เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 3 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 2 เดิมมีความยาวมาก ทำให้โหลดได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 3 ครับ)

ผมตั้งกระทู้นี้ขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแต่ละท่านที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น อาจมีความแตกต่างกันทั้ง ทัศนคติ ภูมิความรู้ ประสบการณ์ และวัยวุฒิ จึงอาจมีข้อผิดพลาดบ้างในการแสดงข้อความ จึงประสงค์ที่จะเห็นทุกท่านเปิดใจให้กว้าง ไม่จับความผิดเล็กๆน้อยๆที่จะมีอยู่เสมอ ทั้งในถ้อยคำ หรือ ความรู้ มีความสุภาพ จริงใจ ไม่แสดงถ้อยคำลบหลู่เสียดสีผู้หนึ่งผู้ใค หรือวิชาของผู้ใด ขอให้พึงแสวงจุดร่วมในความคิดเห็น และสงวนจุดต่าง ที่อาจจะพัฒนาไปสู่ความขัดแย้ง ลดอัตตาตัวตนลง มีเมตตาธรรมเป็นที่ตั้งของจิต เพื่อไม่ให้ผู้อื่นเกิดความเศร้าหมอง ท่านใดที่เห็นว่า สิ่งที่ปรากฏในกระทู้นี้ไม่ใช่สิ่งที่ท่านต้องการ ก็สามารถออกไปตั้งกระทู้ใหม่เองได้ตามที่ท่านเห็นสมควร


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
เรียนท่าน อาจารย์วรกุล

อาจารย์คิดเห็นอย่างไรบ้างคะกับการแก้ดวง โดยการเปลี่ยนชื่อ แก้ฮวงจุ้ย ใส่เสื้อผ้า(ตามสี) ใส่เครื่องประดับ ที่ต้องโฉลกตามราศี กราบพระแก้เคล็ด เห็นว่าคนเค้าไปทำเยอะ แห่กันไปทำเลยก็มี อาจารย์คิดว่าได้ผลจริงๆ หรือเปล่าคะ ตามหลักโหราศาสตร์ เห็นอาจารย์โหราศาสตร์ อาจารย์หมอดูหลายๆท่านเหมือนกัน ท่านว่า แก้ไขตามที่ดูให้แล้วจะดีขึ้น รวยขึ้น จนดิฉันเริ่มคิดว่าได้ผลจริงๆหรือ ถ้าได้ผลจริง ตัวอาจารย์ทั้งหลาย ท่านไม่ทำให้ตัวเองบ้างหรือ จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น สบายขึ้น


น้องพร - 20 เมษายน พ.ศ.2548 08:01น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
ตอบ 1 คุณ น้องพร.........ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า การแก้ดวงชะตานั้นทำไม่ได้ครับ หมอดูหรือโหรที่มีความรู้เพียงแต่จะแนะนำให้ ทำอะไรที่สอดคล้องกับดวงชะตา จะเป็นสิ่งที่ถูกกว่า ทุกวันนี้ คนนำมาใช้หากินกันเยอะเกินไป ตั้งตัวกันเป็นอาจารย์ใหญ่ โฆษณามาก ทำให้เสียชื่อวงการโหราศาสตร์ ไปหมด จริงอย่างที่คุณว่า ถ้าได้ผลจริง ตัวอาจารย์ทั้งหลายก็น่าจะทำให้ตัวเองดีขึ้น รวยขึ้นได้ ต่างกับการแนะนำอะไรให้สอดคล้องกับดวงชะตานั้น เจ้าชะตาเขามีดวง มีวาสนา จากผลกรรมดี จะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ถึงเราไม่แนะนำอะไร เขาก็รวยได้เอง ตัวอย่างเมื่อเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาหา สามีเป็นลูกจ้างเขาอยู่ ลำบากมาก มาให้ดูดวงชะตา จังหวะพอดีเขาจะรวยแล้ว ผมจึงแนะนำให้เขาไปเปิดกิจการของตนเอง ทุกวันนี้ เขามีเงินหลายร้อยล้านแล้วครับ แต่ผมเองไม่มีดวงชะตาเช่นนั้น แม้จะไปทำเองบ้างก็คงไม่ร่ำรวยอย่างเขาได้ นี่เป็นสิ่งที่ต่างกัน

ฮวงจุ้ยนั้นเป็นวิชาไสยศาสตร์ แต่นักดูฮวงจุ้ยเอาโหราศาสตร์ไปดูด้วยเท่านั้นเอง ไสยศาสตร์ต่างหากที่เบี่ยงเบนดวงชะตาได้ เป็นการเบี่ยงเบนในกรรมปัจจุบัน ไม่ใช่กรรมเดิม หรือ เป็นการทดใช้กรรม ให้ช้าลง ไม่ได้ขจัดวิบากกรรมให้สิ้นไป แต่การกระทำเช่นนั้น หากทำไม่ดี ทำไม่เป็น ก็จะเกิดเป็นโทษมาก เหมือนคนกินยาถอนพิษ อาจกลายเป็นพิษเสียเอง และแก้ยาก นักโหราศาสตร์ที่มีความรู้จะรู้ไสยศาสตร์ด้วย เพราะต้องแก้ไสยศาสตร์ที่ผิดให้ได้ ไว้จะเขียนเรื่องนี้ให้ในวันหลัง เพราะมีเรื่องน่าสนใจอยู่มากทีเดียว

การกราบพระตามวัดต่างๆแก้เคล็ด เป็นเรื่องกว้างมากไป ความจริงเราจะกราบพระที่ไหนก็ได้ผล หรือไม่ได้ผลเท่ากัน หากจะกราบพระองค์ใด หรือวัดใดให้ได้ผล หรือแม้แต่การแขวนพระเครื่องให้ได้ผลก็ตาม หลักการที่ใช้ไม่ได้อยู่ที่เป็นคนเกิดวันนั้น วันนี้ หรือ ราศีโน้นราศีนี้ แต่จะอยู่ที่ธาตุบางอย่างของแต่ละคนเหมาะสมกับธาตุที่สร้างองค์พระขึ้นมา โบราณเชื่อว่า การที่เราผูกพัน และจะกราบพระวัดใด องค์ใดแล้วได้ผลศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ทุกคนจะได้ผลเหมือนกัน อยู่ที่การทำกรรมดี มีบุญเดิมมาประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง คือเรามีส่วนสร้างพระ สร้างวัดนั้นมาในอดีตชาติ ดังนั้นโบราณจึงสอนให้เราร่วมกันสร้างพระ สร้างวัดไว้ด้วยจิตเป็นศีล มีทานอันบริสุทธิ์ และตัวเรานั่นเองจะได้รับความคุ้มครองตลอดไปทุกชาติ ทดลองดูก็ได้ หากเราเดินทางไปแห่งหนตำบลใด ซึ่งเราได้สร้างบุญไว้เองในอดีต แม้จะจำไม่ได้แล้ว หากเข้าวัด หรือกราบพระแล้วมีความรู้สึกคุ้นเคยมาก แต่บรรยายไม่ได้ นั่นคือผลบุญของเราในอดีต ธาตุที่เกิดจากความตั้งใจของเราในการสร้างพระ สร้างวัดนั้น จะยังคงอยู่ตลอดมา และจะจูนตรงกับเราในชาตินี้ได้ แต่นี่เป็นคนละเรื่องกับไหว้แล้วดี หรือ รวย แต่ผลบุญของเราจะเป็นไปตามหลักพุทธธรรมเท่านั้น

การเปลี่ยนชื่อ มีผลได้ แต่การตั้งชื่อนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวอักษรอย่างนั้นอย่างนี้ เกิดจากคนที่ไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์ และทักษา ซึ่งส่วนใหญ่ใช้มหาทักษามาสวมเข้ากับอักษรวรรคตอน ตามไวยากรณ์ไทยที่แบ่งตามแหล่งกำเนิดเสียงและวรรณยุกต์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดเลยกับมหาทักษา อักษรเหล่านั้นเขามีไว้ตั้งชื่อ หมวดหมู่ฉายาพระบวชใหม่ตามวันเกิดให้สะดวกเท่านั้น ชื่อคนเรามีผลด้านเสียงเรียกขาน และความหมาย แต่ก็เป็นทางด้านไสยศาสตร์ ไม่ใช่โหราศาสตร์แท้

ส่วนการใส่เสื้อผ้า อัญมณีและ เครื่องประดับตามสีนั้น เป็นโหราศาสตร์ แต่ที่เอามาแนะนำกันอยู่ยังไม่ถูกต้อง สีที่ใช้กันอยู่สีตามดาวคู่ธาตุในมหาทักษา เช่น อาทิตย์ – แดง จันทร์ – เหลือง เป็นต้นนี้ โหราศาสตร์เรียกว่าเป็นธาตุท้องถิ่นในธรณี หมายความว่าเป็นธาตุที่เกิดจากทัศนะของธรรมชาติเอง นี่เป็นความลับของมหาทักษาประการหนึ่ง ธรรมดาธาตุนั้นมีการแปรเปลี่ยนได้ โดยเฉพาะการเปลี่ยนสีได้ด้วย นี่เป็นที่มาของชื่อวิชา “สุริยะโชติรัตน์” ซึ่งบรรดาธาตุทั้งหลายต่างเปลี่ยนสีได้สารพัดสี ระยิบระยับตามภพภูมิของมัน สีของวัตถุ เกิดจากคลื่นแสง ของพลังงานธาตุ และชนิดของวัตถุธาตุเอง และ สีในมหาทักษาเป็นแม่สีที่ธรรมชาติใช้เป็นจานสีของจิตรกร เพื่อระบายสีใบไม้ ใบหญ้า และสิ่งทั้งปวงที่รังสรรค์เกิดขึ้นบนโลก ดังนั้น การใช้สีทางโหราศาสตร์ที่ถูกต้อง ต้องเอาวัสดุธรรมชาตินั้นมาเป็นสี เช่นสีที่คั้นสกัดจากใบไม้ เปลือกไม้ ลูกไม้ สัตว์ ดิน หิน เป็นต้น ไม่ใช่สีวิทยาศาสตร์ หรือที่เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีใหม่ๆ แม้สีในธรรมชาติเหล่านั้นจะเกิดจากทางชีวเคมี อินทรียเคมี อนินทรียเคมี เหมือนกันก็ตาม แต่เป็นปฏิกริยาดั้งเดิมที่ธรรมชาติรังสรรค์และระบายสีขึ้นจากธาตุของอาทิตย์เอง ส่วนสีที่ มนุษย์สร้างขึ้นนั้น มาจากธาตุของดวงดาว และอื่นๆ ทำให้ธรรมชาติบนโลกเกิดตาบอดสี ต่อสีต่างๆเหล่านี้ หรือเห็นสีที่เพี้ยนไป ดังนั้น การใช้มหาทักษาในดวงชะตา ต้องระวังเรื่องสี ที่อาจจะตรง หรือไม่ตรงกับสีมหาทักษาเดิม ที่จะเกิดจากเงื่อนไขบางประการ

โหรโบราณใช้สีเป็น เงื่อนไขของการใช้สีอยู่ที่ สีนั้นเป็นสีจากวัสดุธรรมชาติ และเป็นสิ่งที่อยู่ในเนื้อวัตถุ เช่นการฟอกย้อมมา ไม่ใช่ทาสีกระป๋อง ดังนั้น ผ้าที่ย้อมสีเคมีมาจึงใช้ไม่ได้ ดอกไม้เกิดจากธรรมชาติล้วนๆ จะใช้ได้ดีกว่า พวกอัญมณี ต้องเป็นของธรรมชาติ เช่นไข่มุกข์ เพชร พลอย ไม่ใช่พลอยหุง หรือเพชรเทียม พลาสติค ใส่แล้วก็ไม่มีความหมายอันใด แต่การใช้ผ้าหรืออัญมณีนั้น มีความหมายในดวงชะตาเป็นเพียง กดุมภะ ไม่ใช่สวมใส่แล้วไปมีผลต่อ ลัคนา และตนุ ตัวตนของเจ้าชะตา ดังนั้นการแนะนำให้ใช้สี จึงต้องดูดวงชะตาเป็นอีกด้วย เพราะดีไม่ดี อาจจะกลับกลายเป็น จนลง หรือซวยไป ถอดออกเสียดีกว่า แต่เรื่องการใช้สีนี้มีผลน้อย โบราณนั้นใช้เมื่อต้องทำพิธีกรรมสำคัญ ซึ่งจะยังไม่เล่าตอนนี้ นอกจากนั้น การใช้มหาทักษาก็ยังใช้กันผิดๆ หากจะใช้สีตามธาตุ หลักเบื้องต้น ต้องใช้ตามสีวัน (คือในภมิ “บริวาร” ) นั่นแหละเป็นหลัก ไม่ใช่ภูมิ “ศรี” หรือ “มนตรี” อย่างที่บรรดาอาจารย์ทั้งหลายคิดเอาเอง ส่วนสีที่ใช้ประกอบ อาจเป็นสี “กาลกิณี” ก็ไม่เกี่ยง เพราะ สี ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี เลย หากเรียนเรื่องธาตุในมหาทักษาแล้วจะเข้าใจได้เอง ว่าเพราะอะไร

ความรู้สุดท้ายที่อยากจะบอก ก็คือ โหรที่ขาดความรู้มักจะแนะนำให้แก้ดวงโดยทำเช่นนั้นเช่นนี้ เพราะไม่ทราบเรื่องปัจจัยของดวงชะตา ดวงชะตานั้น คือแผนผังการอ่านธรรมชาติ ซึ่งพวกเรือนชะตา ธาตุดาว ราศี ต่างๆเหล่านี้ สามารถ เป็นได้ทั้ง เหตุ และ ผล ต่อเหตุการณ์ แต่เรื่อง สี ชื่อ หรือตัวเลขต่างๆ ที่นิยมแนะนำให้มาแต่งเติมบ้านเลขที่บ้าง เลขทะเบียนรถยนต์บ้าง ให้ถูกโฉลก หรือเอามาทำนายทายทักกันก็ตาม นั้นเป็นผลในดวงชะตา ไม่ได้เป็นเหตุ การแก้เหตุไปหาผลนั้นทำไม่ได้ เช่น คุณซื้อผ้ามาผืนหนึ่งสีฟ้า ก็อ่านได้ว่าคุณได้ กดุมภะมาอย่างหนึ่งที่มีสีฟ้า ไม่ได้แปลว่าสีฟ้าเป็นเหตุทำให้คุณได้กดุมภะมาอย่างหนึ่ง คิดดูดีๆ นอกจากนั้น การใช้ตัวเลขต่างๆ ที่ขนานนามกันว่า “เลขศาสตร์” นั้น ก็ไม่ตรงกับหลักโหราศาสตร์จริง แต่ไปเอาพีชคณิตหมูๆ มาอ้างเป็นโหราศาสตร์ โหรไทยก็มีวิชา “เลขศาสตร์” อยู่ แต่มักแทรกอยู่ในวิชาอื่นๆ ซึ่งจะเข้าถึงความเป็นจริงมากกว่า ซึ่งคงจะเล่าตอนนี้ไม่ได้ อยากถามเล่นๆเอาไว้ก่อนว่า “ใครรู้บ้างว่า เลขไทย มาจากไหน”


วรกุล - 21 เมษายน พ.ศ.2548 10:21น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
ขอแก้ข้อความในวรรคสุดท้ายครับ “การแก้ผลไปหาเหตุนั้นทำไม่ได้” ขออภัยครับ


วรกุล - 21 เมษายน พ.ศ.2548 10:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียน อ.วรกุล

กรุณาอธิบายเรื่องธาตุในมหาทักษาพอสังเขปนะครับ เพื่อเป็นวิทยาทาน ขอบคุณครับ


นร. - 21 เมษายน พ.ศ.2548 10:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
อยากทราบว่า "เสาร์ถึงจันทร์จะพลันร้าย ข้าวของเสียหายลูกเมียหนี"... โคลงบทนี้โหราจารย์โบราณท่านนแต่งขึ้นมาเพื่อต้องการบอกอะไร แก่บุคคลที่มีดาวจันทร์ถึงดาวเสาร์ในดวงชะตาหรือครับ?แล้วถ้าไม่ดีตรงไหนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง? ขอความกรุณาท่านอาจารย์ด้วยนะครับ. (เพราะว่าผมมีดาวเสาร์ถึงดาวจันทร์ด้วยครับ)


