ทักษาสมเด็จ

เช้าวันนี้เป็นวันว่าง ทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ จึงชุมนุมกันพร้อมหน้าบนกุฏิหลวงตาชื้น หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ครบองค์ การสนทนากันจึงเป็นกันเอง เริ่มเรื่องก็เป็นจริงจัง แต่พอคุยกันไปหมอเถามักชักใบให้เรือเสียออกนอกเรื่อง กลายเป็นเรื่องขบขันขนาดได้ฮากัน บางทีถูกเสริมจนเป็นเรื่องสับดน จนหลวงตาต้องคอยปรามไว้

เณรชั้วออกมาจากครัว ถือจานและถ้วยตรงมาที่วงสนทนา พอวางให้เห็นกันทุกคนหมอเถาน้ำลายสอเต็มปากถึงขนาดต้องกลืนถึงสองเอีอกซ้อน

“บา..มะยมพริกกะเกลือ น้ำตาลปีบ” ครูก้อนพูดไปกลืนน้ำลายไป

“เณรชั้ววันนี้น่ารักแท้” หมอเถาเลือกหยิบลูกใหญ่ที่สุดเปล่งจิ้มกัดกินก่อน กินไปชมไปไม่ขาดปาก “เอาไว้ว่างๆจะหาเหรียญความชอบติดให้เณรสักอัน”

เณรชั้วถูกชมยิ้มแย้มหน้าบาน “เห็นคุยกันอยู่นาน คอคงแห้งจึงเอามาให้”

ครูก้อนความคิดเฟื่องไปตามนิสัย “มะยมพริกกะเกลือมันต้องแกล้มน้ำอมฤต ถึงจะเด็ดดวง”

หลวงตาชื้นไม่ได้คิดอย่างหมอเถา และครูก้อน ท่านนิ่งมองดูจานของแกล้มก็รู้ว่าเป็นมะยมต้นหน้ากุฏิที่กำลังออกลูกเต็มต้น จึงถามเณรชั้วเสียงหนักแน่น

“นั่นมันไม่ใช่มะยมหล่นเอง ก้านยังติดขั้วแทบทุกลูก เคยสั่งห้ามแล้วไม้ให้ปีนเก็บมะยมบนต้น ทั้งห้ามสอยด้วย”

“ผมไม่ได้ละเมิดคำสั่งหลวงตาขอรับ” เณรชั้วพนมมือตอบยืนยัน

หลวงตาหน้าบึ้งนึกว่าเณรแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ “งั้นลองอธิบายซีว๊ะ ว่ามะยมมันตกจากต้นได้ยังไงทั้งขั้ว ทั้งพวง ว๊ะเจ้าเณรชั้ว”

“ผมมาด้วยปัญญา ขอรับหลวงตา” เณรชั้วโพล่งตอบเพราะตกใจ

หลวงตาชักฉุน “ช๊ะ เจ้าเณรเล่นสำนวนกะข้า เจ้ามีปัญญาศรีธนนไชยหรือยังไง มะยมมันถึงลงจากต้นได้”

ทั้งหมอเถา ครูก้อนและครูสมศักดิ์ คิดเหมือนกัน คือ เป็นทุกข์แทนเณรชั้ว กลัวจะถูกอาญาหลวงตาเสียเป็นแน่ เพราะมองไม่เห็นประตูออกเลย

แต่เณรชั้วก็ไม่มีสีหน้าวิตก กลับตอบช้าๆอย่างมั่นคง “เมื่อเช้าตอนหลวงตาไปบิณฑบาตร ผมเข้ากุฏิทำความสะอาด เด็กชาวบ้านเห็นไม่มีใครอยู่แอบมาขึ้นมะยมหน้ากุฏิ กว่าผมจะรู้มันก็ได้โข ผมแอบดูเห็นเข้าฉวยไม้ออกไปขู่บังคับให้คืนของกลางหมด จึงได้มานี่”

หลวงตาฟังไปขมวดคิ้วคิดไปไม่นึกเชื่อน้ำมนต์แสนกลเลยสักข้อเดียว เพราะฟังดูมันมีเงื่อนงำชอบกลตรงว่าใช้ปัญญาและแอบดู ดูมันไม่เข้ากับเรื่องที่เล่ามาแต่จับไม่ได้ไล่ไม่ทันจึงต้องนิ่ง

