ห้ามฤกษ์

ลมหนาวเดือนยี่ พัดโกรกทุ่งหนาวเย็นยะเยือกมาตั้งแต่เช้ามืดจนกระทั่งสายตะวันขึ้น นาแปลงใหญ่หลังวัดกลาง เป็นนาธรณีสงฆ์ซึ่งชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจช่วยกันปักดำมาแต่ฤดูฝน บัดนี้ข้าวทั้งทุ่งตกรวบแก่รอการเก็บเกี่ยวเป็นสีทองไปทั่วท้องทุ่ง กลางนาโน้น ชาวนารวมกลุ่มกันนับสิบทั้งชายหญิงถือเคียวครบมือ หน้าตายิ้มแย้มไปทั่วทุกตัวคนหวังทำกุศลเกี่ยวข้าวัดเพื่อเป็นเสบียงสงฆ์ทั้งวัด ที่ยังหนุ่มสาวก็จับคู่เกี่ยวกันเป็นคู่ๆหยอกล้อเกี้ยวพาราศีหน้าระรื่น ที่อายุย่างเข้าปูนแม่ล้าแล้วแต่หัวใจยังครึกครื้นก็เอื้อนเพลงเกี่ยวข้าวแจ้วๆแข่งกับลมหนาว

หมอเถาและครูก้อน แม้จะไม่ถนัดเคียวเกี่ยวเก็บเพราะมิเคยเป็นลูกไร่ลูกนามาก่อน ก็อาศัยเรี่ยวแรงช่วยแบกหามเอากุศลเพราะเป็นงานของสงฆ์ ทั้งพ่อแม่เพลงที่กำลังร้องแก้กันถึงพริกถึงขิงก็สะดุดหยุดชะงักลงทันควัน ทั้งคู่ป้องหน้าดูไปต้นทางที่เป็นถนนตัดผ่านท้องทุ่งเข้าหมู่บ้าน พวกที่กำลังก้มหน้าก้มตาเกี่ยวข้าวก็พลอยวางมือแพ่งดูไปด้วยทุกคน ภาพที่เห็นลิบๆเมื่อใกล้เข้ามาเห็นถนัดตา เป็นรถยนต์เก๋งสีสวยคันใหญ่แล่นไล่หลังเด็กรุ่นมาตามถนนเดิน แล้วเด็กที่วิ่งอยู่นหน้ารถยนต์ก็คงก้มหน้าก้มตาวิ่งไม่คิดชีวิตคมุ่งเข้าไปสู่หมู่บ้าน พอผ่านหน้าคณะเกี่ยวข้าวที่รุมมองอย่างฉงนสนเท่ห์ หมอเถาเป็นคนตีปัญหาออกร้องบอกพวกด้วยเสียงดังลั่น “รถยนต์มันวิ่งไล่ทับ อ้ายแจ้งลูกตาแจ่มว่ะ” ต่างรับกันเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่แล้ว” “ดูหน้าอ้ายแจ้งวี” เสียงสนับสนุนเห็นจริงเห็นจัง “เหงื่อกาฬแตกกลัวตายวิ่งหนีไม่คิดชีวิตทีเดียว” หมอเถาออกความคิดเปรย “อ้ายพวกหนุ่มๆใครข้อแข็งๆวิ่งไปบอกกำนันมาจับอ้ายรถเก๋งนี่ทีเถอะว๊ะ “พอกำนันมาถึง ก็ได้แต่เก็บศพอ้ายแจ้งไปวัดเท่านั้นเอง” หมอเถาเหลียวดูผู้พูดขัดคอ ก็ไม่มีใครรับชักฉุนๆ “ว๊ะ…จะช่วยอ้ายแจ้งมันยังไง งั้นวิ่งตามรถไปดีไม๊” “เออดี วิ่งไปคอยบอกอรหัง