เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 4 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 3 เดิมมีความยาวมาก ทำให้โหลดได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 4 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
การที่เล่าเรื่องพลังงานธาตุมาคราวก่อน ก็เพื่อจะให้รู้จักหลักโหราศาสตร์สองหลักใหญ่ที่เป็นพื้นฐานการพยากรณ์ ผมบอกไว้ว่า เสาหลักทฤษฎีของโหราศาสตร์ไทยมีอยู่หลายอย่าง ทั้งโดยระบบ และเนื้อหา ที่สำคัญมากโดยระบบ มี 2 อย่างคือ หนึ่ง......เรื่องของกาล หรือ เวลา หรือ “โหรา” และ สอง.......เรื่องของพลังงานธาตุ เหตุผลก็เพราะการทำความเข้าใจชีวิตที่เป็นเป้าหมายหลักของโหราศาสตร์ก็ดี และ การพยากรณ์ที่เป็นเป้าหมายรองของโหราศาสตร์ก็ดี ล้วนแต่อาศัยสองสิ่งนี้เป็นกลไกสำคัญที่สุด

ลองคิดดูจากที่เคยบอกแล้วว่า โหราศาสตร์เกิดจากการพยายามศึกษาธรรมชาติคือชีวิต ที่ซับซ้อน โดยวิธีดูจากธรรมชาติที่ง่ายกว่า เช่นดวงดาว โครงสร้างของดวงดาวและธาตุขณะเราเกิดนั้นจะแสดงเรื่องราวต่างๆที่ เกิดขึ้น แล้ว หยุดอยู่ แปรปรวน และเปลี่ยนไป ตามปรัชญาโหราศาสตร์ สิ่งที่เราต้องการทราบอย่างที่สุดก็คือ จะเกิดอะไรขึ้น เกิดอย่างไร เกิดเมื่อใด และจะสิ้นสุดเมื่อใด เมื่อชีวิตดำเนินไปสิ่งที่ทำให้เปลี่ยนแปลงก็คือ โหรา และ พลังงานธาตุ

สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามดวงชะตานั้น แม้เราจะถอดความหมายจากดวงดาวออกมาได้ แต่เราจะสังเกตได้ว่า ผลการดูจากชีวิตจริงแล้ว บุคคลต่างๆมีชะตาที่หลากหลายมากมาย แม้แต่คนที่เกิดเวลาเดียวกัน สถานที่เดียวกัน วางดวงชะตาได้ทับกันสนิท เหตุที่มีข้อแตกต่างของชะตาชีวิตนั้น ส่วนมากเรามักจะอธิบายด้วยกรรมเดิม ในชาติก่อนๆที่นำเรามาเกิด แต่โหราศาสตร์เองไม่ได้เชื่อเรื่องกรรมในทำนองนั้น กรรมทางโหราศาสตร์หมายถึงการส่งผ่านของเหตุปัจจัย จากหลายโครงสร้างไปยังอีกโครงสร้างหนึ่ง โครงสร้างสุดท้าย คือดวงชะตาขณะเราเกิด โครงสร้างที่เป็นสาเหตุต้นตอของการส่งต่อปัจจัย อย่างหนึ่ง ก็คือ ดวงชะตาของบุพพการีของผู้นั้นนั่นเอง นี่เป็นทฤษฎีเก่าที่มีมานานแล้ว เป็นความเข้าใจทางกรรมพันธุ์ ก่อนที่จะมีการศึกษาพันธุกรรมทางวิทยาศาสตร์ในยุคหลัง

ด้วยเหตุที่ โครงสร้างของกรรมที่เป็นต้นตอทั้งหลาย ล้วนมีธาตุอื่น และพลังงานธาตุที่แตกต่างกัน ดังนั้น แม้จะมีเด็กนับพันๆคน หรือ เป็นแสนคน จะมาเกิดตกฟากในเวลาและสถานที่เดียวกัน มีดวงดาวและองศาทับกันสนิททุกดวงชะตาก็ตาม แต่เด็กทั้งแสนคนนี้ จะมีพลังงานธาตุที่ไม่ปรากฏให้เห็นอยู่ในดวงชะตาแฝงอยู่ในโครงสร้างชะตาไม่เท่ากันเลย พลังงานธาตุนั้น โหราศาสตร์ทางธาตุ จำแนกเป็นหน่วยย่อยที่มีเสกลเล็กมาก และเมื่อสนธิเข้ากับธาตุแต่ละอย่างแล้วจะมีรูปแบบ combination ที่หลากหลาย จนสามารถทำให้ดวงชะตาที่เหมือนกัน จะมีวิถีชะตาที่แตกต่างกันได้.........นี่คือชะตาเดิม หรือดวงเดิมที่เรารู้จักกันนั่นเอง

ต่อมา เราลองคิดดูว่า เมื่อเด็กทั้งแสนคน เริ่มเติบโตขึ้น แยกย้ายกันออกไป ธาตุทั้งหลายของชีวิตที่ปรากฏในดวงชะตาที่ต่างมีพลังงานธาตุแฝงอยู่ ก็จะแสดงผลทำงานที่ไม่เท่ากัน และด้วยเหตุที่ปัจจัยทางโหราศาสตร์จะทำงานในแบบโครงสร้างของดาว 10 ดวง 12 เรือน เสมอ การเปลี่ยนแปลงทางระบบธาตุจึงมีหลากหลายเพิ่มขึ้น จนกลายเป็นรายละเอียดที่ทำให้คนทั้ง แสนคนเหล่านั้น มีชะตาที่ไม่เหมือนกันเลย และยังสิ้นสุด(คือ ตาย)ไม่เท่ากันอีกด้วย นี่เป็นบทบาทที่สำคัญของพลังงานธาตุ

อีกปัจจัยหนึ่งที่เป็นหลักใหญ่สำคัญมากในโหราศาสตร์ คือ “โหรา” หรือ “กาล” หรือ “เวลา” เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากในพวกปัจจัยของวิชาธาตุ คนส่วนมากเช่นพวกเราเคยชินกับเวลาตามนาฬิกา ซึ่งปัจจุบันสามารถวางเวลามาตรฐานได้ตามเวลาอะตอมของธาตุบางธาตุ (element) ใช้อ้างอิงทางวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์ หรือแม้แต่สมัยโบราณ ก็อ้างอิงได้จากฤดูกาล และปัจจัยบนท้องฟ้าเช่น อาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว เป็นต้น กลายเป็นที่หมายนับ คือ วัน เดือน ปี ยาม ชั่วโมง นาที วินาที ที่นำมาใช้สร้างปฏิทิน เสกลเวลาเหล่านี้ โหราศาสตร์เรียกว่า “เวลาธรรมชาติ” คือ เวลาที่เกิดจากการนับเวลา ไม่ใช่เนื้อหาของเวลา

เนื้อหาของเวลา คือ เวลาจริงที่ธาตุดำรงอยู่ พึงเข้าใจว่า ระบบธาตุทางโหราศาสตร์ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาการโคจรของดาวบนท้องฟ้า ดังนั้น การใช้เวลาสังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ หรือ เวลาธรรมชาติ มาใช้เป็นเสกลวัดนั้น ทำให้เวลาของเหตุการณ์จริงคลาดเคลื่อนไป บางคนอาจจะคิดว่า ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ทีเราใช้หน่วยวัดเป็นมาตราเมตริกบ้าง อังกฤษบ้าง หรือ หน่วย si ในปัจจุบันบ้าง จะหลากหลายแค่ไหน ก็เทียบเปลี่ยนหน่วยได้ ไม่น่าจะแปลก แต่เหตุที่มันแปลก ก็เพราะ เวลาจริงๆมันเกิดจากเวลาของธาตุ (ทางโหราศาสตร์) ต่างชนิดกันมีเนื้อหาเวลาไม่เท่ากัน เมื่อธาตุเปลี่ยนภพและภูมิ

เนื้อเวลาที่แท้จริงของธาตุนั้นมีผลโดยตรงต่อชีวิตคน คุณอาจจะแปลกใจที่จะบอกว่าอายุทางธาตุของพวกเราจริงๆก็ไม่เท่ากัน ที่บอกว่าใครมีอายุมากกว่า อาจเป็นไปได้ว่าอายุอ่อนกว่า หรือบางคน ที่เสียชีวิตเมื่ออายุยังน้อย อาจจะบอกได้ว่าอายุทางธาตุ หรือเนื้อเวลาจริงของเขาสิ้นสุดลงแล้ว นักปฏิบัติธรรมบางคนอายุยืนมากก็เพราะเหตุนี้ แม้พระพุทธเจ้าก็ทรงเคยแสดงว่า หากพระอานนท์กราบบังคมทูลขอให้ทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ก่อน ก็จะไม่ทรงปลงอายุสังขาร แต่อาจจะดำรงพระชนม์ชีพอยู่ได้ถึง “กัลป์” หนึ่ง บางคนอธิบายเรื่องกัลป์ในที่นี้เป็นอย่างอื่น แต่สำหรับทฤษฎีธาตุแล้ว เป็นไปได้ เพราะเวลาทางธาตุสามารถหยุด หด ยืด หรือขยายได้ ซึ่งเป็นความรู้ที่พวกไสยศาสตร์มักจะเอาไปทำอะไรเล่นได้แปลกๆ

บางคนอาจจะคุ้นวิธีอธิบายเรื่อง เวลา ทางฟิสิกส์ อย่างที่ไอน์สไตน์ใช้อธิบายความเร็วที่มีผลต่อเวลา ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ แต่ความเปลี่ยนแปลงของเวลาในทฤษฎีนั้น เป็นความเปลี่ยนแปลงที่เราไม่สามารถพบเห็นได้จริงๆเลยในชีวิตประจำวัน ต่างกับเวลาจริงของธาตุที่โบราณพบว่ามันเปลี่ยนแปลงได้นี้ เราพบมันอยู่ทุกวันเวลา ในเหตุการณ์ต่างๆรอบตัวทุกวันนี้ และโหรโบราณยังพบการเปลี่ยนแปลงของเวลามาก่อนหลายร้อยปี

ด้วยหลักสองอย่าง คือ เวลาทางธาตุ และ พลังงานธาตุ นี่เอง ทำให้เกิดวิชาโหราศาสตร์เกิดขึ้นได้หลายระบบ และมีการปรับอัตราเวลาธาตุ ที่สัมพันธ์กับการแปรเปลี่ยนของพลังงานธาตุ วิชาโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันจำนวนมาก เป็นผลลัพธ์จากการพัฒนาเช่นนี้ เทคนิคสามัญที่เราใช้กันอยู่ เช่น มุมดาว ตรีโกณ จตุโกณ การอ่านเรือน และราศี เป็นต้นนั้น ไม่ใช่มุมที่แสงตกกระทบส่องถึงกัน อย่างที่หลายคนคิด ด้วยเหตุนี้ โหราศาสตร์ไทยจึงไม่ได้วางมุมดาว เหมือนอย่างที่สายวิชาโหรหลายระบบนำไปคิดใหม่ เพราะมีพื้นฐานมาจากการคำนวณทางธาตุแบบเดิมนั่นเอง


วรกุล - 17 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:40น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียนถามอ.วรกุลครับ

ผมไปเจอตำราชื่อธาตุวิภังค์เป็นของเกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณ ไม่ทราบว่าใช่ตำราเดียวกันกับอสิติธาตุวิภังค์หรือเปล่าครับ เห็นกล่าวถึงในกระทู้อ.ส.ส.

ขอบคุณมากครับ


กล้วย - 19 พฤษภาคม พ.ศ.2548 19:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
เรียนถาม อ. วรกุล

ผมเพิ่งจะเริ่ม เรียนโหราศาสตร์ด้วยตัวเองมาประมาณ 6 เดือน โดยการอ่านหนังสือของท่าน อาจารย์ เทพย์ สาริกบุตร ผมมีปัญหา เหมือนผู้เริ่มต้นทั่วไป คือ มีข้อมูลมากมายแต่ไม่ทราบจะแปลออกมาอย่างไร ครั้นจะอ่านตามหนังสือทำนายทั่วไป ก็ไม่แน่ใจว่าสามารถนำมาเป็นข้อมูลอ้างอิงได้ เนื่องจากแต่ละอาจารย์ก็มีวิธีการทำนาย เคล็ดลับเป็นของตัวเอง ผมได้อ่านกระทู้ถามตอบของอาจารย์ รู้สึกว่ามีเหตุผล กฏเกณฑ์ ที่ชัดเจน จึงอยากได้ตัวอย่างคำทำนาย ไว้เป็นข้อมูลอ้างอิง

ขอความกรุณา อาจารย์ช่วยยกตัวอย่างดวงและแสดงคำทำนาย สักหลายๆดวงสำหรับนักศึกษามือใหม่หน่อยครับ

ขอบคุณครับ

วีระชัย


วีระชัย - 20 พฤษภาคม พ.ศ.2548 10:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบ 2 คุณกล้วย.......ตำรา “ธาตุวิภังค์” ของแพทย์แผนโบราณ กับ “อสิติธาตุวิภังค์” เป็นคนละฉบับกันครับ แม้จะบางส่วนจะกล่าวถึงเรื่องเดียวกัน คือ ธาตุและปฏิกิริยาของธาตุในร่างกายมนุษย์ ตำราธาตุวิภังค์ อธิบายตั้งแต่ธาตุในร่างกายที่มีผลต่อสภาพของอวัยวะ และการทำงานของระบบในร่างกาย ตลอดจนสภาพแวดล้อม และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อธาตุเหล่านั้น เพื่อศึกษาสมุหฐานของโรคภัยไข้เจ็บ ธาตุของตำรานี้ จับเพียงสภาวะธาตุ 4 คือ ดิน ลม น้ำ ไฟ ซึ่งเป็นสิ่งที่ธรรมชาติแสดงออกมา และเราพบได้ทั่วไป ถือเป็นเพียงพื้นฐานความคิดเรื่องธาตุแบบโบราณ ที่คนไม่ทราบวิชาโหราศาสตร์นำมาใช้เท่านั้น เท่าที่ทราบ ธาตุวิภังค์ เป็น 1 ใน 4 ของตำราแพทย์โบราณพื้นฐาน 4 วิชา แต่ต่อๆมา ก็แตกแขนงกระจายออกเป็นอีกหลายๆวิชา แล้วแต่แนวทางวินิจฉัยและวิธีการบำบัดรักษาโรค

ส่วนวิชา “อสิติธาตุวิภังค์” เป็นวิชาโหราศาสตร์ เรียนรู้ตั้งแต่มูลเดิมของธาตุ ความเป็นไป และเปลี่ยนแปลงของธาตุ อันเป็นพื้นฐานของโหราศาสตร์ทางธาตุทั่วไป แต่แยกมาจับเอาเฉพาะธาตุที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ เพื่อศึกษา โดยไม่เรียนลึกถึงธาตุในดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ หรือระบบอะไรที่ลึกลับซับซ้อนแบบพวกที่เรียนทาง สุริยโชติรัตน์ อสิติธาตุวิภังค์ จึงเรียนครอบคลุมถึงสภาวะธาตุ 4 ในธาตุวิภังค์ ด้วย ในเรื่องเฉพาะปฏิกิริยา ความเปลี่ยนแปลงและความคงอยู่ของธาตุ แต่ไม่ได้เรียนทางเภสัชวิทยา เลยไม่ค่อยสัมพันธ์กับทางแพทย์โดยตรง แต่สัมพันธ์กับทางโหราศาสตร์มากกว่า สมัยก่อนเขาก็ไม่ได้แยกอย่างที่กล่าวมานี้ เพราะส่วนใหญ่ แพทย์แผนไทยมักจะรู้โหราศาสตร์เล็กๆน้อยๆ และโหร ก็รู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากธาตุ มักจะเป็นบุคคลเดียวกัน แต่ก็ไม่จำเป็น ถ้าเปรียบเทียบ ก็คล้ายกับ อสิติธาตุวิภังค์ เป็นวิชาชีววิทยา สุริยโชติรัตน์ เป็นพวกเคมี ฟิสิกส์ ส่วน ธาตุวิภังค์ เป็นพวกเทคนิคการแพทย์ ว่าโดยภาพรวมๆคร่าวๆ

คำว่า “วิภังค์” นี่ เจอบ่อยๆ อย่าไปแปลกใจนะครับ นี่เป็นคำเก่าๆ หมายถึง การจำแนก แยกแยะ หรือ classified , analysis มักใช้กับพวกข้อความ ตำรา ที่มีการกระจายหรือบรรยายรายละเอียดลึกลงไปในแง่มุมต่างๆ อย่างเช่น คัมภีร์ “วิภังค์” ของพระอภิธรรม ก็บรรยายแยกแยะองคประกอบ โครงสร้าง ปัจจัย ของจิต เจตสิก เป็นต้น ตำราสมัยก่อน ถ้าไม่ต่อท้ายด้วย “วิภังค์” ก็มักเป็น “วิภาค” ซึ่งหมายถึงการแบ่งส่วน เพื่อศึกษาวิเคราะห์ ต่างกันอยู่บ้าง แต่ยังไม่อยากพูดถึงศัพท์ หรืออย่างคำว่า “อสิติ” ก็เหมือนกัน โดยศัพท์แม้จะแปลว่า “แปดสิบ” แต่จริงๆจะหมายถึง “สิ่งที่คัดสรรมาว่ามีความสำคัญสูงสุด” หรือ อย่างเช่น “อสิติมหาสาวก” ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือบอกว่าไม่ใช่สิ่งสามัญ ทำนองเดียวกับที่หนังสือพิมพ์ชอบใช้คำว่า “สิบแปดอรหันต์ทองคำ” เลียนแบบหนังกำลังภายในวัดเส้าหลิน เพียงแค่จะหมายถึงกลุ่มคนพิเศษที่คัดมาทำอะไร และมีอำนาจกลั่นกรองเหนือคนทั่วไป อะไรทำนองนั้น เมื่อไรจะเลิกใช้ก็ไม่รู้ ดูไม่ค่อยมีสัมมาวาจาและคารวะ

ที่อยากบ่นตามประสาคนแก่ ก็คือ กระทรวงสาธารณสุขทางฝ่ายแพทย์แผนไทย ออกมาเผยแพร่วิธีดูธาตุของบุคคลแบบไฮเท็ค ให้กดคอมพิวเตอร์ดูได้ เพียงแต่บอกวันเดือนปี เกิด ก็รู้ “ธาตุ” ของตัวเอง จะได้ใช้เป็นแนวทางดำรงชีวิต กินอาหาร ปรับธาตุ การรักษาอะไรต่างๆ ฟังแค่นั้นแล้วก็รู้สึกอายแทน ลองท่านเอาวันเดือนปีเกิดมาใช้ทำนายธาตุ บอกธาตุ ก็เข้าข่ายวิชาโหราศาสตร์แล้ว เรื่องที่เกี่ยวกับการพยากรณ์ตามเวลา ก็เป็น โหรา ทั้งนั้น วีธีที่ทำ ก็เหมือนเปิดตำราพรหมชาติมาทาย แบบนี้หากความรู้ทางการแพทย์แผนโบราณเราเป็นประโยชน์จริงน่าเผยแพร่ภูมิปัญญาไทย ก็จะกลายเป็นด้อยคุณค่าไป เพราะใครฟังดูแล้วไม่เข้าท่า เปรียบเหมือนอาหาร “ผัดไทย” ซึ่งชื่อเสียงควรจะระบือลือไกลไปทั่วโลก แต่ท่านเอามาใส่กระทงกระดาษหนังสือพิมพ์ใช้แล้ว แถมเสียบไม้จิ้มฟันทำจากไม้ฉำฉา เอามาให้ลองชิม เผยแพร่ไปทั่วโลก อะไรแบบนั้น เวรกรรมจริงๆ

