตัวสมบัตินั่นแหล่ะไปกอดจันทร์ตัวกาลกิณีกลมดิกอยู่ภพศุภะโน่น มันจะสำเร็จได้ยังไงหมอเถา”
“เออจริงว่ะ” หมอเถามองดูตามมือแล้วก็เงยหน้าดูครูก้อนนิ่งอึ้ง
ครูก้อนเองก็ส่ายหน้าลำบากใจ “ทั้งศรีทั้งกาลกิณีทั้งดีทั้งชั่วแล้วจะทายเขาว่าอย่างไรดี พอออกโรงก็เจอดวงดีลองภูมิเข้าให้”
หลวงตาชื้นชะโงกดูแล้ว ก็หัวเราะชอบใจ “เจอดวงครูเข้าแล้วเจ้าสองสหาย”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนสิ้นคิด พนมมือหันมาทางหลวงตา แต่ท่านรู้ทันจึงดักคอเสียก่อนทันควัน
“พนมมืออีกแล้วมันใจเสาะจริงพอเจออยากเข้าหน่อยก็จะโอนมาให้ฉันละซี ค่อยพินิจพิจารณาให้ดีเถอะ มันต้องมีทางทายน่า”
หมอเถาส่ายหน้าท้อแท้ “ลงดวงเข้ารูปนี้มันเท่ากับตัดหนทางผมชัดๆ”
หลวงตาชื้นให้สติปลอบใจศิษย์ “ค่อยๆดูไปทีละขั้นอย่าไปรวบรัดเบ็ดเสร็จ มันก็จนมุมน่ะซีดวงมันชัดๆไม่เห็นจะยากตรงไหน”
หมอเถานึกย้อนในใจว่า “หลวงตานะซีไม่ยาก ครูก้อนพยายามตรวจดูถ้วนถี่ก็ยังนึกไม่เห็น”
“จะทายข้างดีก็ดี จะทายข้างร้ายก็ร้ายหรือว่าเรื่องทรัพย์สินสมบัติมันจะทั้งดีทั้งร้าย”
“เออ จะเกือบถูกแล้ว” หลวงตาว่า “มันต้องอ่านให้ออกว่าดีเรื่องอะไร ร้ายเรื่องอะไร”
เด็กน้อยเจ้าของดวงชะตานั่งสงบเสงี่ยมฟังอยู่นานแล้วก็ออกความเห็นมั่ง “ใช้โยนหัวโยนก้อยเอาได้ไม๊ลุง ว่ามันจะดีหรือร้าย”
หมอเถาชักนึกอายเด็ก ขันก็ขัน พาลดุส่ง “อย่ายุ่งเรื่องของผู้ใหญ่เจ้าเด็กน้อยนั่งฟังเฉยๆ”
หลวงตาจ้องหน้าสองศิษย์ “นี่ถ้าครูสมศักดิ์เขามาด้วย มิอายเขาแย่หรือ”
หมอเถากับครูก้อนพนมมือไม่ยอมลด “ขอคำอธิบายอีกสักครั้งเถอะขอรับแต่ก่อนก็ไม่เคยเจอดวงเช่นนี้”
“ต้องปรับโทษเสียบ้างจะได้จำ จะยอมไหม”
“ยอมขอรับ” ทั้งคู่รับคำโดยไม่ต้องคิด “พรุ่งนี้ก่อนเพลมาล้างกุฏิและนอกชานให้สะอาดทั้งคู่นั่นแหละ” หลวงตาระบุโทษแล้วก็ลากกระดานโหรมาใกล้ตัว “ในชั้นต้นต้องตรวจดวงดาวและลัคนาเขาเสียก่อนว่ามันน่าจะถูกต้องหรือไม่ ไม่ใช่ว่าพอเขาบอกเวลาเกิดก็วางลัคนาทายปั๊บกันเลย ถ้าเขาเกิดจำเวลาเกิดผิดพลาดโดยไม่รู้ตัวเลย ไม่รู้ว่าเป็นดวงเขาหรือดวงใคร”
หมอเถากับครูก้อน รับสารภาพตรงๆ “ผมไม่ทราบวิธีตรวจดวงขอรับ”
หลวงตาชื้นสอนไปบ่นไปตามวิสัยคนแก่
