เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 9 )

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 8 เดิมมีความยาวมาก เรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 9 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีคำถามเรื่องเกี่ยวกับ “มหาทักษา” มาสอบถามอาจารย์ครับ คือผมมีความสงสัยว่า “มหาทักษา” หรือที่เรียกกันว่า”เทวดาเสวยอายุ” นั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องที่มาที่ไปเกี่ยวกับตัวเลข “กำลังดาว” ทำไมอาทิตย์ จึงเสวยอายุตัวเองเป็นเวลา 6 ปี , ทำไมจันทร์ จึงเสวยอายุตัวเองเป็นเวลา 15 ปี , ทำไมอังคาร จึงเสวยอายุตัวเองเป็นเวลา 8ปี , ทำไมศุกร์ จึงเสวยอายุตัวเองเป็นเวลา 21ปี …… ตัวเลขจำนวนปีนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร หรือจะเป็นวงรอบธรรมชาติในส่วนใหน ? และหากยังสงสัยต่อไปอีกว่า ในระหว่างที่ดาวกำลังเสวยอายุ ก็ยังมีดาวอื่นมาแทรกเป็นลำดับอีกนั้น สงสัยว่าเป็นวงรอบธรรมชาติหรือวัฐจักรของอะไรที่มาทับซ้อนกัน เป็นวงรอบซ้อนวงรอบ ….. ทำไม “มหาทักษา” (เทวดาเสวยอายุ) จึงนำมาอธิบายความเป็นไปของชีวิตอย่างกว้างๆได้ รบกวนขอความกรุณาอาจารย์ครับ....


ศ.fa200 - 5 กันยายน พ.ศ.2548 19:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
สวัสดีครับ อาจารย์วรกุลที่เคารพ

ผมอ่านมาหลายเวปแล้ว เห็นพูดกันถึงเรื่อง ดาว ศุกร์กับเสาร์ ถ้าอยู่ร่วมกันเรื่องรักจะไม่สมหวัง ซึ่งดวงผมก็มีดาวศุกร์อยู่ร่วมกับดาวเสาร์ดังว่า ทำให้ผมค่อนข้างกังวลเนื่องจากอายุก็ไม่น้อยแล้ว ผมเกิดวันพฤหัสที่ 26มิ.ย.2512 เวลา 9.30 น.ครับ ไม่ทราบพอมีคำแนะนำอะไรได้บ้างหรือไม่ครับ


นนท์ - 6 กันยายน พ.ศ.2548 10:08น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
สวัสดีครับ อ.วรกุลวันนี้ ทำงานอยู่ดีๆ จู่ๆ ผมก็พลันนึกถึงฟอร์เวิร์ดเมล์อันหนึ่งครับ เค้าพูดถึงว่า ปลายปีนี้ จะมีภัยพิบัติครั้งใหญ่ และปีหน้า จะมี พระศรีอารย์ มาจุติครับ หัวผมเลยแล่นไปถึงคำทำนายของ "นอสตรารามุส" (ไม่ใช่ว่า "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" นะครับ แต่เป็นการนั่งคิดมากกว่า) และ วกกลับมาที่ "โหราศาสตร์ไทย" ครับเลยอยากจะถามว่า เคยมีการบันทึกการทำนายถึงความเป็นไปของ "โลก" และ "วันสิ้นโลก" ไว้ในเชิงโหราศาสตร์ไทยบ้างมั้ยครับ


โกวเล้ง - 6 กันยายน พ.ศ.2548 16:12น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ตอบ 1 คุณ fa200.............คุณถามในคำถามที่คนถามกันมานาน แต่ไม่มีใครตอบ เพราะเหตุผลสองอย่างคือ ไม่รู้ หรือ ไม่บอก ผมจะตอบว่าไม่รู้ก็ง่ายดี เดิมมหาทักษาเป็นวิชาธาตุที่เป็นวิชาเอกเทศ ไม่ได้มาจากวิชาอื่น และสามารถใช้ได้โดยไม่ต้องเกี่ยวกับดวงชะตา มหาทักษาเกิดจากระบบธาตุในธรณี(โลก) ที่มีการเคลื่อนตัว แล้วแปรปรวนไป แล้วก็หยุดลง เป็นวัฏจักรใหญ่ตลอดมา ระหว่างทางนั้น ระบบธาตุมีการจัดตัวเป็นจังหวะ แต่จะมีครั้งสำคัญๆที่ถือว่าเป็น ปมใหญ่ หรือ node ไม่กี่ครั้ง และยังมีปมเล็กอยู่อีกนับสิบๆครั้ง ในปมใหญ่นี้ ล้วนแต่เป็นแก่นหลักที่ธาตุจะแยกย้ายเปลี่ยนแปลงไปสู่ ปมอื่น เหมือนกับเป็นจุดเปลี่ยนของธาตุที่จะเป็นไปสู่ระบบอื่นนั่นเอง จุดเปลี่ยนใหญ่นี้ ที่เรารู้จักกันแพร่หลายที่สุดคือ ทักษาคู่ธาตุ นี่เอง ที่เราเรียกว่า มหาทักษา เพราะเป็นทักษาใหญ่ ซึ่งยังมีทักษาอื่นๆอยู่อีก คำว่าทักษาเป็นคำที่ใช้มาแต่เดิม เราอาจเรียกว่า วงรอบ หรือ วัฏจักรก็ได้ คำนี้อาจจะมาจากคำว่า “ทักษิณา” แปลว่าการเวียนขวา

