เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 8 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 7 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 8 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 2
ขอบคุณ อาจารย์วรกุลที่กรุณาสละเวลาตอบให้แต่เช้าให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์

ที่อาจารย์กล่าวมาก็ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ครับ และเห็นด้วยกับคำแนะนำทีให้ไปหาหมอดูแบบเสียค่าครู อันที่จริงผมดูกับหมอเดี่ยวต่อเดี่ยวมาหลายรอบมากแล้วครับ ดูจนเบื่อที่ดูทางบอร์ดนี่มีที่นี่ที่แรกเพราะเห็นว่าเป็นบอร์อของสมาคม ที่ดูมารวมๆไม่ได้เสียเงินหลักพันครับแต่รวมๆกันแล้วเป็นหลักหลายหมื่นแต่ก็ไม่ได้คำตอบอะไรจริงจังจึงเบื่อ จะหาอาจารย์ที่ตอบตรงๆจริงจังก็มี แต่ผมจดกลับมาไคร่ครวญแล้วไม่เห็นว่าจริง ดูผิดบ้างถูกบ้างแต่ส่วนใหญ่ผิดซะมาก ไม่ต่างอะไรกับนั่งเทียนดู สงสัยจึงได้เก็บมาถามท่านที่รู้ เห็นมีแม่นแน่ๆนี่เคยดูทีอินเดียครับไปดูตอนไปแสวงบุญเมื่อซักสามสี่ปีมาแล้ว เรียกว่าต้นตำหรับก่อนที่วิชาจะโดนไครยำเลยทีเดียวแต่จะบินไปดูอีกทีก็กลัวจะบ้าดูหาอเกินขอบเขตไร คิดไปคิดมาหาที่ดูดียากเลยหัดดูเองซะงั๊นด้วยความสงสัยอยากรู้ ซื่งจะดูได้ถึงไหนก็คงต้องว่ากันต่อไป

ที่อาจารย์ดูแล้วถูกอีกก็คือผมดูหมอเพื่อช่วยในการตัดสินใจเรื่องหน้าที่การงานและไม่เคยถามเรื่องไร้สาระที่รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราพัฒนาดีขึ้น

โหราศาสตร์มีไว้เพราะความอยากรู้จักโลกและธรรมดาของมนุษย์ให้มากชึ้น เทียบได้ว่าเป็นไฟส่องทางโลกียธรรมอย่างหนึ่ง คุณค่าโหราศาสตร์มีได้ด้วยเหตุนี้ไม่ไช่หรือ แต่เท่าที่เห็นส่วนมากถามกันแต่เรื่องเนื้อคู่ คู่แท้..คู่เทียม..คู่สืบสายสัมพันธ์กันมาแต่ชาติก่อนกันเป็นหลักจะกลับมาเจอกันมาร่วมกันอีกเมื่อไหร่ จะรวยเมื่อไหร่ อย่างนี้ถามแล้ว...ตอบแล้วดวงตาจะได้เห็นธรรมอะไร ผมดูหมอดูมามากพอสมควรแต่ผมไม่เคยถามซักคนว่าผมจะรวยเมื่อไหร่ เพราะคำตอบอยู่ที่สองมือผมเอง ที่ถามเพราะต้องการเดินทางที่ถูกเท่านั้น แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดทางลัด แบบว่าดูดวงหาเลขหาหวย ถ้าแค่นี้โหราศาสตร์ตอบไม่ได้ ผมจึงยังลังเลไม่ได้สนใจที่จะสัทธาใช้เวลาศึกษาจริงจัง อย่างที่อาจารย์บอกจึงถูกยิ่ง

สรุปว่าผมติดปัญหาแล้วในที่สุดมันก็คือปัญหาของผมเองที่ต้องมากลับมานั่งคิดนั่งแก้เองอยู่ดี โหราศาสตร์เป็นแผนที่นำทางให้แต่ไม่ไช่คำตอบสำหรับทุกปัญหา ซึ่งจริงๆแล้วโหราศาสตร์ตอบได้แต่หาคนตอบได้เท่าคุยนั่นยากกว่าขุดหาก๊าซธรรมชาติเชื่อว่าหลายคนก็คิดเหมือนผม บางคนสุดโต่งมองเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของสถิติไร้สาระไปเลย(ขออภัยที่ว่าไปตามน้ำ อย่าหาว่าว่ากระทบไครครับ ผมว่าอย่างที่อาจารย์บอกนั้นถูกทีเดียวว่าคนที่ดูเป็นดูแล้วก็ทราบ อาจารย์เองก็ทราบ แต่จะบอกออกมาหรือไม่ บอกแล้วได้ประโยชน์หรือไม่เท่านั้นเอง)

หรืออาจารย์ประเมินดวงผมดีเกินไปหรือเปล่าครับ ถึงไม่บอกอาจจะคิดว่าผมหาทางหาทางแก้หาคำตอบเองได้

สุดท้ายนี้ขอให้อาจารย์มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว ช่วยประคับประคอง ผู้กระทบกระเทือนจากภัยเศรษฐกิจที่กำลังเดือนร้อนจนอยู่ไม่ติดคงด้วยว่าจะได้รับคำแนะนำที่ดีเหมือนที่ผมได้รับเพื่อจะคลี่คลายปัญหาชีวิต ที่จะให้ความหวัง ให้เป็นแสงสว่างในความมืดที่ห้อมล้อมชีวิตอยู่ แก่คนทั้งหลายยาวนานสืบไป

ด้วยความนับถือ


โยฮัน - 13 สิงหาคม พ.ศ.2548 08:07น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
สวัสดีครับท่านอาจารย์วรกุล

ผมมีข้อสงสัยอย่าซักถามเรื่องของการเป็นโยค ตรีเกณฑ์ จตุเกณฑ์ ว่าถือเอาเป็นสัมพันธ์ดีหรือไม่นั้นยึดหลักคู่มิตร ถ้าดาวศุกร์เป็นตรีเกณฑ์เสาร์ถ้าอยู่ในราศีธาตุลมซึ่งเป็นกลางของธาตุ นำและไฟจะไม่ถือว่าเบียนกันแต่ถ้าอยู่ในราศีธาตุนำหรือไฟจะเป็นการเบียนกันของทั้งสองดาวใช่ไหม่ครับ แต่การนี้จะทายเฉพาะในดวงเดิม และในการทายในดวงจรจะถือว่าดาวทั้งสองเมืออยู่ในราศีธาตุเดียวกันจะกลายเป็นธาตุเดียวกันไม่เบียนกันเมื่อจรมาถึงกันใช่ไหมครับ

อยากให้ท่านอาจารย์ขยายความกระจ่างให้ด้วยครับ ขอบพระคุณเป็นอย่าสูงครับ


ธีร - 13 สิงหาคม พ.ศ.2548 11:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบ 2 คุณโยอัน..........ที่แนะนำให้คุณหาหมอดูอาชีพนั้นบริสุทธิ์ใจ เพราะ การจะดูดวงในเว็บใด แล้วจับเพียงคำทำนายมาดำเนินชีวิต โดยเพ่งเล็งถึงเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ถูกต้อง ดวงชะตาคนเรา ไม่ใช่เป็นเครื่องกำหนดชะตาชีวิต กรรมของเราต่างหากเป็นเครื่องกำหนด ชีวิตของเราขึ้นอยู่กรรมที่เรากระทำ หากเราทำอะไรไม่เป็นไปตามธรรม ดวงชะตาเราก็จะมีคุณภาพไม่ดี ทำให้ส่งผลเสียต่อชีวิตในเรื่องอื่นๆด้วย นี่คือ ผลของกรรม คำถามที่ว่า การที่ดาวใด ทับเล็งองศากับดาวใด แล้วเมื่อไรเราจะดีหรือไม่ดีเสียที จึงเป็นคำถามที่เข้าใจผิด ผลของกรรมที่ทำให้เราอิ่มท้องคือการขวนขวายทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดวงดาวจะไปทำอะไรได้

เรื่องใดไร้สาระหรือไม่จึงอยู่ที่มุมมอง ความทุกข์ และผลประโยชน์ที่ตัวเองคิดจะได้ คำถามใด ซึ่งเป็นคำถามที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปในชีวิต มีสาระในทางโหราศาสตร์ทั้งสิ้น สิ่งที่ทุกคนประสบอยู่เป็นผลแห่งกรรมของแต่ละคน ถ้าผมช่วยได้ก็คงช่วยตัวเองก่อนคนอื่นไม่ดีกว่าหรือ แต่ถ้ามีใครสนใจวิชาโหราศาสตร์ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ผมก็พอจะอธิบายเพียงเท่าที่ผมมีความรู้อยู่ได้ ผมจึงแนะนำให้ไปหาหมอดูที่เก็บค่าบริการอีกที เพราะหมอดูเหล่านั้นเขาให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการดำเนินชีวิต ธุรกิจ หลากหลายอยู่แล้ว หากมาถามตามเว็บต่างๆ อย่างผมกับอาจารย์ศุภกร คุณจะไม่ได้อะไรที่ต้องการ เพราะโหราศาสตร์ที่ผมเรียนมา เป็นความรู้ความเข้าใจชีวิตเท่านั้น อายุผมมากแล้วเพราะกินข้าวมานานมาก ใครถามอะไรที่พออดทนตอบได้ก็จะตอบให้ แต่บางสิ่งบางอย่างจะพูดออกไปก็ไม่สุภาพ เพราะต้องเคารพสถานที่

000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 3 คุณธีร...........คำถามของคุณอ่านแล้วเข้าใจยาก การที่ดาวทำมุมตรีโกณ จตุโกณ ไม่นั้นไม่ต้องเอาราศีธาตุมาพิจารณา แต่การอยู่ในราศีธาตุ ทำให้คุณสมบัติของดาวที่มาทำมุมกันนั้นเปลี่ยนไป เช่น หากศุกร์ ตรีโกณเสาร์อย่างคุณว่า แม้จะให้คุณแก่กัน แต่กำลังของดาวที่จะให้คุณนั้น อาจจะอ่อนแรงหรือเข้มแข็ง เพราะราศีธาตุที่ดาวสถิตอยู่ได้ ส่วนการทายในดวงจรนั้น ต้องพิจารณาหลายมิติ เมื่อดาวจรถึงกัน ต้องพิจารณาความเป็นคู่ธาตุ คู่มิตร คู่ศัตรู ฯลฯ ก่อน แล้วจึงพิจารณาราศีธาตุจะบอกความเป็นไป เช่นธาตุไฟ รวดเร็ว ธาตุดิน เชื่องช้าอะไรแบบนั้น ไม่ได้เอาธาตุมาเบียนกัน หรือ เสริมกัน ยกเว้นการพิจารณาธาตุดาวต่อราศ๊ นั้นก็พิจารณาที่ดาวแต่ละดวงเพื่อให้ทราบความเข้มแข็ง หรือ อ่อนแอ เหมือนเดิม


วรกุล - 14 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:09น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
สวัสดีครับท่านอาจารย์วรกุล

ผมต้องขออภัยท่านอาจารย์วรกุล ที่ตั้งคำถามไม่ชัดเจน งั้นผมขอขยายความคำถามใหม่นะครับผมยังสงสัยอยู่ว่า ถ้าในดวงเดิมนั้น ดาวศูกร์และเสาร์ทำมุมตรีโกณต่อกันนั้นถ้าจรมาถึงกันแล้วก็ถือว่าเป็ยศัตรูกันเช่นเดิมใช่ไหมครับ

ขอบคุณท่านอาจารย์วรกุลมากครับ


ธีร - 14 สิงหาคม พ.ศ.2548 07:46น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
พวกเราหลายคนที่เรียนลายมือ หรือนรลักษณ์ ต้องมีพรสวรรค์พอสมควรในการสังเกตและจดจำลักษณะของลายมือและร่างกาย สี และ จุดเด่นที่มองเห็นได้ เพราะ การเก็บตัวอย่างเพื่อการศึกษาทำได้ยาก แม้การพิมพ์มือ หรือถ่ายรูปไว้อย่างในปัจจุบัน ก็เหมาะเอาไว้เตือนความจำมากกว่าถ่ายทอดต่อไป การดูจากของจริงจะบอกเรื่องราวใช้ทำนายได้ดีกว่ามาก สมัยก่อน นักเรียนที่เรียนทางลายมือ จึงต้องพยายามดั้นด้นไปดูของจริง เพราะนั่งอยู่กับที่แล้วมีโอกาสที่จะหาดูเหตุการณ์สำคัญๆ จากลายมือ และหน้าตา มาเป็นตัวอย่างได้ยาก เช่น หาโอกาสไปดูลายมือ คนไข้ต่างๆตามโรงพยาบาล เพื่อหาประสบการณ์จากการดูเครื่องหมาย และสีที่ปรากฏบนฝ่ามือ ว่าเป็นโรคอะไรกันบ้าง ไปดูคนใกล้ตาย หรือ เพิ่งตายเพราะอุบัติเหตุบ้าง เพื่อให้เห็นลักษณะลายมือที่แสดงออกมา หรือรู้ว่า มีคนถูกหวย มีศิลปิน นักร้อง นักแสดง หรือ คนอาชีพต่างๆที่เด่นดัง ก็ขอดูมือเขาเพื่อให้ได้เห็นของจริง แบบนี้ก็ลำบาก เหมือนกัน

นักเรียนที่เรียนดวงชะตา ส่วนใหญ่มักจะนึกว่าพวกเราสบายกว่า หวานหมูละ เพราะแค่รู้วันเดือนปี เวลาเกิด เปิดปฏิทินได้ ก็ทำนายได้เลย อันนั้นน่ะไม่ผิด แต่จะเอาลึกซึ้งไม่ได้ เพราะวิชาทางดวงชะตาที่เรามักท่องตามตำราและมักนึกกันเอาเองว่าคือมาตรฐานนั้น ความจริงแล้ว ความหมายเชิงปริมาณและคุณภาพในดวงชะตาไม่ได้มีมาตรฐานเลย ยกตัวอย่างเช่น ลักษณะบุคคลตามดวงชะตา แค่ สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน เตี้ย เพียงแค่นี้ ความเห็นก็ไม่ตรงกันแล้ว พวกเราเป็นคนเอเซีย แค่สูงสัก 170 ซม. ก็ว่าสูงแล้ว แต่ไปเดินกับฝรั่ง เขาจะเห็นว่าเตี้ย หรือ คนผิวขาวของเรา ลองไปเทียบดูฝรั่ง จีน หรือ แขกที่เขาขาวกว่า ประเภทขาวจั้วะ จะดูในดวงชะตาอย่างไร ในเมื่อดวงดาวไม่มีบอกไว้ บางอาจารย์ท่านจึงสอนว่า ให้เทียบกับตัวเจ้าของดวงชะตาเป็นหลัก เช่น มีแฟนสูงกว่าเจ้าชะตามาก ก็ทายว่าเนื้อคู่เป็นคนสูงได้แล้ว หรือ หากแฟนมีผิวขาวสักสองเท่าของเจ้าชะตา ให้ถือว่าผิวขาวแล้ว แม้คนอื่นจะบอกว่ายังดำอยู่ ดังนั้น ข้อเท็จจริงในการทำนายหลายเรื่อง จะต้องคำนึงถึงดวงชะตาบุคคล หาก เจ้าชะตายากจนมาก เป็นขอทาน แต่ได้โชคมีเงินสักสองแสน ก็อาจทำนายได้ว่ารวย ตรงกันข้ามกับเศรษฐีมีเงินหลายหมื่นล้าน วันใดไม่มีเงินสักสิบล้านผ่านมือ ก็ถือได้ว่าดวงกำลังตกต่ำ อุทาหรณ์ข้อนี้ ดวงชะตาคือ ปริมาณและคุณภาพ เชิงเปรียบเทียบสัมพัทธ์ ต้องคิดต่อไปให้ดีๆ จะได้ความรู้อีกหลายอย่าง

สมัยก่อน มีอาจารย์ท่านหนึ่งพาศิษย์ไปสังเกตการณ์ในสถานที่หลายแห่ง ตามแต่ที่ท่านจะพอสนิทชิดเชื้อหรือติดต่อได้ อย่างเช่น ในหน่วยทหาร ซึ่งขออนุญาตเขาได้ เนื่องจาก มาช่วยพยากรณ์การกุศลหาเงินบำรุงสวัสดิการให้แก่ทหาร อยู่บ่อยๆ พบว่าดวงชะตาทหารไม่ค่อยเหมือนกัน ดวงชะตานักดนตรี ก็ มีดาวแสดงความเป็นศิลปะอยู่น้อยคนมาก ดวงชะตา “บางอาชีพ” ที่ควรมีความเมตตา ในสถานพยาบาล แต่ก็ไม่เห็นความเมตตากรุณา หรือ สติปัญญาเลย เพียงแต่เก่งวิชาการเท่านั้น เหล่านี้เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ นับว่าดีจริงๆ ที่ทำให้เราไม่หลงอยู่กับหลักการโดยไม่เข้าใจความเป็นจริงในชีวิต เวลาทำนายอาชีพ จึงกลายเป็นประสบการณ์ที่มีค่า และกลายเป็นความรู้ประจำตัวอีกเหมือนกัน ที่จะทำนายว่าใคร จะมีอาชีพอะไรได้ตรงกับความจริง

บุคคลอีกประเภทหนึ่งซึ่งเราจะเรียนรู้อะไรได้มากกว่าที่หลายคนจะคาดถึง นั้นคือ คนที่เจ็บป่วยทางจิตประสาท คนที่มีอาการทางจิต หรือ ที่เราเรียกว่าสติไม่ดีนั้น มีคำจำกัดความทางแพทย์ ทางศัพท์สามัญทั่วไป และ ทางความเป็นจริงทางโหราศาสตร์ ล้วนแตกต่างกันอย่างมากมาย คนที่เรียกได้ว่าเป็น “โรคจิต” หลายคน หากจำแนกทางดวงชะตาแล้ว ไม่ใช่แค่ จิต ประสาท สติ อะไรเพียงแค่นั้น แต่กลายเป็นเรื่องของคุณสมบัติของดาวหลายดวงที่เสีย ก็กลายเป็นโรคจิตได้ทั้งนั้น แม้แต่คนที่เดินไปเดินมาในสังคมของเราจำนวนมาก โหราศาสตร์ก็อาจชี้ได้ว่า บางคนก็กำลังมีปัญหาทางจิตประสาทอยู่ด้วย เพียงแต่ไม่ได้ไปรักษาเป็นคนไข้ใน รพ.เท่านั้น ดังเราจะพบเห็น คนที่ทำงานใส่สูท อยู่ในบริษัทใหญ่ๆ บางคนมีพฤติกรรมเป็นโรคจิตอย่างเห็นได้ชัด เช่น คุยโอ่คุยโต และผู้บริหารระดับสูงๆ ที่มีเกียรติมีชื่อเสียงหลายๆคน หรือ จบถึงปริญญาเอก เผลอเมื่อไรเป็นโกงหรือ ขโมย เมื่อนั้น แม้แต่เรื่องเล็กๆน้อยๆ ทำอะไรตรงๆไม่เป็น แต่ทางการแพทย์ ถือว่าคนเหล่านี้เป็นเพียงผู้ที่พฤติกรรมผิดปกติ ไม่ใช่โรคจิต จึงไม่มีใครคิดไปรับการรักษา แต่ปกปิดไม่ได้สำหรับผู้รู้ทางโหราศาสตร์ ถ้าดูเป็น จะรู้จักธาตุแท้ของคนในโลกนี้ได้มากมายทีเดียว