สุนทร - 21 เมษายน พ.ศ.2548 13:28น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
อยากทราบว่า "เสาร์ถึงจันทร์จะพลันร้าย ข้าวของเสียหายลูกเมียหนี"... โคลงบทนี้โหราจารย์โบราณท่านแต่งขึ้นมาเพื่อต้องการบอกอะไร แก่บุคคลที่มีดาวจันทร์ถึงดาวเสาร์ในดวงชะตาหรือครับ?แล้วถ้าไม่ดีตรงไหนจะมีวิธีแก้ไขอย่างไรได้บ้าง? ขอความกรุณาท่านอาจารย์ด้วยนะครับ. (เพราะว่าผมมีดาวเสาร์ถึงดาวจันทร์ด้วยครับ)


สุนทร - 21 เมษายน พ.ศ.2548 13:29น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
ขอบคุณอาจารย์มากคะ คำตอบของอาจารย์ทำให้คลายสงสัยไปเยอะเลย แต่ยังมีข้อยังมีข้อสงสัยอยู่อีกเรื่องนึง คือ ฮวงจุ้ย กับ ชัยภูมิ ต่างกัน หรือ เหมือนกันอย่างไร ฉะนั้นการนำไปใช้ เราจะใช้เมื่อไหร่ และได้ประโยชน์เหมือนกันมั๊ยคะ


น้องพร - 21 เมษายน พ.ศ.2548 19:53น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบ 4 คุณ นร. ..........ความจริงเรื่องธาตุในมหาทักษา โดยสังเขปก็ดูได้จากตำราอยู่แล้ว หรือดูจากหนังสือ “โลกธาตุ” ก็ได้ โดยตัดพวกเรื่องตำนาน เทวดาอะไรออกไปเสีย วิชาโหราศาสตร์ทางธาตุ ถือว่าธาตุมีต้นตอมาจาก สองแหล่งใหญ่ คือ ดาวฤกษ์ และดวงอาทิตย์ เรื่องดาวฤกษ์นั้นยากที่สุด ซึ่งโหรไทยจะสอนให้ในระดับผู้เรียนที่รู้เรื่องดีแล้ว จึงยังไม่พูดถึงก็ได้

ดวงอาทิตย์เป็นแหล่งพลังงานธาตุ และธาตุทั้งปวงในระบบดาวเคราะห์ (ดวงอาทิตย์ กับธาตุอาทิตย์ไม่เหมือนกัน ธาตุอาทิตย์เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ไม่ใช่หมายถึงดวงอาทิตย์) ดวงอาทิตย์ส่งพลังงาน พร้อมธาตุให้แก่ดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ต่างๆ รับพลังงานแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นเกษตรธาตุ และธาตุดาวในจักรราศี หรือ เรียกว่า “ธาตุในจักรวาล” อีกทางหนึ่ง คือ กระแสดวงอาทิตย์ที่ส่งมายังโลกโดยตรง โลกเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ดังนั้น จึงกลั่นกรองเป็น เกษตรธาตุ และธาตุดาวของโลกเอง ตรงนี้จะเป็นแหล่งใหญ่ของ “ธาตุในธรณี” เกือบทั้งหมด

ธาตุในธรณี จะรังสรรค์สร้างสิ่งต่างๆขึ้นบนโลกทั้งหมด และ จะแปรเปลี่ยนไปเป็นวัฏจักร อยู่ตลอดเวลา เกิดเป็นวงจรอนุกรมซ้อนกันอยู่จำนวนมาก โหรไทยเลือกเฉพาะวงจรสำคัญที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ออกมาใช้ บางอนุกรม แต่ที่สำคัญ คือ มหาทักษา เพราะ เป็นวงจรร่วม หรือ ภพภูมิร่วม ของกระแสธาตุอื่นหลายอนุกรม จึงสามารถยกระดับเข้าสู่วงจรธาตุอื่นๆได้หลากหลาย ดังนั้น วิชาธาตุในธรณีมักใช้มหาทักษาเป็นทางร่วม แต่บางวิชาไม่เข้าทางมหาทักษาก็มี และที่สำคัญคือ สามารถนำเอา มหาทักษาผ่านธาตุไปเข้าจักรราศีได้ หรือ จะใช้ทำนายด้วยตัวมันเองก็ได้ แต่การทำนายดวงชะตานั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ธาตุในธรณี แต่จะใช้ธาตุในจักรวาล ระบบเดียวก็ได้ ซึ่งหมายความว่า ไม่จำเป็นต้องใช้มหาทักษาเลย ดังนั้น โหราศาสตร์ระบบต่างๆ จึงมีที่ไม่ใช้มหาทักษา แต่อาจจะยังคงใช้ธาตุในธรณีอยู่ เช่น จีน พม่า มอญ ซึ่งเราอาจจะเห็นอนุกรมธาตุแปลกๆที่ไม่คุ้นตา ซึ่งต้องตรวจดูว่าเป็นของจักรวาล หรือ ธรณี จึงจะเข้าใจระบบธาตุได้

ต้องขอเตือนว่า ในยุคของเรา มีผู้แนะนำ “ทักษา” แบบต่างๆ ขึ้นมาเยอะ บางแบบก็มีมูลหลักฐานในวิชาธาตุ บางแบบท่านก็ “เสก” ขึ้นมาเอง รวมทั้งการนำทักษาไปใช้ในทางต่างๆโดยไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในสังคมโหราศาสตร์ของเราทุกวันนี้ ยังไม่อยากพูดว่าอะไรจริง อะไรปลอม เดี๋ยวเว็บจะล่มเสียก่อน

0000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 5 คุณ สุนทร.........เรื่องเสาร์ ถึงจันทร์ตามที่ถามนั้น เขามุ่งพิจารณาหลักการดาวจร มาถึงดาวเดิมครับ ตามดวงชะตาโลกราศีเมษ จันทร์จะเป็นเจ้าเรือนพันธุ หมายถึง ภูมิลำเนา บ้านเรือน วงศ์วานว่านเครือ ครอบครัวลูกเมีย เมื่อเสาร์จรมาทับ หากกำลังเป็นดาวบาปเคราะห์ที่ไม่ให้คุณ เช่น เป็นกาลกิณีจร เมื่อจรมาทับจันทร์ พันธุก็เสียหายนั่นเอง นอกจากนั้น ยังต้องดูความหมายระหว่างดาว เช่น เสาร์ ร่วมจันทร์ หมายถึง จากพรากไป ซึ่งเป็นความหมายกลางๆ อาจไปดี หรือไปร้าย ก็ต้องแล้วแต่เรื่องราวรายละเอียด เช่น จากไปทำงานต่างประเทศ ต่างจังหวัด ก็เป็นได้

การดูตำราใดต้องเข้าใจเจตนาด้วย อย่างตัวอย่างนี้ต้องการเน้นหลักการทำนายดาวจรกระทบดาวเดิมในกรณีที่ดาวจรเป็นโทษ อย่างเดียว ยังไม่ได้บอกเงื่อนไขอื่นๆ ดังนั้น เราต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆรอบด้านด้วย ไม่ใช่เถรตรงตามคำในตำรา การดูดวงชะตา ไม่ว่าเป็นดาวเดิมที่ดาวถึงกันอยู่ หรือดาวจรมากระทบกัน ต้องดูคุณภาพดาวทั้งสองว่าเป็นอย่างไร รวมทั้งลัคนา เรือน ตำแหน่งสถิตในราศี ตลอดจนความสัมพันธ์กับดาวอื่นๆที่เหลือ จึงจะรู้ว่าดีหรือไม่ดี เรื่องเหล่านี้ หากหัดเรียนใหม่ก็ต้องพิจารณาให้เป็นก่อน

00000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 7 คุณน้องพร.........เรื่อง ฮวงจุ้ย กับ ชัยภูมิ มีทั้งส่วนที่คล้ายกัน และไม่เหมือนกันครับ ดังนั้นการนำไปใช้เมื่อไร อย่างไร ก็แล้วแต่วัตถุประสงค์ การอธิบาย ผมไม่อยากก้าวล้ำไปยังทั้งสองวิชา และการอธิบายโดยรวบรัด ก็ไม่สามารถครอบคลุมได้ทั้งหมด อาจถูกประท้วงได้ ดังนั้นจะว่าในเรื่องกว้างๆ พอเข้าใจ

ฮวงจุ้ย เป็นการดูทำเลที่ตั้ง ที่เน้น “ชีวิต” ที่อยู่ในภูมิประเทศที่ตั้งนั้น ไม่ได้เน้นวัตถุทีเดียว โดยจับกระแสธาตุที่เป็น “ชี่” หรือปราณ ซึ่งเป็นพลังงานธาตุ รูปหนึ่ง และกระแสธาตุอื่นร่วมมา ดังนั้น วิชาฮวงจุ้ย จึงดูกระแสธาตุที่เป็นฝ่ายเคลื่อนที่เป็นหลักใหญ่ โดยมี ภูมิประเทศ วัตถุ และชีวิต ที่อยู่เป็นฝ่ายตั้งรับ ความสำคัญอยู่ที่การปรับปรุง หรือขจัดอุปสรรค ที่จะทำให้ปราณนั้นเข้าถึงชีวิต และสิ่งแวดล้อม เมื่อกระแสธาตุโคจรถึงชีวิต ก็จะมีปฏิกิริยาให้ธาตุของชีวิตเปลี่ยนแปลงไป

ส่วน ชัยภูมิ เป็นวิชาที่ดูทำเลที่ตั้ง และเคลื่อนที่ด้วย พวกรถ เรือ ยานพาหนะ กองทัพ ช้าง ม้า บ้านเรือน โบสถ์ วัด เจดีย์ ต้นไม้ ล้วนแต่อยู่ในวิชาทางชัยภูมิ ดังนั้น จึงใช้กับสิ่งทีมีชีวิต และไม่มีชีวิต

วิชาชัยภูมิจึงพิจารณาได้ แบบกระแสธาตุเคลื่อนที่ และ ภูมิประเทศเป็นฝ่ายตั้งรับ หรือ ชีวิตและวัตถุ เป็นผู้เคลื่อนที่ โดยมีชัยภูมิแหล่งธาตุ ซึ่งผ่านเข้าไปเป็นสิ่งแวดล้อมตั้งรับ นอกจากนั้น กระแสธาตุทางชัยภูมิ ไม่ได้ใช้เฉพาะปราณ แต่ใช้พลังงานธาตุและธาตุอื่นๆที่จำเป็น (ที่ไม่เหมือนวิชาฮวงจุ้ย) ร่วมด้วย สำหรับสิ่งมีชีวิต และไม่มีชีวิต สมมุติให้เห็นง่ายๆ เช่น เรือต้องแล่นไปในคลอง วิชาฮวงจุ้ยจะเน้นที่คลอง แก้ไข ปลูกต้นไม้ ตัดต้นไม้ ที่ขวางคลอง แต่วิชาชัยภูมิจะเน้นที่คลองด้วย และเน้นที่เรือด้วย หากเรือใหญ่ไป เล็กไป แหลมไป ทู่ไป ยาวไป ไม่เหมาะกับหัวเลี้ยวในคลอง ก็อาจเปลี่ยนเรือเสียก็ได้.......ลองคิดดู

เพราะเหตุนี้ ตำราพิไชยสงคราม จึงเน้นวิชาชัยภูมิ ของไทยก็มี ของจีนก็มี ไม่ใช่จีนมีแต่วิชาฮวงจุ้ยอย่างเดียว และบางอาจารย์ก็เอามาใช้ร่วมกันเรียกเป็นวิชาฮวงจุ้ยไปหมด.......จะว่าเรียกผิด ก็ไม่ผิด เพราะมันทับซ้อนกัน แต่ถ้าใช้ธาตุไม่ถูก ก็ถือว่าไม่ถูก เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ส่วน การที่จะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่อยู่ที่เราจะพิจารณาว่า กระแสธาตุจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต และ กรรมเดิมของเราได้เพียงใด เหมือนกับกองทัพที่ไม่มีฝีมือ หากดูตำราชัยภูมิ และ ฮวงจุ้ยดีเลิศเพียงใด ก็คงไม่ทำให้รบชนะได้


วรกุล - 23 เมษายน พ.ศ.2548 03:35น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
ขอบคุณ อาจารย์วรกุลมากๆคะ

จะให้เข้าใจก็คงยังไม่เข้าใจหรอกคะ อาจเป็นเพราะยังไม่มีความรู้ อย่างไรเสีย จะพยายามศึกษาไปก่อน แต่คงจะอีกนานกว่าจะรู้ได้คร่าวๆ


น้องพร - 23 เมษายน พ.ศ.2548 19:32น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
สมัยเรายังเป็นเด็กอยู่ เวลาเราทำอะไร จะเล่นอะไร หรือกินอะไร ผู้ใหญ่มักจะมาห้ามไม่ให้ทำ แต่พอห้ามแล้ว ผู้ใหญ่ก็มาทำเสียเองหน้าตาเฉย เราโตแล้วจึงรู้เหตุผลว่าทำไมจึงถูกห้าม ก็เพราะผู้ใหญ่เกรงว่าเราทำไม่เป็น กินไม่เป็น อาจเป็นอันตราย หรือเพาะนิสัยที่เสียต่อไปภายหน้า

เวลาเรียนโหราศาสตร์ไทยก็เหมือนกันเลย พวกเราบางคนอาจยังไม่เคยสังเกตว่า หากเราเรียนในห้องเรียน เรามักจะถูกสอนเรื่องดาวกุม ดาวเล็ง ดาวทำมุมต่างๆ ต้องเป็นไปตามองศาที่กำหนด แม้จะมีระยะองศาที่ยอมให้คลาดเคลื่อน ที่เราเรียกว่า “ระยะเอื้อม” แต่เมื่อเกินระยะเอื้อมไปแล้ว ก็ไม่ถือว่ามี “ทัศนสัมพันธ์” ที่เป็นไปตามหลักการ เช่นสมมุติมีดาวพุธ อยู่ที่ 5 องศา ดาวศุกร์ อยู่ที่ 25 องศา ที่ราศีธนู ด้วยกัน ตามหลักทัศนสัมพันธ์ (aspects) จะไม่ถือว่าดาวทั้งสอง “กุมกัน” แต่จะถือเพียงเป็นการ “ร่วมราศี” เท่านั้นเอง แต่พอไปดูโหรผู้ใหญ่พยากรณ์บ้าง ท่านจะเรียกว่า “พุธกุมศุกร์” หน้าตาเฉย พวกเราก็เข้าใจว่าเกิดจากการดูดวงอีแป่ะ แล้วไม่ต้องดูองศานั่นเอง ซึ่งเราเข้าใจกันผิด เพราะดวงอีแป่ะก็ต้องดูองศา.......งงไหม

คำอธิบายของผมตรงนี้จะยอกย้อนอยู่ บางคนอาจจะนึกด่าว่ามาแกล้งเขียนอะไรให้งงเล่นหรือเปล่า อยากให้ลองคิดตามดู เหตุผล ของการที่เรียกว่า “พุธ กุมศุกร์” ได้เลยนั้น เกิดจากธรรมชาติของธาตุดาวในดวงชะตาแบบไทยเอง ตั้งต้นต้องคิดก่อนว่า อันที่จริงนั้นดาวทั้งสองยังไม่กุมกัน แต่เป็นการร่วมราศี ดาวที่ “ร่วมราศี” จะ “กุมกัน” จากเหตุ 2 ประการ หนึ่ง เมื่อใกล้องศา สอง เมื่อมีดาวจรมีพลังงานผ่านเข้าราศี

