ยามกาลชะตา
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
[3 กรกฎาคม พ.ศ.2543]
ร้านกาแฟเจ้าโก หลังตลาดสด เป็นร้านใหญ่ร้านเดียวในตัวจังหยวัดที่มีขาประจำมากที่สุดตั้งแต่เช้าจดสาย คอกาแฟจะแน่นขนัดทุกวันไม่ขาดและเพราะรสมือกาแฟดีนี่แหละเลื่อนฐานะเจ้าโกตั้งแต่อยู่ห้องแถวไม้เก่าๆชั้นเดียว จนขณะนี้เป็นตึก2 คูหา เลื่อนฐานันดรตั้งแต่อ้ายโกมาเป็นเจ้าโก-เถ้าแก่โก อีไม่ช้าไม่นานก็คงเป็นเจ้าสัวโก
เช้าวันนี้คอกาแฟก็คงแน่นมาตั้งแต่เช้า พอตกสายแดดจัดก็ค่อยเบาบางลง แต่โต๊ะสุดมุมห้องชายผู้ล่วงเข้าปัจฉิมวัยผู้หนึ่งซึ่งน่งมาแต่เช้าจนบัดนี้เหลืออยู่คนเดียวในร้าน สายตาคอยจับจ้องอยุ่ต้นทางที่มาจากตลาด ผลุดลุกผลุดนั่งกิริยากระสับยกระส่วยจนเห็นได้ชัด
ตัวเถ้าแก่เจ้าโก ซึ่งเป็นที่รุ้จักกันทั้งจังหวัดว่าจะใส่เสื้อปีละ 2 ครั้ง คือตรุษจีนและชิ๊ดว่วยปั่วสราทจีนเท่านั้น แก่แร่มาที่โต๊ะแขกคนสุดท้าย ทำทีปัดกวาดเช็ดถูกึ่งไล่ชายที่นั่งอยู่ในที เพราะเห็นว่านั่งมาแต่เช้า ครั้นเห็นผู้นั่นนั่งท่าเฉยเมยไม่รู้เท่าทันในท่าที ก็ถามเอาซึ่งหน้า
“อานายหมอเถา สั่งอะไรกินอีกซี นั่งเฉยๆก็ไม่ลี”
“อุบ๊ะ…” ผมชักถอนฉิวนิสัยเห็นแก่เงินของเจ้าโกซึ่งรู้นิสัยมานมนาน “อั้วไม่ได้นั่งเฉยๆหรอกว๊ะ สั่งมากินจนแก้วเกลื่อนโต๊ะแล้ว 8-9 แก้วได้กระมัง อิ่มจนจะล้นคอหอย”
ผมสะกดใจท่องพุทโธ ธัมโม สังโฆ เสียหลายจบเพื่อกลั้นโมโห “คนๆเดียวสั่งกาแฟกินถึง 3ถ้วย มันก็เหลือกินอยู่แล้ว เจ้าโกเคยเห็นเร๊อะ
“ช่าย…ไม่เคยเห็น แล้วคนขอน้ำชาเปล่ากิน 6 ถ้วย หมอเถาเคยเห็นไม๊”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ผมโมโหจนลืมตัวท่องคาถาเสียงดังเต็มเสียง
“อ๊ะ หมอเถา ลื้อท่องคาถาช่งอั๊วเร๊อะ” เจ้าโกชี้นิ้วสั่น
ผมลุกขึ้นยืนทันที ไม่ได้คิดจะวางมวยหรืออะไรหรอก ชักอายเพราะเสียเจ้าโกดังลั่นลูกจ้างในร้านก็เกร่ล้อมเข้ามาฟังเรื่องหลายคนตัดใจยอมนิ่งเป็นพระเข้าไว้ ควักสตางค์ค่ากาแฟ 3 ถ้วยโยนลงบนโต๊ะพรวดพราดออกจากร้านเจ้าโก
เพราะไม่ไว้ใจโมโหของตัวเอง หรือไม่ก็กลัวโมโหของเจ้าโกจะพากันเจ็บเนื้อเจ็บตัวลงฝ่ายหนึ่ง พอพ้นหน้าร้านเลี้ยวมุมตึกแถว อารมณ์รีบร้อนเพราะโทสะยั้งไม่ทันชนโครมเข้ากับคนที่เดินออกจากมุมตึกมาเช่นกัน เสียหลักขมำจนต้องผวากอดคนถูกชนเอาไว้กันหกล้ม “บ๊ะ…หมอเถา” คนถูกชนจำได้ทักขึ้น
