เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 2 )

(..เนื่องจากกระทู้เดิมมีความยาวมาก ทำให้โหลดได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่สองครับ)

ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแต่ละท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น อาจมีความแตกต่างกันทั้ง ทัศนคติ ภูมิความรู้ ประสบการณ์ และวัยวุฒิ จึงอาจมีข้อผิดพลาดบ้างในการแสดงข้อความ จึงประสงค์ที่จะเห็นทุกท่านเปิดใจให้กว้าง ไม่จับความผิดเล็กๆน้อยๆที่จะมีอยู่เสมอ ทั้งในถ้อยคำ หรือ ความรู้ มีความสุภาพ จริงใจ ไม่แสดงถ้อยคำลบหลู่เสียดสีผู้หนึ่งผู้ใค หรือวิชาของผู้ใด ขอให้พึงแสวงจุดร่วมในความคิดเห็น และสงวนจุดต่าง ที่อาจจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง ลดอัตตาตัวตนลง มีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งของจิต เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเกิดความเศร้าหมอง ท่านใดที่เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏในกระทู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ ก็สามารถออกไปตั้งกระทู้ใหม่เองได้ตามที่ท่านเห็นสมควร


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ช่วงที่ราหูยกเข้าราศีมีนใหม่ๆ มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างใหญ่โต ว่าจะมีเรื่องต่างๆที่เลวร้ายเกิดขึ้นตลอดปีนี้ โดยเฉพาะช่วง 2 – 3 วันแรก กลัวกันถึงกับไม่กล้าทำอะไร อันที่จริงก็มีผู้รู้บางคนออกมาบอกว่าไม่เป็นอะไร รวมถึง พระสงฆ์องค์เจ้าหลายรูป ท่านก็ออกมาเตือนว่าอย่าเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่หมอดูกุข่าวขึ้นมา แต่คำเตือนหรือความเห็นทางที่ดีนั้นไม่เป็นข่าวใหญ่ ก็เพราะสื่อมวลชนอยากขายข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี รวมทั้งหมอดูก็ชอบทายทางร้าย เพราะเหตูการณ์ร้ายนั้น ผลทางจิตวิทยา จะ ประทับใจคนมากกว่าข่าวดี ทำให้รู้สึกว่าทายแม่น

อันที่จริง บ้านเมืองเราก็มีทั้งร้ายและดีมาแต่ละปีทุกปี ไม่ว่าจะเป็นปี ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง หรือดาวอะไรยก ก็ยกมาแล้วทุกดวง ทุกราศี หมอดูบางท่านก็ทายโดยยกเหตุผลประกอบได้ดีพอสมควร แต่บางท่านก็โมเมตามเขาไป ประชาชนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่เชื่อ ไปกราบไหว้ราหูก็มีมาก แต่ที่มีมากกว่าคือไม่เชื่อ กับ เฉยๆ นักเรียนโหรในเว็บต่างๆก็เห็นมีถามกันให้ขวักไขว่ไปหมดว่า ราหูเข้าราศีมีนแล้วจะเป็นอย่างไร

อยากให้ข้อคิดจากข่าวนี้อยู่สองสามอย่าง แม้จะเสี่ยงจากคนมาด่าบ้างก็ต้องลองดู เรื่องแรกคือการใช้ “ดวงเมืองกรุงเทพฯ” มาทำนายบ้านเมืองทุกครั้ง เกิดจากหมอดูชื่อดังหลายท่านเอามาใช้ ท่านอื่นๆ รวมทั้งนักเรียนโหรอย่างเราๆ เห็นผู้ใหญ่ใช้ เราก็ใช้บ้าง เพราะไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เรื่องนี้เคยมีการถกเถียงกันมามากแล้ว สมัยสมาคมโหรยังเฟื่องอยู่ ว่า การนำเอาดวงเมืองมาใช้ทำนายบ้านเมืองในลักษณะนี้ไม่ค่อยถูก.......

ข้อแรก.....วัตถุประสงค์ของการวางดวงเมือง มีหลายอย่าง อย่างแรกคือความคงอยู่ถาวรของสถาบันหลัก อย่างที่สอง คือความอยู่ถาวรของความเป็นชาติ รวมทั้งศาสนาด้วย อย่างที่สามจึงจะเป็นความคงอยู่ถาวรของเมือง และยังมีอะไรแฝงลึกอยู่อีกมาก

เพื่อให้บรรลุความประสงค์ที่กล่าวนี้ โหรโบราณท่านจึงนำทุกศาสตร์มาใช้ เพื่อสถาปนาดวงเมือง ศาสตร์สำคัญที่ใช้ คือ พุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ เราจะเข้าใจดวงเมืองได้ดี ต้องวิเคราะห์ลงไปทั้งสามศาสตร์ .....ซึ่งคงจะเอามาบอกทั้งหมดได้ยาก แต่อยากจะเน้นในแง่ไสยศาสตร์ ที่ดวงเมืองนั้น ไม่ใช่ดวงชะตาปกติ แต่เป็นเหมือน เลขยันตร์ของโบราณ ที่แม้เราดูเสมือนเป็นดวงชะตาทางโหราศาสตร์ธรรมดา แต่ดวงชะตานี้ผ่านการดำเนินการตามตำหรับโบราณมาแล้ว กลายเป็นดวงพิเศษ เรียกว่า “ดวงชะตาฤกษ์”

ดวงชะตานี้ ไม่ใด้ทำไว้รับปฏิกิริยาจากดาวจร เหมือนดวงชะตาทั่วไป แต่ธาตุในดวงชะตามีความสัมพันธ์ รวมเป็นโครงสร้างทางธาตุไว้เป็นกลุ่มดาว เป็นอุบายสำคัญในการสร้างดวงเมือง ดังนั้น ที่พวกเรามาผูกดวงเมืองภายหลัง แล้วมาเพิ่มดาวต่างๆที่คำนวณได้ เช่น มฤตยู เนปจูน พลูโต ต่างๆลงไปด้วยนั้น ถูกเพียงในแง่การผูก “ดวงกำเนิดเหตุการณ์” แต่ไม่ถูกในแง่โครงสร้างเดิมที่ปรากฏในดวงเมืองที่เป็น “ดวงชะตาฤกษ์” การนำดวงกำเนิดเหตุการณ์มาทำนายเป็นหลักแทนดวงชะตาฤกษ์ ที่จงใจสร้างขึ้น มีผลอ่อน โดยเฉพาะโครงสร้างของธาตุดาวในดวงเมือง ถูกสร้างให้เป็นลักษณะเกื้อ***ลสัมพันธ์กันแน่น เหมือนเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งชิ้นเดียว โดยกรรมวิธีทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ เหมือนกับการสร้าง “พระเครื่องราง” ที่ประกอบจากผงมวลสารหลายชนิดมาผสมอัดแน่นรวมกัน ถึงตอนนี้ ธาตุดาวไม่ได้อยู่เป็นเอกเทศแต่ละดวง ให้พิจารณาแยกกันได้ว่า ดาวจรจะไปทำปฏิกิริยาต่อมวลสารชนิดใด เพียงชนิดเดียว ดังนั้น การพิจารณาผลของดาวจร ต่อดาวในดวงเมืองที่สร้างอย่างถูกต้อง จึงไม่ใช่พิจารณาง่ายๆเพียงจุดเดียว หรือเรือนเดียว หรือพิจารณาแบบดวงชะตาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาโดยอาศัยความรู้ชั้นสูง กับดวงชะตาทั้งดวง เหมือนพิจารณาดูวัตถุโบราณทั้งชิ้น

ข้อสอง.....ดวงเมืองไม่ใช่ดวงชะตากำเนิดของเมือง แต่เป็นดวงชะตาที่เกิดจาก “ฤกษ์” และโบราณก็ไม่ได้วางอาถรรพ์ให้ครอบคลุมทุกเรื่องของประเทศเหมือนอย่างดวงชะตาคน แม้อยากจะวางเช่นนั้น ก็ทำไม่ได้ เพราะระบบธาตุนั้นแตกต่างกัน .แม้จะนำดวงเมืองมาใช้ทำนายเช่นดวงชะตาปกติ ก็จะไปกำหนดให้ครอบคลุมบุคคล หรือเรื่องราวทั่วๆไปในประเทศไม่ได้ ดวงเมืองเป็นดวงพิเศษ หากจะเกิดเรื่องไม่ดี ดาวจรหลายดวง จะต้องทำปฏิกิริยาต่อดวงทั้งดวง และจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ๆ ชนิดเสียเมือง หรือความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงชนิดพลิกแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องปลีกย่อยธรรมดา เช่น เมื่อตอนราหูยกเข้าราศีกันย์ คราวที่แล้ว ก็มีผู้วิจารณ์ว่า ราหูจรไปเล็งดาวศุกร์เดิม จะทำให้คนวงการบันเทิง อักษรย่อชื่อนั้น ชื่อนี้จะตาย พอมีดารานักร้องตายก็ว่าทายแม่น ถึงอักษรไม่ตรง ก็ว่านามสกุลมีอักษรนั้นอยู่ ชื่อ นามสกุลคน มีอักษรตั้งเยอะก็จะมีถูกเข้าบ้าง และคนวงการบันเทิง เสริมสวย ศิลปะ ดารามีตั้งหลายแสนคน คนที่ตายเป็นตัวประกอบก็มี และยังทำอาชีพอื่นอยู่ด้วย ปีที่ผ่านๆมา ราหูไม่ได้ทับ เล็งศุกร์ ก็มีดาราตายเยอะกว่าเสียอีก ตายเพราะประมาทขับรถเร็วก็มี

ข้อสาม......ชะตาเมือง ไม่ได้มีเพียงดวงชะตาดวงใดดวงหนึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทน แต่ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับหลายดวงชะตา เช่น ดวงผู้นำประเทศ และบุคคลสำคัญ ดวงชะตาศูนย์รวมสำคัญทางศาสนา และสถาบันอื่นๆ เช่น รัฐสภา ทหาร และวัฒนธรรม การดูดวงเมืองแล้วเอามาทำนายง่ายๆแบบนี้ ดูเหมือนใช้วิชาโหรง่ายเกินไป เหมือนที่บางคนไปมองว่า เสาหลักเมือง คือ ดวงชะตาเมือง เป็นหลักของเมือง การย้ายเมืองหลวง จะเป็นการสูญเสียชะตาเมือง ถ้าเช่นนั้น สมัยโบราณ ไม่ต้องยกทัพใหญ่ไปตีเมืองไหนให้เสียเวลา แค่ส่งคนไปทำลายเสาหลักเมือง ก็ยึดเมืองได้แล้ว

ข้อสุดท้าย......ดวงเมืองเดิมเกิดขึ้นตอนราหูอยู่ในราศีมีน เป็นวินาสน์ลัคนาที่ราศีเมษ ถ้าราหูจรเข้ามีน แล้วไม่ดี ดวงเดิมก็ไม่ดีด้วย ถ้าจะดูแบบดวงธรรมดา ก็ไม่น่าวิตก เมื่อราหูจรเข้าวินาสน์ แม้จะทับ พุธศุกร์ ก็เพียงแต่จะมีเรื่องวุ่นวายมากหน่อยเท่านั้น การพิจารณาราหูจร โดยเลี่ยงไปคิดเอาดวงผู้นำประเทศมาเป็นหลัก ก็เท่ากับบอกว่า ดวงผู้นำสำคัญกว่าดวงเมือง ถ้าเข่นนั้นจะเอาดวงเมืองมาพิจารณาเพื่อประโยชน์อะไร หันไปดูดวงผู้นำประเทศน่าจะมีเหตุผลมากกว่า และที่สำคัญที่สุดอยากจะถามว่า รู้ได้อย่างไรว่า ลัคนาดวงชะตาประเทศไทยอยู่ในราศีเมษ ??????

ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละ เลือกคนดีชะตาก็ดี เลือกคนเลว บ้านเมืองก็ตกต่ำ กรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดวิบากคือผลแห่งกรรม.....เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าดวงเมือง หรือดวงคน


วรกุล - 29 มีนาคม พ.ศ.2548 17:02น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
no. 1 (81981) วรกุล 29-03-2005 17:02:15



ช่วงที่ราหูยกเข้าราศีมีนใหม่ๆ มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อย่างใหญ่โต ว่าจะมีเรื่องต่างๆที่เลวร้ายเกิดขึ้นตลอดปีนี้ โดยเฉพาะช่วง 2 – 3 วันแรก กลัวกันถึงกับไม่กล้าทำอะไร อันที่จริงก็มีผู้รู้บางคนออกมาบอกว่าไม่เป็นอะไร รวมถึง พระสงฆ์องค์เจ้าหลายรูป ท่านก็ออกมาเตือนว่าอย่าเชื่อเรื่องเหลวไหลไร้สาระที่หมอดูกุข่าวขึ้นมา แต่คำเตือนหรือความเห็นทางที่ดีนั้นไม่เป็นข่าวใหญ่ ก็เพราะสื่อมวลชนอยากขายข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี รวมทั้งหมอดูก็ชอบทายทางร้าย เพราะเหตูการณ์ร้ายนั้น ผลทางจิตวิทยา จะ ประทับใจคนมากกว่าข่าวดี ทำให้รู้สึกว่าทายแม่น

อันที่จริง บ้านเมืองเราก็มีทั้งร้ายและดีมาแต่ละปีทุกปี ไม่ว่าจะเป็นปี ชวด ฉลู ขาล เถาะ มะโรง มะเส็ง หรือดาวอะไรยก ก็ยกมาแล้วทุกดวง ทุกราศี หมอดูบางท่านก็ทายโดยยกเหตุผลประกอบได้ดีพอสมควร แต่บางท่านก็โมเมตามเขาไป ประชาชนนั้นไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ที่เชื่อ ไปกราบไหว้ราหูก็มีมาก แต่ที่มีมากกว่าคือไม่เชื่อ กับ เฉยๆ นักเรียนโหรในเว็บต่างๆก็เห็นมีถามกันให้ขวักไขว่ไปหมดว่า ราหูเข้าราศีมีนแล้วจะเป็นอย่างไร

อยากให้ข้อคิดจากข่าวนี้อยู่สองสามอย่าง แม้จะเสี่ยงจากคนมาด่าบ้างก็ต้องลองดู เรื่องแรกคือการใช้ “ดวงเมืองกรุงเทพฯ” มาทำนายบ้านเมืองทุกครั้ง เกิดจากหมอดูชื่อดังหลายท่านเอามาใช้ ท่านอื่นๆ รวมทั้งนักเรียนโหรอย่างเราๆ เห็นผู้ใหญ่ใช้ เราก็ใช้บ้าง เพราะไม่รู้ว่าถูกหรือผิด เรื่องนี้เคยมีการถกเถียงกันมามากแล้ว สมัยสมาคมโหรยังเฟื่องอยู่ ว่า การนำเอาดวงเมืองมาใช้ทำนายบ้านเมืองในลักษณะนี้ไม่ค่อยถูก.......

ข้อแรก.....วัตถุประสงค์ของการวางดวงเมือง มีหลายอย่าง อย่างแรกคือความคงอยู่ถาวรของสถาบันหลัก อย่างที่สอง คือความอยู่ถาวรของความเป็นชาติ รวมทั้งศาสนาด้วย อย่างที่สามจึงจะเป็นความคงอยู่ถาวรของเมือง และยังมีอะไรแฝงลึกอยู่อีกมาก

เพื่อให้บรรลุความประสงค์ที่กล่าวนี้ โหรโบราณท่านจึงนำทุกศาสตร์มาใช้ เพื่อสถาปนาดวงเมือง ศาสตร์สำคัญที่ใช้ คือ พุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ เราจะเข้าใจดวงเมืองได้ดี ต้องวิเคราะห์ลงไปทั้งสามศาสตร์ .....ซึ่งคงจะเอามาบอกทั้งหมดได้ยาก แต่อยากจะเน้นในแง่ไสยศาสตร์ ที่ดวงเมืองนั้น ไม่ใช่ดวงชะตาปกติ แต่เป็นเหมือน เลขยันตร์ของโบราณ ที่แม้เราดูเสมือนเป็นดวงชะตาทางโหราศาสตร์ธรรมดา แต่ดวงชะตานี้ผ่านการดำเนินการตามตำหรับโบราณมาแล้ว กลายเป็นดวงพิเศษ เรียกว่า “ดวงชะตาฤกษ์”

ดวงชะตานี้ ไม่ใด้ทำไว้รับปฏิกิริยาจากดาวจร เหมือนดวงชะตาทั่วไป แต่ธาตุในดวงชะตามีความสัมพันธ์ รวมเป็นโครงสร้างทางธาตุไว้เป็นกลุ่มดาว เป็นอุบายสำคัญในการสร้างดวงเมือง ดังนั้น ที่พวกเรามาผูกดวงเมืองภายหลัง แล้วมาเพิ่มดาวต่างๆที่คำนวณได้ เช่น มฤตยู เนปจูน พลูโต ต่างๆลงไปด้วยนั้น ถูกเพียงในแง่การผูก “ดวงกำเนิดเหตุการณ์” แต่ไม่ถูกในแง่โครงสร้างเดิมที่ปรากฏในดวงเมืองที่เป็น “ดวงชะตาฤกษ์” การนำดวงกำเนิดเหตุการณ์มาทำนายเป็นหลักแทนดวงชะตาฤกษ์ ที่จงใจสร้างขึ้น มีผลอ่อน โดยเฉพาะโครงสร้างของธาตุดาวในดวงเมือง ถูกสร้างให้เป็นลักษณะเกื้อ***ลสัมพันธ์กันแน่น เหมือนเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งชิ้นเดียว โดยกรรมวิธีทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ เหมือนกับการสร้าง “พระเครื่องราง” ที่ประกอบจากผงมวลสารหลายชนิดมาผสมอัดแน่นรวมกัน ถึงตอนนี้ ธาตุดาวไม่ได้อยู่เป็นเอกเทศแต่ละดวง ให้พิจารณาแยกกันได้ว่า ดาวจรจะไปทำปฏิกิริยาต่อมวลสารชนิดใด เพียงชนิดเดียว ดังนั้น การพิจารณาผลของดาวจร ต่อดาวในดวงเมืองที่สร้างอย่างถูกต้อง จึงไม่ใช่พิจารณาง่ายๆเพียงจุดเดียว หรือเรือนเดียว หรือพิจารณาแบบดวงชะตาทั่วไป แต่ต้องพิจารณาโดยอาศัยความรู้ชั้นสูง กับดวงชะตาทั้งดวง เหมือนพิจารณาดูวัตถุโบราณทั้งชิ้น

ข้อสอง.....ดวงเมืองไม่ใช่ดวงชะตากำเนิดของเมือง แต่เป็นดวงชะตาที่เกิดจาก “ฤกษ์” และโบราณก็ไม่ได้วางอาถรรพ์ให้ครอบคลุมทุกเรื่องของประเทศเหมือนอย่างดวงชะตาคน แม้อยากจะวางเช่นนั้น ก็ทำไม่ได้ เพราะระบบธาตุนั้นแตกต่างกัน .แม้จะนำดวงเมืองมาใช้ทำนายเช่นดวงชะตาปกติ ก็จะไปกำหนดให้ครอบคลุมบุคคล หรือเรื่องราวทั่วๆไปในประเทศไม่ได้ ดวงเมืองเป็นดวงพิเศษ หากจะเกิดเรื่องไม่ดี ดาวจรหลายดวง จะต้องทำปฏิกิริยาต่อดวงทั้งดวง และจะเกิดเป็นเรื่องใหญ่ๆ ชนิดเสียเมือง หรือความเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงชนิดพลิกแผ่นดิน ไม่ใช่เรื่องปลีกย่อยธรรมดา เช่น เมื่อตอนราหูยกเข้าราศีกันย์ คราวที่แล้ว ก็มีผู้วิจารณ์ว่า ราหูจรไปเล็งดาวศุกร์เดิม จะทำให้คนวงการบันเทิง อักษรย่อชื่อนั้น ชื่อนี้จะตาย พอมีดารานักร้องตายก็ว่าทายแม่น ถึงอักษรไม่ตรง ก็ว่านามสกุลมีอักษรนั้นอยู่ ชื่อ นามสกุลคน มีอักษรตั้งเยอะก็จะมีถูกเข้าบ้าง และคนวงการบันเทิง เสริมสวย ศิลปะ ดารามีตั้งหลายแสนคน คนที่ตายเป็นตัวประกอบก็มี และยังทำอาชีพอื่นอยู่ด้วย ปีที่ผ่านๆมา ราหูไม่ได้ทับ เล็งศุกร์ ก็มีดาราตายเยอะกว่าเสียอีก ตายเพราะประมาทขับรถเร็วก็มี

ข้อสาม......ชะตาเมือง ไม่ได้มีเพียงดวงชะตาดวงใดดวงหนึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เป็นตัวแทน แต่ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับหลายดวงชะตา เช่น ดวงผู้นำประเทศ และบุคคลสำคัญ ดวงชะตาศูนย์รวมสำคัญทางศาสนา และสถาบันอื่นๆ เช่น รัฐสภา ทหาร และวัฒนธรรม การดูดวงเมืองแล้วเอามาทำนายง่ายๆแบบนี้ ดูเหมือนใช้วิชาโหรง่ายเกินไป เหมือนที่บางคนไปมองว่า เสาหลักเมือง คือ ดวงชะตาเมือง เป็นหลักของเมือง การย้ายเมืองหลวง จะเป็นการสูญเสียชะตาเมือง ถ้าเช่นนั้น สมัยโบราณ ไม่ต้องยกทัพใหญ่ไปตีเมืองไหนให้เสียเวลา แค่ส่งคนไปทำลายเสาหลักเมือง ก็ยึดเมืองได้แล้ว

ข้อสุดท้าย......ดวงเมืองเดิมเกิดขึ้นตอนราหูอยู่ในราศีมีน เป็นวินาสน์ลัคนาที่ราศีเมษ ถ้าราหูจรเข้ามีน แล้วไม่ดี ดวงเดิมก็ไม่ดีด้วย ถ้าจะดูแบบดวงธรรมดา ก็ไม่น่าวิตก เมื่อราหูจรเข้าวินาสน์ แม้จะทับ พุธศุกร์ ก็เพียงแต่จะมีเรื่องวุ่นวายมากหน่อยเท่านั้น การพิจารณาราหูจร โดยเลี่ยงไปคิดเอาดวงผู้นำประเทศมาเป็นหลัก ก็เท่ากับบอกว่า ดวงผู้นำสำคัญกว่าดวงเมือง ถ้าเข่นนั้นจะเอาดวงเมืองมาพิจารณาเพื่อประโยชน์อะไร หันไปดูดวงผู้นำประเทศน่าจะมีเหตุผลมากกว่า และที่สำคัญที่สุดอยากจะถามว่า รู้ได้อย่างไรว่า ลัคนาดวงชะตาประเทศไทยอยู่ในราศีเมษ ??????