ตอนอ้ายแจ้งจะหมดลม” หมอเถาถูกขัดคอหันดูก็ไม่รู้ว่าใครพูดอีก เคืองสุดขีด “ใครใจดำยืนดูอ้ายแจ้งตายต่อหน้าต่อตาก็ตามใจ ข้าวิ่งไปคนเดียวก็ได้ว๊ะ” พอแกพูดจบก็พอดีรถที่ไล่อ้ายแจ้งผ่านหน้าไป แกก็ออกวิ่งขึ้นถนน แม้จะอ้วนอุ้ยอ้ายแต่ก็วิ่งตัวกลมใส่หลังรถยนต์ไป ครูก้อนตัดสินใจออวิ่งกวดตามเพื่อนไปติดๆพวกชาวบ้านก็พลอยออกวิ่งตามกันไปจนหมดเป็นขบวนยาวเหมือนงูกินหางตามติดๆรถยนต์ไป เจ้าแจ้งวิ่งอกตั้งเหงื่อท่วมตัวพอถึงทางแยกเข้าวัดก็เลี้ยว ดูทีท่าเหมือนจะหลบรถยนต์ที่กวดหลังมาติดๆ แต่รถยนต์ก็เลี้ยวตามติดไม่ลดละ ขบวนคณะเกี่ยวข้าวซึ่งนำหน้าด้วยหมอเถาก็เลี้ยวตามมาด้วย พอถึงกุฏิต้นมะยม เจ้าแจ้งก็หยุดวิ่งยืนหอบซี่โครงบาน รถยนต์เก๋งก็พลอยห้ามล้อหยุดตามด้วยกะทันหัน ข้างหมดเถาก้มหน้าวิ่งตามติดมาเต็มฝีเท้า ไม่มีเบรคเหมือนรถยนต์จึงหยุดไม่ได้ดังใจ จนครูก้อนมาถึงต้องอุ้มประคองลงยืนดิน คณะเกี่ยวข้าวตามมาถึงก็ล้อมรถไว้พูดอะไรไม่ออกเพราะเหนื่อยจนหายใจทางปากกันทุกคน ประตูท้ายรถเก๋งก็เปิดออก ผู้ก้าวลงมาเป็นหญิงสาวโสภา แต่งตัวทันสมัย และผู้ตามลงติดๆก็เป็นหญิงอายุกลางคนภูมิฐานเป็นคนมีฐานะมีอันจะกิน ทั้งสองสตรีมองหน้ากลุ่มชาวบ้านที่รายล้อมอยู่อย่างแปลกใจเพราะไม่รู้ความมุ่งหมาย จึงเดินเลยไปหาเจ้าแจ้งที่ยังยืนหายใจออกกระเพื่อมอยู่ “ขอบใจหนูเหลือเกิน โถคงเหนื่อยมาก” เจ้าเด็กแจ้งได้แต่พยักหน้าและแบมือ หญิงวัยกลางคนเปิดกระเป๋าถือหยิบธนบัตรใส่มือให้โดยไม่อิดเอื้อน หมอเถาพอหายจุกก็ปราดเข้าปัดมือเจ้าเด็กแจ้งจนแบ๊งค์แทบหลุดจากมือ “เฮ้อ อ้ายแจ้งอย่างเพิ่งรับเงิน เขาเอารถยนต์ไล่ทับเอ็งทั้งที อย่าคิดค่าเสียหายถูกๆ ไม่ได้มันต้องเป็นร้อยเป็นชั่งถึงค่อยยอมว่ะ” “อย่างยุ่งนะลุงหมอ” เจ้าแจ้งผลักมือหมอเถาออกไปห่างๆ “ฉันรับค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ตะหาก” “อ้าว…” หมอเถามองหน้าเลิ่กลั่กไม่เข้าใจ “รับจ้างอะไรของเอ็ง รถยนต์มันวิ่งไล่กวดหลังเอ็งจี้ๆ ข้าถึงได้แห่วิ่งกันมาหวังว่าจะช่วยนึกว่าเอ็งตายแน่”