แต่หมอเถา ซึ่งเป็นคู่ขากับเณรชั้วคิดเดาเหตุการณ์ได้ชัดแจ้งตลอดเรื่องว่าเป็นวิธีทำมาหากินของเณรชั้ว ขอยืมมือเด็กเก็บมะยมโดยแกล้งแอบซ่อนคอยดูปล่อยให้เด็กเก็บได้แล้วออกมาข่มขู่ด้วยปัญญาเจ้าเล่ห์

ไม่ทันได้ซักไซร้ไล่เลียงกันต่อไปอีก เพราะเสียงสุนัขเห่าขรมได้ถุนกุฏิ แสดงว่ามีคนแปลกหน้ามา ครู่เดียวประตูระเบียงก็เปิดออก ผู้โผล่เข้ามาเป็นชายอายุพ้นวัย 40 มือถือกำดอกไม้และธุปเทียน ท่าทางเกรงๆใจ เมื่อเห็นคณะหมอเถา และหลวงตาจ้องมองอยู่เป็นตาเดียว เขายกมือไหว้สุ่มๆ มาท่าทางนอบน้อม แล้วก้าวล่วงประตูเดินค้อมกายเลี่ยงเข้ามาใกล้คณะ หมอเถากระเถิบหลีกให้เขานั่งลงทำความเคารพหลวงตาตรงเบื้องหน้า

หลวงตารับไหว้ และขยับจีวรขึ้นคลุมไหล่ให้เรียบร้อย ขยับนั่งตัวตรงเตรียมรับประเคนดอกไม้ธูปเทียน

สองมือเขาประคองดอกไม้ธูปเทียนหมอบเข้าไปใกล้บอกว่า “ผมมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงตาขอรับ”

หลวงตาชะงัก หดมือที่กำลังจะรับประเคน ร้องเอ๊ะ “จะเป็นศิษย์เรียนอะไรหรือคุณ”

“ผมใคร่ขอเรียนวิชาโหราศาสตร์ขอรับ” เขาบอกตรงไม่อ้อมค้อม

หลวงตานิ่งพินิจดูหน้าตาเขาโดยถ้วนถี่ใจหนึ่งชักไม่พอใจที่จู่ๆมีคนแปลกหน้ามาขอเรียนง่ายๆประหนึ่งเป็นของไม่มีค่า แต่อีกใจหนึ่งก็ยังอดคิดขบขันตามนิสัยมองโลกในแง่ดีของหลวงตาว่ามาเจอะคนแปลกเข้า ชื่อเสียงเรียงนามยังไม่ทันรู้จัก ปุบปับก็จู่โจมเข้ามาขอเรียนวิชา คนพรรค์นี้มันน่าสอนวิชาปล้นสดมภ์กันมากกว่า

เห็นหลวงตานิ่งอึ้ง เขาก็คิดเดาเอาว่าท่านยังคงไม่เต็มใจนัก จึงเอ่ยขึ้นแนะนำตัวเอง “กระผมมาจากกรุงเทพฯมีอาชีพเป็นหมอดูมีนามว่า หมอสุริยัน เพิ่งออกมาเป็นหมอแร่ทัศนาตามหัวเมือง มาพักอยู่จังหวัดนี้เจ็ดวันแล้วไม่มีใครดูเลยสักคนเดียว สืบถามได้ความว่ามีโหรดีคือหลวงตาอยู่แล้ว จึงไม่มีใครดู กระผมจึงมาขอกราบเท้าพระอาจารย์เพื่อเรียนวิชา”

หลวงตาชื้นหัวเราะหึ นึกในใจว่าหมอนี่ชื่อเหมือนยี่เก ซ้ำสำบัดสำนวนพูดก็ไม่แคล้วยี่เกเสียอีก จึงถามสัพยอกเล่นๆด้วยอารมณ์ขันว่า “เมื่อก่อนจะมามีอาชีพหมอดูน่ะเคยเล่นยี่เกหรือเปล่า คุณสุริยัน”