“บ๊ะ…ครูก้อน” ผมชักเคือง “ถ้ารู้ว่าเป็นครูแต่แรกฉันปล่อยให้หกล้มเด็ด ไม่ประคองเอาไว้หรอก”
“ช๊ะ ๆ หมอเถา แกกอดฉันเพราะตัวแกเองจะล้มกลื้งโค่โร่ไปหรอก มาตีผีปากเอาบุญคุณ” ผมเห็นเสียเปรียบก็เลยคร้านจะต่อล้อต่อเถียง แล้วต่อว่า “ครูนัดให้ฉันมาคอยร้านกาแฟเจ้าโกแต่เช้า ยังไงกันพ่อคุณถึงเพิ่งมาเอาป่านนี้ เกือบเสียผู้เสียคนไปแล้ว” “มันจำเป็น มีเรื่องจำเป็นจริงๆ” ครูแก้ตัวอ้อมแอ้ม ชูดอกไม้ธูปเทียนในมือให้ดู “มัวไปซื้อดอกบัวในตลาด” “เฮ่ย…ไม่จริงละ” ผมขัดคอ “ร้านดอกไม้มันอยู่หน้าตลาดแค่นี้ต่อให้เป็นพระยาน้อยชมตลาดเสีย 3 รอบมันก็ไม่เสียเวลาถึงยังงี้” ครูก้อนถูกรุกจนมุมก็แย้มๆควมจริง “แม่ค้าดอกบัวผัวเขาหึงเพราะฉัน ถึงกับลงมือลงไม้ตบตีกัน ฉันเลยเสียเวลาชี้แจงแก้ความเข้าใจผิด กว่าจะเชื่อเสียเวลาไปนาน” ผมตกใจร้อง “อ๊ะ ครูไปเจ้าชู้กับเมียเขาอีท่าไหนถึงเกิดเรื่องได้ เคราะห์ดีถ้าเขาลงไม้ลงมือกะครูลงยุ่งกันใหญ่” “ปัดโธ่ แลั้วกันหมอเถา อย่าเดาให้ฉันเสียผู้เสียคนซี ฟังเรื่องให้มนจบเสียก่อน ใครจะบ้าไปทำอย่างนั้น” “แล้วเรื่องมันยังไง ถึงต้องมาเกี่ยวกะครูเรื่องหึงเรื่องหวง” ครูก้อนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ทำท่ากระดากๆที่จะเล่าให้ฟัง “เมื่อเช้าแวะไปซื้อดอกบัวและธูปเทียนร้านแม่ยี่สุ่น แกไม่เอาสตางค์ กลับเชิญเข้านั่งในร้านเอาดวงมาให้ดู เพราะหมู่นี้ค้าขายไม่ดีเลย ฉันก็ทายเขาไปว่าเขาจะโชคดีสองชั้น อีก 3-4 เดือนจะค้าขายคล่องได้เงินได้ทอง แล้วก็จะได้บุตรไว้ชื่นชมอีกคน เท่านั้นแหละเจ้าผัวที่นั่งฟังอยู่ด้วยลุกขึ้น ฮึดฮัด หาว่าแม่ยี่สุ่นริคบชู้สู่ชายแน่ เถียงกันคนละคำสองคำพอถึงขั้นด่าก็ถึงขั้นลงมือกันเลยทีเดียว ฉันตกตะลึงนึกไม่ถึง” “นั่นซี…ครูทายเท่านั้นก็ไม่เห็นมันจะเสียหายตรงไหน” “เสียหายซีหมอเถาเอ๋ย สองคนผัวเมียนี้มีลูก 4 คนเข้าไปแล้ว เจ้าผัวมันบอกว่าไปผ่าตัดทำหมันที่กรุงเทพฯมาร่วมปี ถ้าเมียมันมีลูกขึ้นมา มันจะอะไรเสียอีก คำทำนายของฉันนั่นเองก่อเหตุ” “โธ่เอ๋ย ครู” ผมปลงอนิจัง “มันช่างเคราะห์กรรมของครูแท้ๆ ไปหาหลวงตาวันนี้ขอน้ำมนต์ท่านรดเสียมั่งก็จะดี ฉันก็จะรดด้วย หมู่นี้ดวงชะตาทางโหราศาสตร์ของเราสองคนมันช่างตกต่ำเสียจริง”