ชะตาเมืองขึ้นอยู่กับพวกเรานี่แหละ เลือกคนดีชะตาก็ดี เลือกคนเลว บ้านเมืองก็ตกต่ำ กรรมมีส่วนสำคัญในการกำหนดวิบากคือผลแห่งกรรม.....เหมือนกันทั้งนั้น ไม่ว่าดวงเมือง หรือดวงคน


webmaster แก้ไขตัวอักษร - 1 เมษายน พ.ศ.2548 01:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
ไม่ได้แวะมานาน นานๆจะได้เห็นได้อ่านบทความความคิดเห็นดีดีทางโหราศาสตร์สักที ซึ่งเดี๊ยวนี้แทบหาอ่านไม่ได้ ต้องขอขอบคุณสำหรับบทความดีดีที่ได้มีการสนทนาให้เป็นความรู้แก่คนที่อยากรู้เรื่องโหราศาสตร์ไทยเรา ซึ่งนับวันก็ถอยหลังเข้าคลองไปแทบไม่มีใครได้เห็นแล้ว อยากให้มีการสนทนาเรื่องของมหาทักษา ซึ่งบทความความรู้ด้านนี้คงแทบหาศึกษาไม่ได้แล้วในปัจจุบันนี้


ทองคำ - 1 เมษายน พ.ศ.2548 14:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบ 3 คุณทองคำ.......ขอบพระคุณที่ท่านอ่านครับ ผมเองไม่มีเวลาส่วนตัวมากนัก และยังต้องช่วยเว็บอื่นในการเขียน และตอบปัญหาวิชาการเรื่องอื่นๆ จึงไม่คิดว่าจะเขียนบทความโหราศาสตร์ที่ดีดีได้ ส่วนเรื่องมหาทักษาคงจะต้องเขียนแทรกไปเรื่อยๆก่อนครับ

ขออนุญาตตั้งข้อสังเกตนามแฝงของท่าน “ทองคำ” มาจากภาษาอังกฤษว่า “gold” หรือ ภาษากรีก ว่า “aurum” ย่อได้ว่า “a r ” กลับเป็นภาษาไทยว่า “ อ. ร.” จึงอยากให้ท่าน “ทองคำ” ช่วยเชิญท่านอาจารย์ “อารี สวัสดี ” มาเขียนบทความทาง โหราศาสตร์ – ดาราศาสตร์ ให้เป็นวิทยาทานแก่ นักเรียนในเว็บแห่งนี้ เชื่อว่าจะได้บทความความรู้ที่ดีๆ เป็นบุญของผู้อ่าน มากกว่าบทความของผมครับ


วรกุล - 2 เมษายน พ.ศ.2548 03:59น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอนที่แล้ว เล่าถึงดวงเมืองกรุงเทพฯ ที่โบราณผูกไว้ตามแบบฉบับดวงเมือง คือเป็นดวงชะตาฤกษ์ และทำพิธีทั้งทาง พุทธศาสตร์ โหราศาสตร์ และไสยศาสตร์ นั้น ไม่ได้มาชักจูงให้เชื่อตาม แต่การศึกษาค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์ เราต้องพยายามศึกษาถึงความคิด และวิธีการของคนโบราณเสียก่อนว่าทำไปทำไม มีเหตุผลอะไร เมื่อรู้เหตุผลความคิดแล้ว เราจึงสามารถเข้าไปศึกษา หรือเปลี่ยนแปลงใดๆได้ ไม่ใช่เกี่ยวกับความเชื่อ หรือ ไม่เชื่อ........นี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง และเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ ที่เขาใช้กันในทางโบราณคดี

สมัยก่อนการเรียนโหราศาสตร์ เวลาผูกดวงชะตา หรือคำนวณพระคัมภีร์สุริยาตร์ ไม่ได้ใช้กระดาษ แม้จะมีกระดาษใช้นานแล้ว นักเรียนต้องเรียนด้วยกระดานชะนวน เขียนด้วยดินสอชะนวน ทั้งนี้ก็เพราะว่าโบราณท่านถือว่าดวงชะตาเป็นครู วิชาโหรก็เป็นครู ตัวเลข ตัวหนังสือก็เป็นครู เขาจะไม่เดินข้ามหรือเหยียบย่ำ หากเขียนในกระดาษก็ต้องฉีกทิ้ง หรือเผาไฟ ท่านไม่ทำเพราะถือ หากจะเขียนเก็บไว้ ก็ต้องจารไว้ในแผ่นทองหรือ แผ่นเงิน การเขียนในกระดานชะนวน หรือกระดาน ด้วยชอล์ค เวลาลบ ก็ลบด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆเท่านั้น คนไทยหลายคนคงจะมีพระเครื่องแขวนคอ เพื่อคุ้มครอง เป็น พุทธานุสติ หรือบางคนก็อาจสักยันต์เอาไว้เพื่อความอยู่ยง คงกระพัน หรือ แคล้วคลาดปลอดภัย ทำนองเดียวกัน ดวงเมืองนั้น โบราณสร้างด้วยประโยชน์หลายอย่าง อย่างหนึ่งคือเพื่อประโยชน์ในทางคุ้มกันศัตรูที่อาจมารุกราน ดวงชะตาฤกษ์ที่ผูกโดยโหราศาสตร์นั้นเป็นตัวแทนของเมือง หรือตัวเจ้าชะตา พิธีกรรมทางพุทธศาสตร์ และไสยศาสตร์ ทำให้ดวงชะตาฤกษ์นั้น เป็นเครื่องรางคุ้มภัยของเมืองด้วย เหมือนเมืองมีพระเครื่องหรือสักยันตร์เอาไว้ เราจะเชื่อหรือไม่เชื่อเป็นเรื่องของเรา แต่การศึกษาความคิดของคนโบราณเช่นนี้จะทำให้เราเข้าใจถึงหลักวิชาโหราศาสตร์ดั้งเดิมได้ดีขึ้น เมื่อดูจากวิธีผูกดวง วางดาว และวางฤกษ์

ในดวงชะตาคน ดวงกำเนิดทางธรรมชาติ ก็มีลักษณะเช่นนั้นได้ หากธรรมชาติ วางดาว วางลัคนามา เป็นโครงสร้างที่ดี และมั่นคง เหมือนบ้านหลังหนึ่ง หากปลูกสร้างด้วย ปูนไม้เหล็กที่เป็นโครงแข็งแรง เมื่อถูกลมพายุ ย่อมพังยากกว่าบ้านที่ปลูกสร้างอย่างเปราะบาง ในดวงชะตาบุคคล กลุ่มดาวจตุโกณ หรือที่โบราณเรียกว่า เป็ น 1 4 7 และ 10 แก่ลัคนา มีทั้งดีและไม่ดี ไม่ดี หากเป็นดาวที่ร่วมกันเป็นคู่ศัตรูที่ขัดแย้งกัน ชีวิตมักแตกหัก ล่มสลาย ตกจากอำนาจ แต่จะดี หากดาวเป็นมิตรต่อกัน เรียกว่า “ดวงแข็ง” ซึ่งจะเป็นดวงที่มีความเข้มแข้งต่อการโจมตีของพายุ “สิ่งแวดล้อม” แต่จะเป็นแบบใด ขึ้นอยู่กับดาวและคุณสมบัติของดาว พวกดาวบาปเคราะห์จะให้ความอยู่ยงคงกระพัน ส่วนดาวศุภเคราะห์จะให้ความคุ้มครองแคล้วคลาด ถึงจะมีดาวไม่ครบ สี่ตำแหน่งก็ตาม แม้มีเหตุร้ายก็ไม่ถึงวิบัติ เช่น ถูกศัตรูทำร้ายก็รอดได้ หรือติดเชื้อโรค แล้วรักษาหาย ในขณะที่กลุ่มดาวตรีโกณ หรือ เป็น 1 5 9 หากเป็นดาวไม่ดี ก็อาจถูกซ้ำเติมเมื่อชะตาตกต่ำ แต่ก็ยังมีส่วนดีอยู่ เมื่อเป็นดาวกลุ่มให้คุณ ก็จะให้ความช่วยเหลือ เมื่อมีเหตุคับขัน เช่น เดือดร้อนเงิน แล้วมีคนช่วยหรือถูกลอตเตอรี่ ตกยากลำบากจะมีคนชี้ทางให้ หรือแม้บาดเจ็บก็มีคนพบ และนำส่งโรงพยาบาลได้ทันท่วงที ดังนั้น โหรบางท่านเวลาดูดวงแล้วเห็นรูปดาวแบบนี้ ก็มักจะทายว่า เมื่อถึงเวลาก็จะมีคนช่วยเอง แม้ขณะนี้จะมืดแปดด้านก็ตาม

รูปดาวแบบนี้ ถือเป็นดวงบารมี ขั้นต้นๆ ที่เราควรทราบไว้ บารมีเกิดจากการทำกรรมดีมาก่อน ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาเองฟรีๆ เช่น หากเราหมั่นช่วยเหลือคนอื่น ไม่เห็นแก่สิ่งตอบแทน เมื่อถึงเวลาคับขัน ก็จะมีคนมาช่วยเหลือเรา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร เพราะเวลาเราช่วยคนอื่น เท่ากับเราก่อโครงสร้าง “ความช่วยเหลือ” ที่มองไม่เห็นในดวงชะตา สะสมไว้กับชีวิตเรา เมื่อถึงเวลาที่เราต้องการความช่วยเหลือ โครงสร้างนั้นก็จะหมุนมา เป็นช่องดึงดูดให้ผู้คนอยากช่วยเหลือเรา นี่คือ กลไกกฎแห่งกรรม ที่โหราศาสตร์รู้มานานแล้ว หากโครงสร้างนี้ยังคงติดไปกับเราอยู่ ก็จะกลายเป็นบารมีให้เราในชาติหน้า และเห็นได้ในดวงชะตา เมื่อเวลาเราที่เราเกิดมา

เรามาลองดูเหตุผลในความมั่นคงที่เกิดจากรูปดาวแบบนี้ว่าเป็นเพราะอะไร ในดวงประเภทดาวเป็นจตุโกณ ทำให้ดาวมีกำลังเข้าร่วมกับลัคนา แต่ดาวแยกกันอยู่ ดังนั้นเมื่อมีดาวเป็นโทษโคจร เข้าโจมตีจุดใดจุดหนึ่ง ดาวในตำแหน่งอื่นๆ ก็ยังคงดำรงคงอยู่ค้ำจุนไว้ได้ หรือแม้จะถูกโจมตีทุกจุดพร้อมกัน แต่โอกาสที่จะรุนแรงพร้อมกันนั้นยาก และดาวในตำแหน่งนี้จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ดาวจรได้อย่างมีกำลัง ทำให้เป็นผลเหมือนอยู่ยงคงกระพัน และ แคล้วคลาด.......ส่วนดาวที่เป็นกลุ่มตรีโกณ หรือ โยค เป็นกลุ่มตรีโกณร่วมธาตุ ดังนั้น แม้มีเหตุโจมตี ธาตุจุดหนึ่งให้อ่อนลงไป เหมือนไฟดับ ดาวที่อยู่ในตรีโกณจะยังกระตุ้นธาตุให้แก่ดวงชะตาเป็นไฟสำรอง แต่จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของดาว และลัคนาเอง

ดังที่บอกแล้วว่า ทั้งรูปดาวกลุ่มจตุโกณ และตรีโกณ เป็นการคุ้มกันจากเหตุที่เป็น “สิ่งแวดล้อม” นอกตัวเจ้าชะตา แต่จะมีเหตุที่ป้องกันไม่ได้ ซึ่งจะเกิดจากกรรม และเจตนา คือการกระทำของเจ้าชะตานั่นเอง เหมือนคนแขวนพระหนังเหนียวเท่าไร แต่ไปกระโดดตึกฆ่าตัวตายเสียเอง พระเครื่องก็คุ้มกันไม่ได้........เหตุประเภทนี้เรียกว่าเหตุจาก “ตัวเจ้าชะตา” ซึ่งเกิดจากจุดเจ้าชะตาทั้งหลายถูกทำลาย จุดเจ้าชะตา เช่น ลัคนา ตนุลัคน์ ตนุเศษ อาทิตย์ จันทร์ เป็นต้น หากพื้นดวงไม่เข้มแข็ง เมื่อถูกดาวจรร้ายๆโจมตี จะทำให้เจ้าชะตาตัดสินใจผิด ควบคุมตนเองไม่ได้ หรือ ขาดเหตุผล เช่น ฆ่าตัวตาย ลาออกจากงาน หรือ เป็นโรคภัยที่เกิดจากอวัยวะภายในร่างกายเสียเอง ไม่ใช่เชื้อโรคจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เมื่อมีดาวให้โทษ เข้าโจมตีจุดเจ้าชะตา ต้องพึงระวังที่ตัวเจ้าชะตาเองเป็นสาเหตุใหญ่ ไม่ใช่เหตุจากภายนอก และโครงสร้างดาวบารมีก็ไม่คุ้มกันให้ หากโครงสร้างมาไม่ถึง


วรกุล - 2 เมษายน พ.ศ.2548 04:01น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
ขอบคุณอาจารย์วรกุล มากคะที่ให้ความรู้ หนูอ่านหน้าจอแล้วตาลาย พิมพ์มาอ่านแล้วคะ


moon - 2 เมษายน พ.ศ.2548 10:17น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
ขอบคุณ คุณวรกุลมากครับ ผมเองไม่อาจเรียนเชิญคุณอารี สวัสดิ์ มาได้เพราะผมไม่ได้อยู่ในแวดวงนักโหราศาสตร์ทั้งหลายและก็ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวเพียงได้ยินชื่อเสียงของท่านอยู่เท่านั้นเองครับ ผมเองเป็นเพียงแค่คนหลังเขาห่างไกลจากกลุ่มนักศึกษาโหราศาสตร์ทั่วไปผมเองใช้เนตในการสืบค้นข้อมูลที่เกี่ยวกับงานด้านหนังสือที่ผมทำอยู่ บังเอิญได้ผ่านมาเห็นบทความของคุณวรกุล ซึ่งอ่านแล้วก็ให้ประทับใจมาก ในความรู้และความเห็นที่ได้แสดงไว้ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการศึกษาโหราศาสตร์ไทยต่อไปในวันข้างหน้า ผมเองเริ่มศึกษาศาสตร์นี้เมื่ออายุสักราว สิบขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีความรู้มากมายอะไรลืมไปเสียก็มาก ความรู้ผมเองยังน้อย และก็ไม่ได้ยึดศาสตร์นี้เป็นอาชีพในการทำงานประสพการณ์ก็คงยิ่งน้อยลงไปอีก เพราะมีหน้าที่การงานอื่นๆอีกมากที่ต้องทำ เพียงแต่เวลาที่ผ่านมาได้บอกเรื่องราวต่างๆที่น่ารู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ให้ได้เข้าใจเพิ่มมากขึ้นในบางส่วนบางตอนเท่านั้นเอง อย่างไรเสียผมก็เป็นได้เพียงแค่นักศึกษาคนหนึ่งเท่านั้น

ประสพการณ์ที่ผ่านมาได้แสดงให้ผมเห็นถึงความเป็นจริงส่วนหนึ่งว่า สำหรับคนที่เริ่มศึกษาโหราศาสตร์แล้ว รากฐานความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์นี้มีส่วนสำคัญมากที่จะทำให้เกิดความเจริญงอกงามขึ้นในหลักวิชานี้ หลายคนปรารถนาเคล็ดลับต่างๆ ซึ่งหากเราเชื่อว่าโหราศาสตร์เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยความเป็นจริงจากธรรมชาติแล้ว เคล็ดลับเหล่านั้นอาจกลายเป็นเรื่องเบ็ดเตล็ดไป เคล็ดลับก็จะกลายเป็นเรื่องของความเป็นจริงที่จิตเราไม่อาจเข้าใจไม่อาจสัมผัสเพราะความหยาบเป็นเกณฑ์ครูอาจารย์ท่านแต่ก่อนจึงต้องให้ศิษย์ฝึกชำระจิตเป็นเบื้องต้นเสียก่อน อันนี้พูดถึงเคล็ดลับที่เป็นเคล็ดลับจริงซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง ไม่ใช่เคล็ดลับที่ตั้งอยู่บนสถิติหรือการสุ่ม

หากโหราศาสตร์กล่าวถึงความเป็นจริงในการแสดงออกให้ปรากฎ การศึกษาโดยตามหาตำราโหราศาสตร์เพื่อศึกษาอย่างเดียวจึงเป็นเรื่องที่แคบเกินไป และอาจหลงทางได้เพราะมติของผู้เขียนหนึ่ง และมติของผู้เรียนอีกหนึ่งที่เกิดจากอุปาทาน ทั้งนี้เพราะเหตุของรากฐานทางความคิดในการศึกษาที่ไม่สมบูรณ์ในแต่ละระดับ

รากฐานในการศึกษาแม้มีความสำคัญอย่างไร แต่สำหรับนักศึกษาในปัจจุบันคงเป็นการเนิ่นช้าที่ไม่ทันใจ ที่จะต้องคืบคลานไปอย่างช้าๆ ด้วยความระมัดระวัง ไม่หลงอยู่ในวังวนที่มีหลากหลายให้หลงไปดั่งเขาวงกตที่ไม่รู้ทางออกจนสิ้นลมท่านกลางการค้นหา.............ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นเล็กๆน้อยๆมาเพียงนี้..อู้งานมานานแล้วแม่บ้านเริ่มเหล่ๆแล้วครับ..ขอบคุณครับ


ทองคำ - 2 เมษายน พ.ศ.2548 18:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 8
เรียน คุณวรกุล

ในฐานะที่คุณวรกุลได้ศึกษาและอยู่ในวงการโหราศาสตร์มาอย่างยาวนาน มีประสบการณ์ในมุมมองของนักโหราศาสตร์ ผมมีความประสงค์อยากจะรู้ว่า ผู้ที่จะศึกษาวิชาโหราศาสตร์ให้ได้รับความก้าวหน้าและประสบกับความสำเร็จนั้น ควรมีคุณลักษณะประจำตัวอย่างไรบ้าง(เช่นหมอเส็ง วัดเลียบ)เพราะไม่ว่าจะเป็นการอ่านดวง และการให้คำแนะนำแก่ผู้มาดูดวงเพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ดังนั้นคุณลักษณะของผู้ที่ศึกษาโหราศาสตร์จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะบ่งบอกได้ความสำเร็จของวิชานี้ในอนาคต