หมอสุริยันตกตะลึงพรึงเพริดรับคำปากคอสั่น “จริงขอรับเมื่อหนุ่มๆผมเล่นยี่เกอยู่หลายปีท่านทายแม่นยังกับเทวดาขอรับ อย่างนี้นี่เองเขาถึงเลื่องลือกันนักหนา ขอได้โปรดเมตตารับศิษย์ผู้ต่ำต้อยไว้สักคนเถอะขอรับ”

หลวงตาชื้นถอนหายใจดังเฮือกนึกในใจว่ามันช่างเป็นเวรกรรมของตัวเอง พูดเล่นก็กลายเป็นจริงจัง จุดใต้ตำตอเข้าจนได้ หมอเถา ครูก้อน และครูสมศักดิ์ ไม่รู้ความในอกของหลวงตาชื้นนิ่งนึกในใจว่า หลวงตามีไม้เด็ดเคล็ดลับใหม่ๆพอเห็นหน้าไม่ต้องถามวันเดือนปีก็ทายได้แม่นยำราวกับตาเห็น และต่างก็คิดตรงกันว่าโอกาสหลังจะต้องหาขอเรียนไว้ให้จงได้

หลวงตาชื้นนิ่งนึกหาทางออกอยู่พักใหญ่จึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ “หมอสุริยันก็มาจากกรุงเทพฯซึ่งเป็นแดนที่โหราศาสตร์รุ่งเรืองสูงสุด ย่อมจะต้องมีความรู้ดีมาแล้ว จะมาเรียนกับพระบ้านนอกแก่ๆอย่างอาตมาทำไมกัน ถ้าจะเปรียบเทียบความรู้กัน ขนาดอาตมานี้น่าจะขั้นศิษย์ของหมอสุริยันเสียอีก”

หมอสุริยัน ออดอ้อนเสียงอ่อนเสียงหวาน “พระเดชพระคุณพระเจ้าตาอย่าถ่อมตัวเพื่อไม่สอนกระผมเลย กรุณาสอนสัตว์ผู้ยากสักคนเถิดขอรับ”

หลวงตาถูกเซ้าซี้จึงพูดให้สติตรงๆว่า “ฟังนะ หมอสุริยันอย่างมุ่งคิดเอาแต่จะให้ได้อย่างเดียว จนไม่คิดถึงการควรไม่ควรอันใด การเรียนวิชาไม่ว่าวิชาอะไร โบราณท่านถือว่าจะสอนให้แก่บุคคลอันสมควรหนึ่ง สอนโดย กาละอันสมควรอีกหนึ่ง หมอสุริยันเหมือนคนจรผ่านมาไม่กี่วันก็ผ่านไป ทั้งหัวนอนปลายเท้าและอุปนิสัยใจคอก็ยังไม่แจ้งวิชาของอาตมาไม่หวงแหนดอก ไปวันข้างหน้านานไปเกิดความสมควรทั้งสองสถานระหว่างเรา ก็ยินดีจะสอนให้”

หมอสุริยันนิ่งพนมมือนิ่งฟังเหมือนฟังเทศน์ หลวงตาชื้นจึงเลยเทศน์อุปมาอุปมัยตามวิสัยสงฆ์