ครูก้อนคว้าข้อมือผม “ไปเถอะสายเต็มทีแล้ว วันนี้วันพฤหัสว่าจะขอเรียนดวงดาวจากหลวงตา ดอกไม้ธูปเทียนฉันก็เตรียมเผื่อหมอเถามาแล้ว เดี๋ยวจะเพลเสีย” ผมออกเดินตามมือครูที่จูงไป เดินตามกันต้อยเหมือนเด็กๆ เพิ่งจะพ้น
1o โมงเช้า มาได้ครู่เดียว ผมกับครูก้อนย่างขึ้นกุฎิหลวงตา มีแขกนั่งสนทนากับหลวงตาอยู่หลายคน จึงเลี่ยงมานั่งรออยู่หอฉันห่างๆพอได้ยินเรื่องที่สนทนากัน ได้ความว่าจะบวชลูกชายก่อนเข้าพรรษานี้ และจะมานิมนต์หลวงตาเห็นคู่สวด ส่วนอุปัชฌาย์ก็เป็นเจ้าอาวาสตามธรรมเนียม จนสิ้นเวลาพักใหญ่ แขกก็ลากลับแล้ว ผมกับครูก้อนถือดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปกราบหลวงตา
หลวงตาชื้นยิ้มรับอารมณ์ดี” เออ…หมอเถาและครูวันนี้มันอะไรกันถึงมีดอกไม้ธูปเทียนมาครบมือทั้งสองคน”
ครูก้อนเงยหน้าขึ้นมือยังพนม “วันนี้วันพฤหัส หลวงตาอนุญาตไว้จะสอนยามดวงดาวให้ขอรับ”
“บ๊ะ ! มันรวดเร็วทันใจดีจริง พูดอยู่เมื่อวานหยกๆเออก็ดีเหมือนกันวันนี้ก็เหมาะ ข้างขึ้น 1o ค่ำ เวลาก็ดีตะวันยังไม่คล้อย เอ้าประเคนดอกไม้มา” ผมกับครูก้อนคลานเข้าใกล้ สองมือประคองดอกไม้ธูปเทียน นอบน้อมถวายพร้อมกันทั้งสองคน หลวงตาเอื้อมทั้งสองมือมาจับไว้แน่นพึมพำพอได้ยินถนัด “พุทธังประสิทธิ์ ธัมมังประสิทธิ์ สังฆังประสิทธิ์ ข้าขอประสิทธิ์วิชาโหรแก่เจ้าทั้งสอง ขออำนาจพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จงบันดาลให้วิชาที่เจ้าเรียนรู้จงจำเริญรุ่งเรืองในทางสุจริตคิดชอบ” หลวงตารับดอกไม้ธูปเทียนบูชาครูเอาขึ้นวางไว้บนที่บูชาพระแล้วก็ย้อนถามถึงเรื่องเมื่อวาน “เรื่องเจ้าหนูบุญเกื้อ ที่สั่งให้ไปทำเมื่อวานได้ความว่าอย่างไรหมอเถา”
“เรียบร้อยคะรับหลวงตา” ผมตอบ “คุณนาย นายอำเภอท่านดีใจใหญ่ เพราะไม่มีเด็กมานาน ไม่รังเกียจที่จะรับไว้เป็นลูก แต่ตอนนี้จะรับฝากไว้ก่อน อีก 2-3 วันจะพอมาให้หลวงตาผูกข้อมือมอบให้เป็นบุตร จะได้เป็นสิริมงคลแก่เด็กและเขา”
“หมดเรื่องหนักอกไปเสียที” หลวงตาชื้นถอนหายใจยาวโล่งอก “ลืมดูดวงตัวเอง เกือบเสียท่านังแม่มัน แต่ดู ๆ ก็น่าสงสารหรอก คนมันสิ้นคิดสิ้นทาง มันก็ต้องเอาตัวรอด” หลวงตาท่านพูดจบก็หันไปคว้ากระดานโหรมาขีดดวงและวางดาวประจำวันเมื่อวานนี้ ยื่นมาให้ดูตรงหน้า “ครูกะหมอเห็นอะไรมั่ง” หลวงตาชื้นร้องทักถาม