มีสิ่งที่ต้องรู้ และทำความเข้าใจก่อนว่า ดวงชะตาแบบไทยนั้น ตัวเลขที่เราเห็นในดวงชะตา ไม่ใช่ดาวอย่างโหรระบบอื่น แต่เป็น “ธาตุดาว” ธาตุดาวนั้น เป็นธาตุที่ได้จากดาวจริงในจักรวาล เมื่อดาวได้พลังงานจากดวงอาทิตย์แล้ว จะแตกตัวแล้วส่งมายังโลก ผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา แล้วไหลวนมาสถิตอยู่ในราศีเดียวกับที่ปรากฏในจักรวาล ดังนั้น จึงดูเหมือน ตัวเลขแทนดาวเหล่านี้ คือดาว แต่จริงๆแล้วมันเป็นธาตุชนิดหนึ่งมีความละเอียด และสามารถทำปฏิกิริยากับธาตุอื่นๆได้ด้วย ธาตุดาว นี้ ไม่ใช่จุด แต่มีขนาดโดยรูปธรรมโดยทั่วไปราว หนึ่งนวางค์ หรือราว 3 – 4 องศา เว้นแต่ดาวที่มีแสง เช่น อาทิตย์ หรือจันทร์จะมีขนาดใหญ่กว่า เล็กน้อย ธาตุดาว มีเนื้อธาตุเดียวกับเกษตรเจ้าเรือนของมันเอง แต่มีพลังงานธาตุน้อยกว่าเกษตร เช่น ธาตุดาวพุธ ก็จะมีธาตุพุธเช่นเดียวกับเกษตร ราศีมิถุน และ กันย์ แต่เกษตรนั้นเป็นธาตุที่มีพลังงานธาตุสูงมาก แต่ละเกษตร หรือราศีนั้น จึงมีสภาพที่สามารถเคลื่อนไปมาได้สูงกว่าธาตุดาว คิดเอาง่ายๆแบบของผมว่า เปรียบเหมือน ธาตุดาว เป็นก้อนน้ำตาลนุ่มๆ เหมือนท้อฟฟี่รสกาแฟ แต่เกษตรราศีเป็นอ่างใส่กาแฟ ที่ร้อนและเหลวไหลได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะธาตุใดก็ตาม

ธาตุดาวแต่ละดวง ยังมีขนาดที่เปลี่ยนแปลงได้ จากขนาดเดิม ราว 3 - 4 องศา หากมันโคจรพักร มน เสริด ขนาดก็ขยายใหญ่ขึ้นได้ และหากเข้าราศีที่มีสภาวะธาตุที่เป็นมิตรกัน เช่น ดาวพุธ ธาตุน้ำเข้าในราศีธาตุดิน หรือ น้ำ ขนาดมันก็จะขยายขึ้นได้อีก แต่หากเป็นราศีธาตุ ไฟ หรือ ลม ก็จะไม่ขยายตัวเพราะราศี แต่ที่เรียกว่าธาตุขยายขนาดได้นั้น เพราะ ธาตุดาวจะมีคุณสมบัติประการหนึ่ง คือ มีธาตุที่แพร่กระจายออกมาจากตัว เรียกว่า “รอกธาตุ” หรือ “รอกดาว” ซึ่งเกิดจากธาตุดาวคายออกมา คิดง่ายๆแบบของผมก็คล้ายลำไย ธาตุดาว คือ เม็ดลำไยที่มีสีดำ รอกธาตุ คือเนื้อลำไยสีขาว แต่นุ่มๆฟูๆ เหมือนสำลี ส่วนที่เป็นรอกธาตุนี่เองที่เป็นส่วนที่แปรขนาดได้ และรอกธาตุยังเป็นสิ่งแรกของดาวที่เข้าดึงดูดธาตุอื่นเข้ามาทำปฏิกิริยากัน เวลานี้ ผมไม่มีกระดานดำเขียนให้เห็นรูปกราฟฟิกส์ ดังนั้น พวกเราต้องนึกเอาเองว่า ในดวงชะตามีธาตุดาวเหมือนก้อนสำลีกลมๆ หลายๆสี แทนดาว โคจรสถิตอยู่ตามราศีต่างๆในดวงชะตา เมื่อธาตุดาวอยู่ใกล้องศากัน แม้ไม่อยู่ในระยะเอื้อมองศาทีเดียว แต่รอกธาตุก็แพร่ถึงกันได้ ซึ่งทำให้เกิดเรื่องราวได้บางเรื่อง ดังนั้น ดาวทั้งสองแม้จะร่วมราศีก็อาจมีสภาพเหมือนกุมกัน นั่นเป็นประการแรก

ประการที่สอง การกุมกัน ยังเกิดจากอิทธิพลของ “ดาวจร” ขอให้มองสมมุติ หากมีดาวจรดวงหนึ่ง โคจรผ่านเข้ามาในราศี จะมีปฏิกิริยากับดาวพุธ และศุกร์ ในตัวอย่างของเรา แม้ดาวจรไม่ได้ทับดาวใดสนิทองศา แต่จะมีปฏิกิริยาต่อเนื่องถึงกันได้ โหรบางท่านจึงเปรียบเทียบว่าเหมือน (นักดนตรีไทย) ที่ ตีรูดลูกระนาด เพราะเกษตรราศีนั่นเอง เป็นเหมือนอ่างกาแฟใหญ่ ที่มีกระแสพลังงานธาตุเคลื่อนที่ได้ ทำให้ดาวพุธ และ ศุกร์ ทั้งสองมีสภาพเดียวกับกุมกันสนิท ดาวจรตัวการนั้นหาไม่ยาก เช่น จันทร์จร นั่นเองที่เดินเร็ว จึงมักเป็นตัวสำคัญให้ดาวกุมกัน หรือ มีทัศนสัมพันธ์ถึงกัน ในดวงชะตา คนที่ชำนาญจึงเพ่งเล็งดูดาวจันทร์จร ก่อนจะพยากรณ์เหตุการณ์เสมอ ต่างจากพวกเราส่วนมากที่ไม่ค่อยสนใจดาวจันทร์โคจรเลย นอกจากดาวจันทร์แล้ว ดาวจรทุกดวงที่กำลังมีพลังงาน (โหรส่วนมากใช้คำว่า “ได้รับแสง”) ก็จะใช้ได้เช่นกัน

อิทธิฤทธิ์ของดาวจรต่อมุมดาว ยังอยากยกตัวอย่างมาอีกอัน เช่นสมมุติ มีดาวอังคารอยู่ที่ 2 องศา ราศีมิถุน และมี ดาวเสาร์อยู่ที่ 28 องศาราศีตุลย์ ปกติดาว 2 ดวงนี้ จะไม่ตรีโกณกันเลย แต่ถ้ามีดาวจร ซึ่งมีแสง(พลังงาน) จรเข้าราศี มิถุน หรือ ตุลย์ ก็ถือว่า อังคารตรีโกณถึงเสาร์เช่นกัน........เหตุผลนั้นเกิดจากกระแสธาตุในเกษตรราศี นั่นเอง ถ้าหากเราจะใช้จินตนาการ ต้องคิดว่า มุมดาวทั้งหลายในโหราศาสตร์ไทย เป็นลำกระแสใหญ่ เหมือนยิงปืนลูกซองดาวกระจาย ไม่ใช่ลูกโดด ที่ เป็นเส้นตรงเรียวเล็ก หรือผอมๆ หรือในธรรมชาติที่พบในชีวิตประจำวัน เราจะรู้กระแสลมที่ม้วนตัวพัดมาปะทะใบหน้า เป็นลำของลมขนาดใหญ่ นั่นจะคล้าย “กระแสธาตุระหว่างดาว” ที่โหรไทยโบราณคำนึงถึง ซึ่งไม่ใช่เส้นดินสอตรงเป็นบันทัดแบบโหราศาสตร์ระบบอื่นๆ

ด้วยเหตุนี้เอง โหรผู้ใหญ่จึงอ่านดาวโดยรวบรัดว่าดาวกุมกัน หรือ เล็ง และทำมุมอื่นๆ เพราะเข้าใจเงื่อนไขของกระแสธาตุดาว พึงเข้าใจว่า หากเราจะอ่านเช่นนี้บ้าง ต้องเข้าใจที่มา เหตุผล พร้อมทั้งเงื่อนไขของมันด้วย ไม่ใช่เข้าใจผิดๆว่า ดวงอีแป่ะนั้นง่ายๆ จะดูอะไรก็ดูได้ตามสบาย จึงเผลอสรุปว่า โหรไทยนั้นมักง่าย จึงอ่านง่ายๆ โดยไม่ต้องดูองศา และ เป็นโหราศาสตร์ชนิดไม่มีเหตุผล แต่ตรงกันข้าม โหราศาสตร์ไทยนั้นมีเหตุผลอยู่มากมายทุกเรื่อง ชนิดอธิบายสั้นๆกันไม่จบ


วรกุล - 26 เมษายน พ.ศ.2548 16:33น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
พวกเราทุกคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ “ไสยศาสตร์” มาบ้างแล้ว ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม และบางคนที่ไม่รู้เรื่อง ก็เหมารวมเอาว่า “โหราศาสตร์” ก็เหมือนกับ “ไสยศาสตร์” ไม่ต้องพูดถึงบุคคลภายนอก แม้พวกเราเองก็ไม่ค่อยมีใครรู้ว่า ไสยศาสตร์ กับ โหราศาสตร์ มันแตกต่างกันตรงไหน และบางคนก็ไปให้คำแนะนำคนอื่นเป็นไสยศาสตร์ไปหมด เพราะวิชาต่างๆที่พวกเรารู้จักนั้น เหมือนปลายยอดของภูเขาน้ำแข็งที่ลอยพ้นน้ำ แต่ใต้น้ำลงไป ยังมีความรู้อยู่อย่างมหึมาเทียบเท่ากับภูเขาทั้งลูก โหราศาสตร์นั้นมีส่วนซ้อนทับกับไสยศาสตร์อยู่มากมาย ผมคงจะไม่อธิบายตอนนี้ แต่อยากเล่าเรื่องที่โหราศาสตร์ ถูกนำไปใช้เพื่อ ไสยศาสตร์ทั้งโดยผู้รู้ และไม่รู้

ไสยศาสตร์นั้น มีทั้ง “ไสยดำ” ฝ่ายเลว และ “ไสยขาว” ฝ่ายดี เอาไว้แก้กัน ในเมื่อ ไสยดำเอาโหราศาสตร์ไปใช้ ไสยขาวจึงต้องเอามาใช้บ้าง จึงกลายเป็นโหราศาสตร์ฝ่ายดำ และ ฝ่ายขาวไปด้วย ในบรรดาเกจิอาจารย์ รวมทั้งครูโหร จึงจำเป็นต้องรู้ทั้งสองศาสตร์ พร้อมกัน จะเห็นได้จากสมัยโบราณมา โหรมักจะเป็นผู้ดำเนินการด้านไสยศาสตร์ และบรรดาอาจารย์ไสยศาสตร์ที่จะไม่รู้โหราศาสตร์นั้นหายาก อย่างดีๆชั่วๆ ต้องรู้จักมหาทักษา เพราะต้องดำเนินการเกี่ยวกับธาตุ........ไสยศาสตร์ ส่วนใหญ่จะวุ่นวายอยู่กับ วิญญาณ แต่ก็เอาธาตุทุกอย่างมาใช้ด้วย ต่างกับนักโหราศาสตร์อย่างพวกเรา มักใช้มากเป็นบางธาตุ และบางธาตุก็ไม่รู้เรื่องเลย หากเรารู้เรื่องธาตุเช่นพวกไสยศาสตร์รู้ อาจจะทำให้เราเข้าใจโหราศาสตร์ดีขึ้นอย่างมาก

ส่วนของโหราศาสตร์ที่ถูกนำไปใช้มาก คือดวงชะตา ดวงชะตานั้น แสดงธาตุดาวในขณะเราเกิด และสามารถนำมาใช้พยากรณ์แทนตัวเราได้ ไสยศาสตร์นำดวงชะตามาให้พลัง “บางอย่าง” ทำให้สามารถสร้างสำเนาขึ้นมา มีคุณสมบัติเหมือนกับเจ้าชะตา เมื่อเขาได้ตัวแทนเราแล้วจะไปทำอย่างไรกับดวงชะตานั้น ก็สามารถสื่อถึงเจ้าชะตาได้ ดังนั้น โบราณจึงไม่บอกวันเดือนปีเกิดแก่ใคร เพราะเกรงเขาไปทำทางไสยศาสตร์ อย่างดวงเมืองก็ถุกผ่านการทำไสยศาสตร์ อย่างที่เคยเล่ามาแล้ว จึงไม่ใช่ดวงชะตาธรรมดา แต่ดวงชะตาที่สร้างจากฤกษ์แบบนี้นั้นยุ่งยากและสำคัญ เพราะไม่ใช่ดวงชะตากำเนิด แต่มีประโยชน์มากในการใช้ด้วยจุดประสงค์ต่างๆกัน ด้วยเหตุที่มันสร้างยาก ดังนั้นจึงใช้กับเรื่องสำคัญๆ เช่น การรบทัพจับศึก การสร้างดวงเมือง การปลุกเสกวัตถุมงคล หรือการสถาปนาเกียรติยศที่สำคัญในบ้านเมือง คนที่รู้เรื่องเหล่านี้ดีมีไม่มากนัก ส่วนใหญ่วิชาที่เล็ดลอดออกมา มักไม่สมบูรณ์ แม้แต่นักโหราศาสตร์เองที่เข้าใจเรื่องราวดี ก็ไม่ใช่ว่าจะทำได้ และหากใช้ไปในทางผิด หรือทำผิดทาง แทนที่จะดี แต่จะกลับกลายเป็นเรื่องเสียหายที่แก้ยาก

อีกเรื่องหนึ่งคือกาลเวลา เพราะโหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเรื่อง “เวลา” หรือ “กาล” ซึ่งไม่ได้หมายถึง เวลาตามสากลเพียงอย่างเดียว กาลของโหราศาสตร์มีหลายอย่าง บางอย่างนำมาใช้เพื่อเลือกจังหวะปฏิกิริยาของธาตุ เวลาที่ใช้ทางโหราศาสตร์แบ่งได้เป็น 2 อย่าง คือ เวลาธาตุ และ เวลาจักรวาล ซึ่งคือเวลานาฬิกาของเรานั่นเอง ไสยศาสตร์สามารถ หน่วง เร่ง หรือ หยุดเวลาทางธาตุได้ ทำให้ทำอะไรได้แปลกๆ เรื่องเวลาธาตุของโหราศาสตร์นี้เป็นเรื่องสำคัญ เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดหลักวิชาพยากรณ์เป็นส่วนมาก แต่พวกเรามักเข้าใจว่าเป็นเวลาจักรวาลไปเสียทั้งหมด

นอกจากนั้น โหราศาสตร์ยังถูกนำไปใช้ตรวจรักษาโรค โดยวิธีทางไสยศาสตร์ กำหนดเวลาแก้อาถรรพ์ และดำเนินการเกี่ยวกับกับ ดวงจิต ที่ไม่ใช่จิตตามแบบแพทย์สมัยใหม่ โหราศาสตร์ฝ่ายดำยังอาจใช้ทำทุจริต ผิดศีลธรรมเช่นพวกโจร กามารมณ์ หรือทำไสยศาสตร์ฝ่ายต่ำอีกหลายอย่าง แม้ในสังคมที่ทันสมัยแล้ว โหรเลวๆก็อาจนำไปใช้ เช่น การวางดวงฤกษ์ให้โครงการหมู่บ้านขายดี แต่คนที่ไปซื้อไปอยู่ เกิดเภทภัยทุกข์ร้อนนานับประการ เป็นบาปกรรมมหันต์ และกลายเป็นภาระของผู้รู้ ต้องเข้าไปหาทางแก้ไข โหรเหล่านี้นี่แหละที่มีชื่อเสียง และสื่อมวลชนกำลังเชียร์อยู่หลายคน ยังไม่อยากบอกว่าเป็นใคร เดี๋ยวจะคิดว่าอิจฉาริษยาเขา