“อุปมาจะทำนาปลูกข้าว ก็จะต้องดูผืนแผ่นดินเสียก่อนว่าเป็นที่ลุ่มน้ำขังตลอดฤดูหรือไม่ ดินดีควรแก่ต้นข้าวเจริญเติบโตตกรวงหรือไม่ แม้กระนั้นก็ยังต้องถึงเวลาฤดูกาลที่จะต้องไถพรวนให้ผืนดินร่วนชุยและฆ่าวัฃชพืชที่อาศัยให้สิ้นพันธุ์ เหมาะแก่การปักกล้านาดำต่อไปและต้องรอเวลาคามธรรมชาติ จนกว่าจะได้ผลเปรียบได้ดังบุคคลที่มีอุปนิสัยไม่เหมาะแก่การเรียนโหราศาสตร์ เหมือนแผ่นดินที่ไม่ขังน้ำ เรียนไปมิช้ามินานก็ทอดทิ้ง เหมือนปล่อยให้ข้าวกล้าแห้งตายไปเสียไม่จีรังตลอด คนสติปัญญาทึบถึงจะโง่เขลาถึงจะมีศรัทธาดีก็เหมือนที่ลุ่มแต่ดินเลว ปลูกปักวิชาให้แค่ใดก็อยู่แค่นั้น ไม่จำเริญงอกงามแตกกอจนตกรวงให้เก็บเกี่ยวได้ ว่าข้างครูผู้สอนถ้ามิได้ไถแปรไถดะพื้นจิตใจศิษย์ให้สะอาดก่อนจะปลูกฝังวิชาให้มิช้าวัชชพืชคือตัววิกิจฉาและอวิขาก็จะงอกขึ้นปกคลุมเบียดบังวิชาที่ปลูกไว้มิให้งอกงามขึ้นมาได้การสั่งสอนก็เช่นกันดุจดังการให้น้ำหล่อเลี้ยงนาข้าวมากไป สอนมากเกินสติปัญญาศิษย์มากไปข้าวกล้าก็จะจมน้ำตายอยู่ไม่ได้ สอนน้อยให้น้ำน้อย ข้าวมันไม่งอกงาม ฉันใดเมื่อเกิดไม่สมควร ฉันนั้นก็เกิดความเสื่อมเป็นสามสถาน สถานที่หนึ่งเกิดความเสื่อมแก่ศิษย์ สถานที่สองเกิดความเสื่อมแก่อาจารย์สอน สถานที่สามเกิดความเสื่อมแก่วิชาที่สอน”

หมอสุริยันนิ่งคิด เห็นจริงประจักษ์ในเหตุผลตามเทศนาของหลวงตาชื้น จึงมีสีหน้าสลดบอกความผิดหวัง

“กระผมมาพบดวงมณีหยาดฟ้า แต่ไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของ น่าเสียดายยิ่งนัก หลวงตาขอรับ”

แล้วต่างคนต่างนิ่ง หลวงตานิ่งเพราะพูดมากเหนื่อยจนจะเสียดท้อง หมอสุริยันนิ่งเพราะจนปัญญาจะอ้อนวอน หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์นิ่ง เพราะไม่กล้าแสดงความคิดเห็นใดๆนอกจากหมอเถาซึ่งรินน้ำชาปรนนิบัติถวาย

จนหายเสียด หลวงตาชื้นจึงเอ่ยขึ้นเพราะสงสารหน้าตาซื่อๆของหมอสุริยัน “อย่าเอาเป็นเรื่องเล่าเรียนศึกษากันเลย มีปัญหาโหราศาสตร์ก็คุยสู่กันฟังตามประสานักโหราศาสตร์ด้วยกัน ถ้าฟังสิ่งใดเป็นความรู้เกิดประโยชน์แก่คุณ ก็จงเก็บขอดชายผ้าเอาไปเถิด ถ้าสิ่งใดเห็นว่าไร้ประโยชน์ก็จงทิ้งไว้ที่ชานระเบียงนี้ แล้วลืมเสีย”

หมอสุริยันหน้าชื่นมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง เพราะยังมีหวังจะได้ความรู้จากหลวงตาผู้เป็นเอก

“ผมคงเป็นคนโง่สำหรับวิชาโหราศาสตร์เพราะเรื่องง่ายแต่รู้ยากและยิ่งเรียนมากก็ยิ่งรู้น้อย ผมจะแก้ไขอย่างไรดีขอรับ”

“เออน่ะ ถามยังกะข้อสอบนักธรรมสนามหลวง” หลวงตาหัวเราะชอบใจ จึงหันไปทางศิษย์ทั้งสามเพื่อให้ร่วมวงสนทนาด้วย “เอ้า ใครมีปัญญาตอบปัญหาของหมอสุริยันได้มั่งล่ะ”

ครูก้อนและครูสมศักดิ์ ได้แต่มองหน้ากันเองนิ่ง แต่คนขี้เท่อกว่าเพื่อนคือหมอเถากลับยิ้มแย้มทำท่าเหมือนรู้คำตอบ หลวงตาจึงพยักหน้า

หมอเถาโพล่งตอบตามที่คิดไว้ “เมื่อเรียนง่ายรู้ยากก็เปลี่ยนมาเรียน แบบเรียนยากรู้ง่ายเสีย และเรียนมากรู้น้อย ก็จงมาเรียนในทางที่เรียนน้อยรู้มาก ซีคะรับ”