“เห็นแต่ดวงกับดาวครับ หลวงตา” ผมตอบซื่อๆ แถมโง่ด้วย “และไม่มีลัคนา”
“บ๊ะ ก็มันจะมีลัคนาได้ยังไง มันไม่ใช่ดวงคนมันเป็นดวงยามประจำวันนั้นๆ” หลวงตาว่า
ครูก้อนก็คงสงสัยเช่นเดียวกับผมจึงซัก“ ถ้าไม่มีลัคนาแล้วจะทายภพทายเรือนเขาอย่างไรล่ะขอรับ เพราะความหมายดีชั่วมันก็อยู่ตรงภพตรงเรือนนั่นแหละ”
ฟังให้ดีพ่อสองแก่ ฟังเจ้าแก่ที่สามคืออาตมาจะสอนให้ อย่าเพิ่งสงสัยเลอะเทอะ” หลวงตาพูดกลั้วหัวเราะ “ลัคนาน่ะต้องมี แต่แบบนี้เขาเรียกว่า กาลชะตาทางจันทรคติ อีกสายหนึ่งเขาเรียกกาลชะตาทางสุริยคติ คือวางดวงดาวประจำวันแล้วก็วางลัคนาแบบผูกดวงชะตาบุคคลตามเวลาที่ประสงค์จะรู้ ทำนายทายทักตามความหมายของดาวของเรือนที่ปรากฏ แต่กาลชะตาทางจันทรคตินี้ท่านใช้ดวงจันทร์เป็นหลัก”
ทั้งผมทั้งครูก้อนนิ่งฟังตอนสำคัญจนเกือบจะลืมหายใจ แต่เห็นหลวงตาท่านกลังนิ่งเสียไปจุดบุหรี่สูบ ก็อดซักไม่ได้”””หลวงตาหมายถึงว่าต้องหาลัคนาจากจันทร์เหมือนหาลัคนาจากอาทิตย์ เช่นนั้นหรือขอรับ”
ไม่ใช่เช่นนั้น การหาลัคนาจากดวงจันทร์อย่างอาทิตย์ไม่ได้ผิดหลัก เพราะอันโตนาทีที่ลัคนาเดินไปทุกราศีนั้น โบราณท่านวางไว้จากฉายาของอาทิตย์ ดวงจันทร์เดินเร็วกว่าอาทิตย์มากใช้กันไม่ได้”
ทั้งผมทั้งครูก้อนถอนใจพรืดพร้อมกันอย่างผิดหวัง ทั้งโง่ทั้งมือมนเหมือนเดินเข้าถ้ำ “พูดถึงลัคนาวางจากจันทร์” หลวงตาพูดตึกตรองเหมือนรำลึกถึงความทรงจำแต่หนหลัง “เคยได้ยินทานเจ้าคุณใหญ่เมื่อตอนมีชีวิตอย่านพูดถึงอยู่เหมือนกันว่า เขาใช้กับฤกษ์ แต่อาตมาไม่ทันได้เรียนไว้ เพราะท่านมรณภาพเสียก่อน”
“ถ้าวางลัคนาจากจันทร์ไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไรล่ะครับ” “ถ้าวางไม่ได้หรือวางยากก็อย่างวางมันเสียเลย” หลวงตาสรุปง่าย ๆ ทั้งผมและครูก้อนร้อง อ้าว…เหมือนนัดกัน
“บ๊ะ ร้องยังกะค่างถูกยิง” หลวงตาหัวร่อชอบอกชอบใจ แล้วท่านก็พูดเน้นเสียงหนักๆ “กาลชะตาแบบจันทรคตินี้ เขาใช้จันทร์นั่นและเป็นตัวลัคนา” ผมยกมือพนมท่วมหัวเคารพด้วยจริงใจ “ตอนนี้มองเห็นโล่งเทียวครับ”
“โล่งยังไงหมอเถา” ครูก้อนค้านคิ้วขมวดยังสงสัยไม่สิ้น “มีลัคนาแล้วจะทายเขาอย่างไรกัน ดาวมันสิบดวงยังภพอีก 12 เรือนนา หมอเถานา”