เท่าที่ทราบ การตรวจวินิจฉัยธาตุของบุคคล ในแพทย์แผนโบราณ เขาไม่ได้ใช้โหราศาสตร์ แต่ใช้วิธีทางแพทย์ล้วนๆ แต่การตรวจวันเดือนปีเกิดนี้เป็นเรื่องของโหราศาสตร์ การใช้โหราศาสตร์นั้นต้องถึงขั้นเก่ง ไม่ใช่เรื่องหมูๆ ที่ใช้แค่วัน เดือน ปี ก็รู้แล้ว นอกจากนั้น คำว่า “ธาตุ” ในตำราแพทย์ ก็ไม่เหมือน “ธาตุ” ในตำราโหราศาสตร์ทุกกรณีนะครับ การที่วินิจฉัยว่าคนคนหนึ่งเป็นบุคคลธาตุใดโดยใช้ “สภาวะธาตุ” ดิน น้ำ ลม ไฟ ทางโหราศาสตร์ไปใช้อธิบาย หรือรักษา รับรองว่าผิดเจ๋งๆ


วรกุล - 20 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบ 3 คุณวีระชัย...........เข้าใจที่คุณต้องการ แต่รู้ดีว่าถึงทำไปคุณก็ไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรนัก เหมือนทำอะไรลวกๆให้ไป ผมอยากจะบอกเคล็ดลับการเรียนแก่ทุกคนที่มาอ่านตรงนี้มากกว่า รับรองว่าไม่ได้โกหก

การเรียนโหราศาสตร์นั้น หัวใจมันอยู่ที่การปฏิบัติครับ คุณเข้าใจผิดที่ว่าแต่ละอาจารย์ทำนายได้เพราะมีเคล็ดลับเป็นของตนเอง การมองเช่นนั้น แม้จะเป็นจริงแค่บางส่วน แต่ก็ทำให้เราเข้าไม่ถึงโหราศาสตร์จริงๆ พลอยทำให้เรียนไม่ก้าวหน้าไปด้วย คนทุกคน เวลาดูดวงก็ใช้เบสิคพื้นฐานด้วยกันทั้งนั้น การใช้เคล็ดลับจะใช้เมื่อจำเป็น ในกรณีพิเศษเท่านั้น เช่น บางคนอาจรู้จักกินอาหารสารพัดนานาชาติ รู้เทคนิคการปรุงมากมาย แต่ออกนอกบ้านแล้ว 95% เขาก็กินก๋วยเตี๋ยวข้างทางเหมือนคุณนั่นเอง คนระดับอาจารย์จริงๆ (ไม่ใช่ อาจารย์ที่ตั้งกันเอาเอง) เวลาดูดวงนั้น การใช้เบสิคจะคล่องแคล่วรวดเร็ว การอ่านดวงชะตาที่นักเรียนใหม่อ่าน หนึ่งชั่วโมง อาจารย์อาจจะอ่านแค่ 3– 5 นาที นี่เป็นเรื่องจริง เหตุผลนั้นง่าย ก็เพราะว่าประสบการณ์ในการอ่านนั่นเองทำให้เขากลั่นกรองได้รวดเร็วมาก อะไรที่ไม่เกี่ยวข้องจะถูกอ่านผ่านแว่บเดียวแล้ววางทันที บางทีเคล็ดลับที่คุณว่าอาจจะเป็นเบสิคธรรมดาที่คุณยังใช้ไม่ถูกหรือไม่รู้จักใช้ก็เป็นได้

เคล็ดลับที่แฝงอยู่ก็คือเราต้องรู้เรื่องของเขามาบ้าง เป็นส่วนสำคัญในการดูดวงชะตา ถ้ามีใครจดแค่วันเดือนปีเกิดมาให้ แล้วไม่บอกอะไรเลย บางคนไม่บอกว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายด้วยซ้ำ หรือบางคนที่เคยเจอ ไม่บอกวันเดือนปีเกิดเลย ถามอะไรก็ไม่พูด เพราะเกรงถูกหมอดูหลอกถาม แบบนี้ก็เหมือนจับคุณมัดมือ มัดเท้า เอาถุงพลาสติคสีดำคลุมหัว แล้วให้ว่ายน้ำ 200 เมตร จะไม่ต่างกันเลย การดูดวงชะตาที่จะทำให้คุณเจริญก้าวหน้าในวิชาได้ คุณควรรู้เรื่องของเจ้าชะตาให้มากที่สุด รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อคุณอ่านดวงชะตาทุกแง่ทุกมุมแล้ว สิ่งที่เป็นไปไม่ได้จะถูกตัดออกโดยอัตโนมัติ เช่น รู้ว่าเขาจบ ป. 4 คุณจะไปทายว่าเขาจะได้เป็นประธานธนาคารโลกไปทำไม หรือ เธอเป็นคนจมูกโหว่ ฟันเหยิน คุณจะไปค้นหาว่าเธอจะได้เป็นนางสาวไทยหรือไม่ เพื่ออะไร นี่เป็นสิ่งที่ใช้สามัญสำนึกได้ แม้เรื่องมันอาจจะมีความเป็นไปได้แบบนิยายน้ำเน่าทางทีวี แต่ในดวงชะตาเวลาเราอ่านดวงอ่านดาว โอกาสที่จะเป็นไปได้เรื่องนั้นเรื่องนี้จะมีเต็มไปหมด หากคุณเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาพิจารณาด้วยความกังวล รับรองว่าเดือนหนึ่งคุณก็ยังอ่านดวงชะตาไม่ได้แม้แต่คนเดียว

อีกอย่างหนึ่ง คือคุณต้องเข้าใจ “อย่างยิ่ง” ว่า โหราศาสตร์ไม่ได้มีไว้เพื่อพยากรณ์ โหราศาสตร์มีไว้เพื่อให้เข้าใจชีวิต ถ้าคุณดูดวงชะตาเพื่อให้เข้าใจว่าอะไรคือชีวิตของเขา คุณจะอ่านออกง่ายกว่าความตั้งใจจะทายเขาให้ถูก ผมจึงอยากเน้นว่า เวลาดูดวงชะตา เราต้องสำนึกทันทีว่า เรากำลังดูชีวิตของเขา ชีวิตเขาจะเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ขอให้ลองเอาไปคิดดู ถ้าคุณเข้าใจข้อความนี้ คุณจะพบว่าคุณข้ามพ้นเส้นผมที่บังภูเขามาได้ง่ายนิดเดียว

ปกติการอยู่ใกล้ชิดอาจารย์จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ใช่เอาไว้ถาม เพราะการที่คุณคิดอะไร อ่านอะไรให้ฟัง อาจารย์ที่มีประสบการณ์มากกว่าฟังดูก็จะรู้ว่าคุณมองอะไรไม่ออก หรือคอยแก้ได้เมื่อคุณเดินผิดทาง คุณต้องเป็นฝ่ายเขียนหรือพูดออกมา ไม่ใช่เป็นฝ่ายฟัง ดู และอ่าน การมีเพียงชี้ท โน้ท หรือตำรา ไปศึกษาเอง หรือเรียนทางไปรษณีย์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องไม่ยาก หรือคิดว่าขอดูตัวอย่างสักเล็กน้อย ก็คงดูเป็น คุณอาจจะคิดผิดทางได้โดยไม่มีใครรู้เลย หากจำเป็นต้องศึกษาเอง คุณอาจจะหาใครที่พอเป็นแล้วมาช่วยนำทางให้บ้าง แล้วควรค้นคว้าดวงที่มีการทำนายให้มาก ไม่ต้องมาหวังแค่ดวงสองดวง แต่ให้ค้นเป็นสิบๆ หรือร้อยๆดวง เลือกที่รู้ประวัติมาบ้าง ยิ่งรู้มากก็ยิ่งดี เอามาพิจารณา และหาทางอ่านดวงชะตาวางอยู่บนเบสิค จนกว่าจะจับแนวทางได้ แล้วคุณก็จะเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะบอกในที่นี้ทั้งหมด


วรกุล - 22 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:50น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
ขอบคุณครับอาจารย์ สำหรับคำแนะนำ ผมก็คิดจะเริ่มศึกษาจากชีวิตจริงโดยเริ่มจากตัวเองและคนรอบตัว แต่ก็มีปัญหาอยู่บ้างเนื่องจากดูคนใกล้ชิด ก็วางใจเป็นกลางลำบาก

ผมจะขอเกร็ดความรู้จากอาจารย์ซัก สองข้อ

1. ผนสับสนเรื่องการตีความจากเรือน อย่างเช่น ความหมาย ของ เรือนตนุไปอยู่ เรือนวินาศส์ กับ เรือนวินาศส์ มาอยู่เรือนตนุ ขออาจารย์กรุณาอธิบายหลักเกณฑ์การตีความจากเรือน

2. เรือนตนุไปอยู่เรือนวินาศส์ เรือนวินาศส์ไปอยู่เรือนลาภะ เรือนลาภะไปอยู่เรือนตนุ ถือว่าเป็นดาวเคราะห์ ถ่ายเรือนหรือไม่ ให้ผลดีหรือร้ายอย่างไร ขอความกรุณาช่วยวิเคราะห์เป็นตัวอย่าง

ขอบคุณครับ

วีระชัย


วีระชัย - 24 พฤษภาคม พ.ศ.2548 11:43น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
การเอาพลังงานธาตุมากล่าวเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งๆที่ยาวและยุ่งยาก ในวิชาธาตุเอง เราต้องเรียนคุณสมบัติและความแปรปรวนของธาตุแต่ละหมวด แต่ละชนิด และกลไกของมัน จึงต้องเรียนเรื่องพลังงานธาตุซึ่งเป็นกลไกสำคัญของธาตุ เพราะมีผลต่อการทำนายเหตุการณ์ ธรรมดาโครงสร้างของดาวและเรือนนั้นมีพลังงาน ซึ่งแม้จะมีความแตกต่างกันอยู่ แต่ยังจะคงไม่แจกแจงในตอนนี้

ดังที่เคยบอกแล้วว่า การดูดาวต้องดูดาวทั้ง 10 ดวง 12 เรือน เพราะเหตุการณ์ในดวงชะตา เกิดจาก องคประกอบหลายส่วนมาประกอบกันเป็นโครงสร้าง หากเราเข้าใจตรงนี้แล้ว จะเห็นว่าการดูดาวดวงเดียวในราศี แถมยังอ้างโหราศาสตร์คือ สถิติ เป็นเรื่องน่าตลกจริงๆ เหมือนกับแฟนเราส่งรูปถ่ายมาให้เป็นที่ระลึก แต่กลับถ่ายแต่ มือ จมูก แขน หรือก้นมาให้ดู ขอให้จำไว้ว่า หากดาวไม่ปรากฏเป็นองคประกอบของโครงสร้างใดแล้ว เกือบไม่มีคุณค่าในการทำนายเลย นอกจากการรับและถ่ายเทพลังงานธาตุเล็กๆน้อยๆ ที่ดาวแต่ละดวงทำได้ พอๆกับการใส่ถ่านไฟฉายลงในตุ้กตาของเด็กๆให้ร้องได้ สักพักเดียวที่ถ่านหมดก็โยนทิ้งไป แต่ดาว และเรือนกลับมีบทบาทสูงมากในโครงสร้าง เหมือนกับ ไอซี หรือ ตัวเก็บประจุตัวเล็กๆในวงจรไฟฟ้า แต่มีอานุภาพทำงานขนาดสั่งป้อนจ่ายไฟฟ้าแรงสูงได้หลายกิโลโวลท์ โครงสร้างนี้ มีประสิทธิภาพพอๆกับเมนบอร์ดในคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรมสั่งงานระบบให้ทำงานได้สารพัด แต่การโปรแกรมให้แก่ชีวิตของแต่ละคนนั้น สำคัญมากกว่า เป็นระบบมากกว่า และเป็นความอัจฉริยะมากกว่าของธรรมชาติ อย่างเทียบกันไม่ได้

เมื่อเราเกิดมา ระบบของดาวและเรือนที่ปรากฏเป็นดวงชะตาของเรา เหมือนกับโครงสร้างโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมแล้วในดวงชะตาของแต่ละคน เป็นหลายโปรแกรมย่อยซ้อนกัน ดาวแต่ละดวงทำงานอยู่ในหลายโครงสร้างได้อย่างน่าแปลก โดยไม่สับสนต่อหลายบทบาทหน้าที่ในเวลาเดียวกัน ก็เพราะแต่ละโครงสร้างมีระดับของพลังงานธาตุที่แยกกันอยู่ และแต่ละดาวยังมีความสามารถแยกแยะได้ ก็เพราะมันมีภพภูมิอยู่ในตัวมันหลายระดับ เหมือนมีช่องสัญญานอยู่หลายช่องไม่สับสนกัน การอ่านดวงชะตาที่ถูกต้อง คือการอ่านเรื่องราว หรือ โปรแกรมที่เตรียมมาพร้อมแล้วกับตัวเราตั้งแต่เกิดเหล่านี้นั่นเอง

แต่ลำพังการอ่านเรื่องราวที่หลากหลายในดวงชะตา ที่เป็นการอ่านดวงเดิมนั้น จะไม่มีความหมายใดๆเลยหากโครงสร้างของมันไม่สามารถทำงานได้ เหมือนกับเรามีคอมพิวเตอร์ หรือ โปรแกรมที่สร้างไว้อย่างดี แต่ไม่มีไฟฟ้าป้อนให้ เครื่องของเราก็จะไม่ดีไปกว่าหนังสือที่ไม่มีใครเปิดอ่าน ครั้นพอให้พลังงานแก่มัน คอมพิวเตอร์จึงจะมีบทบาทมาก ตั้งแต่แสดงจอภาพเล่นเกมส์ ดูหนังฟังเพลง พูดคุยสื่อสาร ไปจนถึงสามารถสั่งการหุ่นยนต์ในยานอวกาศได้ ในดวงชะตาก็มีพลังงานเช่นนี้อยู่ในชีวิตของแต่ละคน กลไกทุกอย่างทุกบทบาท ทุกเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่เป็นกลไกของธาตุ ที่มีพลังงานธาตุเป็นตัวจักรสำคัญ โบราณไม่ได้คิดว่าพลังงานธาตุ เป็น “พลังงาน” อย่างที่คนปัจจุบันคิด แต่พลังงานธาตุเป็นสิ่งที่มากระตุ้นพลังในธาตุที่มีอยู่แล้วให้ปลดปล่อยแสดงออกมา พลัง หรือพลังงานในธาตุ แต่ละธาตุนั้น เป็นสิ่งที่ได้มาจากต้นตอคือดวงอาทิตย์ดวงเดียวกันนั่นเอง

ดาวแต่ละดวงในดวงชะตาได้รับพลังงานธาตุมาไม่เหมือนกัน เก็บไว้ไม่เท่ากันและเกิดผลไม่เหมือนกันด้วย เหตุเพราะดาวในตำแหน่งต่างๆนั้นมีความแตกต่างกันของธาตุตัวมันเอง พลังในตัวเอง ความคงอยู่ของพลังงาน และความเป็นไปของตำแหน่งที่มันสถิต นี่เองทำให้เราต้องอ่านดาว เจ้าเรือน และความเป็นไปของเรือน เพราะสิ่งเหล่านี้มีบทบาทต่อการเข้าใจพลังงานในโครงสร้าง และกำหนดของเหตุการณ์ การที่เราอ่านได้ว่า อนาคตเจ้าชะตาจะเป็นคนดัง มีชื่อเสียง เราจะต้องตอบคำถามที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งให้ได้ว่า เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น เมื่อไร แต่คำถามสำหรับนักโหราศาสตร์ด้วยกัน มีความสำคัญมากกว่า คือต้องตอบให้ได้ด้วยว่า การเกิดเหตุการณ์ตามดวงชะตา เกิดขึ้นได้อย่างไร

โหรส่วนมากมักทำนายตามตำรา โดยไม่รู้ที่มา เหมือนคนที่ไม่รู้คอมพิวเตอร์ แต่หัดคลิ้กๆเอา ก็หาคำตอบได้ ต่างกับผู้ที่เคยเขียน เคยสร้างโปรแกรมมา จะมองเหตุการณ์ลึกลงไปถึงกลไกของโปรแกรมที่เขียนขึ้นมาก่อนที่จะได้คำตอบ ลองสังเกตดูก็ได้ หากเราทำนายดวงชะตาให้ใครสักคนแล้วเรายังรู้สึกว่าอ่านตามตำราอยู่ ความรู้สึกนี้จะต่างกับโหรที่มีความรู้จริงๆ เพราะเขาจะมีความรู้สึกว่า กำลังรู้ชีวิตของเจ้าชะตา ว่าเกิดอะไรขึ้น กำลังเป็นไปอย่างไร และกำลังจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา เหมือนกำลังดูภาพยนตร์จากวิดิโอ

พลังงานของโครงสร้างดาวนั้นมีหลายระดับ เพราะตัวโครงสร้างของดาวและเรือนที่เกิดขึ้นในดวงชะตานั้น เป็นโครงสร้างหลายระดับซ้อนกันอยู่ ดังนั้นกลไกของเหตุการณ์จึงอาจเกิดขึ้นได้หลายเรื่องราวต่อเนื่องกัน เหมือนเราเอาประทัด หลายตับ มาต่อชนวนเรียงกัน เมื่อมีการจุดชนวนก็จะระเบิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หรืออาจจะเปรียบกับโดมิโนก็ได้ ไม่ใช่เป็นโดมิโนแต่ละตัว แต่เป็นโดมิโนแต่ละชุดใหญ่ๆ โครงสร้างดาวนั้นมีคุณสมบัติที่สามารถเก็บสะสมพลังงานได้ไม่เท่ากัน เมื่อพลังงานถูกสะสมมากขึ้นจนถึงขีดจำกัดของมัน และมีการจุดชนวนในตำแหน่งที่สำคัญ ก็จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นในดวงชะตานั้น

