จับโจร
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
[3 กรกฎาคม พ.ศ.2543]
ดวงตะวัน เพิ่งจะด้นขอบฟ้า แม้จะเป็นเดือน 11 ฤดูฝน แต่เช้าวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ลมเช้าพัดระรื่นเย็นสบาย หลวงตาชื้นกลับจากบิณฑบาตรเดินกลับวัดตามทางนอกตลาดซึ่งมีหมู่บ้านเรียนรายตลอดสองข้างทาง แต่สงบเงียบไม่จอแจพลุกพล่าน ท่านเดินไปคิดไปตามประสาผู้ล่วงวัยเข้าสู่ปลายทางชีวิตผ่านบ้านที่เคยวิ่งเล่นมาแต่เด็ก เคยเป็นทุ่งกว้างหนองน้ำและเนินดินร่มรื่นด้วยสุมทุมพุ่มไม้ บัดนี้เปลี่ยนแปรไปเป็นตึกรามบ้านเรือนไปหมด ท่านก็คิดปลงอนิจจังถึงความไม่เที่ยงแท้ แม้แผ่นดินซึ่งไม่มีชีวิตก็ยังรู้เกิดรู้ดับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ประสาอะไรกับมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์มีชีวิตมีใจครองจะไม่เปลี่ยนแปรจากดีเป็นชั่ว จากชั่วเป็นดี ไม่คงทนถาวร ผืนแผ่นดินตรงนี้เคยเป็นบ้านคหบดีผู้หนึ่งที่ยึดมั่นในศีลในธรรมเคร่งครัดมาตลอดชีวิต เมื่อถึงกาลชีวิตไปแล้วบุตรผู้สืบสกุลก็กลายเป็นโจรปล้นเขากินจนถูกจับลงโทษไปเมื่อเร็วๆนี้ เออ…หนอหนทางชีวิตมนุษย์มันช่างคดเคี้ยวยอกย้อนวกวนไม่รู้แห่งหน ไม่เหมือนถนนหนทางที่เขาสร้างไว้มันตรงคงเส้นคงวา จะแยกจะเลี้ยวที่ใดก็มีที่สังเกตรู้ได้ ดังนั้นท่านจึงใช้วิธีโหราศาสตร์เกื้อกูลเพื่อนมนุษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนเครื่องบอกทางชีวิตแก่เขา ให้รู้หนทางแยกหนทางเลี้ยวไปสู่ความดีความชั่ว เป็นการสร้างกุศล แม้บางครั้งบางคราว จะถูกเพื่อนบรรพชิตด้วยกันเหยียดหยามลบหลู่ว่า เป็นพระหมอดูเลี้ยงชีพด้วยลาภสการะ ถึงทางสี่แยกเป็นทางเลี้ยวไปสู่วัด และเป็นทางผ่านบ้านคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญที่ตักบาตรทุกวัน และหลวงตาเคยรับบาตรเป็นประจำตอนขากลับ เมื่อนึกถึงคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญ หลวงตาก็นึกคิดไปอีกหลายเรื่องโดยเฉพาะลูกเขยคุณนายที่ชื่อทิดจวง เป็นคนที่หลวงตาบวชให้ตั้งแต่เป็นเณรจนกระทั่งเป็นพระบวชอยู่หลายปี เกิดร้อนผ้าเหลืองแหกพรรษามาตบแต่งอยู่กินกับบุตรสาวคุณนายเมื่อต้นพรรษาที่แล้ว จะเหนี่ยวรั้งทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟังเพราะผ้าเหลืองนี้น่ะหอหุ้มไว้แต่เพียงผิวกายมิได้ห่อหุ้มถึงหัวใจภิกษุจวง พอเดินใกล้บ้านคุณนายทรัพย์เข้ามา หลวงตาก็ยิ่งแปลกใจ แทนที่จะเห็นโต๊ะตั้งขันข้าวและปัจจัยใจใส่บาตรอย่างเคย กลับเห็นแต่ผู้คนมากหลายมุงล้อมอยู่หน้าบ้านดังมีเหตุร้าย ท่านเดินเร่งฝีเท้าใกล้เข้าไปจนถึง ท่านได้ยินสียงโต้เถียงกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงคุณนายทรัพย์ลำเลิกเบิกประจานทิดจวงลูกเขย บางคำเป็นคำหยาบคายชาวบ้านที่มุงดูก็หัวเราะเฮฮาผสมโรง