“เออ จริงซี” ผมเห็นจริง ความรู้สึกสับสนวุ่นวาย เดี๋ยวโง่เดี๋ยวฉลาดมันเปลี่ยนวุบวับจนตั้งสติไม่ถูก ได้แต่เหลียวมองหน้าครูก้อน แล้วก็มองหน้าหลวงตา แววตาละห้อย หลวงตาดูเหมือนจะมองแววตาของผมออกว่า อยากให้อธิบาย “ก็ใช้ยามจับเอาซี มันยามตกดาวอะไรก็จับตัวนั้นขึ้นทายเขาตามความหมายของดาวและเรือนที่สถิตอยู่” ขณะที่ผมยังงง ๆ ให้นึกอิจฉาครูก้อนเสียจริง ดูหน้าตาแกยิ้มย่องผ่องใส แสดงว่าเข้าอกเข้าใจดี “อย่างเช่นดวงนี้เป็นวันพุธ แม่เจ้าหนูบุญเกื้อเขามาเมื่อบ่าย โมงเศษ” ครูก้อนสาธยายคล่องแคล่ว นับยาม “พุทธะ จันเทา เสารี ครู ภุมมะ สุริชะ ตกยามศุกร์ ศุกร์เป็นมรณะกับจันทร์ เป็นเรื่องรักร้างแตกแยก แต่เอ๊ะ..หลวงตา ขอรับ เป็นมรณะกับจันทร์หรือลัคนานี้ จะเป็นเรื่องเจ็บป่วยหรือเข้าของหายก็เป็นได้กระมัง ขอรับ”
“เออ ครูเป็นคนฉลาดดี เข้าใจซัก” หลวงตาชมเชยจริงใจ ฟังให้ดี ศุกร์นี้ถ้าจะแปลอย่างพระ ก็แปลว่า “สุข” คือเครื่องให้ความสุขในโลกียะทั้งหลาย มันก็คือความรักความสนุกสนาน ทรัพย์สมบัติ ศุกร์ในดวงนี้มันมรณะอยู่เรือนอังคาร และอังคารเจ้าเรือนครองภพปุตตะมันเป็นเรื่องคนไม่ใช่สิ่งของ” “จริงขอรับ หลวงตา” ครูก้อนตรวจดาวดูเห็นจริง “ถ้าจะอ่านถึงว่าเลิกร้างและต้องจากบุตรก็ยังได้ เพราะดาวมันบ่งชัด”
“เรื่องความหมายของดาวตัวยามและภพเจ้าเรือนต้องอ่านให้ดี” หลวงตาชื้นย้ำอีก “ตกอาทิตย์ก็มักเป็นเรื่องยศ ตำแหน่งงานหน้าที่งาน ตกยามจันทร์มักเป็นการเดินทาง ยามอังคารก็จะเป็นเรื่องเจ็บป่วยหนักๆ ตกยามพุธก็เป็นเรื่องข่าวคราวการนัดหมายเพื่อฝูง ตกพฤหัสก็เป็นเรื่องที่พึ่งที่อุปถัมภ์ การศึกษาคดีความ ตกยามศุกร์ก็เป็นเรื่องความรักทรัพย์สมบัติ ตกยามเสาร์เป็นเรื่องการทำมาเลี้ยงชีพ หรือเจ็บป่วยเรื้อรัง ตกยามราหูเป็นเรื่องถูกลักถูกขโมยถูกข่มเหงกดขี่ ครองภพใดจากจันทร์ก็เอาความหมายดีชั่วตามภพผสมดาวทายเขา”
ผมลองนับยามตามดูก็นึกเอะใจ “หลวงตาตรับ ตัวราหูไม่มีในยามจะนับถึงราหูได้อย่างครับ แล้วเวลาตกยามจันทร์ก็เป็นตนุทุกทีเพราะเป็นลัคนา จะอ่านทายเขาอย่างไรครับ”
“เออแน่…วันนี้หมอเถาฉลาดคมคายจริง” หลวงตาหัวร่อเอิ๊กชอบใจ “ฉลาดอย่างนี้มันน่าจะสอนให้ ถ้าตกยามจันทร์ ก็เอาเจ้าเรือนที่จันทร์ครองนั่นแหละเป็นตัวทายตกภพใดกับจันทร์ก็ทายเขาไป ถ้าจันทร์ตกเรือนราหู ก็นั่นแหละยามราหุละ หมอเถาเอ๋ย”