ในระหว่างที่โครงสร้างดาวกำลังสะสมพลังงานอยู่ เราเองก็อาจมี “ความรู้สึก” ถึงอะไรบางอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ อย่างเช่น การ เขม่นตา หรือคิ้ว หรือ เส้นลายมือ และสัญลักษณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นฉับพลันในฝ่ามือหรือใบหน้า อันเกิดจากกระแสพลังงานธาตุของโครงสร้างกำลังถ่ายเท เนื่องจากธาตุกำลังเปลี่ยนภพ ภูมิ ขึ้นมา หรือที่พบบ่อยคือ ความฝัน และความรู้สึกสังหรณ์ ซึ่งมีได้จากหลายสาเหตุ สาเหตุที่สำคัญเกิดจากธาตุที่กำลังเพิ่มพลังงานขึ้นมาจนจวนจะถึงขีดจำกัด โครงสร้างเหตุการณ์กำลังเริ่มทำงานของมันก่อนในระดับพลังงานต่ำ ทำให้เจ้าชะตาฝันเห็น หรือ รู้สึกสังหรณ์ต่อเหตุการณ์ที่มาบังเกิดขึ้นจริง ทำให้ดูเหมือนกับฝันแม่น หรือสังหรณ์แม่น ถ้าจะเปรียบก็เหมือนปลาโลมาที่กำลังว่ายเร่งความเร็วจากใต้น้ำกระโดดพุ่งขึ้นจากผิวน้ำปรากฏแก่สายตา ช่วงที่กำลังเร่งความเร็วอยู่ใต้ผิวน้ำนั้น คือการเร่งทวีพลังงานขึ้นของโครงสร้างเหตุการณ์ หรือแม้ความรู้สึกง่ายๆ เช่น เรารู้สึกเป็นทุกข์ อยากจะหลีกไปจากตรงนั้น ก็เกิดจากการปลดปล่อยพลังงานของเหตุการณ์นั้นเป็นห้วงๆไป เหมือนน้ำที่กระฉอกออกมานั่นเอง

วิชาโหราศาสตร์หลายระบบ เช่น ลายมือ โหงวเฮ้ง และนรลักษณ์ (ที่แท้) ก็มีที่มาจากการอ่านพลังงานธาตุตรงนี้ ส่วนใหญ่โหราศาสตร์จีนจะศึกษาช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตรงนี้มาก เพราะเป็นช่วงเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงแล้ว จึงแม่นกว่าการพยากรณ์ล่วงหน้านานๆ ต่างกับบางอาจารย์ที่สอนกันบางแห่ง ที่มักจะใช้เลข 7 ตัวบ้าง หรือ พรหมชาติบ้าง เข้าไปผสมผเสทำนาย รวมทั้งใช้การทำนายจรลายมือ แบบฝรั่ง ที่อาศัยสถิติ แต่ไม่ทราบต้นตอของเรื่องว่า สัญญลักษณ์ที่ใช้ทำนาย เกิดขึ้นมาบนฝ่ามือได้เพราะเหตุใด

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะมีผลต่อเนื่องไปอีกหลายอย่าง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว บางครั้งอาจยาวไปชั่วชีวิต เพราะมันไปจุดต่อเหตุการณ์อื่นที่ปรากฏในดวงชะตารองรับอยู่แล้ว ขนาดที่สั้นที่สุดมักจะเป็นพลังงานจากโครงสร้างดาวจรล้วนๆ ซึ่งจะมีระยะหน่วงระหว่าง 10 นาที ถึง 2 ชั่วโมง กว่าจะปลดปล่อยพลังงานหมด เช่นกรณีเกิดอุบัติเหตุ พลังงานของโครงสร้างนั้นยังคงหน่วงมีผลอยู่ การเกิดเหตุการณ์ทุกเหตุการณ์ไม่ใช่ภาพนิ่ง แต่เป็นโปรแกรมที่วนเวียนใน loop สั้นๆ เหมือนการเคาะระฆังที่พลังงานของเสียงยังก้องกังวานอยู่จนกว่าพลังงานจะถูกปล่อยออกไปจนหมด ดังนั้น เราจึงควรหลีกเลี่ยง และหลบเลี่ยงการอยู่ในสถานที่ที่เกิดอุบัติเหตุใหม่ๆ เพราะเงื่อนไขของโครงสร้างดาวยังคงมีพลังงานอยู่ จึงอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำซ้อนขึ้นได้ หากโครงสร้างดาวของเรามีลักษณะบ่งบอกอยู่ แม้จะไม่ถึงเวลาจะเกิดเหตุการณ์ ก็อาจจะเกิดเหตุได้ทันที เหมือนกับกองไฟที่ยังไม่ดับมอด หากเราถือเอา น้ำมันเบนซินไปใกล้ๆ ก็จะลุกโพลงขึ้นมา เป็นอันตรายได้ โครงสร้างบางอย่างของดาวอาจจะมีพลังงานหน่วงอยู่เกินกว่าชีวิตของเจ้าชะตาเสียอีก เช่น บางครั้งเราจะพบว่าเขาถูกยกย่อง เลื่อนตำแหน่ง หรือถูกก่นด่าได้ ภายหลังจากเจ้าชะตาตายไปแล้ว


วรกุล - 24 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 8
เรียน คุณวรกุล

ดิฉันกำลังศึกษาเกี่ยวกับโหราศาสตร์ แต่อยู่ในขั้นอนุบาลค่ะ

เพื่อน ๆ เคยให้ผูกดวงให้ก็ทำนายโดยเอาตำราเป็นหลัก แต่พอมาเจอกับลัคนาที่อยู่ในราศีพิจิก แล้วมีเสาร์ที่ราศีพฤษภในภพปัตนิเล็งลัคน์ ซึ่งเข้าเกณฑ์พินทุบาทว์ หรือดวงแตกถ้าเป็นลัคนาที่อยู่ในราศีอื่น ๆ ก็พอจะทำนายได้ว่า เจ้าชะตาจะต้องพบปัญหาเกี่ยวกับคู่ครอง หรืออาจแต่งงานช้า แต่พอลัคนาอยู่ราศีนี้ แล้วเสาร์ก็ได้เกณฑ์มหาจักร เลยไม่ทราบว่าจะยิ่งส่งผลให้เจ้าชะตาต้องเจอปัญหาคู่ครองที่หนักขึ้น หรือแต่งงานช้ากว่าปกติหรือไม่ได้แต่งเลยตามอำนาจของเสาร์มหาจักรด้วยหรือไม่ คือไม่ทราบว่ามันจะเป็นคุณหรือโทษมากกว่ากัน ดิฉันเคยอ่านตำราของท่านอาจารย์ท่านหนึ่ง กล่าวเกี่ยวกับดวงที่มีลัคนาในราศีพิจิกแล้วมีเสาร์เล็งลัคน์ ท่านว่าไม่เป็นเกณฑ์พินทุบาทว์ เพราะไม่มีดาวในภพที่สิบสอง ดิฉันขอความกระจ่างเกี่ยวกับด้านนี้ด้วยนะคะ

ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง


เพื่อน - 24 พฤษภาคม พ.ศ.2548 17:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบ 6 คุณวีระชัย......1 / เจ้าเรือนตนุไปอยู่เรือนวินาสน์ ก็อ่านตนุเป็นหลัก อ่านวินาสน์เป็นส่วนประกอบ ......เจ้าเรือนวินาสน์ไปอยู่เรือนตนุ ก็อ่านวินาสน์เป็นหลัก อ่านตนุเป็นส่วนประกอบ ........2 / เจ้าเรือนตนุ ไปอยู่เรือนลาภะ เจ้าเรือนลาภะ ไปอยู่เรือนวินาสน์ เจ้าเรือนวินาสน์ไปอยู่เรือนตนุ ก็เรียกว่า เจ้าเรือนเกษตรสลับเรือนกัน ไม่ใช่พระเคราะห์ถ่ายเรือน และไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เพียงแต่เป็นความสัมพันธ์เรือน ตนุ -- ลาภะ -– วินาสน์ –- ตนุ เท่านั้น

ตอนนี้เลยรู้ว่าคุณไม่เข้าใจโหราศาสตร์เบื้องต้น เพราะคุณไม่ได้เรียก “เจ้า”เรือน เลย ทั้งๆที่เรียนหนังสืออาจารย์เทพย์มาตั้ง 6 เดือน และยังจับอะไรเปะปะ อยากแนะนำว่าคุณควรหาที่เรียนสักแห่งหนึ่งที่เขาสอนโหราศาสตร์เบื้องต้น ให้เขานำทางที่ถูกให้ เพราะอ่านหนังสือเองแล้วยังเริ่มต้นไม่ได้ เห็นจะอ่านเองไม่ได้แล้วครับ เดี๋ยวครบปีจะเสียเวลาเปล่าๆ หากเริ่มต้นเรียนได้ถูกก็จะไปได้ไกลมากแล้วครับในช่วงเวลาขนาดนี้ ยิ่งอ่านเรื่องในเว็บนี้หลายแห่งเข้า จะยิ่งเข้าใจเปะปะกันไปใหญ่ ยิ่งมาถามแล้วไปตีความเอาเองจะยิ่งผิดทางไปมาก วันหลังจะแก้ยาก


วรกุล - 25 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
ตอบ 8 คุณเพื่อน.........เลขใดหนึ่งแทนดาวที่คุณเขียนลงในดวงชะตา เล่นบทบาทอยู่หลายบทบาท แต่ละบทบาทแยกจากกันครับ เรือนก็ส่วนเรือน ดาวก็ส่วนดาว ราศีก็ส่วนราศี ทักษาก็ส่วนทักษา องคเกณฑ์ก็ส่วนองคเกณฑ์ พินทุบาทว์ก็ส่วนพินทุบาทว์ และยังมีอะไรอีกช่วยเติมต่อไปเองด้วย ล้วนเป็นคนละส่วนกัน ยกเว้นอย่างเดียวคืออ่านดาวลอยในเรือนเกษตรเท่านั้นที่เอาดาวมาอ่านกับเรือน ดาวแต่ละดวงอาจจะมีบทบาทอยู่ตั้ง 10 – 15 บทบาท อย่าเอามาผสมรวมกัน ดีมันก็อยู่ส่วนดี ไม่ดีก็อยู่ส่วนไม่ดี คุณก็อยู่ส่วนคุณ โทษก็อยู่ส่วนโทษ เอามารวมกันได้ไง ถ้าใครลองไปนับว่าผมตอบแบบนี้ไปกี่หนแล้วในกระทู้ได้ครบ อาจจะช่วยให้บรรลุถึงโหราศาสตร์ได้เร็วขึ้น อย่างที่คุณยกตัวอย่างมา ลัคนาอยู่ราศีพิจิก ดาวเสาร์มาอยู่ราศีพฤษภคุณก็ต้องแยกให้ออกว่าเรื่องอะไร อย่าเอาไปผสมรวมกัน

1 ) เมื่ออ่านเรือน อ่านว่า เจ้าเรือนสหัชชะ มาอยู่เรือนปัตนิ ให้ตามดาวเจ้าเรือนปัตนิไปอยู่เรือนใด และเจ้าเรือนนั้นไปอยู่เรือนใดอีก อ่านมาประกอบ 2 ชั้น ขั้นต้นนี้อ่านเท่านั้นก็พอแล้ว นี่เป็นนิทานโดยย่อของชีวิต ตอนนี้ห้ามอ่านคำว่า ดาวเสาร์ ดาวศุกร์ พินทุบาทว์ มหาจักร ศรี กาลี อะไรทั้งสิ้นเพราะมันไม่เกี่ยวเลย

2 ) เมื่ออ่านดาว ตอนนี้อ่าน “ดาวเสาร์” ได้แล้ว แต่อ่านว่ามีดาวใดมาทำมุมโยค ตรีโกณ หรือเป็น 1 4 7 10 และเป็นคู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล แก่ดาวเสาร์บ้างไหม จะได้รู้ว่าดาวเสาร์ในดวงชะตานี้ ดาวเสาร์ทำหน้าที่อย่างไร มีอะไรช่วยไหม มีอะไรร่วมด้วยบ้างไหม นี่เป็นหน้าที่ความเป็นอยู่ของดาว จะได้รู้ความเข้มแข็งอ่อนแอของดาวเฉพาะในดวงชะตานี้

3 ) เมื่ออ่านดาวลอยในเรือนเกษตร ดาวเสาร์ จะแสดงคุณสมบัติของมันต่อเรือนเกษตรและราศี เป็นผลจากธาตุดาวเสาร์ที่สถิตในราศี เมื่อราศีกับเรือนทับกัน ดาวเสาร์เลยมีผลต่อเรือนด้วย เสาร์อยู่ในเรือนปัตนิ เรือนคู่ครอง การแต่งงาน ทำให้แต่งงานช้า ราศีพฤษภเป็นเรือนเกษตรของศุกร์ด้วย ความรักไม่สมหวัง อาจจะเป็นเหตุให้ไม่แต่งงานก็ได้ เพราะเลือกมาก ไม่พอใจ หากแต่งงานก็ไม่ค่อยมีความสุขเท่าไร เสาร์เป็นมหาจักรในราศีพฤษภเป็นของแถม แต่ราศีอื่นเสาร์ไม่ได้เป็นมหาจักรใช่ไหม แสดงว่าเสาร์เป็นมหาจักรเพราะราศี มหาจักรก็คือเก่ง ผาดโผน ลวดลาย มีลูกเล่นลูกชน เป็นความสามารถประจำตัว มีชื่อเสียง เจ้าชะตาอาจจะเก่งเองหรือได้คู่ที่เก่งแบบนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับไม่ได้แต่งงานเพราะเป็นเสาร์มหาจักรอย่างที่คุณว่า

4 ) เมื่ออ่านพินทุบาทว์ (หรือ องคเกณฑ์) เช่น เสาร์ เป็นเจ็ดแก่ลัคนา (หรือ เล็งลัคนา ไม่ใช่อ่านเรือนปัตนิ) แสดงว่าพินทุบาทว์ เป็นมุมของลัคนาใช่ไหม ลัคนาเป็นเรื่องของนิสัยใจคอ ความเป็นอยู่ และอารมณ์ แสดงว่าตัวเจ้าชะตามีนิสัยของเสาร์มาร่วมด้วย เขาจึงว่าเป็นพินทุบาทว์ เพราะเจ้าชะตามักเป็นทุกข์อยู่เสมอ พลอยทำให้จู้จี้จุกจิก ประสาทๆ เลือกมาก ทำอะไรช้า พินทูบาทว์แปลว่า จุดเสีย จุดอ่อน นั่นแหละ จะเสียมาก หรือเสียน้อยค่อยดูดาวอื่นที่มาประกอบ ส่วน เรื่องดาวในภพ12 เป็นคนละเรื่องกัน ไม่เกี่ยวกับพินทุบาทว์ รวมทั้งบางตำราที่ว่า เกิดวันนั้น วันนี้ เป็นหรือไม่เป็นพินทุบาทว์ ก็ไม่เกี่ยวกับพินทุบาทว์อีกเหมือนกัน เหมือนกับบอกว่าคนหูหนวก จะต้องเป็นใบ้ด้วยนั้น ไม่เป็นความจริง เอามาโยงให้มั่วเปล่าๆ

นี่อ่านเพียงแค่ 4 เรื่อง แต่จะอ่านกี่เรื่องก็ทำได้ แค่ดูว่ามันเป็นเรื่องอะไร ไม่เห็นจะยุ่งยากสับสนเลย ทำไมต้องทำเรื่องง่ายๆให้ยากด้วย กลัวจะไม่ขลังหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ส่วนเรื่องที่เป็น คุณ หรือโทษ ดี หรือ ไม่ดี ก็ดูจากเรื่องทีละเรื่อง ว่ากันซื่อๆ อ่านแล้วคุณว่าเรื่องไหนดีก็ว่าดี เรื่องไหนไม่ดีก็ว่าไม่ดี ทั้งๆที่เกิดจากดาวดวงเดียวกันนั่นแหละ แต่ไม่ใช่เอามาใส่ครกตำบวกรวมกัน เหลือเพียงให้คุณ หรือ ให้โทษ เพียง 2 ประตูให้เลือก ต้องเข้าใจเสียใหม่ให้ถูก

เมื่ออ่านเรื่องแยกกันได้แล้ว ค่อยเอาเรื่องมาอ่านรวมกัน ไม่ใช่เอาตำแหน่งดาวมารวมกัน ถ้ารวมไม่เป็นก็อ่านเป็นหลายๆเรื่องแยกกันอย่างนั้นแหละรับรองว่าไม่ผิด แต่เอาเรื่องมารวมกันจะฟังดูดีกว่า ในทางดวงชะตา เรื่องหลายเรื่องมันจะทะลุถึงกันได้เอง เพราะดาวมันทำงานต่อเนื่องจนทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องเดียวกัน แต่มันมีขั้นตอนกลไกครับ ต้องอธิบายอีกยาว ไม่ใช่เรื่องเข้าใจได้ง่ายๆ พวกตำราต่างๆ เขา ชอบอ่านผสม ผเสปนเปกัน จนคุณจับไม่ได้ แต่งตำราให้เพี้ยนๆ แล้วทำให้นึกว่ายาก ก็เลยขายเป็นเคล็ดลับรวยไป


วรกุล - 26 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
เรียน คุณวรกุล

ขอบพระคุณมาก ๆ ค่ะสำหรับความรู้ที่ถ่ายทอดให้ เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ดิฉันจะนำไปเป็นแนวทางเพื่อศึกษาต่อไปค่ะ


เพื่อน - 26 พฤษภาคม พ.ศ.2548 15:33น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
ปัจจุบัน ในวงการโหราศาสตร์มีเว็บไซท์อยู่หลายเว็บ และยังมีสถานที่สอนอยู่หลายแห่ง แต่หากจะเทียบกับสมัยเมื่อสักราว 50 ปีก่อน คนที่เรียนโหราศาสตร์ในปัจจุบันน่าจะมีน้อยลง เมื่อเทียบ***ส่วนกัน ในแง่เนื้อหาวิชาความรู้ เรามีความรู้กว้างมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะมีสื่อจำนวนมาก ต่างกับคนสมัยก่อนซึ่งแม้จะรู้แคบๆ เช่นรู้เลข 7 ตัว หรือรู้ดวงชะตาเพียงเทคนิคไม่กี่อย่าง แต่กลับรู้ลึกๆ มาก จนกระทั่งแต่ละคน ถ้าหากมาอยู่ในยุคนี้จะเป็นอาจารย์ได้อย่างสบายๆเลย