สิ่งหนึ่งที่ได้จากการศึกษาดวงชะตาผู้ป่วยทางจิต ทำให้เข้าใจเรือน และดาวได้อย่างลึกซึ้ง เพราะธรรมดาอย่างพวกเราที่อยู่กันตามปกติในสังคม มักจะมีความยับยั้งอดกลั้น ความต้องการและความเป็นไปตามดวงชะตาโดยไม่แสดงออก สมมุติเช่น บางคนอยากไปท่องเที่ยวมาก เหนื่อยอย่างไรก็จะไป แต่ไปไม่ได้เพราะมีงานที่ต้องรับผิดชอบ หรือพวกเราบางคนชอบสะสมรองเท้ามาก แต่ก็มีความยับยั้งชั่งใจ เพราะต้องเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นที่จำเป็นมากกว่า แต่ในคนที่ป่วยทางจิต ความยับยั้งและเหตุผลเช่นนี้จะหมดไป เขาจะสะสมรองเท้าได้เป็นร้อยๆ หรือ หลายพันคู่ สะสมไปเรื่อยๆ พวกที่ไม่มีเงินซื้อ บางคนเก็บก้อนหินมาสะสมไว้เต็มบ้าน จิตหลงเรียกเอาว่าเป็นเพชรพลอย ทั้งนี้เพราะแรงผลักดันในจิตใจ และดวงชะตา จากการเรียนรู้สิ่งที่ธรรมชาติแสดงออกมาจริงๆ ผ่านทางพฤติกรรมบริสุทธิ์ ของคนเหล่านี้ ทำให้เราเข้าใจความหมายแท้ๆของเรือนและดาวอย่างไม่ต้องให้ใครมาบอก และนำมาใช้พยากรณ์คนทั่วไปได้ จนบางคนสงสัยว่า หมอดูรู้ได้อย่างไรว่าเขากำลังคิดอะไร อยากทำอะไร และเมื่อวันก่อนไปไหนมา รวมทั้ง คนที่มีนิสัยเสียๆ ทำอะไรแปลกๆจำนวนมาก หากเรารู้ก็ใช้เป็นเครื่องมือสอบลัคนาได้ไม่ผิดพลาดเลย เพียงแต่ถามญาติพี่น้องเพื่อนฝูงของเขาว่า เขามีนิสัยแปลกๆอะไรให้เห็นเด่นชัดบ้าง

คนที่มีพื้นนิสัยอ่อนแอ คนโง่ คนที่มีกรรมเดิมมาสนอง หรือคนที่ชะตาตกทางดวงชะตาจร 4 ประเภทนี้จะมีธาตุของดาวอ่อนด้อยเสียไปทั้งชั่วคราว หรือถาวรแล้วแต่กรณี คนเหล่านี้อาจจะถือว่าเป็นผู้ป่วยทางจิตที่แอบแฝงอยู่ได้ เวลาพบโฆษณาสินค้า ถูกพูดจาชักจูงหลอกล่อ หรือ เขาทำอาถรรพ์ต่างๆ มักจะขาดสติ เลื่อนลอย และทำตามไป เช่นควักกระเป๋าเงินซื้อของที่ตัวเองไม่ได้คิดจะซื้อ หรือ เป็นเหยื่อมิจฉาชีพที่เราได้ยินกันบ่อยครั้ง ดังนั้น ที่พ่อค้าแม่ค้า มักนำวัตถุทางไสยศาสตร์ที่มีผู้ทำขายมาใช้อย่างง่ายๆ เช่น ปลัดขิก จึงใช้ได้ผลจริงต่อคนเหล่านี้ แต่ไสยศาสตร์ระดับต่ำเหล่านี้จะใช้ไม่ได้ต่อผู้มีสติดำรงอยู่ดี ซึ่งมองในแง่เหตุผลทางจิตวิทยา และโหราศาสตร์ก็อธิบายได้เท่ากัน

ความรู้ที่ได้จากการศึกษาเช่นนี้ ทำให้เราเข้าใจได้ว่า แท้ที่จริงแล้ว ความเป็นไปตามดวงชะตาที่บอกแก่เรา ล้วนแต่เป็นสถานการณ์ที่ธรรมชาติในตัวเรา ซึ่งสัมพันธ์กับธรรมชาติแวดล้อมนั้นผลักดันให้แสดงออกมา บุคคลโดยทั่วไปมักจะปล่อยจิตใจถูกแรงผลักดันให้เป็นไปเรื่อยๆ เหมือนลอยไปตามกระแสน้ำ และสนองความต้องการของจิตใต้สำนึกที่ซับซ้อน จนกลายมาเป็นพฤติกรรมที่มองเห็น หากเรามีสติเพียงหยุดแล้วคิด และ ใช้วิจารณญาณก่อนตัดสินใจกระทำจนเป็นอัตโนมัติ แรงผลักดันลึกลับของธรรมชาติ ที่เกิดจากองคประกอบทางธาตุ และ ดวงดาว ที่เป็นคุณสมบัติของเรา ก็จะมาบังคับบัญชาตัวเราไม่ได้เลย แม้ผู้ทำนายดวงชะตา จะมีความแม่นยำเพียงใด หากไม่รู้กลไกของพฤติกรรมที่เกิดจากดวงชะตา ว่า แตกต่างจากที่แสดงออกมาจริงอย่างใด ก็ไม่มีทางทำนายได้ถูก


วรกุล - 15 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:15น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
ตอบ 5 คุณธีร...........คำถามข้อ 5 นี่ถือเป็นคำถามเดียวกับข้อ 3 ใช่ไหม ดาวศุกร์ ดาวเสาร์ในดวงเดิม เราต้องตั้งชื่อว่า ศุกร์1 เสาร์1 ส่วนดาวศุกร์ และเสาร์ที่จรมา ต้องชื่อว่า ศุกร์2 เสาร์2 ก็จะไม่งง เพราะทั้งสี่ดวง เป็นคนละดวงกัน เพียงแต่มีธาตุพื้นฐานเหมือนกัน ดาวศุกร์2 ดาวเสาร์2 เมื่อจรมา ยังเป็นดาวของจักรวาล ไม่ใช่ดาวของดวงชะตา เมื่อมากระทบดวงชะตา ก็ต้องดูกันใหม่ ดาวศุกร์2 กับดาวเสาร์1 และดาวเสาร์2 กับดาวศุกร์1 ก็ยังเป็นคู่ศัตรูกัน เหมือนไทยกับฝรั่ง หากเป็นศัตรูกัน(สมมุติ) ไทยเจอกับฝรั่งคนไหน ภาคไหน ก็ทะเลาะกันทั้งนั้น คุณสับสนเรื่องดาวเดิม กับเจ้าเรือนเดิม ปกติดาวจรมาจะยังไม่นำเอาเรื่องเดิมของมันติดตัวมา จนกว่า ดาวจะได้แสดงเรื่องราวในดวงเดิม ซึ่งต้องอาศัยดาวหลายดวงทำงานพร้อมกัน ซึ่งทำหน้าที่สั้นมาก แล้วก็กลับไปเล่นเป็นดาวธรรมดาของจักรวาลโคจรต่อไป


วรกุล - 15 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:15น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน อ.วรกุล

ผมมีเรื่องอยากขอคำแนะนำและคำอธิบายจากอาจารย์ดังนี้ครับ

1.ในกรณีที่หมอดูเป็นผู้ตรวจดวงชาตาให้แก่ผู้ที่มาดู ถ้าได้ตรวจดูแล้วเห็นว่าจะเกิดเคราะห์ หมอดูก็ได้ให้แนะนำให้ผู้ที่มาดู ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการกระทำที่เราเห็นว่าอาจจะทำให้เกิดเคราะห์ได้ ซึ่งเป็นเหตุทำให้ผู้มาดูพ้นจากเคราะห์นั้นหรือไม่ก็ทำให้จากหนักกลายเป็นเบาลงไป ซึ่งการกระทำของหมอดูนั้นเป็นการกระทำที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้ที่ตรวจดวงให้เปลี่ยนไปไม่เป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่จะเกิดขึ้นจริง และไปทำให้อนาคตที่จะเกิดขึ้นข้างหน้าของผู้มาดูเปลี่ยนไป

อยากเรียนถามว่า หมอดูที่ดูดวงจะได้รับผลกรรมที่เกิดจากการที่ไปเปลี่ยนแปลงกรรมของผู้อื่นไหม

2. ในวิชาลายมือนั้น ถ้ามีสมผุสดำเกิดขึ้นบนเนินต่างๆ จะมีความหมายเป็นลางบอกเหตุว่าจะเกิดเหตุที่ไม่ดีต่อเจ้าของมือ แล้วแต่ว่าจะเกิดขึ้นที่เนินไหนเรื่องที่จะเกิดก็ตามความหมายของเนินนั้นๆ ถ้าเราใช้วิธีแก้กรรมที่จะเกิดขึ้น โดยวิธีการลบรอยสมผุสดำออก เหมือนที่เราใช้ลบไฝ ปานนั้น จะแก้กรรมที่จะเกิดขึ้นได้ไหม


ดวงดาวน้อย - 16 สิงหาคม พ.ศ.2548 20:49น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
สวัสดีค่ะ อาจารย์วรกุล

ดิฉันมีเรื่องขอเรียนถาม คือได้อ่านจากเวปอื่นๆ มีการพูดถึงว่า ถ้าดาว พุธและศุกร์ (4และ6) อยู่ร่วมกัน จะทำให้เจ้าชะตามัวเมาในความรัก และชีวิตยุ่งเหยิงเพราะเรื่องนี้ตลอดไปจริงหรือไม่คะ

ดิฉันก็มีดาว 4 และ 6 อยู่ร่วมกันในราศี กุมภ์ ค่ะ ไม่ทราบจะมีผลดังที่กล่าวไว้ข้างต้นหรือไม่ และ สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่อย่างไรคะ

รายละเอียดดวงชะตาดิฉันมีดังนี้ค่ะ

1. ลัคน อยู่ราศี ธนูค่ะ มีดาวเกตุ (9)กุมลัคน์ค่ะ

2.อาทิตย์ และ จันทร์ (1, 2) อยู่ ราศี มังกร

3. พุธ ศุกร์(4, 6) อยู่ ราศี กุมภ์

4. เสาร์ (7) อยู่ ราศี มีน

5. ดาว 8 อยู่ ราศี เมษ

6. ดาว พฤหัส (5) อยู่ ราศี กรกฎ

7. ดาว 0 อยู่ราศี สิงห์

8. ดาว อังคาร (3) อยู่ ราศี ตุลย์ ค่ะ


พุธศุกร์ - 17 สิงหาคม พ.ศ.2548 08:59น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
อ้างอิง

ความเห็นที่ 4 (193694)



ตอบ 2 คุณโยอัน..........ที่แนะนำให้คุณหาหมอดูอาชีพนั้นบริสุทธิ์ใจ เพราะ การจะดูดวงในเว็บใด แล้วจับเพียงคำทำนายมาดำเนินชีวิต โดยเพ่งเล็งถึงเวลาที่จะเกิดเหตุการณ์ไม่ถูกต้อง ดวงชะตาคนเรา ไม่ใช่เป็นเครื่องกำหนดชะตาชีวิต กรรมของเราต่างหากเป็นเครื่องกำหนด ชีวิตของเราขึ้นอยู่กรรมที่เรากระทำ หากเราทำอะไรไม่เป็นไปตามธรรม ดวงชะตาเราก็จะมีคุณภาพไม่ดี ทำให้ส่งผลเสียต่อชีวิตในเรื่องอื่นๆด้วย นี่คือ ผลของกรรม คำถามที่ว่า การที่ดาวใด ทับเล็งองศากับดาวใด แล้วเมื่อไรเราจะดีหรือไม่ดีเสียที จึงเป็นคำถามที่เข้าใจผิด ผลของกรรมที่ทำให้เราอิ่มท้องคือการขวนขวายทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดวงดาวจะไปทำอะไรได้

-ถ้ากำหนดชีวิตเองได้จริงๆก็ดีครับ คาดว่าคงต้องใช้พลังใจอย่างมากถ้าจะออกห่างจากอิธิพลของดวงดาว หรือกรรมเก่าที่บรรดาลให้เป็นไป ใจจริงผมอยากมีชีวิตสันโดษเรียบง่ายและสงบสุข ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายมากมายมีความสุขสงบมากตอนบวชช่วงเข้าพรรษาอยู่ห้าหกเดือนตอนนี้ยังสงสัยวสึกออกมาทำไม แล้วทำไมชีวิตจริงถึงได้ออกมารูปนี้ก็ไม่ทราบ

เรื่องใดไร้สาระหรือไม่จึงอยู่ที่มุมมอง ความทุกข์ และผลประโยชน์ที่ตัวเองคิดจะได้ คำถามใด ซึ่งเป็นคำถามที่จะทำให้เราเข้าใจความเป็นไปในชีวิต มีสาระในทางโหราศาสตร์ทั้งสิ้น

-ไช่ตามที่อาจารย์บอกครับ ง่ายๆแค่นี้ทำไม่ผมคิดไม่ได้นะ ผมคงต้องทำความเห็นให้ตรง ต้องหัดมองต่างมุมบ้างแล้ว

ได้อ่านคำตอบที่อาจารย์ตอบแล้วรู้สึกประทับใจการสละเวลาคิดไคร่ครวญตอบคำถามด้วยความสุขุมใจเย็นมีเมตตา สมแล้วที่เป็นระดับปูชนียบุคคลต่างกับผมลิบลับที่ใจร้อนเอาแต่อารมณ์

ทีแรกหวังว่าถามในกระทู้แล้วจะได้คำตอบเรื่องงาน แต่เอาเข้าจริงกลับได้สาระนำกลับไปใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตมากมายเกินคาดครับ

ขอคารวะเป็นศิษย์อาจารย์ด้วยอีกคน ไม่รับไม่เป็นไรแต่โอกาสหน้าขออนุญาติถามอีกนะครับ

ขอบพระคุณ


โยฮัน - 18 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:17น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
ตอบ 9 คุณดวงดาวน้อย..........1 / กรรมที่เราพูดกันมีทั้งส่วนที่เป็นเหตุ คือ กรรม และผลของกรรมคือ วิบากกรรม เมื่อใดที่กระทำกรรม ก็เกิดผลของกรรมแน่นอน ไม่มียกเว้น ดังนั้นการที่เราเลี่ยงเคราะห์กรรมนั้น ผลของกรรมก็ยังคงอยู่ไม่หายไปไหน แต่อาจจะเนิ่นช้าออกไป ไม่ใช่ลบผลกรรมทิ้งไปได้ แม้แต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระอรหันต์ ก็ไม่พ้นจากผลกรรมที่กระทำไปแล้ว ไม่ว่าจะไปเกิดยังชาติภพใด ก็ย่อมจะกลับมาสนองผู้กระทำแน่นอน การที่หมอดูไปช่วยให้คนเขาพ้นเคราะห์ชั่วคราว เป็นเจตนาบริสุทธิ์ก็ไม่มีบาปหรอกครับ แต่เมื่อกระทำกรรมก็มีผลจากกุศุลกรรมนี้ จะเป็นบารมี แต่การที่ไปทำนายเขาว่าจะมีเคราะห์นั้น กรรมที่เกิดจากทำนายโดยไม่รู้ความจริง จะจริงเท็จเพียงใดไม่รู้ แม้จะปรารถนาดีอย่างไรก็ตาม กรรมก็คือมุสาวาทา เป็นวจีกรรมที่ถือว่าผิดศีลในเมื่อมองละเอียด

เราจะเห็นได้ว่า แม้แต่พระท่านเมื่อเทศนาธรรม หากจะให้ไม่ผิดศีล ก็ต้องกล่าวสัจธรรมเท่านั้น ผู้ถามจะต้องอาราธนาธรรมก่อน แล้วท่านจึงจะเทศน์โดยอ้างพระพุทธธรรมที่ทรงแสดงไว้ และยังถือเอาคัมภีร์พระไตรปิฎกอยู่ในมืออ่านให้ฟัง เพราะการอ้างพระพุทธพจน์ เพื่อให้เข้าใจว่า เป็นสัจธรรมที่ท่านไม่ได้บรรลุเอง ก็จะถือว่าการกล่าวสัจธรรมในลักษณะนี้ ไม่ผิดศีลมุสา แม้ผู้ฟังจะเข้าใจผิดไปก่อเวรกรรมอย่างใด พระท่านก็ไม่มีบาปเพราะแสดงสัจธรรม ส่วนการเทศน์อธิบายธรรมอย่างใดในความเห็นของท่านเอง เป็นการทำคุณประโยชน์แก่ผู้อื่น แม้เป็นบุญก็มีบาปอยู่บ้างหากไม่รู้จริง ดังนั้นพระที่เคร่งท่านจะไม่เทศน์สิ่งที่เกินความรู้ เช่น ยังไม่เป็นอรหันต์ ท่านก็ไม่เทศน์ความรู้ในระดับพระอรหันต์ชวนให้คนมาเข้าใจว่า ท่านบรรลุแล้ว อันนั้นเป็นบาป เป็นต้น

ดังนั้น จึงมีธรรมเนียมของหมอดูรุ่นเก่าโบราณสอนให้ถือแบบอย่างพญาพิเภก เป็นครู คือ “หากไม่ถาม จะไม่พยากรณ์” จะพยากรณ์เฉพาะเรื่องที่ถาม เมื่อตอบก็จะกล่าวก่อนว่า “อาศัยวาจาความสัตย์จริง ข้าพเจ้าได้เรียนมาดังนี้ว่า ..........” จบด้วยคำว่า “ขอให้ท่านพิจารณาเองโดยสมควรเถิด อย่าได้มีบาปเวรกรรมต่อกันเลย” สมัยผมยังเด็ก ก็ยังเห็นมีโหรบางท่านใช้ธรรมเนียมนี้ เวลาจะทายทักเรื่องสำคัญที่เป็นพิธีการ แต่ต่อมาก็ไม่เห็นอีก แต่ท่านถือว่าได้ไหว้ครูทุกวัน ก็ได้กล่าวคำทำนองนี้อยู่แล้ว

2 / ลายมือก็ดี ดวงชะตาก็ดี ใบหน้า รูปร่างของเราก็ดี ล้วนแต่เป็นวิบากคือผลของกรรมครับ สมมุติเช่น เราไปทำบาปในชาติก่อน ผลของกรรมจึงทำให้เรา มีสมผุส ในฝ่ามือไม่ดี มีคิ้วบาง หน้าตาขี้เหร่ มีดวงชะตาเกิดมายากจน สิ่งเหล่านี้มาจากเหตุเดิมที่กระทำในชาติก่อน แม้เราไปเอาสมผุสออก ไปเติมคิ้วให้หนา ผ่าตัดใบหน้า หรือไปผ่าตัดออกให้ได้เวลาตกฟากที่ร่ำรวย ก็เป็นการไปแก้ที่การแสดงผล ไม่ได้แก้ผล และยิ่งไม่ได้ไปแก้เหตุ ลักษณะต่างๆที่เราเป็นนั้น เป็นเพียงเครื่องแสดงที่เราสามารถย้อนไปทำนายกรรมเดิมได้เท่านั้น หากทำลายดัดแปลงเสีย ก็เพียงทำให้ข้อมูลเสียไป ทำนายไม่ได้ แต่ไม่ได้ไปแก้ที่ต้นเหตุคือกรรมที่กระทำไปแล้ว การแก้ที่ผลไม่อาจไปบันดาลเหตุได้

อย่าสับสนกับการแก้กระแสกรรมใหม่ อย่างการแก้ฮวงจุ้ยก็ดี การเอาไฝปานที่ขวางทาง “ปราณ” คือ ธาตุที่โคจร ออกไปก็ดี อันนั้นมีผลต่อธรรมชาติ ไม่ใช่เป็นการแก้ชะตาชีวิต สิ่งที่บังเกิดต่อตัวเรามีทั้งที่เป็นกรรมเดิม และ กรรมใหม่ คือสิ่งแวดล้อมด้วย ดังนั้น การแก้ธรรมชาติ เป็นการเลี่ยงความไม่ดีที่จะมาสู่ตัวโดยไม่เกี่ยวกับกรรมเดิมนั้นทำได้ครับ อย่างเช่น มีเสือมา จะกินลูกของเรา เราจะไม่ยอมช่วยเพราะถืออธิษฐานว่าหากลูกมีกรรมก็ถูกเสือกิน หากไม่มีกรรมขอให้รอด อย่างนั้นไม่ได้ พวกเรามักเข้าใจผิด ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากกรรม อันนั้น พระพุทธเจ้าท่านปฏิเสธนะครับ พวกนักธรรมชอบเอามาตั้งเป็นกระทู้กันบ่อยๆว่า “พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธไม่ทรงสอน (ให้ยึดถือหลงเอา) กฎแห่งกรรม” เพราะเป็นความเห็นของพวกเดียรถีย์ ซึ่งเป็นเรื่องสุดโต่งข้างหนึ่งที่ทรงสอนไม่ให้พวกเราชาวพุทธยึดถือ แปลกดีไหม