หลวงตาพิจารณาเห็นว่ามิใช่กิจของสงฆ์จะพึงรับรู้และเกี่ยวข้องด้วยก็ถอยหลีกออกมาเพื่อจะเดินไปเสียให้พ้น แต่ชายจีวรกลับถูกดึงไว้แน่น เมื่อเหลียวดูเจ้าของมือก็พบหมดเถาศิษย์เอก
“นิมนต์หลวงตาหยุดก่อนเถอะครับ” หมอเถายกมือไว้ท่วมหัว “ทิดจวงเห็นจะแย่แน่ละคะรับ”
“มันไม่ใช่กิจของพระจะยุ่งด้วยนะหมอเถา เขาแม่ยายลูกเขยกันครอบครัวเดียวกันก็ย่อมมีปากมีเสียงกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา”
“มันไม่ธรรมดาซิคะรับ หลวงตา” สีหน้าหมอเถาดูเป็นทุกข์เป็นร้อนจริงจัง “คุณนายทรัพย์แกไล่ทิดจวงออกจากบ้าน หอบผ้าหอบผ่อนทิดจวงโยนออกมาเกลื่อนถนนไปหมด ถ้าหลวงตาไม่ช่วยทิดจวงต้องกลับไปกินข้าววัดของหลวงตาอีก
“ว๊ะ…มันเรื่องอะไรกันร้ายแรงหนักหนาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ“ หลวงตาชักสนใจ
หมอเถาอธิบาย “ผมก็ไม่ทราบเรื่อง ฟังเป็นนัยว่าขุนไม่เชื่องอะไรทำนองนั้น”
ครูก้อนโผล่จากไหนก็ไม่รู้เข้ายึดจีวรหลวงตาไว้อีก “หลวงตาต้องห้ามทัพไว้ก่อนเถอะขอรับ ผมห่วงทิดจวงจริงๆ”
หลวงตาลังแลใจชะเง้อข้ามไหล่ผู้คนที่มุงดูเข้าไปในบ้านตา ”อยากรู้ว่ามันมีสาเหตุอะไรกัน จะได้ตัดสินใจว่าควรจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
ครูก้อนว่า “ผมได้ยินคุณนายทรัพย์ตะโกนแต่ว่าทิดจวงกินบนเรือนแล้วถ่ายรดหลังคา”
หมอเถาร้องเอ๊ะ! “ทิดจวงถ้าจะทำพิเรน คิดเป็นพ่อตาตัวเองกระมัง”
“อย่าเดาง่ายๆ หมอเถาเดี๋ยวหลวงตาเข้าใจผิด” ครูก้อนดุหมอเถา แล้วก็อ้อนวอนหลวงตา “ทิดจวงก็เหมือนลูกศิษย์ของหลวงตาคนหนึ่งไฟกำลังไหม้ทิดจวง หลวงตาจะยืนเฉยอยู่ได้หรือขอรับ”
หลวงตาหยุดยั้งลังเลใจ หมอถาและครูก้อนเข้าขึดแขนทานไว้คนละข้างพยุงกึ่งลากหลวงตาฝ่าคนที่มุงเข้าประตูบ้านคุณนายทรัพย์ล่วงเข้าไปจนถึงห้องกลาง คู่กรณีพิพาทอยู่กันพร้อมหน้า คุณนายทรัพย์ยืนเท้าสะเอกหน้าเขียวด้วยฤทธิ์โทสะแต่ทิดจวงนั้นหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ข้างแม่ศรีลูกสาวคุณนายเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ร้องห่มท่าเดียว
คุณนายทรัพย์พอเหลียวเห็นหลวงตาก็ทรุดตัวลงไหว้เคารพ ทิดจวงพอเห็นหลวงตาเหมือนเห็นพระมาลัยมาโปรดสัตว์ ปราดเข้าเกาะชายจีวรไว้ทันที แววตาเหมือนเด็กถูกเฆี่ยนกำลังขอร้องวิงวอน