วิชามหาทักษามีความลับอยู่มาก ส่วนที่ไม่ได้บอก ไม่ได้เปิดเผยยังมีอยู่ราว 8 ใน 10 ส่วน รวมทั้ง ทักษาอื่นๆที่ใช้ร่วมกับมหาทักษาด้วย พวกที่เรียนวิชาธาตุจะเรียนผ่านตรงนี้ ดังนั้นจะรู้จักมหาทักษา แต่อาจจะไม่รู้ส่วนประยุกต์ หรือ applications ที่ใช้พยากรณ์ เพราะสิ่งเหล่านี้สอนกันเป็นความลับของมหาทักษาโดยเฉพาะในสำนัก และวิชาเต็มๆ น่าจะหายไปเกือบหมดแล้ว ผมเองก็ไม่รู้ทั้งหมด การที่จะอธิบายที่มาของตัวเลขกำลังดาวนั้นต้องรู้เรื่องวิชาธาตุ ตำราที่บอกกันตอนนี้ บอกได้เพียงแต่ว่า กำลังดาวนับจากแหล่งธาตุทางทิศใต้คือ ทิศที่พุธอยู่ เวียนขวาไปถึงธาตุที่ประสงค์ เช่นอาทิตย์นับได้ 6 อังคารนับได้ 8 วนขวาต่ออีกสองรอบ จะถึง เสาร์ 10 ราหู 12 จันทร์ 15 พุธ 17 พฤหัส 19 และ ศุกร์ 21 ซึ่งที่จริงแล้ว ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่ “กำลังดาว” แต่เป็น ตัวเลขที่เทียบตรงกันระหว่างวงรอบธาตุในธรณีกับวงรอบของจักรวาล ดังนั้น ธาตุที่เรียงตามกำลังดาว คือ ๑ ๓ ๗ ๘ ๒ ๔ ๕ ๖

ดาวเสวยแทรก เป็นเพียงทฤษฎีส่วนแยกว่า ในทุกวงรอบวัฏจักรจะมีวัฏจักรจำลองซ้อนอยู่ อันที่จริงก็คือวงรอบอันเดิมนั่นเอง แต่พลังงานธาตุจะลดลง เหมือนเราเอายางลบมาผูกเชือกแล้วแกว่งจนครบรอบ เมื่อพลังงานลดลง วงกลมจะมีขนาดเล็กลง แต่จะมีลักษณะจำลองวงรอบที่เกิดทีแรกสุด ดาวเสวยแทรกจึงมีอัตราส่วนขนาดเล็กลง และซ้อนกันได้หลายวงรอบ พลังงานธาตุที่ลดลงนี้ อันที่จริงแต่ละธาตุจะมีอัตราไม่เท่ากัน สัมพันธ์กับจันทรคติ แต่ที่เราเรียนรู้กันอยู่ กำหนดง่ายๆถือเป็นค่าเฉลี่ยเท่านั้น การจะอธิบายตรงนี้ ก็ลำบากปาก เพราะเป็นหลักวิชาใหญ่ ของหลายวิชาสำคัญของพวกวิชาธาตุในธรณีเกือบทุกวิชา ซึ่งต้องเรียนวิชาดวงจันทร์ก่อนเป็นประถม และมัธยม ก่อนเข้าไปเรียนวิชาหลัก ดาวเสวยแทรกเป็นความรู้ของโหรสาขาหนึ่งเท่านั้น โหรวิชามหาทักษาโดยตรงจะใช้ทักษา “อย่างอื่น” มาดูแทน โดยไม่ใช้ดาวเสวยแทรก ถือเป็นคนละนิกาย (สาขา)เลยก็ได้ แต่นิกายหลังนี้เก็บเป็นความลับสุดยอดมาก น่าทุบจริงๆ เพราะถึงรู้ก็ประยุกต์ใช้กับดวงชะตาไม่เป็น พวกที่นับทักษาแบบวิธีแปลกๆหลายๆแบบนั้นตกทอดมาจากนิกายนี้จำนวนมาก น่าเสียดายวิชาที่ดีๆหายสาบสูญไปเกือบหมดแล้ว