ขอขอบคุณมากนะครับ


เสือ - 4 เมษายน พ.ศ.2548 14:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน ท่านอาจารย์วรกุล

หากเราต้องการที่จะเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ เราควรเริ่มต้นศึกษาอย่างไรคะ แล้วเราควรจะศึกษาเริ่มต้นด้วยวิชาอะไรก่อนดีคะ เช่นมีราศีจักร ทักษา มหาทักษา ฯลฯ เราควรจะเริ่มต้นเรียน และลำดับการเรียน อย่างไร จึงจะมีการปูพื้นฐานวิชาโหราศาสตร์ได้อย่างมีระบบ ขอรบกวนขอคำแนะนำเอาตามความคิดเห็นของอาจารย์นะคะ ขอขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้ามากๆคะ


หมูอ้วน - 4 เมษายน พ.ศ.2548 18:11น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 7 คุณทองคำ ประสบการณ์ของคนเราเป็นสิ่งมีค่ามากครับ ในการศึกษาโหราศาสตร์ มนุษย์เรามีความคิดสร้างสรรค์โหราศาสตร์ขึ้นมา ทุกเรื่องทุกประการ ก็ล้วนเป็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นจริงๆในชีวิตทั้งสิ้น แต่อายุคนเรานั้นสั้นเกินไป ความรู้บางอย่างกว่าจะเข้าใจซึ้งจริงๆ ว่าโหราศาสตร์ให้อะไรแก่เรา หรือตรงกับชีวิตจริงของเราอย่างไร ก็อายุมากแล้ว

เพราะเหตุนี้ ผมจึงอยากให้ผู้สนใจโหราศาสตร์มีพื้นฐานความคิดให้ตรงกับที่โบราณคิดเสียก่อน จึงจะต่อยอดได้ แต่จะถูก หรือไม่ถูก ใช่หรือ ไม่ใช่ ต้องปล่อยความเห็นให้เป็นอิสระ ไม่แน่ว่า ผู้ที่มาอ่านในที่นี้อาจจะเป็นผู้พัฒนาวิชานี้ต่อไปในภายหน้าก็ได้ และวันใดวันหนึ่ง เราอาจจะได้ความจริงจากธรรมชาติมากกว่าที่เป็นอยู่ ผมไม่คิดว่าตัวเองมีความรู้อะไรมากมายนัก บางอย่างอาจจะผิดก็ได้ ผู้อ่านที่เป็นคนฉลาดนั้นต้องฟังแล้วคิดให้เป็น รู้ว่าอะไรควรคิดอย่างไร ไปทางไหน อะไรควรทิ้ง ทิ้งเพราะอะไร เจตนารมณ์ของผมมีเพียงเท่านี้000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 8 คุณ เสือ โดยทั่วไป ดาวที่เป็นองคประกอบหลักของโหราศาสตร์คือ พุธ พฤหัส เกตุ มฤตยูนะครับ ดาว “สี่”ดวงนี้เป็นหลัก นักโหราศาสตร์อาจมีดาว “สอง”ดวงไหน ใน “สี่” ดวง ถึงลัคนา หรือตนุลัคน์ ก็จะเรียนโหราศาสตร์ได้เหมือนกัน แล้วแต่เป็นโหราศาสตร์ระบบไหนด้วย ซึ่งจะมีดาวอื่นๆเข้าไปประกอบร่วมได้อีกหลายดวง อันนั้นเป็น “องคประกอบทางดาว” แต่การที่คุณถามว่าจะประสบความสำเร็จ และมีความก้าวหน้าทางโหราศาสตร์ด้วยนั้น เราต้องพิจารณาด้วยว่าประสบความสำเร็จอย่างไรด้านไหน เพราะบางคนดีทางอาชีพโหร มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำนายเก่ง แต่ความรู้ไม่เท่าไร หรือบางคนอาจจะเก่งเรื่องหลักการทฤษฏีมากมาย แต่ไม่ได้ทำเป็นอาชีพ หรือบางทีทายจริงๆก็ทายไม่ออก ทายไม่ถูก อันนี้เป็นเรื่อง “โครงสร้างของดาว” วางเรียงตัว สัมพันธ์กันกับเรือนอย่างไร โดยเฉพาะเรือน กัมมะ ศุภะ สหัชชะ ปัตนิ

อย่างดวงชะตา หมอเส็ง ที่ผมเคยเล่าว่าท่านไม่ได้เรียนสูงอะไร จบแค่ ป 3 แต่ทำนายเก่ง โดยไม่ได้เรียนลึกซึ้งอะไร แต่อาศัยประสบการณ์นั้น เท่าที่จำได้ ดวงท่านมี พุธ พฤหัส สัมพันธ์ถึงกัมมะ มีเกตุ มฤตยู ร่วมและ เล็งดาวสองดวงนี้เท่านั้น และดูเหมือนจะมีพุธเป็นวินาสน์อยู่หนึ่งดวง แต่การพิจารณาดาว และดวงชะตา ไม่ว่าอาชีพใด ไม่ใช่พิจารณาเพียงว่ามีดาวอะไร แต่ต้องพิจารณาไปตลอดถึงรูปดาว และความสัมพันธ์ที่เรียงตัวอยู่ในดวงชะตาด้วย.....

คุณลักษณะของตัวบุคคล ก็ต้องดูทุกด้านเช่นกัน คุณสมบัติของดาวโหราศาสตร์ คือ พุธ เป็นความคิด และไหวพริบ ปฏิภาณ พฤหัส เป็นปัญญา ความรู้ คุณธรรม เกตุ เป็นความชำนาญวิชาเก่าๆ และมฤตยู เป็น การศึกษา ในเรื่องเร้นลับ และโบราณ นอกจากนั้นดาวอื่นๆที่สัมพันธ์ถึง ก็ยังเสริมคุณสมบัติของตัวบุคคลเข้าไปอีก ให้มีแตกต่างหลากหลายออกไปมากมาย คุณสมบัติดาวเหล่านี้ อาจจะเป็นตัววัด ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ เช่นระดับอาจารย์ มักจะมี อาทิตย์ อังคาร ราหู เสาร์ สัมพันธ์ถึงดาวหลักสี่ดวง ในรูปดาวที่เข้มแข็งด้วย


วรกุล - 5 เมษายน พ.ศ.2548 03:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
อ.วรกุลช่วยดูเรื่อง เสน่ห์ให้หน่อยนะครับ

เกิดวันอาทิตย์ที่14เมษายน2534 03.03น. ณ กรุงเทพฯ


เจ้าไกร ณ เชียงฟ้า - 5 เมษายน พ.ศ.2548 13:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
ขออีกนิดนะครับ ศุกร์ของผมได้ตำแหน่ง ศุกร์นางพญา รึป่าวครับ เห็นมีคนบอกว่า จันทร์อยู่มีน ศุกร์อยู่พฤษภ พฤหัสอยู่กรกฎ เป็นตำแหน่งศุกร์นางพญา แล้วให้คุณเรื่องเสน่ห์อย่างไรครับ


เจ้าไกร ณ เชียงฟ้า - 5 เมษายน พ.ศ.2548 13:25น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน อ.วรกุล

ในกรณีเวลาเกิดไม่แน่นอนหรือลัคนาอยู่เกือบสุดราศีจะข้ามไปอีกราศีหนึ่งแล้ว

ในการผูกดวงแล้วเราจะเช็คได้อย่างไรว่าเจ้าชะตามีลัคนาอยู่ราศีใด เราใช้การคำนวณเป็นเพียงการวางลัคนาเบื้องต้น แล้วปรับเช็คโดยการพยากรณ์ใช่ไหมครับ หรือว่าถ้าเวลาเกิดแน่นอนแล้วเราควรเชื่อผลการคำนวณครับ หรือว่ามีวิธีใดเช็คได้ว่าลัคนาควรอยู่ตำแหน่งไหนราศีอะไร

แล้วปกติคำนวณดวงชะตาใช้ปรับเวลาเป็นเวลาท้องถิ่นไหมครับ

คำนวณอาทิตย์อุทัยที่ 6.00 หรือว่า แล้วแต่เวลาอาทิตย์อุทัยของแต่ละวันครับ

--------------------------------------------------------------------------------------

อีกคำถามครับ ที่อ.วรกุลบอกว่า พุธ พฤหัส มฤตยู เกตุ เป็นพื้นฐานของดาวที่เกี่ยวข้องกับโหราศาสตร์ รวมทั้งโครงสร้างการวางเรียงตัว สัมพันธ์กับเรือนอย่างไรโดยเฉพาะ สหัชชะ ศุภะ กัมมะ ปัตนิ

แล้วเราพอจะบอกจากดาวที่มารวมหรือสัมพันธ์กับสี่ดาวนี้ว่าเป็นโหราศาสตร์ในแขนงไหนได้ไหมครับ

--------------------------------------------------------------------------------------------

อีกคำถามครับ อ.วรกุล ใช้เรื่องอนุเกษตร วงจรมหาเกษตรไหมครับ

และถ้าใช้ๆแบบใด เช่นถือว่าไม่ว่าภพอะไรเป็นอนุเกษตรจะถือว่าดีในบั้นปลายหมดหรือไม่

ขอบคุณครับ อ.


กล้วย - 5 เมษายน พ.ศ.2548 14:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบ 9 คุณหมูอ้วน การเรียนโหราศาสตร์ หากจะเรียนให้รู้ดีลึกซึ้งต่อเนื่องไปเรื่อย ก็ต้องเริ่มเรียนราศีจักรครับ แต่การที่เราจะเริ่มต้นเรียน แล้ววางหลักสูตรยาวไปเลยนั้น ต้องพูดกันมาก และมีความเข้าใจแต่ละวิชาเสียก่อน

ดวงราศีจักรแบบไม่มีองศา หรือดวงอีแป่ะนั้น เป็นโหราศาสตร์ที่เริ่มต้นง่าย ดูง่าย และพยากรณ์ได้ก่อน เรื่องนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการที่เราเรียนอะไรแล้วยังทำนายไม่ได้ ต้องคำนวณ ต้องใช้อุปกรณ์มากมาย ต้องยุ่งยากในการแยกแยะเรื่องราวหลายอย่างเกินไป ช้ามากไม่ทันใจ เราก็จะเสียกำลังใจ เรียนๆไปแล้วก็เบื่อ เพราะทายไม่ได้ ทายเพื่อนฝูงพี่น้องไม่ถูก การดูดวงอีแป่ะ เราจะได้ผลเริ่มต้นเร็ว ลักษณะเช่นนี้มีในโหราศาสตร์แบบอื่นๆเหมือนกัน เช่น มหาทักษา แบบไม่ใช้ราศีจักร หรือ เลข 7 ตัว เลข 12 ตัว เป็นต้น แต่ วิชาพวกหลังเหล่านี้ แม้เริ่มต้นจะง่ายกว่าราศีจักรเสียอีก แต่เราพัฒนาตัวเองต่อไปยาก เพราะส่วนใหญ่สอนกันแต่ เบื้องต้น เบื้องต้น และเบื้องต้น พอจะเรียนลึกซึ้งเข้าไปอีกหน่อยกลายเป็นเคล็ดลับ หาเรียนยากไปแล้ว เหมือนโรงเรียนที่มีเรียนแค่ ป 1 ถึง ป 4 พอจะเรียนต่อ ก็หาที่เรียนไม่ได้ ทำให้เราเสียเวลา หมดกำลังใจ ต้องมาเรียนสายอื่นใหม่ พวกเราส่วนใหญ่ที่เรียนกันมา ก็เป็นเช่นนี้ เกือบ 90 % เว้นแต่ที่มีใครช่วยสอนพิเศษ เช่น ลุง ป้า น้า อา โดยใกล้ชิดก็จะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ควรรู้ไว้ว่า ดวงราศีจักรแบบไม่มีองศา หรือดวงอีแป่ะนั้น เป็นโหราศาสตร์ระบบที่ยากที่สุดในปัจจุบัน เพราะกว้างและลึกที่สุด ไม่มีโหราศาสตร์ใดยากเท่า เหตุผลมาจากลักษณะพิเศษของมันเอง ก็คือ มันเป็นเหมือนแพลทฟอร์ม ที่สามารถเอาวิชาโหราศาสตร์ แบบอื่นๆมาดูร่วมได้ คล้ายระบบปฏิบัติการวินโดวส์นั่นเอง ที่มีผู้สร้างซอฟแวร์บนวินโดวส์มาใช้อย่างมากมาย ดังนั้น การเรียนดวงอีแป่ะจะได้เปรียบ ในแง่ที่เราสามารถเรียนต่อไปได้กว้างขวาง จากอนุบาล ไปจนจบปริญญาเอก หลายปริญญาได้ในที่เดียวกัน ไม่ต้องเปลี่ยนโรงเรียนเลย

ลักษณะเช่นนี้มีคุณประโยชน์มาก แต่ก็มีโทษมาก เพราะเมื่อมันสามารถเอาวิชาต่างๆมาดูร่วมกับมันได้ ทำให้เกิดตำราสอนดูราศ๊จักรอย่างมากมาย จนทุกวันนี้ คนที่ไม่เชี่ยวชาญจริงๆจะไม่รู้เลยว่า สิ่งที่กำลังพูดอยู่นั้น มาจากวิชาไหน โหราศาสตร์ระบบใด ราศีจักรเลยกลายเป็นยาหม้อใหญ๋ มีแบ่งองศาบ้าง ไม่แบ่งบ้าง วางลัคนา วางเรือน วางดาว มุมดาว องศา ราศี วันเดือนปี เวลา หลายแบบหลายอย่างเอามาผสมรวมกัน ตัวอย่างเช่น “มหาทักษา” ซึ่งเดิมเป็นวิชาสำเร็จรูปในตัวเอง ก็ถูกปรับเข้ามาใช้กับดวงชะตา จึงต้องแก้พารามิเตอร์กันวุ่นวาย นับ 8 บ้าง นับ 9 บ้าง ใช้จันทรคติบ้าง สุริยคติบ้าง มีทักษาสารพัดแบบบ้าง ออกตากลางบ้าง ไม่ออกตากลางบ้าง เข้าตากลางก็มีหลายแบบ บางแบบก็เป็นมติอาจารย์แต่ละท่านคิดเอาเอง โหราศาสตร์ในวิชาอื่นๆก็เป็นทำนองนี้เหมือนกันเลย

ที่บอกในย่อหน้าที่แล้ว เป็นเพียงวิชา หรือ ซอฟแวร์ที่มาใช้กับ ดวงราศีจักร แต่ โหราศาสตร์ระบบอื่นๆจากหลายชาติ หลายภาษายังมีอีก เหมือน แพลทฟอร์มแบบอื่นๆ เช่น พวกยูนิกส์ ซีนิกส์ ลีนุกซ์ อะไรแบบนั้น อะไรที่เขาสอน ก็ยังมีคนเอามารวมกับราศีจักร กลายเป็นโหรประยุกต์ต่างๆ สอนกันอยู่ทุกวันนี้ ใช้ดาว 10 ดวงบ้าง 12 ดวงบ้าง ดาวทิพย์บ้าง และยังมีปัจจัยคล้ายดาวอีกมากมาย รวมทั้งเกณฑ์ ทศา กาลโยค นักษัตร ฤกษ์ อีกบานตะไท ทำให้พวกเราหาโหราศาสตร์ไทยไม่เจอ ไม่รู้เลยว่าอะไร เป็นโหราศาสตร์ระบบไหน รู้แล้วจะเอาอะไรไปใช้กับอะไรตรงไหนจึงจะถูก กว่าจะรู้ความจริง ก็แก่แล้ว และพูดอะไรมากก็ไม่ได้ เพราะจะโดนลูกศิษย์เขาเหยียบเอา ไม่ได้แก่ตายเอง.......

ดังนั้น ครูโหรท่านจึงเก็บวิชาดีๆซ่อนเอาไว้หลายวิชา ไม่กล้าเปิดเผย เพราะเปิดออกมาเมื่อไร มีหวังถูกยำใหญ่จำหน้าตาไม่ได้ แค่ภายใน ปี สองปี ทั้งๆที่วิชาลับเหล่านี้พัฒนามาร่วมพันปี แล้วก็มี ดูตัวอย่างวิชา โยคเกณฑ์ และ ทศา ของภารตะเถอะ วิชานี้ เมื่อสองพันปีก่อนเคยเป็นเพชรน้ำเอกในชมพูทวีป ไม่มีวิชาใดเลิศไปกว่า แม้แต่วิชาฤกษ์ของจีน ก็ยังพัฒนาขึ้นมาเทียบชั้นได้ช้ากว่า ร่วม 700 ปี แต่บัดนี้แทบจะไม่รู้ว่าอะไรเป็นเนื้อหาเดิมเลย

ถ้าเช่นนั้น การสอนให้เรียนราศีจักรดวงอีแป่ะ ก็เป็นวิธีที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อคุณเรียนแล้ว ขอให้เรียนโดยไม่ใช้องศา ใช้ระบบเจ้าเรือน กับเรือน ใช้ระบบมุมดาว กับราศี และเรือน หากชำนาญถึงจุดนิ่งได้แล้วเมื่อไร จึงเข้าจับพิจารณาธาตุ วิชาธาตุที่มีค่ามากที่สุดวิชาหนึ่ง คือ มหาทักษา เมื่อเข้าใจวิธีทางทักษากับเรือนชะตาแล้ว จึงให้ไปจับดวงชะตาฤกษ์ สุดท้ายคือ ดาวจร สัมผัสดาวในดวงเดิม เช่น จักรทีปนี พอใช้ได้ เพียงเท่านี้ ตำราใดก็ตามที่สอนออกนอกสิ่งที่ผมบอกคุณไว้ ขอให้เก็บไว้ก่อน ระหว่างที่คุณเรียน ขอให้ระแวงระวัง การสอนในตำรา หากเห็นว่าอ้างอิงโหราศาสตร์อื่นใดก็ขอให้ฟังหูไว้หูให้ได้ จนกว่าจะเข้าใจเอง โดยไม่ต้องให้ใครมาบอก แล้วคุณก็รอวาสนา วันไหนวิ่งไปชนอาจารย์ที่กำลังวิ่งหนีมา และผูกพันตามดวงชะตาของคุณ ก็ค่อยให้ท่านบอกวิชาต่อให้ รวมทั้งวิชาอื่นๆ ที่ท่านได้รับตกทอดมา.......หลักสูตรที่อยากเสนอแนะก็มีแค่นี้แหละ


วรกุล - 5 เมษายน พ.ศ.2548 16:57น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
****เห็น อ.วรกุลโพสต์ข้อความเข้ามาพอดี ผมขอความรู้ดั่งข้อความข้างล่างที่พิมพ์มาด้วยครับ *****

เรียน อ.วรกุล ด้วยความเคารพ

ผม "หนูน้อย" อยากเรียนถาม อ.วรกุล หลายครั้งแล้ว แต่เมื่ออ่านบทความ อ.วรกุล ที่เขียนมาใหม่ ต้องให้กลับมานั่งคิดก่อนกลับไปย้อนถามทุกครั้ง เลยไม่มีโอกาสตั้งคำถาม เพราะบางทีเมื่ออ่านสิ่งที่ อ.วรกุลเขียนบรรยายครั้งต่อๆ มาก็ทำให้สิ่งที่สงสัยแจ่มแจ้งขึ้นกว่าเดิม และยิ่งอ่านทบทวนสิ่งที่ อ.วรกุล และ อ.สส ที่เขียนไว้ก่อนแล้วก็เหมือนยังไม่เคยอ่านมาก่อนเลย ทั้งที่เคยผ่านตามาอย่างน้อยครั้งหนึ่งแล้ว ทำให้บางทีไม่กล้าถามเพราะจะเป็นการถามสิ่งที่เคยเฉลย บอกใบ้ไว้ก่อนแล้ว

ขณะนี้ข้อสงสัยหนึ่งของผม คือ ระบบธาตุ ที่ อ.วรกุล เขียนแทรกไว้ (ตามความเข้าใจผม ไม่ทราบว่าใช่หรือไม่) ตามข้อความต่างๆ คำว่า "ธาตุ" ที่ใช้กันแล้ว แท้จริงเทียบได้กับ เวลา ที่เรียกว่า คาบ (period) หรือเปล่าครับ ผมเมื่ออ่านบทความของ อ.วรกุล แล้วแทนที่ ธาตุ ด้วยคำๆ นี้แล้วเข้าใจขึ้น แต่ผมไม่ต้องการว่า เข้าใจไปเพราะตัวเองเข้าใจไปเอง เพราะอาจจะเป็นการอุปโลกเข้าข้างตัวเองก็ได้ แต่อย่างไรก็ดี ผมก็ยังเอามาใช้แทนทั้ง 8 ธาตุได้ไม่แนบเนียน