ครูก้อนหัวเราะกิ๊ก “เอ้า…เจอไม้ป่าเดียวกันเข้าแล้ว”

หลวงตาชื้นก็พลอยหัวเราะตามไปด้วย “เออแน่ะ พอวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวงทีไร หมอเถามันช่างฉลาดหลักแหลมตอบถูกใจจริงๆ”

ครูสมศักดิ์สอดขึ้นบ้าง “ดวงหมอเถาไม่พระจันทร์กุมลัคน์ก็ต้องจันทร์เป็นตนุเศษเป็นแน่”

ครูก้อนกระทุ้งต่อ “ม่ายก็เป็นผีดิบฝรั่ง พอเดือนหงายก็มีฤทธิ์อาละวาด”

หมอสุริยันมิได้พลอยหัวเราะไปด้วย เพราะสะกิดในคำตอบของหมอเถาเป็นปริศนาน่าคิด “ขอโทษเถอะพ่อหมอ อยากจะขอคำอธิบายสักหน่อย นึกว่าเอาบุญเถิด”

หมอเถาอึกอักเห็นชัด เพราะคำที่โพล่งออกไปนั้นตั้งใจจะล้อหมอสุริยันเล่นเป็นการสนุกตามนิสัยของตน จึงมิได้คิดลึกซึ้งถึงคำตอบอะไรไว้เลย ถ้าจะต้องตอบก็ต้องขยายขี้เท่อให้อายเขาแน่ ครั้นจะไม่ตอบก็อาย ครั้นสบนัยน์ตากับหลวงตาชื้น ปัญญาไวก็เกิดแวบขึ้นทันที

“หลวงตาโปรดอธิบายเถอะครับ ผมพูดจาไม่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องราว จะพูดให้เข้าใจได้ยากและไม่ถนัด”

หลวงตามองสบนัยน์ตาปรอยๆของหมอเถาก็เดาถูกว่าหมอเถาสิ้นคิดจนมุมเข้าแล้ว จึงรับเอาเป็นภาระแก้หน้าศิษย์ไว้โดยเป็นผู้อธิบายเสียเอง

“ที่ว่า เรียนง่ายรู้ยาก นั้น ก็เพราะเรียนโหราศาสตร์ผิวเผินโดยใช้ทางอื่นๆเป็นหลักเช่นใช้ภูมิพยากรณ์ทักษาเป็นหลักใหญ่ จึงเรียนง่ายแต่จะแตกฉานรู้ลึกซึ้งได้ยาก และที่หมอเถาว่า เรียนยากรู้ง่ายก็คือต้องเรียนทางดวงดาว ความหมายของดาว ชีวิตจิตใจของดาว และพฤติกรรมระหว่างดาวต่อดาวและความหมายอันซับซ้อนของภพ ของเรือนผสม เรือนซึ่งเป็นทางที่เรียนยากแต่เมื่อเรียนรู้แล้วจะเกิดความรู้แตกฉานได้ง่าย ส่วนที่ว่า เรียนมากแต่รู้น้อย นั้น มักเกิดกับผู้ที่เรียนโหราศาสตร์โดยไม่มีครูบาอาจารย์โดยตรง พบใครเข้าเขาแนะนำอย่างไรก็จดจำไว้ พบหนังสือตำรับตำราว่าอย่างไรดีก็จดจำเข้าไว้ ยิ่งมากเล่ม มากคนแนะ แทนที่จะมากความรู้ กลับรู้น้อยลงเพราะความรู้ที่ได้มามักจะไม่สอดคล้องหรือต่อเติมเสริมส่งซึ่งกันและกันได้ ซ้ำร้ายบางครั้งก็ขัดแย้งกันจนผู้เรียนรู้เกิดความสงสัย ตัดสินใจไม่ได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด จึงกลายเป็นเรียนมากรู้น้อย ส่วนทางที่ เรียนน้อยรู้มาก ก็คือจับเรียนทางพยากรณ์กับครูบาอาจารย์ที่ท่านชำนิชำนาญแล้ว ซึ่งท่านกลั่นกรองเหลือไว้แต่กฎเกณฑ์ที่ใช้ได้ผลมาแล้ว และเป็นหลักเกณฑ์ที่ผสมผสานต่อเนื่องกันได้ ตั้งแต่ต้นจนปลายเป็นวงกลมใช้ได้รอบตัวไม่ติดขัด เป็นหลักเกณฑ์ข้อที่ เรียนน้อยแต่รู้มาก เกิดผลได้จริงจัง”