ที่เทวดาเสวยอายุ อธิบายความเป็นไปของชีวิตได้ ก็เพราะธาตุในมหาทักษา คือ ธาตุในธรณี ที่อยู่บนโลก รอบล้อมตัวเราอยู่ เหมือนน้ำที่ล้อมรอบตัวปลา ดังนั้น ธาตุที่มีผลต่อชีวิตของเรา คือธาตุในธรณี นอกเหนือ จากธาตุในจักรวาล คงจะอธิบายดื้อๆได้เพียงเท่านี้ ส่วนที่ว่า เหตุใดธรรมชาติจึงเป็นอย่างนั้น คงจะต้องบรรลุธรรมเสียก่อนมั้ง

0000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 2 คุณ นนท์............ปกติ ศุกร์กับเสาร์ คู่ศัตรูอยู่ด้วยกันก็มีปัญหาบ้าง แล้วแต่คุณภาพของดาวตามแต่ดวงของแต่ละคน ดวงคุณความรักไม่ดีจริง ศุกร์เป็นประ กุมเสาร์กาลกิณีเป็นนิจเล็งจันทร์จิตใจเข้าไปอีก อังคารเกษตรยิ่งทำให้วุ่นวายผิดหวังไม่รู้จบ ราหูปัตนิอายุก็อยู่เรือนพฤหัสบริวารเป็นประเล็งพฤหัสซ้ำเข้าไปอีกเหมือนกัน ดวงนี้มีความรักไม่สมหวัง ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วละครับ คือเลิกคิดได้ก็ดี หันไปทำมาหากินอย่างเดียว ความจริงดวงคุณมีเกณฑ์แต่งงานนะครับช่วงนี้ หากมีการหมั้นหมายตกลงก็แต่งงานได้ แต่ถ้ายังไม่มีแฟนอยู่เลย และจะให้แนะนำด้วยก็เกรงใจ ขอถือเป็นบทเรียนโหราศาสตร์ก็แล้วกัน คุณลองมองสาวๆที่เขาอกหัก หรือ หย่าร้างเลิกมาแล้ว ไม่รวย ไม่สวยหรือ ขี้เหร่เลย ถ้าเป็นกำพร้ามาด้วยจะถูกเสป็ค จึงจะแก้ได้ อย่าไปเลือกคนที่คุณชอบใจ อย่าไปมองเลย เกิดรักเข้าจะช้ำใจเปล่าๆ

0000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 3 คุณ นนท์............เรื่องนี้เป็นเรื่องเก่าเล่าใหม่หลายร้อยรอบแล้วครับ ตั้งแต่สมัยอยุธยา ยังไม่มีอินเตอร์เน็ทใช้ ก็มีข่าวลือทั้งสองข่าว คือ โลกจะถล่ม โลกจะแตก มีภัยพิบัติ และ พระศรีอารย์จุติ (ความจริงจุติ แปลว่าเคลื่อน คือ ตาย ไม่ได้แปลว่าเกิด แต่เขาหมายถึงเทวดาตาย ซึ่งไม่เหมือนมนุษย์คือหมดบุญแล้วก็เคลื่อนไปโลกอื่นเฉยๆ ตายแล้วไม่รู้จะไปไหน เพราะโลกมีอยู่แค่สามโลก คือ สวรรค์และพรหม โลกมนุษย์ และนรก ดังนั้น พรหมและเทวดาจุติ(ตาย) ก็เลยมาเกิดในโลกมนุษย์ลูกเดียว ดังนั้นเวลาพูดหรือเขียนให้ถูกจึงต้องว่า “เทวดาจุติ” ไม่ใช่ “เทวดามาจุติ”) สมัยพระเจ้าปราสาททองก็มี แค่ฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ตกใจลือกันใหญ่ ว่าโลกจะล่มแล้ว สมัยสมเด็จพระเจ้าตากทรงกำลังรบ***้ชาติอยู่ก็มี เจ้าพระฝางนั่นแหละลือกันว่าเป็นพระศรีอารย์มาเกิด

ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ มีฟ้าผ่าแถวๆท่าเตียนหลายครั้งซ้อนๆคนก็ลือกันอีก เพราะความรู้ยังไม่มี เนื่องจากประสาทพระราชวังวัดวาอารามเป็นยอดแหลมมาก อยู่ใกล้ที่ราบกว้างอย่างสนามหลวง ระบบป้องกันฟ้าผ่าไม่ดี ฟ้าก็ผ่าบ่อย มาสมัยนี้เรารู้ดาราศาสตร์มากขึ้น ก็กลัวอุกาบาตมาถล่มโลกแตก จะเห็นได้ว่า สาเหตุที่จะเกิดนั้นเป็นไปตามยุคสมัย และความรู้ แต่ที่เหมือนกัน คือ ความเพี้ยน และความเขลาของคนที่ลือกันต่อๆมา ไม่แตกต่างกันระหว่างเมื่อ 300 ปีก่อน กับสมัยนี้ เพียงแต่เปลี่ยนเรื่องไป สงสัยมันกลับชาติมาเกิดแล้วยังไม่หายมัน เมื่อหลายสิบปีก่อนใช้จดหมายลูกโซ่ พอมีอินเตอร์เน็ทก็เลยลือกันทางอินเตอร์เน็ท สองเรื่องนี้ในชนชาติอื่นก็มีลือกันทั่วโลกเหมือนกัน พวกที่ถือทางพุทธก็มีลือเรื่องพระศรีอารย์ ทางตะวันตกก็มีลือ ถึงคนในศาสนาเยอะแยะ เรื่องพระศรีอารย์ ในศรีลังกา พม่า จีน ลาว และไทย ลือกันมาก่อนเราเกิด เพราะไปแปลความในพระสูตรว่า พระศรีอารย์จะมาเกิดตอนกึ่งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่าพุทธศาสนาจะอยู่ได้ 5000 ปี ก็เลยจัดการหารสอง เล็งเอาปี 2500 ที่เขาสร้างพระเครื่องกันกลางสนามหลวงนั่น แล้วก็จัดการผูกดวงเด็กคนโน้นคนนี้ ว่านี่ไงพระศรีอารย์มาแล้ว ในพม่าก็มี ระยะเวลาเดียวกัน เลยเกิดการแย่งชิงตำแหน่งพระศรีอารย์กันใหญ่ในยุคนั้น ป่านนี้เด็กนั้นคงอายุ 48 ปีแล้วถ้าไม่ตายเสียก่อน นี่เกิดจากการตีความที่ผิด

ความจริงคนที่รู้อนาคตได้จริงอย่างที่คิดว่านอสตราดามุสทำได้นั้นไม่ใช่เรื่องแปลก พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ และคนทั่วไปก็ทำได้ เพียงแต่จะพูดหรือ ไม่พูด เท่านั้นเอง ทางโหราศาสตร์ไทยไม่ได้พยากรณ์วันสิ้นโลก ยกเว้นแต่พวกโหรต่องแต่ง พยากรณ์ออกทีวีเมืองไทยนั้นไม่เกี่ยว การพยากรณ์อนาคตนั้นมี 2 อย่าง คือพยากรณ์ความเป็นไป กับ เห็นเหตุการณ์ผ่านทางญานหยั่งรู้ ซึ่งมีจริงทั้งสองอย่าง ดวงคนบางคนรู้ได้ทั้งอดีต และ อนาคต เพราะอดีตและอนาคต นั้น มี “กาล”เป็นตัวจักรเท่านั้นเอง ญานใดที่ไม่ขึ้นกับกาล เป็น “อกาลิโก” ก็รู้ได้ถึงไหนหมด คำว่าอดีตและอนาคต เป็นความคิดรวบยอดชนิดหนึ่ง จริงๆแล้วมันไม่แตกต่างกันเลย เรื่องโลกแตกเราหมายถึงดาวเคราะห์ดวงนี้แตกเท่านั้น แต่โลกอื่นยังมีอีกเยอะแยะ ใครว่ามีโลกเดียว และใครเชื่อว่าพระศรีอารย์ต้องมาเกิดในโลกนี้ ก็คงประมาทธรรมชาติไปหน่อย


วรกุล - 7 กันยายน พ.ศ.2548 07:04น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
ขอโทษตอบคำถามที่ 3 เป็นคุณโกวเล้งครับ ผมพิมพ์ชื่อผิด