ท่านสอนว่า กฏธรรมชาตินั้นมีนิยาม ๕ การยึดเอานิยามใดนิยามหนึ่งมาหลงเอาว่าใช่ ว่าถูก เป็นความเข้าใจธรรมชาติอย่างผิดๆ คำว่านิยามนี้ หมายถึงกฎนั่นเอง กรรมนิยาม หรือ กฏแห่งกรรม (กระบวนการการกระทำเป็นเหตุให้เกิดผล) เป็นเพียงนิยามหนึ่งเท่านั้น กฏอื่นๆยังมี พีชนิยาม(พี-ชะ-นิ-ยาม การสืบพันธ์ พันธุกรรม) อุตุนิยาม (สิ่งแวดล้อมดินฟ้าอากาศที่เราเกิดมา) จิตตนิยาม (การทำงานของจิต) และธรรมนิยาม (ความเป็นเหตุเป็นผลกันของสรรพสิ่ง) การที่คนอาจตาย เพราะไปขวางทางคลื่นซึนามิ นั่นเกิดจากอุตุนิยาม หรือเกิดมา เตี้ยเพราะอยู่ในเผ่าพันธ์ตระ***ล ก็เกิดจากพีชนิยาม หรือเกิดใจเศร้าหมองเพราะตั้งจิตเอาไว้ผิด นี่เกิดจากจิตตนิยาม หรือ ระเบิดปรมาณูลงมาแล้วตายกันหมดทั้งคนดี คนเลว คนถึงฆาต ไม่ถึงฆาต เป็นผลทางปฏิกิริยาเคมีฟิสิกส์ นี่ก็เป็นธรรมนิยามครับ สิ่งเหล่านี้หากแก้ได้ ท่านก็สอนให้หลบเลี่ยงหรือ แก้ไขด้วยซ้ำไป ไม่เป็นการผิด แม้แต่ผลจากกฎแห่งกรรม – กรรมนิยาม ท่านก็สอนให้แก้ อย่างน้อยให้กระทำอโหสิกรรม ซึ่งเป็นกรรมที่ไม่มีผลวิบาก เป็นการตัดรอนวงจรไม่ให้เกิดกรรมต่อเนื่องไป ก็เป็นสิ่งที่เราควรทำอยู่เสมอๆ

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 10 คุณ พุธศุกร์..........เรื่องพุธศุกร์นี่เป็นคำกลอนที่นักเรียนโหรมักท่องกันมานานว่า “....พุธศุกร์อีกคู่อย่าดูเบา มักมากเมาเสพสมจนซมซาน” แต่การเอาคำกลอนที่แต่งเอาสำนวน มาผูกมัดว่าใครมีพุธศุกร์ในดวงแล้วจะเป็นอย่างนั้นทุกคน เป็นเรื่องที่มักง่ายไปหน่อย เพราะ พุธ กับศุกร์ ก็เดินพัวพันกันอยู่ตลอดทั้งปี ส่วนใหญ่ก็มีทั้งนั้นแหละ และเป็นโชคดีด้วย เพราะเป็นคู่ธาตุน้ำ ความสำคัญอยู่ที่ว่า ๔๖ นั้นอยู่ในราศีอะไร ธาตุอะไร เรือนอะไร มีดาวอะไรส่งถึงบ้าง

จริงอยู่ที่ความหมาย ศุกร์เป็นความรัก การครองเรือน แต่การที่ศุกร์อยู่ร่วมพุธคู่ธาตุน้ำด้วยกัน ทำให้ความรักนั้นเปลี่ยนแปลงตามกระแสพุธได้ง่าย ความเปลี่ยนแปลงอาจเป็นได้ทางสุดโต่งข้างหนึ่ง คือมัวเมาในกาม แต่ อีกสุดโต่งข้างหนึ่ง คือความรักอย่างมีเหตุผล เต็มไปด้วยวิจารณญาณ และมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง เนื่องจากได้คู่ธาตุน้ำ ไม่มีธาตุอื่นมาเจือ ดังนั้น จึงอาจปรากฏว่าคนที่มีดาวคู่นี้ รักใครก็รักเดียว ไม่เปลี่ยนใจ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะชั่วจะดีก็ยังรัก เคยเห็นบางคน ถูกสามีตบตีทุกวัน ก็ยังรักเขา ดูเหมือนงมงาย แต่ไม่ใช่ นั้นคือความรักที่บริสุทธิ์ใจ และคู่ดาว ๔๖ นี้ หลายดวงชะตามียศศักดิ์ ทั้งครอบครัว ประเภท ลูกจบ ปริญญาโทเอก สามีเป็นอธิบดี ภรรยาเป็นคุณหญิง ชีวิตไม่ยุ่งเหยิงอะไร แต่มีความสุขดี

ดวงคุณถ้าผูกตามปฏิทินสุริยาตร์ เสาร์จะยังอยู่ในราศีกุมภ์ ดังนั้นจึงกลายเป็น ๗๔๖ มีราหูโยคหน้า อังคารตรีโกณหลัง เป็นคู่ธาตุลมอีกคู่ มีมฤตยูเล็ง ทำให้ความรักไม่สมหวัง เวลาจะดี คู่ครองมักเปลี่ยนใจไปกับคนอื่น หรือ มีใครมาจีบเอาไป คู่ครองจะด้อยกว่าตัวเรา เช่น ทางฐานะหรือความรู้ แต่คู่นั้นเก่ง ขยันหาทรัพย์ จะแต่งงานช้าหน่อย เพราะดูใจกันนานหน่อย แต่ชีวิตแต่งงานแล้วดี เจริญรุ่งเรือง แต่ความรักก็เหมือนเคี้ยวหมากฝั่ง คือแรกๆก็หวานดี นานเข้าก็จืดไป กลายเป็นยางยืด มีแค่นั้นครับ


วรกุล - 18 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:46น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
กราบสวัสดีค่ะท่านอาจารย์วรกุล

ดิฉันมีเรื่องขอรบกวนท่านอีกสักครั้งค่ะ ขออนุญาตเล่าถึงที่มาที่ไปก่อนนะคะเพื่อความกระจ่าง คือดิฉันได้ศึกษาเพิ่มเติมโดยการเข้าไปตั้งกระทู้ถามเกี่ยวกับเรื่องโหราศาสตร์กับท่านผู้รู้ท่านหนึ่ง โดยใช้ดวงชะตาทั้งของผู้ที่ดิฉันรู้จักคุ้นเคยรวมถึงดวงชะตาของดิฉันเองเป็นดวงครูค่ะ อาจารย์ท่านนั้นก็กรุณาตอบให้เป็นอย่างดีโดยเมตตาจิตค่ะ แต่อยู่ ๆ ก็มีผู้หวังดีท่านหนึ่งโพสเข้ามาด้วย ท่านบอกว่าดูดวงชะตาให้ดิฉันอยู่หลายชั่วโมง และลงความเห็นว่าดิฉันควรจะย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ ควรเป็นประเทศที่ติดทะเลด้านตะวันออก ท่านแนะนำว่าควรเป็นแคนาดาหรืออเมริกา และให้หาคู่ครองเป็นคนที่นั่น จะได้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ถาวร ท่านยังสำทับอีกด้วยว่าดวงของดิฉันมีอะไรบางอย่างที่น่ากังวล การย้ายถิ่นฐานไปอยู่ไกล ๆ จึงน่าจะดีกว่าท่านกล่าวว่าดวงย้ายถิ่นไปต่างแดนจะดีมาก ๆ เพราะหากอยู่เมืองไทย ไม่ว่าที่ไหน ๆ ก็จะไม่มีความสุขเลย และไม่ต้องคิดสะเดาะเคราห์ เพราะมีแต่จะก่อทุกข์ดิฉันได้ตั้งคำถามกลับไปถามท่านผู้นั้น แต่ท่านไม่ตอบกลับ จริง ๆ แล้วดิฉันก็ควรเพิกเฉยไปแต่ในที่สุดก็คิดว่าน่าจะลองถามท่านอาจารย์ดู หากท่านมีคำแนะนำกรุณาด้วยนะคะ เพื่อที่ดิฉันจะได้นำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต (ดิฉันทราบดีว่าท่านมิได้ตั้งกระทู้นี้ไว้สำหรับดูดวงชะตา แต่ดิฉันขอความกรุณาด้วยนะคะ เพราะคำแนะนำของท่านนั้นมีคุณค่าและเป็นประโยชน์สำหรับดิฉันมาก ๆ เหมือนคำครูที่ชี้แนะศิษย์ ดิฉันจึงอยากได้การชี้แนะจากผู้ที่ดิฉันเคารพเหมือนครูบาอาจารย์ค่ะ)

ดิฉันเกิดวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2516 เวลา 1.44 น. กทม. (กลางคืนวันจันทร์ที่ 5 ค่ะ)


เอวิตรา - 18 สิงหาคม พ.ศ.2548 09:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
สวัสดีครับ อาจารย์วรกุลเมื่อคราวก่อนท่าน อาจารย์ สส. จะสอนเรื่องการดูดวง 5 ชั้น ท่านก็ไปต่างประเทศก่อน น่าเสียดายมาก ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ วกกุลพอจะสอนได้หรือเปล่าครับ


นร. - 18 สิงหาคม พ.ศ.2548 12:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
เรียนอาจารย์วรกุล

ได้ติดตามกระทู้ทั้งของอาจารย์ศุภกรและอาจารย์วรกุลอยู่เสมอ ๆ ซึ่งทำให้เข้าใจเกี่ยวกับชีวิตมากขึ้น รวมทั้งมีมุมมองใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิต รวมทั้งเข้าใจในระบบโหราศาสตร์มากยึ่งขึ้น (แต่ก็ต้องศึกษาอีกยาวครับ เพราะตอนนี้ก็รู้เหมือนไม่รู้อะไรเลย) วันนี้อยากรบกวนอาจารย์ถามคำถามที่สงสัยนะครับ

1. เราจะทราบได้อย่างไรว่าดาวต่าง ๆ ที่เรียงตัวอยู่นั้น ให้คุณหรือให้โทษกับเจ้าชะตาเพราะตอนนี้ผมเข้าใจว่าดาวทุกดวงก็จะให้ผลดีและผลเสียได้เหมือน ๆ กัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะพิจารณาอย่างไรน่ะครับ

2. ในการทำนายดวงของคนที่เป็น เกย์ ทอม ดี้ กระเทยนี่ทายเหมือนดูดวงทั่ว ๆ ไปใช่ไหมครับ แล้วอย่างเวลาคนที่เอาดวงของคนเพศเดียวกันมาให้ดูกันมันจะทำได้หรือเปล่าครับ มันจะมีเนื้อคู่สำหรับคนเหล่านี้ด้วยเหรอครับ ?

ขอรบกวนถามอาจารย์แค่นี้ก่อนครับขอบพระคุณอาจารย์มาก ๆ ครับ


เฟรด - 18 สิงหาคม พ.ศ.2548 13:40น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
เรียนอาจารย์วรกุล

ขออนุญาติถามต่อจากคุณพุธศุกร์นะครับเพราะเคยเจอดวงแบบนี้เหมือนกัน

ลักขณาอยู่ราศีธนูพฤหัสอยู่ภพศุภะราศีสิงห์มีเสาร์เล็งลักขณ์อยู่เมถุนพุธเจ้าเรือนมาอยู่ร่วมกับศุกร์ราศีพิจิก

สงสัยดังนี้ครับ

1. เสาร์เล็งลักขณ์เข้ากฏพินธุบาท แต่กล่าวได้หรือไม่ว่าเสาร์อยู่เรือนพุธคู่สมพลช่วยลดทอนโทษทุกข์ของเสาร์ได้ ถ้าว่าอย่างนี้ผิดหลักหรือไม่ หรือว่าคู่สมพลนั้นใช้เฉพาะดาวสองดวงกุมกันเท่านั้นไม่เกี่ยวกับเรือนเกษตร

2. เสาร์เล็งลักขณ์แต่เจ้าเรือนพุธมาอยู่ร่วมกับดาวศุกร์คู่ธาตุน้ำภพวินาสราศีพิจิกและราศีพิจิกยังเป็นเรือนธาตุน้ำชั้น 2 เจ้าเรือนราศีพิจิกคืออังคารก็ยังเป็นคู่มิตรกับศุกร์ด้วย ถ้ารูปดาวอย่างนี้ให้ทายดีหรือเสียเกี่ยวกับเรื่องคู่ครองอย่างไรครับ

ขอรบกวนอาจารย์ด้วยครับ


โยฮัน - 19 สิงหาคม พ.ศ.2548 03:27น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
ตอบ 11 คุณโยอัน..........คุณอย่าไปเพ่งเล็งดวงชะตาเลย เพราะชีวิตคนเรานั้นไม่มีอะไรแน่นอน โหราศาสตร์เองก็ไม่ได้มีความแน่นอน มีคนผิดหวังมามากแล้ว เพราะชีวิตยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง ไม่ใช่ดวงชะตาอย่างเดียว โหราศาสตร์ คือวิชาที่ช่วยให้เราเข้าใจตนเองและชีวิต ไม่ได้มีไว้เพื่อพยากรณ์ หากเราปล่อยให้มันเป็นไปตามกรรม เราก็พอจะพยากรณ์อนาคตได้ แต่หากเราจับจ้องดูมัน มันจะไม่ยอมให้ผลลัพธ์ตามที่เราคาด เคยมีคนพิสูจน์เรื่องนี้มามากมายแล้ว ระดับอาจารย์ใหญ่ๆทั้งนั้น เวลาเราทำนายดวงเดิม หรือเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว จะแม่นยำดี แต่พอให้ทำนายล่วงหน้า มักจะทำนายไม่ถูก เว้น แต่ผู้ฟังจะไม่ใส่ใจ แล้วดำเนินชีวิตไปตามปกติ ไม่ไปเพ่งเล็งใส่ใจกับมัน จะกลับเห็นผลแม่นยำจนน่าแปลกใจ

โหราศาสตร์เองมี องคประกอบ เหมือนวิชาลึกลับอื่นๆ คือ เร้นลับ เหนือความคาดหมาย ดังนั้น หากเราไปเปิดความเร้นลับ ให้กลายเป็นความเปิดเผย โหราศาสตร์ก็จะเสียคุณสมบัติไป แต่หากเปิดเผยแล้วยังไม่ใส่ใจ แสดงว่าไม่คาดหมาย มันจะกลับกลายเป็นความเร้นลับอีก และเหตุการณ์จะเกิดอย่างแม่นยำ ดังนั้น หมอดูจึงมักดูดวงตัวเองไม่ได้ เพราะความคาดหมายนั้นจะอยู่ในใจ ทำให้ไม่แม่น เมื่อใดเผลอลืมไป ก็จะเกิดแม่นขึ้นมาทุกที คนที่ดูหมอมาหลายสิบปี จะพบเหตุการณ์เช่นนี้ทั้งนั้น เวลาดูหมอแล้วรู้จังหวะว่าดวงเราจะดี เราต้องยื่นมือออกไปก่อน แล้วโชคดีจึงจะมาตกถึงมือเรา เพราะธรรมชาติไม่ได้หยิบยื่นสิ่งใดให้แก่ใคร นอกจาก จัดการดูแลโอกาสของสิ่งที่กระทำ และผลของการกระทำ มันเพียงเปิดโอกาสให้เรา ไม่ได้มากำหนดอะไรมอบแก่เรา ถ้าเราทำอะไรอยู่แล้วถึงจังหวะดวงดี งานอะไรก็จะสำเร็จได้

000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 13 คุณเอวิตรา..........ตรวจดวงแล้ว ไม่มีอะไรอย่างที่ว่าเลยแม้แต่ประเด็นเดียว ถ้าจะให้มีเหตุใกล้เคียงที่สุด คือคุณอาจจะได้รางวัลประเภท ตั๋วเครื่องบินไปกลับไปเที่ยวดูงานเอ็กซโปร์ หรือ ท่องเที่ยวอะไรแบบนั้นในต่างประเทศ แต่โอกาสก็น้อยมาก ตามเว็บต่างๆ เราต้องระวัง บางคนเรียนโหราศาสตร์อื่นเช่น ยูเรเนียน เลข 7 ตัว หรือ ไพ่ เข้ามาฝึกทำนายมากเหมือนกัน ไม่ได้ดูจากดวงชะตา แต่ผลที่ได้ก็ต้องเป็นเหมือนกัน นอกจากนี้ก็มีคนจิตไม่ปกติ หรือวิธีดูทางใน อะไรเช่นนี้ เข้ามาแจมด้วย เคยมีหมอดูคนหนึ่งมีชื่อเสียงมาก ที่ทายทักแบบที่คุณเล่า ทายทักเขาไปทั่ว จนคนมาหาจำนวนมาก เพราะไปพูดอะไรแปลกๆ ผลสุดท้าย เพิ่งทราบกันว่าเขาเป็นโรคจิต รักษาอยู่ แต่ท่าทางเหมือนคนธรรมดา อย่าไปใส่ใจเลย

000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 14 คุณ นร...........อาจารย์ สส.จะสอนการดูดวง 5 ชั้นหรือ ไม่ใช่ง่ายครับ สงสัยท่านจะเพี้ยน เพราะต้องสอนต่อหน้าไม่อย่างนั้นอธิบายภาพหลายมิติไม่ได้ ดวง 5 ชั้นไม่ใช่ “วิชา” แต่เป็น “วิธี” แบบคณิตคิดลัด ใครเป็นต้นคิดก็ไม่รู้ แต่มีมานานแล้ว มูลเหตุของเรื่องมาจากการพิจารณาดวงชะตา ทั้งดวงเดิม และดวงจร โดยทั่วไป จะมีเคล็ดลับการดูว่า เมื่อใดเหตุการณ์จะเกิด หรือ ไม่เกิด เกิดเมื่อใด โดยดูจากกลไกทางธาตุ และเกษตรดาว ซับซ้อน เกือบ 17 – 18 ลำดับ เวลาเอามาใช้ทำนายดวงชะตาทั่วไปมักจะยุ่งยากเสียเวลา ไม่ทันกิน เลยมีคนฉลาดหาวิธีคิดลัด วางหลักใหม่ เป็นทฤษฎีหลอก แบบ dummy แยกดวงชะตาเป็น 5 ชั้นก็พอ แล้วคิดแยกคุณสมบัติรวบยอดภายในชั้น กลายเป็นคุณสมบัติคร่าวๆ เวลาดูก็ดูในแต่ละชั้น หากเปลี่ยนชั้น ก็มีกฏการเปลี่ยนชั้น กำหนดเอง เช่น พฤหัส บวก 3 อาทิตย์ ลบ 7 อะไรแบบนี้ แต่ละชั้นจะมีสูตรสำเร็จที่พัฒนามา เป็นตัวเลขที่ไม่มีสาระอะไร ราว 3 – 4 ชุด จำไม่ยาก แบบนี้ จึงกลายเป็นเครื่องมือของศิษย์ขี้เกียจ แต่หาคำตอบได้เร็วกว่า วิธีนี้เผยถูกเผยแพร่ออกทางห้องน้ำของสำนักไหนก็ไม่รู้ จึงกลายเป็นคณิต คิดเร็ว ที่สอนเป็นความลับ (ไม่ให้อาจารย์รู้) กันต่อๆมา

สมัยก่อน มี 5 ชั้น แต่มีคนคิดอีก รวบยอดเหลือ แค่ 3 ชั้น กลายเป็นเคล็ดลับการดูดวงชะตา หมอดูรุ่นเก่ามักเก็บไว้เป็นเครื่องมือทายเร็ว แข่งกับพวกเล่นอย่างอื่น เช่นพวกเลข 7 ตัว เพราะพวกเรียนทางดวงชะตามักมีปมด้อยตรง ช้า นี่แหละ ยิ่งพวกวิชาธาตุ หาก ทำตามเสต็ป จริงๆ อย่างดูดวงสำคัญๆ จะใช้เวลาร่วม 7 วัน หรือ อย่างต่ำ 2 – 3 วัน ถูกเขาอำว่าเป็นวิชาเต่า แต่วิธีดวง 3 ชั้น 5 ชั้น เป็นเพียงคณิตคิดเร็ว ทายแบบประมาณๆ เหมาะเอาไว้ดูอะไรทั่วไป บางคนจึงใช้เป็นเป็นเครื่องมือตรวจเร็ว ถ้ามีอะไรซีเรียส จึงต้องกลับไปดูลงลึกตามวิธีจริง คนไม่รู้วิชาเอาไปใช้ จึงไม่ได้ประโยชน์อะไร แบบที่เราโกงสอบ จดว่า ข้อ 1 ตอบ ข. ข้อ 2 ตอบ ง. อะไรแบบนั้น แต่อาจารย์เอามาใช้อธิบายการดูแบบวิชาธาตุได้ เพราะมาจากวิชาธาตุนั่นเอง