“ก็ต้องดูว่าเรืองราวที่เขาเล่าเขาบอกมาพอมีเค้าอยูในดวงชะตาหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ต้องลองทายอย่างอื่นสอบดาวสอบเหตุเขาดู ถ้ามีส่วนถูกต้องอยู่บ้างจึงค่อยทำนายเขาต่อไป ถ้ามันผิดพลาดหลายข้อ
หลายกระทงนัก ก็ต้องสอบหาเหตุให้ได้ ถ้าไม่รู้เหตุก็จงอย่ารีบทายเขาเลย เสื่อมตัวเสื่อมวิชาเปล่าๆทั้ง
จะเกิดโทษแก่เจ้าชะตาด้วย”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนพนมมือรับคำ “ขอรับ”
“เออ เจ้าสองคนนี้มืออ่อนปากอ่อนจริงๆ” หลวงตาชื้นบ่นเรื่อยไปอีก “อย่างเช่นดวงนี้เขาเดือดร้อนเรื่องบิดา เราก็ลองตรวจดูทางเรือนศุภะของเขาดูก่อน เจ้าเรือนศุภะคือพุธไปตกเป็นอริแก่ลัคนามันก็พอมีเค้าว่าบิดาเป็นอริแก่ตัวเขาและซ้ำยังเป็นวินาสน์แก่ตนุเศษ กับจิตใจก็หมายถึงไม่เข้าใจจิตใจซึ่งกันและกันอีกแต่ถึงกระนั้นก้ยังไม่พอ”
ยังต้องตรวจสอบอีกหรือคะรับ”หมอเถานึกท้อใจว่าตลอดชีวิตตัวเองคงจะเอาเก่งได้ยาก เพราะแต่ละสิ่งไกลเกินสติปัญญาตัวเองนัก
“การพยากรณ์ตรงชะตาเขาไม่ใช่ตะครุบเอาดวงเพียงดาวสองดวงแล้วก็พยากรณ์เขาไป ดาวมันตั้ง 10 ดวงมันต้องดูให้ทั่วอ่านประกอบสอบกันหลายๆแง่หลายๆมุม ถ้ามันรับกันกับชีวิตเขาคอยแน่ใจ อย่างเช่นดวงนี้ลองเหลียวดูราหูที่เป็นวินาสน์ลัคนาและเป็นอริกับตนุเศษอยู่ดูทีหรือมันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษเรื่องอะไร”
ครูก้อนอ่านทันที “ราหูเป็นเจ้าเรือนปุตตะมาตกวินาสน์ลัคน์เรือนพุธ พุธเจ้าเรือนไปตกภพอริอีก”
“เอ้าหมอเถากะครูก้อนลองเอาภพเอาดาวอ่านทายดูทีหรือเป็นอย่างไร” หลวงตาชื้นพนักหน้า
“ปุตตะ-วินาสน์-อริ” หมอเถาท่องทวนตำแหน่งภพตรึกตรอง” เจ้าชะตามีบุตรจะเลี้ยงยากนะครับ”
“ถุย…”น้ำหมากหลวงตาชื้นลอยเป็นละอองเปื้อนหมอเถา “เจ้าขี้เท่อมันช่างไม่มีไหวพริบเสียมั่งเลย เมื่ออ่านภพมันไม่เข้าเรื่องมันก็ต้องเอาดาวมาขยายความประกอบอ่านให้มันกลมกลืนกันซี”
“ทั้งภพทั้งดาวมันจำกัดตายตัวอยู่เพียงแค่นั้นนี่ขอรับ” ปัญญาครูก้อนก็คงไม่ฉลาดเกินหมอเถา
“เห็นเล่นเดชเล่นศรีนึกว่าจะฉลาดก็ดูทีหรือว่า ราหูคือมุละเป็นถิ่นฐานบ้านช่องหรือมิใช่ เมื่อมูล.ปุตตะ.วินาสน์.อริ มันก็ได้ความว่าบ้านช่องที่อยู่มาแต่เด็กๆก็จะต้องจากพลัดพรากไป เพราะความอริเดือดร้อนทางตนุเศษจิตใจมันก็ได้ความอย่างเดียวกัน”