หมอสุริยันเป็นคนฉลาด จึงเข้าใจแจ่มแจ้งเห็นจริง เขายกมือไหว้ท่วมหัว “เจ้าพระคุณหลวงตาเทศน์โปรดสัตว์ให้พ้นขุมนรกอบายแห่งความโง่โดยแท้”

ครูสมศักดิ์ซึ่งเล่นทางภูมิพยากรณ์ทักษาจนติด เหมือนถูกแทงใจดำ จึงกระเถิบเข้ามายกมือไหว้หลวงตา

“เป็นจริงกับตัวผมมาทุกประการขอรับ แต่ผมยังมีข้อสงสัยอยู่ในเรื่องทักษา มีท่านอาจารย์หลายท่านที่ใช้ทักษาพยากรณ์ได้แม่นยำ และแตกฉานอยู่มากท่าน”

“นั่นปะไรไม๊ล่ะ” หลวงตาตบเข่าหัวเราะชอบใจ “ครูสมศักดิ์เขาเล่นทักษาอยู่มาก เขาออกรับเข้าแล้ว”

ครูสมศักดิ์เกรงหลวงตาชื้นเข้าใจผิด รีบก้มลงกราบจนตัวงอ “มิได้ขอรับ ผมมิได้คัดค้านความเห็นของหลวงตาหามิได้ เมื่อศิษย์สงสัยก็ย่อมจะเรียนถามอาจารย์เป็นธรรมดา ขอรับ”

“อ้ายโรคปากหวานนี้มันติดต่อจากหมอเถา ครูก้อนมารวดเร็วจริงๆ” หลวงตาจุดบุหรี่สูบอารมณ์ดี “ฟังให้ดี อาตมาพูดว่าทักษานั้นเรียนง่ายแต่รู้ยากมิใช่หมายถึงจะไม่รู้แตกฉานเสียเลย หมายแต่เพียงว่าเป็นเรื่องรู้ง่ายสำหรับผู้เริ่มเรียนเริ่มรู้ และก็เห็นแล้วว่าอาตมาก็ใช้ทักษาอยู่เสมอมามิใช่ว่าเป็นของเลวไร้ผลหรอก แต่ว่าผู้ใช้จะต้องมีความช่ำชองเฉพาะในทางของตนเองโดยเฉพาะ เพราะทางเล่นทักษานั้นหลิกแพลงได้หลายแบบ เช่นทักษาจรทางที่เล่นกันส่วนมากก็คือเมื่อนับอายุย่างจากภูมิวันเกิดมาแล้ว เมื่อถึงภูมิอิสานซึ่งเป็นภูมิอาทิตย์ก็จะวกเข้าภูมิตกกลางที่พระเกตุครองอยู่ ว่ากันตามตำราเก่าที่เขียนว่า ให้นับแต่นั้นมา เวียนลงขวาทักษิณวัตร์ ถึงอีสานลัดเข้าไป ภูมิในแต้มตากลาง ล่วงออกทางบูรพา และเมื่ออายุจรล่วงเข้าภูมิตากลางก็ถือเอาพฤหัสเป็นบริวารจรและเสาร์เป็นกาฬกินี นี่เป็นทางที่เล่นกันส่วนมากทั่วๆไป