ไสยศาสตร์ ต้องการสิ่งใด ก็ขอพรมาจากสิ่งที่คิดว่ามีอำนาจ เช่น ไหว้เทวดา ไหว้ราหู หรือลูบรูปปั้นเต่า รูปปั้นงู ให้อายุยืน แต่โหราศาสตร์จะสัมผัสของจริงที่มีผลตรง เช่น เต่า และ งูจริง ไม่ขอพรเทวดา ไม่ไหว้ราหู เพราะในเมื่อไม่ต้องการมัวเมาก็ไม่ต้องการราหู เราต้องแยกแยะให้ออก โหรหลายคน มักจะต้องตั้งโต้ะทำพิธีต่างๆอยู่เสมอ พิธีส่วนมาก เป็นไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์จะอัญเชิญเทวดา หรือ วิญญาณ และใช้ของเซ่นไหว้ที่มักจะการเทียบเคียงเสียงพ้องการเรียกขาน อย่างเช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เพราะมีคำว่า “ทอง” ซึ่งต่างจากโหราศาสตร์จะถือเป็นเพียงขนมหวาน หรืออย่างไสยศาสตร์ จะแนะให้ปลูกไม้มงคล เช่น มะยม มะขาม เพื่อให้ เกิดความ “นิยม” และคน “เกรงขาม” ในขณะที่โหราศาสตร์มองตรงว่าเป็นเพียงต้นไม้มีผลกินได้เท่านั้น ไสยศาสตร์ถือ เลข “ 9 ” ว่าดี เพราะพ้องเสียงกับคำว่า “ก้าวหน้า” เลข “ 6 ” ไม่ดี เพราะพ้องกับคำว่า “หกคะเมน” จึงมีนักโหราศาสตร์ที่ไม่รู้เรื่องบางคน เอามาวางเวลาฤกษ์ กลายเป็นมอมเมาค่านิยมผิดๆให้แก่สังคม ทั้งๆที่ทางโหราศาสตร์ไม่ได้ถือ หากจะถือกันแล้ว การวางเลข 6 อาจจะรวย แต่เลข 9 อาจจะเสียด้วยซ้ำ นี่เองที่ผมเคยบอกว่าการตั้งชื่อคนเรานั้น ตัวอักษรวรรคอะไรไม่เกี่ยว แต่เสียงเรียกขานและความหมายนั้นถือว่ามีผลทางวิชาไสยศาสตร์ ไม่ใช่โหราศาสตร์ การตั้งชื่อทางโหราศาสตร์เองก็มี แนะนำให้ไปอ่านชื่อเต็มของ “กรุงเทพมหานตรฯ” จะได้ความรู้ฝีมือระดับครู อาจารย์ฮวงจุ้ยที่มักแนะในคนมาแขวนโน่น แขวนนี่ หรือตั้งต้นไม้ วัตถุ อะไรเพื่อฮวงจุ้ยที่ดีนั้น ก็เป็นไสยศาสตร์นั่นเอง

การที่นำเรื่องเหล่านี้มาบอก ก็เพื่อให้เห็นว่า ยังมีคนเข้าใจผิดอยู่มาก หลายๆคนไม่รู้จักโหราศาสตร์เลย คิดอะไรขึ้นมาได้ ก็อ้างว่าเป็นโหราศาสตร์ อย่างเช่น มีอยู่คนหนึ่ง คิดกำหนดคอร์ดกีต้าร์ ให้คนเลือก แล้วออกคำทำนาย มาให้สัมภาษณ์หนังสือว่าคิดขึ้นมาเองตามหลักโหราศาสตร์ คุยว่าแม่นยำมาก มีอยู่อีกคนเรียกตัวเองเป็นอาจารย์ คิดตั้งเรือนชะตา 12 เรือนและเข้าทักษาด้วยไพ่ทาโร่ห์ เมื่อหลายปีก่อน แกเผลอเล่าว่าคิดขึ้นมาเอง แต่มาเมื่อปีที่แล้ว บอกว่าได้มาจากตำราโบราณ รายนี้ก็โปรโมทตัวเองว่าแม่นมากอีกเหมือนกัน อีกรายหนึ่งที่รู้จักกันดี ก็ใช้วิธีเข้าทรง อ้างเทวดาใช้ไสยศาสตร์ แต่บอกว่าใช้โหราศาสตร์ โฆษณาว่าเป็นยอดโหราจารย์แห่งยุค ออกทั้งทีวี และหนังสือพิมพ์ มีผู้มีอำนาจในบ้านเมืองเป็นศิษย์อยู่จำนวนมาก บางเว็บ บางกระทู้ หนังสือโหร หรือวิทยุ ก็มีที่ใช้นามแฝง ปลอมเป็นหญิงบ้าง ชายบ้าง ถามเอง ตอบเอง ขอบคุณตัวเอง ชมตัวเองว่าเก่ง โปรโมทตัวเอง อย่างนี้ก็มี


วรกุล - 30 เมษายน พ.ศ.2548 03:19น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
ขอกราบเรียน ถาม ท่านอาจารย์วรกุล มาด้วยความเคารพ

ถึง " ซอฟต์แวร์โหราศาสตร์ " ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน มีความเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนครับ อย่างเช่น โปรแกรม โฮ๋ราสาด รุ่นโปร ฯ ซึ่งโฆษณาใน www.payakorn.com หรือ ในที่อื่นๆ เป็นต้นเมื่อเปรียบเทียบกับวิธีโบราณที่ พ่อ แม่ ครูอาจารย์โหร ทั้งหลายได้เมตตาถ่ายทอดสอนกันตลอดมารุ่นแล้วรุ่นเล่า โปรดอนุเคาระห์ให้ความรู้ด้วยครับ จักเป็นพระคุณยิ่ง


คุณกวาง - 30 เมษายน พ.ศ.2548 20:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
"นี่เองที่ผมเคยบอกว่าการตั้งชื่อคนเรานั้น ตัวอักษรวรรคอะไรไม่เกี่ยว แต่เสียงเรียกขานและความหมายนั้นถือว่ามีผลทางวิชาไสยศาสตร์ ไม่ใช่โหราศาสตร์ การตั้งชื่อทางโหราศาสตร์เองก็มี แนะนำให้ไปอ่านชื่อเต็มของ “กรุงเทพมหานตรฯ” จะได้ความรู้ฝีมือระดับครู อาจารย์ฮวงจุ้ยที่มักแนะในคนมาแขวนโน่น แขวนนี่ หรือตั้งต้นไม้ วัตถุ อะไรเพื่อฮวงจุ้ยที่ดีนั้น ก็เป็นไสยศาสตร์นั่นเอง "

เรียน อ.วรกุล ช่วยขยายความด้วยครับ ว่าวิธีการทางโหราศาสตร์/ไสยศาสตร์เป็นอย่างไร อิงจากหลักเกณฑ์อย่างไร


นร. - 1 พฤษภาคม พ.ศ.2548 03:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบ 13 คุณกวาง.........ผมยังไม่เคยไปใช้โปรแกรมต่างๆที่มีขายเลยครับ จึงไม่ค่อยทราบว่าใครเขาขายอะไรกันบ้าง สำหรับโปรแกรมซอฟแวร์ต่างๆนั้น การพิจารณาก็เหมือนกับซอฟแวร์ทางคอมพิวเตอร์โดยทั่วไป การที่จะเชื่อถือได้หรือไม่ ก็อยุ่ที่วิธีการ และฐานข้อมูลที่นำมาใช้ ในต่างประเทศก็มีขายกันมาก อยากจะแยกคร่าวๆออกเป็น 2 ประเภท คือ หนึ่ง....ประเภทคำนวนปฏิทิน วางดาว ในดวงชะตา แบบนี้มีมาก กับ ประเภทที่สอง.......คือ ให้คำพยากรณ์ด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เราก็คงซื้อประเภทแรก

ซอฟแวร์ต่างๆ หากใช้วิธีการ และข้อมูล เดียวกับที่เราใช้ ก็เหมือนที่ทำงานด้วยมือคน แต่จะย่นระยะเวลาไปได้มากมาย ทำให้สะดวกและรวดเร็ว ดังนั้น ความสำคัญจึงอยู่ที่ว่า เขาได้บอกรายละเอียดข้อกำหนดคุณสมบัติ และ หลักอ้างอิงที่ใช้ไว้ด้วยหรือไม่ อย่างเช่น การบอกตำแหน่งดาวนั้น นำมาจากการคำนวณตามปฏิทินใด เป็นแบบตัดอายนางศะหรือเปล่า ตัดเท่าใด การกำหนดราศี เป็นอย่างใด และเวลาที่ใช้ตัดการยกย้ายราศีใช้เวลานาฬิกาใด มาตรฐานเวลาเส้นรุ้งเส้นแวงที่ใด เป็นต้น เพราะธรรมดาการพิจารณารายละเอียดเหล่านี้ ทำให้การวางดาวในราศีผิดกันไปได้ อย่างเช่น ราหู และเกตุไทย ก็อาจมีวันเวลายกย้ายราศีที่แตกต่างกัน นอกจากนั้น บางโปรแกรมที่มีการวางลัคนาให้ด้วย ยิ่งจะต้องรู้ข้อกำหนดรายละเอียดเพิ่มเติมอีก เพราะการใช้อันโตนาที เวลานักษัตร เวลาท้องถิ่น การวางลัคนาที่เวลาเกิดไม่แน่นอน ล้วนแต่เป็นปัญหาของการผูกดวงชะตาทั้งนั้น เมื่อผูกดวงผิด โปรแกรมที่ให้คำทำนายสำเร็จรูปก็ผิดตามไปด้วย

นอกจากนั้นบางโปรแกรมก็ไม่ได้คำนวนฐานข้อมูลการโคจรของดาวเอง แต่ใช้วิธีลอกปฎิทินของคนอื่นมา แล้วสร้างโปรแกรม search เอาดื้อๆ แต่มาขายแพงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ข้อกำหนดของการคำนวณปฏิทินที่ไปลอกมา และไม่เห็นความสำคัญ ในต่างประเทศ เท่าที่เห็นเขาใช้กัน ก็เพราะต้องการตัดงานที่เยอะ ก็คือ การตรวจปฏิทินสำเร็จรูป และความสัมพันธ์ระหว่างดาว ในโหราศาสตร์สากล หรือ พระเคราะห์สนธิ ใน โหราศาสตร์รังสีดาว เพราะแต่ละดวงชะตา ต้องใช้เวลามาก การใช้ซอฟแวร์จึงทำงานได้รวดเร็วกว่าใช้จานหมุน และสามารถทำพยากรณ์ได้ทันที

การมาเปรียบเทียบกับวิธีโบราณนั้น ไม่ใช่หมายความว่าวิธีโบราณจึงจะดี สมัยใหม่ไม่ดี หากเราทราบเหตูผลที่ท่านสอนให้ทำ เราจะเอาคอมพิวเตอร์มาช่วยทำ ก็ไม่แปลก ไหนๆถามมาแล้ว ก็จะเล่าเท่าที่มีความรู้ เพราะผมเองก็เรียนตามแบบโบราณ รุ่นใช้กระดานชนวนมาเหมือนกัน สมัยโบราณท่านคำนวณดาวเองตามพระคัมภีร์สุริยาตร์ และ อีกสองสามตำรา วางไว้เป็นปฏิทิน แต่หาปฏิทินยาก เพราะต้องเรียนนานและเสียเวลา ส่วนใหญ่จะคำนวณในสำนักพระโหราธิบดี แล้วประกาศให้ปีต่อปี หากใครต้องการใช้ก็ไปจ้างคนคัดลอกเอามา เพราะคำนวณเองจะเสียเวลามาก ดังนั้นโหรชาวบ้านที่อยู่ไกลๆตามหัวเมือง บางที่ไม่มีข้อมูลดาวเวลาเกิด ก็ใช้วิธีดูวงรอบธรรมชาติ วันเดือนปี หรือทักษา เป็นหลัก แต่พวกมีข้อมูล บางทีก็มีเฉพาะเวลาเกิด แต่ดาวจรไม่มี ก็ต้องไปใช้เกณฑ์ชันษรจร อายุจร ลัคน์จร เป็นต้น แต่ยอมรับกันว่า การดูจากดาวจรโดยตรงจะใกล้เคียงความเป็นจริงมากกว่า ถ้าอยากคำนวณย้อนหลัง หรืออนาคตไกลๆ ก็ต้องลงมือคำนวณเอง

เมื่อดูดาวตามปฏิทินแล้ว ก็ต้องดูดาวจริงบนท้องฟ้าด้วย เพื่อประกอบการวางดาวในดวงชะตา เพราะยังมีอยู่หลายอย่างที่สำนักพระโหราธิบดีไม่ได้คำนวณให้ หรือคำนวณให้ แต่ต้องตรวจสอบด้วย เช่น การปัดเหนือ และปัดใต้ตามฤดูกาล อุจจนี และดาวฤกษ์ที่ใช้วัดอ้างอิง หลังจากตรวจแล้ว การวางดาวในดวงชะตา โบราณท่านจะเขียนเลขดาวทีละดวง เขียนเลขหนึ่งก็ต้องพิจารณาให้หมด ทั้งธาตุ ราศีธาตุ องศา ราศี การโคจร พักร มนฑ์ เสริด เป็นต้น เสร็จแล้วจึงเขียนอีกเลขหนึ่ง ที่ละดวงจนครบ แล้วจึงไปวางลัคนา ซึ่งต้องพิจารณาอีกมากมาย ถ้าผูกแบบโบราณก็จะคำนวณตั้งตารางธาตุ หรือ แกนธาตุ เอาไว้เลย กว่าจะผูกดวงเดิมเสร็จก็ใช้เวลามาก ร่วม 3 ชั่วโมงเห็นจะได้ ถ้ารวมที่ต้องดูท้องฟ้าด้วย บางดวงชะตา ผูก 3 วันก็ยังไม่เสร็จ การทำเช่นนี้ทำให้ได้ใช้ความรู้ภาคปฏิบัติมาก ไม่ให้วางดาวกันฉับๆ หรือกดคอมพิวเตอร์แล้วทายเลย ทำให้ขาดความรู้ไปหลายอย่างขณะผูกดวง ซึ่งจะมีผลต่อการพิจารณาดวงชะตานั้นๆ

โบราณ ท่านนับถือวิชาและดวงชะตาเป็นครูอาจารย์ เวลาเริ่มทำงานก็ต้องไหว้ เสร็จแล้ว ก็ต้องลบกระดานชนวนด้วยผ้าเปียกหมาดๆ เอาผ้าไปซักน้ำ เอาน้ำนั้นไปรดต้นไม้ใหญ่ เหมือนกรวดน้ำ เพราะต้นไม้ใหญ่มีรากลึกลงไปในดิน จะได้นำน้ำนั้นลงไปสู่พระแม่ธรณีที่ได้ปกปักรักษาร่างของครูอาจารย์ที่ล่วงลับไปแล้ว แสดงความกตัญญูรู้คุณ เป็นวิธีอบรมสั่งสอนอีกทางหนึ่ง ต่างกับสมัยนี้ ในเมื่อได้อะไรมาง่ายๆ ใช้เงินฟาดหัวเอามาได้ ก็เลยมักง่าย ไม่รู้คุณค่าของวิชา ใช้ไปในทางที่ผิด ผิดศีลธรรม ไม่มีจรรยาบรรณ อย่างที่เราเห็นๆกันอยู่ บางเว็บ บางกระทู้ หรือ หนังสือพิมพ์ ก็เห็นมีคนออกมาด่า ครูอาจารย์โหรว่าหวงวิชา เก็บไว้จนวิชาตายไปกับตัว ทำให้ประเทศชาติล้าหลังไม่เจริญ สู้ฝรั่งไม่ได้ คนเหล่านี้จบปริญญาโท ปริญญาเอก ก็มี ผมว่าที่ครูโหรท่านเก็บความลับไว้จนตายไปกับตัว หรือฝังตำราลงดินให้ผุพังส่งคืนครูอาจารย์ไป ก็เพราะหากไม่ได้ให้แก่คนที่เหมาะสม ก็ไม่อยากให้แก่คนเลวๆเหล่านี้ได้ไปเลยมากกว่า เมื่อได้ไปแล้วก็เอาไปดัดแปลงแต่งเติม แล้วขายต่อ หรือพยากรณ์ให้คนอื่นแพงๆ ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ทำเป็นอมภูมิต่อไป ที่เขาออกมาด่าก็เพราะอยากจะได้วิชา แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร ขนาดผมเองก็เคยมีคนเอาเงินมาฟาดกบาลจะให้สอนวิชาอยู่หลายครั้ง อาจารย์บางท่านโดนกันมาเยอะกว่านี้ จนท่านต้องหนีไปซ่อน เมื่อ 40 กว่าปีก่อน มีอาจารย์อยู่สองท่าน ถูกบุคคลในเครื่องแบบพาลูกน้องบุกไปเอาปืนจ่อหัวลูกเมีย บังคับให้บอกเคล็ดลับให้ แล้วยังขนเอาสมุดจด และตำราโหราศาสตร์ไปหมดบ้าน เมื่อได้ไปแล้ว ก็ไม่เห็นเขาเก่งสักแค่ไหน วิชาเสื่อมหมด