วรกุล - 7 กันยายน พ.ศ.2548 16:49น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีความสงสัยว่าเรื่องสองเรื่องต่อไปนี้จะมีความสัมพันธ์กันครับ ผมเข้าใจถูกผิดอย่างไรรบกวนให้อาจารย์ช่วยปรับให้ถูกต้องด้วยนะครับ… เรื่อง “มหาทักษา” กับเรื่อง “การบรรจุธาตุลงสู่ดวงชะตา” …. ขบวนการบรรจุธาตุลงสู่ดวงชะตาภายในระยะเวลา60ปีโดยประมาณนั้น จะเกิดขึ้นไปพร้อมกับการที่ดาวเข้าเสวยอายุตาม “มหาทักษา”... หากดาวศุกร์กำลังเสวยอายุ ก็ถือว่าธาตุดาวศุกร์กำลังถูกบรรจุลงสู่ดวงชะตา หากสมมุติพื้นดวงกำเนิดดาวศุกร์ ได้มาตรฐานมหาอุจจ์ ความเป็นมหาอุจจ์ของศุกร์จะแสดงผลชัดเจนเมื่อขณะที่ดาวศุกร์กำลังเสวยอายุ… ไม่รู้ที่ผมเข้าใจนี้เป็นการเข้าใจผิดแบบจับแพะชนแกะหรือเปล่าครับ…

ธาตุดาวบรรจุเข้าสู่ดวงชะตาแล้วหรือไม่ เราตรวจสอบได้จากอะไร ? ใช้เครื่องมือโหรตัวใหน ? ช่วยแนะนำด้วยครับ , มหาทักษา เป็นหนึ่งในหลายๆเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบว่าธาตุดาวเข้าสู่ดวงชะตาแล้วใช่หรือไม่ครับ….


ศ.fa200 - 7 กันยายน พ.ศ.2548 17:12น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
ตอบ 6 คุณ ศ.fa200.............เรื่องธาตุที่เข้าสู่ดวงชะตาเป็นเรื่องที่พูดอย่างย่อๆง่ายๆครับ ธรรมดาธาตุ ทั้งหลายมีองคประกอบหลายประการ ลองนึกดูว่าเรามีดินก้อนหนึ่งเท่ากำปั้น ในก้อนดินนี้ประกอบไปด้วยน้ำบ้าง แร่ธาตุบ้าง อินทรียสาร ซากพืชซากสัตว์บ้าง อะไรต่ออะไรมากมาย ธาตุทางโหราศาสตร์ก็เป็นองคประกอบหลายประเภทเหมือนกัน มีทั้งพลังงาน รูปธรรม นามธรรม และกรรมเป็นต้น ดวงชะตาคนเรา เมื่อเกิดมา องคประกอบทั้งหมดอยู่ในสภาพที่ยังไม่ทำงานหมด จึงรอธาตุจากจักรวาลมาทำปฏิกริยา แล้วแต่ดวงชะตาของแต่ละคน ซึ่งดูจากวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาล เช่น พวกลัคนาจร ชันษาจร อะไรพวกนั้น ส่วนธาตุในธรณี (เช่น มหาทักษา) ก็คล้ายธาตุจากจักรวาลแต่มีเสป็คต่างกันอยู่หลายอย่าง เพียงแต่ใช้แทนกันได้ ดาวเสวยอายุคือ ลำดับของธาตุในธรณี ที่เข้ามามีอิทธิพลต่อธาตุในดวงชะตา เป็นคนละวงรอบกัน ดังนั้น ดาวเสวยอายุจึงไม่เกี่ยวกับการบรรจุธาตุในดวงชะตา แต่มีผลต่อธาตุในดวงชะตา

ธาตุในดวงชะตาถูกบรรจุลงมาแล้วหรือไม่ ปกติเราใช้คำนวณเอาโดยประมาณ แต่จริงๆก็ต้องตรวจสอบจากเหตุการณ์ เช่น อายุเท่านี้ ควรจะมีชื่อเสียงแล้ว หากมีข้อมูลว่าเกิดเหตุการณ์ใด เราก็สามารถรู้ได้ว่าเป็นไปตามจริงแล้ว ทางปฏิบัตินั้น โหรมักใช้เหตุการณ์เป็นเครื่องมือตรวจสอบ ดังนั้น จึงเคยบอกแล้วว่า ผู้มาให้พยากรณ์ต้องให้ข้อมูลข้อเท็จจริงพอสมควร เช่น แต่งงานแล้ว มีบุตรแล้ว หากมาหลอกว่ายังไม่แต่งงาน ไม่เคยมีบุตร ทั้งๆที่มีภรรยามา 5 คน ลูก 17 คนแล้ว แบบนี้หมอดูจะทำนายผิดได้เป็นเรื่องธรรมดา

ดาวในดวงชะตาทุกดวง ไม่เฉพาะที่เป็นศุกร์มหาอุจอย่างที่คุณยกตัวอย่าง ต่างก็มีปฏิกิริยาต่อธาตุทั้งสองพวก ส่วนใหญ่ธาตุในธรณีจะมีผลแคบ แก่ดาวดวงหนึ่งๆ ที่สัมพันธ์กันไม่กี่ดวง แต่ธาตุในจักรวาลมีผลต่อโครงสร้างดาวกว้างกว่า และนานกว่า นอกจากธาตุในธรณีและจักรวาล สองแห่งแล้ว ยังมีแหล่งธาตุที่เคลื่อนไหวอยู่ในชั้นบรรยากาศ ดังนั้น จึงมีโหรบางท่านใช้ วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากธาตุในชั้นนี้ ซึ่งสำคัญมากเหมือนกัน และยังสำคัญต่อการวางฤกษ์ด้วย