เมื่อราวปี พศ. 2495 ถึง 2505 มีกลุ่มที่ศึกษาโหราศาสตร์เฟื่องจำนวนมาก ซึ่งต่อมาเรียกกันเล่นๆว่า “ซุ้มหมอดู” ส่วนมากอยู่ใต้ต้นไม้หรือในวัด สถานที่สอนโหราศาสตร์ก็มักเรียกกันว่า “สำนัก” เลียนแบบคำว่า “สำนัก” ในหนังสือกำลังภายในยุคที่เริ่มเฟื่อง ต่อๆมาก็เลือนหายไป เปลี่ยนเป็นสถาบันบ้าง สมาคมบ้าง ชมรมบ้าง ซึ่งบางแห่งในปัจจุบันมีคนอยู่ไม่กี่คน ตั้งขึ้นเพื่อโปรโมทตัวเองใช้ทำมาหากินเท่านั้น ยิ่งคำว่า “อาจารย์” ยิ่งแตกต่างกันมาก สมัยนี้มีอาจารย์เกลื่อนเมือง ตั้งกันขึ้นมาเอง แต่ก่อนโน้นคนเป็นอาจารย์นั้นเป็นยาก เพราะไม่เพียงแต่จะต้องเข้าใจทฤษฎีและปฏิบัติแตกฉาน ยังต้องเป็นผู้ปฏิบัติชอบ มีคุณธรรม มีสัมมาคารวะ เป็นตัวอย่างที่ดี และยังสามารถอธิบายทั้งทฤษฎี และวิธีปฏิบัติทางโหราศาสตร์ ตลอดจนพิธีกรรมได้หมด คนนอกวงการมักเรียกท่านว่า “โหร” ส่วนคำว่า “หมอดู” นั้น เป็นคำกลางๆ ใครพยากรณ์เป็นก็เรียกว่าหมอดูได้ พวกเรานักเรียนโหรจะเรียกอาจารย์ว่า “ครู” หากเป็นครู ของ ครู หรืออายุอาวุโสกว่ามากๆ เราจึงจะเรียกว่า “ท่านครู”

คนทั่วไปสมัยก่อน ใครที่อยากดูดวงชะตาฟรี จะเอาไปให้ซุ้มหมอดูช่วยดูให้ก็ได้ แต่จะต้องยอมรับคำวิจารณ์ที่สับสนอยู่ เพราะต่างคนก็ต่างพูดไปคนละแง่ คนละมุม แม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ถูกยืมเป็นดวงสอนกันเองบ้าง หนักๆเข้าไม่มีใครหลงมาให้ดู พอว่างเข้า ก็จะงัดเอาดวงแปลกๆ ดวงพิลึกๆ มาดูกัน มีอยู่ทุกซุ้ม ฟังๆมากๆก็จะได้รับความรู้ความคิดกลับไปบ้าง บางทีก็เหลวไม่ได้อะไร ประสบการณ์ที่ได้จากการดูดวงโดยมีคนหลายคนช่วยกันดูในซุ้มนั้นนั้นมีประโยชน์มากมายหลายอย่าง โดยเฉพาะ “ดวงพิเศษ” ดวงพิเศษในที่นี้ไม่ได้หมายถึงคนที่ดีเลิศอะไร แต่มักจะเป็นดวงแปลกๆ แต่ที่เป็นประโยชน์ และจะเอามาเล่าในตอนนี้ คือ คนที่ไม่มีดวง กับ ชะตาไม่ขึ้นกับดวง และ ชะตาผูกกับดวง

พวกเราส่วนมากมักจะเข้าใจว่า เวลาคนเกิด เมื่อผูกดวงแล้วสามารถทำนายได้หมดนั้นเป็นเรื่องเข้าใจผิด มีดวงคนหลายคน แม้เวลาเกิดแน่นอนเพียงใด และแม้จะทำนายเก่ง เราก็ทำนายเขาไม่ถูก เพราะเขาเป็นคนไม่มีดวงที่ปรากฏ จริงอยู่ เรารู้ว่า เราสามารถดูธรรมชาติขณะที่เราเกิดนำมาเทียบเคียงเพื่ออ่านชีวิตจากดวงชะตาได้ แต่ดูเหมือนว่า พอผูกดวงขึ้นมาแล้ว ทำนายอะไรไม่ค่อยตรง หรือไม่ตรงเลย ทั้งนี้ก็เพราะดวงชะตาที่เขาเกิดนั้น เป็นดวงชนิดเหตุการณ์ คือเหตุการณ์ที่เด็กเกิด ไม่ใช่ชีวิตที่เกิดในตอนก่อนคลอดราว 9 เดือนในท้องแม่นั้น ดวงเหตุการณ์ที่เด็กเกิด หรือเวลาตกฟากนี้มีความสำคัญ เพราะบอกความเปลี่ยนแปลงของชีวิตครั้งใหญ่ จึงสามารถใช้แทนดวงที่ชีวิตเกิดได้ แต่หากโครงสร้างดาวในเวลานั้นอยู่ในระดับที่พลังงานธาตุมีความแปรปรวนมาก ซึ่งเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น เกิดจากการรบกวนเปลี่ยนแปลงทางธาตุและพลังงาน ของดวงอาทิตย์ และโลก เอง หรือ เกิดคราส ในบางกรณี ดาวในดวงอาจจะไม่สามารถแสดงผลได้ตรงกับชะตาเขา เกิดเป็นจุดบอด ดวงชะตานั้นก็จะเสีย ใช้ทำนายเรื่องหลักๆไม่ได้ ทายได้เพียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเท่านั้น การเสียนั้นเกิดจากดวงชะตาที่เราผูก ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีชะตาชีวิตเช่นคนอื่นๆ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่คนส่วนใหญ่จะรู้น้อยมาก

ดวงชะตาอีกแบบหนึ่ง คือ ชะตาไม่ขึ้นกับดวง แบบนี้ดวงชะตาไม่เสีย ส่วนใหญ่พวกนี้ เมื่อดูจากความสัมพันธ์ดาวและเรือนแล้ว หากอ่านได้ว่า เขาจะต้องดำเนินชีวิตด้วยลำแข้ง และการตัดสินใจของตนเอง ทั้งโครงสร้างดาวส่วนใหญ่จะไม่สัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา เวลาทำนายก็ต้องระวังให้มาก เพราะชีวิตเขาจะไม่ดำเนินไปตามเงื่อนไขของดวงชะตาที่ปรากฏ ราวกับว่า “กรรมเดิม” ที่มีมาในชีวิตเขา จะถูกพักร้อนไว้ชั่วคราว แต่ชีวิตจะดำเนินไปตาม “กรรมใหม่” ที่จะกระทำต่อไปเท่านั้น ดวงเช่นนี้ จะคล้ายกับประเภทแรก คือทายไม่ถูก หรือ ทายยาก ทำให้เจ้าชะตาเป็นคนไม่เชื่อหมอดู

ในทางตรงข้าม จะมีดวงอีกประเภทหนึ่ง คือ ชะตาผูกกับดวง พวกนี้จุดเจ้าชะตาจะถูกตรึงด้วยโครงสร้างดาวที่มีความสำคัญ หรือ จุดเจ้าชะตาเองจะเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในโครงสร้างนั้น ทำให้เหตุการณ์มีอิทธิพลต่อเจ้าชะตาทุกครั้งไม่ว่าจะมีความเปลี่ยนแปลงใดๆเกิดขึ้น ดวงชะตาเช่นนี้จึงกลับกันกับประเภทที่กล่าวมาแล้ว คือ ทายอะไรก็แม่น แม้จะทายโอกาสที่จะเกิดเรื่องราวเป็นไปได้อยู่ 2- 3 เรื่อง แต่ก็เกิดขึ้นจริงแก่เขาได้จนครบทุกเรื่อง

สิ่งสำคัญในการดูดวง ก็คือ เราต้องตรวจดูให้ทั่วเสียก่อนว่าดวงชะตาเป็นอย่างไร แทนที่จะทายไปโครมๆ หรือจับดาวมาอ่านแค่ดวงสองดวง เพราะหากดาวไม่สัมพันธ์ถึงจุดเจ้าชะตา การทายต้องระมัดระวัง หรือต้องทายตรวจสอบก่อนที่จะพยากรณ์เรื่องราวต่อไป


วรกุล - 30 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน คุณวรกุล

ผมเคยอ่านกระทู้หนึ่งในเว็ปที่เกี่ยวกับการพยากรณ์ มีการเอ่ยถึงเรื่องดวงที่ทายยากหรือทายไม่ถูก มีผู้ตอบปัญหานี้ว่า

การมาเกิดในชาตินี้ เป็นการมาสร้างกรรมใหม่โดยขอผลัดผ่อนกรรมเก่าในอดีตเอาไว้ มรณะ - วินาสน์ - ตนุ (ขอพูดในแง่ของชาติภพสักหน่อย เชื่อไม่เชื่อไม่มีการบังคับ) ดังนั้นการดูดวงจากวันเดือนปีเกิดและเวลาเกิดหรือการผูกดวงดูทั่วไปนั้น ไม่สามารถทายอนาคตของคุณได้อย่างแม่นยำ เพราะสิ่งที่จะเกิดกับคุณนั้นส่วนใหญ่เกิดจากกรรมใหม่ที่คุณได้ทำไว้ในชาตินี้ คือตั้งแต่คุณเกิดจนถึงปัจจุบัน

จึงอยากจะเรียนถามคุณวรกุลว่า มีวิธีดูอย่างไรว่า ดวงไหนเป็นคนไม่มีดวง? ดวงไหนเป็นชะตาไม่ขึ้นกับดวง? ขอความกระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณอย่างสูง


อยากรู้ - 30 พฤษภาคม พ.ศ.2548 10:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
เรียนถามท่านอาจารย์วรกุล ดังนี้คะ

ไม่รู้จะลำดับความสงสัยมาเป็นประโยคที่ถามถูกมั๊ย นะคะ

อาจารย์พูดถึงพลังธาตุ ว่าดาวทุกดวงต้องรับพลังจากแสงอาทิตย์ สมมุตินะคะว่าดาวอาทิตย์ ราศีธาตุน้ำ มีดาวพุธและดาวศุกร์ ธาตุน้ำ อยู่ร่วมด้วย อย่างนี้แล้วจะทำให้พลังงานธาตุของดาวอาทิตย์ด้อยลงมั๊ยคะ สมมุติว่าอยู่ที่ราศีมีน ก็ได้คะ


หมูอ้วน - 30 พฤษภาคม พ.ศ.2548 21:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบ 13 คุณอยากรู้.........คนไม่มีดวงนั้นเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือคนที่ผูกดวงชะตาตามวันเดือนปีเกิดของเขาแล้วว่าถูกต้อง แต่ดวงชะตาไม่สื่อความหมายตามชะตาชีวิตเขา ส่วนคนที่ชะตาไม่ขึ้นกับดวงนั้น ชะตาชีวิตของเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเจ้าชะตา ดังนั้นจึงมักไม่ขึ้นกับการทำนายดวงเดิมเสมอไป ผมเขียนไว้ชัดแล้วนี่ครับ

ส่วนเรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ นั้น ก็เป็นภาษาชาวบ้านอีกเหมือนกัน ทางพุทธศาสนาไม่เคยถือว่ามีกรรมเก่า กรรมใหม่ ชาติก่อนหรือชาติไหนๆ กรรมและวิบากกรรมไม่เคยมีใหม่มีเก่าทั้งนั้น สังขารทั้งหลายล้วนเกิดจากปัจจัยที่ปรุงแต่งพัวพันกันจนแยกไม่ออก การกระทำก็ตาม ผลของการกระทำก็ตาม ล้วนมีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลงอันเกิดจากเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งตลอดเวลา ที่จะชี้ว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผลได้ยาก ชาติภพทั้งหลายก็เกิดจากอัตตา ธรรมอันใดหากเป็นอนัตตา เป็นวิสังขาร ชาติภพ กาลเวลาต่างๆก็ไม่มี ในเมื่อไม่มีอะไรให้วัดให้ยึดถือเอาเป็นสาระตัวตน ก็ล้วนแต่เป็นสิ่งว่างไปเสียทั้งหมด โหราศาสตร์ไม่ได้รู้ลึกซึ้งเพียงพอจะไปชี้กรรมที่เป็นเรื่องซับซ้อนเช่นนั้นได้

โหราศาสตร์วิธีที่เรากันใช้อยู่ทั่วไปนั้น เป็นเพียงวิธีมาตรฐานกว้างๆที่หากใช้กับคนส่วนใหญ่ ก็ใช้ได้ทั้งหมด การที่จะใช้ไม่ได้กับคนบางคน ก็เพราะมีปัจจัยที่เข้าเกณฑ์ยกเว้นหลายอย่าง แต่โหรที่มีความรู้สูงก็สามารถทายถูกได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นดวงชะตาประเภทใด แม้แต่คนไม่มีดวง ไม่ขึ้นกับดวง หรือดวงคนทายยากแค่ไหน เพียงแต่ต้องงัดเคล็ดลับไม้ตายขึ้นมาใช้ ซึ่งคนที่เรียนโหราศาสตร์ทั่วไปไม่ค่อยทราบ ดังนั้นการที่จะสรุปรวบยอดเลยว่าโหราศาสตร์ทายกรรมเก่า เก่าใหม่ ได้หรือไม่ได้ ต้องรู้ว่าผู้พูดเจตนาวางกรอบกว้างยาวแค่ไหน


วรกุล - 31 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบ 14 คุณหมูอ้วน........ปัญหาสำคัญที่สงสัย คือ “อาทิตย์ธาตุไฟอยู่ราศีธาตุน้ำ มีพุธ ศุกร์ ธาตุน้ำอยู่ด้วยจะทำให้พลังธาตุของอาทิตย์ด้อยลงไหม” คำถามนี้เข้าใจผิดหลายอย่าง ต้องเข้าใจว่า สภาวะธาตุมีแต่ขัดแย้ง หรือ เกื้อ***ลกันเท่านั้น เช่น ดิน - น้ำ ไฟ – ลม เป็นมิตรธาตุ (ทางสภาวะธาตุ) ส่วน ไฟ – น้ำ ดิน - ลม เป็น ศัตรู หรือ ปรปักษ์ธาตุ สภาวะธาตุไม่มีบั่นทอนกำลังกัน เช่น อาทิตย์ ไฟ แม้อยู่กับ ศกร์ น้ำ พุธ น้ำ ก็ไม่มีอ่อนกำลัง กำลังที่จะอ่อนหรือแข็งของพลังงานธาตุดาว เกิดจากการเป็น คู่มิตร คู่ศัตรู คู่ธาตุ คู่สมพล และธาตุดาว ที่สอดคล้องหรือขัดแย้งกันตามมุมดาว คำว่าคู่ธาตุ ก็ไม่ได้หมายถึงธาตุมาเสริมกัน เพียงแต่หมายถึงสภาวะธาตุที่เป็นพวกเดียวกัน การอ่อนหรือแข็งทางสภาวะธาตุเกิดจากราศีครับ ถ้าอาทิตย์ธาตุไฟ (ทักษา) ไปอยู่ ในราศีมีน ธาตุน้ำ (ราศี – จักรวาล) จึงจะอ่อนลงได้ แต่ไม่ได้อ่อนแบบหมดพลัง เพียงแต่จะถูกราศีหลอมละลายเปลี่ยนรูปไป ทั้งนี้ก็เพราะเราเอาธาตุที่มีสภาวะธาตุบนโลก ไปอยู่ในอิทธิพลของสภาวะธาตุที่มีพลังงานธาตุสูงกว่าในจักรวาลนั่นเอง

พูดง่ายๆคือ ดาวกับดาวนั้น ไม่ทำให้สภาวะธาตุของดาวอ่อนลงหรือแข็งขึ้น แต่ดาวอยู่ในราศีนั้นสภาวะธาตุอาจเปลี่ยนแปลง เพราะราศีธาตุ หลอมละลายเปลี่ยนแปลงสภาวะธาตุของดาวได้ เหมือนเอาน้ำตาลทรายคือดาว 10 ช้อนใส่ลงไปในอ่างน้ำ คือราศี ก็ถูกหลอมเปลี่ยนสภาวะธาตุหมด แต่ยังคงมีปริมาณน้ำตาลอยู่ในน้ำ 10 ช้อนเท่าเดิม ไม่ได้ลดลง แต่ถ้าเป็นคู่ศัตรูแล้ว ธาตุดาวจึงจะถูกบ่อนทำลายให้พลังงานธาตุอ่อนลงได้ จาก 10 หน่วย เหลือสัก 6 – 7 หน่วย ไม่เหมือนกันครับ


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2548 16:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
ขอความกรุณาอาจารย์วรกุล ช่วยขยายความและไขข้อสงสัยเกี่ยวกับพลังงานธาตุ ด้วยครับ

จากกระทู้คุยสบาย3,ความเห็นที่11ข้อความ "เมื่อดาวได้พลังงานจากดวงอาทิตย์แล้ว จะแตกตัวส่งมายังโลกผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนา" ผมไม่เข้าใจว่า อย่างไรที่เรียกว่าดาวได้พลังงานจากดวงอาทิตย์(พิจารณาจากเกณท์อะไร , เรือน หรือราศี หรืออื่นๆ )

และข้อความ "ดาวจรทุกดวงที่กำลังมีพลังงาน (โหรส่วนมากใช้คำว่า"ได้รับแสง" ) "ผมไม่เข้าใจว่า พิจารณาอย่างไรครับว่าดาวกำลังมีพลังงาน หรือกำลังได้รับแสง และแสงที่ว่านี้หมายถึงแสงของดวงอาทิตย์ใช่หรือไม่ครับ

* "เมื่อดาวเปลี่ยนภพ(ระบบ) และภูมิ(ระดับ) จะมีระดับพลังงานธาตุเปลี่ยนไปทุกครั้ง" ผมสงสัยว่าเมื่อเปลี่ยนแล้วต้องมีการสะสมพลังงาน ก่อนหรือไม่ ถึงจะแสดงพลังงานออกมา หากต้องมีการสะสม ""คำว่าสะสม" หมายถึงสะสมเวลาหรือต้องอยู่ในภพนั้นนานๆ ถึงจะมีพลังงาน หรือ พลังงานจะมากขึ้นตามระยะเวลาใช่หรือไม่ "อย่างไรจึงเรียกว่าสะสม สะสมอะไร"

ขอยกตัวอย่างคำถามดังนี้ ดาวเสาร์ย้ายเข้ามาอยู่ราศีกรกฎ ได้5วัน กับหากดาวเสาร์อยู่ราศีกรกฎ มาได้1ปีแล้ว ขอถามว่าพลังงานดาวเสาร์ทั้ง2กรณีเท่ากับหรือไม่ครับ

จากความเห็นที่7ข้างต้น "ในระหว่างที่โครงสร้างดาวกำลังสะสมพลังงานอยู่ เราเองอาจมีคามรู้สึกต่างๆ..."ผมสงสัยเช่นเดียวกับข้างต้นขอให้อาจารย์ช่วยอธิบายคำว่า"กำลังสะสมพลังงาน"ด้วยครับ และข้อความ กดก"การเร่งทวีพลังงานขึ้นของโครงสร้างเหตูการณ์ " ผมสงสัยว่า อะไรเป็นตัวเร่งพลังงาน หรือพิจารณาอย่างไรว่าพลังงานนั้นกำลังเข้าจุดสูงสุด หรือ กำลังหมดไป...และหากพลังงานนั้นกำลังมีพลังสุงสุดพร้อมที่จะระเบิด ผมสงสัยว่าอะไรเป็นตัวจุดชนวนระเบิด...