ธรรมดาครูโหรที่แท้จริง และมีวิชาความรู้ท่านจะไม่หวงวิชา เรื่องกลัวศิษย์คิดล้างครู เป็นเรื่องในนิทานเท่านั้นเอง นั่นเป็นครูวิชาอื่น ครูโหรอะไรกันเลือกศิษย์ที่มาล้างครูได้ แสดงว่าครูไม่รู้จริง เพราะก่อนจะสอนใครท่านต้องดูนิสัย ใจคอ อย่างรอบคอบ ไม่ใช่ดูชุ่ยๆ ลวกๆ หรือเลือกที่มีเงินเยอะๆ อย่างครูโหรสมัยนี้ เมื่อได้ลูกศิษย์มาแล้ว ท่านก็จะดีใจ เลี้ยงดูอย่างดี ครูโหรสมัยก่อนที่ผมเรียนด้วยทุกท่าน ไม่เคยมีใครปิดบังเคล็ดลับวิชาอะไรเลย ท่านสอนให้หมดใส้หมดพุงทุกคน ไม่เคยเสียเงินเรียน และไม่เคยต้องไปรับสัจจะอะไรมา เพราะศิษย์แต่ละคนต้องรู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควรอยู่แล้ว แต่การที่จะให้ท่านมาประกาศเคล็ดลับวิชาครูลงหน้าหนังสือพิมพ์ หรือสอนแบบเทกระจาด หากไม่ทำจะถือว่าใจแคบ หวงวิชา ทำให้บ้านเมืองล้าหลัง ถือเป็นข้อหาที่พาลเกินไป พวกเราแต่ละคนต้องหันกลับมามองรอบด้านและตัวเองให้ดีเสียก่อน

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 14 คุณนร..........การตั้งชื่อทางโหราศาสตร์ ไสยศาสตร์ มีหลักเกณฑ์ แต่ไม่ถึงกับเป็นกฏนะครับ เพราะเป็นเรื่องความพึงพอใจเฉพาะตัวบุคคล ใครอยากจะตั้งชื่ออย่างไรก็ไม่มีใครห้าม แต่ผมเห็นว่าคนสมัยนี้ อ้างโหราศาสตร์กันเกินไป เอะอะอะไรก็ “โหราศาสตร์” จนถึงเอาไปหลอกคนให้เปลี่ยนชื่อเพื่อโน่นเพื่อนี่ ให้รวย ให้เลื่อนตำแหน่ง คุณถามมาก็ดีแล้ว จะได้ถือโอกาสอธิบายเสียเลย ว่าโบราณมีหลักคิดอย่างไร ผมเขียนไว้ว่า

ทางไสยศาสตร์นั้น “มักจะการเทียบเคียงเสียงพ้องการเรียกขาน อย่างเช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เพราะมีคำว่า “ทอง” ซึ่งต่างจากโหราศาสตร์จะถือเป็นเพียงขนมหวาน หรืออย่างไสยศาสตร์ จะแนะให้ปลูกไม้มงคล เช่น มะยม มะขาม เพื่อให้ เกิดความ “นิยม” และคน “เกรงขาม” ในขณะที่โหราศาสตร์มองตรงว่าเป็นเพียงต้นไม้มีผลกินได้เท่านั้น ไสยศาสตร์ถือ เลข “ 9 ” ว่าดี เพราะพ้องเสียงกับคำว่า “ก้าวหน้า” เลข “ 6 ” ไม่ดี เพราะพ้องกับคำว่า “หกคะเมน” จึงมีนักโหราศาสตร์ที่ไม่รู้เรื่องบางคน เอามาวางเวลาฤกษ์ กลายเป็นมอมเมาค่านิยมผิดๆให้แก่สังคม ทั้งๆที่ทางโหราศาสตร์ไม่ได้ถือ หากจะถือกันแล้ว การวางเลข 6 อาจจะรวย แต่เลข 9 อาจจะเสียด้วยซ้ำ”

ข้อแรก การตั้งชื่อทางไสยศาสตร์ จะเอาความหมาย เช่น “อัจฉรา” นางฟ้า เพราะไสยศาสตร์ยึดผลทางความรับรู้ของจิต และชีวิต เมื่อถูกเรียก เมื่อชื่อดีแปลดี ก็มีผลได้เหมือนให้พร หากชื่อไม่ดี เช่น “อัปรีย์” “ทรพี” เมื่อถูกเรียกบ่อยๆ เหมือนถูกแช่งด่า ข้อสอง........ไสยศาสตร์ถือคำพ้องเสียงด้วย เช่น “เรวดี” ฟังเหมือน “เลวดี” “สหัส” ฟังเหมือน “สาหัส"” ทำให้เหมือนถูกแช่งด่าอีกเหมือนกัน ไม่เป็นมงคล ข้อสาม.....ไสยศาสตร์จะห้ามการตั้งชื่อที่ไม่สมกับตน เช่น ขอทานไร้ที่พึ่ง แต่ตั้งชื่อว่า “อมรินทร์” “เทพ” “เทวา” หรือคนง่อย ไม่เต็มเต็ง แต่ตั้งชื่อว่า “บวรเดช” “ไอศูรย์” คนจนๆธรรมดา แต่ตั้งชื่อว่า “ฮ่องเต้” หรือ “ศุภกษัตริย์” หรือคนต่ำช้า ตั้งชื่อว่า “สรรเพชร” (คำไวพจน์ พระนามพระพุทธเจ้า) ตั้งแบบนี้โบราณถือมาก ว่าอัปรีย์จะกินหัว ตอนเป็นเด็กก็เลี้ยงยาก เจ็บออดๆแอดๆอาจจะตายเสียก่อน เพราะชื่อสูงเกินไป ดวงไม่ถึง เขาจึงมักตั้งชื่อชาวบ้านว่า ***หมา อีแมว ***แก้ว หรือ ชื่อต้นไม้ ดอกไม้ ผลไม้ ฟักแฟง แตงโม ให้เลี้ยงง่าย

ข้อสี่....ไม่ใช้คำในชื่อที่มีเสียงตรงกับดาวที่อ่อนกำลังในดวงชะตาหรือทุสถานะ เป็น ประ นิจ กาลกิณี อริ มรณะ วินาสน์ เช่น “ประชัย” “อรรถนิตย์” “ ธารวิชนี” “อริราช” “มอญ” “ริปูวินาสน์” แม้จะแปลดี แต่เสียงเพี้ยน หรือถูกเรียกสั้นๆแล้วไม่เป็นมงคล อะไรแบบนั้น ส่วนคำว่า “ศรี” “มนตรี” “เดช” “ศุภ” “ลาภ” ไม่เป็นไร จะเห็นว่าคำมา จากชื่อภูมิและ เรือนมหาทักษา แต่ไม่ใช่ใช้อักขระ ส่วนหลักอื่นเป็นเรื่องของอักขรวิธี และเรื่องลับทางวิชาไสยศาสตร์ ขอไม่พูดถึงตรงนี้ ส่วนใหญ่หลักการตั้งชื่อที่บอกมา ผูใหญ่สมัยก่อนจะรู้กันทุกคน

ทีนี้มาทางโหราศาสตร์บ้าง โหราศาสตร์นั้นตั้งชื่อยาก ต้องเข้าใจว่าโหราศาสตร์เองแท้ๆ ไม่ได้ถือเรื่องชื่อ แต่ที่นำมาเป็นหลักเกณฑ์คือปัจจัยที่ได้มาจากโหราศาสตร์เท่านั้น ข้อแรก.....โหราศาสตร์อ้างอิงวงรอบธรรมชาติ เวลา และสถานที่เกิดว่ามีผลต่อดวงชะตา จึงมักตั้งชื่อตามปัจจัยที่เป็นธาตุตัวแทนเจ้าชะตา และดวงชะตา เช่น ชื่อ “จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ” “ศศิ” ตามวันเกิด หรือ “มกร กุมภ์ มีน....”ตามราศี หรือ “มุสิก ภุชงค์ อาชา.....”ตามนักษัตร หรือ “อุบล อุดร ทักษิณ......”ตามทิศ หรือ “นคร เพชร ปทุม......” ตามท้องถิ่น โดยอาศัยเอาดาว หรือเรือนที่เข้มแข็งให้คุณมาตั้ง เพื่อให้เกิดผลทางโหราศาสตร์แก่ดวงชะตา ข้อสอง......ต้องเรียกง่าย ไม่สะดุดลิ้น เพราะการเรียกชื่อแล้วไม่ราบรื่น คือ อริ มรณะ วินาสน์ เกิดเป็นอุปสรรคดังนั้นจึงห้ามตั้งชื่อที่เรียกยาก ประเภทเรียกยาก ออกเสียงลำบาก แปลยาก เช่น “นฤคหต” ถือว่าชีวิตจะมีอุปสรรค ให้ตั้งชื่อเสียงไพเราะ เป็นเสียงดนตรี คล้องจอง ไพเราะ ชีวิตจะได้สะดวกราบรื่น เป็นต้น ข้อสาม.....มีความหมายเข้าใจง่าย ไม่เข้าใจผิด เพราะเข้าข่ายการหลอกลวง คือ ราหู หรือ เนปจูน (ในโหรฝรั่งก็ถือ) ซึ่งเป็นดาวบาปเคราะห์ ข้อสี่......ให้ใช้ปัจจัยที่เป็นตัวเจ้าชะตา เช่น ชื่อ “บัณฑิต” เพราะดวงชะตาจะได้บวชเรียน ชื่อ “ชาญวุฒิ” เพราะจะเรียนจบปริญญา ชื่อ “ศุภลักษณ์” เพราะจะเป็นคนสวย อะไรแบบนี้ ท่านให้ตั้งชื่อตามกรรมที่เป็นตัวเจ้าชะตา ชีวิตจะได้ดำเนินไปถูกวิถีชีวิต ข้อห้า...... ไม่ตั้งตามดาวที่เสียหายอยู่ เช่นในดวง มีอังคารกุมเสาร์ ก็ไม่ให้ตั้งชื่อว่า “อังคาร” หรือ “เสาร์” แต่ให้ตั้งตามดาวที่ดี ธาตุที่ดี เช่น “สุริยา” “วารี” “ปฐพี” และยังมีอะไรอีกมาก แต่หลักๆ ก็เป็นไปตาม 4 – 5 ข้อนี่แหละ

เอาละ มาถึง ชื่อเมือง กรุงเทพมหานครฯ ที่ผมบอกว่าเป็นการตั้งชื่อฝีมือระดับครู เมืองกรุงเทพ นี้ รัชกาลที่ 1.....ท่านทรงโปรดให้ทำพิธียกเสาหลักเมือง วันที่ 21 เมษายน 2325 ทรงเสด็จครองราชย์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2325 มาถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านทรงเปลี่ยน ชื่อตรงคำว่า “บวรรัตนโกสินทร์” เป็น “อมรรัตนโกสินทร์” เพราะทรงรู้โหราศาสตร์อย่างดี.............ดวงเมืองกรุงเทพ 21 เมษายน 2325 นั้นเรารู้กันดีอยู่แล้ว ไปค้นดูเอา สมัยก่อนใช้ดวงเมืองใช้ดาว 7 ดวง คือ อาทิตย์ จันทร์........ถึงเสาร์ (ไม่รวมราหู....ถ้าจำไม่ผิด) มาเพิ่ม ราหู เกตุ มฤตยูกันภายหลัง สมัยเมื่อ รัชกาลที่ 6 เคยมีบทวิจารณ์ชื่อของกรุงเทพฯ โดยโหรผู้ใหญ่ ดูเหมือนลงในหนังสือ “ดุสิตสมิต” (ถ้าจำไม่ผิด) แต่เป็นการสรุปรวบรวมความเห็นของโหรอื่นๆมาด้วยเท่านั้น เสียดายไม่มีสำเนาข้อความนี้แล้ว ท่านเขียนไว้เนียนมาก อ่านแล้วเห็นชัดโล่งสมองเลย ผมเอามาเล่าต่อ คงเล่าไม่ได้เหมือน จำได้บ้าง เพราะสังขารชราแล้ว เล่าให้เป็นไอเดียก็แล้วกัน จะได้พอเข้าใจ ใครเห็นทางแล้วไปเรียบเรียงเอาใหม่ก็แล้วกัน........

ชื่อเต็มกรุงเทพฯคือ “ กรุงเทพมหานคร อมร(บวร)รัตนโกสินทร์ มหินทรายุทธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์ มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์” (ปรู้พแล้วว่าสะกดถูกหมด) เป็นชื่อที่แต่งตามหลัก ไสยศาสตร์ และโหราศาสตร์ทุกอย่าง ที่บอกไปแล้ว ข้อแรก.......ในส่วนที่เป็นโหราศาสตร์ที่สำคัญ นอกจากมีความหมายดี แต่งได้คล้องจองไม่สะดุดเวลาอ่าน ทางไสยศาสตร์ยังถือว่าชื่อยาวเช่นนี้ หากจะเรียกชื่อทางไสยศาสตร์ต้องอ่านรวดเดียวให้จบโดยไม่เว้นวรรคหรือหายใจ คือถือเป็นชื่อ “คำเดียว” ดังนั้น แม้ศัตรูต่างชาติ ต่างภาษา จะมาแก้ไสยศาสตร์ต้องเรียกให้ชัด และรวดเดียวจบ เป็นเรื่องที่ยาก ข้อสอง......มีข้อความเป็นวลี 9 วลี หมายถึง คือความยั่งยืน ยาวนาน (ปัจจุบัน คือ เกตุไทย)

ข้อสาม......แต่ละวลี แสดงความหมายดาวในดวงเมือง เช่น “กรุงเทพ มหานคร” หมายถึง อาทิตย์มหาอุจ คือเมือง (ลัคนาเจ้าชะตา) ผู้เป็นใหญ่ “อมรรัตนโกสินทร์” หมายถึง อังคาร มรณะมาเป็นประ – อมร คือไม่ตาย “มหินทรายุทธยามหาดิลก” คือ เสาร์ในเรือนศุภะราศีธนู อยุธยา (เป็นสัญลักษณ์ของอยุธยาเดิม) มหินทรา –มหาดิลกคือ พุธในเรือนพฤหัสเกษตร ความรู้ที่เลิศเป็นยอด “ภพนพรัตน์ราชธานีบุรีรมย์” คือ ศุกร์มหาอุจ เป็นอัญมณีสมบัติในราศีมีน วินาสน์คือท้องพระคลัง และเป็นความสุข รื่นรมย์ “อุดมราชนิเวศน์” คือ จันทร์เกษตรในราศีกรกฏ อุดมสมบูรณ์ “มหาสถานอมรพิมาน อวตารสถิต ” คือพฤหัสเกษตรในธนู พฤหัสคือองค์พระอินทร์อวตารมาอยู่ “สักกะทัตติยะ วิษณุกรรมประสิทธิ์” คือ เสาร์กุมพฤหัสเจ้าเรือนศุภะราศีธนู พระอินทร์ พฤหัส ทรงบัญชาให้พระวิษณุกรรมคือ เสาร์ มาสร้าง เสาร์คือก่อสร้าง ดังพระวิษณุกรรม นั่นเอง


วรกุล - 2 พฤษภาคม พ.ศ.2548 07:39น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล

มาตามอ่านที่อาจารย์ได้เขียนมาถือว่าเป็นวิทยาทานแก่คนทั่วไปจริงจริงครับ

ส่วนตัวผมเองอ่านแล้วเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างตามสติปัญญา คงต้องเรียนรู้ไปเรื่อยเรื่อยครับ รบกวนอาจารย์ช่วยวิจารณ์ดวงผมหน่อย เกิด ๑๑ มิถุนายน ๒๕๑๐ เวลา ตี๕.๔๐ (เช้าวันอาทิตย์ คืน วันเสาร์) กรุงเทพ

ขอบพระคุณมากครับ


อากาศ - 2 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:32น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
ตอบ 16 คุณอากาศ........ถ้าวิเคราะห์ดวงชะตาเรื่องส่วนตัวของคุณแล้ว คนอื่นจะไม่มีใครจะได้ความรู้ว่าถูกหรือผิด หากจะวิเคราะห์ดวงชะตาคุณ จอร์จ บุช หรือ คุณทักษิณ ว่าทำไมจึงได้ตำแหน่ง 2 ครั้ง หรือ ทำไมจึงรวยมาก คนอื่นยังได้ประโยชน์ตรงกับกระทู้นี้มากกว่า ที่จริงคุณคงอยากให้ดูดวงชะตา แต่อยากเอาแบบละเอียดๆ ผมจึงอยากแนะนำว่าให้ไปถามที่กระทู้ หรือเว็บที่เขาดูฟรี หรือตั้งกระทู้เอง น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะอยากเก็บกระทู้นี้เอาไว้คุยเล่าเรื่องต่างๆ ที่อาจได้เป็นความรู้ความคิดครับ


วรกุล - 3 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:42น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
ไม่เป็นไรครับอาจารย์ ขอบคุณมากครับ


อากาศ - 3 พฤษภาคม พ.ศ.2548 22:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
การตั้งชื่อ และ การให้ฤกษ์ ผู้ให้ฤกษ์ต้องรับผลกระทบจากดวงฤกษ์ที่ให้ผู้รับด้วยใช่ไหมครับ