เหตุและผลของผม จากความรู้ที่อ่านจากบทความของ อ.วรกุล และ อ.สส เรื่องที่ชัดๆ คือ เรื่อง tsunami ที่ อ. เคยเขียนไว้

1.) คาบ บอกทั้งสเกลของเวลาและตำแหน่ง ( คคห.70 [23 มี.ค.48] ของ อ.วรกุล )

2.) บอกจุดต้นและปลาย (เกิด-ดับ) ในแต่ละช่วงเวลาที่กำหนด

3.)เสมือนฝั่นเชือกรวมเป็นเกลียว ก็หมือนกับ การรวมคลื่นหลายๆ ลูก

****ที่สำคัญ เมื่อเรากล่าวถึง คาบ (period) ก็คงจะหนีคำว่า คลื่น (wave) ไปไม่พ้นเช่นกัน****

อยากให้ อ.วรกุล อธิบายเพิ่มเติมคำว่า "ภพ" และ "ภูมิ" ว่ามีความหมายลึกซึ้งเช่นไรครับ

ผมกำลังสร้างโครงสร้างแบบ นิทานเรื่องที่ 10 คาร์ปูซีส หรือกลไกกฏแห่งกรรม ผมอธิบายสิ่งที่ผมเข้าใจ ถ้าถูกก็เป็นกุศล และโครงสร้างนี้ก็จะหมุนมาหาผม อย่างน้อยก็เมื่อ อ.วรกุลตอบผม ขอบคุณครับ


หนูน้อย - 5 เมษายน พ.ศ.2548 17:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
ผมสงสัยเรื่องจุดอิทธิพลที่ไม่ใช่ดาวเช่น ชัณษาจร ว่ามีส่วนสัมพันธ์หรือเกี่ยวข้องกับระบบธาตุของมหาทักษา อย่างไรหรือไม่

ขอบคุณครับ


นร. - 5 เมษายน พ.ศ.2548 17:51น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
ขอขอบคุณอาจารย์ วรกุลมากๆคะที่กรุณาแนะนำ

อยากขอรบกวนสอบถามเรื่องมหาทักษา ต่อหน่อยนะคะ ว่าเราจะเริ่มเรียนตามแนวของอาจารย์ท่านใดดีคะ หรืออาจารย์วรกุลจะแนะนำเป็นชื่อหนังสือพร้อมชื่อผู้แต่งก็ได้คะ ขอขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าคะ

อากาศเปลี่ยนไป เปลี่ยนมา อาจารย์ดูแลรักษาสุขภาพด้วยนะคะ


หมูอ้วน - 5 เมษายน พ.ศ.2548 19:28น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
ตอบ 11 - 12 คุณเจ้าไกร ณ เชียงฟ้า........ดวงคุณไม่เห็นมีเสน่ห์อะไรนี่ครับ ตรงกันข้าม เดินไปทางไหนให้ระวังตัวหน่อย เพราะมักจะมีคนหมั่นใส้ได้ง่ายๆ ที่ถามว่า จันทร์อยู่มีน ศุกร์อยู่พฤษภ พฤหัสอยู่กรกฏ เป็นศุกร์นางพญามหาเสน่ห์นั้น เขาก็ว่ากันไป มูลเหตุมาจากการดูจันทร์ และ ศุกร์จรดวงเดียว จันทร์อยู่มีน เวลาศุกร์จรมาทับ ก็เป็นมหาอุจ ศุกร์เกษตรอยู่พฤษภ จันทร์จรมาทับ ก็เป็นมหาอุจ พฤหัสมหาอุจอยู่กรกฏ จันทร์จรมาทับก็เป็นคู่ธาตุ จันทร์ – ศุกร์ คือดาวความสวยงาม จันทร์ – พฤหัส คือดาวคู่ผัวเมีย ถ้าดูแค่นี้ก็พอฟังได้ แต่การที่จะไปดูว่าใครมีเสน่ห์ ต้องดูดาวอื่นๆด้วย ว่ามีความสัมพันธ์ถึงอย่างไร ดี หรือ ไม่ดี เพราะแทนที่จะมีเสน่ห์ อาจจะกลายเป็นคนลักเพศ หรือ หาคู่จริงๆไม่ได้ พบมามากแล้ว

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 13 คุณกล้วย....... การวางลัคนาให้ได้ผล ต้องตรวจสอบจากเหตุการณ์จริง และประวัติชีวิตของเจ้าชะตา แม้จะคำนวณจากเวลาเกิดที่แน่นอนอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลัคนาจริงได้ เรื่องการวางลัคนาใน โหราศาสตร์ไทยต้องพูดกันยาวด้วย เพราะเกี่ยวเนื่องกับเวลา ราศี รวมทั้ง ท้องถิ่นกำเนิด การหาลัคนา ถ้าใช้เวลานาฬิกาประเทศไทยต้องปรับเวลาเป็นท้องถิ่นด้วยครับ เพราะเวลามาตรฐานประเทศไทย กำหนดจากเส้นแวงที่จังหวัดอุบลราชธานี ส่วนดาวที่อ่านจากปฏิทินไม่จำเป็น เพราะคลาดเคลื่อนนิดเดียว การใช้เวลาอาทิตย์อุทัย หากมีข้อมูล ก็ใช้ข้อมูลรายวัน หากไม่มี ก็ใช้เวลา 6 : 00 น. เป็นเกณฑ์เฉลี่ย เพราะต้องสอบลัคนาอยู่แล้วครับ

โหราศาสตร์แต่ละระบบ หากจะบอกดาวที่จำแนกว่าเป็นโหราศาสตร์แบบใดก็ทำได้ครับ แต่เป็นเรื่องเลื่อนลอย ดูอย่างที่เราเรียนโหราศาสตร์ไทย ยังมีไม่รู้กี่แขนง ต่อกี่แขนง บางคนก็เป็นโหราศาสตร์ไทยตามทะเบียนบ้านเท่านั้นเอง แต่ผสมอะไรบ้างก็ไม่รู้ เราจะดูไปทำไม เรื่องบางอย่างใช้ของจริงไม่ดีกว่าหรือ อย่างคุณสงสัยว่าแกงชนิดนี้มันรสชาติเป็นอย่างไรหนอ ดวงดาวดวงใด มันทำให้เปรี้ยว เค็ม เผ็ด แล้วนี่มันตรีโกณกัน จะทำให้มันหวานไหม วิธีที่ง่ายกว่าก็ลองชิมดูสักช้อนก็หมดเรื่อง

ถ้าคุณเรียนมากๆ จะไม่สนใจ เกษตร อนุเกษตร และ มหาเกษตรไปเอง เพราะถ้าคุณสนใจเมื่อไร แสดงว่าคุณเลิกไปสนใจดาวดวงอื่นที่ไม่ได้เป็นเกษตร เหมือนอย่างที่คุณไปสนใจเพลงร้อค แต่ไม่สนใจเพลงป้อบหรือ เพลงคลาสสิค แต่บอกว่าอยากจะรู้เรื่องเพลง ก็คงไม่มีทางเข้าถึงได้ การเป็นอนุเกษตร มหาเกษตร หรือเกษตร ไม่ได้แปลว่าชีวิตจะดีบั้นปลาย หรือบั้นไหนทั้งนั้น ต้องดูจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นครับ อย่างคนติดคุกตลอดชีวิต ต่อให้ย้ายเรือนจำ อยู่สามสี่แห่ง คุณว่าชีวิตเขาจะดีบั้นปลายไหม

000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 15 คุณ หนูน้อย.......คุณ ขยันสังเกตุดี แต่ระบบความคิดความอ่านยังไม่เข้าที่ครับ ความจริงผมยังไม่อยากอธิบายเรื่องธาตุเลย แต่ก็จำเป็น เพราะเวลาอธิบายโหราศาสตร์แล้ว มันจะเกี่ยวเนื่องกับธาตุไปเกือบทุกเรื่อง ครั้นอธิบายออกมาบ้าง ก็จะเจอปัญหาที่คาดไว้ก่อนแล้ว คือจะถูกถาม “ทุกคำพูด” ที่อธิบายมานั่นแหละ ที่ไม่อยากอธิบาย เพราะเป็นยาขมหม้อใหญ่ โบราณเขาสอนเรื่องธาตุกันต่อหน้ายังปรับความคิดกันได้ แต่ผมมาเขียนในอินเตอร์เน็ท นี่หินกว่ามาก วิชาเรื่องธาตุนั้น คนฉลาดๆยังเรียนไม่ต่ำกว่า 2 -3 ปี บางคนถึง 10 ปี

คาบเวลา period ไม่ใช่ธาตุครับ ยิ่งเอาใช้แทนธาตุ ยิ่งผิดไปไกล เพราะคุณไม่เข้าใจ คำว่า คุณสมบัติ คุณลักษณะ ลักษณาการ สสารวัตถุ นามธรรม รูปธรรม ก่อนที่จะเข้าเรื่องธาตุ อย่างน้อยต้องมีความคิดในเรื่องชนิดของเรื่องเหล่านี้พอสมควรก่อนแล้ว คาบเวลาเป็นเพียง ระยะวัดหนึ่งของ “เวลา” เท่านั้น เมื่อคุณวัดเวลา จากขณะเวลาหนึ่ง ไปถึงเวลาอีกเวลาหนึ่ง ก็คือคาบเวลาหนึ่ง เหมือนความกว้างยาว ที่เป็นระยะวัดตำแหน่งในเส้นตรง คือ space คนที่เรียนฟิสิกส์มาก่อนจะได้เปรียบ คาบเวลา เป็นคุณสมบัติของคลื่น wave แต่ไม่ใช่ตัวคลื่น เพราะคลื่นอาจเปลี่ยนคุณสมบัติบางอย่างได้ แต่พลังงานที่เป็นองคประกอบหลักของคลื่นยังคงอยู่ การเปรียบเทียบว่าฟั่นเชือกเป็นเกลียว ไม่ใช่เปรียบเทียบที่รูปเกลียวคลื่นครับ แต่เปรียบเทียบที่เป็นความสัมพันธ์ที่แนบแน่น จนดูเหมือนเป็นเชือกเส้นเดียว ลองไปดูไกลๆจะเห็น

คำว่า ภพ และ ภูมิ นั้นลึกแน่ครับ แต่แค่ เปรียบเทียบการฟั่นเกลียวเชือก คุณก็ไม่เข้าใจแล้ว เอาอย่างนี้ คิดง่ายๆไปก่อนว่า “ภพ คือ ระบบ ภูมิ คือ ระดับ หรือชั้น” ลองคิดดู ว่า “ภพ” คืออาคารสัก สิบหลัง ปลูกในเนื้อที่บริเวณใกล้กัน เป็นตึก 20 ชั้นทุกหลัง ตึกแต่ละหลัง คือ ภพ หนึ่งๆ มี ออฟฟิส ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า ร้านอาหาร อยู่ทุกชั้นเต็มไปหมด แต่ละชั้นของตึก คือ “ภูมิ” หรือ ระดับ คน เช่น ฝรั่ง จีน ไทย คิอ “ธาตุ” ที่ทำงานอยู่ในสำนักงาน ร้านค้าต่างๆ และก็ติดต่องาน เดินไปเดินมา ขึ้นบันไดเปลี่ยนชั้น หรือลงลิฟท์ ก็มี บางที่ก็เดินเปลี่ยนจากตึกนั้น ไปตึกนี้ นี่แหละครับ คือธาตุเปลี่ยน ภพ หรือ ภูมิ ไปมา เอาง่ายๆแค่นี้ก่อน ขืนอธิบายมากกว่านี้ก็จะคิดเลยเถิดไป ขอให้เข้าใจว่า ผมยังไม่ได้ อธิบายเรื่องธาตุ เพราะลำพังพยายามชักจูงให้พวกเรา เดินมาตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นเสียก่อน ก็ยังทำได้นิดเดียวตอนนี้ เรื่อง โครงสร้างกรรมที่อธิบายในที่นี้ บางคนก็อาจจะเข้าใจ แต่บางคนก็ยังไม่เข้าใจ ผมนึกแล้ว แต่ยังไม่สำคัญอะไรหรอก

000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 16 คุณ นร. ........ชันษาจร เป็นเกณฑ์ที่เกิดจาก “วงรอบธรรมชาติ”ของธาตุครับ ไม่ใช่เกณฑ์ที่เกิดจากธาตุ ผมเคยอธิบายให้คุณทราบไว้แล้วในกระทู้ก่อน (ความคิดเห็นที่ 11) ถึงแม้ว่า มหาทักษาจะมีวงรอบธรรมชาติอยู่ แต่ก็เป็นคนละวง เหมือนรำวงคนละคณะ แม้ สาวรำวงจะย้ายคณะได้บ้าง แต่ไม่ใช่โดยตรง “ชันษาจร” เป็นคำกลางๆ ความจริงมีปัจจัยย้ายที่แบบนี้ได้หลายอย่าง อาจคิดจากตนุลัคน์ ก็ได้ จากลัคนาก็ได้ หรือ ปัจจัยที่คำนวณขึ้นใหม่ก็ได้ วิชาที่เกี่ยวกับวงรอบธรรมชาติยังมีอีก บังเอิญ อาจารย์ สส. คงเผลอ ไม่ได้บอกชื่อเอาไว้ ผมจึงขออุบเงียบเอาไว้ก่อน ขืนพูดชื่อออกมา ก็จะต้องถูกถามอีกว่า คือ อะไร อยากจะทราบว่าเรียนที่ไหน ใครสอน หนังสือมีไหม และถ้ามาตอบเรื่องวงรอบธรรมชาติ อีกเรื่อง ก็พอดี ไปไหนไม่ได้ นี่ยังมีเรื่องดวงโลกหมุน ของโหรไทยเดิม มีอีกหลายแบบ ยังไม่กล้าพูดถึง เดี๋ยวก็จะมีคนถามเรื่องวิชาดวงโลกหมุนแบบอื่นๆขึ้นมาอีก

000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 17 คุณหมูอ้วน.......หนังสือมหาทักษาในท้องตลาด ก็จะเป็นเหมือนๆกันครับ คือขั้นต้น ไม่มีขั้นอื่น บางเล่มก็ลอกกันไปมา เลือกของใครก็ได้ที่ราคาไม่แพง มีคำอธิบายเยอะๆหน่อย จะได้คุ้นกับศัพท์ต่างๆมากขึ้น สมัยก่อน นักเรียนโหรจะซื้อของท่าน “ญาณโชติ” พอใช้ศึกษาได้ ปัจจุบันดูเหมือนยังมีขายกันอยู่ คงไม่แพง ผมไม่ได้ซื้อหนังสือโหรมาเกือบ 30 ปีแล้ว ไม่ทราบว่ายังมีของใครขายบ้าง แต่เพื่อที่คุณจะได้ ดูการนำเอาทักษามาเข้าดวงชะตาต่อได้ ก็ลองดูที่มีการสอนดวงชะตาด้วยนะครับ เพราะหนังสือทักษาแท้ๆ นั้น หมายถึง ยังไม่เข้าดวงชะตา พยายามซื้อหนังสือที่ถูกที่สุดเข้าไว้ หรืออ่านในห้องสมุด จะได้อ่านเปรียบเทียบหลายเล่มหน่อย หนังสือโหราศาสตร์ไทยที่เห็นเอาทักษามาเข้าดวงชะตามีอยู่มาก แต่เคยมีคนเอาข้อความใน หนังสือ ของ ท่าน “ ศ. ดุสิต” มาถาม ผมดูแล้ว คุณคงอ่านได้รู้เรื่องดี แต่จำราคาไม่ได้ และไม่รู้ที่ซื้อด้วย เท่าที่เขาซื้อกันก็ไปที่เขษมบรรณกิจ แถวเวิ้งนครเกษม ราคาไม่ลด และ แผงหนังสือจตุจักร มีอยู่ร้านหนึ่งขายหนังสือโหรโดยเฉพาะ ลดราคาได้ 10 - 20 % แต่มีน้อยมาก ใครพอรู้เรื่องหนังสือดีๆ ช่วยมาตอบคุณหมูอ้วนหน่อยครับ


วรกุล - 6 เมษายน พ.ศ.2548 14:51น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
ขอขอบคุณอาจารย์ วรกุลมากๆคะที่กรุณาแนะนำ

หากในครั้งหน้ามีปัญหา ที่คิดเอง พิจารณาเอง แล้วก็ยังไม่ได้ จะมาขอรบกวนอาจารย์นะคะ

ขอขอบคุณอาจารย์มากๆ อีกครั้งคะ


หมูอ้วน - 6 เมษายน พ.ศ.2548 18:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
ตลกจัง


เจ้าไกร ณ เชียงฟ้า - 7 เมษายน พ.ศ.2548 16:18น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
เล่าเรื่องพื้นฐานที่เริ่มจะเข้าใจยากมาหลายตอนแล้ว ว่าจะเล่าต่อ แต่มาพิจารณาจากคำถามของหลายคน ยังอยู่ที่เริ่มต้นนับหนึ่งอยู่เลย เช่น การวางลัคนา การเริ่มเรียนวิชาโหราศาสตร์ ดังนั้น วันนี้ จะเล่าถึงความคิด ที่เป็นพื้นฐานหลักโหราศาสตร์ไทยบางอย่างเรื่อง “การวางลัคนา” ทั้งผู้อ่านระดับเริ่มเรียน และระดับแก่วัดแล้ว จะได้ไม่เสียเวลาอ่านทั้งสองกลุ่ม

ความรู้เรื่องลัคนา หากจะให้เข้าใจซึ้งจริงๆ เราต้องเรียนโหราศาสตร์ให้จบก่อน แล้วกลับมาเรียนลัคนากันใหม่ ดังนั้น จะเขียนเฉพาะเรื่องที่ช่วยให้เข้าใจเบื้องต้นโดยสังเขปเท่านั้น ลองดูว่า ถ้าอธิบายเรื่องที่ง่ายที่สุดนี้ จะพอเข้าใจได้ไหม มีคนเข้าใจเรื่องลัคนากันผิดมากจนแก้ไขอะไรยาก ลัคนา นั้นจริงๆแล้ว “คืออะไร” หรือ “เป็นอะไร” เป็นเรื่องที่อาจเข้าใจยากมาก พูดสั้นๆไม่ได้ แต่จะง่ายกว่า หากจะรู้ว่า “ลัคนาอยู่ตรงไหน” ......นักเรียนและนักโหราศาสตร์ส่วนใหญ่รู้วิธีวางลัคนากันอยู่ทั่วไปแล้ว บ้างก็ใช้แผ่นหมุน บ้างก็ใช้อันโตนาทีคำนวณจากเวลา บ้างก็ใช้ตารางเวลาจากนักษัตร แต่จะมีใครรู้หรือไม่ว่า ลัคนากำเนิดของคนเรา “ทางโหราศาสตร์” อยู่ตรงไหน.......อ่านแล้วคงงง........แล้วมันไม่เหมือนกันหรือ

ลัคนากำเนิดของเราทางโหราศาสตร์ “ไม่เหมือน” ลัคนาที่ได้จากการคำนวณหรอกครับ อ่านดีๆ อย่าเพิ่งสับสนไป ลองอ่านตามความคิด ไปก่อน ตอนคนเราเกิดมา คุณรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่า กว่าเราจะหลุดจากท้องแม่ได้ กินเวลา ตั้งแต่ 5 นาทีจนถึง ครึ่งชั่วโมงก็มี บางคนโผล่หัวออกมาดุ้กดิ้ก แต่ติดที่หัวไหล่ คุณหมอ หรือหมอตำแย ต้องช่วยลากช่วยดึง หรือเอา ก้ามปูช่วยคีบหนีบหัวดึงออกมา หรือ กรีดปากช่องคลอดเพิ่มเติม กว่าจะหลุด มินั้นหากไม่กลับหัวลง ก็ต้องคลำจับท้องหมุนเด็กเอาหัวลง หรือหากนานเกินควรก็ต้องผ่าออก กินเวลาอาจถึง ร่วมชั่วโมงก็ได้ ออกมาหายใจเองแล้ว ก็ยังต้องตัดสายสะดืออีกนิดหน่อย ใส่ยา ล้างตัว พามานอน แล้วเวลาตกฟากที่ คุณแม่ คุณพ่อ คุณยาย นางพยาบาล จดมาคือเวลาตรงไหน ไม่นับที่คลอดกันตามบ้านนอกสมัยก่อนที่ไม่มีนาฬิกา จะไม่พูดถึง พอได้เวลามาแล้ว พวกเราก็หมุนแผ่นหมุนคำนวณหาลัคนากันยกใหญ่ ตกราศีใด นวางค์ ตรียางค์อะไร ก็ทายกันเป็นปืนกล โดยไม่สนใจว่าตัวเลขมีที่มาจากไหน หรือถ้าบังเอิญไปอยู่คาบราศี ไม่รู้ว่าราศีไหน ก็ไปคาดคั้นคุณแม่ จะเอาเวลาเกิดเป็นนาที วินาทีให้ได้ โดยที่ไม่ฉุกใจคิดว่าวินาทีที่ โรงพยาบาลเขาจดมา เป็นวินาทีตอนไหน นาฬิกาโรงพยาบาลเดินช้า หรือเดินเร็ว......นี่เรียกว่า ปัญหา “การจับเวลา และ นาฬิกา” ครับ........รู้เอาไว้ก่อน