ขอความกรุณาอาจารย์ช่วยไขข้อสงสัยด้วยครับ


ศิษย์ fa 200 - 1 มิถุนายน พ.ศ.2548 17:39น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
มีกระทู้ใหม่น่าสนใจ "วิธีเจริญจิตภาวนา"

อยากเชิญชวนให้พวกเราหมู่นักเรียนโหรได้อ่าน....เป็นบทความสั้นๆ อ่านง่าย ชัด และตรง ได้สาระและประโยชน์มากทีเดียว....


ศิษย์ fa 200 - 1 มิถุนายน พ.ศ.2548 18:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
ตอบ 17 คุณศิษย์ fa200........1 / ดาวที่ได้รับพลังงานจากดวงอาทิตย์ ก็หมายถึงในจักรวาล ดาวเคราะห์ทุกดวง จะได้รับแสงอาทิตย์ซึ่งเป็นพลังงานธาตุ แล้วจะทำให้ธาตุดาวของมันแตกตัวได้ บางตำราเรียกว่า “ละอองธาตุ” ละอองธาตุนี้ แต่ละดาวจะส่งผ่านเข้าสู่ดวงชะตาทางลัคนา แล้วมาอยู่ตามราศีต่างๆ ที่มาสถิตในราศีของดวงชะตาเรียกว่า “เกษตรราศี” ส่วนที่เป็นดาว เรียกว่า “ธาตุดาว” นี่อธิบายอย่างย่อๆ น่าจะเรียนในขั้นต้นมาบ้างแล้ว การได้พลังงานตอนนี้เป็นการรับโดยตรง เพราะดาวโคจรรอบดวงอาทิตย์นั่นแหละ

2 / โหราศาสตร์ทั่วไปถือว่า ดาวที่มีแสง ก็คือ อาทิตย์ จันทร์ หรือดาวที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวที่ได้รับแสงจากดวงอาทิตย์ก็เมื่อ กุม หรือเล็งอาทิตย์ หรือบางคนก็ถือว่า เป็น 1 3 5 7 9 11 กับอาทิตย์ จะได้รับแสงมากหรือน้อยแล้วแต่มุมให้แสง แบบนี้เรียกว่า การได้รับแสงตรง ส่วนการได้รับแสงอีกอย่าง คือ ดาวมีแสงจรเข้าเรือนเกษตร หรือ ร่วมเล็งดาวนั้น เช่นหากดาวพุธเป็นดาวมีแสง โคจรร่วมเล็งดาวอังคาร หรือเข้าราศีเมษ ราศีพิจิก ก็ถือว่าอังคารได้รับแสงไปด้วย แบบนี้เรียกว่าได้รับแสงทางอ้อม เมื่อได้รับแสงวิธีนี้ก็เรียกว่าดาวกำลังได้รับแสง ดาวที่มีแสงแล้ว มีคุณสมบัติที่จะเกิดปฎิกริยาได้ หรือไปถ่ายเทพลังงานต่อได้ เป็นตัวจุดระเบิดได้ อันนี้เป็นหลักดาวจรทั่วไป........โหราศาสตร์ทางธาตุอธิบายว่า แสงที่ว่านี้คือพลังงานธาตุ ซึ่งจะถ่ายเทต่อไปได้ และเก็บสะสมไว้ได้อย่างน้อยชั่วระยะเวลาหนึ่งหลังจากได้รับพลังงานแล้ว เลยทำให้ยากกว่าโหราศาสตร์ทั่วไป

3 / เรื่องภพ และภูมิ เป็นเรื่องของระบบธาตุ เคยอธิบายมาบ้างแล้วว่าธาตุแต่ละชนิดอยู่กันแบบเป็นโครงสร้าง หรือ ระบบ เรียกว่า ภพ และยังมีระดับแบ่งเป็นชั้นย่อย เรียกว่า ภูมิ ในแต่ละภพ ภูมิ ธาตุจะมีพลังงานธาตุอยู่ไม่เท่ากัน เมื่อธาตุเปลี่ยนภพ หรือ ภูมิ พลังงานธาตุก็จะเปลี่ยนตามไป อาจจะลดลง หรือ เพิ่มขึ้นก็ได้ ในทางกลับกัน เมื่อ โครงสร้างใด ได้รับ หรือถ่ายเท พลังงานธาตุออกไป ธาตุก็จะเปลี่ยนภพภูมิได้ การเปลี่ยนภูมิแต่ละระดับต้องสะสมพลังงานธาตุ และไม่ได้กำหนดเวลาตามปกติ เนื่องจากการได้รับพลังงานธาตุ และโครงสร้างต่างๆตามดวงแต่ละคนไม่เหมือนกัน ตามแต่ดาวจรเวลานั้น ตามข้อ 2 / เมื่อโครงสร้างมีพลังงานสะสมถึงระดับแสดงผลก็จะเกิดเรื่องราวได้ ส่วนที่ว่ามันสะสมอย่างใด คงอธิบายสั้นๆตรงนี้ไม่ได้ นอกจากคิดว่ามันก็เหมือนถังน้ำหลายถังที่ต่อท่อถึงกันนั่นแหละ ค่อยๆใส่น้ำลงไปมันก็เต็มถังได้ หรือเหมือนเอาเหล็กไปเผาไฟ สะสมความร้อนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเผาจนถึงอูณหภูมิหนึ่งมันจะเริ่มลุกแดง นั่นคือสภาพที่เหมือนธาตุที่สะสมพลังงานแล้วเปลี่ยนภูมิ..........ดังนั้นที่ยกตัวอย่างดาวเสาร์จรเข้าราศีกรกฏ ได้ 5 วัน เทียบ กับ 1 ปี นั่นเป็นดาวบนท้องฟ้า แต่ดาวเสาร์จรของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน ที่พูดกันว่า “เสาร์ใครเสาร์มัน” จะจรกี่วัน กี่เดือน ก็คืออยู่กับดวงแต่ละคน ถ้าจร 5 วัน อาจได้รับพลังงานสูงกว่า จร 1 ปีก็เป็นได้ หากมีดาวมาให้พลังงานมากในช่วง 5 วันนั้น

4 / ระหว่างได้รับพลังงานธาตุเข้ามาธาตุดาวจะเริ่มเปลี่ยนภพภูมิไป เมื่อพลังงานสูงพอจะเกิดเหตุการณ์ ก็เหมือนลุกโป่งที่เป่าลมเข้าไปเต็มที่ ครั้นถูกกระตุ้นเพิ่มพลังงานตามโครงสร้างของดาวและเรือน ก็จะเกิดเหตุการณ์ได้ทันที มักจะพูดกันเล่นๆว่า รอชนวนจุดระเบิด ถ้าได้รับพลังงานจะหลายทางก็คือการถูกเร่ง เหมือนเหล็กเผาไฟ แล้วยังเอาลมเป่าช่วย ตัวจุดระเบิดและตัวเร่งพลังงาน ก็คือ ข้อ 2 / นั่นไง หรือตามวิชาต่างๆก็จะเป็นเกณฑ์ดาวต่างๆที่มีผล เช่น พวกศรีจร กาลกิณีจร ตนุจร กาจร ชันษา อะไรแบบนั้น ถ้าเป็นทางแสงก็มักเป็น จันทร์ อาทิตย์ พุธ อังคาร หรือ อื่นๆแล้วแต่วิธีของใคร ซึ่งเขามักไม่บอกกันหรอก

การดูว่าพลังงานถึงจุดสูงสุดหรือยังโดยทฤษฎีก็ไม่ใช่รู้ง่ายๆ ทางปฏิบัติส่วนใหญ่จะสอบถามเพื่อคะเนเหตุการณ์ มากกว่าจะไปนั่งวิจัยพลังงาน เช่น เจ้าชะตากำลังปวดท้อง ก็รู้เลยว่าต้องถูกผ่าตัดใส้ติ่งแน่ หากดาวมันบอก จะผ่าวันไหนก็ไปดุตัวจุดระเบิด วนไปวนมาแบบนี้แหละ วันไหนผ่าแล้วก็ดูว่ามีเรื่องราวซ้อนอีกไหม หากไม่มีก็ผ่าครั้งเดียว รู้ได้ว่าดาวหมดกำลังไปแล้ว เวลาดูหมอ หากจะมาไล่พลังงานของ โครงสร้างดาวก็ปวดหัวเปล่าๆ เพราะมักจะต้องดูฟรี ไม่มีใครมาเห็นใจด้วย เว้นแต่เป็นเรื่องใหญ่ๆ สำคัญๆ ก็ต้องพยายามหน่อย สมัยโบราณต้องผูกแกนธาตุ ที่บางทีเห็นในรูปถ่ายเก่าๆ มีตารางตัวเลขเยอะๆ หลายๆแถว ไล่ดูธาตุ ถ้าเป็นโหราศาสตร์ทั่วไปมักพิจารณาจากเกณฑ์อื่นร่วมด้วย เช่น ตรีวัย ดาวเสวยอายุ ชันษาจร หากจังหวะชีวิตหรืออายุถึงเวลาเกิดเหตุการณ์ ก็เชื่อได้ว่าถึงเวลาแล้ว


วรกุล - 3 มิถุนายน พ.ศ.2548 04:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
คิดว่าจะมาบ่นอะไรให้ฟัง ก็เพราะอยากให้รู้ถึงชีวิต และประสบการณ์ความเป็นโหร ของคนสมัยอดีต ซึ่งอาจทำให้ได้ข้อคิดอะไรบ้าง

เรื่องที่น่าบ่นอย่างแรกคือ คนที่มาดูหมอ คนจำนวนมากมักติดอยู่กับค่าบริการหมอดู เห็นว่าถ้าแพงแล้วจะเป็นหมอดูแม่น แต่ถ้าเก็บถูกๆหรือดูฟรี แสดงว่าไม่แม่น อาจารย์หลายท่านเคยปรับทุกข์ให้ฟังว่า การดูฟรีนั้น แม้จะได้บุญ แต่ต้องเผชิญกับคนมาดูหมิ่นดูแคลนอยู่เสมอ ต่างกับเวลาไปดูให้กับงานการกุศล ทางงานเขาโฆษณาให้ว่าเป็นอาจารย์ คิดหัวละพันบาท ถึง หลายหมื่นบาทก็มี คนที่มาดูมักจะแสดงความนับถือ ทายอะไรไปก็บอกว่าแม่น ขนาดทาย 10 – 20 ปีล่วงหน้าเขายังว่าแม่น ต้องถามกลับไปว่ารู้ได้อย่างไรว่าแม่น เขาบอกว่า ค่าดูตั้งหลายหมื่นบาทก็คงต้องแม่นซี ดังนั้น ตอนนี้จึงมีหมอดูบางคนโฆษณาตัวเองมาก ก็จะมีคนมาต่อ***อะยาวเหยียดเป็นเดือน เสียเงินเป็นหมื่นเป็นแสนก็ยอม ทั้งๆที่เขาไม่ค่อยมีความรู้อะไร แต่ตัวอาจารย์ของเขาเองดูให้โดยคิดเงินเพียงเล็กน้อยหรือไม่คิดเลย แม่นยำมากน่านับถือ แต่ไม่มีใครไปให้ดู ถ้าบอกชื่อไปทั้งศิษย์ทั้งอาจารย์ จะรู้จักกันทุกคน นอกจากนั้น ตอนนี้ ก็มีคนที่โพสท์ดูดวงฟรีไปทุกเว็บ ใครทายอะไรดีหรือไม่ดี ก็เอามาดูว่า พวกไหนทายเหมือนกันมากกว่าก็เชื่อพวกนั้นว่าถูก ไม่ได้คิดเรื่องอื่น แต่ใช้วิธีนับหัวเอา หัวอาจารย์กับหัวนักเรียนหัดใหม่เลยมีค่าเท่ากัน

เรื่องที่สองที่จะบ่นคือนักเรียนโหร ส่วนใหญ่ชอบรวม ไม่ชอบแยก แต่รู้เรื่องแล้วชอบแยก ไม่ชอบรวม ที่ว่าชอบรวมคือรวมเอาตำแหน่งดาวหลายๆตำแหน่งมาคิดพร้อมกัน พอสอนให้คิดแยกกันซี แล้วจะเห็นจริง แต่ทำได้เดี๋ยวเดียว ก็จับมารวมกันอีก แล้วก็ไม่เข้าใจอีก และเกือบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์มักมีตำราหลายๆเล่ม หลายๆระบบ ก็มักเอาคำสอน เทคนิค หลายเรื่องหลายตอน หลายคนแต่ง มารวมกัน รวมทั้งโหรสากล โหรไทย ภารตะ ยูเรเนียน แล้วก็ยุ่งนุงนังไม่เข้าใจ เหมือนลิงแก้แห ยิ่งแก้ยิ่งยุ่ง แล้วก็เอามาถาม พอตอบไปแล้วก็งัดเอาตำราวิชาอื่นมาคัดง้างสู้ครูอีก แต่พอมีความรู้เข้าบ้างแล้วทีนี้ชอบแยก ไม่ชอบรวม การเรียนโหราศาสตร์ทีแรก เราต้องแยกแล้ววิเคราะห์ก่อน เมื่อได้ความจริงแล้วต้องสังเคราะห์คือรวมเป็น ในชั้นเรียนเลยมักมีแต่นักเรียนสองพวกคือ พวกหนึ่งรวมไม่ยอมแยก กับอีกพวกชอบแยกไม่ยอมรวม หาคนทำเป็นทั้งสองอย่างไม่ค่อยจะมี ถ้ามีเข้าสักคนก็พยากรณ์ได้ว่าคนนี้แหละต่อไปจะเก่งวิชา มักจะไม่ผิด

เรื่องตำราก็เหมือนกัน หลายคนเวลาพยากรณ์ หรือเอามาโต้แย้ง มักจะอ้างตำรากับชื่อครูอาจารย์ผู้แต่งตำรา ทำราวกับว่าตัวเองเป็นศิษย์เอกใกล้ชิด รู้เรื่องดี ตีความถูก ที่ตื้นหน่อยก็ใช้วิธีลอกทุกข้อความตัวอักษรมาอ้างเอาดื้อๆ สมัยก่อน อาจารย์ที่เขียนตำราพิมพ์เอง ขายเอง หรือเรียนทางไปรษณีย์ ไม่เห็นมีใครได้เงิน เพราะคนซื้อซื้อไปเล่มหนึ่ง ก็เอาไปถ่ายเอกสารกันเองแจกจ่ายหรือขายต่อกันเป็นสิบเล่มร้อยเล่ม บางอาจารย์จึงใช้วิธีเขียนเหมาขายลิขสิทธิ์ให้สำนักพิมพ์ไป ได้เงินมาถูกแสนถูก มีอยู่ท่านหนึ่งตอนนั้นยังเป็นนักเรียนอยู่เลย แต่ท่านร้อนเงินมากจึงใช้วิธีลอกเล่มนั้นบ้าง เล่มนี้บ้าง ขายให้สำนักพิมพ์ในราคาถูกๆ เดี๋ยวนี้บางเว็บยังเอาชื่อเขามาขึ้นทำเนียบอาจารย์อยู่เลย เขามาคุยกับผมบ่อยว่าละอายมาก แต่ทำไปเพราะความจำเป็นเรื่องเงิน

เมื่อเป็นเช่นนี้ อาจารย์หลายท่านจึงเป็นหนี้โรงพิมพ์มาก จนบางท่านเสียชีวิตแล้วทางโรงพิมพ์ต้องยกหนี้ให้ ดังนั้น ตำราส่วนมาก หรือชี้ท ส่งเรียนทางไปรษณีย์ จึงเป็นวิชาที่จำกัด ไม่ได้หมายความว่าไม่ดี แต่ในเมื่อพวกเราตั้งท่าเอามาลอกกันในที่สาธารณะ อาจารย์ก็ต้องสงวนของดีๆไว้เป็นธรรมดา ยังมีความรู้วิชาโหราศาสตร์ดีๆอีกมากมายที่ไม่ได้เขียนเป็นตำรา ที่เขียนในตำรานั้น รวมได้สัก 10 % ของทั้งหมดก็นับว่ามากเกินจริงแล้ว นี่ยังไม่นับวิชาปลอมอีกจำนวนหนึ่ง กับที่บัญญัติศัพท์ใหม่แทรกเข้าไปให้เข้าใจว่าเป็นของเก่าโบราณ เพื่อให้ตำราดูแปลกออกไปจากของคนอื่น เรียกกันให้ดูขลัง ที่สำคัญพวกเราบางคนไม่รู้ข้อเท็จจริงนี้ เคยมีคนเอาตำราของลูกศิษย์ มาเถียงกับอาจารย์ก็มีบ่อยมาก เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เพราะโหรที่มีความรู้จริงๆนั้น มักจะเก็บตัวและไม่ค่อยมีชื่อเสียง บรรดาผู้ที่เรารู้จักว่าเป็นอาจารย์ที่มีชื่อปรากฏอยู่ในสังคมโหรทุกวันนี้นั้น จะมีจำนวนอยู่ถึง 5 % ของจำนวนอาจารย์แท้ๆทื่ท่านไม่เปิดเผยตัวหรือไม่ ก็ยังสงสัยอยู่

จะรู้เลยวเป

เรื่องที่สามคือคนที่ศึกษาเอง ซึ่งตอนนี้มีเยอะ เพราะเดี๋ยวนี้มีตำรับตำรามากกว่าแต่ก่อน รวมทั้งมีเว็บไซท์มากมายให้ศึกษา ก็มักศึกษาเหมือนวิชาทั่วไป คืออ่านทุกตำรา ทุกเว็บไซท์แล้วตีความเอาเอง เห็นว่าโหราศาสตร์เป็นเรื่องเดียวกันไปหมด แล้วก็มักมองในมุมของตัวเอง ตามพื้นฐานของตน เช่น มองเป็นคณิตศาสตร์ หรือไม่ก็มองเป็นทางธุรกิจ หนทางทำเงิน บางคนก็ทำเป็นสถิติ บ้างก็วิเคราะห์ศัพท์ บางคนจบปริญญาโท ปริญญาเอก รู้ภาษาอังกฤษ อ่านตำราต่างประเทศ มีหนังสือเยอะ ก็คิดอะไรเอาเอง แล้วหลงคิดว่าตัวเองถูก รู้ไม่จริงแต่นึกว่ารู้ทั่วแล้ว ชอบถามสูง หรือชอบใช้ศัพท์แสงราวกับคนที่อยู่ในระดับเชี่ยวชาญมาก พอนักเรียนหัดใหม่หลงเรียกว่าอาจารย์ ก็ตั้งตัวเองเป็นอาจารย์ไปเลยก็มีเยอะ ทีนี้พอเจออาจารย์จริงก็เลยยกตัวขึ้นเสมอกัน ไม่ยอมรับความรู้จากใครอีก

คนที่เพิ่งเริ่มศึกษาเองมักเข้าใจผิด คิดว่า อ่านๆสักหน่อยก็เข้าใจอะไรได้ไม่ยาก หากถามในกระทู้ที่ตอบปัญหาโหร ก็พอจะตรงประเด็นอยู่บ้าง แต่ที่พบอยู่ตอนนี้บางคนใช้วิธีตั้งปัญหา ขอให้ดูดวงชะตาให้ เป็นดวงของตนเองบ้าง ของคนรู้จักบ้าง พอผู้ตอบดู ดวงชะตาให้แล้ว มักจะโพสต์กลับมาถามว่า อยากรู้เหตุผลว่าทำนายเช่นนั้นเพราะอะไร