“ปัดโธ่เอ๊ย…ลุง” เจ้าแจ้งหัวร่อก้ากจนตัวงอ หญิงทั้งสองพลอยสำรวลไปด้วย “ฉันรับจ้างเขาจะพามาหาหลวงตาชื้นกุฏินี้แหละ เขาให้ยี่ซิบ”

“ก็แล้วเอ็งทำไม่ถึงต้องวิ่งนำหน้ารถมาให้มันเหนื่อย ก็นั่งรถเขามาก็ได้”

“อ๊ะ…ไม่ได้ซีลุงหมอ” เจ้าแจ้งอธิบายอย่างอวดฉลาด “เจาว่าจะได้ค่าเหนื่อยนี่ ถ้านั่งรถยนต์มามันไม่เหนื่อยเดี๋ยวเขาไม่จ่าย ฉันถึงต้องวิ่งนำหน้ารถมาให้มันเหนื่อยถึงจะได้เงิน”

“ถุย ไอ้แจ้ง” หมอเถาถุยน้ำลายเป็นฝอยรดหัวเจ้าแจ้งจริงๆและเสียงถุกอีกสิบถุยข้างหลังก็ดังพร้อมๆกัน

“เจ้าเด็กพิเรนเกือบพาผู้ใหญ่เสียคนไปตามๆกัน”

สองหญิงมาดผู้ดี ก็หันมาทางหมอเถายกมือไหว้พูดสีหน้ายิ้มแย้ม “ฉันมาจากกรุงเทพฯจะมาหาหลวงตาท่าน” หมอเถาพนมมือรับไหว้ ชักเงอะงะเพราะยืนใกล้จนได้กลิ่นน้ำหอม ยิ่งทำให้หัวใจเต้นตูมตามไม่เป็นจังหวะ

“เชิญซีคะรับ เชิญหลวงตาไปพบคุณนาย เอิ๊บ !ไม่ใช่ผมขอเชิญคุณนายไปพบหลวงตา ผมจะนำไปเอง”

เจ้าเด็กแจ้งสะกิดพุงหมอเถาสัพยอก “โถ…ลุงหมอวิ่งมาเหนื่อยเสียจนสติไม่อยู่กะตัวเชียวน๊ะ”หมอเถาแสนอาย ที่ห้าแต้มจึงรีบรวบรัดนำหน้าขึ้นกุฏิหลวงตา ทำหูทวนลมกับเสียงหัวเราะที่ไล่หลังมา หลวงตาชื้นเพิ่งกลับจากลงโบสถ์ขึ้นกุฏิยังไม่ทันปลงจีวร ก็ต้อนรับขับสู้เป็นอันดี เมื่อรับประเคนดอกไม้ธูปเทียนแล้วท่านก็วิสาสะ “เชิญคุณนายตามสบาย กุฏิพระบ้านนอกสกปรกรุงรังสักหน่อยให้อภัยด้วย”

หญิงกลางคนก้มกราบอีกครั้ง “มาไกลทั้งทีได้พบหลวงตาก็เป็นกุศลที่สุดแล้วเจ้าค่ะ ดิฉันมาจากกรุงเทพฯใคร่จะมาเรียนขอความกรุณาหลวงตา”

“เออน่ะ อุตสาหะมาแต่ไกล อตมาเป็นพระแก่ๆมีแต่วิชาโหราศาสตร์ติดตัวถ้ามีประโยชน์สงเคราะห์คุณได้ก็ยินดี”

“คือว่าลูกสาวดิฉันจะแต่งงานจึงมากราบขอฤกษ์หลวงตา”

หมอเถาซึ่งนั่งกับครูก้อนก็พลอยออกความเห็น “โหรกรุงเทพฯเก่งๆก็มีมาก คุณนายไม่น่าจะต้องมาไกลถึงที่นี่เลย”