ปัญหาต่อมา สมมุติ มีเทวดาท่านมาจับเวลาให้ ตัดสินใจโดยญาณหยั่งรู้ให้ ว่าคุณเกิดมาจริงๆตอนไหน ไม่ว่าจะเอาหัวออกก่อน ขาออกก่อน หรือ ออกมาเต็มตัว ปลายนิ้วสะกิดพุงคุณแม่ครั้งสุดท้ายเมื่อเสี้ยววินาทีไหน ได้เวลาเป็นทศนิยม 32 ตำแหน่ง เอาไปให้นักโหราศาสตร์คอมพิวเตอร์ คำนวนวางลัคนา ได้องศา ลิปดา ฟิลิปดา ละเอียดเป็นทศนิยม 27 ตำแหน่ง รู้ราศี นวางค์ ตรียางค์ องศา ฤกษ์ ชัดเจน สมมุติลัคนา ราศีเมษ ก็แล้วกัน แต่พอไปดุดวงแล้ว เรื่องราวอะไรก็ไม่แม่น ครูโหรดูๆแล้ว ไปวางลัคนาให้คุณอยู่ราศีมีน แต่ทายคุณแม่นเป๊ะเลย เป็นคุณคุณจะเชื่อฝ่ายไหน ฝ่ายเทวดา หรือ ฝ่าย โหร.......นี่เรียกว่า ปัญหา “การวางลัคนากำเนิดทางโหราศาสตร์" ครับ......รู้เอาไว้อีก

ปัญหาต่อไป วันดีคืนดี คุณเติบใหญ่ เรียนโหราศาสตร์มากขึ้นแล้ว ยกเว้นความรู้เรื่องลัคนา คุณดูดวงชะตาตัวเอง วางลัคนาในราศีพฤษภ แล้วแม่นเป๊ะเลย ทายเหตุการณ์ถูก แล้ว คุณจะเชื่อใครดี ระหว่างเชื่อ เทวดา หรือครูโหร หรือเชื่ออาจารย์ คือตัวคุณเอง........นี่เรียกว่า ปัญหา “คุณสมบัติของลัคนา” ครับ

ลัคนา นั้น คือจุดโผล่ตรงท้องฟ้าทางทิศตะวันออกขณะที่มี “เหตุการณ์” เกิดขึ้น เมื่อธรรมชาติหนึ่งมี “การเกิด” แล้วเราต้องการจะดู “การเกิด” ของดาราจักร ที่อยู่บนจักรราศี ที่พร้อมกัน เราก็ดูที่ท้องฟ้าตรงนั้นได้ แต่ตามจริงแล้ว ขณะมีการเกิดในธรรมชาติ มีลัคนาธรรมชาติสำคัญๆเกิดขึ้นอย่างมากมาย ทั้งในจักรวาล และ ธรณี แต่การที่เราเลือก ของ “การเกิดของท้องฟ้า” ทางทิศตะวันออกมาดู ก็เพื่อให้สอดคล้องกับ การพิจารณาทางโหราศาสตร์ต่อไป การเลือกการเกิดที่พร้อมกัน ก็เพราะเราต้องการ mark ไว้ให้รู้ จุดเริ่มต้นที่จะอ่านเทียบกันระหว่างชีวิตกับธรรมชาติที่เอามาอ่านครับ จุดบนท้องฟ้านั้น จึงเป็น “ตำแหน่งที่ลัคนาอยู่” ไม่ใช่ ตัวลัคนา เพราะคุณยังไม่รู้ว่าลัคนาคืออะไร แล้วหากเหตุการณ์นั้น เป็นการกำเนิดของทารก คุณก็จะได้ตำแหน่ง ของลัคนา “ขณะที่ทารกเกิด” เท่านั้น ไม่ใช่ตำแหน่งของลัคนา “ขณะที่ชีวิตเกิด”

ชีวิตเกิดมาเมื่อใด เป็นคำถามที่ตอบยากเย็นยิ่ง เราก็ทราบว่าชีวิตเริ่มปฏิสนธิ์ในครรภ์แม่ ราว 9 เดือน แต่ไม่รู้วันเวลานาทีที่แน่นอน แต่ร่างกายคนก็ต้องอาศัยเวลาเติบใหญ่ในท้องแม่กว่าจะมีอวัยวะต่างๆครบ เราเริ่มหายใจเอง ภายในเวลาไม่กี่วินาที หลังพ้นจากท้องแม่ออกมา เป็นการเกิดชีวิตตามกฎหมาย และการรับรู้ของสังคม เราจึงไม่อาจชี้ชัดได้ว่า ชีวิตเราเกิดเมื่อใด (บางท่านใช้วิธีผูกดวงชะตาย้อนหลังไป 9 เดือน แต่ใช้วิธีนี้ไม่ได้ครับ แต่ยังอธิบายยาวตรงนี้ไม่ได้) ดังนั้น โหราศาสตร์จึงใช้เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดที่พอจะหาได้ในชีวิตของเรามาแทน นั่นคือ ลัคนา “เมื่อทารกกำเนิด” ดวงชะตาที่เราใช้อยู่จึงเป็นดวงชะตาที่ทารกกำเนิด ไม่ใช่ดวงชะตาของชีวิต ซึ่งหาไม่ได้ ดวงชะตานี้เป็นดวงชะตาของเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตเท่านั้น เพียงแต่มีความสำคัญกว่าเหตุการณ์สำคัญอื่นๆของชีวิตอีกมากมาย

ขอให้รู้หลักพื้นฐาน ของวิชาโหราศาสตร์ไว้ประการหนึ่งก่อน ด้วยเหตุผลทางธาตุ คือ ลัคนาดวงชะตาของชีวิตนั้น เกิดในชั่วขณะเวลาที่ชีวิตเกิด หรือ ประมาณ 12 นาที หรือ โลกหมุนหนึ่งนวางค์ แต่ลัคนาดวงชะตาของเหตุการณ์ จะมีเวลาหน่วงได้ถึง 2 ชั่วโมงเศษ หรือ หนึ่งองศาของจันทร์จร โดยประมาณ ซึ่งจะเป็นระยะทางการหมุนของโลก ราวหนึ่งราศี ดังนั้น การกำเนิดของทารก จึงสามารถวางลัคนาได้ในช่วงกว้างได้ถึง 2 ชั่วโมงเศษ หรือการหมุนของโลก หนึ่งราศี เพราะเป็นชนิดของดวงเหตุการณ์ โหราศาสตร์ทางธาตุของไทย บีบระยะตำแหน่งลัคนาให้แคบลงได้ เหลือประมาณ ครึ่งราศี เพราะเหตุผลทางธาตุดาว แต่ โหราศาสตร์จีนในยุคก่อนๆลงมาถึงปัจจุบัน วางลัคนากำเนิดด้วย “ยาม” เวลาเกิด 2 ชั่วโมง ที่เรียกว่า “ซี้” โดยไม่ต้องจดเวลาชั่วโมงนาที เกิดเลย แต่โหรจีนทำนายเหตุการณ์จรแม่นยำเหมือนจับวาง ได้ละเอียด ลงไปถึง ครึ่งชั่วโมงได้ ก็ด้วยความรู้เรื่องธาตุของลัคนานี้

การกำหนดระยะเวลาที่ลัคนาบังเกิดขึ้นได้ ไม่ได้หมายความว่าลัคนามีขนาดกว้างเท่านั้น แต่หมายถึงลัคนาอาจบังเกิดได้เมื่อใดในช่วงเวลานั้นเมื่อ “ธาตุ” ของลัคนา ประจุสร้างขึ้นมาได้จนเต็ม ลัคนานั้นไม่ใช่จุด ไม่ใช่ระยะ ไม่มีขนาดที่แน่นอน และยังแปรขนาดได้ เพราะเป็นนามธรรมทางธาตุชนิดหนึ่ง ลัคนาในดวงชะตาเกิดจากอัตตาตัวตนและกรรมที่บังเกิดขึ้น ซึ่งเป็นเหตุแห่งเรือนชะตา (คือ อัตนียา) คุณสมบัติของลัคนายังมีอีก คือ ลัคนานั้นเคลื่อนได้ ลัคนาเคลื่อนได้เพราะปัจจัยหลายอย่าง เช่น เคลื่อนเพราะสุริยาตร์ เพราะโลกหมุน และสุดท้ายคือเพราะอัตตาเอง คุณสมบัตินี้ ก่อให้เกิดวิชาที่เกี่ยวกับวงรอบธรรมชาติขึ้นหลายอย่าง ที่อาศัยการเคลื่อนที่ของลัคนา เป็น ลัคนาจร หรือ ปัจจัยจร หรือ ชันษาจร แบบต่างๆ และยังมีปัจจัยอีก 2 – 3 อย่างที่เกี่ยวกับจักรวาล เฉพาะที่เกี่ยวกับเรา คือ การเคลื่อนของลัคนา ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์บางอย่างได้ตามลัคนาจร ทำให้ผู้ที่ไม่รู้เกิดสงสัยตำแหน่งของลัคนากำเนิด

ลัคนา ทางโหราศาสตร์ กับ ดาราศาสตร์จึงไม่เหมือนกัน เนื่องจากสมัยต่อมามีการใช้ข้อมูลดาราศาสตร์มาทำงาน ทางโหราศาสตร์หลายระบบ จึงนำเอาลัคนาดาราศาสตร์มาใช้แทน “ลัคนาธาตุ” ทางโหราศาสตร์ของเดิม เพราะระบบโหราศาสตร์ใหม่เหล่านั้น ล้วนไม่ได้ใช้พื้นฐานทางธาตุ จีนเองอนุรักษ์ลัคนาทางธาตุไว้ได้ เพราะตัดเวลาละเอียดทิ้งไปแต่แรกได้แล้ว แต่ไทยเราบีบลัคนาให้แคบลง และพยายามลงลึกรายละเอียดตำแหน่งของลัคนา ด้วยเหตุผลทางนวางค์ และ ฤกษ์ที่จำเป็นต้องใช้ผูกดวงชะตาสำคัญๆ เช่น ดวงพิไชยสงคราม แต่ก็ยังถืออำนาจรับรู้ธาตุดาว ออกไปทั้งสองข้าง รวมแล้วหนึ่งราศี เท่ากับของจีน จึงมีผู้เข้าใจผิด เอาลัคนาโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ มาตั้งเป็นลัคนาธาตุของโหราศาสตร์ไทย ทั้งๆที่แท้ๆแล้ว ไม่จำเป็นเลย


วรกุล - 7 เมษายน พ.ศ.2548 16:57น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
**** ข้อความข้างล่างเขียนแทบจะทั้งวันนี้ พอมาอ่านเรื่องลัคนาที่ อ.วรกุลเขียน ( ก่อนจะโพสต์ข้อความ) ก็ทำให้อยากโละข้อความข้างล่างบางอย่างทิ้งไป เพราะ ตัวผมอาจจะใช้หลักเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์มากไปหน่อย เพราะความรู้นั้นมีหลายแบบ แต่อย่างไรก็ดี อ.วรกุลครับข้างล่างก็เป็นความคิดเห็นของผมที่พยายามสื่อให้ อ.วรกุล เข้าใจพื้นฐานผม อย่างน้อยช่วยตรวจและปรับความฟุ้งซ่านของผมด้วยนะครับ *****

เรียน อ.วรกุล ครับ

ลองอ่านคำอธิบายละเอียดความคิดของผมอีกสักครั้งครับ เพื่อนๆ พี่ๆ ที่จะอ่านแล้วกลัวเป็นเรื่องเหลวไหลก็ข้ามไปก่อนแล้วกันครับ

ผมอาจจะใช้เรียกว่า "คาบ" ก็จริงแต่ต้องแฝงความหมายอื่นไปด้วย ทั้งหมดไม่ได้หมายความตามรูปแบบ ทฤษฎีคลื่นทางฟิสิกส์ทั่วๆ ไป ลองอ่านดูนะครับ

คาบ หรือ period นี้กินความถึง การแบ่งยุค ต่างๆ เอาเป็นข้อๆ ที่ผมพอนึกได้แล้วใส่เหตุและผลลงไปนะครับ

1.) ผมมองถึง เส้นเมอริเดียน ซึ่งจะบอกถึงตำแหน่ง และเวลาไปพร้อมๆ กัน (ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะชื่อ hour angle หรือมุมชั่วโมง บางที right ascention) เช่นหากมองเส้นนี้ติดกับสิ่งหนึ่ง สมมติคือดวงอาทิตย์ เราก็บอกไว้ว่าหากอยู่ที่ขอบฟ้าตะวันออก เป็นลัคนา เวลาเช้า เมื่อเปลี่ยนเวลามาอยู่กลางกะหม่อมก็เป็นเวลาเที่ยงและเมื่อลับอัศดงก็เป็นเวลาสนธยา (เอาแค่สิ่งที่เห็นด้วยตา)สิ่งเหล่านี้บอกทั้งตำแหน่งท้องฟ้าและเวลา แบ่งคาบเวลาตามแต่จะอยากแบ่ง และเป็นตัวแบ่งราศีด้วย ราศีแต่ละเรือนนั้นก็คือ คาบเวลา คาบหนึ่ง อาจจะกำหนดคาบเวลานี้เป็นอันโตนาที หรืออะไรก็แล้วแต่

2.) ธาตุดาว ผมกลับมองว่า น่าจะหมายถึง "ลีลา" คาบของดาวที่โคจรรอบรวิมรรคต่างๆ กัน (และต้องเน้นด้วยว่า ราศีจักร) เช่น ดวงอาทิตย์ใช้ 1 ปี, ดวงจันทร์ราว 29 วันกว่าๆ, ดาวพฤหัส 12 ปี, เสาร์ 29 ปี ฯลฯ ท้ายสุดนำรูปร่างของคาบหรือ รูปแบบ มาเป็นลักษณะของ คุณสมบัติที่แทนดาวต่างๆ กันนี้ เช่น ดาวพุธ มีลีลาที่เดินหน้าถอยหลังเป็น จังหวะ บอกความแปร ปรวน รวนเร ไม่แน่นอน แต่ปราดเปรียว อะไรทำนองนี้ครับ ( ดูแผนที่ดาวที่เทียบกับ ดวงอาทิตย์ และดูมุมดาวที่ห่างจากดวงอาทิตย์ ที่เรียกว่า elongation) เป็นลักษณะที่มาความหมายของ ดาวพุธ ส่วนดาวอื่นผมมองภาพยังไม่ออก ท่านที่เอ่ยความหมายแบบนี้ให้ผมฟังมีมาก่อนแต่ผมขอไม่เอ่ยชื่อเพราะเดี๋ยวเพราะผมเข้าใจผิดไปเองจะไปเอาชื่อท่านมาอ้างไม่ดี

3.) เกษตรธาตุ อาจจะมาจาก แกนโลกเอียงกับระนาบระวิมรรค 23 องศากว่าๆ แต่ละระยะเวลาสร้าง คาบแต่ละส่วน เป็นราศีทั้ง 12 จังหวะคาบเวลาได้ต่างกัน กำหนดลักษณะความหมายตาม "ห้วงแห่งเวลา" สั้น-ยาว หรือ อาจจะเอาตาม ธรรมชาติที่ดวงอาทิตย์ผ่านแต่ละราศีเกษตรแล้วนำมาปรับ ความหมาย ตามลำดับ น้ำ-ไฟ-ดิน-ลม แบ่งเป็น 3 คาบ มีน-เมษ-พฤศภ-มิถุน, กรกฏ-สิงห์-กันย์-ตุลย์ และ พิจิก-ธนู-มกร-กุมภ์ความหมาย (มีน,กรกฏ,พิจิก) มาเป็นธาตุน้ำเป็นแหล่งเกิด หลังจากนั้นห้วงคาบเวลา มาถึงช่วงร้อนที่สุดของแต่ละคาบนี้ (เมษ,สิงห์,ธนู) เป็นธาตุไฟ และช่วงต่อมาหยุดนิ่งเสมือนดิน เพราะอากาศช่วงนี้ไม่แปรปรวนหนาวร้อนอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น เป็นธาตุดิน (พฤศภ, กันย์,มกร) และท้ายช่วงที่อากาศแปรปรวนเพราะจะเปลี่ยนฤดูแลจะดับไป เกิดลมเกิดฝนใบไม้ผลิ-ร่วง เป็นธาตุลม (มิถุน, ตุลย์, กุมภ์)

แล หากจะพิจารณาตามจุด node ก็แบ่งได้ 4 ฤดูตามจุด วิษุวัติและมายัน อย่างละ 2 ตามระนาบเอียง

4.)ธาตุ เราแปลเอาจาก "element" แต่พอผมนึกตึกตารางธาตุ เขาเรียกว่า "periodic table" นั่นคือ สิ่งที่ผมมองว่า มันคืออะไร? เรามัวไปมองเนื้อหนังของมัน แต่เราลืมไปว่า ตารางธาตุกลับบอก "ช่วงชีวิต" ของธาตุแต่ละธาตุไว้ด้วย นี่ก็เป็นคาบเวลาหนึ่งเช่นกัน

แต่เรามองเป็น "แร่ธาตุ" ไปเสียหมด เราไม่ได้มองถึงอายุของมัน

ฉะนั้นการวัดเวลา นั้นเพื่อสอดคล้องกับห้วงเวลาที่เราจะทำนาย มีตัวอย่างหนึ่งในทางวิทยาศาตร์ การหาอายุทางโบราณคดี คือ การใช้ธาตุคาร์บอน 12 (พวกถ่าน เขม่า) ในการหาอายุ นั่นก็เป็น คาบ อย่างหนึ่งเราบอกอายุของมันได้เพราะคาบอายุของคาร์บอน วัตถุโบราณนั้นมีอายุเป็นส่วนน้อยของคาบที่กว้างของอายุคาร์บอน

ธาตุที่หนักๆ หรือ กัมมันตรังสี สลายตัวพอเข้าใจได้ แต่เราไม่มองถึง ตัวเอกจริง คือ ไฮโดรเจน มีโปรตอนหนึ่งตัว และระยะชั่วชีวิตของโปรตอนมันก็ยาวนานมาก(คงเป็นสเกลมากกว่าล้านปี ขึ้นไป) เราอาจจะไม่นำมาวัด แต่ก็ด้วยเหตุนี้เอง เราเอามาวัดอายุหรือ พิจารณาได้ต้องเลือก ธาตุ ตัววัด "ที่เหมาะสม" และทั้งนี้ธาตุทั้งหมดก็อยู่ในสภาพ เกิด-คงอยู่- แปรปรวนดับไป ณ.เวลาหนึ่ง

เพราะฉะนั้นการเลือกตัวเปรียบเทียบ "คาบ " ที่เหมาะสมจึงสำคัญว่าแต่ว่าเราจะใช้ตัวไหน คาบไหนมาเป็นตัววัด วัดอายุคน หากไปเอาคาบการวัดอายุของจักรวาลมาก็ถือว่าผิดวัตถุประสงค์

นอกจากนี้ หากเราพิจารณาตารางธาตุ ตารางนี้ไม่ได้บอกแต่อย่างเดียว แต่กลับบอกสมบัติ, คุณสมบัติหลายอย่าง เช่น ความเป็นโลหะ, อโลหะ, สารกึ่งตัวนำ, ธาตุทรานซิชั่น และอื่นๆ รวมถึงสภาพการนำไฟฟ้า รับแยกอิเล็กตรอน แต่เพียงว่าแบ่งหมวดหมู่เอาไว้ อันนี้หากนำมาเปรียบ "คาบ" ที่ผมบอกก็คือ มีลักษณะหลายแบบในการตัดหาคาบที่เหมาะสมตามคุณสมบัติต่างๆ เมื่อจะทำการวัดระยะเวลา(พร้อมกับตำแหน่ง)