แต่บางอาจารย์ท่านก็มีแบบอย่างของท่านพิสดารผิดแผกออกไปมาก คือท่านนับอายุย่างจากภูมิวันเกิดไปเมื่อถึงภูมิกาฬกิณีเดิมจะเป็นภูมิใดไม่สำคัญท่านจะลัดเข้าภูมิตากลางตรงนั้นและถือเอาภูมิคู่ธาตุของวันเกิดเดิมเป็นบริวารจร เช่น เกิดวันพุธ เมื่ออายุจรตกตากลางก็ คือ เอาศุกร์เป็นบริวารจรในปีนั้นและถือเอาราหูเป็นกาฬกิณีจร ซึ่งท่านใช้พยากรณ์แม่นยำ มีชื่อเสียงโด่งดัง แม้แต่โหรเองก็ยังยกย่องนับถือท่านทั่วประเทศมาหลายปี ท่านผู้นั้นก็คือ พระเดชพระคุณเจ้าสมเด็จพระสังฆราชวัดสระเกศซึ่งชาวบ้านแต่ก่อนเรียกท่านว่าเจ้าคุณวัดสระเกศ ใครล่ะไปกล้าชี้ว่าของท่านผิด และผู้ที่ใช้แบบอย่างทักษาของท่านอีกผู้หนึ่งจนโด่งดัง ก็ยังมีอีกท่านหนึ่งคือ อาจารย์ฮกในกรุงเทพฯ

หลวงตาชื้นอธิบายยืดยาว ทั้งเหนื่อยและคอแห้ง จนเผลอตัวหยิบมะยมในจานข้างหน้าจะใส่ปาก พอนึกได้ก็ขว้างผลุงนึกกระดากเพราะเหลือบตาเห็นหมอเถาและสองครูอมยิ้ม

ครูสมศักดิ์นั่งตะลึงนึกในใจว่าพระภิกษุชรารูปนี้ดูท่าทางของท่านงุ่มง่ามคร่ำครึ แต่สติปัญญานั้นล้ำเลิศเพริศแพร้วดังดวงแก้วผิดสังขารอันชราทั้งยังมีความทรงจำรอบรู้สารพัดสิ่งเสวนาครั้งใดได้แต่ความรู้หลั่งไหลออกมาไม่รู้หมดสิ้น บางครั้งท่านเหมือนระฆัง ยิ่งเคาะก็ยิ่งดังกังวาล

หลวงตาชื้นดื่มน้ำชาแก้คอแห้งติดๆกันถึง 3 ถ้วย กระแอมให้คอโล่งแล้วก็เริ่มเล่าต่อ

“เรื่องทักษานั้นวิจิตรพิศดารอีกมากมายนักขืนเล่าให้จบก็คงหมดลมหายใจเสียก่อน อยากจะชักตัวอย่างอุทาหรณ์ให้ฟังสักเรื่อง”

หมอเถายิ้มยิงฟันขาว กระเถิบเข้ามาจนชิด “หลวงตาจะเล่านิทานหรือคะรับ”

“บ๊ะ หมอเถาเหมือนทารก ชอบฟังนิทาน เรื่องจริงๆว่ะ” หลวงตาชื้นนิ่งคิดลำดับความทรงจำเก่าๆที่ล่วงเลยมานมนานแล้ว “เมื่อตอนอาตมายังอยู่ในกรุงเทพฯตอนหนุ่มๆสัก 40 ปี มาแล้วเห็นจะได้ ตอนนั้นในหลวงรัชกาลที่ๆ ท่านยังเสวยราชย์อยู่ด้วยบุญญาธิการทรงได้ช้างเผือกน้อยมาเชือกหนึ่ง และได้บำรุงเลี้ยงไว้เป็นช้างมงคลพระราชทานนามว่าพระยาเศวตคชเดชดิลก เกิดป่วยยืนเซื่องซึมไม่กินหญ้ากินน้ำ จนกระทั่งล่วงเข้าวันสามอาการก็ยังทรงอยู่ ทั้งไม่ถ่ายมูตร์ ถ่ายคูตร์ หมอช้างควาญช้างช่วยกันป้อนยาถ่าย มีส้มมะขามเปียกคลุกเกลือปั้นโตเท่ากำปั้น อาการก็มิได้ทุเลาขึ้นจนล่วงวันไปอีกอาการก็ทรุดลงเป็นอ่อนเพลียซวดเซ ตอนนั้นราชการท่านตั้งกรมสัตว์ขึ้นแล้ว มีหมอสัตว์ที่เรียนสำเร็จเมืองนอกรับราชการอยู่หลายคนทั้งยังมีหมอฝรั่งที่ปรึกษาด้วยทางกรมวังติดต่อขอความช่วยเหลือให้มารักษาพระยาเศวตฯช้างหลวง หมอที่รักษาครั้งกระนั้น ขณะนี้ก็ยังเป็นใหญ่เป็นโตอยู่ท่านหนึ่ง ทั้งหมอไทยหมอฝรั่งที่ฉีดยาวางยาสารพัด อาการพระยาเศวตฯก็ยังไม่ดีขึ้นไม่กินไม่ถ่ายอยู่เช่นเดิม อีกหลายวันต่อมายิ่งอ่อนเพลียทำท่าจะล้า ขณะนั้นราษฎรต่างเล่าลือกันทั้งพระนคร มีผู้สงสารพากันหอบกล้วยอ้อยไปเยี่ยมดูอาการพระยาเศวตฯกันล้นหลามมากมาย เมื่อหมอหมดปัญญาจะรักษาก็ได้แต่รอวันล้มอย่างสิ้นหวัง วันสุดท้ายควาญหนุ่มประจำพระยาเศวตฯก็จูงชายแก่ผู้หนึ่งเข้าพบกรมวังแจ้วง่าเป็นบิดา ซึ่งเดินทางมาจากจังหวัดแพร่มาเยี่ยมบุตรชาย รับอาสาจะรักษาพระยาเศวตฯ เจ้าลูกชายอ้างว่าพ่อของตนเป็นชาวกุ่ย มีอาชีพโพนช้างป่าขายมาหลายชั่วอายุคนตั้งแต่ปู่ย่าตายาย จนใครๆยกย่องพ่อเป็นครูบา เมื่อแรกกรมวังท่านลังเล ไม่แน่ใจ เพราะเกรงว่าวางยาผิดจะทำให้พระยาเศวตฯล้วเร็วยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาครูบาพ่อเจ้าควาญรับรองว่าจะรักษาโดยไม่ต้องใช้หยูกยาเลยทั้งสิ้นจึงตกลง”