กล้วย - 4 พฤษภาคม พ.ศ.2548 17:42น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบ 19 คุณกล้วย.......การตั้งชื่อและการให้ฤกษ์ หรือการทำนายทางโหราศาสตร์ ผู้ทำก็ต้องรับผลจากกรรมที่กระทำไม่มีเว้นทั้งนั้น การตั้งชื่ออาจจะเบาหน่อย เพราะธรรมดาหลักโหราศาสตร์ก็ไม่ได้ถือผลจากชื่ออยู่แล้ว แต่ถ้าไปหลอกเขา รับเงินรับทอง ทำให้เขาหลงผิด คิดว่าเปลี่ยนชื่อใหม่แล้วจะรวย ชีวิตจะดี ก็เป็นบาปกรรมเวร แต่ก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะตัวเจ้าชะตา แต่การให้ฤกษ์แล้วหากเขาไปทำตามวิธีฤกษ์ โหราศาสตร์ถือเป็นผลมาก หากเกิดผลเสีย จะเป็นกรรมแรงกว่า เพราะเรื่องฤกษ์นั้นกระทบหลายปัจจัย ซึ่งคนไม่ค่อยรู้ 000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ในกระทู้หลังๆมานี้คุยแต่เรื่องยากๆ จึงอยากเปลี่ยนเรื่องเบาๆบ้าง ระยะนี้มีเรื่องที่พูดถกเถียงเรื่อง “จรรยาบรรณ” อยู่หลายแห่ง ทั้งในระดับประเทศ การเมือง ทีวี ลงมาถึงเว็บโหร 2 – 3 เว็บ ฟังอ่านแล้วก็สนุกดี เพราะคิดกันไปต่างต่างนานา เรื่องจรรยาบรรณ หรือ มารยาทโหรนั้น ที่จริง ไม่มีที่ไหนบัญญัติเอาไว้ แต่ที่เราไปยกเอาโคลงกลอนที่ท่านแต่งเอาไว้เตือนใจ เช่น “ทายเมียผัว เรื่องชั่วดี ทายชีวีวิบัติตัดชันษา ทายคุณโทษทารกทาริกา เรียนโหราครูห้ามการทำนาย” แบบนี้ คนไม่ค่อยรู้เอาไปเถียงกันมันก็ฟังน่าแปลกอยู่

อันนั้นเขาเอาไว้สอนนักเรียนครับ เหมือนให้เด็กท่องอาขยานชั้น ป. 1 แต่เราเอามาอ้างระดับผู้ใหญ่ มันคนละเรื่อง คนที่เรียนใหม่ยังไม่รู้เรื่องก็สอนเอาไว้ก่อนสั้นๆ แต่คนที่รู้เรื่องแล้ว ต้องพิจารณาไปหมดทุกเรื่อง ผมเคยบอกเอาไว้แล้วว่า คำสอนเหล่านี้ถูก ที่ถูกนั้นเพราะตามหลักแล้ว คนที่ไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์ดี ทายผิดมั่งถูกมั่งเหมือนคนหัดใหม่ หรือ หมอดูใหม่ ทายแล้วผัวเมียเขาตีกัน แยกกัน ทายเด็กแล้วพ่อแม่เกิดอคติทั้งทางดี และไม่ดี พาลเกลียดหรือหลงลูก ทายแล้วคนป่วยว่าจะตายเลยพาลลาตายไปจริงๆ แบบนี้เป็นบาปเป็นกรรม แม้เรารู้เรื่องดีแล้ว หากเลี่ยงได้ก็เลี่ยงเสีย แต่การที่ยกเอาคำว่า “......ครูห้ามการทำนาย.....”มาอ้าง มาเถียงกัน คนวงการอื่นเขารู้จึงดูถูกตายชักเลย ว่ามันกอดตัวหนังสือกันแบบนี้นี่เอง ลองสมมุติดูเถอะว่า หากเราเป็นผู้ที่ไม่รู้โหราศาสตร์เลย แล้วต้องให้คนมาบอกไหมว่า เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หากพูดอะไรออกไปแล้วอาจมีผลเสียได้เช่นนั้นเช่นนี้ เราควรจะพูดหรือไม่

จริงๆแล้ว การที่จะทำนายอะไร ไม่ว่าเฉพาะ 2 – 3 เรื่องนี้หรอก คนที่มีวุฒิภาวะ ก็ต้องพิจารณาทุกเรื่องไปว่า ที่เราทำนายไปเราก็ไม่แน่ใจว่ารู้จริงๆ ไปยุให้เพื่อนทะเลาะกัน หรือไปแนะให้เขาออกจากงานมาลงทุนจนเจ๊ง ไปแนะให้เขาใจเย็นไม่ทำงานจนถูกไล่ออก แบบนี้ก็เป็นเวรเป็นกรรมทั้งนั้น หมอดูนั้นผิดศีลข้อ 4 ตั้งแต่เริ่มเปิดปากพูดแล้ว ดังนั้น เขาจึงต้องพยายามตั้งใจให้บริสุทธิ์ ตัดอคติ โลภ โกรธ หลงทิ้งไปบ้าง และพยายามตั้งใจช่วยผู้อื่นให้บริสุทธิ์ มีครู ไหว้ครู ไหว้พระให้คุ้มครอง เชื่อว่าผลบุญที่กระทำ กับการที่มาแบกรับกรรมจากการผิดศีลมุสา พูดผิด เพื่อยังประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ จะเป็นบารมีคุ้มครองเราต่อไป ที่จริงไม่มีครูไหน ห้ามทำนายอะไร แต่ว่าจะทำนายอะไรก็ตามก็ต้องพิจารณาผลจากคำพูดของเราทั้งนั้น ว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกตื่นเสียหายไหม คนอื่นเขาจะทุกข์มากหรือเปล่า ถ้าเขาไม่ได้มาขอให้ทายควรจะทายไหม

แม้แต่เรื่อง ฤกษ์ ก็เหมือนกัน ที่ว่าโบราณท่านแช่งว่า “.....ให้ฤกษ์ผิด (คนให้ฤกษ์) จะตาบอด” ก็เอาไว้เตือนพวกมือมั่ว ให้ระวังเท่านั้น ยิ่งสมัยนี้คนไม่รู้เรื่องฤกษ์ แต่ซื้อหนังสือมาเปิดให้ฤกษ์กันเป็นทิวแถว เพราะรายได้ดี และ ก็ไม่เข้าใจว่าอะไรคือฤกษ์ คนที่เขารู้จริงๆว่าอะไรคือ ฤกษ์ ฤกษ์คืออะไร ไม่ต้องไปเตือน เขาก็ต้องระวังอยู่แล้ว พอเรียนเรื่องฤกษ์จบ ก็แทบไม่กล้าให้ฤกษ์ใครเลย เหมือนกับคนเรียนเรื่องระเบิดแสวงเครื่อง หากรู้เรื่องดี เมื่อประกอบระเบิดแล้วก็ไม่มีใครกล้าไปวางให้ลูกเล่น

ไหนก็เขียนเรื่องนี้แล้ว อยากพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่องที่พวกเราเข้าใจผิดกันมาก คือเรื่อง “โหรทายหนู....” หลายคนคงรู้แล้ว เป็นเรื่องนิทานหลายเวอร์ชั่น ทำนองว่า สมัยพระเจ้าปราสาททอง หรืออยุธยา มีโหรแม่นมาก เกิดการท้าลองดี พอดีมีหนูตกลงมาตัวหนึ่ง พระราชาเลยเอาขันครอบไว้ให้ทายว่ามีหนูกี่ตัว โหรทายว่า 5 ตัว พอเปิดออกมาแม่นเป๊ะ เพราะหนูมันออกลูกออกมา อีก 4 ตัว เลยได้ตั้งเป็นพระโหราธิบดี นี่ก็เป็นนิทานเอามาเล่ากันต่อๆ น่าจะแต่งโดยคนที่ไม่รู้โหราศาสตร์ เพราะนิทานเรื่องนี้ผิดหลักโหรอยู่อย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่สำคัญกว่า จรรยาบรรณที่กล่าวมาแล้วเสียอีก เพราะเข้าใจกันผิดๆ

โหราศาสตร์ไทยนั้น จะไม่ทายสิ่งที่เรารู้เรื่องดีอยู่แล้ว หรือสามารถแสวงความรู้นั้นง่ายกว่า นี่เป็นหลักการสำคัญทีเดียว เช่นกรณีข้างต้นหาก ให้โหรทำนาย โหรจะไม่ทาย แต่จะขอให้เปิดขันออก นับดูว่ามีหนูจริงๆกี่ตัว หรือหากให้ประชันขันแข่ง ไม่ว่าโหรไทย พม่า มอญ ลาว ก็จะยอมแพ้ ไม่ทำนาย ไม่ประชันขันแข่งกัน พอๆกับบังคับให้พระเคร่งๆ ฉันข้าวเย็น จับมือสีกา ท่านจะไม่ทำ โหราศาสตร์ไม่ได้มีไว้เพื่อทำนาย และแข่งขันโอ้อวด หรือหากจำเป็นก็มีไว้ เพื่อทำนายสิ่งที่ต้องการรู้ แต่ไม่อาจรู้ได้ อะไรที่รู้แล้ว รู้จริงได้จากทางอื่น หรือรออีกสักหน่อยจะรู้ความจริง โหรจะไม่ทำนาย (เว้นแต่สอบดวงชะตา) ดังนั้น พวกเราหลายคนที่ชอบให้ทายเล่นๆว่า ผมมีพี่น้องกี่คน มีแฟนกี่คน หรือได้อะไรมา มีเงินในกระเป๋าเท่าไร หากคุณรู้อยู่แล้วหรือทายกันเล่น โหรที่เคร่ง ท่านจะไม่ทาย บางคนรู้อะไรอยู่แล้ว เช่น ได้เงินเดือนขึ้นแล้ว ได้เลื่อนตำแหน่งแล้ว มีสามีแล้ว มีลูกแล้ว แต่แกล้งมาขอให้โหรทำนาย ถามว่า เดือดร้อนจริงๆครับ เมื่อไรจะได้เงินเดือนขึ้น เมื่อไรจะเลื่อนตำแหน่ง เมื่อไรจะพบแฟนเสียที แล้วจะมีลูกไหม สอบได้เกรดอะไร เพื่อจะหลอกลองดูเล่น แบบนี้ถือว่าเป็นบาปกรรม เป็นการทำบาปต่อโหรที่ท่านอฐิษฐานไว้ว่าจะอุทิศตนช่วยเหลือผู้คนที่เดือดร้อน แล้วสละเวลามานั่งคิดให้ ดังนั้น การใช้โหราศาสตร์ ครูอาจารย์ท่านจึงอบรม ให้ใช้เมื่อจำเป็น ไม่ใช้พร่ำเพรื่อทั่วไป และใช้ด้วยวิจารณญาณอย่างสูงสุดทุกครั้ง แต่ก่อนเราจึงมักจะดูดวงชะตากันเพียงปีละครั้ง นอกจากคนป่วย คนมีทุกข์ร้อน จึงดูได้เสมอ

อีกเรื่องแถมท้าย คือเรื่อง “ยามอุบากอง....” เป็นนิทาน ที่ว่า “อุบากอง” เป็นนายทัพพม่าถูกจับมาเป็นเชลย สามารถหนีคุกไทยกลับไปพม่าได้ เพราะใช้ยามอุบากอง ตามกลอนว่า “ศุนย์หนึ่ง อย่าพึงจร แม้นราญรอน จะอัปรา ศูนย์สองเร่งยาตรา จะได้ลาภสวัสดี..........” อะไรนั่น ถึงกับอุบากองเอาตารางยามมาสักไว้ที่โคนขา ชอบเอามาอ้างกันนัก ลองคิดดูง่ายๆก็ได้ว่า อุบากองเป็นถึงระดับนายทัพพม่า จำยามอุบากองเป็นตาราง 4 – 5 ช่อง มีกากะบาดง่ายๆไม่ได้ ขนาดต้องสักไว้กับโคนขา ทีคำกลอนไขปริศนายาวกว่ามากมันดันจำได้ ปัญญาอ่อนแบบนี้ พม่าไม่ต้องบุกมาถึงอยุธยาหรอก เอาแค่ออกจากหงสาวดีก็สะดุดก้อนกรวดหัวทิ่ม โดนช้างเหยียบแบนไปก่อนแล้ว.....ไม่รู้อะไรเชื่อกันอยู่ได้

จะเห็นเรื่องแปลกได้ในสังคมโหรเมืองไทยของเรานี้อย่างหนึ่งก็คือว่า อะไรที่เป็นเรื่องหน่อมแน้ม ไม่น่าเชื่อ หรือไม่ควรเชื่อ กลับกอดตัวหนังสือเชื่อกันเป็นตุเป็นตะ ขนาดเอามาวิจารณ์กันใหญ่โต แต่อะไรที่เป็นเรื่องสำคัญ เป็นข้อที่ต้องระวัง ขนาดศีลขาด เช่น การวางฤกษ์ การทำนายดวงชะตา การวิจารณ์ดวงเมือง การตั้งชื่อ เป็นต้น ที่สมัยก่อนคนโบราณระวังกันมาก พวกเรากลับทำกันเป็นเหมือนของเล่น ดูแล้วก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าการเรียนการสอนวิชานี้มันแย่ หรือคนเดี๋ยวนี้แย่ หรือคนสมัยก่อนมันแย่กันแน่


วรกุล - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
อ.คะสอบถามเรื่องเกณฑ์ต่างๆ หน่อยค่ะ

๑.เกิดวันอังคาร ราศีกันย์ดาว ๑๓๔๐ กุมลัคน์ ดาว๑เป็นองค์เกณฑ์แต่อาทิตย์มาจากวินาศน์ แล้วจะดีหรือเสียมากกว่ากันคะ

๒.ดาว ๖ เป็นสามแก่ลัคน์ มีตำแหน่งประ ได้เกณฑ์ปทุมเกณฑ์หรือไม่ หรือต้องมี๕เป็นสี่และ๒เป็นสิบเอ็ดแก่ลัคน์ด้วยจึงจะเข้าเกณฑ์คะ และอย่าง ๖ เป็นสามนี้เป็นอุดมเกณฑ์หรือไม่คะมีผลดีหรือเสียอย่างไรคะ เนื่องจากเป็นประ

รบกวนอ.ช่วยตอบให้หน่อยนะคะ


kancha - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2548 13:01น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
เวลาเรียนโหราศาสตร์ไทย เมื่อเอ่ยถึง ธาตุ ดาว ราศี แสง รังสี พลังงาน เป็นต้น หลายคนมักจะเอาความหมายทางวิทยาศาสตร์ และดาราศาสตร์มาคิด บางทีก็เลยแต่งหลักตำราเคล็ดลับพยากรณ์ขึ้นเอง เช่น มุมตก มุมสะท้อน มุมปลายหอก มุมปลายดาบ ลบ กับ ลบ เป็นบวก กระแสคลื่นจิตมุดคลื่นแสง อาทิตย์ + จันทร์ เป็น อังคาร เพราะ สีแดงบวกเหลือง ย่อมได้ ส้ม เกิดจาก 1 + 2 = 3 ทำเอานักเรียนใหม่ที่อ่านตำราพลอยเข้าใจอะไรผิดๆไปด้วย แต่คนที่เรียนผ่านมาระยะเวลาหนึ่งแล้ว จะเริ่มรู้สึกได้ว่า คำเหล่านี้แม้จะคล้าย แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับศัพท์ทางวิทยาศาสตร์เลย

วิชาโหราศาสตร์ไทยที่สอนกันมาแต่โบราณ ดูราวกับมี ศัพท์ มากเกินเหตุ เกินควร เกิดจากวิชาเหล่านี้ ถูกซ่อนไว้จากศัตรูเมืองสมัยก่อนบ้าง จากคนใจบาปหยาบช้าบ้าง การเข้าศัพท์ยากๆเอาไว้ เป็นอุบายวิธี encoding แบบเก่าๆเดิมๆ ซึ่งโบราณมักใช้กับสิ่งที่ต้องการจะซ่อน โดยไม่จำเป็นต้องใส่กุญแจล้อค ถึงจะจดและวางไว้เปิดเผย ก็ไม่มีใครขโมยวิชาไปได้ หากไม่รู้วิธีถอดรหัส มีเพียงคนที่ใกล้ชิด และใช้เป็นเท่านั้น จึงจะทราบความหมายที่แท้จริง อย่างพวกกรีก หรืออียิปต์โบราณ ก็ถนัดวิธีนี้นัก หลังจากนั้น วิชาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ออกมา ศัพท์ต่างๆถูกแปลใหม่ให้ฟังดูง่ายเข้า พวกเราที่มาอ่านทีหลัง เลยหลวมตัวคิดถอดความหมายศัพท์กันไปผิดๆ เอาภาษาศาสตร์มาแปลต่อก็มี