วรกุล - 9 กันยายน พ.ศ.2548 04:23น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 8
สวัสดีครับ อาจารย์วรกุล

ผมมีเรื่องขอเรียนถาม คือผมกำลังจะส่งลูก(สาว)คนเดียวไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ ยังเด็กครับจะจบ ป.6 มีนาคม 49 ก็คิดว่าจะส่งไปครับ ทำใจไม่ได้จริงๆครับ เป็นห่วงมากแต่ก็อยากจะให้ลูกไป อาจารย์พอจะกรุณาแนะนำผมได้ไหมครับ

รายละเอียดดวงชะตาครับ

1. ลัคน อยู่ราศี กรกฏครับ

2.ดาว 4 9 2 1 อยู่ ราศรี เมษา

3. ดาว 3 อยู่ ราศรีมีน

4. ดาว 7 อยู่ราศรีกุม

5. ดาว 0 อยู่ราศรี ธนู

6. ดาว 8 5 อยู่ราศรีตูล

7. ดาว 6 ราศรี พฤษ

ขอบคุณมากครับ เป็นห่วงลูกสาวจริงๆ


ธนกฤต - 10 กันยายน พ.ศ.2548 02:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
ตอบ 8 คุณ ธนกฤต.........วันหลังเวลาไปให้ใครเขาทำนายให้ ให้บอกเพียง วัน เดือน ปี เวลาเกิด และสถานที่เกิด แล้วเขาจะไปผูกดวงเอง ที่คุณบอกตำแหน่งดาวมาให้ยังไม่ถูกตามปฏิทินที่ผมใช้ ดังนั้น ขอให้บอก วันเดือนปี เวลาเกิด และสถานที่เกิดของลูกสาวคุณ และตัวคุณ และ ของแม่เด็ก (ถ้ายังอยู่ด้วยกัน) มาด้วย (ถ้ามี) เด็กที่มีอายุไม่เกิน 12 เวลาดูต้องอาศัยดูดวงพ่อ หรือ แม่ด้วยครับ


วรกุล - 10 กันยายน พ.ศ.2548 13:54น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
ขอบคุณครับอาจารย์

ลูกสาวเกิดวันที่ 11 พฤษภาคม 2537 เวลา 11.30 ที่จังหวัดสุราษฏร์ธานี ครับ คุณแม่เขา เกิด 21 มีนาคม 2508 เวลา 17.05 จังหวัดขอนแก่น ส่วนตัวผม เกิด 7 กันยายน 2502 ที่อำนาจเจริญเวลาเกิดไม่แน่นอน คุณแม่บอกเพียงว่าก่อนสว่าง แต่เคยมีหมอดูผูกดวงให้ว่าอยู่ราศรีตุล ยังไงขอความกรุณาอาจารย์ดูให้ด้วย ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งครับ


ธนกฤต - 10 กันยายน พ.ศ.2548 14:08น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบ 8 10 คุณ ธนกฤต.........ดวงชะตาลูกสาวคุณช่วงนี้ไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ทางจิตใจ หากส่งไปเรียนหลังมีนาคม 49 ไปแล้ว นอกจากจะรู้สึกเซ็ง ไม่สงบสุขและปรับตัวยาก เรื่องอื่นๆก็ไม่มีอันตรายอะไรเลย จริงๆแล้วดวงชะตาเขาก็ต้องไปต่างประเทศหลายครั้งอยู่แล้ว เมื่อโตขึ้น แต่ต่อไปก็เป็นเรื่องความจำเป็น ไม่ใช่ความสนุก จนถึงอาจไปทำมาหากินอยู่ต่างประเทศได้ในวันข้างหน้า เพียงแต่ในช่วงนี้ หากต้องไปก็ต้องมีปัญหาที่จะขาดความสุข ปรับตัวยาก ภายในอายุ 12 -16 ปีนี้ จะมีปัญหาด้านอารมณ์มาก อายุ 17 – 18 ปีไปแล้ว มีเกณฑ์ไปเรียนต่างประเทศอย่างสบายใจกว่า ดังนั้น หากจะให้แนะนำกันจริงๆ และ หากเราห่วงแคร์ความรู้สึกของลูก ก็น่าที่จะยังไม่ให้ไปตอนนี้ ผมเองไม่รู้สถานการณ์ของสิ่งแวดล้อมที่คุณเตรียมไว้ให้ลูก ดูจากดวงคุณทั้งสองคน ก็มีทางที่จะส่งลูกไป และไม่พบอะไรที่เป็นปัญหานอกจากความห่วงใยเท่านั้น สำหรับเด็กเอง อายุ ราว 18 -19 ไปแล้ว จะมีการย้ายที่อยู่เรื่อย ทั้งที่เกิดจากการเรียนและสภาพแวดล้อม ก็จะมีความเหน็ดเหนื่อยลำบากลำบนอยู่หลายปีในช่วงที่เรียนปริญญาตรี การเรียนของเขาก็สำเร็จได้ด้วยดีไม่มีปัญหา