“ดิฉันไม่ใคร่รู้จักคุ้นเคยกับโหรท่านเลย ญาติผู้ใหญ่ที่อยู่เพชรบุรีท่านแนะนำมาและดิฉันก็ศรัทธามาก”

หลวงตาทราบเจตนาก็ค่อยๆหยิบกระดานโหรามาเข็ดทำความสะอาด มองหน้าหญิงสาว “คุณหนูบอกวันเดือนปีและเวลาเกิดดูทีหรือ”

คุณแม่กลับเป็นผู้ตอบแทนลูก “เกิดวันที่ 29 มกราคม พ.ศ.2495 วันอังคาร ขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เวลา14.30 น. เจ้าค่ะ” หลวงตาเปิดปูมดูและเขียนตำแหน่งดาวลงวางลัคนาเสร็จก็จ้องดูนิ่งอยู่นานจนหมอเถาและครูก้อนสงสัยค่อยกระเถิบเข้าไปใกล้เพื่อจะได้เห็นบ้าง “เดี๋ยวนี้ เดือนมกราคม พ.ศ.2516คุณหนูก็อายุย่างเข้า 22 แล้วซีน๊ะ คุณนายประมาณว่าจะแต่งกันเมื่อใด ช้าหรือเร็ว”

“ตั้งใจว่าจะหมั้นเดือนหน้า และต่อไปสักเดือนก็อยากจะแต่งกันเสียให้เสร็จเจ้าค่ะ หนุ่มสาวสมัยนี้หมั้นกันนานๆ มากไม่ใคร่ดี ไม่หนุ่มก็สาวมักเปลี่ยนใจพาให้ผู้ใหญ่เสียหน้ามานักต่อนัก”

หลวงตานิ่งตรองดูสีหน้าหนักอก หนักใจอึดอัดอยู่ หมอเถาแอบกระซิบถาม “เป็นไงครับ หลวงตา” หลวงตากลับหันไปตอบแขกสตรี “กำหนดฤกษ์ที่คุณนายต้องการนั้น จะให้ตามใจอาตมาหรือตามใจคุณนาย”

“สุดแต่พระเดชพระคุณจะเห็นสมควรซีเจ้าคะเพราะวันดีเดือนดี อิฉันไม่ทราบก็ต้องสุดแต่โหร”

“ถ้าตามใจโหร อาตมาขอตอบว่าในปีนี้ไม่มีฤกษ์แต่งงานของคุณหนูแหวนเพชร นอกจากขึ้นปีหน้าไปแล้วละก็พอจะมี” ทั้งคุณนายแม่ลูกตกตะลึงคาดไม่ถึงต่างมองดูนัยน์ตากันอยู่นาน “พระเดชพระคุณหลวงตาจะกรุณาหาวันดีกลางๆ ปีก็ยังได้เจ้าค่ะ ถ้าข้ามปีคู่บ่าวสาวเขาคงจะใจร้อนไม่ยอมฟัง”

“คุณนายฟังอาตมาให้ดี” หลวงตาปฏิเสธไปแล้วก็มีสีหน้าไม่สบายใจนัก “อันวันดีคืนดีนั้น มันมีอยู่ทุกเดือนตลอดไปน่ะแหละแต่มันจะเป็นวันดีของใครต่างหาก เช่นวันได้ฤกษ์แต่งงานของคู่นี้ แต่วันเดียวกันนี้แหละเป็นวันเลิกร้างของคู่ผัวตัวเมียคู่อื่นก็มาก วันเกิดของคนๆ นี้ก็เป็นวันตายของคนอื่น วันรวยของคนนี้แต่เป็นวันฉิบหายของคนอื่นมันเป็นเรื่องเฉพาะของใครของมัน มิใช่ว่าวันดีแล้วมันจะดีตลอดทุกคนก็หาไม่”