คำถามเช่นนี้ แสดงว่าไม่เข้าใจกรรมวิธีของโหรหรือหมอดู หมอดูที่ถึงขั้นทำนายได้เขาจะไม่มีเหตุผลเดียวเป็นเอกเทศที่จะบอกได้ ถึงบอกมาก็เชื่อจริงจังไม่ได้ เพราะการทำนายทางโหราศาสตร์เกิดจากการสังเคราะห์ เรื่องราวจากหลายทาง เมื่ออ่านเรือน ก็ต้องตรวจสอบหลายเรือน แล้วตรวจสอบกับดาวหลายดาว หลายด้าน หลายมุม ตามวัย ตามอายุ และระดับมืออาชีพทุกคน จะใช้เทคนิคมากกว่าสองเทคนิคขึ้นไป อย่างเช่น ดวงชะตาแสดงว่าคุณจะได้อะไรมาอย่างหนึ่ง การที่จะออกคำทำนายได้ว่าสิ่งนั้นน่าจะเป็นอะไร ดีหรือไม่ดี ได้มาเมื่อไร อย่างไร เป็นต้นนั้น เป็นคำตอบที่ต้องประมวลมาจากหลายทาง ไม่ได้ตอบคำถามแบบที่ว่า “ดาวอะไรที่บอกว่า ดิฉันจะได้คู่ครอง” แล้วตอบว่า “ศุกร์จรเข้าราศีกรกฏเรือนปัตนิ คุณจะได้คู่” ง่ายๆแบบนี้ แสดงว่าคนตอบไม่รู้จริง หรือไม่ก็อำให้ผ่านๆไป ในกรณีนี้ ลองคิดดูว่า หากคนตอบอยากจะตอบจริงๆ จะต้องตอบยาวแค่ไหน และต้องเปิดเผยวิธีคิดวิธีการ ให้ฟังทั้งหมด หากคิดเอาเองว่า “ตอบมาแล้วฉันจะเข้าใจ” ก็แสดงว่าตั้งความเห็นตัวเองไว้ผิด เพราะคนที่เข้าใจคำตอบเช่นนั้นได้ ก็มีความรู้อยู่แล้ว ไม่ต้องมาถามใครเขาหรอก


วรกุล - 5 มิถุนายน พ.ศ.2548 04:33น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียน อ.วรกุล

กระผมได้ติดตามกระทูของอาจารย์มาโดยตลอด เมื่อได้อ่านความเห็นที่ 20 แล้ว ทำให้ได้สัมผัสกับความรู้สึกที่ห่างหายไปนานนับเป็นสิบสิบปีแล้ว ที่มีครูอยู่หน้าชั้นเรียนแล้วก็พูดไปบ่นไปให้นักเรียนที่อยู่ในชั้นเรียนได้รับฟัง ซึ่งหายากในสังคมปัจุบันนี้ ที่กล้าแสดงออกด้วยความจริงใจอย่างนี้ บริสุทธ์ใจดี

ขอบคุณครับ


เสือ - 8 มิถุนายน พ.ศ.2548 21:16น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
ผมคิดๆเอาเองว่า ขืนเล่าเรื่องอะไรที่ลึกเกินไป ท่านที่อ่านอยู่อาจจะนึกเบื่อ เพราะทำให้งงและนึกภาพไม่ออก แต่ก็จำเป็นต้องทำ เหตุเพราะตำราโหราศาสตร์ที่พวกเราเรียนกันอยู่ในท้องตลาดนั้น สอนเนื้อหาวิชาโหราศาสตร์ที่มีอยู่จริงน้อยเกินไป การมาเล่าเรื่องอะไรในที่นี้ หากจะเล่าสิ่งที่มีอยู่ในหนังสือตำราอยู่แล้วก็ไม่รู้จะเล่าไปทำไม จึงต้องขออภัยและพยายามตัดความซับซ้อนลงไป เพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

ธาตุในวิชาโหราศาสตร์ แบ่งคร่าวๆออกได้เป็น 8 หมวดหมู่ คือ พลังงานธาตุ เกษตรธาตุ ธาตุดาวบนฟ้า ธาตุดาวในดวงชะตา สภาวะธาตุ วัตถุธาตุ ชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุ เคยมีบอกมานานแล้วในกระทู้ อยู่ตรงไหนไม่รู้ เราอย่าไปยึดถือต้วเลข 8 หมู่ เพราะบางวิชาธาตุก็รวบเหลือเพียง 7 หมู่ หรือ 5 หมู่ก็มี แต่ละหมู่ยังมีแยกย่อยอีกมากมาย วิชาทางแพทย์โบราณบางทีก็แบ่งถึง 39 หมู่ แล้วแต่หลักเกณฑ์ในการแบ่งและความสะดวกในการศึกษานั่นเอง แต่พิจารณาแต่ละธาตุแล้วก็คืออันเดียวกัน ใครพูดอะไรมาก็จะนึกออกว่าเป็นอะไร บางวิชาถือว่า “กาล” ก็เป็นธาตุ แต่ถ้าพิจารณาคุณสมบัติทั่วไปของธาตุแล้ว วิชาข้างมาก ถือกาลเป็นเพียงคุณสมบัติของธาตุ แต่ไม่ใช่ธาตุ

ธาตุทุกธาตุต้องมีพลังงานธาตุอยุ่ด้วยเสมอ อาจจะมีน้อยหรือมากก็ตาม แต่ธาตุตัวอื่นๆบางธาตุอาจจะไม่อยู่ด้วยกันเลยก็ได้ เช่น มนุษย์และสัตว์ สร้างจากธาตุทั้ง 8 หมู่อยู่ครบ รวมทั้งวิญญาณธาตุ กับชีวะธาตุอยู่ด้วย เป็นสิ่งที่มีธาตุครบทุกหมู่ แต่วัตถุบางสิ่งอาจมีเพียงเป็นบางธาตุ เช่น วัตถุโดยทั่วไปมีเพียงวัตถุธาตุกับพลังงานธาตุ อาคาร หรือวัตถุบางอย่าง อาจมีเพียงชีวะธาตุ กายทิพย์ของคนเราและสัตว์ คือชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุที่มีพลังงาน ส่วนผี ก็คือวิญญาณธาตุ ที่มีพลังงานธาตุสูง คนโบราณจึงเรียกว่าวิญญาณ คำคำนี้มาจากวิญญาณธาตุในโหราศาสตร์นี่เอง ไม่ใช่วิญญาณที่เป็นเบญจขันธ์ ที่นักธรรมชอบเอามาเปรียบเทียบถกเถียงถูกผิด อะไรแบบนั้น เป็นการเถียงที่ไม่รู้ต้นตอและคำจำกัดความของคำศัพท์ที่เหมือนกัน

ธาตุที่อยู่ในหมวดหมู่เดียวกันอาจมีที่มาต่างกันก็ได้ เช่น เกษตรธาตุของต้นไม้ในโลกจะมาจากธาตุในธรณี แต่เกษตรธาตุของมนุษย์มาจากจักรวาล แม้แต่วัตถุธาตุคือเนื้อหนังร่างกายเราก็มาจากทั้งสองทาง การศึกษาเรื่องธาตุของคนโบราณจึงเป็นเรื่องใหญ่ และให้คำอธิบายธรรมชาติได้ทุกแง่มุม ถ้าจะบอกว่าวิชาธาตุของโหราศาสตร์ เป็นปรัชญา อย่างหนึ่ง ที่ตกทอดมานานนับพันๆปี ก่อนพุทธกาล ก็พูดได้ เพียงแต่เป็นความรู้ที่ถูกปกปิดไว้นานมาก ถ่ายทอดผ่านทางวาจา หรือ มุขปาฐะ ปัจจุบัน ทางตะวันตกก็กำลังไล่ล่าปะติดปะต่อวิชาธาตุโบราณนี้ เสียแต่หลงทางไปทางอินเดีย และจีน เพราะเป็นแหล่งอารยธรรมเดิม คงนึกไม่ถึงว่า วิชาอันล้ำค่าเช่นนี้ ภาคใหญ่ที่สำคัญที่สุด ซ่อนตัวอยู่ในสุวรรณภูมิแถบนี้นั่นเอง มีตำนานเล่าเพียงว่า พระอรหันต์ท่านนำมาปลูกฝังถ่ายทอดไว้ แต่คงจะไปค้นหาหลักฐานอะไรไม่ได้แล้ว

ในเมื่อร่างกายมนุษย์ประกอบไปด้วยธาตุทั้ง 8 หมู่อยู่ครบ เราจึงสามารถศึกษาเรื่องธาตุทุกธาตุจากชีวิตคนได้ โหรใช้ความรู้เรื่องธาตุนี้ประกอบเป็นประเพณี และให้คำแนะนำในการดำเนินชีวิตได้หลายอย่าง ตั้งแต่เกิดจนตาย หลายอย่างที่ไม่มีคำอธิบายนั้น ความจริงแล้วมี แต่อธิบายไปก็ไม่เข้าใจ เราจึงมักพูดกันเพียงว่า “เป็นความเชื่อ” ของคนโบราณเท่านั้น ที่เราสัมผัสกันอยู่บ่อยๆ และเอามาเล่าได้ง่ายหน่อย ก็คือ หลักกรรม และการถือศีลภาวนา ทำบุญทำทาน ซึ่งอันที่จริงเมื่อถือตามคำสอนทางศาสนาเราก็เข้าใจง่ายดี แต่พอได้ยินว่า ทำไมมีคนตายแล้วไม่เน่าเปื่อยบ้าง ทำไมพวกใช้คาถาอาคม หรือแขวนพระเครื่องทำให้อยู่ยงคงกระพันบ้าง หรือทำไมพระที่ท่านสำเร็จธรรม จึงมีอัฐิกลายเป็นพระธาตุไปบ้าง เราก็ชักจะงงๆ เนื่องจากไม่มีคำอธิบาย แต่ถ้าเรียนโหราศาสตร์ทางธาตุแล้วจะสามารถอธิบายได้

โหรที่เรียนมาจนจบแล้ว ก็เหมือนกับหมอที่เรียนรู้ร่างกายของคนทุกระบบ จึงให้คำแนะนำทางสุขภาพได้ เพราะรู้กลไกในร่างกายและชีวภาพ ร่างกายของคนเราประกอบด้วยธาตุหลายชนิดที่เราอาจทำให้มันเข้มแข็ง และเปลี่ยนรูปได้ ยกตัวอย่างเช่น ดาวศุกร์ อยู่ในภพกัมมะของดวงชะตา หากเราพิจารณาว่า เจ้าชะตาจะมีโชคทางการงาน ดังนั้น เมื่อเรากระทำการใดในความหมายของดาวศุกร์ เช่น ทำงานบันเทิง หรือศิลปะ หรือ ทำความหมายที่ดาวศุกร์เป็นเจ้าเรือนอยู่ เจ้าชะตาก็จะมีโชคทางการงานขึ้นมาได้ เพราะการทำเช่นนี้เป็นการส่งผลของธาตุดาวและเรือน ซึ่งเป็นเรื่องพื้นฐานของโหราศาสตร์ วิชาธาตุอธิบายเพิ่มเติมได้ว่า เมื่อเราทำความหมายของธาตุดาวใดๆ ธาตุดาวเหล่านั้นก็จะมีพลังงานธาตุสูงขึ้น พลังงานธาตุนั้นถ่ายเทได้ ก็จะทำให้เกษตรธาตุในราศีที่เป็นกัมมะนั่นเองลุกเรืองแสงมีกำลัง และยังถ่ายเทไปยังโครงสร้างดาวที่เกี่ยวข้องด้วยทำให้เกิดผลดีทั่วกันไป

เมื่อใดดาวอยู่ในสภาพเสียในดวงชะตา หากเราทำสิ่งดี ก็สามารถพลิกสภาพให้กลับเป็นดีได้ด้วยกรรม คือการกระทำ เช่น หากดาวศุภะเสียในดวงชะตา โดยปกติเจ้าชะตาก็จะไม่ค่อยได้รับความช่วยเหลืออุปถัมภ์ หรือทำคุณใครก็ไม่ขึ้น แต่หากเจ้าชะตาปฏิบัติดี รู้จักกตัญญูรู้คุณคน หมั่นช่วยเหลือผู้อื่น พยายามรักษาความดีงามตามความหมายเรือนศุภะเข้าไว้ แม้ดาวศุภะอยู่ในที่ใดอ่อนกำลัง เป็นนิจ เป็นประ หรือถูกคู่ศัตรูบ่อนเบียนประการใด ก็จะมีพลังงานธาตุสูงขึ้นได้ พลังงานธาตุนี้จะถูกดวงชะตาดูดจากจักรวาลผ่านลัคนาของดวงชะตามานั่นเอง เมื่อมีพลังงานธาตุมากขึ้น แม้ธาตุดาวจะอ่อนไป แต่จะทำงานได้เท่ากับธาตุดาวที่มีมาก ในทางตรงข้าม คนที่มีธาตุดาวมาก ศุภะจะเป็นอุจเกษตร มหาจักรใดๆก็ดี หากทรยศคิดคด หักหลังใครต่อใครเขาไปหมด พลังงานธาตุเกิดความขัดแย้งกับเรือน จะสูญเสียพลังธาตุไป ความเป็นเกษตร อุจ มหาจักรเหล่านั้น จะกลับพลิกกลายเป็นจุดเด่นในทางเสีย อาจจะกลายเป็นคดีโด่งดังถูกพิพากษาติดคุกก็เป็นได้ เป็นชื่อเสียงหรือศุภะที่เสียหายนั่นเอง เรื่องนี้ใครไม่เชื่อก็ลองดูเถอะ รับรองว่าเห็นผลแน่นอน ภายในรอบปีที่อาทิตย์โคจรครบรอบจักรราศีเท่านั้น เพราะไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร แต่เป็นเพียงกลไกทางธรรมชาติและวิทยาศาสตร์ ที่โหรรู้ดีมาหลายพันปีแล้ว

เมื่อเป็นดังนี้ โหรจึงมักแนะนำให้ทำธาตุดาว และเรือนให้เข้มแข็ง เช่นการแก้ดวงชะตา แก้เคล็ด โดยการทำดาวและเรือนเหล่านั้นส่งผลดี อย่างที่อาจารย์ สส. เคยมาคุยให้ฟังมาบ้างแล้ว อยู่ตรงไหนไม่รู้ สิ่งที่อยากจะเพิ่มเติมก็คือการทำตามความหมายดาวให้ดีนั้นจะมีผลมากแก่ตัวเรา อย่างเช่น คนที่อยากได้ความรู้ แต่ไม่เคยเคารพครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ ก็ไม่มีทางได้ความรู้จริง แม้จบปริญญาเอกมาก็เข้าไม่ถึง ที่เป็นเช่นนี้ไม่ใช่เพราะมีใครไปสาปแช่ง แต่เพราะเขาทำธาตุตนเองให้เสีย ความรู้จริงนั้นเป็นความหมายของดาวพฤหัส และพฤหัส คือความหมายของครูบาอาจารย์ ผู้ใหญ่ และยังหมายถึงการเคารพบูชา หากเขาไม่เคารพครูอาจารย์และ ผู้อาวุโส ก็คือ การปฏิเสธความรู้ไม่ให้เข้ามาสู่ชีวิตของเขานั่นเอง ลองไปนึกดู ปริญญาเอกที่เขาจบมา เป็นผลจากบุญเก่าของเขาเองเท่านั้น เมื่อหมดกำลังธาตุเดิมแล้ว ก็ไม่มีผลได้อีก

การเข้าใจเรื่องธาตุจึงทำให้เราปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง อย่างเช่น คนที่อยากรวยมีเงินมีสมบัติ แต่ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่ายอย่างไม่เห็นคุณค่า กดุมภะก็ไม่มีกำลัง แล้วจะรวยได้อย่างไร ธนบัตร หรือ เงินทอง เป็นเรื่องของดาวจันทร์ บางคนใช้เท้าเหยียบธนบัตร เตะเหรียญ ใส่ในรองเท้า หรือนั่งทับ เวลาใช้ธนบัตรก็ขยำๆ จนยับไปหมด เพราะคิดว่าไม่ได้เก็บไว้ ต้องให้คนอื่นไปอยู่แล้ว ธนบัตรเงินทองทั้งหลายก็ไม่อยากมาอยู่กับเขา เพราะเขาทำให้จันทร์นั้นเสียหาย (ยับเยินยู่ยี่) เศร้าหมอง เป็นการลบหลู่ทำลายธาตุดาวจันทร์ของเขาเอง ผมเคยเห็นสุภาพสตรีท่านหนึ่งท่านร่ำรวยมาก ในดวงชะตาท่านดาวจันทร์ และกดุมภะก็ไม่เด่นมากนัก แต่พอเห็นท่านควักกระเป๋าเงินออกมาแล้วก็เข้าใจ เพราะท่านเก็บ รีดเรียงธนบัตรทั้งเก่าและใหม่ไว้เป็นอย่างดี เผอิญทำเหรียญบาทหล่น ท่านก็เก็บขึ้นมาใส่ กระเป๋าสตางค์เล็กๆ ไม่มองข้ามความสำคัญ แต่จะว่าท่านขี้เหนียวก็ไม่ได้ เพราะควักกระเป๋า ทำบุญทำทานครั้งละหลายหมื่นบาทโดยไม่ประสงค์จะออกนาม ปัจจุบันท่านเป็นคุณหญิง ก็เพราะดาวจันทร์ส่งให้อีกเหมือนกัน ถ้าบอกชื่อไป ทุกคนก็จะรู้จักดี

ดาวทุกดวงล้วนส่งผลดีให้ได้ หากเราปฏิบัติตามความหมายธรรมชาติแท้ของดาวนั้นให้ดี พุธเป็นสติ ความคิด คำพูดคำจา หากเราคิดดี พูดดี ดำรงสติไว้ ธาตุพุธจะเข้มแข็งขึ้นมา ไม่ต้องไปดูดวงชะตาก็ได้ รับรองได้ว่าต้องส่งผลดี หากพูดเลวคิดเลวก็ส่งผลเลว นี่ไม่ใช่คำอธิบายทางศาสนา แต่เป็นวิทยาศาสตร์ทางธาตุธรรมดา ผู้ที่ปฏิบัติธรรม ถือศีลภาวนา ล้วนทำให้ทุกธาตุดาวมีกำลัง พฤหัสเป็นปัญญา เมื่อมีความเข้มแข็ง ก็จะเห็นสัจธรรมความจริงได้ จันทร์คือ เมตตากรุณา เมื่อเจริญมาก ก็บรรลุถืงโพธิสัตวธรรมได้ พุธ สติ ก็กลายเป็นมหาสติเพราะเป็นคู่มิตรกับจันทร์ อังคารคือความเพียร เมื่อมีวิริยะ พฤหัส คู่สมพลคือปัญญาจะมีพลังเพิ่มขึ้น เสาร์คือสมาธิ ราหูคือภาวนาและศรัทธา เป็นคู่มิตร ให้เกิดความสำเร็จในฌาน ศุกร์คือทาน เมื่อให้ทานมากก็รวยมาก พระราชาทุกองค์ จะดีก็ตาม จะเลวก็ตาม อย่างน้อยจะมีทานบารมีเป็นทุนมาก่อน ศุกร์จึงหมายถึงพระราชาในวิชาธาตุ อาทิตย์คือศีล เมื่อมีศีลก็จะอายุยืนและชาติหน้าก็จะสวย สูงเด่นมียศศักดิ์ตามความหมายอาทิตย์ เป็นต้น เมื่อทำแล้ว ดาวก็จะมีกำลังเพิ่มขึ้นเอง แล้วจะส่งผลดีให้ได้ทั้งสิ้น