00000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 15 คุณ เฟรด...........1 / คำถามคุณต้องเข้าใจนะครับว่า ดาวนั้นดีหรือ เสีย เป็นเรื่องหนึ่ง และให้ผลดีหรือ เสีย แก่เจ้าชะตา เป็นอีกเรื่องหนึ่ง นี่เป็นข้อแรก ข้อต่อมา ต้องพิจารณาว่า แต่ละเรื่องนั้น ดีหรือเสียในปประเด็นใด เพราะดาวมันมีหลายบทบาท ไม่เหมือนกัน เหมือนตัวคุณเอง สมมุติว่า คุณเก่งทางคอมพิวเตอร์ แต่ เต้นรำไม่เอาไหนเลย จะมาพูดสั้นว่าคุณเป็นคนเก่ง หรือไม่เอาไหน จึงจะถูกล่ะ ดังนั้น การที่เราพิจารณา หรือ พูดอะไรออกมา อย่าไปเลียนแบบพวกที่ชอบพูดว่า “ดาวของคุณมันเสีย” แบบนี้ นักโหราศาสตร์ประเภทของจริง เขาถือว่า พูดแบบคน “ไร้การศึกษา”

อย่างสมมุติลัคนาราศีเมษ อังคารคุณ เป็นเจ้าเรือน ตนุ - มรณะ และเป็นอุจ อยู่ราศีมังกร ถ้าคุณดูว่าอังคารคือความขยัน ก็ต้องว่าคุณขยันดีจริงๆ แต่ถ้าดูว่า อังคารเป็นมรณะ เป็นอุจมีกำลังแรง สุขภาพโรคภัยก็อาจไม่ดี หากจะดูว่าเป็น ตนุ เป็นอุจ วาสนาก็น่าจะดี เมื่ออยู่เรือนกัมมะ การงานน่ารุ่งเรืองดี แต่เป็นเรือนเสาร์ ที่อังคารไม่ใคร่ชอบ ก็อาจจะทำอะไรไม่ดีหักหาญเอาทำให้ เสียหายได้ นี่อ่านแบบอังคารดวงเดียว เวลามีดาวอื่นมาทำมุม สัมพันธ์ดี ความดี – ไม่ดี อาจแตกย่อยออกไปอีกตั้ง 20 – 30 บทบาท ดังนั้น พวกที่ชอบพูดว่า “ดาวคุณดี” “ดาวคุณไม่ดี” เขาจึงว่าพูดแบบคน “ไร้การศึกษา”

2 / การทำนายดวงเกย์ ทอม ดี้ กระเทยนี่ทายเหมือนดูดวงทั่ว ๆ ไปใช่ครับ เนื้อคู่สำหรับคนเหล่านี้ ก็มีคู่แท้ คู่ปัตนิ และคู่ร่วมหัวทางเพศ เหมือนกัน ผมเคยเขียนเรื่องคู่ไว้ในความเห็นที่ 6 กระทู้ที่ 7 แล้วครับ ลองอ่านดู เราทำนายดวงของเขาไปตามปกติ แต่ไม่ใช่ดวงของเขาเป็นปกตินะครับ


วรกุล - 19 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
เรียน ท่านอาจารย์วรกุลที่เคารพ

รู้สึกสบายใจขึ้นมากค่ะ ขอบพระคุณค่ะสำหรับความกรุณาที่มีให้ดิฉันเสมอ จะระมัดระวังให้มากขึ้นค่ะ


เอวิตรา - 19 สิงหาคม พ.ศ.2548 09:16น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
อาจารวรกุลครับที่กระผมถามคำถามข้างบนเพราะอยากทราบหลักวิชาบ้างน่ะครับด้วยความบริสุทธิ์ใจอยากรู้จริงๆส่วนเรื่องชีวิตส่วนตัวนั้นยังคงพยายามคิดหาวิธีปฏิบัติแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่อเนื่องเช่นเดิมมิไช่รอดวงดีโดยไม่ได้ทำอะไร ยังคิดอยู่เสมอว่าถ้าเราทำดีปฎิบัติดีในทุกวันของชีวิตแล้วดวงก็จะดีเองส่วนเรื่องดูดวงกับเรืองงานนี่รับรองว่าไม่เอามาปนกันแล้วครับ ยังแบ่งสมองคิดแยกกันได้ แต่ว่ามคงเอาใจออกห่างได้ยากทั้งสองอย่างเพราะสนใจอยู่มาก อาจารย์เคยบอกว่าผมยังดูพื้นดวงไม่กระจ่างแล้วกระโดดไปดูจรเลยนั้นเร็วเกินไปผมเลยหันมาศึกษาจากพื้นดวงตัวอย่าง สงสัยเลยถามไปก่อนครับเพราะหาผู้รู้จริงให้ถามไม่ได้ ถ้ามีเวลาช่วงที่ชีวิตปลอดโปร่งมากกว่านี้รับรองว่าได้ไปเรียนให้รู้ลึกจริงจังซะทีแน่นอนอาจารย์แนะนำอย่างนี้แล้วสงสัยว่าต้องไปค้นหาคำตอบจากตำราเอาเองขอบคุณสำหรับคำแนะนำครับ


โยฮัน - 19 สิงหาคม พ.ศ.2548 11:17น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบ 16 17 คุณโยฮัน..........ผมต้องตอบงานวิชาการหลายเว็บ กับอีเมล เลยต้องยกคำถามข้ามวันบ่อย 1 / คู่สมพลส่วนใหญ่ใช้ดาวกุมกันถูกแล้ว เรือนเกษตรเองต้องอาศัยกำลังดาวเช่นกัน 2 / ลักษณะดาวอย่างนั้นทายดี ได้ 60% เพราะเจ้าเรือนคือพุธไปได้คู่ธาตุ และ ศุกร์อยู่เรือนคู่มิตร ถูกต้อง แต่ต้องพิจารณาโยคเกณฑ์ของดาวอื่นๆที่ส่งมาถึงด้วย ที่สำคัญอีกคือ ระบบเรือนสัมพันธ์และมุมดาว ถึงเสาร์ ที่อยู่ในภพปัตนิ เป็นอีกจุดหนึ่ง ทำให้เรือนปัตนิและคู่ครองดีขึ้น หรือเลวลง

เรื่องถามโหราศาสตร์ ที่ไม่ใคร่อยากตอบเรื่องทายจร เพราะบอกแล้วว่า การทายจรนั้น เป็นการประมวลจากหลายอย่างเข้ามา หลายเรื่องหลายเรือน อย่างสมมุติเราจะดูเรื่องงานเรื่องเดียว ไม่ใช่ดูว่าจะทำอะไร ไปสิ้นสุดตอนไหน หรือ เปล่า มีอุปสรรคอะไร ยังต้องดูเรื่องเงินทุน เรื่องชะตาชีวิตช่วงนั้น เรื่องปัญหาผู้ร่วมงานถ้ามี ฯลฯ ต้องดูดาวเดิม ดาวจร เกณฑ์ดาว วัย ทักษาเดิม ทักษรจร อีกจิปาถะ หลายประเด็น จึงจะสรุปได้ คนส่วนมากไม่เข้าใจเรื่องทายจร มักจะอ่านประเด็นเดียวแบบดวงเดิม เหตุที่ดวงเดิมทายได้ เพราะมันดิ้นน้อย แต่ดาวจรมันดิ้นมาก จึงทายกันยาก

การที่ดูดาวจร มาทับเล็งดาวใด จะเกิดเหตุการณ์อะไร แน่นอนเมื่อไร อย่างนั้นหมอดูจึงมักไม่อยากทายให้ เพราะลงทุนคิดมากหลายตระหลบ ส่วนมากทายว่าปีนี้ ปีหน้าจะดีก็พอแล้ว ถูกจริงก็เก่งเกินพอ เวลาดูดวงจร ประสบการณ์โหรทั้งหมด หลายสิบปี ก็มารวมลงที่ดาวจรทั้งนั้น ดาวทุกดวงมันเคลื่อนที่ไปมา ใครจะไปอธิบายเป็นคำพูดได้หมด ถ้ามาถามว่า ทำไมจึงทายอย่างนี้ ดูจากดาวอะไร จะได้ดูมั่ง แค่ตอบก็อธิบายไม่ถูกแล้ว เพราะความรู้ก็มาตั้งแต่แรกเรียนนั่นแหละ ต้องเอามาดูทั้งหมด สุดแต่ใครจะจับอะไรได้เร็วกว่ากัน เพราะต้องใช้ประสบการณ์และไหวพริบ ยากที่จะอธิบายเป็นหลักตายตัวได้


วรกุล - 20 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:18น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
เรียน ท่านอาจารย์วรกุล

ผมอยากสอบถามอาจารย์วรกุล เกี่ยวกับการถึงกันของดาวครับ ว่าการถึงกันของคู่ธาตุ ที่อยู่ร่วมราศีเดียวกัน กับคู่ธาตุ ที่อยู่ราศีตรงกันข้ามนั้น มีผลแตกต่างกันอย่างไรครับ ในหลักการนี้จะรวมถึงคู่มิตรด้วยหรือไม่ครับ

ขอบพระคุณอาจารย์วรกุลครับ


ธีร - 20 สิงหาคม พ.ศ.2548 11:35น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ ผมมีเรื่องข้องใจรบกวนให้อาจารย์ช่วยปรับ แก้ไขอธิบายด้วยครับ "เรื่องการพยากรณ์จร โดยใช้วงรอบธรรมชาติ"....ตามที่ผมเข้าใจโดยไต่ถามได้อ่านมาเป็นดังนี้....ครูโหราศาสตร์ไทยดั่งเดิม เวลาท่านจะพยากรณ์จร ท่านจะพิจารณาเรื่องวงรอบธรรมชาติเป็นหลักเกณฑ์สำคัญ (จำเป็นต้องนำวงรอบธรรมชาติมาใช้พยากรณ์) วงรอบธรรมชาติที่ว่านี้มีมากมายหลายตำราตามแต่ละสำนัก เช่น ลัคน์จร กาลจักร์ ชันษาจร เป็นต้น เมื่อท่านพิจารณาตามเกณท์วงรอบธรรมชาติที่ว่ามาแล้ว ท่านก็จะสามารถรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไร ดีร้ายเป็นอย่างไร ต่อจากนั้น(ลำดับต่อไป)ท่านก็จะพิจารณาถึงโครงสร้างดาวจรปัจจุบัน ว่าสอดคล้องกับเรื่องราวที่ได้อ่านจากวงรอบธรรมชาติหรือไม่, ท่านนำดาวจรปัจจุบันมาใช้เป็นตัวชี้วัดตัดสินและระบุระยะเวลาอีกทีหนึ่ง... หากจะเปรียบแล้ว"วงรอบธรรมชาติ"คือพระเอก ตัวดำเนินเรื่อง หรือตัวหลักที่ใช้พยากรณ์จร ส่วน "ดาวจรปัจจุบัน"นั้นคือพระรอง หรือตัวขยาย เรื่องราวเหตุการณ์จรให้ชัดเจนมากยิ่งขี้น...ขอรบกวนให้อาจารย์ช่วยอธิบาย แก้ไข ปรับ ความเข้าใจ เรื่องวงรอบธรรมชาติด้วยครับ ....หากมีเวลาอยากให้อาจารย์เขียนเรื่องวงรอบธรรมชาติกับโหราศาสตร์ไทย ให้เป็นความรู้ เปิดโลกทัศน์ ด้วยครับ...


ศ.fa200 - 20 สิงหาคม พ.ศ.2548 19:24น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
ขอบคุณอาจารย์ที่ไขข้อสงสัยครับ

จะคอยเป็นแฟนติดตามอ่านกระทู้อาจารย์ทุกวันครับเพราะได้ความรู้มาก


โยฮัน - 21 สิงหาคม พ.ศ.2548 02:19น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบ 21 คุณธีร..........ดาวคู่อะไรทุกอย่างไม่ว่าคู่ธาตุ คู่มิตร คู่สมพล คู่ศัตรู หรือ ดาวสองดวงใดๆ เมื่อกุมกัน แสดงว่าอยู่ในราศีเดียวกัน ธาตุเกษตรเดียวกัน ทำให้ธาตุถึงกันได้ง่ายมาก เหมือนคนสองคนอยู่บ้านเดียวกัน จะดีกัน หรือทะเลาะกัน ก็สะดวก ทำได้เลย และรุนแรงตามกำลัง จะขว้างศีรษะกันก็โดนโดยตรง แต่การอยู่ในราศีตรงข้ามกัน อยู่คนละเกษตรราศี เหมือนคนอยู่คนละบ้านตรงข้ามฟากถนน จะตีกัน หรือ ข้ามฟากไปหากัน จะขว้างอะไร มันจะติดภาวะของเกษตรอยู่ ทำให้เสียกำลังไป ก่อนที่จะส่งไปถึงเรือนตรงข้าม ทำให้ความสัมพันธ์นั้นอ่อนลง ไม่เต็มที่ ไม่เหมือนอยู่ราศีเดียวกัน


วรกุล - 21 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:08น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบ 22 คุณ ศ.fa200........เรื่องวงรอบธรรมชาติกับโหราศาสตร์ไทยเป็นเรื่องยาวมากครับ ประกอบด้วยเรื่องนับสิบๆเรื่องที่แตกต่างกันในวิธีการ หลักการ และรายละเอียด ที่เคยตอบไปแล้วในกระทู้ที่ 7 ความเห็นที่ 36 ก็เป็นอีกมุมหนึ่ง ที่คุณเข้าใจดังที่ถามมานั้นก็ไม่ผิด แต่ไม่ถูก หากจะพูดโดยสังเขป ต้องมองวงรอบธรรมชาติ เป็น 3 ส่วน คือ หนึ่ง วัฏจักรของสิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ เช่น การโคจรของดวงดาว แม้มีจะมีชีวิตเกิดขึ้นหรือไม่ วัฎจักรส่วนนี้ก็ยังคงมีอยู่ สอง วัฏจักรของชีวิต ชีวิตก็เป็นวัฏจักร สิ่งที่กำเนิดขึ้นแล้วก็จะมีความเป็นไปตามคุณสมบัติแรกเริ่มเมื่อเกิดมา สาม คือ ความแปรผันระหว่างชีวิตดำเนินไป เกิดจากชีวิตนั่นเองมีจิต เจตนา ต่างจากวัฏจักรที่ไม่มีชีวิต

วงรอบธรรมชาติของชีวิตเกิดจากทั้งสามส่วน สมมุติคนเราเหมือนปลาที่อยู่ในลำธาร ส่วนที่หนึ่ง ที่เกิดจากสิ่งแวดล้อม คือกระแสน้ำในลำธารที่ไหลมาจากทางเหนือ จะเจือปนสิ่งใด เช่น โคลนตม ใบไม้ น้ำกรด หรือน้ำฝน ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำย่อมมีความเป็นอยู่ที่แตกต่าง นี่คือ การกำหนดอายุตามวัย กระแสน้ำคือการแปรเปลี่ยนไปของธาตุ ไม่ว่าจะเป็นธาตุในจักรวาลหรือ ธรณี พวก ทักษาจร เทวดาเสวยอายุ นักษัตร จะบอกธรรมชาติแวดล้อมนี้ ซึ่งมีผลต่อชีวิตในแต่ละช่วง แต่ละขณะ

ส่วนที่สองคือความเป็นไปของชีวิตที่เกิดจากคุณสมบัติแรกเริ่มเมื่อเราเกิดมา เช่น ดวงเดิม จะบอกวงรอบของปัจจัยต่างๆในดวงชะตาเอง เช่นชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก ทำงาน แต่งงาน มีบุตร แก่ แล้วตาย แต่ละช่วงของชีวิตจะเหมือนกรรมเดิมที่มาแสดงผลทั้งหมด ดังนั้น วงรอบธรรมชาติ ก็จะมาจาก พวก ชันษาจร ลัคนาจร ตรีวัย กาลจักร – ลัคน์จร และดาวจร ส่วนที่สาม คือ ส่วนที่เกิดจากกรรมใหม่ จะเกิดจาก ดาวจรที่มาสัมผัสกับดาวเดิม กระตุ้นให้มีการก่อกรรม ทั้งที่เป็นไปตามแนวโน้มของดาวเดิม หรือ บิดเบือน สร้างดวงจรขึ้นใหม่ (คือการเกิดใหม่ของวัฏจักรย่อย)

ทั้งสามส่วนนี้ ควรจะต้องพิจารณาไปด้วยกัน ไม่มีอะไรสำคัญที่สุด แต่เราจะพบว่า เรื่องใดก็ตามที่แสดงผลตรงกันทั้งสามส่วน เหตุการณ์นั้นจะบังเกิดแน่นอน แต่หากมีการขัดกัน ส่วนที่เกิดจากกรรมใหม่คือส่วนที่สามจะแสดงผลก่อนเป็นช่วงสั้น แล้วอีกสองส่วนจะแสดงผลตามมา ทำให้ นักโหราศาสตร์บางท่าน จะจับดาวจรก่อนส่วนอื่น เพราะมีผลต่อการทำนายได้ถูกตรงเวลา ส่วนอีกสองส่วนนั้น หากเนิ่นช้าไป อาจทำให้ถูกเหตุการณ์อื่น แปรเปลี่ยนไปจนไม่เห็นผลตามเวลาได้ แต่มันจะเคลื่อนไหวเป็นแบ้คกราวน์หลังฉากเป็นแนวโน้มระยะกลางหรือระยะยาวแทน ดังนั้น เราจึงอาจพบว่า แม้ดวงใครกำลังตกต่ำอยู่ เขาก็มีสิทธิ์ได้โชคลาภใหญ่ได้เหมือนกัน ดังนั้น เราจึงต้องเข้าใจธรรมชาติทั้งสามส่วนนี้ ในการพิจารณาวงรอบธรรมชาติที่นำมาใช้พยากรณ์ชะตาชีวิตให้ดีๆ โดยเฉพาะโหราศาสตร์ไทย การทำนายในรายละเอียดในแต่ละเทคนิคเป็นเรื่องยากที่จะเอามาเขียนในที่นี้ได้ ต้องศึกษาเองครับ โดยส่วนตัวผมไม่ได้ใช้วิธีเหล่านี้ แต่ใช้วิธีทางโครงสร้างธาตุ แหล่งธาตุ พลังงานธาตุ เพราะการใช้เทคนิคใด ต้องสอดคล้องกับวิธีดูดวงชะตา และไม่ใช้เทคนิคปนกันโดยพละการ เช่น พิจารณาชันษาจร แล้วเอาทักษาจรเข้าไปจับ ซึ่งจะใช้ไม่ได้ เพราะเป็นคนละวงจรกัน


วรกุล - 22 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:18น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
วันนี้จะลองเขียนเรื่องลึกลับที่เชื่อได้ยากดูสักที พวกเรามีใครเคยรู้เรื่องการส่งโทรจิต หรือ การสื่อสารทางจิตมาบ้างหรือไม่ ประมาณว่า สาวคนหนึ่งไปอยู่ต่างประเทศ ออกไปเที่ยวกับเพื่อน พอดีเกิดเหตุร้ายมีอุบัติเหตุอย่างหนักถึงสลบแล้วถูกส่งไปโรงพยาบาลกำลังเป็นตายเท่ากัน บิดาของเธออยู่ที่บ้านในเมืองไทย เกิดความสังหรณ์ใจ ติดต่อกลับไปก็รู้ว่าเกิดเหตุร้ายขึ้น กรณีเช่นนี้ เราเคยได้ยินบ้างไหม หรือ กรณีฝาแฝด หรือพี่น้อง หรือ สามีภรรยาที่ผูกพันรักใคร่กันมาก พอคนหนึ่งเดือดร้อน อีกคนก็รู้ได้เหมือนใครมาบอก หรือไม่ก็ฝันร้ายเหมือนจริง เหตุการณ์นี้ บางคนก็เคยเกิดขึ้นกับตัวเองใช่ไหม