สีหน้าคุณลูกสาวบอกความไม่พอใจเต็มที่ “หนูเรียนคุณแม่แล้วว่าสมัยนี้ฤกษ์ผานาทีไม่สำคัญหรอกค่ะ” คุณแม่จุ๊ปากรีบปราม “อย่าพูดเช่นนั้นลูก จะกลายเป็นคนหัวดื้อ ลบหลู่ผู้หลักผู้ใหญ่ไป”

หลวงตายังคงยิ้ม “ช่างเถอะคุณนายหนูแหวนเพชรพูดตรงตามความรู้สึกของแกดีแล้ว ความเชื่อเหตุผลขตองเด็กหนุ่มสาวกับความเชื่อของผู้ใหญ่มักตรงกันข้ามเสมอ”

“ดิฉันขออภัย” เธอพนมมือไหว้ “ดิฉันมิได้เจตนาลบหลู่หลวงตาเลยเป็นความสัตย์ เป็นแต่คิดไม่แน่ใจและสงสัยเรื่องฤกษ์ตลอดมา”

“แม่หนูสงสัยเรื่องอะไร ถ้าอาตมารู้ก็จะตอบให้ทราบ ถ้าไม่รู้ก็จนใจ”

เธอพูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ดิฉันไม่เชื่อว่าฤกษ์จะมีผลสมจริงดูเป็นการหลอกๆให้ปลาบปลื้มกันมากกว่า จริงอยู่ดิฉันเชื่อถือโหราศาสตร์ด้านการพยากรณ์ แต่ฤกษ์เป็นสิ่งไม่มีเหตุผล เพียงแต่วันดี เวลาดีวันเดียว จะเปลี่ยนแปลงพรหมลิขิตชีวิตมนุษย์ให้ดีตลอดไปอย่างไรเจ้าคะ เพื่อนๆ ดิฉันแต่งงานด้วยฤกษ์โหราจารย์ที่มีชื่อเสียงอยู่กันไม่ทันไรเลิกกันมาหลายคู่แล้วเจ้าค่ะ”

แทนที่หลวงตาจะขุ่นเคืองกลับหัวเราะชอบอกชอบใจ “คุณหนูสงสัยอย่างฉลาดคิดฉลาดพูด อาตมาชอบนิสัยอย่างนี้” ท่านขยับนั่งตัวตรงพูดช้าๆ “อันว่าฤกษ์แปลว่าโอกาส เมื่อฤกษ์ดีก็แปลว่าโอกาสอันดี การหาฤกฺษ์ของอาตมาจึงต้องดูดวงชะตาเขาเสียก่อนว่าในปีนั้นๆชีวติของเขาจะมีโอกาสในเรื่องนั้นๆหรือไม่ ถ้ามีแล้วจึงจะแสวงหาวันดี จริงอยู่ฤกษ์จึงเป็นโอกาสชั่วคราวอาจเป็นปีหนึ่งแต่การใช้ฤกษ์หรือโอกาสชั่วคราวนี้ จะเกิดผลเช่นว่าการแต่งงาน ถ้าดวงชะตาเขาได้ฤกษ์ได้โอกาสดีในเรื่องคู่ครอง เมื่อแต่งงานกันก็จะมีความรักความเข้าใจกันดีชั่วปีหนึ่งก็ดี เพราะเป็นพื้นฐานการครองชีวิตเริ่มต้น แม้ปลายมือจะขัดแย้งขัดใจ ก็ยังพอทำความเข้าใจกันได้ ไม่ถึงกับเลิกร้างกันได้ง่าย เพราะความรักยังเป็นเยื่อใยกันมาก่อน หรือเช่นฤกษ์การเปิดร้านค้าขายในฤกษ์โอกาสดี ก็จะพอมีกำไรเป็นการเริ่มประเดิม แม้นปีหลังจะขาดทุนหรือพบอุปสรรคก็ยังพอแก้ไขให้หนักเป็นเบาได้ ถ้าฤกษ์โอกาสร้ายเริ่มเปิดก็ขาดทุนแล้วจะเอาอะไรมาสู้ในเวลาต่อ ๆ ไป”