5.) เรื่อง tsunami อ. ก็บอกการแบ่งคาบเวลาไว้ชัดเจน แต่เรามัวคิดถึงเวลา แต่หากเรามองตำแหน่งด้วยมันก็บอกได้ เมื่อนำมาคิดถึงรูป คลื่นทั่วๆไป

6.) เรื่องทักษา ผมอ่านมาบ้างแต่ใช้ไม่เป็น ตามที่เข้าใจตอนนี้หลังจากอ่านของ อ.วรกุล กระแสธาตุในเรื่องทักษา ก็คือเวลา แบ่งห้วงเวลาย่อยๆ เหมือน ที่เราเรียกกันว่า ต่างสเกล( หรือ เพิ่ม สเกลย่อยเที่ท่ากันลงไปในสเกลใหญ่) นั่นเอง หากจำไม่ผิด ตาตะรางของทักษานับเริ่มที่พุธ (ธาตุน้ำ) นับไปถึงอาทิตย์ได้ 6 แล้วโดดข้ามช่อง ได้ อาทิตย์, อังคาร, เสาร์, ราหู ( 6,8,10, 12) แล้วถ้าจะนับต่อจะไปชนอาทิตย์อีกครั้งจะซ้ำจึงเริ่มที่จันทร์ต่อไปเป็นตาที่ 15 ได้ว่า จันทร์, พุธ, พฤหัส, ศุกร์ (15, 17, 19, 21) ผมจำไม่ได้ว่าแบ่ง "คาบ" ตามจำนวนตาตะรางหรือกำหนดใหม่ ผมตอนนี้ขอ "ด้นกลอนสด" เอาใจความ เอาเป็นว่าผลรวมตาตะรางคาบ เป็น 108 (6+8+10+12 + 15+17+19+20) อาจหมายถึงแบ่งอายุคนได้ 1 กัลป์ เป็น 108 ปี (กัลป์ในที่นี้ ในความหมายชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ใช้ว่า 1 ช่วงอายุคน) สมมติ เกิดวันอาทิตย์ ก็เริ่มนับที่อาทิตย์ ที่มีคาบของตัวมันเองเป็น 6 เราต้องนำ "คาบ 6" ปี มาซอยย่อยแบ่งเป็น 108 ส่วนใน 6 ปี แล้วให้การหมุนรอบคาบครบ ( ๑, ๒, ๓,๔, ๗, ๕, ๘, ๖)ก็หมดครบตามคาบ แล้วค่อยเสวยใหม่ที่ คาบของจันทร์เมื่อเริ่มเข้าอายุถัดไป

อนึ่งในวงคาบของ อาทิตย์ ใน 6 ปีแรกก็ยังแยกย่อยโดยนำ การซอยแบ่งเป็น 108 อีกก็ได้จะทำกี่ครั้ง ก็จะละเอียดในการแยกต่อๆ ไป ผมยังคงมีข้อน่าสงสัย เช่น อสีติธาตุ ถ้าจำไม่ผิด อสีติ แปลว่า 80 เพราะฉะนั้นหากจัดการตัดคาบเวลาต่างๆ ในชีวิตอาจจะตัด ชั่ว 1 กัลป์ เป็น 80 ปี หลังจากนี้ก็ใช้ "สเกล" เข้ามาตอกย้ำในแต่ละเวลา

สรุปง่ายๆ ว่าเอา สเกล มาใส่ใน***ส่วนเดียวกันเพื่อแบ่ง "คาบแห่งเวลาแบบหนึ่ง" แต่เมื่อผมคิดมากไปอีก (เขียนเพิ่ม) มันก็เหมือนเรากำหนดด้วยสเกลเวลาตั้งแต่กำเนิด แต่เราไม่อาจจะทราบได้ว่าแต่ละบุคคลจะอายุยืนหรือดำเนินชีวิตไปตามคาบเวลาที่กำหนด เราเพียงได้แต่ สร้าง "คาบเวลา อายุเฉลี่ย"

หากมองปรากฏการณ์ เรื่องฝาแฝด ที่คนหนึ่งเดินทางด้วยยานอวกาศความเร็วเข้าใกล้แสง อีกคนอยู่ในสภาวะปรกติบนโลก เมื่อเวลาบนโลกผ่านไป 50 ปี คนที่กลับมาจากยานอวกาศจะหนุ่มกว่าคนอยู่บนโลก อันนี้ก็แสดงถึง "เวลา" ที่ไม่เท่ากันของแต่ละคน เพราะฉะนั้น "เวลาชีวิต" จะต่างกันจากสภาวะแวดล้อม และจังหวะการเต้นของหัวใจของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน เรื่องอันนี้ ผมเอามาเปรียบกับเรื่องที่ อ.วรกุลสอนเรื่องกรรมเก่า (คือ วงรอบที่สร้างไว้แล้วตั้งแต่เกิด แต่ทั้งนี้เป็นวงรอบประมาณช่วงอายุของคนทั่วไปเท่านั้นเอง) และ ต่อมาคือ กรรมที่นำเรื่องที่ต้องพิจารณาว่า หากกรรมนี้ยังไม่เกิด ก็ต้องเลื่อนกรรมอีกอย่างไปตามลำดับเวลา นั่นก็เพราะ ช่วงสเกลเวลาชีวิตของเขานั้นยืดยาวกว่าคนทั่วไป วงรอบชีวิต "คาบอายุของเขา" ต้องปรับใหม่ หรือว่านี่จะคือ ชีวะธาตุ กันแน่ครับ

7.) พลังงานธาตุ อาจจะหมายถึงตำแหน่งเมื่อมองจากโลกแล้วเห็น ความ "ใกล้ไกล" ของดวงอาทิตย์ หรือจันทร์ ทำให้ดูสุกสว่างกว่าธรรมดา ก็อาจจะเป็นได้อาจจะนำมาเป็น "คาบเวลา" ได้ สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นเรื่องอุจ ( อันนี้ขณะหยุดพิมพ์ไปทานข้าวเดินไปตรึกไป ความคิดอาจจะไม่แยบยล และไม่ถูกครับ)

8.) เรื่องการรวมคลื่น หรือ เรื่องที่เกี่ยวพันกับการฝั้นเชือก ผมขออธิบายดั่งรายละเอียดข้างล่างนี้ครับ ที่เขียนมาใน คคห. ก่อนเขียนแบบง่ายเกินไปอาจจะสรุปใจความที่ไม่ตรงประเด็นครับผม

8.1) ในกรณีแรกผมขอมองในรูปแบบการรวมคลื่น เช่น มีการเกิดเหตุการเป็นรูปแบบต่างๆ หลายเหตุการณ์ แต่เมื่อเรามาพิจารณาเพื่อหาความสอดคล้องในการแบ่งยุค ต่างๆ ก็เช่น ที่มีการแบ่งยุคกรุงรัตนโกสินทร์เป็น 9 ยุค โดยใช้ ดาว พฤหัสและเสาร์เป็นคาบการกุมกัน(ราวๆ ทุก 20 ปี) เป็น มหากาฬ, พันธุ์ยักษ์, รักบัณฑิต, สนิทธรรม, จำแขนขาด, ราชโจร, นนท์ร้องทุกข์, ถิ่นกาขาว และชาววิไล

ในความจริงอาจจะมี หลาย "คาบเวลา" ที่จะตัดมาได้แล้วเราก็สร้างเรื่องราวให้ได้เป็นฉากๆ แล้วแต่ว่าจะสมมติตัวเริ่มต้นอย่างไร( ผมคาดว่าต้นเรื่องนี้ คือ ดาวพฤหัสและเสาร์ จึงต้องนำความหมายมาจากดาวสองดวงนี้) ผมเขียนแบบคงไม่ดีนักเพราะ อ.วรกุล ก็ไม่ยกย่องการทำนายดวงเมืองกรุงเทพฯ แบบที่หลายๆ คนกล่าวอ้างมา แต่ อ.วรกุล บอกกล่าวว่าเป็น "รหัส" บางอย่างให้เป็นมิ่งเมือง แต่อย่างไรขอนำเรื่องนี้มาแสดงความเห็นด้วยครับ

เขียนมาถึงตอนนี้หากบอกว่าลักษณะทางคณิตศาสตร์ คงเป็นรูปการรวม ฟังก์ชันคลื่น แบบที่เรียกว่า "อนุกรมฟูเรียร์" แน่นอนการแบ่งแบบนี้ มีรูปฟังก์ชันเป็น ไซน์ และคอส แต่ละเรื่องที่สนใจ(ฟังก์ชัน) ก็เป็นเรื่องๆ หนึ่ง (ฟังก์ชันหนึ่ง) แต่ละเรื่องจะมีคาบเรื่องของมันเอง จะมีจุดเป็นคาบ หรือสร้าง เหตุจากค่าขอบ หรือผลจากความจริง(แรกเริ่ม)ที่ปรากฏในธรรมชาติมา กำหนดวัดหรือเพิ่มข้อมูล เราจะได้คาบเวลาหนึ่งออกมา หากยังต้องเลือก ตัวเรื่องบางเรื่องที่เหมาะสม (ตำแหน่ง ก็คือ พวก เฟส "phase") เพื่อให้ กลุ่มของเหตุการณ์ (envelope) ใช้ได้จึงต้องเลือกให้เหมาะสม

8.2) การฝั้นแบบต่อมา คือ มีจุดเริ่มต้น และจุดปลาย อยู่ แต่มี "หลากหลาย" วิธี , เส้นทาง ที่เราจะไปได้โดยเป็นอิสระไม่ขึ้นไม่เกี่ยวกัน หากเรียกแบบคณิตศาสตร์คงเรียกว่า "path integral" แต่ทั้งนี้ก็มีขอบเขตกำหนดไว้ด้วย ตัวอย่างทั่วไปคงมองเส้นทางในตำแหน่งแรงโน้มถ่วงโลก หรือ สนามแม่เหล็กไฟฟ้า ไม่ขึ้นกับเส้นทางแต่เป็นมูลเหตุจากจุดต้นและปลาย

*** แต่อย่างไรก็ดี ปรัชญาจริงๆ ของทั้งสองแบบก็เหมือนอย่างเดียวกัน

ผมเขียนมากเดี๋ยวจะฟุ้งซ่านไปใหญ่ อยากให้ อ.วรกุล ช่วยปรับกระบวนทัศนะ ของผมที ผมพยายามเขียนบรรยายตามที่ตัวผมขณะนี้เข้าใจอยู่ หากยังไม่เข้าที่เข้าทางหรือผิดหมด ก็ขอให้ อ.วรกุล ช่วยทีอย่างน้อยผมก็ต้อง ลบความคิดที่คิดมาส่วนนี้ออกไปให้หมดครับ


หนูน้อย - 8 เมษายน พ.ศ.2548 17:07น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
ตอบ 22 คุณหนูน้อย ผมอ่านดูความเห็นของคุณหมด แล้วกลับมาอ่านทวนหาจุดที่คุณต้องการจะสื่อให้ทราบแล้ว เข้าใจละ แต่อยากจะให้คุณลบความเห็นเหล่านี้ทิ้งไปจากสมองได้เลย ผมศึกษามามากกว่า และเห็นสิ่งที่คุณยังไม่เห็น ดังนั้นผมจึงรู้ว่าคุณคิดผิดทางไปไกลโขเลย ในส่วนตัวของคุณ ที่ดูเป็นคนที่ตั้งใจดี อยากจะทราบข้อเท็จจริงของธรรมชาติ แต่ระบบความคิดของคุณสับสน ยังไม่เข้าที่ ความคิดทางปรัชญาไม่ชัดเจน และสื่อความหมายออกมาได้ไม่ดี ควรจะจัดระเบียบความคิดให้เป็นปกติได้ก่อนที่จะมาคิดอะไรต่อไป

เรื่องโหราศาสตร์ที่ผมเอามาเล่าให้ฟัง คุณอ่านตรงไปตรงมาได้เลย ไม่ต้องเอามาเปรียบเทียบกับสิ่งอื่น หรือตีความ ด้วยเหตุที่ผมกำลังบอกคุณในเรื่องที่คุณไม่เห็นมาก่อน หรือเห็นมาแล้ว แต่ไม่ทราบคำอธิบาย คล้ายกับผมได้ไปพบเห็นสัตว์ประหลาดมาตัวหนึ่ง ผมจำเป็นต้องเล่าให้คุณฟังให้คุณเห็นภาพ จึงจำเป็นต้องเปรียบเทียบกับสิ่งที่คุณเคยพบเห็นมาแล้ว เช่นบอกคุณว่า มันไม่ใช่ช้าง แต่มีงวงเหมือนช้าง ไม่ใช่นก แต่มีปีก ไม่ใช่หมาแต่เห่าเหมือนหมา ตามหลักอุปมา เราเปรียบเทียบเฉพาะลักษณะบางอย่าง เท่านั้น เมื่อรู้ว่ามันมีงวง มีปีก และเห่าได้ สิ่งที่นำมาเปรียบเทียบ คือ ช้าง นก หมา ก็เลิกไป ไม่ใช่เอาอวัยวะส่วนอื่นๆของช้าง ของนก ของหมา มาต่อเติม เสริมจนเป็นตัวอะไร จนกลายเป็นความฟู้งซ่าน โหราศาสตร์ นั้น ผมยังเล่า แค่เรื่องพื้นๆธรรมดาเท่านั้น และก็พยายามเล่าอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่สุดแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดตั้งทฤษฎี หรือสมมุติเอาเอง คุณไม่มีทางเข้าใจได้ ด้วยวิธีคิดแบบนั้น

วิธีคิดปัญหาใดๆในธรรมชาติ ไม่ใช่เรามาเริ่มต้นคิดเองจาก ศูนย์ ลองคิดดูว่าไม่ว่าศาสตร์ใดๆก็ตาม จะเป็นวิทยาศาสตร์ หรือโหราศาสตร์ ก็ล้วนผ่านการขบคิดของผู้ที่ฉลาดกว่าเรามาอย่างมากมาย ท่านเหล่านี้จำนวนมาก เป็นอัจฉริยะ และการคิดนั้นต้องใช้เวลาตกทอดต่อเนื่องกันมายาวนาน อาจจะหลายร้อยปี หรือ หลายพันปี ดังนั้น แม้เราจะมีความคิดใหม่ๆเป็นของตนเอง แต่หากเราไปคิดเองทั้งหมด เราก็ไม่มีทางทำสำเร็จได้ในชั่วชีวิตอันสั้นของเรา หนทางที่ดีที่สุดของผู้ฉลาด (จริง) ก็คือ เรียนรู้สิ่งที่มีผู้คิดเอาไว้ก่อนแล้ว ระบบต่างๆทั้งทางวิทยาศาสตร์ก็ดี โหราศาสตร์ก็ดี ล้วนแต่ผ่านการทบทวนแก้ไข และสะสมของประสบการณ์ความรู้จำนวนมากมาจัดเป็นระบบให้เราทราบ หากเราต้องการคิดอะไรใหม่ เราก็ควรต้องรู้ก่อนว่า เขาคิดกันไปถึงไหนแล้ว และความคิดใดที่เคยล้มเหลวมาบ้างแล้ว ล้มเหลวเพราะอะไร นี่จึงจะเป็นกระบวนการคิดที่ถูกต้อง โดยส่วนตัวจึงอยากแนะนำว่า คุณน่าจะไปเริ่มเรียนรู้วิชาปรัชญา และ ตรรกวิทยาเสียก่อน ไม่ต้องไปจำเนื้อหามา แต่ลองพิจารณาดูวิธีคิดทางปรัชญา และการเรียบเรียง ก่อนสรุปเหตุผล จะช่วยให้เราคิดอะไรได้อย่างเป็นระเบียบยิ่งขึ้น หรือหากจะชอบทางวิทยาศาสตร์ ก็ใช้ได้ครับ ลองศึกษาดูทฤษฎีใด ทฤษฎีหนึ่ง เอาทางดาราศาสตร์ก็ได้

วิทยาศาสตร์นั้นมีระเบียบวิธีที่ผ่านการกลั่นกรองมาจากนักปราชญ์ผู้ฉลาดจำนวนมาก เราอาจยึดถือเป็นแบบอย่างได้ วิทยาศาสตร์เริ่มจากวิธีสังเกตธรรมชาติอย่างตรงไปตรงมา ธรรมชาติมีความบริสุทธิ์และไม่ได้เกิดจากการปรุงแต่งใดๆ เว้นแต่ ความเป็นไปตามธรรมชาติเอง เมื่อสังเกตและต้องการอธิบายสิ่งที่เราเห็น เราจึงตั้งสมมุติฐานขึ้นมา แล้วพิสูจน์สมมุติฐานนั้น สมมุติฐานใดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ปรากฏ ก็จะสรุปเป็นทฤษฎี หรือ กฎ ซึ่งไม่ว่าจะเป็น ทฤษฎี หรือกฎใดๆ ไม่ได้หมายความว่า ธรรมชาติเป็นเช่นนั้นจริงๆ เป็นเพียงแต่คำอธิบายที่ “ใช้ได้” วันใดเรามีข้อมูลใหม่ เราก็สามารถสร้างทฤษฎี หรือสมมุติฐานใหม่ได้ทุกเมื่อ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์สรุปแล้ว จะเป็นความจริงตามนั้น หลายก็ยังเป็นเรื่องสมมุติอยู่เลย แต่หากใช้อธิบายธรรมชาติได้ เราก็ยึดเป็นหลักไปก่อน เพราะไม่มีอะไรดีกว่านั้น

โหราศาสตร์ก็เหมือนกัน เกือบทุกสิ่งเป็นสิ่งสมมุติทั้งนั้น เพราะเมื่อพบความจริงตามธรรมชาติ ครั้นจะอธิบาย ก็ต้องสร้างบํญญัติขึ้นมาใหม่ ว่าอะไร จะหมายถึงอะไร ดังนั้น ศัพท์ต่างๆ เช่น ธาตุ ราศี โลก จักรวาล ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงไม่ได้เกี่ยวกับบัญญัติทางวิทยาศาสตร์ การที่เราไปดึงเอาดาราศาสตร์มาเกี่ยวข้อง ก็เป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้คนเข้าใจผิด เพราะคิดว่าดวงดาวเหมือนๆกัน หากเราจะเข้าใจโหราศาสตร์ เราก็ต้องศึกษาในความหมายของโหราศาสตร์ว่าเขาสมมุติอย่างใด วิทยาศาสตร์แปลความหมายธรรมชาติออกมาเป็นสัญชานที่เรารับรู้ได้และมีจำกัด แต่โหราศาสตร์ศึกษาธรรมชาติแล้ว แปลความออกมาในรูปปรัชญา ทั้งทางรูปธรรม และนามธรรม ไม่มีใครถูกใครผิด หลายๆคน รวมทั้งคุณ เข้าใจผิดเรื่อง “การเทียบตรงกัน” กับ “การเปรียบเทียบ” ที่โหราศาสตร์ใช้ หรือผมใช้ เพราะการที่เราพูดถึงนามธรรมที่มองไม่เห็น จึงจำเป็นต้องเปรียบเทียบ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่อย่าเอามาเทียบให้ตรงกันระหว่างระบบ จะทำให้คุณหาจุดสรุปไม่ได้


วรกุล - 10 เมษายน พ.ศ.2548 03:43น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
ขอบพระคุณครับ อ.วรกุล ที่ให้คำแนะนำ ...ตอนนี้ก็อึ้งจนนึกเขียนอะไรไม่ออกครับ !!! เป็นนักอ่านที่ดีต่อไปดีกว่า


หนูน้อย - 11 เมษายน พ.ศ.2548 10:59น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
คราวก่อน เราได้รู้กลุ่มดาวที่มีผลต่อดวงชะตาที่เกิดจาก เหตุที่ต่างกัน คือ กลุ่มดาวจตุโกณ และตรีโกณ ที่จะเป็นเรื่องที่เกิดจากเหตุคือ “สิ่งแวดล้อม” และจะเกิดผลดี หรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับลักษณะของดาวที่มาประกอบเป็นกลุ่มดาวนั้น รูปดาวเช่นนี้มีผลต่อดวงชะตาโดยส่วนรวม ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งคือ ดาวที่เข้ากระทำต่อ “จุดเจ้าชะตา” เช่น ลัคนา ตนุลัคน์ อาทิตย์ จันทร์ ตนุเศษ ทำให้เกิดเรื่องที่เกิดจากการตัดสินใจของเจ้าชะตาเอง โดยมีดาวที่เข้ากระทบเป็นสิ่งเร้า หรือปรุงแต่ง