พวกเราหลายคนเคยอ่านหนังสือ หรือ ฟังคนทั่วไป ถึงเรื่องการส่งกระแสจิต ทำให้เกิดภาพพจน์ว่า จิต หรือ สิ่งที่จิตผลิตออกมาได้นั้น เป็นกระแสสิ่งอะไรสักอย่างที่ส่งไปได้ ผ่านสื่อกลาง (media) ทำนองคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นวิทยุ คลื่นเสียง หรือ แสงอะไรแบบนั้น คือ เคลื่อนจากแหล่งกำเนิด ไปยังจุดหมายที่มีเครื่องรับ หากใจของผู้รับรับกระแสจิตได้ ก็อาจจะแปลเป็นข้อมูลได้ อย่างนั้นใช่ไหม นี่เป็นความเข้าใจผิดที่เกิดจากผู้ที่ไม่รู้ เผยแพร่ และ สร้างจินตนาการทั้งในหนังสือ และ ภาพยนตร์ มานานแล้ว จนมาถึงแม้คนที่ปฏิบัติทางจิตอยู่บางคน เชื่อว่าการสอนเพ่งอะไรต่ออะไร โดยสร้างภาพในจิต(สมอง)ที่มีกระแสจิตส่งไป จะสามารถทำอะไรได้ แล้วก็พบว่าไม่สำเร็จสักที นอกจากคิดอุปาทานไปเองว่าใช้ได้ผล คนที่เรียนอย่างชนิดเป็นหลักวิชา จะรู้เรื่องนี้ดี ว่ามีอะไรผิด ผิดอย่างไร แต่ความเข้าใจเรื่องจิตนั้น รายละเอียดก็แตกต่างกันอยู่มากระหว่างวิชาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ทางไสยศาสตร์ ทางโหราศาสตร์ และทางพุทธธรรม

โหราศาสตร์อธิบายได้ จากความคิดที่ว่า ธาตุทั้งหลาย เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน โดยเป็นองค์รวม หมายความว่า เมื่อมีความเปลี่ยนแปลงต่อส่วนใดส่วนหนึ่งของธาตุเดียวกัน ธาตุเหล่านั้น ไม่ว่าอยู่ในส่วนใดของอวกาศหรือกาล ก็จะมีความเปลี่ยนแปลงทำนองเดียวกัน ในสภาวะที่มันดำรงอยู่ ธาตุในกายเราที่มองเห็นและในชีวิตเราที่มองไม่เห็น เป็นส่วนหนึ่งของธาตุที่เป็นองค์รวมในธรรมชาติ เมื่อใด ธาตุเหล่านี้ถูกรบกวน ด้วยปฏิกิริยาจากสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ผลมันจะเป็นทำนองเดียวกันไปยังธาตุที่เหมือนกันทั่วทั้งจักรวาล เช่น สมมุติ ดาวพุธในจักรวาล หากถูกรบกวนด้วย เงาของราหูเป็นแนวพาดผ่าน ธาตุของดาวพุธ จะถูกกระทบ ให้เกิดความปั่นป่วนเปลี่ยนแปลง และสถานะทางระบบธาตุนี้ จะเกิดขึ้นเหมือนกันกับธาตุพุธที่อยู่ตามที่ต่างๆทุกหนแห่ง หากคุณมีธาตุพุธ เป็น เจ้าเรือนพันธุ ในดวงชะตา ทั้งเจ้าเรือนและเรือนพันธุ ของคุณ รวมทั้งธาตุน้ำในกายคุณ จึงเกิดมีปฏิกริยาเหมือนถูกราหูกระทบถึงไปด้วย แต่ต้องย้ำว่ากรณีนี้ ไม่ใช่ดวงดาวมามีอิทธิพลต่อธรรมชาติส่วนอื่น แต่เป็นเพราะธรรมชาติทุกส่วน มีความเป็นไปเหมือนกัน ซึ่งจะเห็นได้จากดวงดาวเท่านั้น

ในดวงชะตาของผู้ที่เกี่ยวข้องโดยใกล้ชิด เช่น บิดา มารดา และบุตร พี่น้อง และคู่ครอง จะมีโครงสร้างดาว และ ธาตุบางส่วนเหมือนกัน ดังนั้น ในเหตุสมมุติของเรา หากดาวพุธในดวงชะตาทำงาน และเป็นต้นเรื่องของเหตุร้ายในเรื่องที่เล่าตอนต้น บุคคลเหล่านี้ ก็จะรู้สึกถึงเหตุร้ายนั้นได้พร้อมกันหมด เพียงแต่ผลแต่ละดวงชะตานั้น ไม่เท่ากัน ดังนั้น บางคนจึงเกิดเรื่องขึ้นจริง บางคนจึงเป็นเรื่องที่รบกวนความรู้สึก หรือ มีปฏิกิริยาทางรูปธรรมเพียงเล็กน้อย เช่น ภรรยาพบกระจกตกลงมาแตก ในขณะที่สามีรถคว่ำเสียชีวิต เป็นต้น ดูเผินๆแล้วก็เหมือนมีการสื่อสาร จากดวงชะตาหนึ่งไปยังอีกดวงชะตาหนึ่ง แต่โหราศาสตร์เองรู้ว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากธาตุที่เป็นองค์รวม ผ่านทางโครงสร้างดาว เกิดขึ้นแก่บุคคลแต่ละคน โดยที่ดาวอื่นมีส่วนในการปรุงแต่งให้เกิดเรื่องราวเฉพาะบุคคลที่มีโครงสร้างดาวคล้ายกัน ไม่ใช่ทุกคนที่ต่างมีธาตุพุธเหมือนกัน

แต่มีดวงชะตาบุคคลพิเศษบางพวก ที่ไม่ได้เป็นญาติพี่น้อง แต่กลับรับรู้ได้ถึงเหตุการณ์ทางธาตุที่เกี่ยวกับบุคคลอื่นทั่วไป เช่น ที่เราเข้าใจว่าเขามีญาณหยั่งรู้นั้น ไม่ใช่เป็นญาณหยั่งรู้ทางธรรม แต่เป็นคุณสมบัติทางโครงสร้างธาตุและดาวทางดวงชะตาที่สามารถรับปฏิกริยา ของธาตุในโครงสร้างอื่นได้ พูดง่ายๆก็คือว่า เขารับรู้ชะตากรรมของผู้อื่นได้ ผ่านทางคุณสมบัติพิเศษในดวงชะตาของเขาเอง ดังนั้น เราจึงมักพบคุณสมบัติเช่นนี้ในพวกนักพยากรณ์ (ไม่ใช่นักโหราศาสตร์เสมอไป) ซึ่งสามารถพยากรณ์ได้แม่นยำ จะคล้ายกับมีผีบอกทีเดียว โดยอาจจะเห็นเหตุการณ์ผ่านมโนภาพได้ เท่ากับ พวกที่เรียนทางไสยศาสตร์ เหตุที่ไม่เรียกว่าเขามีญาณหยั่งรู้ทางธรรม เพราะผู้ปฏิบัติธรรม จะอาศัยคุณสมบัติพิเศษทางอื่นของจิตที่ฝึกแล้ว ที่เป็นคนละเรื่องกับโครงสร้างทางธาตุนี้ และคนที่เป็นนักพยากรณ์ดังกล่าวอาจจะเป็นคนทุศีล เลวทรามอย่างใดก็ได้

พวกเราทั่วไปทุกคนเอง บางคนอาจระลึกได้ ว่าช่วงอายุวัยรุ่น เราบางคนดูเหมือนมีอะไรแปลกๆ บางครั้งก็ไปรู้โน่นรู้นี่จนน่าแปลกใจ ชนิดเดาใจครูบาอาจารย์ หรือ เพื่อนฝูงได้ ที่เกิดรุนแรงมากจนรู้เป็นเสียงความคิดในใจของผู้อื่นก็มี หรือ เคยเห็นสถานที่บางแห่งคุ้นๆ เหมือนกับเคยไปมาแล้วในอดีต แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วเราเพิ่งเคยไปเป็นครั้งแรก แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และบางคนมีคุณสมบัติเช่นนี้จนอายุยี่สิบปีเศษ โดยที่ไม่ได้มีดวงชะตาเช่นนักพยากรณ์ที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งพวกนั้นอาจมีญาณหยั่งรู้นานกว่านี้ เรื่องนี้เป็นผลของการจัดระบบธาตุที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน ทำให้โครงสร้างธาตุ เพียงแปรเปลี่ยนผ่านรูปแบบสถานะที่เหมือนญาณหยั่งรู้ แต่เป็นไปแบบชั่วคราว และจะเกิดขึ้นได้เรื่อยๆในจังหวะดาวจร หลายช่วงของชีวิต ซึ่งอาจแสดงออกบ่อยๆด้วยการฝันแม่น หรือ สังหรณ์แม่นในบางคนนั่นเอง


วรกุล - 23 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:12น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27
กราบสวัสดีค่ะท่านอาจารย์วรกุล

วันนี้ไม่มีคำถามค่ะ ตั้งใจแต่จะกราบสวัสดีอาจารย์ค่ะ หวังว่าท่านคงสบายดีนะคะ


เอวิตรา - 23 สิงหาคม พ.ศ.2548 16:54น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
สวัสดีครับอ่านบทความล่าสุดเกี่ยวกับเรื่อง "จิต" น่าสนใจมากครับเผอิญอาจารย์พูดอ้างอิงไปถึง ช่วง "วัยรุ่น" ผมเลยพลันเกิดคำถามต่อครับว่าจริงๆแล้ว วัย "เบญจเพศ" ที่เค้าว่าจะไม่ค่อยดีกับตัวเราเนี่ย ในเชิงโหราศาสตร์สามารถอธิบายเรื่องนี้ได้หรือไม่ครับ เกี่ยวกับเรื่องการจัดระบบธาตุอย่างที่อาจารย์ว่าหรือเปล่าครับ หรือจริงๆแล้วมันก็เป็นแค่ "เหตุการณ์" ธรรมดาที่สามารถเกิดได้เสมอๆ เผอิญมันดันมาเกิดในช่วงนี้ ประกอบกับคำว่า "เบญจเพศ" มันฝังใจคนไทยอยู่แล้วครับ (ทางวิทยาศาสตร์สามาะถอธิบายได้ว่า สิ่งที่ถูกปลูกฝังกันมา มันจะถูก "ฝัง" อยู่ในยีนของเราแต่เกิดด้วย) เราเลยมีแนวโน้มที่จะ "เชื่อ" ว่ามันมีจริงๆ ทั้งที่จริงๆแล้ว มันอาจจะไม่มีอยู่จริง


โกวเล้ง - 23 สิงหาคม พ.ศ.2548 21:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
เรียน อ.วรกุล

ธาตุในธรณี และธาตุในจักรวาล รบกวนเขียนอธิบายอีกครั้งครับ ขอเพิ่มคำอธิบายเป็นเชิงเปรียบเทียบ

สถานที่ที่เกิดเหตุการณ์ เช่น อุบัติเหตุสามีรถคว่ำข้างทาง กับ กระจกแตกที่บ้าน ตำแหน่งทั้งสอง จะวาง ธาตุ ตามทิศทั้ง ๘ อย่างไรครับ ธาตุจะคงที่ตามทิศหรือไม่หรือ ธาตุแต่ละทิศก็เปลี่ยนไปตามสถานที่ และขอถามเพิ่มเจาะจงดังนี้นะครับ

1.) สถานที่นี้ ใช่ที่เรียกว่า ภูมิ หรือเปล่าครับ

2.) ทิศทั้ง ๘ มี พื้นฐานการวาง ธาตุ และดาว ไว้ อย่างไรครับ จะเหมือนทักษาคู่ธาตุหรือไม่ครับ เช่น ให้ จันท์เป็นธาตุดิน วางไว้ทิศตะวันออกครับ ขอทราบคำอธิบายในการวาง ทางตรรก ครับ

3.) ธาตุที่อยู่ใน แต่ละ สถานที่ ตำแหน่ง บนผิวโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไรครับ.... ตามการหมุนของโลก หรือ จากธาตุดาว หรือ ทั้งหมด หรือ มีอื่นๆ ประกอบอีก เช่น จาก คคห. 26 ในตัวอย่างประกอบ เรื่องดาวพุธ (ไม่ทราบว่าผมเข้าใจถูกหรือไม่)

เมื่อ พุธในตัวเรา สอดคล้องกับ พุธในสภาพแวดล้อมสถานที่อยู่ขณะนั้น เมื่อเกิด ราหู มาสัมพันธ์ถึง สิ่งหนึ่งก็จะเกิดกับตัวเราพร้อมสถานที่ด้วย

และยิ่งกว่านั้น พุธในตัวเรานั้นยังมี ความสัมพันธ์ใกล้เคียงกับคนที่เรารู้จัก ใกล้ชิด หากบุคคลนั้นอยู่ในสถานที่หนึ่งที่เหมาะสม ในตำแหน่งพุธในสภาพแวดล้อมของเขา ที่สอดคล้องกับ สภาพแวดล้อมที่เราอยู่

เหตุการณ์คล้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับเราก็เลยบังเกิดกับบุคคลผู้นั้น เพียงแต่ต่าง กรรม หนัก-เบา ต่างกัน

4.) ขอเพิ่มอีกข้อครับ เป็นไปได้หรือไม่ครับว่า หากวาง ธาตุในทิศทั้ง ๘ แล้ว ก็เหมือนกับการบอก ละติจูดและลองจิจูด เพียงแต่อาจมี หลัก (แบบโบราณ) ในการอธิบายตำแหน่ง คนละแบบเท่านั้นเอง

ขอบคุณครับ


หนูน้อย - 24 สิงหาคม พ.ศ.2548 08:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบ 28 คุณโกวเล้ง...........ว่าจะเขียนเรื่องนี้คราวก่อน แต่เห็นว่ายาวไปเลยตัดออกเสีย เพราะหากเขียนเต็มๆจะเป็นเรื่องยาวขนาดบทความได้หลายตอน ผมเลยงดเอาไว้ก่อน จึงจะอธิบายโดยสังเขปนะครับ คำว่า “เบญจเพส” ควรสะกดด้วย ส.เสือครับ มาจากคำว่า “เบญจะ ปัญจะ” คือ ห้า กับคำว่า “วีส วีสะ หรือ วีสติ”คือ ยี่สิบ รวมแล้วหมายถึง ยี่สิบห้า ความจริงแล้ว ที่โบราณเชื่อว่า อายุเบญจเพส คืออายุย่าง 25 ปีนั้น เป็นความเห็นที่ถูกบางส่วน แต่วัยเบญจเพสที่บอกกันมาไม่ใคร่จะตรงกัน

หมอดูหลายคน มักคุ้นเคยกับคำว่าเบญจเพส และ บางคนที่คุ้นกับธรรมเนียมไทยโบราณ จะจำสับสนกัน หมอดูรุ่นเก่าบางคนจึงบอกว่า เบญจเพส นั้นคือ อายุ 25 35 45 55 65 75.........ที่ลงท้ายด้วยเลข 5 ทั้งหมด ที่นับจาก 25 ใครมีอายุเป็นเบญจเพส จึงไม่ใคร่จะดี ยมบาลท่านจะตรวจเช็คกรรมดี กรรมเลวที่กระทำในรอบที่ผ่านมาว่าจะให้ขึ้นอายุใหม่คือ 26 36 46 ......ไปหรือไม่ บางคนก็สอบผ่าน บางคนก็สอบไม่ผ่าน ที่สอบผ่านก็อาจจะให้ใช้กรรมบางส่วน ดังนั้น คนโบราณจึงไม่อยากให้ใครทำอะไรในช่วงเบญจเพส เพราะกำลังดวงไม่ดี ง่อนแง่น เหมือนคนกำลังถูกตรวจสอบ ดูหนังสือมาดี พอดีพอร้ายไปทำผิดศีลธรรมเข้าโดยไม่ตั้งใจ อาจถูกปรับให้สอบตกก็ได้ คตินี้ดูน่าหัวเราะ แต่อย่าลบหลู่นะครับ เพราะที่มาของคตินี้ไม่ใช่โหราศาสตร์ โหราศาสตร์นั้นกลับ ถือ เรื่อง อายุเบญจเพส หรือ วัยเบญจเพส หรือ พูดแบบสมัยใหม่ต้องว่า อนุกรมเบญจเพส คือ อายุย่าง 13 25 37 49 61...........บวกด้วย 12 ไปเรื่อยๆ ที่มาของอนุกรมชุดนี้คือ วงรอบธรรมชาติของธาตุที่เกิดจากดวงอาทิตย์ และ พฤหัส นั่นเอง

เมื่อเราเกิดมานั้น โครงสร้างธาตุในดวงชะตาเดิม (ดวงกำเนิด) จะเป็นแบบพิมพ์เขียวอย่างหนึ่งที่กำหนดความเป็นไปของธาตุเอาไว้ ดวงดาวต่างๆมีหน้าที่ส่งธาตุลงมาประจุให้เต็มตามตำแหน่งที่ดวงเดิมระบุ ซึ่งกว่าจะรับเต็มได้ ต้องใช้เวลาถึง 60 ปี ระหว่างที่ธาตุยังไม่เต็มนี้ คนเราจะได้รับธาตุส่วนมากจากธรณี เพราะเราอยู่บนโลก และโลกก็หมุนเวียนธาตุมานานแล้วก่อนเราเกิด ธาตุในธรณีกับธาตุในจักรวาลจะมีเสป็คต่างกันอยู่บ้าง คล้ายกับ วัตถุดิบในประเทศ กับ วัตถุดิบนอกประเทศอย่างนั้นแหละ ธาตุในธรณีเป็นธาตุที่เรานำมาใช้ในดวงชะตาได้ ก่อนที่จะได้รับธาตุจากจักรวาล ทีนี้เป็นอันตัดคำถามที่ว่า หากธาตุยังไม่เต็มก่อนอายุ 60 ปี แล้วเราไม่ตายก่อนหรือ

ธาตุในธรณี ที่มักนำมาใช้ในวิชาธาตุ คือพวก มหาทักษา อังควิชาธาตุ วีสตรี หรือ บางวิชาจะมี อนุกรมธาตุบางอย่างที่ปกปิดกันอยู่ ดังนั้น เราจึงพบว่า เรามักทายดวงเดิมแม่นหน่อย เช่น หากใช้ทักษาเดิม เพราะมาจากธาตุในธรณี ธาตุที่เข้ามาจัดตัวในดวงชะตาจะถูกเติมเต็มเข้ามาโดยเกษตรธาตุ และธาตุดาวจากจักรวาล ซึ่งต้นตอก็มาจาก ดวงอาทิตย์นั่นเอง ดวงอาทิตย์โคจรปีละ 12 ราศี จะให้ธาตุลงมาป้อนดวงชะตา ในหนึ่งปี แต่ที่สำคัญ คือ พฤหัส เพราะพฤหัส รับทั้งธาตุจากอาทิตย์ และยัง สะสมธาตุจากดาวฤกษ์ด้วย ดังนั้น จึงมีโหราศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากพฤหัสมากหลายระบบ พฤหัสนี่เอง ที่โคจรปีละ หนึ่งราศี รวม 12 ปีจะครบจักรราศี 5 รอบจักรราศี เป็นหนึ่งพฤหัสจักร หรือ หนึ่งยุคพฤหัส 60 ปี