สีหน้าคุณหนูแหวนเพชรคลายบึ้งขึ้งเครียดลงไปทันที แสดงถึงความเข้าใจในเหตุผลที่หลวงตาวิสัชนามายืดยาว แต่สีหน้าระรื่นปิติยินดีมาก ก็คือหมอเถากับครูก้อนที่นึกนิยมชมชื่นในอาจารย์ของคนช่างยกเหตุผลมาอ้างอิงเห็นจริงอย่างไม่เคยได้ยินมาก่อน

คุณแม่ซึ่งฟังเหตุผลของหลวงตาเข้าใจได้ดีพอ ๆ กับคุณลูกสาว ก็เห็นว่าไม่มีทางท่าจะอ้อนวอนหลวงตา ให้ท่านให้ฤกษ์ได้สำเร็จ ด้วยไม่แน่ใจว่าลูกสาวจะยกเอาข้อสงสัยอะไรอื่น ๆ มาซักไซร้จนกลายเป็นการเสียมารยาทอย่างร้ายแรง จึงถือโอกาสลากลับ

“ดิฉันขอกราบลาเจ้าค่ะ เพราะตั้งใจจะไปเยี่ยมญาติที่หัวหินอีก และเรียนขออนุญาตที่จะมารบ กวนหลงตาอีกครั้งเจ้าค่ะ”

“เชิญคุณนาย ขอให้จำเริญ ๆ ทั้งคุณหนูด้วย มีกิจประสงค์เมื่อใดอาตมายินดีสงเคราะห์ทุกโอกาส เชิญเถอะ”

สองแม่ลูกก้มลงกราบลา ถอยลงจากกุฏิไป กระทั่งเสียงรถยนต์ติดเครื่องแล่นลับหายไปแล้ว หมอเถาและครูก้อนกระเถิบเข้าไปถึงกระดานโหรที่หลวงตาเขียนดวงลูกสาวคุณนายเอาไว้

หลวงตารู้ใจของลูกศิษย์ว่า อยากรู้อยากถาม จึงลากกระดานมาชี้ให้ดู

“หมอเถากะครูก้อน ลองดูดวงคุณผุ้หญิงคนนี้ดูทีหรือว่าพื้นดวงในเรื่องคู่ครองเขาเป็นอย่างไร”

หมอเถายังมัวนับเรือนไล่ดาวไล่ภพอยู่ไม่ทันครูก้อนเพียงมองปราดเดียวก็ตอบหลวงตาทันที

“ดวงเธอศุกร์เล็งลัคน์ เป็นพินทุบาทว์ในเรือนปัตนิ เรื่องคู่เห็นทีจะไม่ดีนักครับ” หลวงตาพยักหน้าถามศิษย์อีกคน “หมอเถาล่ะว่ายังไง”

หมอเถายังนี้กระดานจนรอยแป้งลบติดนิ้ว “เป็นพินทุบาทว์นั้นมันแน่ละ แต่ศุกร์เป็นมหาจักรมาจากภพวินาสน์และปุตตะก็คงจะหมายถึงว่าในระยะเริ่มแรกเท่านั้นไม่เข้าใจกัน เข้ากันไม่ได้คะรับ”

“เออหมอเถาทายถูกใจว่ะ” หลวงตาว่า “มันต้องดูเขาให้ถึงแก่นอีกว่า เมื่อเป็นเช่นนั้นนะ เขาจะแตกแยกเลิกร้างกันหรือไม่”

ทั้งหมอเถาและครูตอบเสียงเดียวกันว่า “ดูไม่ออกครับ”

หลวงตาหัวร่อชอบใจ “สองคนนี้ลืมกฎเกณฑ์เสียหมด ดูเจ้าเรือนที่ศุกร์มาครองซี เป็นพฤหัสซึ่งเป็นเกษตรอยู่เท่ากับว่าพื้นเรือนของเขาแข็งแรงมั่นคง ศุกร์ก็ทำลายไม่ได้ ทากทักษา เกิดวันอังคาร พฤหัสเป็นศรี ศุกร์มาเป็นพินทุบาทว์ในเรือนศรีก็ไม่ร้ายแรงนัก เขาพอประสานปรับเข้าหากันได้ ไม่เกิดผลร้ายแรงให้เสียหายหรอก”