ที่สำคัญคือเรื่อง “แสง” ตำราโหราศาสตร์ไทยส่วนมากจะกล่าวถึงแสงดาว แสงระหว่างดาวและเรือน และยังกล่าวถึงดาวมีแสงที่โคจรอยู่บ่อยๆ เรื่องแสงนี้ก็พอๆกับคำว่า “ดาว” (ซึ่งก็คือธาตุดาว) โหรไทยเรียกง่ายๆว่าแสง แต่มันไม่ใช่แสง แสงมีเพียงสิ่งเดียวคือแสงของดวงอาทิตย์เท่านั้น แสงดวงอาทิตย์ส่งสะท้อนมาจากดวงจันทร์ได้ หรือจากดาวดวงอื่นๆได้ แต่เรานำมันมาใช้จำกัดมาก หลายคนเข้าใจผิดจึงนำเอาคุณสมบัติของแสงจากวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์มุมตก มุมสะท้อน และอื่นๆมาใช้ทางโหราศาสตร์ด้วยทำให้กลายเป็นโหราศาสตร์ประยุกต์ในทางผิด ทฤษฎีโหราศาสตร์จริงๆแล้วถือว่าดวงอาทิตย์ส่งแสงออกมาพร้อม “พลังงานธาตุ” พลังงานธาตุนี้เองที่ถูกถ่ายเท ถ่ายทอดไปทั่วจักรวาลและธรณีไม่รู้จบ และเป็นสิ่งพื้นฐานสำคัญที่เป็นเสาหลักอย่างหนึ่งของโหราศาสตร์ไทย ถ้าไม่มีทฤษฎีพลังงานธาตุ ตำราโหราศาสตร์ไทยจะกลายเป็นกระดาษเปล่าไปทุกหน้า

คงไม่ต้องบอกว่าเรื่อง “พลังงานธาตุ” สำคัญ ยืดยาว และยากเพียงใด แม้แต่จะเอามาเล่าสั้นๆก็จะยาว แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โหราศาสตร์ถือว่า พลังงานธาตุ ทำให้ธาตุดาวมี “พลัง” ธรรมดาธาตุดาวไม่มีการผสมกันได้เลยแต่พลังงานธาตุนี่เอง ทำให้ธาตุดาวผสมกันได้ และเป็นตัวทำให้เกิดปฏิกิริยาแปรเปลี่ยนไป เมื่อดาวเปลี่ยนภพ (ระบบ) และ ภูมิ (ระดับ) จะมีระดับพลังงานธาตุเปลี่ยนไปทุกครั้ง พลังงานธาตุจะเป็นตัวหล่อเลี้ยงธาตุ แฝงอยู่ในธาตุทุกชนิดในจักรวาล ไม่ว่าบนท้องฟ้า ธรณี หรือในชีวิตคน แม้แต่ อากาศธาตุ ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึงที่ว่างเปล่าไม่มีอะไร (แต่โหราศาสตร์ไม่ถือเป็นธาตุ โหราศาสตร์ไทยถือว่าคือที่ซึ่งมีแต่พลังงานธาตุโดยไม่มีธาตุอื่นอยู่ด้วยเท่านั้นเอง) หลักโหราศาสตร์ไทยทุกหลักทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากการวิเคราะห์พลังงานธาตุและกลไกของมัน

เสาหลักทฤษฎีของโหราศาสตร์ไทยมีอยู่หลายอย่าง ทั้งโดยระบบ และเนื้อหา ที่สำคัญมากโดยระบบ มี 2 อย่างคือ หนึ่ง......เรื่องของกาล หรือ เวลา หรือ “โหรา” และ สอง.......เรื่องพลังงานธาตุ ซึ่งตกทอดมานานจากโหราศาสตร์ในยุคคลาสสิค เริ่มแรก พลังงานธาตุเป็นเพียงธาตุประเภทหนึ่งเท่านั้นแต่มีคุณสมบัติสำคัญที่สุดต่อระบบ การบังเกิดเรือน เกิดเกษตรธาตุ เกิดธาตุดาว ความคงอยู่ของธาตุอื่นทุกอย่าง และมีผลต่อชะตาชีวิตความเป็นไปของเราด้วย เมื่อพลังงานธาตุบางอย่างเปลี่ยนไป ชีวิตเราจะเปลี่ยนเรื่องราว เป็นเหตุให้ใช้พยากรณ์ได้

มีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่โหราศาสตร์ถือเป็นเรื่องธรรมดามากอีกเรื่องหนึ่ง คือ นามธรรม เราทราบกันว่า นามธรรมนั้นไม่มีตัวตน มีแต่คุณสมบัติ แต่โหราศาสตร์ ถือว่า นามธรรมเป็นสถานะธรรมดาของธาตุ ทีมีพลังงานเฉพาะระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น นามธรรมจึงสามารถมีตัวตนได้ แต่จะต่างจากตัวตนของรูปธรรมอยู่ที่ องคประกอบของธรรมเท่านั้นเอง นามธรรมสามารถเปลี่ยนเป็นรูปธรรม และรูปธรรมก็เปลี่ยนกลับเป็นนามธรรมได้ด้วย โดยมีธาตุที่อยู่ในระหว่างนั้นหลายภูมิ สิ่งที่เป็นคุณสมบัติสำคัญในการเปลี่ยนแปลง คือ พลังงานธาตุ

โหราศาสตร์นำทฤษฎีนี้มาใช้ทำนายดวงชะตา และ เป็นที่มาของหลักวิธีหลายอย่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้......เช่น ภูมิพยากรณ์ของมหาทักษา ระบบเรือนเกษตร และมุมระหว่างดาว ของจักรราศี ล้วนแล้วแต่มีที่มาจากพลังงานธาตุ และการเปลี่ยนแปลงของธาตุ เช่น นามธรรม และรูปธรรม แต่ต่อมา วิชาโหราศาสตร์ทางธาตุที่เป็นโหราศาสตร์ดั้งเดิม ได้ถูกลบต้นตอเรื่องธาตุออกไป เหลือเพียงเค้าโครงร่าง ที่กลายเป็นตำราที่พวกเราเรียนกันอยู่ทุกวันนี้ ทุกอย่างกลายเป็นสูตรสำเร็จรูป และถูกแต่งเติมเข้าไปมาก ทำให้ไม่รู้ว่ามาจากไหน และพัฒนาต่อไปได้ยาก เพราะหากจะไปเริ่มพัฒนากันใหม่ ต้องไปรื้อเนื้อหาของตำราก่อน อะไรที่ผิดต้องขีดทิ้งไป ซึ่งทำได้ยาก

โหราศาสตร์ประยุกต์ทฤษฎีนามธรรมใช้กับดวงชะตา เพื่อศึกษาและเข้าใจธรรมชาติจบเพียงเท่านี้ แต่ความคิดที่เป็นรากฐานของทฤษฎี ไม่ได้ผูกขาดอยู่เฉพาะวิชานี้ ศาสตร์หลายศาสตร์และลัทธิศาสนา ต่างก็ศึกษาธรรมชาติ และก็พบความจริงได้เท่าๆกัน ไม่จำกัดทั้งทางวัฒนธรรมตะวันออกหรือตะวันตก ทั้งยังเชื่ออย่างเป็นจริงเป็นจังมากกว่า ดังที่ เห็นบางลัทธิศาสนา ไหว้รูปเคารพเทวดา หรือเทพองค์อื่น ในเทวนิยาย หรือ เทววิทยา และ ส่วนที่เป็น “บุคคลาธิษฐาน” อื่นๆอีกมาก ซึ่งอันที่จริงล้วนแล้วแต่เป็นนามธรรม มีแต่คุณสมบัติ แต่แสดงให้เห็นเป็นรูปธรรมเช่น รูปกายมนุษย์ได้ เมื่อเพิ่มพลังงานธาตุ และ “อะไร” อีกบางอย่าง แม้โดยคุณสมบัติของนามธรรมจะมี “ระดับ” คือภูมิพลังงานธาตุที่ต่ำกว่า ธาตุอื่นๆ (ยกเว้น ชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ – โหราศาสตร์) แต่เมื่อสะสมมากเข้า ก็จะมี “อานุภาพ” ได้ คำว่า “ระดับ” ในที่นี้ ไม่ได้แสดงความน้อย หรือมาก แต่ระดับ ของพลังงานธาตุ เทียบได้กับความละเอียดและหยาบของวัตถุนั่นเอง เช่น อธิบายเหตุที่เราไม่เห็นเทวดา เพราะท่านมีปกติที่เป็นรูปละเอียดเกินกว่าเราจะเห็นได้

ปริศนาของไสยศาสตร์หลายเรื่องเช่น การเข้าทรง และวิญญาณ การปลุกเสก เวทมนตร์ การที่คนตายแล้วไม่เน่าเปื่อย ก็มีพื้นฐานและสามารถอธิบายจากแนวคิดนี้ ทางศาสนาตะวันออกเอง ทฤษฎีเรื่องนามธรรมและพลังงานธาตุ มีส่วนแทรกอยู่ในวัฒนธรรม เช่น เชื่อว่า การที่เราไหว้พระ สวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ไหว้พระคุณครู เป็นต้น คำว่า “พระคุณ” นี้ เป็นองค์ธรรมที่เกิดจากนามธรรม มีสภาพเหมือนรูปธรรม องค์ธรรมที่เกิดจากพระคุณนี้ มีอานุภาพ และคุณสมบัติเหมือนปรากฏเป็นรูปธรรมเดิม คือเหมือนกับเราได้ไหว้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์จริงๆ แม้แต่พระนิพพาน ซึ่งทางนิกายเถรวาท ถือเป็นเพียงสภาวะหลุดพ้น ทางมหายาน ก็ยังถือ ว่า “พุทธภาวะ” หรือ “พุทธะ” นั้น คือ “พระยูไล้” ซึ่งปรากฏเป็นรูปธรรมให้เห็น ดังเช่น ในโบสถ์ของพุทธศาสนามหายาน หรือโรงเจ องค์ที่เราเห็นเหมือนพระพุทธรูปนั้น มีทั้งที่เป็น องค์พุทธภาวะ และ องค์ที่เป็นพระพุทธรูป(พระสมณโคดม) และพระคุณของพระโพธิสัตว์ หากสอบถามผู้รู้ เขาจะบอกข้อแตกต่างให้ได้ พวกเราเองไม่ค่อยจะรู้เรื่องนี้ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องของมหายานเท่านั้น

ทางฮินดูในยุคหลังๆมานี้ ที่เต็มไปด้วยรูปเคารพเทพ เทวดามากมาย ก็จะเห็นได้ว่าเทพเหล่านั้นเป็นรูปธรรมที่ปรากฏแทนนามธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างในองค์เดียว ทั้งฝ่ายดีและร้าย จนดูเหมือนไม่มีนามธรรมใดที่ไม่ปรากฏขึ้นเป็นรูปธรรมเลย ไสยศาสตร์ยิ่งนำมาใช้มากกว่านั้น เนื้อหาในวรรณกรรมหลายเรื่อง ก็คือ สิ่งที่เป็นนามธรรมและปรากฏขึ้นในใจหรือชีวิตมนุษย์ เช่น รามเกียรติ ซึ่งนำเอานามธรรมขึ้นมาปรากฏเป็นรูปธรรมทั้งหมด มีหลายกรณีในรามเกียรติ์เป็นปริศนาที่สามารถอธิบายทางโหราศาสตร์ได้ นี่เป็นเหตุผลที่ตำราพยากรณ์เก่าๆจึงมักอ้างรามเกียรติ เช่นว่า ชะตาเหมือนพระรามเดินดง......เหมือนพระลักษณ์ต้องหอกโมกขศักดิ์..... หรือ สีดาลุยไฟ เพราะมีมูลฐานต้นตอมาจากทฤษฎีเก่าแก่ บทเดียวกัน


วรกุล - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:54น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
ตอบ 22 คุณ kancha.........แสดงว่าคุณเพิ่งมาอ่านกระทู้ ขืนเรียนแบบนี้อีกกี่ปีกว่าจะทายเป็นล่ะ เวลาดูดวงชะตา ต้องดูเรือนส่วนเรือนก่อน ดาวก็ส่วนดาว ทักษาก็ส่วนทักษา องคเกณฑ์ก็ส่วนองคเกณฑ์ อย่าเอามาผสมรวมกัน แล้วก็มาถามว่าดีหรือไม่ดี เพราะดีมันก็อยู่ส่วนดี ไม่ดีก็อยู่ส่วนไม่ดี เอามารวมกันได้ไง

จำว่า “เรือนบอกเรื่องราว ดาวบอกเรื่องขยาย” ข้อ 1 / โจทย์ที่ให้มา ถ้าอ่านเรือนก่อน วินาสน์มาอยู่ตนุ – วินาสน์ คือ สิ่งที่ลับๆ สิ่งที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่ทำมานานไม่เกิดผล สิ่งที่ต้องจากไปไกล ก็จะเกิดแก่ตนเอง แล้วอ่านดาว เมื่อเป็นดาวอาทิตย์มากุมลัคน์ ก็คือ ยศศักดิ์ตำแหน่งการงานจะเกิดขึ้นแก่เจ้าชะตา แล้วอ่านผสม เอาความหมายดาวไปรวมกับเรือน ยศศักดิ์การงาน ก็จะบังเกิดขึ้นจากสิ่งที่เจ้าชะตาทำมานานแล้วไม่ยอมเป็นผลเสียที จะได้ยศตำแหน่งโดยไม่คาดฝัน หรือเมื่อได้แล้วไปอยู่ไกลๆ หรือต้องไปได้ยศศักดิ์ในที่ห่างไกล อ่านแบบนี้เป็นหลักก่อน ไม่ต้องสนใจว่าจะสละสลวยหรือไม่ ขอให้อ่านถูกเป็นพอ

เสร็จแล้วอ่านซ้ำ ขยายความทั้งสองอย่างใหม่ เรื่องเรือน วินาสน์ (๑)นั้นกุมอยู่ กับ ตนุ – กัมมะ ( ๔) คือ หน้าที่การงานของตน และ สหัชชะ – มรณะ(๓) การเปลี่ยนแปลงโยกย้าย เรื่องดาว อาทิตย์มาร่วม พุธ เกษตรอุจ เป็นความคิดความรู้ อาทิตย์ร่วมอังคารมหาจักร มีความอดทนเข้มแข็ง ร่วมมฤตยู อย่างรีบด่วน พิสดาร หรือต่างถิ่นแปลกที่ ก็อ่านรวมได้อีกว่า ยศศักดิ์ ก็จะบังเกิดขึ้นจาก หน้าที่การงานที่เจ้าชะตาได้ทำด้วยความอดทนเข้มแข็งตามความรู้ความคิด แต่ทำมานานแล้วไม่ยอมเป็นผลเสียที จะได้โยกย้ายตำแหน่งโดยไม่คาดฝัน หรือเมื่อได้แล้วไปอยู่ไกลๆ หรือต้องไปได้ยศศักดิ์ในที่ห่างไกลต่างถิ่นแปลกที่....อ่านทื่อๆแบบนี้แหละ

องคเกณฑ์ เป็นตำแหน่งของดาว แสดงว่าใช้ดูดาว เมื่อเป็น ดาวอาทิตย์ ก็จะเป็นวาสนาของเจ้าชะตาจะได้ยศศักดิ์ ปริญญา ตำแหน่ง ชื่อเสียง เป็นต้น แต่จะใช้ตำแหน่งยศศักดิ์ไปทำความดี ความเลว เป็นอีกเรื่องหนึ่งนะครับ พอไปดูทักษา อาทิตย์เป็นมนตรี มาร่วมเรือนพุธอายุ ร่วม อังคารบริวาร ก็จะมีโอกาสได้พัฒนาชีวิต ร่วมอยู่ในสังคมที่เข้มแข็งมีความรู้นั่นแหละ ดูทีละเรื่องไป