หมอเถาฟังหลวงตาชื้นอ่านเรือนอ่านดาวเห็นชัดเหมือนอ่านหนังสือนึกเจ็บใจตัวเองของง่ายๆแต่คิดไม่ออก “โธ่เอ๋ยหัวอ้ายหมอเถามันช่างโง่เง่า จนน่าจะเอาเช็ดตูดหลวงตานัก”
หลวงตาชื้นหัวเราะอารมณ์ดี
“ทีนี้ให้มาดูเรื่องกดุมภะที่เขาถามมั่งเจ้าเรือนกดุมภะคืออังคารไปอยู่ภพศุภะมันก็อ่านตรงๆก็คือสมบัติที่เจ้าชะตาหวังพึ่งพาอาศัยหรือสมบัตินี้อยู่ที่พ่อ พุธเจ้าเรือนศุภะไปตกเป็นอริแก่ลัคนามันก็จะ
เกิดขัดข้องเป็นอริ จันทร์ซึ่งเป็นกาลกิณีเข้าเกาะอังคาร ตัวกดุมภะในเรือนศุภะเรือนพ่อเข้าอีก เห็นทีจะ
ไม่ได้สมบัติแน่ ไม่ได้เรื่องอะไรก็ต้องดูมันต่อไปอีก กาลกิณีคือจันทร์ร่วมอังคาร ดาวคู่นี้มันมีความหมายถึงอิจฉาริษยามันก็ตรงตามเรื่องของเขานั่นแหละ”
หมอเถาถึงจะเข้าใจแจ่มแจ้งแต่ก็ยังติดใจอยู่เรื่องเดิม “แล้วพฤหัสเป็นศรีครองเรือนกดุมภะเล่าขอรับ”
“เออดี หมอเถามันฉลาดคิดฉลาดถาม การเป็นนักพยากรณ์มันต้องหัดสงสัยดาวเข้าไว้คอยถามตนเองมันถึงจะมีคำตอบและคำตอบนั่นแหละคือคำพยากรณ์เขา”
ครูก้อนชักเห็นคล้อยไปกับหมอเถา “พฤหัสเป็นศรีให้คุณอยู่ภพกดุมภะมันน่าจะมีผลหรือหักล้างกาลกิณีให้ดีขึ้นได้บ้าง”
หลวงตาชื้นหยุดจิบน้ำชากลั้วคออีกใหญ่จนหมดถ้วย “ชีวิตคนเราไม่เหมือนเส้นบรรทัดเป็นศรีมิใช่จะตีตลอดไป มันมีดีมีชั่วมีเกิดมีดับเป็นอนิจจังเหมือนเช่นบุญและบาปมันย่อมแสดงผลดีชั่วตามสภาวะของเขาไปตลอดมิใช่ว่าจะหักกลบลบล้างกันได้ อย่างเช่นบางคนทำบุญล้างบาปมันไม่มีผล”
หลวงตาพูดเพลินพอนึกได้ก็ชะงัก “ขอโทษว่ะ นึกว่ากำลังขึ้นธรรมมาศเทศน์”
ครูก้อนแย้งว่า ดวงชะตาเป็นเรื่องชีวิต ธรรมะก็เป็นเรื่องชีวิต ธรรมกับดวงชะตาก็เป็นเรื่องเดียวกันแยกกันไม่ออก”
หลวงตาหันมาพูดต่อเรื่องศรีอีก “พฤหัสเป็นศรีย่อมให้ผลเป็นคุณแก่กดุมภะแน่ เช่นเดียวกับกาลกิณีย่อมให้โทษแก่เจ้าเรือนกดุมภะเช่นกัน พฤหัสเป็นดาวสร้างสรรค์ก็จะสร้างฐานะให้เป็นสมบัติใหม่และพฤหัสมาจากเรือนอริเมื่อเห็นเป็นศรีก็ย่อมจะสำเร็จผลจากกการต่อสู้ดิ้นรนขวนขวายด้วยความเหนื่อยาก ส่วนอังคารเจ้าเรือนทรัพย์สมบัติเดิมที่อยู่กับเรือนศุภะเรือนพ่อก็ย่อมสูญสลายไปตามผลอำนาจแห่งกาลกิณีนั้น”