“โอ้… จริงครับ” หมอเถามองตามเห็นจริง และอดถามข้อสงสัยที่เกิดขึ้นเมื่อครู่มิได้ “ผมไม่เห็นหลวงตาเปิดปูมดูวัน เดือนปีอะไร แต่หลวงตาบอกเขาว่าไม่มีฤกษ์ละครับ”

“บ๊ะ… ช่างทื่อจริง ๆ พูดเมื่อกี้ไม่ฟังให้ดี” หลวงตาโขกกระดานโหรดังโป๊ก “ดวงของเธอนี่แหละวะคือฤกษ์ที่แท้จริงละ ก็ดูทีหรือว่าดวงจรเขาทำมุมอยู่ในตำแหน่งแห่งที่อย่างใด”

ครูก้อนรีบตอบอีก “ราหูเล็งลัคน์อยู่เป็นพินทุบาทว์อีกแหละครับ”

หลวงตาหัวร่อก๊าก “บ๊ะ… เจ้าครูก้อนนี้มันช่างสังเกตแต่พินทุบาทว์เสียจริง ๆ “

หมอเถาเลี่ยงตอบอีกสถาน “พฤหัสเจ้าเรือนปัตนิกำลังจรเป็นนิจอยู่ในภพมรณะ”

“เออ…ใช่ทั้งสองคน” หลวงตาพูดน้ำเสียงจริงจัง “ดวงเดิมเขาเป็นพินทุบาทว์เท่ากับเรือนปัตนิมันมีรอยร้าวอยู่แล้ว ทางจรราหูเล็งเป็นพินทุบาทว์ซ้ำเท่ากับว่ากระเทือนตรงรอยร้าวมันจะแตกง่าย ๆ และอีกสถานหนึ่งเจ้าเรือนปัตนิตกภพมรณะเท่ากับเป็นการซ้ำสองให้แตกแยกจากกัน ได้แน่นอน เข้าทางทักษาอายุ 22 ตกพฤหัสเสาร์ก็คือกาฬกิณีมันร้ายอยู่มาก มันเป็นเช่นนี้แหละ อาตมาถึงบอกเขาว่าไม่มีฤกษ์ ขืนให้ฤกษ์แต่งไป มันจะเลิกกันเสียเป็นแท้ รอให้พ้นรอบอายุและพฤหัสกับราหูยกเสียก่อน จึงจะพอแต่งกันได้ดีมีสุข”

หมอเถายังไม่หมดข้อสงสัย ถามต่อไปอีกว่า “เมื่อหลวงตาเห็นว่าแต่งกันแล้วจะเกิดแตกแยก หลวงตาน่าจะบอกให้เจ้าตัวเขารู้ว่าเพราะเหตุนี้จึงไม่ให้ฤกษ์ไป”

“ว่ะ หมอเถาเจ้ามันคิดแค่สองสลึง ถ้าบอกเขาไปเขาจะเกิดอุปทาน ถ้าลูกสาวคิดดิ้นรนใจร้อนแต่งขึ้นมา มีเหตุอะไรเล็กน้อยก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพราะใจมันคอยนึกแต่คำทำนายที่บอกไป อาตมาจึงนิ่งเสีย”

เสียกลองเพลจากหอฉันดังตูม ๆ ทั้งหมอเถาและครูก้อย ก็เลยหยุดวักไซร้ไล่เลียง เพราะได้เวลาฉันเพลของหลวงตาแล้ว ทั้งเณรชั้วก็ยกสำรับมาตั้งเหมือนไล่อยู่ในทีจึงกราบลากลับ



#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์