ดังนั้น รอบจักรราศี 12 ปีจึงมีความสำคัญต่อระบบธาตุ เมื่อคนเราเกิดมา ในรอบ 12 ปีแรก ธาตุดาวหลายอย่างยังลงมาจากจักรวาลได้ไม่ครบ ต้องยืมธาตุในธรณีใช้ไปก่อน เมื่อครบรอบ 12 ปี แล้วขึ้นรอบธาตุต่อไป คือ อายุ 13 ปี ระบบธาตุจะมีการจัดตัว เพื่อรับธาตุในรอบใหม่อีกครั้ง เลข 13 ซึ่งหลายชาติถือเป็นเลข ไม่ดี นั้น จึงเป็นเลขที่มีมานานก่อนสมัยคริสตกาลเสียอีก ดังนั้น อายุเบญจเพสจึง เป็นเลข 13 แต่ว่า ตอนอายุ 13 ปีนี้ ในเมื่อธาตุในจักรวาลเองก็ยังลงมาเป็นส่วนน้อย จึงไม่ใคร่จะเป็นปัญหามากนัก พูดง่ายๆ เหมือนกับย้ายบ้านใหม่ยังรกๆอยู่ ธาตุมักปรับตัวอยู่แล้ว และอารมณ์ เด็กจะเข้าวัยรุ่น ทำให้เพี้ยนๆไปบ้าง ก็ไม่ผิดสังเกตุ แต่พอครบรอบ 24 ปี ธาตุในจักรวาลจะส่ง พลังงานธาตุ มาให้ครบก่อนแล้ว เมื่อเริ่มอายุ 25 ปี เกิดการจัดระบบธาตุรอบใหม่ จึงทำให้ป่วนรุนแรง นี่คือวัย เบญจเพส 25 ปีที่ทุกคนมักสังเกตเห็น และแรงที่สุดในอนุกรมอายุ เบญจเพส เพราะเป็นการจัดใหญ่ครั้งแรกในชีวิต มีผลต่อชีวิต ร่างกาย และจิตใจหลายประการ ส่วนเบญจเพสอื่นที่ตามมานั้น แม้จะมีการจัดระบบธาตุ ก็จะไม่รุนแรงเท่า เพราะ ธาตุมีการจัดระบบเป็นระยะๆ ไปตลอดอยู่แล้ว แล้วจะมาจบ ตอนอายุ 61 เพราะเป็นการครบรอบพฤหัสจักร หรือ ยุคพฤหัส จะขึ้นรอบธาตุดาวฤกษ์ใหม่อีกครั้ง คนเขาจึงถือโอกาสจัดแซยิด ตอนอายุ เต็ม 60 ขึ้น อายุ 61 ถือเป็นเคล็ดการเกิดใหม่ ป้องกันความไม่ดีไปด้วยเหมือนกับตายแล้ว

อายุ เบญจเพส จึงเป็น 13 25 37 49 61.......ไปเรื่อย ระหว่างอายุเบญจเพส 25 ปี เมื่อธาตุจัดตัวนั้น โครงสร้างธาตุจะแปรโครงสร้าง จากโครงสร้างหนึ่ง ไปยังอีกโครงสร้างหนึ่ง โดยรวดเร็วกว่าวัยเบญจเพสอื่น เนื่องจาก พลังงานธาตุเพิ่งประจุเต็ม เหมือนเพิ่งชาร์จไฟจบใหม่ๆ การเปลี่ยนโครงสร้าง จะสมมุติว่า เดิมเปลี่ยนจาก a ไปเป็น f นั้น จะต้องผ่านโครงสร้าง b c d e ดังนั้น หากในดวงชะตา มีรูปที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนโครงสร้าง คือ b c d e ัอันใดก็ตาม อันนี้จะไม่ปรากฏโดยตรงในดวงชะตาเดิม จึงปรากฏเรื่อง ดี หรือ ไม่ดี โดยที่ดูดวงตรงๆไม่ออก ต้องคนที่เข้าใจวิธีจึงจะรู้ แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องไม่ดี เพราะการจัดธาตุทำให้พลังงานและธาตุแปรปรวน แต่ก็มีที่ถูกรางวัลที่หนึ่งได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นในดวงชะตา

นี่เองจึงเป็นปัญหาของวัยเบญจเพส ทำให้ต้องระวัง เพราะช่วงนั้นเหมือนเป็นการต่อเชือกในกระแสน้ำเชี่ยว ทำให้การระวังป้องกันของชะตาอ่อนกำลังลง ในทุกวัยของอนุกรม เบญจเพส ระบบธาตุ เมื่อถูกป่วน อาจทำให้มีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้น แต่คนส่วนมากไม่รู้ว่า แม้ไม่ใช่วัยเบญจเพส หากมีปฏิกิริยาต่อโครงสร้างธาตุอย่างรุนแรง ก็จะมีเหตุใหญ่เกิดขึ้นได้ ซึ่งต้องพิจารณาในการทำนายจรทั่วไป ต่างกันที่ว่า วัยเบญจเพสนั้น มีการป่วนได้เอง โดยไม่เกี่ยวกับดาวจรเลย เพราะเป็นเหตุที่เกิดตามธรรมชาติอยู่แล้ว ถือเป็นจุดสำคัญในวงรอบธรรมชาติอย่างหนึ่ง เวลานับตำแหน่งในดวงชะตาครบหนึ่งรอบ มักจะทดกระโดดข้ามไปหนึ่งราศี เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้น การดูดวงที่อยู่ในเบญจเพส จึงมักทายยาก ส่วนมากมักเตือนกันไม่ให้ทำอะไรหวือหวา หรือ ทำอะไรที่สำคัญ เช่น แต่งงาน คล้ายกับว่าในขณะนั้นดวงชะตาถูกดัดแปลงไป เพราะโครงสร้างธาตุกำลังอยู่ในระหว่างจัดตัวใหม่ เหมือนกลายเป็นอีกดวงชะตาหนึ่ง แต่ถ้าได้ข้อมูลของวัยเบญจเพสนี้มาละเอียดหน่อย จะมีประโยชน์มากในการเข้าใจดวงชะตา และการสร้างวิชาโหราศาสตร์ เพราะการเปลี่ยนโครงสร้างนั้น แสดงความเป็นไปจริงๆตามธรรมชาติ เหมือนกับเราทำการวิจัยดวงอาทิตย์ ในขณะที่มีจุดดับธรรมชาติในดวงอาทิตย์เกิดขึ้น อะไรทำนองนั้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 29 คุณหนูน้อย.........ธาตุในธรณี หมายถึงธาตุที่อยู่บนโลกทั้งหมด ธาตุในจักรวาล หมายถึงธาตุที่อยู่ในจักรวาล นอกจากนี้ ยังมีธาตุอยู่ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งอยู่รอบโลก รวมทั้งดาวจันทร์ที่โคจรรอบโลกด้วย คำว่า ธาตุ เป็น “บัญญัติ” บัญญัติ ไม่ใช่รูปธรรมหรือ นามธรรม แต่เป็นสิ่งสมมุติ หมายเอา ว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ พวกใดพวกหนึ่ง ธาตุต่างๆเช่น ธาตุพุธ ธาตุศุกร์ อะไรเหล่านี้ ก็ยังเป็นบัญญัติที่แสดงคุณสมบัติเป็นรูปธรรมและนามธรรมได้ เช่น ธาตุศุกร์ หมายถึงความรัก ในตัวคุณก็มีธาตุศุกร์ และก็มีความรัก แต่หากมีใครถามคุณว่า “ความรัก อยู่ทางทิศไหนครับ” แสดงว่ามีความไม่เข้าใจบัญญัติ และ นามธรรม

อย่าไปติดทิศทั้ง 8 อย่างในหนังสือโลกธาตุ เขารู้ว่ามีคนที่นึกถึงนามธรรม และบัญญัติไม่ออก แต่ก็มาเรียนโหรด้วย จึงต้องแสดงเป็นรูปธรรมไว้ อย่างเช่นทิศ และ เทวดา ต้องเปรียบเทียบ เช่น ราหูนั้น พระอินทร์ท่านสร้างจากผีโขมด 12 ตัว ขืนเราเชื่อตามนั้น แสดงว่าเราเรียนโหราศาสตร์ไม่พ้นชั้นต้น เรื่องภูมิ และทิศก็เหมือนกัน เขาพยายามเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรม เราต้องตีความกลับไปสู่บัญญัติ จึงจะเข้าถึงวิชาโหราศาสตร์ได้ ดวงจันทร์จะเป็นธาตุดินได้อย่างไร อังคารจะกลายเป็นธาตุลมได้อย่างไร ยานสำรวจอวกาศเพิ่งไปลง เห็นอยู่ทนโท่ ถ้าเรายังนึกถึงบัญญัติไม่ออก เราจะมีปัญหาไม่ว่าจะเรียนวิทยาศาสตร์ หรือ โหราศาสตร์ ก็ตาม ทิศในทักษาเป็นสิ่งเปรียบเทียบสัมพัทธ์ ภพคือระบบ ภูมิคือระดับ สิ่งเหล่านี้เป็น บัญญัติของสถานะธาตุ ที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมได้ เท่านั้น ดังนั้น บทความของผม ก็อ่านเล่นไปสนุกๆก็แล้วกัน อันไหนอ่านแล้วพอฟังได้ ก็ลองฟังดู อย่าไปตีความอะไรมาก ผมพยายามเขียนแล้ว แต่อาจจะอธิบายไม่เป็นเองก็ได้


วรกุล - 25 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:15น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียน อ.วรกุล

อ. วรกุลเขียนดีแล้วครับ แต่ผมเองอ่านแล้วยังคลำหาจุดไม่ได้ และยังเลอะเลือนอีกด้วย

ผมพยายามอ่านบทความของ อ.วรกุล แล้วเชื่อมโยงกับบทความแรกๆ แต่ตอนนี้ยอมรับว่า ยังไม่สามารถอ่านทวนได้จบในรอบเดียวได้ เพราะใช้เวลาอ่านนานมาก แต่อย่างไรก็ดี หากความเข้าใจที่ได้รับใหม่ และความเข้าใจเดิมที่ได้รับ สอดคล้องสอดรับกันเป็นอย่างดี ก็ว่าน่าจะเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง

เรื่องทิศทั้ง ๘ นั้น ผมเพียงยกขึ้นมาเฉยๆ ครับเพียงเพื่อที่ผมจะกล่าวถึงสถานที่ตำแหน่ง บนโลกเท่านั้นเองครับ

คำว่า บัญญัติ หรือการสมมติ รวมถึงเรื่องมหาภูตรูป ๔ ตัวผมเองก็ยังไม่แจ่มชัดนัก แต่หากอธิบายตามความเข้าใจผมตอนนี้ ก็อาจอธิบายว่า สิ่งใดๆ ก็ตามแท้จริงแล้วประกอบขึ้นด้วยเพียง รูป-นาม เพียง ๒ อย่างนี้ เท่านั้น เมื่อเอ่ยถึง รูป เราก็อาจจะบอกได้ว่าต้องประกอบด้วย ธาตุทั้ง ๔ คือ เตโช วาโย อาโป ปฐวี แต่เราไม่อาจไปแปลตรงๆ ได้ ว่า ไฟ ลม น้ำ ดิน เพราะเราต้องกำหนดบางสิ่ง (คุณสมบัติ, คุณลักษณะ, อาการ) ในการอธิบาย เช่น หากเราจะพิจารณาว่า น้ำ ที่เราดื่มกินนี้ประกอบจากธาตุอะไร เราก็ควรตอบว่า น้ำนี้ประกอบเป็น "รูป" ที่เราเห็นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยที่ น้ำนี้ ร้อนหรือเย็นในที่นี้คือการพิจารณาอุณหภูมินั่นคือ เตโชธาตุ ของน้ำ, น้ำนี้หยุดนิ่งหรือไม่หยุดนิ่ง ไหลวนหรือไหลไป ก็รวมเรียกการไหวตัวของการเคลื่อนว่า วาโยธาตุ ของน้ำ, แล้วน้ำเกาะกุมอยู่รวมกันในภาชนะโดยไม่กระจายหรือหากเรามองน้ำเป็นน้ำแข็งก็เป็นเหมือนกาว การเกาะกุมรวมตัวกันเป็นลักษณะแห่ง อาโปธาตุของน้ำ และท้ายสุดคือ ปฐวีธาตุหรือที่เราบอกว่าธาตุดินก็คือ การที่เราจับต้องได้เป็นเนื้อเป็นหนัง แต่ผมเหมือนได้อ่านว่า น้ำที่เราดื่มนี้ เราอาจจะสัมผัสไม่ได้ตรงๆ ด้วยเพราะร่างกายเราก็เป็นมี อาโปธาตุ อาจจะวัด จับต้องแล้วกล่าวว่าเป็นเนื้อเป็นหนังไม่ได้ แต่อย่างไรก็ดีการรู้สึก สัมผัสได้ นุ่ม อ่อน เหลว แข็ง ก็จะเป็นปฐวีธาตุของวัตถุนั่นเอง

เหล่านี้คงเป็น บัญญัติ คือ สมมุติเอา ขึ้นกับว่าเราจะเลือกอย่างไร คือ เราอาจจะกล่าวได้ว่าน้ำประกอบด้วย ธาตุน้ำอย่างเดียวก็ได้หากเรามองแบบ สสารวัตถุ

ดังนั้นกับเรื่องดวงจันทร์จะเป็นธาตุดินได้อย่างไร คงเป็นเพราะจันทร์มีลักษณาการในความหมายที่เป็นเนื้อเป็นหนังจับต้องได้…???( หรือว่าจะแปล จับเหตุ เป็นเรื่องเป็นราว แสดงผลได้ ตรงๆ ดีครับ) ผมว่าก็ไม่เข้ากันอยู่ดีกระมังอันนี้คงขึ้นกับปรัชญาที่รองรับทางทักษากระมังครับ ว่าบัญญัติ จันทร์ ให้ทำหน้าที่อะไร

อนึ่งที่ผมเขียนถึง อ.วรกุล ในเรื่องทิศทั้ง ๘ นั้น คือ ผมลองเปรียบดูว่า โลก เรานี้ก็เป็น "รูป" ก็ย่อมต้องประกอบด้วย ธาตุทั้ง ๔ ด้วยเช่นกัน และหากมีการวาง ตำแหน่ง ทิศ ทาง ที่สอดคล้อง กับภูมิศาตร์บนโลกด้วย(ลักษณาการ)ธาตุ สมมติบัญญัติ ให้แต่ละทิศครองด้วยธาตุหนึ่งในเวลาหนึ่ง นั่นก็คือ การอธิบาย กำหนด พื้นที่โลกส่วนหนึ่ง หรือบริเวณที่เราพิจารณาสนใจ ณ. จุดหนึ่ง พอโลกหมุนรับแสงอาทิตย์มากน้อยต่างกันตามเวลาซึ่งอาจจะทำให้ธาตุเดิมเปลี่ยนไป อันนี้เองจะ เป็น กาละ-เทศะ กระมังครับ

ที่ผมคิดนี้ไม่ได้คิดเองทั้งหมด แต่อ่านมาแล้วบ้าง สังเกต เลียนแบบบ้าง อย่างไรก็ดี ผมก็ยังไม่มีหลักยึด และเมื่อกล่าวถึงสิ่งที่ผมพยายามเข้าใจลำดับต่อมา คือ สิ่งแวดล้อมในธรรมชาติ นั้นแม้ประกอบเป็นรูป แต่หากยังไม่ใช่สิ่งมีชีวิต ก็ยังไม่มีสภาวะรู้ คือ นาม ดังนั้นเมื่อ ใส่ "การมีชีวิต" เข้าไปด้วยก็เป็น รูป-นาม ที่ปรากฏอยู่ในสิ่งแวดล้อม(กาละ-เทศะ) แต่อย่างไร ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่ สิ่งนั้นก็ยังอยู่ในโลกเราใบนี้

สถานที่ แห่งหนึ่ง แห่งใด ในโลกนี้น่าจะมีลักษณะหนึ่งที่เป็นเอกเทศ ( อย่างไรก็ต้องดีประกอบด้วยธาตุ ๔ )ในแต่ละสถานที่ และก็คงมีธาตุในธรณีอยู่ ( หรือว่า นี่เองคือ ธาตุที่กำหนดเป็น หลักในการบอกตำแหน่ง)เมื่อโลกหมุน ทำให้ได้รับธาตุจากอาทิตย์ไม่เท่ากันก็น่าจะเกิดการปรับธาตุอะไรบางส่วนทำให้เกิด การเปลี่ยนแปลงในสิ่งแวดล้อมในโลก ทำให้ อุบัติ "เหตุ" ขึ้น ๒ เหตุ คือ ๑.) ตำแหน่ง สถานที่ที่จะเกิดเหตุการณ์รวมทั้ง สภาวะแวดล้อมเปลี่ยน ๒.)กระตุ้นยัง คนเราซึ่ง ประกอบด้วย รูป-นาม นาม(จิต)คิดทราบรับรู้ แล้วกระทำไปแก่รูป(ร่างกาย) เกิดการกระทำและเกิด ผลลัพธ์ ตามมา เหตุของข้อหนึ่ง ผลที่ได้คงจะเข้ากับอุตุนิยาม และเหตุข้อสองคงจะเข้ากับ จิตตนิยาม (รวมทั้งพีชนิยาม) เมื่อทั้ง สองเหตุการณ์ได้ผล ก็จะเป็นไปโดย กรรมนิยามและธรรมนิยาม

ผมพยายามเขียนเหมือนตอบปัญหา อ.วรกุล นะครับ เพราะเหมือนกับที่ว่า นักเรียนโหราศาตร์อย่าเพิ่งถามปัญหา ให้ตอบปัญหาโหราศาสตร์ก่อนนะครับ ผมเขียนตอบเท่าที่จะนึกตอบได้ในเรื่อง บัญญัติ แล้วครับ รบกวน อ.วรกุลแนะนำและสอนสั่งด้วยครับ


หนูน้อย - 25 สิงหาคม พ.ศ.2548 14:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 32
ตอบ 31 คุณหนูน้อย......... แนะนำไม่ออกแล้วครับ เอาตามคุณว่าก็แล้วกัน


วรกุล - 26 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียน อ.วรกุล

ผมถาม อ.วรกุล ก็เป็นเพียงอยากให้ตรวจ ปรับ ความคิดของผม ว่าออกนอกลู่นอกทางไปมากหรือไม่ สงสัยผมจะออกนอกทางไปมากจริงๆ ครับ

แต่ ผมก็ไม่เอาอย่างที่ผมว่านะครับ ผมหัวดื้อ ผมจะรอ อ.วรกุลต่อนะครับ

ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 26 สิงหาคม พ.ศ.2548 10:21น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 35
เรียนอ.วรกุลค่ะ....ดิฉันได้ศึกษาศาสตร์ทางด้านอื่นมาค่ะ...คือไพ่ยิบซีค่ะ..และสนใจทางศาศตร์ของอ.เป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ...ได้อ่านข้อมูลเดิมๆ...เป็นบางส่วนด้วยค่ะ..ไม่ทราบว่าด้วยดวงอย่างดิฉัน..พอที่จะมีความรู้...ความถนัด...ความสามารถในทางศาศตร์ของอาจารย์บางมั้ยค่ะ...เพราะดูแนวทางของอาจารย์มีหลักทางตรรกในการดำรงชิวิตเป็นอย่างยิ่งค่ะ......ดิฉันเกิดวันเสาร์ที่ 5 ธค. 2513 ปีจอ เวลา 08.00 น.ค่ะ ตอนนี้มีเรื่องไม่ค่อยดีงามเข้ามาด้วยค่ะ...

..............เคยเขียนเรื่องคู่ไว้ในกระทู้ที่ 5 ความเห็นที่ 10 ลองเปิดไปดูด้วยนะครับ คู่ของคนเรา ทางโหราศาสตร์จำแนกไว้ 3 ประเภท คือ หนึ่ง คู่แท้ ( หรือบางท่านเรียกว่า คู่กรรม คู่ธาตุ) เป็นคู่ที่เกิดจากกรรมในดวงชะตา อาจจะทำบุญร่วมกัน หรือ จองเวรกันมาก่อนก็ได้ ที่เรียกว่า คู่เวรคู่กรรม นั่นแหละ คู่ชนิดนี้เป็นคู่แท้จริงทางดวงชะตา แต่อาจจะไม่ได้อยู่กินแต่งงานกัน หรือถูกบังคับให้แต่งงาน และหากแต่งงานกัน อาจจะมีความทุกข์ หรือ ความสุขก็ได้ คนเราทุกคนมีคู่ชนิดนี้ เพราะเขาเป็นส่วนหนึ่งของตัวเรา เมื่อธรรมชาติสร้างตัวเราขึ้นมานั้น จะมีบุคคลที่เป็นคู่แท้ของเราถือกำเนิดมาด้วยเสมอ แม้จะเกิดมาไม่พร้อมกัน แต่ก็จะมารู้จักกันอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต คู่ชนิดนี้ดูยากที่สุด เป็นที่ดวงบางคน อาจจะแสดงชัดทั้งสองฝ่ายมีเพียงราว 1 ใน 50 คน ที่เห็นชัดเจน รูปดวงชะตาสวยงามบอกได้ทันที หากพบคู่แท้ และดวงชะตามีการแต่งงานได้ ก็มักจะหลีกเลี่ยงไม่พ้น หรือต้องทำใจตัดให้ขาด เช่น พระบางรูป ท่านไปนั่งภาวนาเสีย ก็ตัดออกได้.........