ทั้งผมและครูก้อนมองเห็นชัดยังกะภาพในกระจก หมดข้อเคลือบแคลงสงสัยใดๆอีกจึงก้มลงกราบทั้งสองคน “เอ้าลองดูยามวันนี้ก็ได้” หลวงตาชื้นชักสนุกครึ้มใจ “ดวงยามวันนี้มันก็ดวงเดิมนั่นแหละ เพราะจันทร์และดาวอื่นยังไม่ยก เมื่อตอนหมอเถากะครูมา ดวงยามว่าอย่างไร ลองซ้อน ๆ ดูทีรึ”ผมกะครูช่วยกันนับยามที่มา “ผมมากันเมื่อ 1oโมงเศษ” วันนี้วันพฤหัสตกยามที่ 3 คือยามอาทิตย์ อาทิตย์ครองภพศุภะแก่จันทร์ ก็จริงอีกแหละครับ ผมสองคนมาขอเรียนวิชา”
“ดาวมันมีหลายดวง ทำไมอ่านแต่อาทิตย์ดวงเดียว” หลวงตาให้สติ
ผมกะครูก้อนจ้องดูทั้งพุธและเสาร์ที่ร่วมอาทิตย์ นึกหาคำพยากรณ์อย่างไรก็นึกไม่ถูกท่า ยอมสารภาพความโง่ของตัวเอง ”อ่านไม่ถูกครับ หลวงตา”
“อ้าวก็ดูซี เอาเสาร์ก่อน เสาร์มันแปลว่าเก่าแต่มันเป็นเจ้าเรือนปุตตะที่แปลว่าใหม่ มันจะประกอบเรื่องว่าอย่างไรเล่า”
“มันทั้งเก่าทั้งใหม่ผมเลยแปลไม่ออใหญ่” ผมส่ายหน้าหมดหวัง
“อุบ๊ะ…หัดคิดเสียมั่งวี” เสียงหลวงตาตำหนิ “แปลว่าวิชาเก่ามาเรียนกันใหม่ก็ได้ หรือแปลว่าลูกศิษย์เก่ามาเรียนใหม่ก็ได้ มันแปลได้ทั้งนั้น”
“ปัดโธ่หลวงตาชี้แล้วจึงนึกออก” ครูก้อนตบเข่าเองฉาดและตุกออกไปคบอด “ตัวพุธรวมกับอาทิตย์ก็แปลว่าการศึกษาและพุธกับเสาร์ก็คู่สมพล ก็แปลว่าวิชานี้เคยมีผลโด่งดังมาแล้ว” หลวงตาพนักหน้ายิ้มชอบอกชอบใจ ส่วนผมก็คงอย่างว่าคือโง่กว่าครูก้อนเช่นเคย ตามเพื่อนไม่ทัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่สิ้นสงสัย “ไหน ๆ ครูก้อนก็เข้าใจแตกฉานแล้ว ช่วยอธิบายหน่อยเถอะเมื่อตัวยามคืออาทิตย์ ตกศุภะเรือนศุกร์นั้น ศุกร์เจ้าเรือนครองภพมรณะมันหมายความว่าอย่างไรอีก” ครูก้อนจ้องมองกระดานโหรนิ่งอั้นไปพักใหญ่ ผลสุดท้ายก็ส่ายหน้าหันไปหาหลวงตา “ต้องรบกวนหลวงตาอธิบายอีกครั้งเถอะขอรับ”
“มรณะมันก็คือมรณะนั่นแหละ แปลว่าวิชาที่เรียนนี้มันตายมาแล้วหรือมันนานมาแล้วน่ะ”ซี” เสียงกองเพลท้ายวัดตีตุมๆ บอกเวลาฉัน และเณรชั้วที่มายืนรีรออยู่ข้างๆ ทั้งผมและครูก้อนเกรงใจ ก็เลยถือโอกาสบอกลาทั้งสองคน แต่ก่อนจะลุกถอยออกมา หลวงตายืดมือที่กราบไว้บอกว่า “เรื่องยามกาลชะตาทางจันทรคตินี้ อย่าไปหลงระเริงใช้พร่ำเพรื่อ จงใช้เมื่อยากจะรู้จริง ๆ หรือเข้าวงอับวงราจึงจะได้ผลดี มิฉะนั้นจะไขว้เขวหมด”
#บทความหมอเถา (วัลย์) #บทความโหราศาสตร์ #โหราศาสตร์ #ดาราศาสตร์