“หลวงตาช่วยผมที ผมตายแน่” ทิดจวงพูดเสียงเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
หลวงตายังไม่ทันเอ่ยว่ากะไร คุณนายทรัพย์ก็แหวขึ้นอีก จึงโบกมือห้าม “เบาๆเถอะคุณนายมันเรื่องร้ายแรงอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก่อน อย่างให้รู้หูชาวบ้านอายเขาเปล่าๆ มันเรื่องภายในครอบครัว พูดบอกให้อาตมารู้บ้าง อาตมาเป็นสงฆ์ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครหรอก”
คุณนายได้สติและเกรงใจหลวงตาแต่เดิม จึงค่อยสงบเลี่ยงมาปูเสื่อนิมนต์หลวงตานั่งบนยกพื้นริมห้อง ส่วนตัวเองทรุดนั่งลงกับพื้น ทิดจวงหัดไปจูงมือเมียมานั่งอยู่ข้างหนึ่ง หมอเถานึกอายชาวบ้านแทนทิดจวงจึงแอบไปงับประตูบ้านเสีย
“คุณนายลองเล่าเนื้อหาเรื่องราวมันยังไงกัน” หลวงตาถามช้าๆอย่างตั้งใจ
คุณนายทรัพย์เหลือบค้อนทิดจวงลูกเขยก่อนเล่า “ของมีค่าของอิฉันหาย แล้วก็ไม่มีใครนอกจากทิดจวงคนเดียวเท่านั้น”
ทิดจวงสอดทันควันไม่ลดละ “ไม่จริงครับหลวงตาผมบวชแล้วเรียนแล้วคุกเข่ารับศีลมาจนหัวเข้าด้านไม่ประพฤติอทินนาแก่ทรัพย์ของใครแน่”
หลวงตาเบาใจลงเป็นกองที่มิใช่คดีกาเมสุมิจฉาเหมือนที่ระแวงคิดอยู่ จึงโบกมือห้าม เพราะคุณนายทรัพย์กำลังจะแผดเสียงออกมาอีก
“เดี่ยว ทิดจวงให้คุณนายเขาเล่าก่อน เรื่องมันมีมูลมาอย่างไร”
“ของมีค่าของอิฉันให้นังหนูเอาไว้ เขาเก็บไว้ในห้องนอนแล้วอยู่ๆ ก็หายไปเขาอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้นจะมีใครเจ้าค๊ะหลวงตา”
หลวงตาหันมาซักแม่ศรีที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างสามี “ของอยู่ที่แม่หนูตามที่แม่เขาบอกจริงหรือ”
“เจ้าค่ะ” เธอเงยหน้าเปียกน้ำตาตอบ “อันที่จริงของสิ่งนี้คุณแม่ยกให้เป็นสมบัติของหนูแล้ว เมื่อมามีอันเป็นต้องหายไปหนูก็ไม่ติดใจถือเสียว่าเป็นคราวเคราะห์”
คุณนายทรัพย์แหวลูกสาวทันควัน “ช๊ะ…นังหนู เป็นเมียทิดสึกจากพระหน่อยทำเป็นใจพระไม่เอาเรื่อง ของมีค่าเป็นเรือนพันเรือนหมื่น”
หลวงตาว่า “อ้อ เป็นเรื่องของหาย ฉันพอสงเคราะห์มูลเหตุได้บ้าง”
ทิดจวงพูดเหมือนปรับทุกข์กับตัวเอง “เมื่อตอนสึก หลวงตาก็ให้ฤกษ์ผานาทีมาดีแล้ว ไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้เลย”
“เอ็งจะโทษฤกษ์ของข้าละซีทิดจวง” หลวงตาจ้องหน้าเขม็ง “ฤกษ์เขาใช้ทำความดีมีสิริมงคล แต่ถ้าคนมันทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว เหมือนฤกษ์โจรปล้น พาคนติดถูกมาเสียนัก”
ทิดจวงรีบพนมมือไหว้ “อภัยเถอะครับหลวงตา ผมมิได้ลบหลู่หลวงตาหรอก มันกลุ้มใจน้อยใจในวาสนาตัวเอง”