ตอนนี้มีปัญหานี้เกิดขึ้นกับตัวของดิฉันค่ะ..ดิฉัน..ตกใจและคาดไม่ถึงเป็นอย่างมากเลยค่ะ....ดิฉันไม่ได้ชอบหรือรักพระท่านนี้เลยค่ะ......ดิฉันลำบากใจมากค่ะท่านอาจารย์...กลัวบาปมาก....แล้วท่านก็เป็นพระที่ได้ชื่อว่าปฏิบัติดีด้วยนะค่ะ..เป็นที่นับถือของผู้คนมากค่ะ.....ดิฉันจะทำอย่างไรดีค่ะ..กลุ้มมากเลยค่ะ


ศนิสุดา - 27 สิงหาคม พ.ศ.2548 11:29น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 36
ตอบ 35 คุณศนิสุดา...........คงไม่ต้องทำอะไรครับ เป็นเรื่องของอารมณ์ และบังเอิญดวงคุณในช่วงปีนี้ และอีก 2 – 3 ปีข้างหน้าจะมีเสน่ห์แรงหน่อย เพราะดวงชะตากำลังจะมีคู่ เป็นธรรมชาติทั่วไปของสิ่งมีชีวิตที่จะมีสิ่งดึงดูดเพศตรงข้ามเข้ามา ในช่วงระยะเหล่านี้ ทั้งที่เป็นคู่ตามธาตุ และไม่ใช่คู่ กลางปีหน้าไปแล้วจึงจะลดแรงดึงดูดลงบ้าง เหลือแต่เพศตรงข้ามที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงมากกว่าจึงจะคงอยู่ต่อ ดังนั้นในระหว่างนี้ ก็พยายามหลีกเลี่ยงอย่าไปให้เขาเห็นเห็นหน้าเห็นตัวได้ก็จะดีมาก ปล่อยให้เขาต่อสู้กับตัวเองสักพัก และตัวคุณเองก็ต้องระวังตัวด้วย ไม่ไปเดินในที่เปลี่ยว หรือ อยู่ในที่เปลี่ยวกับใคร แม้แต่คนรัก เพราะอาจชักจูงเรื่องไม่ดีมาหาตัวได้ คุณเรียนโหราศาสตร์ก็ดีแล้ว พวกไพ่ หรือ ลายมือจะดีกว่าอย่างอื่น ไว้พอรู้บ้างแล้วอาจไปเรียนทางดวงชะตาก็ได้ดี เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นบทเรียนข้อคิดอันหนึ่ง ถ้าเราจะยกขึ้นมาเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ชีวิต หากปฏิบัติภาวนาอยู่ก็พิจารณาใจตัวเองให้สงบ มองให้เห็นอนิจจัง สักพักเมื่อมันหายไป ก็จะเกิดเป็นความรู้คือปัญญาได้


วรกุล - 28 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:32น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 37
ขอบคุณอ.วรกุลมากครับ ที่ชี้แจงเรื่องเกี่ยวกับเบญจเพส อ่านแล้วเริ่มรู้สึกว่าพอจะ "เข้าถึง" มากขึ้นในความสำคัญของเลข สิบสอง ไม่ว่าจะในศาสตร์ไหนครับ

ผมเคยสงสัยมานานแล้ว ว่าทำไม เลขสิบสองนี้ ต้องมี "คำเรียกเฉพาะ" ในทุกๆภาษา (โหล หรือ dozen เป็นต้น) เป็นเดือนและวงเข็มของนาฬิการวมไปถึงราศีจักร อีกทั้งเป็นจำนวนที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่นลังเครื่องดื่ม ก็จะมาเป็น โหล ครึ่งโหล....ไม่ใช่ สิบ ซึ่งจริงๆแล้วน่าจะเป็นเลขที่คุ้นเคยกับมนุษย์มากกว่า (เพราะมนุษย์มีสิบนิ้ว)

เปรียบดั่งสัจธรรมว่า ใน "ธรรมชาติ" มีมนุษย์ และใน "มนุษย์" มีธรรมชาติ นี่เอง


โกวเล้ง - 28 สิงหาคม พ.ศ.2548 16:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 38
แรกเริ่ม ขอขอบพระคุณ ในคำแนะนำครับ

ในเรื่องที่ อ.วรกุล ตำหนิ เรื่อง ทิศสัมพัทธ อ้างอิงจากจุดใดจุดหนึ่ง คงเป็นความเข้าใจผิดของผมเอง ผมมอง เหมือนเช่น ผมมีแผนที่ประเทศไทย และกำหนดเขตแต่ละจังหวัดชัดเจน หากผมบอกระยะทางที่แน่นอนพร้อมทิศ เมื่อวัดจากจังหวัดหนึ่งที่เป็นจุดอ้างอิง เราก็น่าจะทราบได้ว่าอีกจังหวัดคือ จังหวัดอะไร

กรอบความคิดของผมอ่อนจริงๆ และก็คงเป็นจุดอ่อนของผม

เรื่อง ธาตุ และสสาร ผมเข้าใจว่า หากวิชาที่อธิบาย ธรรมชาติ เป็นของจริง สิ่งนี้น่าจะสอดคล้องรอบรับในทุกๆ ศาสตร์ อันนี้ก็แสดงว่า ไม่ใช่ และผมก็นำพุทธธรรมมาปน จริง

มูลเหตุ ที่เกิดจากการอวดอัตตา(อวดตัว)ก็คงเป็นจริงแต่คงไม่ใช่ ตัวผม ทั้งหมดในเวลานี้ ผมขออธิบายผมเคยเขียนหา อ.วรกุล ครั้งหนึ่งที่เขียนเรื่อง เวลาในสัมพัทธภาพ และ วิธีทางคณิตศาสตร์แบบหนึ่ง เวลาขณะนั้น ผมเขียนแล้วหาคำอธิบายไม่ได้เลยเขียน ไปแบบรวบรัด แต่หลังจากอ่าน อ.วรกุลมากๆ เข้าก็เห็นวิธีการเปรียบเทียบโดยไม่ใช่ศาสตร์อื่นมากนักเป็นการอ้าง ธรรมชาติแบบง่ายๆ ผมก็ระมัดระวังต่อมาเสมอหลังจากที่เขียนไปหา อ.วรกุลครานั้น

บางที การที่ผมเขียนมาเหมือน อวดอัตตา ตัวเอง ผมเพียงอยากได้คำจำกัดความ ความหมาย มากขึ้น เท่านั้นเอง ศัพท์บางคำ อ.วรกุล เขียนถึงวันนี้ก็ยังไม่กระจ่าง แต่อาจจะไม่นาน อ.วรกุลก็มาเขียนเพิ่มเติมรวมไว้กับบทความหลังๆ แต่ก็ต้องย้อนกลับไปอ่านรวบยอดตั้งแต่ต้น อ.วรกุลสอนปรัชญาโหราศาสตร์ แต่บางทีผมต้องการความเป็นไปอย่างชัดแจ้ง จนบางที อดทนรอไม่ไหว เจตนาเขียน เหมือนถาม แต่แสดงความเห็นของตัวเองมากไป( อวดอัตตาที่ อ.วรกุลว่า) เพราะสิ่งหนึ่ง คือ ผมรู้สึกว่าที่ผมอ่านบทความ อ.วรกุลมา ไม่มีตัววัดอย่างแจ่มชัดว่า อ่านแล้วเข้าใจถูกหรือไม่ อ่านแล้วที่เราเข้าใจหลงทางหรือไม่ ผมลองย้อนคิดกลับไป( แต่ไม่ได้เขียนบอก อ.วรกุล) ว่าคำถามแบบที่ อ. สส เคยเขียนให้ไปนั่งคิดตอบนั่นเป็นการวัดความเข้าใจอย่างหนึ่ง ก็เลยเกิด ความอยากลองตอบดู แต่กลายเป็นยั่วโมโหอีก

ตอนนี้ผมสนใจพุทธธรรมอยู่บ้าง แต่ไม่ได้ใส่ใจให้เวลามากเท่าที่ควร ปรัชญา ความรู้ก็คงจะอ่อนจริงๆ เมื่อเทียบกับ เวลา ประสพการณ์ในชีวิต ผมเพียงเข้าใจว่าพุทธธรรมน่าจะรวบรวมปรัชญาความรู้ไว้หมด ในอภิธรรม รวมถึง ความคิดความอ่านของคนโบราณด้วย และผมคิดถึง การตั้งคำถามและคำตอบ ถาม-ตอบกัน และหักล้างด้วยเหตุผล ( อันนี้คงต่างกับ นักวิชาการปัจจุบัน ผมคิดว่า จุดมุ่งหมายหนึ่ง เป็นเพื่อการยกระดับสติปัญญา และให้เห็นแจ้ง แทงตลอด)

ทุกวันนี้ ผมก็พยายามลดอัตตา ตัวเองหลายอย่าง แต่บางที บางอย่างมันก็อาจจะออกมาบ้าง โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ (ขาดสติ) ทั้งบางทีผมเขียนทีเล่นทีจริง (เพราะบางทีผม อารมณ์ดี เล่น ซึ่งอาจจะไม่ถูกกาลเทศะไปบ้าง) จึงกราบขออภัย อ.วรกุล ด้วยครับ

( การเขียนตอบนี่ ก็คงเป็นการ แสดง อัตตา อย่างหนึ่งในตัวผมด้วยกระมัง หากล่วงเกินอะไรอีกก็ขออภัยไว้ก่อนด้วยครับ และพร้อมรับคำแนะนำครับ)


หนูน้อย - 29 สิงหาคม พ.ศ.2548 10:09น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 39
เรียน อ.วรกุล

ผมย้อนกลับมาอ่าน คคห. 34 อีกที ก็รู้สึกอีกอย่าง ความจริง คคห. 38 ไม่จำเป็นต้องเขียนแก้ต่างเลย ผมจะลองพยายามปรับกรอบความคิด คำพูด การเขียน ใหม่นะครับ ขอบพระคุณอย่างสูง


หนูน้อย - 29 สิงหาคม พ.ศ.2548 14:02น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบ 37 คุณโกวเล้ง.........เรื่องตัวเลข เรายังเข้าใจกันผิดอยู่บ้าง ผมเองเคยคิดจะเขียนเรื่องเลขต่างๆในโหราศาสตร์เหมือนกัน เหมือนกับหัวข้ออีกหลายหัวข้อ แต่หนักใจ เพราะหากเขียนเรื่องที่ลึกเกินไป ก็ต้องปูพื้นกันยาวจนกว่าจะเพียงพอเสียก่อน มิฉะนั้น เขียนไปแล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์ พลอยทำให้บางท่านคิดมาก ตีความหมายจนเกินเลยไป และผมก็ถูกมองในแง่ไม่ดี ที่หยิบประเด็นอะไรมาเขียนแล้วไม่ได้อธิบายให้เข้าใจ กลายเป็นเรื่องยกเมฆ อะไรแบบนั้น คนที่มาอ่านนี้ ความรู้ความคิด และสติปัญญาก็แตกต่างกัน การเขียนให้ทุกคนอ่านได้เสมอกัน ในเรื่องยากๆ เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้ นี่เป็นปัญหาที่ยังแก้ไม่ได้

เลขสิบสองที่คุณว่านั้นมีที่มาไม่เหมือนกัน อย่างจำนวนสินค้า มาจากมาตราวัดของอังกฤษ ซึ่งแต่ก่อนเป็นมหาอำนาจนักล่าอาณานิคม ทำให้ใช้กันไปทั่ว มีต้นตอของเรื่องหาอ่านได้ไม่ยาก รวมทั้งการบรรจุ***บห่อด้วย ถ้าบรรจุเป็น 10 ชิ้น ขนาด กล่องหรือ ***บห่อ จะไม่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่แข็งแรงได้***ส่วน ส่วน นาฬิกา และ เข็มนาฬิกา ราศีจักร ก็มีประวัติมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ต้นตอของเรื่องไม่ได้มาจากที่เดียวกันทีเดียว แต่ที่อยากเอามาเล่าย่อๆในตอนนี้ คือ เรื่องตัวเลขในโหราศาสตร์ เพราะเห็นมีหมอดูบางคนเอามาใช้หากิน บางคนก็ขนานนามว่าเลขศาสตร์ อ้างว่ามีประวัติมาจากสมัยพระเจ้าเหาโน่น

ตัวเลขที่เราใช้กัน จะแยกได้เป็น 3 เรื่อง หนึ่ง คือ เลขจำนวน เช่น ของ 5 ชิ้น 10ชิ้น หมา 3 ตัว บ้าน 2 หลัง อะไรแบบนี้ สอง คือ เลขลำดับ เช่น ที่ 1 ที่ 8 ที่ 235 อะไรแบบนั้น อย่างที่ สาม คือ เลขสัญลักษณ์ หรือ บัญญัติ เช่น ๑ หมายถึง อาทิตย์ ๗ หมายถึงเสาร์ ๓ หมายถึงอังคาร แต่ที่จริงยังมีเลขประเภทอื่นอีก 2 – 3 ประเภท เป็นเรื่องลึกๆ ผมจะไม่เอ่ยถึงละ เพราะไม่อยากอธิบาย เลขสามแบบนี้ หมอดูที่ไม่รู้เรื่องเอามาใช้ปนกันไปหมด อันที่จริงคนที่รู้ทฤษฎีโหราศาสตร์ก็จะรู้ว่ามันแตกต่างกัน จึงจับได้ว่าใครที่ไม่เข้าใจ แต่ที่ไม่อยากพูด เพราะไม่อยากทะเลาะกัน ไปขวางทางหากินของคนอื่นมากกว่า เพราะเขาเอามาใช้พยากรณ์ ดูเลขที่บ้านบ้าง เบอร์ทะเบียนรถยนต์บ้าง เลขประจำตัวประชาชนบ้าง ใบ้หวยบ้าง แม้แต่ระดับที่ผู้คนเขาเรียกว่าเป็นอาจารย์บางท่านก็เอามาใช้ เพราะดูมันน่าทึ่ง ใช้แล้วดังเร็วดี อันนั้นหากมีส่วนได้ผลอยู่บ้าง ก็ไม่ได้มาจากโหราศาสตร์ แต่อยู่ในข่ายของไสยศาสตร์

ขอให้ทราบไว้ก่อนว่า เลขทั้ง 3 ประเภทเหล่านี้ ไม่เกี่ยวกันเลย ยิ่งในโหราศาสตร์ด้วยแล้ว จะมองเลขทั้งสามแบบไปคนละทาง หนึ่ง ในโหราศาสตร์ไทย ไม่มีเลขจำนวนโดยตรง เหตุผลเพราะโหราศาสตร์ไม่ได้นับจำนวนเป็นหน่วยวัดที่เท่ากันแบบเลขจำนวน ในคณิตศาสตร์ เวลาเรานับเลขจำนวนว่า 2 ชิ้น เราหมายถึงสิ่งที่เป็นวัตถุ หรือ อะไรที่หมายรู้ว่า เป็นสองสิ่งที่คล้ายกันแต่แยกจากกันเป็นเอกเทศ แต่โหราศาสตร์มองว่าของสองชิ้นนั้น เป็น สิ่งหนึ่ง กับอีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่าง ถ้ามีของสามชิ้น ก็คือ สิ่งหนึ่ง กับ สิ่งหนึ่ง และอีกสิ่งหนึ่ง ทั้งสามสิ่งไม่ได้สัมพันธ์กันทางคุณสมบัติแบบเลขจำนวน แต่เป็นสิ่งที่สัมพันธ์กันได้โดยมีปฏิกิริยาต่อกัน มิฉะนั้น จะไม่นับเป็น 3 สิ่ง แต่จะนับเป็นแต่ละสิ่ง หรือ นับสามสิ่งว่าเป็นสิ่งเดียวที่มีสามคุณสมบัติ แต่ จำนวนจริงทางโหราศาสตร์ จะเป็นเชิงปริมาณ คือ มากหรือน้อยในหลายระดับ มียกเว้น เลขชนิดหนึ่งที่คล้ายเลขจำนวน คือการเกิดซ้ำ เช่นฝาแฝด คือ ของสองสิ่งที่เหมือนกันทางเนื้อหา อาจมีกี่แฝดก็ได้ แบบนี้ โหราศาสตร์อาจถือเป็นเลขจำนวนได้

สอง โหราศาสตร์ไทยให้ความสำคัญกับลำดับมาก เลขลำดับ ที่หนึ่ง ที่สอง........ต่างๆเหล่านี้ ไม่ได้เกี่ยวกับเลขจำนวนเลย และไม่ได้เกี่ยวกับตัวเลขแทนดาว เช่น ๑ ๒ ๓ ๔......ต่างๆด้วย โหราศาสตร์รับรู้ว่า ที่หนึ่ง มาอันดับแรก ที่สอง คือ สิ่งที่มาตามหลังที่ หนึ่ง ที่สาม คือ สิ่งที่มาตามหลังที่สอง เป็นไปเช่นนี้ ดังนั้น ไม่ว่า สิ่งใดจะมาก่อนมาหลัง ก็จะถูกจัดลำดับตามความเป็นจริง นั่นคือ ลำดับของเลขดาว ไม่จำเป็นต้องเรียงแบบเลขจำนวน

สาม โหราศาสตร์ไทยไม่ได้ให้ความสำคัญต่อสัญญลักษณ์ หรือ บัญญัติ ตัวเลขแทนดาว ที่ว่า ๑ แทน ดาวอาทิตย์ ๒ แทนดาวจันทร์ ๓ แทนดาวอังคาร นั้น โหราศาสตร์ไม่ได้สนใจเลย หากเราเอาเด็กที่ไม่รู้เรื่องโหราศาสตร์มาสอนใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น บอกเขาว่า ๕ คือ ราหู ๖ คือ อาทิตย์ ๗ คือ จันทร์ อะไรเช่นนี้ เขาก็ยังพยากรณ์โหราศาสตร์ได้เหมือนเดิม เรื่องนี้คงไม่ต้องบอกก็ได้ แต่อยากจะชี้ว่า เมื่อโหราศาสตร์ไม่ได้สนใจตัวเลขแทนดาว ดังนั้น ตัวเลขแทนดาว ก็จะไม่สื่อความหมายของเลข จำนวน และ เลขลำดับ เพราะไม่ขึ้นอยู่กับตัวเลขที่แสดงอยู่ เช่น ปัตนิคือดาวพุธ ๔ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงจำนวน 4 คน หรือ คนที่ 4 แต่ตัวเลขแทนดาวคือ สิ่งที่แสดงคุณสมบัติของสิ่งที่แตกต่างกัน ซึ่งอาจเข้ามาผสมกันเหลือจำนวนเดียวได้ เช่น ๑๖ ไม่ได้หมายถึง ๑ กับ ๖ แต่หมายถึงสิ่งใหม่สิ่งหนึ่งที่มีคุณสมบัติ ๑๖ ที่แตกต่างไปจากดาวเดิม ดังนั้น หากมีดาว ๔ ๓ ๗ ๘ ในเรือนสหัชชะ ไม่ได้แสดงว่า มีจำนวน หรือ ลำดับ 4 หรือ 4378 แต่อาจหมายถึงมีกี่จำนวนก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าจะมีปฏิกิริยาที่เกิดจากดาวสี่ดวงนี้อย่างใดบ้าง

เอาแค่นี้เพียงย่อๆ เพราะยังไม่อยากให้สับสนมาก ที่ผมเล่าเรื่องนี้ เพราะอยากให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้ยังคิดติดอะไรอยู่ ไม่ว่าตอนนี้ หรือ คนที่มาอ่านเห็นเข้าภายหลัง ว่าเป็นพื้นฐานโหราศาสตร์อย่างหนึ่ง หากยังไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ก็จะไม่เข้าใจวิธีการของดวงชะตาแบบไทยหลายอย่าง ว่านำมาใช้พยากรณ์ได้อย่างไร