ธาตุดาวที่เข้มแข็งเพราะการปฏิบัตินี้ จะได้รับพลังงานธาตุมากขึ้นๆ และจะแปรเปลี่ยนภพภูมิสูงขึ้น จนถึงระดับหนึ่ง นามธรรมและรูปธรรมจะมีพลังงานสูงพอ วัตถุธาตุคือร่างกาย เช่น กระดูกและเนื้อหนังก็จะแปรรูปเป็นพระธาตุได้ การแปรรูปเป็นพระธาตุนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่แล้ว แต่ยังมีสภาวะธาตุคงตัวอยู่ทำให้เห็นเป็นเนื้อหนังเหมือนเดิม จนเมื่อเสียชีวิตลง หรือเผาสังขารไป สภาวะธาตุจึงจะเปลี่ยนรูป ให้เราเห็นสภาพจริงของ พระธาตุ หรือพระบรมสารีริกธาตุ แต่พระธาตุและพระบรมสาริกธาตุนี้ยังมี “พระคุณ” เหลืออยู่ เช่น พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ หรือพระโพธิสัตวคุณ แม้แต่องค์คุณที่เกิดจากจาคะความเสียสละของมหาบุรุษ วีรบุรุษ ก็เป็น “พระคุณ” ที่ยังคงมีพลังงานธาตุอยู่มาถึงปัจจุบันได้ ถึงแม้กายสังขารของท่านจะมลายลงไปแล้ว พระคุณที่เหลืออยู่นี้มีพลังอำนาจ และยังสามารถแสดงรูปกลับจากนามธรรมเป็นรูปธรรมให้เราเห็นได้ด้วย เนื่องจากมีพลังงานธาตุสะสมไว้มากมายมหาศาล เพราะการบำเพ็ญธรรมและเสียสละนั้นดึงดูดพลังงานธาตุสะสมเข้าไว้มาก ปริมาณอาจเทียบได้เท่ากับดวงอาทิตย์ในชั่วขณะหนึ่ง


วรกุล - 9 มิถุนายน พ.ศ.2548 07:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
อันโตนาทีสามัญ มีส่วนเกี่ยวกับธาตุไหมครับ

ตำแหน่งดาวจากคัมภีร์สุริยยาตร์ต่างจากตำแหน่งดาวดาราศาสตร์แต่ก็เกี่ยวกับเรื่องธาตุใช่ไหมครับ


ข่าน - 9 มิถุนายน พ.ศ.2548 13:48น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบ 23 คุณข่าน.........อันโตนาทีคำนวณจากราศีอุทัย หรือ จุดโผล่ฟ้าของเขตแบ่งราศี ถ้าเป็นโหราศาสตร์ไทยก็เกี่ยวกับธาตุราศี หรือเกษตรราศีนั่นเองครับ อันโตนาทีสามัญเป็นค่าเฉลี่ยของอันโตนาที ที่คำนวณจากรอบธาตุ 60 ปี ดังนั้น ในแต่ละปีจึงมีค่าเคลื่อนคลาด ที่ต้องปรับอยู่เล็กน้อย สำหรับเราใช้อันโตนาทีสามัญเพื่อวางลัคนาอย่างเดียว ดังนั้น จึงไม่ต้องปรับ เพราะที่ต้องปรับค่าเคลื่อนคลาดที่ใหญ่กว่า คือลัคนา จะครอบคลุมอยู่แล้ว การปรับค่าอันโตนาทีนั้น เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ ที่ใช้ในบางเรื่องที่สำคัญๆ เช่น วางฤกษ์ หรือการคำนวณสูรย์จันทร์ (สุริยะคราส – จันทรคราส) ดังนั้น การที่บางคนอ้างว่า อันโตนาทีสามัญใช้คำนวณสูรย์จันทร์ไม่ได้ผล จึงเป็นเรื่องเข้าใจผิด กันมาหลายสิบปีแล้ว การคำนวณสูรย์จันทร์ ที่โบราณใช้ อันโตนาทีสารัมภ์ นั้น มีที่มาเดียวกัน แต่ล้อคค่าไว้เพื่อใช้เฉพาะกิจ และก็ยังต้องปรับค่าปัจจัยของจักรวาลอยู่เช่นกัน

ตำแหน่งดาวทางสุริยาตร ต่างจากตำแหน่งทางดาราศาสตร์เพราะเรื่องธาตุถูกแล้วครับ แต่เป็นทางอ้อม เรื่องนี้เป็นความลับ ยังไม่อยากบอกเหตุผล ครูบาอาจารย์โหรไทยมีผู้รู้เรื่องนี้เยอะพอสมควร แต่ยังพูดไม่ได้ เพราะเหตุผลหลัก 2 ประการคือ หนึ่ง เป็นเหตุผลเรื่องธาตุ ที่คนไม่เรียนก็ไม่เข้าใจ สอง ไม่มีคนที่เหมาะสมจะคุยด้วย เพราะส่วนใหญ่ก็ตั้งหน้าตั้งตามาจับผิดกันตั้งแต่ต้น ถือสายวัดของตัวเองมาจากบ้านอ้างว่าเป็นมาตรฐานโลก พอวัดแล้วก็อ้างว่าไทยนั้นผอมไป เตี้ยไป ทำไมไม่คิดว่าตัวเองนั้นอ้วนไป สูงไปบ้าง เลยคุยกันไม่รู้เรื่อง ยิ่งเรื่องมันยาวมาก คุยกันทีไรทะเลาะกันทุกที 40 – 50 ปีมาแล้ว ครูโหรไทยก็เลยไม่รู้ว่าจะเอาวิชาที่มีค่า มาตีแผ่กลางตลาดเพื่ออะไรกัน เพราะแม้แต่คนที่อยากเรียน ยังไม่ได้เรียนเลย และที่ว่าเป็นมาตรฐานโลกนั้น จะให้แฉไหมว่าเป็นของโลกไหน ครูอาจารย์โหรไทยจบปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และดาราศาสตร์ก็มี จะได้เชิญมาอธิบายให้ฟัง

ปฏิทินทั้งหลายเมื่อนำมาใช้ทางโหราศาสตร์ก็ต้องปรับค่าทั้งนั้น ไม่ว่าระบบไหน ไทย หรือ สากล แต่คนส่วนใหญ่ไม่รู้กัน และก็ไม่ค่อยจำเป็น ลำพังวางดาวแล้วทายให้ถูกก็เป็นบุญหนักหนาแล้ว การปรับค่าจากปฏิทิน เป็นเรื่องของผู้เชี่ยวชาญ การปรับค่าจากปฏิทินมี 2 อย่าง คือ ปรับที่ตัวปฏิทินเอง กับ ปรับเมื่อเวลาใช้งาน การปรับที่ตัวปฏิทินนั้น ไม่ค่อยปฏิบัติกัน เพราะ โหราศาสตร์มีหลายสาขาวิชา ดังนั้น จึงไปเลือกปรับกันที่การใช้งาน วิชาใคร วิชามัน สำนักโหรไทยบางแห่งที่ใช้วิธีคำนวณปฏิทินสุริยาตร์เอง ก็ปรับค่าในตอนคำนวณให้เสร็จไป แต่ถ้าไปซื้อปฏิทินสำเร็จรูปมาใช้ ก็ปรับค่าปฏิทินแล้วใช้กันเฉพาะในสำนักวิชาเพื่อความสะดวก ฟังๆว่ามีการปรับค่าแล้วอย่าเพิ่งตกใจ ลำพังเราใช้ปฏิทินแล้ว ทำนายตามความรู้ที่มีอยู่ ก็เหมาะสมต้องกันดีอยู่แล้ว เว้นแต่เรียนความรู้ในระดับสูงขึ้นไป ครูก็ต้องสอนวิธีการพร้อมการปรับค่าให้อยู่แล้ว โหราศาสตร์ตะวันตกก็มีการปรับค่าเหมือนกัน นั่นแหละเป็นความลับของเขา แต่โหรไทยดูออก รู้โดยไม่ต้องเรียน เพราะปรับมาเยอะแล้ว คนที่รู้ปฏิทินจากดาราศาสตร์ และ โหราศาสตร์ตะวันตก บางคนก็รู้ไม่จริง ไม่รู้ว่าอะไรคือความทันสมัย อะไรแปลว่าความถูกต้อง ได้ยินใครเขาว่าอะไรก็ว่าตามเขาไปเป็นส่วนมาก


วรกุล - 10 มิถุนายน พ.ศ.2548 06:30น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
เรียน ถามอาจารย์วรกุล เพิ่มเติมค่ะ

กรรมทางโหราศาสตร์หมายถึงการส่งผ่านของเหตุปัจจัย จากหลายโครงสร้างไปยังอีกโครงสร้างหนึ่ง โครงสร้างสุดท้าย คือดวงชะตาขณะเราเกิด โครงสร้างที่เป็นสาเหตุต้นตอของการส่งต่อปัจจัย อย่างหนึ่ง ก็คือ ดวงชะตาของบุพพการีของผู้นั้นนั่นเอง นี่เป็นทฤษฎีเก่าที่มีมานานแล้ว เป็นความเข้าใจทางกรรมพันธุ์ ก่อนที่จะมีการศึกษาพันธุกรรมทางวิทยาศาสตร์ในยุคหลัง

เช่นนี้หรือเปล่าคะ มีเด็กเกิดในเวลา วันเดือนปีเดียวกัน เพศเดียวกัน แต่พ่อและแม่ของเด็ก ทั้ง 2 คน ต่างเกิดมา ในวันและเวลาที่ต่างกันไป กล่าวคือพ่อและแม่เด็กทั้ง 2 เกิดมาไม่เหมือนกัน จึงมีปัจจัยที่ทำให้ดวงเด็กทั้ง 2 ต่างกัน ใช่มั๊ยคะ และมันจะเป็นปัจจัยอย่างไร ต่อไปคะ และในเวลาเราอ่านดวงเด็ก ทั้ง 2 คน และเราอ่านถ่ายเรือนไปถึงพ่อแม่ของเด็ก มันก็เหมือนกันหรือต่างกันอย่างไร แล้วปัจจัยนี้ ทฤษฎีนี้ เราจะใช้ในเวลาไหน เมื่อไหร่ ต้องขอโทษอาจารย์อีกแล้ว ไม่รู้ว่าตั้งคำถาม ทำให้อาจารย์อ่านแล้วงง งง หรือเปล่า ขอโทษอาจารย์ด้วยนะคะ

ชอรบกวนอาจารย์ ช่วยขยายอธิบายเพิ่มเติม ให้พอคลายสงสัยหน่อยนะคะ


หมูอ้วน - 12 มิถุนายน พ.ศ.2548 21:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
ตอบ 25 คุณหมุอ้วน.........คำถามไม่งงหรอกครับ แต่คำตอบจะทำให้งงมากกว่า สำหรับคนที่ไม่ได้เรียนมา ก่อนอื่นต้องทบทวนความรู้เบื้องต้นเสียก่อน ดวงชะตาคนมี องคประกอบคือดาว 10 ดวง กับเรือนและเจ้าเรือน 12 เรือน เหมือนกัน เรียกว่า ปัจจัยพื้นฐาน หรือปฐม(ภูมิ) และก็ยังมีปัจจัยทางโหราศาสตร์อีกมากมายแบ่งเป็นที่เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน ที่เรียกว่า ปัจจัยเกิดตาม หรือทุติยภูมิ กับที่เป็นปัจจัยภายนอก หรือปัจจัยแวดล้อม อีกจำนวนหนึ่ง ปัจจัยเหล่านี้เป็นที่เกิดของโหราศาสตร์หลายระบบ ปัจจัยที่นำมาประกอบเข้าสัมพันธ์กัน เรียกว่า โครงสร้าง โครงสร้างของดวงชะตาเดิมแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ หนึ่ง......ปัจจัยพื้นฐานซึ่งประกอบกันเป็นโครงสร้างดาวและเรือนในดวงชะตา ถือว่าเป็นโครงสร้างปรากฏ หรือ โครงสร้างธาตุ สอง......คือโครงสร้างของปัจจัยที่ไม่ปรากฏในดวงชะตา เรียกว่า โครงสร้างแฝง หรือ โครงสร้างกรรม หรือ ดวงชะตาแฝง คนเราทุกคนมีโครงสร้างทั้งสองชุดนี้เป็นพื้นฐานดดวงเดิม และรับดาวจร โครงสร้างกรรมนั้นมีอิทธิพลเป็นกรรมของตัวเอง (เป็นส่วนใหญ่) แต่โครงสร้างธาตุนั้นสืบต่อได้ ปัญหาที่น่าถามก็คือ โครงสร้างธาตุสืบต่อได้อย่างไร

เพื่อให้เข้าใจง่ายหน่อย สมมุติมีหญิงและชายคู่หนึ่ง แต่งงานและเริ่มตั้งครรภ์ เมื่อเกิดชีวิตในครรภ์มารดา ดวงชะตาของทั้งสองคนต้องอ่านได้ว่าเริ่มมีบุตร และเมื่อบุตรนั้นคลอด ก็อ่านได้ว่า ได้บุตรแล้ว ดวงชะตาที่ทั้งสองได้บุตร คือดวงชะตากำเนิด(ตกฟาก)ของบุตร ถูกไหม คิดย้ำตรงนี้ให้ดีๆ ดังนั้น ดวงชะตากำเนิดของบุตร คือดวงเดียวกับที่เป็นทางดาวจร(ปัจจัยภายนอก) ของบิดามารดา ดาวจรของบิดามารดาที่ทำให้เกิดบุตรได้ ต้องขึ้นอยู่กับโครงสร้างกรรมและธาตุกำเนิดของทั้งสองคนนั่นเอง หากโครงสร้างทั้งสองแบบไม่สอดคล้องกันกับดาวจร จะเกิดบุตรไม่ได้ แต่ดาวจรนั้น เป็นอิทธิพลจากจักรวาลภายนอก จึงมีผลสอดคล้องกับโครงสร้างธาตุเกือบทั้งหมด ดังนั้น ดวงชะตากำเนิดของเด็ก จึงมีธาตุส่วนหนึ่งที่เหมือนกับบิดามารดา ทำให้มีใบหน้า ลักษณะนิสัย และความเป็นไปในชีวิตคล้ายกันได้ สุดแต่ว่า ขณะที่เกิดนั้น มีดาวจรชุดใดที่เคลื่อนหมุนตัวมาจับกับโครงสร้างธาตุของบิดามารดาชุดใด เมื่อได้รับธาตุ จากจักรวาล ที่เป็นแบบพิมพ์ธาตุเดียวกับบิดามารดา ธาตุเหล่านั้นจะมาจัดโครงสร้างธาตุเป็นของชะตาตนเอง ธาตุต่างๆเช่น เกษตรธาตุ และธาตุดาว จึงถูกถ่ายทอดจากจักรวาลตามลงมาสร้างโครงสร้างธาตุใหม่ ส่วนชีวะธาตุ และวิญญาณธาตุนั้น จะนำพาโครงสร้างกรรมเข้ามาในขณะเกิดพร้อมกัน โครงสร้างกรรมของตนเองมีอิทธิพลแฝงอยู่มากในการจัดโครงสร้างธาตุใหม่ หรือ พูดในทางกลับกันก็คือว่า คนที่มีกรรมเช่นใด ก็จะมาเกิดใน โครงสร้างธาตุที่ได้รับสืบทอดจากบิดามารดามานั่นเอง

พึงเข้าใจว่า ในเมื่อดวงชะตาพ่อหรือแม่ หรือพวกเราแต่ละคน มีโครงสร้างดวงชะตา เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่งๆ โอกาสที่จะมีต้นไม้สองต้นที่เหมือนกันทั้งกิ่งก้านสาขา ใบ ดอก ผล ในตำแหน่งเดียวกันได้ยากมาก ดังนั้น ต้นไม้สองต้น ที่ปลูกอยู่ในที่เดียวกัน แม้จะมีลูก(ผล)พร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน โครงสร้างธาตุโดยกำเนิดที่ปรากฏ ของลูกจะเหมือนกัน แต่โครงสร้างกรรมและธาตุของบิดามารดาไม่เหมือนกัน และเด็กสองคนที่เกิดพร้อมกันนั้น ก็มีโครงสร้างกรรมของตัวเองไม่เหมือนกันอีกด้วย ดังนั้น ความเป็นไปในชีวิตของเด็กสองคนจะต่างกัน ถึงจะเป็นฝาแฝดก็ตาม สรุปง่ายๆได้ว่า แม้เด็กจะเกิดเวลาเดียวกัน จะมีพ่อแม่เกิดเวลาไหนๆ ก็ต่างกันหมด เพราะชะตาชีวิตไม่ได้เกิดมาจาก เวลาเกิด หรือดวงดาวขณะเกิดเพียงอย่างเดียว แต่ยังปัจจัยอื่นๆ อีกมากนั่นเอง

ในทางเทคนิค อธิบายได้ว่า แม้คนสองคนจะมีดวงชะตาเหมือนกันเป๊ะ แต่ ดาวที่เห็นนั้นจะต่างกันจากโครงสร้างกรรม หรือดวงชะตาแฝง ยกตัวอย่างที่ชอบดูฮิตกันนัก คือดาวเสาร์อยู่ปัตนิ ไม่มีคู่ หาคู่ยาก หากคนสองคนเกิดพร้อมกัน มีดาวเหมือนกันดิก และมีเสาร์ในเรือนปัตนิเหมือนกัน ก็จะเหมือนกันโดยนิสัยรวมๆที่ปรากฏคือธาตุเท่านั้นเอง แต่เสาร์ของแต่ละคนจะต่างกันจากกรรม ที่มีอยู่ในดวงชะตาแฝง ดังนั้น คนหนึ่งอาจจะมีคู่ยาก หรือ ไม่มีคู่ หรือขี้เหร่ แต่อีกคนหนึ่งมีคู่มาก มีคู่ง่าย และ สวยหล่อด้วย ก็เป็นได้ ถ้าตรวจสอบโครงสร้างก็ต้องใช้ข้อมูลและเวลามากพอสมควร เพราะการตรวจสอบต้องสัมพันธ์กันตามโครงสร้าง ไม่ใช่ตามตัวอย่างที่ยกดาวมาดวงเดียว