สิ่งหนึ่งที่เราควรสังเกตุได้จากกรณีตัวอย่างข้างต้นก็คือ เหตุการณ์ทางโหราศาสตร์นั้น เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ และสาเหตุเหล่านั้น ความจริงก็มาจากดาว 10 ดวง ซ้ำกัน เกิดจากดาวเล่นอยู่หลายบทบาท นี่เองเป็นกุญแจสำคัญที่จะไขปัญหาของนักเรียนโหราศาสตร์ ที่มักจะงง เวลาดูดาวแล้วไม่รู้จะทายอย่างไรดี เพราะมักจะเอาดาวทุกบทบาทมารวมกัน ในขณะที่เห็นอาจารย์ หรือคนที่เป็นแล้ว ทำนายอยู่โครมๆ แต่เขาไม่บอกว่าทำนายดังนั้นเพราะอะไร แต่ก็ไม่แน่ว่า คนที่ทำนายจ้ออยู่คล่องปากนั้น ทำนายตามหลักอยู่หรือไม่ ผมเคยเห็นคนที่เรียนมาถึง 15 ปีแล้ว ทำนายอย่างสับสนก็มี

บางคนอาจจะตกใจ เมื่อบอกให้ทราบว่า ดาวหรือ ธาตุดาวดวงหนึ่งๆในดวงชะตานั้น อาจทำงานอยู่ราว สิบบทบาทในเวลาเดียวกัน หรือใกล้เคียงกัน น่าตกใจจริงๆ อะไรมันจะมากมายขนาดนั้น แล้วนี่ดาวตั้งสิบดวง มันไม่ทำงานตั้งร้อย เรื่องเข้าไปหรือ แต่นี่เป็นความจริงในทางโหราศาสตร์ไทย ดาวแต่ละดวงที่อยู่ในดวงชะตานั้น ไม่ได้อยู่นิ่งเฉยมีสถานะเดียวเหมือนที่เราคิด ส่วนมากมักคิดว่า ถ้าไม่มีอะไรมาสัมพันธ์ถึง ก็ไม่ไปสนใจมัน ความจริงดาวก็เหมือนมนุษย์ในแง่นี้ คือคนเราทุกคนอาจจะมีฐานะ เป็น ลูก เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นเพื่อน เป็นศัตรู เป็นนักศึกษา เป็นพนักงานบริษัท เป็นสมาชิกสมาคม เป็นประธานเชียร์ เป็นศูนย์หน้าฟุตบอล เป็นหัวหน้าแผนก เป็นเว็บมาสเตอร์คนดี เป็นแฮ้กเก้อร์ตัวร้าย ฯลฯ ในตัวคนคนเดียวกัน เป็น “ตำแหน่ง” และ “หน้าที่” หลายๆอย่าง ที่เกิดจาก “ความสัมพันธ์แต่ละประเภท” กับ “แต่ละกลุ่มคน หรือสมาคม”

วิธีสำคัญในการดู คือให้เรา เพ่งเล็งลงไปที่ดาวนั้น แล้วดูว่ามันกำลังทำงานใน “บทบาทใด” และ “ของอะไร”อยู่ ถ้าไม่คิดว่าตัวเองเก่งจริง อย่าเพิ่งเอาบทบาทมารวมกัน แม้จะยืดยาวเยิ่นเยื้อไปบ้าง แต่จะถูกต้องมากกว่าการรวม แต่รวมไม่เป็น เช่น ดาวที่มันเป็นจตุโกณ กำลังทำหน้าที่อยู่ในกลุ่มดาวจตุโกณ มันอาจกำลังแสดงบทบาทร้ายกาจ สร้างแรงกดดันต่อลัคนาของดวงชะตา ทำให้เจ้าชะตาอยู่ในภาวะคับขัน แต่ขณะเดียวกัน มันกำลังทำสัมพันธ์ดี ต่อ อาทิตย์ จันทร์ และจุดเจ้าชะตาอื่น เช่นเป็นคู่มิตร คู่สมพล มันจะส่งผลทำให้ เจ้าชะตาไม่หมดกำลังใจ แต่จะกลับต่อสู้กับเหตุการณ์ร้ายนั้น อย่างมีไหวพริบ เอาตัวรอดออกมาจากสถานการณ์กดดันได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่นนี้เป็นเพียงแค่ 2 บทบาท ของดาวดวงเดียวกันนั้น ซึ่งมีพฤติกรรมเป็นทั้ง ผู้ร้าย และ พระเอก ในเวลาเดียวกัน มันเป็นพระเอกหน้าหล่อ ที่มาช่วยให้รอดจากผู้ร้ายหน้าเ-***้-ย-ม ก็คือตัวมันเองนั่นแหละ แต่ดาวดวงหนึ่งอาจทำหน้าที่ได้ ถึง สิบบทบาทขึ้นไป เราก็ดูได้ไม่ยากเลย ขอเพียงแต่เราศึกษาว่า เมื่อดาวอยู่ในรูปแบบไหน มันทำงานในบทบาทอะไร เป็นผู้ร้าย หรือ พระเอก ด้วยเงื่อนไขอะไร เมื่อไร เราก็ทำนายได้แล้ว.......

บทบาทหน้าที่ของดาวนั้น มีทั้งบทบาททางธาตุ ทางเรือน ทางราศี ทางนวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ ทักษา ดาวร่วมคู่ ดาวร่วมหมู่ บทบาทเมื่อดาวโคจรวิปริต พักร์ มน เสริด บทบาทในเกณฑ์วงรอบชะตา เช่น ในเกณฑ์ชันษา กาลจักรลัคน์จร เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลไปสู่ดาวดวงอื่น หรือรับเหตุจากดาวดวงอื่นส่งเข้ามาหามัน นอกจากนั้น มันยังมีบทบาทที่แสดงออกเบื้องหน้า บทบาทหลังฉาก เป็นบทผู้ตามดาวดวงอื่น หรือเป็นผู้นำก็ได้ แต่ตัวอย่างข้างบน เป็นเพียงบทบาทง่ายๆที่ยกมาให้เห็น และเข้าใจได้ง่าย หากใครจะคิดว่า งั้นบอกมาให้หมด จะได้จบกัน ก็คิดผิด เพราะบทบาทอื่นๆอีกมากมายของดาว เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ต้องทำความเข้าใจและศึกษาทั้งนั้น บางอย่างต้องคิด แล้วจะเห็น ยากหน่อยตอนคิด แต่เห็นแล้วจะง่าย หากเราเรียนได้หมด ก็นับว่าเรียนจบโหราศาสตร์ไทยภาคพยากรณ์แล้ว ความรู้ ทางโหราศาสตร์จำนวนมากส่วนหนึ่งที่ไม่มีใครบอกใคร ก็คือบทบาทเหล่านี้ของดาวนั่นเอง

ดังนั้น สูตรดาวสำเร็จรูปที่เรามักเห็นในหนังสือ ว่าดาว เช่น ศุกร์ ราหู จันทร์ เป็นต้นอยู่ราศีนั้น ราศีนี้ เรือนนั้นเรือนนี้ จะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องที่ว่ากันง่ายๆ ของคนที่แต่งตำราขาย ที่อาจจะรู้บ้าง แต่ไม่ยอมบอกความจริง หรือไม่รู้จริง แต่ลอกเขามา เท่านั้นเอง เพราะจริงๆแล้ว ดาวจะอยู่ที่ใดแล้วจะดี หรือ ให้โทษ ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่ามันแสดงบทบาทอะไร อยู่กับใคร อย่างไร เมื่อไร และจะเกิดกับผู้ใด ในดวงชะตาจริง เหตุอาจจะเกิดกับผู้อื่น เช่น ลูกชายขับรถ รถคว่ำบาดเจ็บ แต่เจ้าชะตาอยู่กับบ้านไม่เป็นอะไรก็ได้ ต้องวิเคราะห์ให้ออก ไม่ใช่ทายแต่ว่าดวงเสียทั้งปี ทำให้ไม่กล้าทำอะไรตลอดเวลา การดูดวงชะตาให้ทราบชัดจริงจัง ที่ไม่ใช่การศึกษาเฉพาะเรื่อง จึงต้องดูดาวทั้งสิบดวง ไม่ใช่ดูแค่ดวงสองดวง แล้วเอามาวิพากษ์วิจารณ์สันนิษฐาน หรือทายเปรี้ยงลงไป อย่างที่บางกระทู้นิยมทำกัน เพราะหากไม่ทราบดาวทั้งสิบดวง เราก็ไม่ทราบบทบาทจำนวนมากของดาว การวิพากษ์เรื่องราวในชีวิตจริงของเจ้าชะตา เช่น แต่งงาน ไม่แต่งงาน ทำไมรวย หรือจน ทำไมเก่ง ไม่เก่ง เป็นต้น ก็จะทำไม่ได้ ถึงใครจะทายถูก หรือทายผิด ก็ไม่มีความหมายอะไรทั้งนั้น

ในวันนี้ นอกจากจะบอกว่า ดาวนั้นมีบทบาทมากหลาย มีทั้งทางดีและไม่ดีได้ ในเวลาเดียวกันหรือใกล้เคียงกันแล้ว ยังอยากชี้ให้เห็นว่า ดาวทุกดวงต่าง สานสัมพันธ์กันอยู่อย่างซับซ้อนในดวงชะตาหนึ่งๆ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง การที่ดาว หรือเรือนใดมีปฏิกริยา ก็จะมีผลกระทบไปตลอดทั่วดวงชะตา เกิดผลทั้งทางลึกและทางกว้าง อีกมาก

ถ้าเราจับตาดู “อาจารย์” บางท่าน เอานิ้วจิ้มที่ดาวดวงเดียว อ่านเรื่องได้สารพัด ตลอดทั้งดวงชะตา ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ดูแบบนี้แหละ แล้วแต่ใครรู้มากเท่าใด เพราะหากมีใครถามลึกลงไป ตอบไม่ได้ ก็เลี่ยงเสีย


วรกุล - 11 เมษายน พ.ศ.2548 17:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
(ก) ขอให้รู้หลักพื้นฐาน ของวิชาโหราศาสตร์ไว้ประการหนึ่งก่อน ด้วยเหตุผลทางธาตุ คือ ลัคนาดวงชะตาของชีวิตนั้น เกิดในชั่วขณะเวลาที่ชีวิตเกิด หรือ ประมาณ 12 นาที หรือ โลกหมุนหนึ่งนวางค์ แต่ลัคนาดวงชะตาของเหตุการณ์ จะมีเวลาหน่วงได้ถึง 2 ชั่วโมงเศษ หรือ หนึ่งองศาของจันทร์จร โดยประมาณ ซึ่งจะเป็นระยะทางการหมุนของโลก ราวหนึ่งราศี ดังนั้น การกำเนิดของทารก จึงสามารถวางลัคนาได้ในช่วงกว้างได้ถึง 2 ชั่วโมงเศษ หรือการหมุนของโลก หนึ่งราศี เพราะเป็นชนิดของดวงเหตุการณ์ โหราศาสตร์ทางธาตุของไทย บีบระยะตำแหน่งลัคนาให้แคบลงได้ เหลือประมาณ ครึ่งราศี เพราะเหตุผลทางธาตุดาว แต่ โหราศาสตร์จีนในยุคก่อนๆลงมาถึงปัจจุบัน วางลัคนากำเนิดด้วย “ยาม” เวลาเกิด 2 ชั่วโมง ที่เรียกว่า “ซี้” โดยไม่ต้องจดเวลาชั่วโมงนาที เกิดเลย แต่โหรจีนทำนายเหตุการณ์จรแม่นยำเหมือนจับวาง ได้ละเอียด ลงไปถึง ครึ่งชั่วโมงได้ ก็ด้วยความรู้เรื่องธาตุของลัคนานี้

(ข)ถ้าเราจับตาดู “อาจารย์” บางท่าน เอานิ้วจิ้มที่ดาวดวงเดียว อ่านเรื่องได้สารพัด ตลอดทั้งดวงชะตา ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ดูแบบนี้แหละ แล้วแต่ใครรู้มากเท่าใด

จากข้อเขียนของ อ.วรกุล ในข้อ (ก) และ (ข) ข้างต้น นั้นผมชอบใจจริง ไม่ได้เห็นความเห็นเช่นนี้มานานมาก แต่เดิมก็เคยมีแต่ท่าน อ. ส. แสงตะวัน ได้พูดคุยเล่าสู่กันฟัง พอมาเห็นในครั้งนี้อีกจึงดีใจจริงๆ

ท่าน อ. วรกุล น่าจะวิจารณ์เพิ่มเติมเรื่องดวงชะตาดวงเดียวกัน แต่วางลัคนาได้หลายจุด และพยากรณ์ดวงเดียวกัน เหตุการณ์เดียวกันได้หลายวิธี ให้เป็นวิทยาทานพอสังเขปนะครับ


ฤษภ - 12 เมษายน พ.ศ.2548 05:04น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27
เรียน อาจารย์ วรกุล ที่เคารพ

ผมเองเป็นคนราศีมีน ครับ มีดาวกุมลัคน์หลายดวง ช่วงนี้ดาว 8 จรทับลัคน์ ชีวิตต่อจากนี้ไปจะมีอันตรายมากน้อยเพียงไรครับ

เรียนท่านอาจารย์โปรดวิเคราะห์ดวงผมให้ด้วยครับ

ผมเกิดวันที่ 13 เมษายน 2511 เวลา 05.29 น.(คืนวันที่ 12 ต่อ เช้าวันที่ 13 เมษายน 2511 )ที่ จ.สงขลา ครับ

ขอบพระคุณครับ


เทวุษย์ - 12 เมษายน พ.ศ.2548 12:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบ 26 คุณ ฤษภ การเล่าเรื่องตามที่คุณเสนอมาต้องรู้เทคนิคอีกหลายอย่างก่อนครับ ขืนเอามาเล่าตอนนี้ จะมีแต่คุณ กับ อีกไม่กี่ท่านเท่านั้นที่พอจะเข้าใจ ส่วนท่านอื่นๆก็อาจจะถาม เพราะไม่มีพื้นมา แล้วก็กลายเป็นต้องอธิบายพื้นฐานกันใหม่ ต้องตอบออกนอกทางไปไกล จน***่ไม่กลับ ที่นี้ใครๆก็จะสับสนว่ากำลังพูดถึงอะไร ตรงไหน โหราศาสตร์ไทยนี่เหมือนตาข่ายที่โยงใยกัน หรือเหมือนกิ่งไม้ที่มีกิ่งแขนงกิ่งย่อยมากมาย ถ้าเราเรียบเรียงความคิดไม่ดี แทนที่จะได้ความก้าวหน้า แต่จะเห็นว่าความรู้มันขัดกันเอง ทั้งนี้ก็เพราะ บางเรื่องที่พูดก่อน ก็ต้องรวบรัด ไม่ถูกหมด หรือไม่ผิดหมด เพียงขอผ่านตรงนั้นไปก่อน ไม่งั้นไม่จบ แล้วค่อยกลับมาแก้ให้ถูกใหม่ พอกลับมาพูดทีหลัง ก็จะอธิบายละเอียดกว่า และบอกว่าพูดทีแรกมันผิดตรงไหน พวกเราเวลาอ่านหนังสือที่อาจารย์บางท่านสอนก็จะต้องไปดูว่าพูดในจังหวะอะไร ในเรื่องอะไร ไม่อย่างนั้นจะงงตายเลย

อย่างเรื่องธาตุ เรื่องการวัดอายุธาตุ วิธีตรวจการโคจรของดาวในราศีธาตุ ล้วนแต่เป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งแม้แต่อาจารย์ ที่ท่านเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ ท่านก็ยังไม่คงไม่มีเวลาเล่าให้ฟังได้หมด เพราะมันขึ้นอยู่กับพื้นฐานที่ผู้ฟังนั้นมีอยู่ หากไม่รู้เรื่องมาก่อน ก็เหมือนสอนภาษาอังกฤษให้คนที่ไม่รู้ศัพท์เลย คิดดูว่ามันจะลำบากขนาดไหน อย่างเก่ง พวกเราส่วนมากก็ลอกเอาไว้ก่อน เสร็จแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะทำความเข้าใจเองอย่างไรก็ไม่ถูก มีแต่เข้าใจผิดทางกันไปใหญ่ ผมเองมีความรู้น้อย เป็นแค่ “กบในกะลา” เท่านั้นเอง เล่าได้แต่ผิวเผิน หวังเผื่อมีใครที่รู้ดีกว่า จะรำคาญมาแก้ให้ ผู้อ่านจะได้ประโยชน์มากขึ้นกว่านี้

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 27 คุณ เทวุษย์ ที่จริงตอนนี้มีกระทู้หลายแห่ง หลายเว็บ ตอบปัญหาดูดวงชะตาชีวิตอยู่ น่าจะไปถามทางนั้นนะครับ หรือจะมีข้อสงสัยเรื่องราหู จะเอาปัญหาไปถามที่อาจารย์ศุภกรก็ได้ โดยขอให้อธิบายเรื่อง ราหูให้ด้วย แต่ไหนๆก็มาทางนี้แล้ว ต้องขอโดยรวบรัด พอมีประเด็นให้คนอื่นได้เห็นบ้าง

ดวงชะตาคุณเกิดตอนสงกรานต์พอดี ดาวต่างๆมีดังนี้ ๓ ๙ อยู่ในเมษ / ๑ ๔ ๖ ๗ ๘ ร่วมลัคนา ในราศีมีน เล็งกับ ๒ ๐ ในกันย์ จันทร์เพ็ญวันนั้น / ๕ ดวงเดียวแยกไปอยู่ ราศีสิงห์เป็นอริแก่ลัคนา การที่เราจะดูดวงชะตาจากดาวจร ข้อสำคัญต้องดูเรื่องในดวงเดิมให้เข้าใจก่อน อ่านดวงแบบนี้ พวกเราก็ทำเป็นอยู่แล้ว ชะตาชีวิตคุณมักต้องต่อสู้ฟันฝ่ากับอุปสรรค เพราะริเริ่มและหวังความก้าวหน้า ความสำเร็จในชีวิตและการงาน แต่เพราะความเข้มงวด มีทิฏฐิ ยืนยันในความเห็น และเหตุผลของตัวเองมากเกินไป จึงเป็นสาเหตุให้เกิดความขัดแย้ง ล้มเหลว ขาดความร่วมมือจาก ผู้ร่วมงาน และสังคมแวดล้อมรอบข้างอยู่บ่อยๆ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นด้วยกับคุณ โชคยังดีที่มีสมบัติเงินทุนมาจุนเจือไม่ค่อยขาดแคลน แต่ก็เพราะความประมาทขาดความระมัดระวัง และบางครั้งก็คิดผิดตามอารมณ์ลืมตัวไป จึงอาจสูญเสียเงินก้อนใหญ่ ไปกับความประมาทนั้น

ดาวอริ มรณะ วินาสน์ ไปกุมลัคนาคุณหมดทั้งสามดวงเลย และยังถึงเรือนกัมมะในราศีธนูด้วย แบบนี้จะทำอะไรก็ต้องเหน็ดเหนื่อยล้มเหลวบ่อยมาก พันธุ ปัตนิ และ สหัชชะ ลาภะ เข้าร่วม ลัคนา ลองคุณมีใครๆมา เกี่ยวข้องชี้นำแบบนี้ แม้ต่างคนต่างคิดจะมาช่วย แต่จะทำให้คุณไม่เป็นตัวของตัวเองเลย กระอักกระอ่วนและอยู่ไม่เป็นสุข เพราะนิสัยคุณก็ดื้อไม่เบา แถมยังเป็นคนขี้ระแวง ตัดสินใจด่วนได้ อยากทำอะไรตามใจตัวเอง จากการฟังคนโน้นที คนนี้ที เสร็จแล้วก็เลยสรุปผิดๆ