“ท่านครูบาเฒ่า รีบมาโรงช้างตั้งพิธีบวงสรวงพร้อมด้วยบัดพลีสังเวยตามที่เคยปฏิบัติมาทั้งสาธยายมนต์บูชาครูและเทวดาผู้พิทักษ์รักษาสถานที่เสร็จแล้วก็เข้าด้านหน้าลูบไล้ไปตั้งแต่งวงจนถึงหน้า พูดแต่คำปลอบโยนอ่อนหวาน ขณะนั้นพระยาเศวตฯได้แต่ยืนนิ่งหลับตาน้ำตาไหลเป็นทาง ครูบาลูบไล้ไปตลอดกายปากก็ท่องมนต์ตามความเชื่อมั่นของตนจนกระทั่งถึงท้ายช้างจึงก้าวเหยียบแท่นสองเท้าขึ้นยืนเสมอระดับทวารของพระยาเศวตฯ พิธีการรักษาแบบชาวป่าที่ทำกันมาแต่สมัยโบราณก็เริ่มขึ้นโดยไม่มีใครคิดถึง ท่านครูบาบรรจงใช้มือล้วงลงไปทางทวาหนัก จนสุดแขนควานคลำหาสิ่งที่ประสงค์จนได้ค่อยๆคลี่คลายออกมาทีละน้อยๆเป็นกากหญ้าเส้นยาวๆที่ไม่ย่อยและพันกันกอดเป็นก้อนกลมขนาดเท่าลูกมะพร้าวในกระเพาะอุจจาระ จนไปอุดทางลำไส้ทวารหนักทำให้ถ่ายคูตร์มิได้ ค่อยๆคลี่ดึงออกมาหลายครั้งหลายหนจนหมดก้อน คูตร์ประดังออกมาจนเปื้อนครูบาไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อหมดมูลเหตุสำคัญล่วงมาอีก 3 วัน อาการป่วยของพระยาเศวตฯก็เป็นปกติ ครูบาพ่อเจ้าควาญช้างได้รับปูนบำเหน็จไปเป็นอันมาก”

หลวงตาชื้นย้ำท้ายด้วยคำว่า “สิบรู้ฤาจะเท่า ชำนาญกิจ

เสียงกองเพลดังขึ้น เป็นสัญญาณจบการสนทนากันแต่เพียงนั้น หมอสุริยันก้มกราบสามลาเหมือนกราบพระพุทธและลาจากไปด้วยความประทับใจเป็นที่สุดในชีวิต.



#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์