ข้อ 2 / ๖ อยู่เรือนสหัชชะ อ่านเรือน ก็คือ ศุภะ กดุมภะ มาอยู่สหัชชะ เจ้าเรือน คือ อังคาร ไปตนุ อ่านว่า ศุภะ – กดุมภะ สหัชชะ ตนุ ครรลองชีวิตก็จะต้องโยกย้ายเปลี่ยนแปลงเป็นผลถึงการใช้ชีวิตส่วนตัว พออ่านดาว ก็ว่า ศุกร์ ประ เป็นโยค กับ ลัคนา ทำให้มีคนช่วยเหลือดี มีบ่อย แต่ช่วยทีละน้อย เพราะเป็นประ แต่จะช่วยไปลงเหว หรือไปขึ้นสวรรค์ เป็นอีกเรื่องนะครับ (อย่างช่วยกันไปปล้น) เมื่อเป็นปทุมเกณฑ์ ก็แสดงว่าเป็นโชคดีที่เป็นวาสนา เดิมของเจ้าชะตานั่นเอง เอาไปขยายความข้างบนโน่น

ส่วนเกณฑ์ ของ พฤหัส กับ จันทร์ก็ต่างคนต่างอยู่ ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกัน แต่ที่อุตส่าห์อ่านดาวมาทั้งหมดก็ไม่แน่ว่าจะถูกหรือผิด ต้องจำไว้ว่า ต้องดูดาวทั้ง 10 ดวง 12 เรือน จึงจะสรุปได้ว่าอะไรดีหรือไม่ดี อย่าเอาดาวหลายตำแหน่งมาอ่านปนกัน บวกลบกันเอง


วรกุล - 10 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
ดวงฉัตร ,ดวงดอกพิกุล, ดวงลัคนานำพล, กุมพล, ขับพล, ดวงจันทร์คุรุสุริยา พวกนี้นะครับที่เรามองๆว่าดวงวางเป็นรูปอะไรแล้ว ก็มีคำบรรยายเป็นสรรพคุณมา พวกนี้มีผลในการพยากรณ์เกี่ยวกับระดับความสูงต่ำของดวงหรือไม่ครับ


กล้วย - 12 พฤษภาคม พ.ศ.2548 08:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบ 25 คุณกล้วย........ไม่ทราบว่า “ระดับความสูงต่ำของดวง” คุณหมายความว่าอย่างไร ดวงพวกนี้โหรส่วนมากก็ดูเหมือนดวงธรรมดา ส่วนจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับเรือนและดาว เหมือนดวงอื่นๆ ไม่ได้หมายความว่ามีดวงลักษณะดังกล่าวแล้วจะมีสรรพคุณตามที่บอกกันไว้ ดวงพวกนี้รูปดาวดูแปลก สมัยก่อนก็มีการนำมาเล่นกัน ในซุ้มหมอดูและลงในนิตยสารโหรบางฉบับ

ถ้าจะให้วิจารณ์กัน ดวงพวกนี้เป็นดวงที่มีเรื่องราวแปลกๆทั้งทางดี และไม่ดีมากกว่าดวงอื่นๆ แต่ไม่ใช่มีหลักโหราศาสตร์อะไรที่แปลกแตกต่าง เพียงแต่รูปดวงนั่นเองเป็นที่มาของความสัมพันธ์ดาว และเรือนที่ดูตลกดี พอๆกับดวง 4 อุจ 5 อุจ 3 – 4 นิจ หรือมีเกษตร มหาจักร เยอะๆ ดูแปลกเท่านั้น ส่วนที่ดี อย่างเช่น จำพวกดวงมาลัยโยค ที่มีดาวเรียงสลับกันเป็นโยค ราศี เว้น ราศี เหมือนพวงมาลัยรถยนต์ ก็ดีเพราะดาวเป็นโยค และตรีโกณกันหมด นับว่าดี เพราะได้เกื้อ***ลกันทางธาตุ แต่คำว่า “ดี” หรือ “ไม่ดี” นั้นไม่ได้หมายความว่ามีบุญวาสนาเป็นเลิศ สุขสบายเสมอไป แต่อาจจะเป็นเรื่องเลวๆก็ได้ อยู่ที่ลัคนาอยู่ที่ไหน

ดวงที่คุณว่ามา ส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องประเภทแปลกแต่จริง เช่นคนหนึ่ง เป็นทหาร ชีวิตเขาถูกยิงมาแล้วเกือบ 20 ครั้ง ไม่ตาย เอะอะอะไรก็ถูกยิง แค่เดินไปตลาด คนเขาปล้นร้านทองกันแกก็ถูกยิง โดนลูกหลงไปด้วย แปลกจริงๆ แต่ไม่ได้ให้ความร่ำรวยหรือวาสนาอะไร หรือ เช่นอีกคนหนึ่งเป็นผู้หญิง แต่งงานทีไร สามีหนีแกไปทุกที แต่ง 5 ครั้งเป็นอย่างนี้ไปหมด ถ้าเราพิเคราะห์ดูหลักการทางโหราศาสตร์ ก็จะเห็นว่าเรื่องราวที่อ่านได้จากดวงชะตามันเกิดซ้ำๆนั่นเอง เพราะดาวมันมากระจุกตัว ทำให้เรื่องมันซ้ำ ไม่เกิดเรื่องหลากหลายเหมือนคนทั่วๆไป แต่จะกลับทายง่าย เพราะพอเราทราบประวัติเดิมแล้วก็ทายได้เลยว่า เหมือนเรื่องเดิมที่เคยเกิดขึ้นนั่นเอง ทุ่นแรงหมอดูไปเยอะ

เว้นแต่ดวง ประเภท จันทร์ ครุ สริยา คือ ๒ ๕ ๑ ที่มาอยู่ มาเรียงตัวในราศีในรูปแปลกๆ เช่นร่วมราศี เป็นต้น เพราะดาว 3 ดวงนี้เป็นจุดเจ้าชะตา เมื่อมีความสัมพันธ์กันดีๆ ก็เป็นบุญวาสนาที่ดีมาก ส่วนใหญ่จะได้เป็น “คนสำคัญ” ของโลก หรือประเทศ แต่เป็นคนสำคัญเท่านั้นนะ ไม่ได้แสดงว่าเขาจะสบาย ส่วนใหญ่จะเป็นคนมีหลักการ และอุดมคติของชีวิตดี ทำให้ขึ้นมามีความสำคัญได้ ซึ่งก็ยังอยู่ในหลักโหรธรรมดา ไม่ได้เป็นหลักพิเศษที่แปลกแตกต่างกว่าคนทั่วไป

อย่าไปหลงติดดวงพวกนี้เลยครับ เพียงแต่เขายกตัวอย่างดวงมา เราสนใจดูสักหน่อย ก็สนุกดี


วรกุล - 13 พฤษภาคม พ.ศ.2548 06:43น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
1. ดวงนวางค์จักรสำคัญไหมในการดูดวงชะตา ถ้าราศีจักรเป็นนิจเป็นประ แต่นวางค์เป็นอุจ มหาจักร จะมีผลอย่างไรกับดวงชะตา หรือขึ้นอยู่กับอายุ

2. การขับดาวเข้าอุจใช้กันหรือไม่ เพราะเห็นบางคนบางใช้ไม่ได้ผล


k - 13 พฤษภาคม พ.ศ.2548 12:48น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27
ตอบ 27 คุณ k..........ชื่อที่ถูก ต้องเรียกเพียง “ดวงนวางค์” ดวงนวางค์สำคัญสำหรับคนใช้เป็นเท่านั้น การดูดวงชะตาไม่จำเป็นต้องดูดวงนวางค์ การดูนวางคต้องยึดราศีเป็นหลักก่อน เช่น สมมุติ ดาวในราศีเป็นประ นิจ คือกระดาษเขียว แต่ใน นวางค์เป็น เกษตร อุจ มหาจักร คือ สีแดง ก็หมายถึง จุดแดงบนกระดาษเขียว นั่นเอง ไม่ได้หมายความว่ากระดาษจะกลายเป็นสีแดงไปหมด วิธีดูดวงนวางค์ก็เปิดตำราดูแล้วกัน.....อยากไปทางไหนก็ตามใจ ส่วนการขับดาวเข้าอุจ ไม่อยากจะพูด

โลกเรานี้มีคนหลายอย่างนะ


วรกุล - 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:33น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะที่ตอบคำถามให้เข้าใจค่ะ


k - 16 พฤษภาคม พ.ศ.2548 10:16น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียนทุกท่าน.........กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว จะทำให้เรียกขึ้นมาได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่สี่ครับ.............


วรกุล - 17 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:58น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 30
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

อยากทราบเกี่ยวกับการไหว้ราหูค่ะ บังเอิญว่า แม่ไปดูดวงมาให้ค่ะ และบอกว่าปีนี้ต้องไหว้ราหูด้วยของดำ 8 อย่างวันพุธกลางคืน แต่ไม่ทราบวิธีการว่าต้องทำอย่างไรบ้าง มีพิธีกรรมอะไรบ้าง และต้องเตรียมของดำอย่างไร บ้าง รบกวนอาจารย์แนะนำหน่อยนะค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ


นก - 26 เมษายน พ.ศ.2549 11:19น. (IP: 58.10.231.231)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

อยากทราบเกี่ยวกับการไหว้ราหูค่ะ บังเอิญว่า แม่ไปดูดวงมาให้ค่ะ และบอกว่าปีนี้ต้องไหว้ราหูด้วยของดำ 8 อย่างวันพุธกลางคืน แต่ไม่ทราบวิธีการว่าต้องทำอย่างไรบ้าง มีพิธีกรรมอะไรบ้าง และต้องเตรียมของดำอย่างไร บ้าง รบกวนอาจารย์แนะนำหน่อยนะค่ะ

ขอบคุณมากค่ะ


นก - 26 เมษายน พ.ศ.2549 11:20น. (IP: 58.10.231.231)

ความคิดเห็นที่ 32
อ. วรกุล

จริง ๆ แล้ว ไหว้ราหูต้องใช้ของ 8 อย่าง เคยได้ยินอย่างนั้น เหมือนกัน แต่ทำไมเขาบอกให้เราไหว้ส่งราหู ด้วยของ 12 อย่าง แน่ะ ไม่รวม ธูป เทียน นะ มันเป็นยังงัยกันแน่คะ อาจารย์ ขอคำชี้แนะด้วยค่ะ

ขอบคุณค่ะ


ภา - 27 กันยายน พ.ศ.2549 12:34น. (IP: 58.8.158.180)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียนถามว่า หมายเลขโทรศัพท์มือถือสามารถบอกดวงของเราได้ไหม ถ้าได้จะมีวิธีการดูอย่างไร เพราะหมายเลขมือถือที่ได้มามีเลข 0 เขาบอกว่าไม่ดี เป็นทุกข์มากค่ะ


ศิ - 30 ตุลาคม พ.ศ.2549 17:06น. (IP: 203.149.16.33)

ความคิดเห็นที่ 35
เรียนถามท่านอาจารย์วรกุล

ในดวงชะตาของคู่แฝดซึ่งมีเวลาเกิดใกล้เคียงกัน ตำแหน่งเส้นรุ้งเส้นแวงเดียวกัน จะอาศัยหลักการอะไรมาแยกแยะว่า แฝดพี่เป็นอย่างไร แฝดน้องเป็นอย่างไร

(ในขณะที่เวลานาฬิกาที่ใช้กันอยู่ก็ใช่ว่าจะเที่ยงตรงนัก)


วีระศักดิ์ นักสิทธิ์ - 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 20:21น. (IP: 203.113.71.4)

ความคิดเห็นที่ 36
ตอบ32

การไหว้หรือบูชาพระราหูแบ่งโดยคร่าวๆ เป็น 2 วิธี คือ

1. วิธีของพราหม์ ใช้วิธีเส้นไหว้ บนบาน บวงสรวงบูชาดังที่คุณทราบมาว่าใช้ของดำ 8 อย่าง คงจะถือว่า ของดำเป็นสีของพระเสาร์ซึ่งเป็นมิตรกับพระราหู และเลข 8 เป็นสัญลักษณ์ของพระราหู แต่ที่ไม่ค่อยเข้ารูปเข้ารอย ก็ ไก่ดำ นี่แหละ เพราะพระราหูเป็นยักษ์ขี่ครุฑ ครุฑเป็นเจ้าแห่งสัตว์ปีกเราฆ่าบริวารของท่านมาสังเวยแล้วจะดีอย่างไร

2.วิธีของพุทธ ใช้วิธีการประกอบกุศลบำเพ็ญบุญให้ถูกต้องกับนิสัยและลักษณะของพระเคราะห์ คือ ถ้าเป็นพระราหู ให้โทษต้องบูชาพระปางป่าเลไลย์ พระราหูอยู่ในวิมานทอง ก็ต้องเมืองสุพรรณบุรีเพราะพระประจำจังหวัดก็คือหลวงพ่อวัดป่า อีกอย่างหนึ่งท่านว่าพระราหูมาถึงลัคน์แม้นสูงศักดิ์สุราลัยจะจากยศไกร วิบากใจไฟเผาพลาญ ก็ถ้าท่านเดินทางมาไปไหว้ท่านถึงจังหวัดสุพรรณแล้วท่านก็จากบ้านท่านไปแล้ว เป็นอันว่าได้ครบเรื่อง บุญก็ได้ทำ ได้แก้เคล็ดด้วย ไม่ต้องเที่ยวเบียดเบียนสัตว์ตัวดำๆมาเซ่นสังเวย ที่ผมกล่าวมานี้เป็นความเห็นส่วนตัวขอท่านผู้ทรงภูมิความรู้ทั้งหลายช่วยแนะนำด้วยครับ


วีระศักดิ์ นักสิทธิ์ - 10 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 20:36น. (IP: 203.113.71.4)

ความคิดเห็นที่ 37
บ้านที่อาศัยอยู่เป็นบันไดวน และตรงกับประตูหน้าบ้าน จะแก้ฮวงจุ้ยได้อย่างไร คนในบ้านจึงจะอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ค้าขายเจริญรุ่งเรือง หน้าที่การงานก้าวหน้า มีโชคลาภ


sang - 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2549 21:58น. (IP: 222.123.120.188)

ความคิดเห็นที่ 38
เรียนท่าน อาจารย์วรกุล

อาจารย์คิดเห็นอย่างไรบ้างครับกับการแก้ดวง โดยการเปลี่ยนชื่อ แก้ฮวงจุ้ย ใส่เสื้อผ้า(ตามสี) ใส่เครื่องประดับ ที่ต้องโฉลกตามราศี กราบพระแก้เคล็ด เห็นว่าคนเค้าไปทำเยอะ แห่กันไปทำเลยก็มี อาจารย์คิดว่าได้ผลจริงๆ หรือเปล่าครับ ช่วยตอบกลับที่เมล์ผมด้วยนะครับเพราะผมกำลังทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ขอขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


บิ๊ก - 21 มกราคม พ.ศ.2550 21:00น. (IP: 203.113.56.73)

ความคิดเห็นที่ 39
ดีมากมากที่ได้ทำรายงานแบบนี้ขึ้นมา ให้ลูกให้หลานอ่านกัน


ma............................. - 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 11:33น. (IP: 125.24.223.33)

ความคิดเห็นที่ 40
เรียนท่าน อาจารย์วรกุล

หอพักของผม ที่ตั้งในเนื้อที่รูปสามเหลียมหน้ากว้างด้านหน้าติดกับถนนเล็กๆ ส่วนอีกฝังถนนเป็นด้านหลังหอพักของคนอื่น ตัวอาคารของผมมีลักษณะเป็นรูปตัว u หันไปทางทิศตะวันตกแล้วหน้าห้องฝังขวาของตัวอาคารมือมีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างประตูเข้าออก สิ่งเหล่านี้มันจะทำใหตัวผมแล้วผู้ที่อยู่อาศัยเป็นอย่างไรและมีวิธิการแก้อย่างไรครับ ขอขอบพระคุณล้วงหน้า


ongg - 5 พฤษภาคม พ.ศ.2550 10:28น. (IP: 222.123.11.233)

ความคิดเห็นที่ 41
สวัสดีครับ

ผมอยากทราบว่า อธิจิตฺโต แปลว่าอะไรครับ


ชัชวาลย์ - 10 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:43น. (IP: 210.213.6.242)

ความคิดเห็นที่ 42
สวัสดีครับ

ผมอยากทราบว่าฐานะธัมโม แปลว่าอะไรครับ


bobo - 3 กรกฎาคม พ.ศ.2551 18:02น. (IP: 202.28.180.48)