ราหู วินาสน์เดิมของคุณอยู่ราศีมีนอยู่แล้ว ราหูจรมาอีกดวง ก็ต้องพิจารณาว่า เรื่องในดวงเดิมจะมีผลแรงขึ้น ดวงเดิม คุณมีเสาร์เดิมเป็นคู่มิตรกุมลัคนา ราหูจะเกรงใจมากขึ้น แต่ก็มีพุธ พันธุ – ปัตนิ เป็นคู่ศัตรูอยู่ด้วย ต้องดูว่า การที่จะประกอบอาชีพการงานอะไร ที่เป็นการร่วมหุ้นส่วนลงทุน นอกจากนั้นหากมีปัญหา บ้านเช่า ร้านค้า หรือที่ดินที่ทางครอบครัวมีอยู่ จะเกิดทวงคืน เวนคืน ได้เงินมัดจำคืนมา แต่ไม่ค่อยคุ้ม เวลาไปหาที่ใหม่จะโดนหนักกว่าเดิมอีก แต่ก็อาจจะถูกหวย ถูกรางวัลอะไรมาได้นิดหน่อย ราหูมาทับศุกร์ ศุกร์นั้นอยู่กับพุธ ธาตุน้ำด้วยกัน เลยเป็นเรื่องสองเท่า เพราะจะเกิดปัญหา ความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ก็จะเกิดขัดแย้งไม่เข้าใจกัน เพราะคำพูดผิดหู ปากโป้ง พูดอะไรโพล่งๆ หรือถูกฝ่ายหญิงรุกฆาตเข้ารวบรัดตีเข่า ด้วยอยากจะให้จบเรื่อง คุณก็อาจก็ใช้อารมณ์ตัดสัมพันธ์เลิกกันได้ พวก อาทิตย์ จันทร์ ราหูเดิมนั้น ราหูมาอีกตัว จะทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ ตั้งแต่ร้อนใน ถอนฟันกราม คอเจ็บคอบวม ปอดอักเสบ ปวดลูกตา คุณใส่แว่นอยู่แล้ว ก็ต้องไปเพิ่มขนาดความหนาแว่น จิตใจก็ไม่ค่อยจะอยู่กับเนื้อกับตัว คิดมาก กังวล คิดฟุ้งซ่านคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้.......ระหว่างราหูอยู่มีนของคุณก็มีเท่านี้ ถ้าคุมใจได้หน่อยก็ไม่มีอะไร เป็นไข้อะไรก็รักษาไป พยายามคุมสติไว้........ช่วงเดือนเกิดของคุณทุกปีก็ระวังอุบัติเหตุรถยนต์ มอเตอร์ไซด์ไว้ด้วย

บังเอิญดวงคุณราหูมา แล้วมีเรื่องทั้งดี และไม่ดีเยอะแยะ แต่บางคนราหูให้คุณมากก็มี เช่นรุ่นน้องคนหนึ่ง เป็นนายตำรวจใหญ่ แกอยากให้ราหูมาทับ มาเล็ง มาถึง เพราะมาที่ไร ได้ สอง สามขั้น เลื่อนตำแหน่งเป็นว่าเล่นทุกที ราหูมาถึงลัคนาทีไร โทรมาถามแล้วร้องไชโย ไชโย ชวนกันไปเลี้ยงฉลองอยู่หลายรอบ มีอีกคนเป็นพ่อค้า ก็คอยราหูอยู่เหมือนกัน รวยไม่รู้เรื่องก็เพราะราหูนี่แหละ ดวงใครดวงมัน ไม่ต้องไปไหว้ราหูหรอกเสียเวลาเปล่าๆ ดีไม่ดีอาจจะไปเพิ่มฤทธิ์ให้ราหูเข้าไปอีก ดังนั้น เรานักโหราศาสตร์อย่าไปกลัวราหู คนที่กลัวราหูเพราะฟังแต่เขาว่ามา คนไหนติดแหงก ซังกะตายอยู่นาน หรือนักโทษติดคุก ได้ราหูทับสักหน่อยจะหายเมื่อย ลุกขึ้นเดินปร๋อเลย เชื่อเถอะ ดาวทุกดวงมีทั้งดีทั้งเสียเท่าๆกันทั้งนั้น บางคนถึงคราวดาวจันทร์เสีย ทับวันเดียวเอาถึงตายก็มีมาก


วรกุล - 14 เมษายน พ.ศ.2548 03:26น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
ขอบพระคุณครับ ท่านอาจารย์ วรกุล ที่กรุณาวิเคราะห์ดวงเตือนสติให้กับผม จะใช้เป็นแนวทางในการดำรงชีวิตต่อไปครับ


เทวุษย์ - 15 เมษายน พ.ศ.2548 12:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 30
ขบวนการเกิดมีห้วงเวลายาวนานอย่างที่ อจ.วรกุลอธิบายมาจริงๆครับ

ผมเคยอ่านพบในตำราว่าคิดเวลาเกิดเมื่อเด็กร้องอุแว้ครั้งแรกเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่าได้เกิดขึ้นมาในโลกแล้ว จะได้ไม่สับสนเรื่องเวลาวางลัคนาและเก็บสถิติการทำนายได้เป็นแบบแผนเดียวกัน


หมอเดา หัดดู - 18 เมษายน พ.ศ.2548 08:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 31
เท่าที่เขียนมาในกระทู้นี้ เราจะเริ่มคุ้นกับหลักสำคัญประการหนึ่งคือ ดาวจะอยู่ที่ใดแล้วจะดี หรือ ให้โทษ ขึ้นอยู่กับความสำคัญว่ามันแสดงบทบาทอะไร อยู่กับใคร อย่างไร เมื่อไร และจะเกิดกับผู้ใด ซึ่งได้เล่าถึงบทบาทหลายอย่างของดาวมาให้ทราบแล้ว

คนที่ผ่านการพยากรณ์ดวงมากๆ จะจับทางได้ว่า ดวงชะตาจริงของคน ไม่ค่อยสอดคล้องกับตำแหน่งมาตรฐานของดาว เช่น ดาวเป็นอุจ ควรจะดัง หรือ ได้ดี แต่กลับตกต่ำบ้าง หรือดาวเป็นเกษตร เป็นคนจน ไม่มีจะกินบ้าง ทั้งนี้เกิดจากการที่เราเข้าใจผิดในตำแหน่งมาตรฐานเหล่านี้ ถ้าเราใช้เหตุผลสักหน่อย ยกตัวอย่างดาวเดินช้าเช่น พฤหัส เสาร์ ราหู ก็ได้ เมื่อเป็นอุจ หรือเกษตร จะอยู่นาน ถึงหนึ่งปี หรือหลายปี ระหว่างนี้มีผู้คนเกิดมากี่พันล้านคน หากผูกดวงแล้ว ก็ต้องมี อุจ เกษตร เหมือนๆกัน ชะตาคนทุกคนจะดัง หรือรวยเหมือนกันไปหมดเป็นไปไม่ได้ สิ่งที่มาขัดให้ชัดขึ้น ก็คือ เวลาเกิดที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดลัคนา และเรือน รวมทั้งดาวอื่นๆที่ยังโคจรอยู่โดยรอบ ประกอบเป็นโครงสร้างแบบต่างๆที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง

โครงสร้างของดาวที่เกิดจากมุมดาวต่างๆเหล่านี้ มีความสำคัญมากกว่าตำแหน่งมาตรฐานของดาว เวลาเราเป็นนักเรียนหัดใหม่ๆ เรามักเอาดวงชะตามาเทียบกับดาวมาตรฐาน เพื่อให้รู้ว่าดาวแต่ละดวง มีมาตรฐานอะไร แล้วก็ไปเปิดดูหนังสือ ตำราเพื่อหาความหมาย แล้วก็ออกคำทำนาย วิธีนั้นเป็นของมือหัดใหม่ ที่มองดาวเพียงดวงเดียว แต่จริงๆแล้ว ดาวไม่เคยอยู่ดวงเดียว และยังไม่เคยมีดาวอะไร เป็นอิสระเลย ยิ่งรู้ลึกลงไป เราจะยิ่งพบว่า แม้แต่ดาวดวงใดที่กำลังทำปฏิกิริยากับ เรือน หรือดาว คู่ใดคู่หนึ่ง ดาวดวงอื่นก็ร่วมผสมโรงอยู่ด้วยเสมอ หากเราอ่านรหัสเหล่านี้ออกได้ เราก็จะได้เป็นรายละเอียดที่สามารถขยายความเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างละเอียดยิบ บางทีเราอาจจะพออ่านออกได้ว่า ใครที่พะวงในตำแหน่งดาวมาตรฐานเหล่านี้อยู่ ยังไม่เข้าใจความเป็นจริง และยังติดอยู่ใน “กับดัก” ขั้นต้นๆ ของนักโหราศาสตร์อยู่........ในเส้นทางของโหราศาสตร์อันยาวไกลนี้ เราต้องมีสมาธิในการเดินทาง เพราะมักจะมีมารมาปลูกต้นไม้ดอกไม้ หอมๆ และสวยงาม ให้เราแวะหลงใหลอยู่เสมอ หากเราตัดใจไปไม่ขาด ในที่สุดก็จะเดินไปไม่ถึงจุดหมาย

หลายคนเข้าใจว่า ใครที่มีดาวมาตรฐาน เช่นอุจ เกษตรมากๆ เป็นดวงที่ดี และจะมีวาสนาดีนั้น ควรเข้าใจเสียใหม่ว่า ธรรมดาธรรมชาตินั้น จะจัดสมดุลย์ของตัวมันเอง และเข้าสู่สมดุลย์อยู่เสมอ ที่โหราศาสตร์แบ่งดาวออกเป็นบาปเคราะห์และศุภเคราะห์ก็เพราะเหตุนี้ บาปเคราะห์และศุภเคราะห์ไม่ได้หมายถึงความเลว และความดี แต่หมายถึงความแข็งแกร่งและอ่อนโยน โลกและชีวิตต้องการสองส่วนนี้ผสมกลมกลืนกันดี จึงจะมีกำลังก้าวไปข้างหน้าได้ ร่างกายของคนเราก็มีส่วนที่แข็งแกร่ง และอ่อนนิ่ม อยู่ทั้งร่างกาย ลองคิดดูว่าหากมีแข็งอย่างเดียว หรืออ่อนอย่างเดียวไปทั้งตัว จะเกิดอะไรขึ้น อาหารที่เผ็ดอร่อย ก็ต้องมีรสเค็มหวานกำลังดี แต่ถ้ามากเกินไป เค็มจนขม หวานจนเอียน อาหารนั้นจะไม่อร่อย มหาทักษาก็มีการหมุนเวียนของของธาตุศุภเคราะห์ และบาปเคราะห์สลับกัน ดาวคู่สมพลที่ทำให้มีกำลัง ก็เกิดจากการจับคู่ศุภเคราะห์และบาปเคราะห์ หากเราจะดูดวงชะตาของคนสำคัญในโลกหลายคน จะเห็นว่ามีทั้งดาวทั้งบาปเคราะห์ ศุภเคราะห์แสดงผลในดวงชะตา ต้องต่อสู้ฟันฝ่ากันมาแทบทั้งนั้น จึงจะเป็นคนรวย คนดัง ระดับโลกได้

ดาวมาตรฐานนั้น หากยังไม่คิดโครงสร้างของดาวก่อน การมีดาวเกษตร อุจ มากๆในดวงชะตา เหมือนกับชีวิตที่อ่อนแอมาก หรือแข็งมากเกินไป มองจากสายตาที่เที่ยงตรงแล้วไม่ดี คนที่มีเกษตรมากไป อาจทำให้เฉื่อย ทำหลายอย่าง แต่ตัดสินใจทำอะไรไม่ได้สักอย่าง จนไม่อาจประสบความสำเร็จได้ คนที่มีดาวอุจหลายดวงเกินไปก็มักมีอัตตาสูง นิสัยเสีย เสี่ยง และอาจขาดความรับผิดชอบ ต่อผู้อื่น มุ่งหวังความสำเร็จของตนเองอย่างเดียว ใครจะตายบ้างก็ช่างปะไร การที่มีดาวอุจซ้อนอุจ เล็งอุจ หรือดาวเกษตรเล็งเกษตร อนุเกษตร บางครั้งจึงไม่ได้ความว่าชะตาดี ในทำนองเดียวกัน พวกดาวนิจประมากมาย ก็ไม่ได้หมายถึงดี หรือเลว หากเอาสิ่งปรากฏในสังคม อาจจะมียศศักดิ์ ร่ำรวยสุงกว่าพวกอุจเกษตรเสียอีก แต่อาจต้องต่อสู้ฟันฝ่ามามากหน่อย และนิสัยใจคอนั้นไม่แน่ว่า อาจเป็นคนขี้ขลาด ขี้โกง หรือกล้าหาญ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ คนที่มีความเสียสละจำนวนมากมักจะมีดาวนิจ ประในดวงชะตาเสมอ คนที่มีดาวดึงดูดทางเพศหลายๆดวงก็เช่นกัน หากมีพอสมควร ทำมุมดี ก็ดึงดูดเพศตรงข้ามได้ แต่หากมีมากไป อาจเป็นคนลักเพศ กลับเป็นเพศตรงข้ามไปเสียเอง หรือกลายเป็นคนวิตถารทางเพศไป นี่เป็นเหตุให้เราต้องหันไปพิจารณาโครงสร้างของดาว และเรือน โดยลัคนา เป็นหลักทุกครั้ง ไม่ใช่เปิดดูตรงกับตำแหน่งดาวสถิตแล้วทายเลย

ในหนังสือหรือตำราต่างๆมักจะมีรูปแบบดาวพิเศษมากมาย ตั้งชื่อกันแปลกๆ บางตำแหน่งอาจเป็นเพียงมติของอาจารย์บางท่าน บางสมัย หรือเป็นบันทึกเตือนความจำเท่านั้น นักเรียนบางคนก็รวบรวมเอาไว้มาก เพราะคิดว่าเป็นไม้เด็ดเคล็ดลับ ทั้งๆที่ไม่รู้วิธีใช้ สังเกตว่าดาวบางดวง หากรวบรวมมาแล้วอาจมีตำแหน่งมาตรฐานดีครบ 12 ราศี อันที่จริงดาวเหล่านี้มีเงื่อนไขในการอยู่ในตำแหน่งนั้น อาจต้องรอดาวจรบางดาว หรือ มีดาวอื่นๆประกอบ และเงื่อนไขอื่นๆอีกมากในการพิจารณาดาว ไม่ใช่การดูอย่างสำเร็จรูปดวงเดียว แล้วใช้ได้เลย ซึ่งถ้าหากเรารู้หลักในการดูดาวจร ดาวเดิม หรือโครงสร้างดาว ตลอดจนธาตุราศีแล้ว ตำแหน่งมาตรฐานของดาวเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นเลย เราเองก็อาจสร้างรูปแบบดาวมาตรฐานเหล่านี้ได้ด้วยตนเอง ดาวตำแหน่งพิเศษเหล่านี้ก็เหมือน หนังสือเก็งข้อสอบ ของเด็กๆ ที่เพียงท่องจำคำตอบตามรูปแบบ เพื่อจะเอาคะแนนเท่านั้น แทนที่จะทำความเข้าใจในเหตุผลที่มา ดังนั้นเพียงโจทย์ดัดแปลงเปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย ก็สอบตกแล้ว


วรกุล - 19 เมษายน พ.ศ.2548 04:16น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 32
เรียนทุกท่าน.........กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว จะทำให้โหลดได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่สามครับ.............


วรกุล - 19 เมษายน พ.ศ.2548 11:22น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 33
ขออนุญาตเผยแพร่ : ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ หลวงพ่อทอง วัดเขาตะเครา อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี

เล่าปรากฏการณ์โดย พระครูวชิรกิจโสภณ เจ้าอาวาสวัดเขาตะเครา เจ้าคณะอำเภอบ้านแหลม จ.เพชรบุรี ปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2527 ซึ่งเป็นวันเกิดของท่านพระครูฯ และได้มีการจัดงานฉลองฯ โดยคณะศิษย์ ซึ่งขณะนั้นอยู่ระหว่างสร้างมณฑป และถัดจากวันเกิดของท่านพระครูฯ อีก 2 วัน คือ ในคืนวันที่ 24 ก.ย. 2527 ขณะท่านพระครูฯ กำลังจำวัด ได้นิมิต (ในฝัน) ว่าได้มีพระอาวุโสมากรูปหนึ่ง ได้นำถุงบรรจุทองคำยื่นให้กับท่านพระครูฯ และพระอาวุโสรูปนั้นได้พูดว่า “เอาไป” หลังจากนั้นพระอาวุโสมากรูปนั้นในนิมิตก็ได้จากไป...พอวันรุ่งขึ้นวันที่ 25 ก.ย. 2527 ท่านพระครูฯ ได้เล่าความฝัน (ในนิมิต) ดังกล่าวให้กับพระลูกศิษย์ฟัง พระลูกศิษย์วัดเมื่อได้ยินความฝันตามที่ท่านพระครูฯ เล่าให้ฟังจบแล้ว ก็ได้พูดขึ้นว่าสงสัยท่านพระครูฯ จะได้ลาภ(สักการะ) จากหมู่คณะผู้ศรัทธาฯ เป็นแน่

ต่อมาในวันศุกร์ ขึ้น 4 ค่ำ เดือน 11 ปีชวด ซึ่งเป็นวันที่ 28 ก.ย. 2527 เวลาประมาณ 21.00 น.เศษ มีเณรลูกวัดรีบวิ่งมาบอกกับท่านพระครูฯ ว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นในโบสถ์ ท่านพระครูฯ และเณรรูปนั้น จึงได้รีบพากันไปที่โบสถ์ และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าท่านพระครูฯ ขณะนั้นก็คือ

ได้เกิดไฟไหม้ลุกท่วมองค์หลวงพ่อทอง และไฟได้ลุกลามไหม้ขึ้นบนยอดฉัตร และด้ายสายสิญจน์ที่โยงมาจากพระประธาน ในปรากฏการณ์ปาฏิหาริย์ดังกล่าว ได้เห็นไฟที่กำลังลุกท่วมองค์หลวงพ่อทองเป็นประกายรัศมีออกมา ทองที่หุ้มองค์ท่านค่อยๆไหลหลุดลอกออกบางส่วน ดูน่าอัศจรรย์ และเมื่อนำทองที่ไหลลอกมาไปชั่งน้ำหนัก ปรากฎว่าได้ถึง 9.9 กิโลกรัม! ทำให้ได้แลเห็นพระพักตร์ชัดเจนขึ้นมาบ้าง ซึ่งก่อนหน้านั้นมีทองปิดหนามากจนองค์ท่านกลมทีเดียว! ท่านพระครูฯ จึงได้นำก้อนทองคำดังกล่าวมาทำเป็นลูกอมทองไหล หลวงพ่อทอง ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปก้อนทองทรงกลมเนื้อเนียนแน่น และมีรูปถ่ายสีขาวดำของหลวงพ่อทองติดอยู่ในรูปทรงกลม หุ้มด้วยเรซิ่นสีเหลืองใสหล่อเป็นรูปดอกบัว ลูกอมทองไหลดังกล่าวได้เปิดออกให้ประชาชนผู้ศรัทธาฯ เช่าบูชา ทำให้มีรายได้เข้าวัดเป็นจำนวนเงินหลายสิบล้านบาท ซึ่งรายได้ทั้งหมดได้นำไปสมทบสร้างมณฑป สร้างโรงเรียน เดินระบบน้ำประปา อีกทั้งสมทบสร้างศาลาเอนกประสงค์

หมายเหตุ จากหนังสืออนุสรณ์ ผ้าป่า 84,000 กอง วัดเขาตะเครา เพชรบุรี

***หลวงพ่อเขาตะเครา ได้รับการเรียกขานนามใหม่คือ "หลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา" สาเหตุมาจากมีช่างภาพคนหนึ่งต้องการถ่ายภาพหลวงพ่อ แต่ความที่องค์หลวงพ่อมีทองปิดทับอยู่หนามากจนแลไม่เห็นพุทธลักษณะเดิม ช่างภาพคนนี้จึงไปลอกผิวเปลวทองที่ติดหน้าพระพักตร์หลวงพ่อออกโดยมิได้บอกล่าวและขออนุญาต หลังจากนั้นไม่กี่วันช่างภาพคนนี้ก็มีอาการหูตาบวมเป่ง จึงต้องมากราบขอขมาหลวงพ่อ อาการจึงหายไป

จากเหตุการณ์ดังกล่าว จึงไม่มีใครกล้าไปแตะต้องหลวงพ่อ จนกระทั่งทองปิดองค์ท่านทับถมกันมากขึ้นทุกวันๆ ทองที่ปิดองค์พระนั้นหนามาก จนทำให้ไม่เห็นองค์เดิมว่าเป็นพระพุทธรูปหล่อหรือปูนปั้น ชาวบ้านที่มานมัสการจึงเติมคำว่า"ทอง" ไปในการเรียกขาน จึงกลายมาเป็นหลวงพ่อ(ทอง)เขาตะเครา


achira.s - 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 15:31น. (IP: 203.118.80.66)

ความคิดเห็นที่ 34
เนยส่นัยสทบย้าท


ดรีม - 20 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 21:02น. (IP: 203.172.72.19)

ความคิดเห็นที่ 35
พวกคุณทำอะไรกันผมทำงานอยู่ช่วยหน่อย


เด็กแพน - 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:35น. (IP: 203.113.76.72)