หลวงตาหันไปทางคุณนายทรัพย์ “ธรรมดาของหายมันต้องคิดอ่านหาของให้ได้ไม่ใช่คิดหาตัวคนขโมยก่อนไม่ถูกต้อง
คุณนายทรัพย์พอสงบสติได้บ้างก็ได้คิด “เจ้าค่ะ อิฉันอยากจะให้หลวงตาจับยามดูว่าของมันหายไปได้อย่างไร อยู่ที่ไหน จะติดตามยังไง”
“อ๋อ ได้ซี” หลวงตารับคำเต็มใจ “ของมันอยู่ที่แม่หนูเขาเป็นสิทธิของเขา มันต้องเอาดวงแม่หนูเขามาดู”
“ดวงแม่ศรี ที่หลวงตาผูกไว้ให้ก็ยังอยู่” ทิดจวงลุกขึ้นเข้าห้องไปหยิบมาส่งให้หลวงตาชื้น พร้อมทั้งแป้งผัดหน้าอีกกำมือเพราะรู้ใจอาจารย์
หลวงตารับแป้งมาขีดดวงเขียนดาวตัวโตลงบนพื้นกระดานที่นั่งตามดวงเดิม ข้างหมอเถากะครูก้อนแอบกระแซะข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้ดูถนัดๆ
หลวงตาชื้นนับนิ้วพึมพำไล่อายุแล้วพิจารณาดูดวงดาวนิ่งอยู่นาน จนหมอเถาอดสงสัยมิได้ต้องเอ่ยปากถาม
“เป็นยังไรคะรับหลวงตา” หลวงตาครางอือในคอ “มันยากเว้อหมดเถา”
“ดวงมันยาก ดูยากอย่างนั้นหรือคะรับ” หมอเถาถามไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่เคยได้ยินหลวงตาชื้นพูดคำนี้มาก่อน
“มันยากปากที่จะพูดบอก” “มันยากใจยากปากที่จะพูดบอก” หลวงตาถอนหายใจยาว แล้วหันมาทางคุณนายทรัพย์ “ขอถามอะไรแน่ใจก่อน “
“เชิญเถอะเจ้าค่ะ”
“ของที่หายเป็นแหวนเพชรใช่ไม๊” หลวงตาทั้งถามทั้งทายพร้อมๆกัน “เป็นของเก่าแก่นมนานมาแล้ว”
คุณนายทรัพย์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่าหลวงตาจะทายเหมือนเห็น “ใช่เจ้าค่ะ เป็นแหวนเพชรน้ำงามจริงๆ ตกทอดมาตั้งแต่คุณแม่อิฉัน ราคาร่วม 100 ชั่ง”
ทั้งหมอเถาและครูก้อน ตกใจในอภินิหารของหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์ จนพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองสบนัยน์ตากันและกัน “ถ้าเช่นนั้นมันก็เข้าเค้าละ”หลวงตาพูดลอยๆ “ถ้าจะเอาของเห็นทีจะสูยเสียมากกกว่าเพราะของมันเดินทางเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว แต่ถ้าจะเอาคนก็พอจะได้ตัวแน่”
ดวงตาคุณนายลุกวาวบอกความแค้นใจเต็มที่ “ถ้าไม่ได้ของก็ต้องเอาคนละเจ้าค่ะ ต้องขอเอาเข้าคุกให้หายเจ็บใจให้ได้”
ทิดจวงมองหน้าหลวงตาไม่เข้าใจคำอรรคคำแปล ภายในหัวใจเต้นอ่อนลงแทบจะหยุด ทั้งหมอเถาครูก้อนพลอยใจหายวับๆหวำๆแทบนั่งไม่ติด หลวงตาหันทางลูกสาว “แม่หนูเธออยากให้ผัวถูกจับเข้าคุกหรือไม่ล่ะ”
“ไม่เจ้าค่ะ” แม่ศรีรีบตอบปนเสียงร้องไห้ คนทั้งหมดมองหน้าทิดจวงเป็นตาเดียวกัน นึกเสร็จแน่ๆ ตัวทิดจงเหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำ
หลวงตากวักมือเรียกแม่ศรีเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบกระซาบไม่มีใครได้ยินอยู่พักใหญ่ เห็นแต่แม่ศรีพยักหน้ารับคำน้ำตาไหลนองแก้ม ลงท้ายที่สุดหลวงตาก็พูดดังพอได้ยินกันทั่วๆไป “ถ้าแม่หนูไม่อยากให้ผัวเธอเข้าคุก ก็ต้องพูดกับแม่เอง อย่าให้อาตมาต้องเป็นคนบอกเลยจูงแม่เข้าไปพูดกันสองต่อสองในห้องในหับ เพราะคงจะต้องพูดกันนาน”
แม่ศรีลุกขึ้นจูงมือแม่ คุณนายเองก็งงๆไม่เข้าใจถ้อยคำของหลวงตาจึงตามลูกสาวเข้าไปในห้อง
ทิดจวงคลานเข้ามากราบตักหลวงตาถาม “หลวงตากระซิบบอกอะไรกะแม่ศรีเขาครับ หรือในดวงมันบ่งว่าผมขโมยเขา”
หลวงตาลูบหัวทิดจวงอย่างเมตตา “สบายใจเถอะว๊ะทิดจวงเอ็งไม่ติดคุกแน่ ข้าช่วยเอ็งแล้ว แม่ลูกเขาพูดจากันเอง ทำใจให้สบายเถอะหมดเคราะห์แล้ว ฤกษ์สึกของข้ามันยังขลังอยู่ว่ะ”
หมอเถาคุกเข่าชะโงกดูดวงให้ถนัดตา และอยากออกความเห็นว่า “อายุย่างเข้า 26 ปีนี้ อาทิตย์เป็นกาฬกิณีเรือนกฎุมภะพอดี มิหนำซ้ำอาทิตย์กาฬกิณีจรถึงอังคารกาฬกิณีเดิมอีก มันถึงเสียทรัพย์จนได้”
“เออหมอเถามันมักง่าย มองแต่กาฬกิณีท่าเดียวเอาแต่สะดวก ๆ” หลวงตาตำหนิเอาซึ่งๆหน้า “ไหนลองบอกต่อไปอีกซิว่า ทำไมมันถึงหายใครเป็นคนเอาไป”
หมอเถาจับตาดูดวงอึกอักเพราะไม่นึกว่าจะถูกซักละเอียดลออเช่นนั้น “ไม่รู้ครับ รู้แต่ทรัพย์มันเสียเท่านั้นเอง” หลวงตากวาดนิ้วชี้ดูดวงดาวในกระดานพื้น “มันต้องดูเสียก่อนว่าอาทิตย์จรที่มาครองอยู่เรือนทรัพย์เขานั้น อาทิตย์จรนั้นเป็นใครมาจากไหน”
หมอเถาอ่านดวงตอบ “อาทิตย์เดิมอยู่วินาสน์ลัคนา และอาทิตย์จรนั้นคือเจ้าเรือนลัคนาคือตนุลัคน์นั่นเอง”
“เออ…ล่ะ” หลวงตาหันมาไล่เบี้ยหมอเถาต่อไปอีก “เรือนวินาสน์แปลว่าคิดไม่ถึง ซ่อนเร้นปิดบังสูญเสีย ลองเอาความหมายมาปะติดปะต่อกับคำว่าตนุลัคน์ที่หมายถึงตัวเองดูซิมันหมายความว่ากะไรกับเรือนทรัพย์”
หมอเถานิ่งนึกตาจับดูดวง “ทรัพย์สินสูญเสียเพราะตนเองหรือตัวเองทำให้ทรัพย์เสียโดยนึกไม่ถึงหรือตัวเองแอบปิดบังทำให้เสียหาย”
มันก็ความหมายเดียวกันนั่นเอง” ครูก้อนเอยขั้นบ้าง “ถ้าเช่นนั้นตัวเองก็เป็นคนเอาไปหรือทำหายน่ะซีขอรับ”
“ยังไม่หมดต้องอ่านต่อไปอีก แค่นั้นยังไม่พอ” หลวงตาชี้กระดาน “พุธเจ้าเรือนกฎุมภะจร ที่เสียหายนั้นจรไปอยู่ที่ใด และพุธเดิมเป็นอะไร”
“พุธจรอยู่เรือนสหัชชะ เพื่อนฝูงคะรับ” หมอเถาพอถูกจูงชักตอบคล่อง “มายถึงว่าทรัพย์นี้ไปตกอยู่กับเพื่อน พุธเดิมก็วินาสน์ลัคนาอยู่และพุธคือคำพูด ก็หมายถึงถูกหลอกลวงด้วยคำพูดถูกอุบายเช่นนั้นกระมังคะรับ”