การดูดวงชะตาพ่อแม่ จึงจะรู้เรื่องลูก มากกว่าการดูดวงลูก เพื่อรู้ชะตาพ่อแม่ ทั้งนี้เกิดจากการถ่ายทอดของโครงสร้างและดาวจรที่ถูกเลือกในขณะที่เกิดบุตร ทั้งดวงเดิมและดวงเดิม ปกติดวงมารดาจะทำนายนิสัยใจคอ ของบุตรทุกคนได้แม่นยำ ส่วนดวงบิดาจะบอกสุขภาพ และวิถีความเป็นไปของชีวิตเรา การนำเอาทฤษฎีความรู้นี้ไปใช้ นอกจากการหาลัคนา หรือดูดวงชะตาซ้อนแล้ว ยังมีประโยชน์ในการดูกรรมพันธุ์ หรือพันธุกรรม เช่น การเตือนภัย เมื่อดูดวงชะตาแล้วโหรจะรู้ว่าเมื่อเกิดบุตรคนที่ 4 อาจจะพิการร่างกาย หรือผิดปกติทางสมอง หรืออาจเป็นอาชญากร ก็ไม่ควรปล่อยตั้งครรภ์เกิดบุตรคนนี้ แต่ตามความเป็นจริงแล้ว เตือนไปเขาก็ไม่เชื่อหรือ ลืม จะเชื่อหรือจำได้ เมื่อเกิดขึ้นจริงแล้ว นี่เป็นกรรมบังตาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ประโยชน์อื่นๆนอกจากนั้น ก็ยังมีอีกมาก เช่นตรวจความเป็นพ่อ แม่ คู่ครอง (ก่อนแต่ง) หรือดูดวงชะตาลูก ผ่านดวงชะตาพ่อแม่ จะช่วยให้รู้เหตุการณ์ที่จะเกิดกับลูกชัดขึ้น โดยเฉพาะเรื่องใหญ่ๆ เช่น ความเจ็บป่วย และความตาย

เรื่องโครงสร้างโดยกรรม และ ธาตุ ยังไม่จบ ยังมีอีกหลายเรื่องยาวมากนะครับ ยาวตลอดโหราศาสตร์นั่นแหละ......บังเอิญมีบทความที่ผมเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อวันหยุด เกี่ยวข้องด้วย เลยนำมาโพสต์ลงเสียเลย


วรกุล - 14 มิถุนายน พ.ศ.2548 04:27น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27
มีเทคนิคหรือกรรมวิธีทางโหราศาสตร์อย่างหนึ่งที่ใช้กันในพวกผู้ชำนาญ เรียกกันว่า การดูดวงชะตาซ้อน ที่จะเอามาเล่านี้ ไม่ใช่จะมาสอนวิธีดูดวงชะตา แต่เหตุเพราะต้องการเล่าเหตุผลที่มาของเทคนิคชนิดนี้ ซึ่งจะเป็นความรู้ในระดับของเรา

การดูดวงชะตาโดยทั่วไป เมื่อเรารู้วันเดือนปีเกิด และเวลาเกิด เราก็สามารถวางลัคนาได้ แต่หากเวลาเกิดไม่แน่นอน ไม่รู้เวลาเกิด หรือ วางลัคนาแล้วคาบเกี่ยวราศี ตกลงเลยไม่รู้ว่าลัคนาอยู่ราศีไหน ทางออกของโหรก็คือ การสอบลัคนา ซึ่งปกติก็ต้องทำทุกดวงชะตา เพราะลัคนาเป็นสิ่งสำคัญ การวางลัคนาให้ถูก เป็นการเปิดประตูไปสู่ความรู้ในตัวเจ้าชะตามากมาย วิธีสอบลัคนาสำหรับผู้ที่มีลัคนาคาบเกี่ยวราศี หรือมีเวลาเกิดไม่ชัดเจน ก็ใช้วิธีตรวจสอบจากเรื่องส่วนตัว นิสัยใจคอ ว่าอยู่ราศีใดจะตรงกับเรื่องมากกว่า แล้วถ้าจะให้แน่นอนก็ต้องทำนายทดสอบเรื่องที่เป็นมาในอดีตว่าตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ตามวัยอายุต่างๆ และปีที่เกิดเหตุการณ์ หากตรงตามเวลาที่อ่านได้ ก็เชื่อได้ว่าลัคนาอยู่ตรงจุดนั้น หลังจากนั้นก็ทำนายอนาคตล่วงหน้าไปสัก 2 – 3 ปี ดูว่าจะตรงเหตุการณ์จริงไหม

กรณีที่ไม่ทราบเวลาเกิดเลย คือทราบแต่วันเดือนปี บางทีทราบเดือนปี แต่ไม่รู้วันเกิด ที่น้อยไปกว่านั้นคือไม่ทราบเดือนเกิด ไม่ทราบปีที่เกิด คือไม่ทราบอะไรเลย แบบนี้ โหรจะทายอย่างไร กรณีที่เพียงไม่ทราบเวลาเกิด ทราบแต่วันเดือนปี วิธีการทั่วไปก็คือการสังเกตดูการโคจรของดาวบาปเคราะห์และศุภเคราะห์เดินช้า ประกอบประวัติที่สอบถามจากเจ้าชะตา หากมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ ได้โชคลาภ หรือมีความเสียหายอุบัติเหตุประการใด ก็วางลัคนาทดสอบตามเรื่องราว ปกติที่แนะนำกันขั้นต้นก็คือ เมื่อเกิดเหตุทางร้าย ดาวบาปเคราะห์ เช่น มฤตยู เสาร์ ราหู มักจะร่วม หรือเล็งลัคนา หากเกิดเหตุการณ์ทางดี ดาวพฤหัส มักจะร่วมเล็งลัคน์แทน แต่ไม่จริงเสมอไป อาจจะกลับกันก็ได้ หากวางลัคนาแล้วไม่ได้ผล จึงค่อยหาโครงสร้างเรือนหรือดาวที่บ่งบอกเหตุการณ์เช่นที่เกิดจริง แล้ววางจุดเจ้าชะตาเข้าให้ตรงเรื่อง ในขั้นตอนหลังนี้ ต้องเป็นนักโหราศาสตร์ระดับกลางขึ้นไปแล้ว เพราะต้องใช้ทักษะความชำนาญเพิ่มขึ้น

กรณีที่ไม่ทราบแม้แต่ปีเกิดเลย การวางลัคนาอาจจะใช้วิธีข้างต้นก็ได้ แต่ต้องค้นหาเดาสุ่มจากปฏิทิน แล้วผูกดวงทดลองวางลัคนาไปเรื่อย ซึ่งจะกินเวลามาก ที่สำคัญคือหากไม่ได้เป็นผู้ทำเอง จะหาใครไปทำให้ได้ยาก หากจะเลี่ยงไปดูลายมือแทน ก็มีขีดจำกัดของการทำนาย เนื่องจากการทำนายทางดวงราศีจักรนั้นกว้างและละเอียดกว่ามาก แล้วจะทำอย่างไรดี บางท่านเลี่ยงไปใช้วิธีดูดวงทางกาลชะตา แล้วย้อนมาหาลัคนา ซึ่งหากเป็นผู้เชี่ยวชาญ อาจจะใช้วิธี ขับดวงชะตา ซึ่งจะได้ผลกว่า ซึ่งก็เหมือนกับการขับดวงทำนายนั่นเอง แต่คิดย้อนหลังมาหาลัคนากำเนิด ทั้งหมดนี้ เป็นการจัดการกับ ดวงชะตาเดียว

มีอีกเทคนิคหนึ่งคือการดูดวงชะตาซ้อน คือ ใช้ดวงชะตาตั้งแต่สองดวงขึ้นไป เพื่อดูชะตาชีวิตและเหตุการณ์ของคนคนหนึ่ง ก่อนอื่นต้องทราบความจริงเรื่องหนึ่งเสียก่อน คือ คนเราเมื่อเกิดมานั้น ดวงชะตาไม่ได้เกิดมาเป็นเอกเทศ นึกอยากเกิดก็เกิด แต่ดวงชะตาของเราจะผูกพันอยู่กับ บุคคล 3 พวกที่เราเลือกไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ได้แก่ มารดา บิดา และพี่น้อง มารดา และบิดานั้น เราเลือกไม่ได้ เพราะเป็นที่มาซึ่งเราเกิด พี่น้องเราเลือกไม่ได้ เพราะเราไม่ได้เป็นคนทำให้เขาเกิด แต่เราเกิดร่วมท้องกับเขา

เมื่อเราเกิดมานั้น ดวงชะตามารดาและบิดา จะแสดงอย่างชัดเจนว่าได้บุตร คือตัวเรา แต่ดวงมารดาจะแสดงออกชัดเจนกว่า เหตุเป็นเพราะตัวเราทุกคนอยู่ในท้องมารดามาก่อนคลอด เราจึงเป็นส่วนหนึ่งของมารดา อยู่ระยะเวลาหนึ่ง ชีวิตเราเริ่มก่อกำเนิดในครรภ์มารดา (ยกเว้นเด็กหลอดแก้ว แต่ยังไม่อยากพูดถึงตอนนี้) เมื่อเติบโตขึ้นก็มีธาตุบางอย่าง เช่นเดียวกับมารดา ส่วนบิดานั้นมีความผูกพันใกล้ชิดกับเรา เราจะเกิดขึ้นได้เมื่อดวงชะตาบิดาแสดงผลอยู่ก่อน ดังนั้น การตรวจสอบจากดวงมารดา และบิดา ถ้ามี ก็จะหาวันเดือนปีเกิดของตัวเราได้ แม้เวลาเกิด บางดวงชะตาจะวางลัคนาขณะเกิดของเราได้ทันที หรือใกล้เคียงมาก เพราะเรื่องนี้เป็นกรรมเดิมที่แสดงผลใหญ่ในดวงชะตา ไม่ใช่เรื่องที่เกิดจากกรรมปัจจุบัน ปกติดวงมารดาจะทำนายนิสัยใจคอ ของบุตรทุกคนได้แม่นยำ ส่วนดวงบิดาจะบอกสุขภาพ และวิถีความเป็นไปของชีวิตเรา ดังนั้น ถ้าเจอหมอดูที่เก๋าสักหน่อย เวลานำดวงชะตาไปให้พยากรณ์ ควรนำดวงชะตาของมารดา และ/หรือ บิดาไปให้ดูด้วย จะได้ความชัดขึ้น

ดวงชะตาพี่น้องก็คล้ายเรา เพราะเกิดในครรภ์มารดาเดียวกัน แต่ในขณะที่ธาตุของมารดาขณะเกิดไม่เหมือนกัน ดวงชะตาพี่น้องที่เป็นเพศเดียวกัน จะดูดวงชะตาเทียบเคียงกันได้ใกล้เคียงมากกว่าเพศตรงข้าม ในขณะที่เราเกิดนั้น ดวงชะตาของพี่น้องกันจะแสดงว่า ได้พี่ หรือได้น้อง แล้วแต่กรณี ดังนั้น หากบิดา มารดา เสียชีวิตไปแล้ว และไม่ทราบดวงชะตา ก็ค้นหาดูจากดวงพี่น้องท้องเดียวกันได้ เหมือนการตรวจดีเอ็นเอ

การดูดวงบิดานั้นบอกสุขภาพบุตรได้ดี ดังนั้น หากบุตรคนใดจะพิการหรือผิดปกติ โหรที่มีความรู้มักจะเตือนก่อนที่จะให้เกิดบุตร ก็สามารถยับยั้งได้ แต่กรรมก็มักบันดาลให้เขาไม่เชื่อ นี่เป็นกรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และดวงชะตาบิดายังบอกวิถีความเป็นไปในชีวิตเราได้ นี่จึงเป็นเหตุให้หลายชนชาติมีการสืบต่อ หรือสืบทอดตำแหน่งผู้นำ หรือ กษัตริย์ผ่านทางทายาทโดยสายเลือดของฝ่ายชาย เพราะเมื่อบิดาเป็นผู้นำ มีความกล้าหาญ รบชนะข้าศึก โครงสร้างเหตุการณ์นั้นจะผ่านมาสู่ลูกได้ ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าเชื้อไม่ทิ้งแถว แต่เหตุที่ผล ไม่เป็นไปตามดวงชะตาบิดาเสมอไป เพราะบุตรนั้นสร้างขึ้นจากธาตุเดียวกับมารดาหลายส่วน โบราณจึงเลือกหญิงจากตระ***ลดีที่มีบรรพบุรุษชายที่ เข้มแข็ง และสุขภาพดี มาเป็นคู่ครอง เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องยาว ในความรู้พันธุกรรมของโบราณ นอกจากการดูดวงเดิมแล้ว ยังสามารถดูดาวจรจากดวงบิดามารดาได้ เมื่อมีเหตุการณ์ใหญ่ๆ เกิดขึ้นกับบุตร เช่น ทำงานอาชีพ เปลี่ยนงาน แต่งงาน มีบุตร เกิดอุบัติเหตุ หรือเรื่องร้ายแรง ก็จะดูได้จากดวงบิดามารดาเช่นกัน เฉพาะในดวงมารดานั้นดูถึงหลาน(ลูกของลูก)ได้ด้วย แต่หากจะให้ชี้ชัดลงไปว่าหลานคนไหน ก็ต้องดูจากบิดา มารดาที่ให้กำเนิดหลานคนนั้นอีกทีหนึ่ง


วรกุล - 14 มิถุนายน พ.ศ.2548 04:28น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
ขอบพระคุณมากๆคะ สำหรับคำตอบ ก็งงๆอย่างที่อาจารย์บอกจริงๆ แต่ก็ยังทำให้เข้าใจมากขึ้นกว่าเดิมคะ

ขอเรียนถามอาจารย์ เรื่องแสงของอาทิตย์คะ อาจารย์เคยบอกว่าดาวทุกดวงรับแสงจากอาทิตย์ อย่างนี้ ถ้าอาทิตย์เดินเข้าในเรือนที่เป็นอุจน์ มหาจักร ราชาโชค เกษตร จะทำให้อาทิตย์แสงมากขึ้นมั๊ย และดาวที่อยู่ใก้ลเคียงรับแสงจากอาทิตย์มากขึ้นหรือเปล่า แต่ในทางกลับกัน ถ้าอาทิตยเข้าเรือนที่เป็น นิจ ประ ล่ะคะ

ยังอีกข้อค่ะ ที่อาจารย์เคยบอกว่า ไฟ-ลม ,ดิน-น้ำ เป็นมิตรทางธาตุ อย่างนี้แล้วอาทิตย์ธาตุไฟ ไปอยู่ในราศีตุลย์ ธาตุลม อย่างนี้แล้วถือว่าได้เกื้อกันทางธาตุแล้ว แต่ดาวอาทิตย์ในราศีนี้มีตำแหน่งเป็นนิจ ไฟ-น้ำ ,ลม-ดิน ไม่เกื้อกันทางธาตุ อย่างนี้แล้วอาทิตย์ อยู่ราศีกรกฎ ธาตุน้ำ แต่อาทิตย์ในราศีนี้มีตำแหน่งเป็นมหาจักร อย่างนี้แล้ว เราถืออย่างไร ดูอย่างไรเป็นหลัก ในการพิจารณาล่ะคะ ขอรบกวนด้วยคะ

ขอรบกวนอาจารย์อีกแล้ว ขอบคุณล่วงหน้าคะ


หมูอ้วน - 15 มิถุนายน พ.ศ.2548 20:26น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียน คุณวรกุล

ดิฉันเป็นอีกคนหนึ่งที่ติดตามอ่านบทความในทุกกระทู้ที่ท่านได้ตั้งไว้เพื่อถ่ายทอดความรู้ในด้านโหราศาสตร์เชิงวิชาการและสอดแทรกธรรมะ ซึ่งเป็นความรู้ที่ดิฉันไม่เคยได้อ่านพบจากตำราเล่มไหนทำให้ได้เข้าใจถึงโหราศาสตร์ในด้านที่แตกต่างไปจากการมีไว้เพื่อใช้ทำนายชะตาชีวิตอย่างเดียว

ดิฉันเริ่มศึกษาโหราศาสตร์ได้ไม่นาน จึงยังมีอีกหลาย ๆ เรื่องที่ยังไม่ทราบและเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ จึงต้องกราบขอท่านอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ด้วยค่ะ

เพื่อนของดิฉันคนหนึ่งมาปรึกษาเรื่องทุกข์ใจ เพราะไปให้นักพยากรณ์ท่านหนึ่งตรวจดูดวงชะตา เพื่อนเล่าให้ฟังว่า นักพยากรณ์ท่านนี้ทำนายได้แม่นมาก แม้กระทั่งบ้านช่องเป็นอย่างไรก็สามารถบอกได้ถูกต้องเพื่อนดิฉันถามถึงเรื่องคู่ครอง ท่านก็บอกว่าเพื่อนของดิฉันน่าจะมีไฝหรือขี้แมลงวันอยู่ในที่ลับ จะทำให้ครองคู่อยู่กับใครได้ไม่นานไม่จากเป็นก็ต้องจากตายอะไรประมาณนี้ และท่านได้แนะนำให้ไปกำจัดออกด้วยวิธีทางไสยศาสตร์กับหมอเขมรท่านหนึ่ง ซึ่งท่านจะแนะนำให้ และบอกด้วยว่าไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เข้าใจกันไม่ต้องเปลื้องผ้า เพียงใช้ไข่ไก่ 2-3 ฟองในการทำพิธี แต่เพื่อนก็ยังวิตกกังวลจึงมาปรึกษาดิฉันด้วยเห็นว่ากำลังศึกษาวิชาโหราศาสตร์อยู่เหมือนกัน ดิฉันก็เข้าใจในความทุกข์ร้อนของเพื่อน เพราะก็เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดทำนองนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่เห็นด้วยที่จะไปทำด้วยวิธีนั้น ก็ทั้งปลอบทั้งพูดให้กำลังใจแต่ดูเหมือนเพื่อนก็ยังไม่คลายความทุกข์ใจ ดิฉันจึงต้องขอท่านอาจารย์ช่วยแนะนำด้วยค่ะ ซึ่งคิดว่าน่าจะทำให้เพื่อนมีความเข้าใจในเรื่องนี้มากขึ้น รวมถึงน่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นที่ประสบกับเหตุการณ์คล้าย ๆ กันนี้

ขอบพระคุณค่ะ


เอวิตรา - 16 มิถุนายน พ.ศ.2548 08:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียนอาจารย์ และผู้รุ้ ผมอยากรู้เรี่อง

1คัมภีร์ ยันต์จันจตุโร (ไตรเพทวิทยา)

2คัมภีร์ อินทรภาสบาทจันทร์

3คัมภีร์ทักษา ดาวฤกษ์

ช่วยอธิบายด้วยนะครับ หรือแนะนำ

ส่งที่ e-mail


jabe - 1 สิงหาคม พ.ศ.2549 23:07น. (IP: 124.157.132.98)