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 38 คุณหนูน้อย.........เป็นเรื่องแปลกที่เวลาเราอ่านหนังสือในอารมณ์ใด ก็จะรู้สึกคล้ายกับผู้เขียนเขียนในอารมณ์ที่เราอ่าน ผมเขียนในอารมณ์สบายๆ ไม่ได้มีโมโหอะไรเลย แต่ผมไม่อยากฝืนตัวเอง เพราะปกติเป็นคนชอบพูดตรงๆ คุณสำคัญผิดในเรื่องการตั้งความเห็น ก็เลยต้องบอกให้ตรงจุดเท่านั้นเอง ทั้งๆที่ไม่อยากบอกแต่แรก ปกติ ใครๆก็มีอัตตาแสดงออก มากบ้างน้อยบ้าง ท่านพุทธทาสท่านจึงสอนให้ตรงจุด เพราะการถืออัตตาเป็นปัญหาใหญ่มากที่สุดในโลกทุกวันนี้ เป็นวิธีที่ถูกต้องมาก เพราะเราจะได้ระวัง เวลาเราศึกษาอะไร วิธีที่ถูกคือ ต้องศึกษาความคิด ไม่ใช่ศึกษาคำพูด แล้วเอามาตีความ แบบที่คุณทำอยู่ ขืนทำแบบนี้ ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้ เมื่อศึกษาความคิดแล้ว เราลองอธิบายให้ตัวเองฟัง ว่าเข้าใจว่าอย่างใด คำพูด เป็นเพียงเครื่องมือ ของความคิด ความคิด สำคัญกว่า คำพูด เมื่อเราเข้าถึงความคิด เราก็จะรู้ถึงสิ่งที่เขาไม่ได้พูดออกมาได้ นี่เองที่เป็นวิธีที่ครูโหร ถ่ายทอดวิชาชั้นสูงให้คนรุ่นหลังมาได้อย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราจะบรรยายถึงสิ่งที่โบราณไม่ได้สอนได้ทั้งหมด โดยที่ไม่มีคำพูดถ่ายทอดมาเลย แม้แต่คำเดียว


วรกุล - 30 สิงหาคม พ.ศ.2548 04:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 41
ถึงจะ "ย่อ" แต่เป็นบทความที่ "เยี่ยม" ครับแต่ละ "ศาสตร์" จะให้ความสำคัญกับเรื่องของตัวเลขไม่เหมือนกัน...ขอบคุณอ. วรกุลที่ช่วยตอบข้อสงสัยหลายๆอย่างของผมครับ


โกวเล้ง - 30 สิงหาคม พ.ศ.2548 15:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 42
ขอบพระคุณ อ.วรกุล อีกครั้งครับ

ประโยคที่ขีดเส้นใต้ไว้ มีประโยชน์มากมายจริงๆ


หนูน้อย - 31 สิงหาคม พ.ศ.2548 10:12น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 43
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีเรื่องสงสัยรบกวนให้อาจารย์ช่วยขยายอธิบายด้วยครับ... วงรอบธรรมชาติกับการพยากรณ์จรนั้นมีหลายวงรอบ หากผมจะเลือกนำมาใช้เพียง3วงรอบต่อไปนี้... ขอความกรุณาช่วยชี้แนะด้วยครับ... หนึ่งมหาทักษา (เทวดาเสวยอายุ โดยนับตั้งจากวันเกิด) สองทักษา สามชัณษาจรแนวทางอาจารย์อรุณ(หมอเถา)....หากนำวงรอบทั้งสามมาใช้ร่วมกัน จะสัมพันธ์เประโยชน์เกือ้กุล หรือจะซ้ำซ้อน ขัดแย้งผิดหลักเกณท์ครูโหรรุ่นเก่า รบกวนอาจารย์ช่วยชี้ความสัมพันธ์ของทั้งสามวงรอบนี้ด้วยครับ และหากต้องตัดวงรอบวงใดวงหนื่งไป ไม่ควรนำมาใช้กับการพยากรณ์จร หรือต้องเพิ่มวงรอบใดวงรอบหนื่ง ขอความกรุณาให้อาจารย์ช่วยแนะนำด้วยครับ.... ศ.fa200


ศ.fa200 - 1 กันยายน พ.ศ.2548 16:57น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 44
ตอบ 44 คุณศ.fa200 .........เวลานำวงรอบธรรมชาติมาใช้มีอยู่ 2 แบบ คือ ใช้ทีละอย่าง กับ ใช้ร่วมกัน ถ้าใช้ทีละอย่างไม่มีปัญหา จะใช้อะไรก็ต้องแยกคิดให้ได้ผลสรุปออกมา เช่น ดูเรื่องการเงินว่าระยะนั้นเป็นอย่างไร ก็สรุปออกมาก่อนว่า ผลเป็นอย่างไร ไม่ใช่ดูดาว หรือ เจ้าเรือนดีไม่ดี ในวงรอบหนึ่ง แล้วเอาไปใช้ในอีกวงรอบหนึ่ง ส่วนการใช้ร่วมกันนั้น เกิดจาก 1 / วงรอบประเภทเดียวกัน และ 2 / อัตราวงรอบเท่ากันด้วย จึงจะนำมาใช้ร่วมกันได้ ยกตัวอย่างการใช้เทวดาเสวยอายุจากมหาทักษา นับเสวยอายุตั้งจากวันเกิด ต้องสรุปให้ได้ว่าอายุช่วงนั้นเป็นอย่างไร เป็นแนวโน้มกว้างๆ ถ้าเอาแค่นี้ ก็ใช้เป็นแบบทีละอย่าง แต่บางคนจะซอยละเอียดลงไปเช่นใช้ดาวเสวยอายุแทรก ใช้ดูดวงจร ก็นำมาใช้ร่วมกันได้ สำหรับทักษาเดิมและจรนั้นใช้ในวงรอบคนละอัตรา ต้องแยกออกไปใช้ต่างหาก ส่วนเกณฑ์ชันษาจรของอาจารย์อรุณ เป็นวงรอบทางดวงชะตา ซึ่งเกิดจากจักรวาล ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับวงรอบทักษา หรือ มหาทักษา ก็ต้องแยกไปใช้อีกอย่างหนึ่งอีกเหมือนกัน

การนำมาใช้ ทั้งสามอย่างที่คุณว่ามา จึงสรุปได้ว่าต้องแยกกันใช้ทั้งสามอย่าง แต่การแยกใช้นั้น หมายถึงเวลาอ่านดวงอ่านดาว ให้ใช้เทคนิคแยกกัน ไม่ใช่ว่าดาวเสวยแทรก เป็นกาลกิณีจร ในเกณฑ์ชันษาจรเป็นปัตนิชันษา แล้วแปลว่า เรื่องคู่ครองและปัตนิจรจะกลายเป็นกาลกิณี และเป็นพระเคราะห์แทรกโคจรด้วย แบบนั้นเรียกว่าใช้ปะปนกันมั่วโดยพลการ วงรอบทั้งสามแบบส่วนใหญ่ก็ใช้กันโดยทั่วไป บางคนใช้วิชาเดียว แต่ถ้าชำนาญก็ทำนายแม่นได้โดยไม่ต้องใช้วงรอบอื่นเสริมเลย หากจะพูดถึงความเชื่อถือความลึกซึ้งกว่ากัน ก็จะขึ้นอยู่กับการเรียนมาของแต่ละคน ถ้าเราไม่ได้เรียนรู้ลึกซึ้งอะไร ไม่มีใครสอน ก็ตัดทิ้งไป ที่ตัดนั้นขึ้นอยู่กับตัวเรา ไม่ใช่ว่าวิชาไม่เหมาะไม่ดี ดังนั้น การเพิ่มอะไรก็อยู่ในหลักข้อนี้เหมือนกัน อย่างบางท่านใช้ตรีวัยได้ดี หากเราไม่รู้เรื่องตรีวัย ทายไปก็ไม่คม แล้วจะเพิ่มการพิจารณาให้สับสนไปทำไม จึงแนะนำว่า ทั้งสามแบบนั้นใช้อย่างใดอย่างหนึ่งกับดาวจรก็พอแล้ว หากชำนาญก็อ่านได้ทุกอย่าง

ผมเคยบอกแล้วว่า วงรอบแต่ละอย่างใช้แต่ละคุณสมบัติ ดังนั้น บางครั้ง ดาวดวงหนึ่ง อาจดีในวงรอบหนึ่ง หรือ เสียในอีกวงรอบหนึ่ง ดังนั้นจึงเอาวงรอบแต่ละแบบมาใช้ร่วมกันไม่ได้ เพราะดาวเป็นเพียงตุ้กตาที่จะหมายถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เราต้องเอาความหมายที่มันหมายถึงมาคิด ไม่ใช่เอาดาวมาคิด หลักเกณฑ์ก็มีอยู่เท่านี้ มีหลายท่านเอาเลข 7 ตัวมาเสริมเองเพราะถนัดอยู่แล้ว ก็ทำวิธีนี้ แม้กระทั่งลองดูลายมือ ก็ใช้ได้เหมือนกัน


วรกุล - 3 กันยายน พ.ศ.2548 03:53น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 45
เท่าที่เล่าเรื่องโหราศาสตร์ที่เป็นทฤษฏี หรือ ปรัชญามากเกินไป คนที่ยังเรียนใหม่ๆคงไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไร จึงอยากคุยเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากกว่า เช่น การทำนายทางโหราศาสตร์ไทยที่เราเรียนกันมานั้น มีลักษณะอย่างหนึ่งคือ เราเรียนแบบแยกส่วน ซึ่งอันที่จริงก็เป็นวิธีการศึกษาวิชาโดยทั่วไป อย่างเช่นการเรียนภาษาอังกฤษ ก็ต้อง เรียนทีละคำ ทีละไวยากรณ์ เสียก่อน พอถึงระดับสูงขึ้นไปจึงเอาทุกอย่างมาประมวลเข้าด้วยกัน แต่ นักเรียนโหราศาสตร์ส่วนมากไม่ค่อยจะทำอย่างนั้น ใครเคยเรียนตอนชั้นต้นอย่างไร ก็มักไม่ค่อยทิ้ง แต่ยกเอามาทั้งขั้น อนุบาล ขั้นประถม ถ้าเปรียบเหมือนเด็กนักเรียนก็เอาหนังสือติดตัวมาหมดทุกชั้น ไปไหนก็หอบไปด้วยเป็นลังๆ ต่างกับคนที่เขาเป็นโหราศาสตร์แล้ว จะเห็นว่าหลายคนเขาเดินตัวเปล่า ตัวปลิว บางคนไม่พกแม้แต่ปฏิทิน แต่เอาปากกาไปด้ามเดียวด้วยซ้ำ

เวลาอ่านดวงอ่านดาวก็เหมือนกัน เราเหมือนเด็กนักเรียนอนุบาล เวลาอ่านต้องสะกดตัวชัดๆ ก็เพราะครูต้องการให้อ่านออกเขียนได้เสียก่อนที่จะไปเรียนชั้นสูงต่อไป เวลาเรียนโหราศาสตร์ เรามักถูกจี้ให้อ่านเรือนทุกเรือน สัมพันธ์ถึงทุกเรือน ดาวทุกดาว ที่สัมพันธ์ถึงเรื่องที่จะอ่าน ก็เหมือนเด็กที่ถูกบังคับให้อ่านไทยดังๆหน้าห้อง แต่เวลาเราอ่านหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ สังเกตไหมว่า เราอ่านเพื่อรู้ว่าเนื้อความเป็นอย่างไร พอปิดหนังสือพิมพ์แล้วเล่าเรื่องได้ แต่หากถูกถามว่ามีคำหรือ ประโยคอะไรบ้าง เราจะบอกเกือบไม่ได้เลย เพราะเราอ่านด้วยความเข้าใจ ไม่ได้อ่านเรียงตัวอักษรแบบเด็กๆ นี่เองเป็นสิ่งที่อยากจะบอกในวันนี้ พวกเราหลายคนมีหนังสือโหราศาสตร์มากมายแล้ว อ่านมาแล้วก็ไม่รู้กี่รอบ ต่อกี่รอบ แต่พอให้ทำนายดวงเดิม ก็เก้ๆกังๆ ยิ่งไปดูดวงจร บางคนยิ่งทำนายไม่ออก ทั้งนี้เพราะเรายังเรียนตามตัวหนังสือ ไม่ได้เรียนด้วยความเข้าใจ เราไปยึดข้อความในตำราเป็นหลัก มากกว่าจะทำความเข้าใจว่า “ตำราเขาสอนอะไร” บางคนก็พยายามค้นถอดรหัสของคำพูด เพราะไปเชื่อว่า มีเคล็ดลับซ่อนอยู่ในข้อความเหล่านั้น ทำนองรหัสของสายลับ หรือ รหัสในคัมภีร์กำลังภายใน เพราะเราอาจดูหนังจีนมากเกินไป หารู้ไม่ว่า เคล็ดลับที่แท้จริงซ่อนอยู่ที่ความเข้าใจนี่เอง

หมอดูที่เขาชำนาญการดูดวงชะตา เขาจะอ่านดวงชะตาพรืดเดียว ไม่เคยหยุดคิดเสียด้วยซ้ำว่า กดุมภะ สหัชชะ อาทิตย์ พุธ อังคาร หมายความว่าอะไร ใครลองไปถามบางทีเขาจะสะดุด ที่จะพูดออกมา เพราะเขาเปลี่ยนจากภาษาให้กลายไปเป็นความเข้าใจไปเรียบร้อยแล้ว ต้องเอาความเข้าใจกลับมาเป็นคำพูดอีก ถ้าคนที่ทำนาย เขียนทำนองว่า ดาวดวงนั้น เจ้าเรือนนี้ ไปอยู่เรือนนั้น กุมกับดาวเรือนนี้ ถึงเรือนโน้น อะไรเช่นนี้ ทำให้คุณเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ แม้จะถูกต้องทุกอย่าง แต่ก็แสดงว่า ความคิดยังคงวนเวียนอยู่กับคำสอน แต่ถ้ามืออาชีพที่คล่องตัวแล้ว เขาจะอ่านดวงแบบเล่าเรื่องราวออกมาเลยเหมือนอ่านหนังสือข่าว ไม่มีชื่อดาวชื่อเรือนให้เห็นด้วยซ้ำ เพราะดวงชะตาจะบอกเรื่องราวออกมาเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในชีวิต คำว่า ตนุ กดุมภะ สหัชชะ อะไรต่างๆเหล่านี้ เป็นข้อกำหนดให้เราอ่านตอนแรกเรียนต่างหาก เหมือนอย่างคนที่หัดเต้นรำ ครูต้องวาดรูปรองเท้าไว้บนพื้นห้อง จะได้หัดเดินตามเสต็ปได้อย่างถูกต้อง หากเต้นรำเป็นแล้ว เราจะเห็นทุกคน เต้นด้วยอารมณ์และจังหวะของเพลงทั้งนั้น ไม่มีใครไปย่องตามรูปรองเท้าบนพื้นเหมือนคนหัดใหม่

หมอดูที่เป็นแล้ว จึงไม่อ่านเรือนบางเรือน และบางดาวชัดๆ หรือ พูดให้ถูกคือ อ่านแล้ววางพักไว้ อย่างเช่นหากอ่าน ปัตนิ ไปอยู่สหัชชะ แล้วถึงเรือนวินาสน์ เขาก็จะวางพักวินาสน์ไว้ก่อนทันที แต่พออ่านแล้วมีมุมที่ไม่ปกติ เจ้าวินาสน์นี้จะถูกยกขึ้นมาแว่บในใจอย่างอัตโนมัติ หากสานต่อไปได้ วินาสน์กลับขึ้นมาเป็นพระเอก สหัชชะอาจกลับลงไปเป็นรอง หรือ หายไปเลย นี่คือทักษะในการอ่านดวงชะตา ทุกเรือนทุกดาวจะถูกอ่านสัมพันธ์กันอย่างไหลลื่น จนตลอดทั้งดวงชะตา กวาดตาดูหมดทั้งตรีโกณโยคเกณฑ์ จตุโกณ โดยยังไม่ต้องอ่านเฉพาะเจาะจงทีละเรือน จนกระทั่งเห็นความสัมพันธ์ชัดเจน ความหมายแต่ละเรือนจึงเด่นขึ้นมาเป็นเรื่องราว ความเข้าใจดวงชะตาจะเกิดขึ้นมาตอนนั้น จึงออกคำทำนายได้เลย นี่คือการดูดวงชะตาแบบดวงอีแป่ะ อาจารย์บางท่านจึงสอนว่า “ให้ดูจนความหมายมันนิ่ง เสียก่อน ค่อยออกคำทำนาย” เมื่ออ่านแบบดวงเดิมได้แล้ว จะทำให้เราเข้าใจดาวทุกดาว เรือนทุกเรือน เป็นความหมายเฉพาะของดวงชะตา ดาวอาทิตย์ ดาวจันทร์ ฯลฯ ล้วนแต่มีความหมายเฉพาะในดวงชะตานั้น ไม่ใช่ อาทิตย์ หรือ จันทร์ ของผู้อื่นทั่วไปตามตำราใด ถึงตอนนี้ เราจะเห็นเหมือนเจ้าชะตามายืนอยู่ตรงหน้าเรา ชะตาชีวิตของเขาดำเนินไปตามสิ่งที่ดวงชะตาแสดง เพียงแต่จะบอกเล่าออกมาเท่านั้น

การดูดวงจรนั้น ต้องอาศัยทักษะมากกว่า ดาวจรทุกดวงจะเหมือนมีชีวิตขณะที่มันเคลื่อนไปตามเรือนและราศี มีปฏิกิริยาของมันระหว่างตัวมันกับดาวและเรือนในดวงเดิม เราจึงออกคำทำนายได้อย่างรู้สึกถึงเหตุผล พวกเราส่วนใหญ่ ดูดวงจรแบบภาพนิ่งตายตัว และยังเป็นเฉพาะจุดเดียวประเด็นเดียว ในขณะที่มืออาชีพเขาจะดูชีวิตทั้งชีวิต ยกตัวอย่างเช่น ชายคนหนึ่งเขาตื่นเช้า ขับรถไปทำงาน ประชุม และติดต่องานทั้งวัน เลิกงานไปหาแฟน ชวนกันไปตีเทนนิส แล้วไปกินข้าว ไปส่งแฟนแล้วกลับบ้านนอน หากเขามาให้เราพยากรณ์ดวงชะตาว่าจะสมัครไปทำงานต่างจังหวัดจะได้หรือไม่ ไม่ใช่ดูแต่กัมมะของเขาเท่านั้นที่เปลี่ยนแปลงแล้วก็จบ แต่เมื่อเขาไปอยู่ที่ใหม่ สิ่งแวดล้อมสังคมของเขาก็ต้องเปลี่ยนแปลง เขาจะมีดวงชะตาต้องพบคนแปลกหน้า ผู้ร่วมงานใหม่ๆ เงินเดือนก็เปลี่ยนแปลง การเดินทางก็เปลี่ยนแปลง ความสัมพันธ์เพศตรงข้ามกับแฟน ก็จะถูกรบกวนเปลี่ยนแปลงให้ห่างเหินกันไปด้วย ดวงชะตาก็จะเหนื่อยมากขึ้นเพราะขับรถ หรือ ต้องย้ายที่อยู่ตามไป จะเห็นได้ว่า เมื่อมีเรื่องใดเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น เรื่องอื่นๆจะถูกกระทบไปพร้อมกันมากบ้างน้อยบ้างอย่างเป็นเหตุเป็นผลกัน เปลี่ยนคำถามบ้างเป็นผู้หญิงสักคนหนึ่ง หากเธอถามว่า ปีหน้าเธอจะได้แต่งงานหรือไม่ เราลองนึกดูตามความเป็นจริง ว่าชีวิตเธอจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงที่อ่านจากดวงชะตาได้บ้างสักกี่ประเด็น

ที่เขียนมาในบทความตอนนี้ เป็นเรื่องจริงเพียงส่วนน้อยนิด ซึ่งบรรดาผู้ชำนาญทางดวงชะตาเขาทำมากกว่านี้อีก แต่ยกตัวอย่างมาง่ายๆให้เห็นแง่มุมบางอย่างที่พวกเรามองข้ามไปเท่านั้น หากเราวางความคิดใหม่ได้ถูกตามเหตุผลความเป็นจริง ก็จะเห็นว่ามีความก้าวหน้าในการเรียนได้มากขึ้น


วรกุล - 3 กันยายน พ.ศ.2548 03:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 46
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 9....ครับ.............


วรกุล - 3 กันยายน พ.ศ.2548 04:33น. (IP: 0.0.0.0)