“เออ…ใช่แล้ว” หลวงตายิ้มถูกใจ “เรือนสหัชชะมันแปลว่าเดินทางหรือเปลี่ยนแปลงก็หมายถึงว่าทรัพย์นั้นมันเปลี่ยนแปลงและเดินทางไปเสียเล้วนั่นเอง เมื่อดูแล้วเจ้าเรือนสหัชชะคือศุกร์เป็นเกษตรร่วมพุธจรตัวทรัพย์อยู่ เพื่อนนั้นมันก็รวยเป็นเศรษฐีเพราะทรัพย์นั่นไปเลย”
“แล้วหลวงตากระซิบบอกกับแม่ศรีเขาอย่างไรคะรับ”
หลวงตาหัวเราะชอบใจ “ข้าบอกแม่ศรีเขาว่า ทรัพย์นี้เธอเป็นคนเอาไปให้เพื่อนเขาเอง และถูกหลอกไปเสียแล้วไม่ได้คืนแน่ เธอก็รับว่าเพื่อนสาวยืมไปแต่งตัวจะไปงานออกหน้าออกตา แต่กลับหนีออกจากบ้านไปกับคู่รักเข้ากรุงเทพฯ ถ้าจะว่ากันไปเธอเองเป็นตัวการควรรับผิดกับแม่เขาเสีย มิฉะนั้นเสียทรัพย์แล้วจะเสียผัวอีกด้วย เธอก็รับว่าจะพูดกับแม่เอง เพราะถึงอย่างไรก็คงฆ่ากันไม่ตายขายไม่ขาด”
ทิดจวงนั่งฟังสีหน้ามีเลือดมีฝาดจนเห็นชัด ยกมือท่วมหัว “เจ้าประคุณ ผมรอดตัวเพราะหลวงตาแท้ ๆ ม่ายเช่นนั้นตายแน่”
หมอเถาก็ก้มลงกราบบ้าง แล้วถาม “ที่หลวงตาทายเขาว่าแหวนเพชรนั้น เพราะอะไรคะรับ ผมมองดูเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น”
“เดา ๆ เอาตามดาวมันว่ะ” หลวงตาหัวร่อชอบใจ “ลองทายดูเค้าเรือนกดุมภะดูก่อนถ้าถูกต้องเรื่องอื่นที่มันต่อเนื่องกันอยู่ก็ควรจะถูกต้องด้วย”
“ดาวมันบอกว่าเป็นแหวนเพชรเช่นนั้นหรือขอรับ” ครูก้อนยังติดใจสงสัย
ดาวมันสิบดวง จะให้มันบอกตรง ๆ ถึงสิ่งของเป็นแสนเป็นล้านสิ่งได้อย่างไร มันต้องอ่านประกอบเอาแนวเข้ากับเรื่อง คือว่า อาทิตย์ หมายถึง มีแสงมีค่ามีเกียรติ มฤตยูหมายถึงวงกลมๆ หรือเก่าดับสูบ เมื่อวงกลมๆมีค่ามีแสง มีเกียรติมันก็พอเดาได้สองสิ่งคือแหวนเพชรกับกำไลเพชรของเก่าแก่นานมาแล้ว ที่ไม่ทายกำไลเพชรก็เพราะคนโบราณเขาไม่ทำกำไลเพชรใส่ข้อมือ มีแต่กำไลข้อเท้า และคนสมัยนี้มันก็ไม่ใส่กำไลเท้ามันก็เดาได้ว่าต้องเป็นแหวนเพชร”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนได้แต่นั่งอ้าปากฟังคำอธิบายสิ่งคิดในใจแต่เพียงว่าอีกนานกว่าตนจะรอบรู้ความหมายของดาวได้ละเอียดชัดเจนเท่าอาจารย์
หลวงตาชื้นคว้าบาตรลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะวะข้าชักหิวแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเช้า เรื่องของเขาแม่ลูกยังอีกมาก ไม่ต้องรอบอกลาเจ้าของบ้านหรอก ช่วยเอาทิดจวงรอดตัวมาได้ก็พอใจแล้ว
ทิดจวงก้มลงกราบลงบนเท้าหลวงตาอย่างระลึกถึงพระคุณไม่รู้ลืม และมองตามจนหลวงตาล่วงพ้นประตูลับหลังไป พร้อมด้วยหมอเถาและครูก้อน
#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์