“พอจะมองเห็นแล้วคะรับ” หมอเถาชักปัญญาแล่น “หลวงตาเคยสอนให้ดูวาสนาที่ตนุลัดคน์ของเขาดวงนี้ศุกร์เป็นตนุลัคน์ไปเป็นเกษตรในภพมรณะและศุกร์เป็นอุตสาหะคงอ่านอย่างหลวงตาเมื่อครู่นี้ก็ได้ความชัดว่าเจ้าชะตาจะเกิดหลักฐานเป็นปึกแผ่นมั่งคงในถิ่นไกลแดนไกลจากที่เกิดนั่นเองและจะตั้งตัวได้ด้วยความอุตสาหะเจ้าหนูเอ๋ย มุ่งหน้าไปสร้างสมบัติใหม่เถอะวะอย่าไปอาลัยอาวรณ์ทรัพย์สินของพ่อเลย
ครูยังข้องใจอยู่จึงถามอีก “หลงตาขอรับเพราะอะไรอังคารเป็นเจ้าเรือนกดุมภะของเจ้าชะตาทำไมจึงเป็นทรัพย์สมบัติเก่าและเป็นทรัพย์สินของพ่อเขาและพฤหัสจึงมาเป็นสมบัติใหม่ผมขออภัยที่
ยังเข้าใจเหตุผลไม่ชัดเจน”
“ฉันพูดรวบรัดไปหน่อยก็อังคารเป็นเจ้าเรือนกดุมภะมาดั้งเดิมก็เท่ากับเป็นทรัพย์เดิม ส่วน
พฤหัสเป็นดาวลอยจากเรือนอื่นมาอาศัยอยู่เรือนกดุมภะทีหลังก็ย่อมเป็นสมบัติใหม่และอีกประการที่อังคารเป็นสมบัติของพ่อก็คือ “หลวงตาหยุดชะงักนิ่งมองหน้าสองศิษย์เหมือนจะตกลงใจอยู่ครู่หนึ่ง “จะสอนไม้ครูไว้ให้สักอย่างเป็นเกร็ดสอยดาวเขาเรียกพระเคราะห์ถ่ายเรือน”
ทั้งครูก้อนและหมอเถารีบยกมือไหว้ดีอกดีใจหนักหนาแบะหลวงตาก็ชี้กระดานโหร
“เจ้าเรือนศุภะซึ่งมีความหมายถึงบิดาของเขาก็คือพุธไปครองอยู่ราศีมีนเราต้องนึกกำหนดเอาว่าพุธนั้นคือบิดาเขาเรือนกดุมภะของพุธนั้นก็คือราศีมษมีอังคารเจ้าเรือน ฉะนั้นอังคารนั้นคือทรัพย์สมบัติแห่งบิดาเขาด้วย”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนก้มลงกราบปลาบปลื้มในเกร็ดพยากรณ์ที่อาจารย์ย้ำบอกให้หมอเถาจึงออกปากชมเชยยกยออาจารย์โดยทันคิด
“หลวงตามีเกร็ดเต็มตัวทีเดียวคะรับ”
“เฮ้ย ชมอย่างอื่นเถอะว๊ะ หมอเถา อ้ายเกร็ดเต็มตัวมันก็งูน่ะซี”
หมอเถาต้องรีบก้มลงกราบอีกหลายรอบ ขออภัยเพราะไม่ทันคิดว่าจะฟังเป็นอื่นไปได้
“ล้อเล่นไม่ถือหรอกว๊ะ หมอเถา” หลวงตาหัวร่อรื้นชอบอกชอบใจ แล้วหันมาทางเจ้าเด็กน้อยหน้าแฉล้ม “ดวงเอ็งจะได้ดีไปในภายหน้าแต่ต้องอุตสาหะพยายามให้ดี ข้าจะส่งเอ็งไปอยู่กรุงเทพฯไปเป็นศิษย์อาศัยมหาครื้นเขาอยู่จะได้เข้าโรงเรียนด้วย ขัดสนค่าเล่าเรียนข้าพอมีเงินที่คนอื่นเขาทำบุญถวายข้ามา ข้าก็จะส่งเสียทำบุญกะเอ็งต่อไป ลูกหลานข้าก็ไม่มีแล้ว”
เจ้าเด็กน้อยพนมมือไหว้น้ำตาคลอดีใจที่มีวาสนาโดยไม่คิดไม่ฝันก้มลงกราบเท้าหลวงตา จนน้ำตาหยดเปียกฝ่าเท้าหลวงตาชื้น ทั้งหมอเถาและครูก้อนก็พลอยปิติตื้นตันในความเมตตาที่หลวงตามีต่อสัตว์ผู้ยาก
#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์