วรกุล - 11 กันยายน พ.ศ.2548 17:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
ขอบคุณมากครับอาจารย์ ผมก็ยังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะทำยังไง


ธนกฤต - 11 กันยายน พ.ศ.2548 17:50น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียนอาจารย์วรกุลที่นับถือ

รบกวนอาจารย์ช่วยอธิบายให้หน่อยซิค่ะ

-ลัคอยู่ราศีพิจิก เป็นดวงกีฏะ คนที่มีลัคอยู่ราศีนี้มีขอยกเว้นไม่มีวินาศ

รบกวนขอคำอธิบายจากอาจารย์ด้วยนะค่ะ ขอบคุณมากค่ะ -ขอเบอร์ติดต่อาจารย์ด้วยนะค่ะ


วีริศราพร วีริศราพร ( [email protected] - 11 กันยายน พ.ศ.2548 17:53น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีความสงสัยเรื่องวิธีการพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตอย่างกว้างๆ (ต่อครับ) เพื่อให้รู้ว่าวัยใดมีแนวโน้มกว้างๆขึ้นลงอย่างไร … เราต้องตรวจสอบจากภูมิกำเนิดในวัฐจักรส่วนใหญ่ เช่น วันเกิดในทักษาเทวดาเสวยอายุ , จากยามกำเนิดในวงรอบนักษัตร ซึ่งเป็นพื้นฐานรองรับชีวิตอยู่ ( เป็นการตรวจวัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมของชีวิต )…. ผมมีความสงสัยว่า การพยากรณ์วัยโดยตนุลัคน์เสวยอายุ ( ถ้าลัคนาราศีใดถือเอาเกษตรเจ้าเรือนราศีนั้นเข้าควบคุมชีวิตก่อน ) เรื่องนี้ถือเป็นวัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมด้วยหรือไม่ครับ ? …. และถือเป็นการตรวจวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาล หรือเป็นการตรวจวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากธรณีครับ ?

โดยความเข้าใจของผมตอนนี้….หากการพยากรณ์วัยโดยตนุลัคน์เสวยอายุ ไม่ได้เป็นการตรวจวัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมของชีวิต ก็จะเป็นการตรวจวัยในวัฐจักรชีวิตที่เป็นตัวชะตาจริงๆ ซึ่งเริ่มจากลัคนา จากความเข้าใจนี้ของผมตอนนี้ทำให้เกิดความสงสัยต่อไปว่า การตรวจในระดับสองระดับนี้ ย่อมให้ผลการพยากรณ์ที่ขัดแย้งกันได้ เช่น วัยที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมของชีวิตบอกว่าแย่มาก( หากชีวิตคือปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำ ก็คงกำลังเจอกับสภาพน้ำที่ขุ่น มีตะกอน และมีออกซิเจนต่ำ ) แต่การตรวจวัยในวัฐจักรชีวิตบอกว่ากำลังรุ่งโรจน์ ….. หากเป็นเช่นนี้เความเป็นไปของชีวิตหรือดวงชะตาจะเป็นอย่างไรครับ…..

วิธีการนับตั้งต้นมหาทักษา(เทวดาเสวยอายุ) โดยให้ภูมิวันเกิด กับ ภูมิตนุลัคน์ วิธีใหนมีความถูกต้องกลมกลืนกับความเป็นไปของชีวิตมากกว่ากันครับ หรือ ทั้งสองวิธีต่างมีข้อดีข้อด้อย และมีวัตถุประสงค์แตกต่างกัน ขอให้อาจารย์ช่วยให้ความกระจ่างด้วยครับ…..

วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาล เช่น พวกลัคนาจร ชันษาจร กับวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากธรณีเช่น มหาทักษามีเสป็คต่างกันอยู่หลายอย่างและถือเป็นคนละวงรอบกัน....ผมมีความสงสัยว่าเมื่อ ความเป็นไปของชีวิตนั้นเป็นผลมาจากวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาลและวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากธรณีทั้งสองส่วน เราสามารถใส่weightน้ำหนักได้ไหมครับว่าส่วนใหนสำคัญมีอิทธิพลมากกว่ากัน หรือส่วนใหนมุ่งเน้นบอกความเป็นไปของชีวิตในแง่ใด และจะวินิจฉัยระยะเวลาการเกิดเหตุการณ์ได้อย่างไรหากสองวงรอบเกิดขัดแย้งกันเนื่องจากเป็นคนละวงรอบ ( เราควรยึดถือคำวินิจฉัยจากวงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาลเป็นหลักใช่หรือเปล่าครับ).....รบกวนอาจารย์ด้วยครับ.....


ศ.fa200 - 11 กันยายน พ.ศ.2548 19:22น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบ 13 คุณวีริศราพร.........เรื่องที่ว่า ลัคนาอยู่ราศีพิจิก ยกเว้นไม่มีวินาสน์นั้น เป็นคำที่กำกวม ขึ้นอยู่กับว่าจะแปลวินาสน์ว่าอย่างไร ในกรณีนี้ ราศีตุลย์ เป็นเรือน วินาสน์ ความหมายคือ แตกสลาย ลับๆ หรือ ชั่วคราว แต่ทางโหราศาสตร์ไทย เป็นเกษตรเรือนเดียวกับ เรือนปัตนิ ที่ราศีพฤศภ เรือนปัตนินั้น ปกติเราแปลว่า เพศตรงข้าม คู่ครอง หรือ ผู้ร่วมงาน ก็ได้ อีกความหมายหนึ่งทางปรัชญา หมายถึง ความเปิดเผย เห็นได้ง่าย อยู่ร่วมกับเรา ดังนั้น ความหมายที่เป็นเรือน แตกสลาย ลับๆ หรือ ชั่วคราว จึงไม่เกิดขึ้น จึงอาจจะพูดได้ว่า ยกเว้นวินาสน์ แต่ดาวเจ้าเรือนวินาสน์นั้นยังนำเอาความหมายเกษตรทั้ง ปัตนิ และวินาสน์ติดไปกับตัวมันอยู่ทั้งสองเรือนเท่ากับเรือนอื่นเช่นกัน ดังนั้น ยังต้องอ่านวินาสน์ที่เจ้าเรือนวินาสน์อยู่ตามปกติ แต่ถ้าเหตุผลเพียงเท่านี้ ลัคนา ราศีพฤษภ ก็มี ปัตนิ - วินาสน์ในลักษณะเดียวกัน ทำไมไม่ยกเว้นด้วย ทั้งนี้ก็เพราะ ราศีตุลย์นั้น เป็นปัตนิของลัคนาโลกที่ราศีเมษด้วย ดังนั้น จึงย้ำความเป็นปัตนิให้แก่ลัคนาราศีพิจิกนั่นเอง

เรื่องกีฏะ คือ ราศีพิจิกนั้นมีความพิเศษอีกหลายอย่าง ไม่เหมือนราศีอื่น เช่น คนในราศีนี้ มักจะมีอะไรพิเศษ ทำอะไรหากจะดังก็ดังมาก ทั้งทางดีหรือ เลวได้ทั้งสองทาง บางคนก็หนังเหนียว ปลุกพระขึ้นดี ในโหราศาสตร์ทางธาตุเราจะรู้ว่า เป็นจุดที่เป็นเหมือนวังน้ำวน ธาตุจะหมุนรอบตัวในราศีนี้ก่อนที่จะจรต่อไปเสมอ ดังนั้น ราศีพิจิกของใคร เป็นเรือนอะไร ก็จะพบว่า เรือนนั้นมักจะมีเรื่องวนๆ เช่น ราศีพิจิกเป็นเรือนปุตตะ เคยเป็นเด็กมา พอโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว กลับไปเล่นเป็นเด็กอีก บางทีก็ไปเล่นแข่งรถกับเด็ก เพราะนึกสนุกก็มี อันนี้เป็นเรื่องทำนายกันเล่น อย่าไปถือเป็นจริงจังนัก

เบอร์โทรผม ทั้งอีเมล ไม่อยากบอกใครครับ เพราะเอาไว้ทำงานอื่น ผมไม่เปิดเผยตัว ไม่อยากให้ใครรู้ ทำให้สบายใจดีทุกเรื่อง เรื่องโหราศาสตร์ก็ถามได้อ่านได้ที่นี่แหละครับ นอกจากจำเป็น เพราะมีอะไรส่วนตัว ค่อยว่ากันใหม่นะครับ


วรกุล - 12 กันยายน พ.ศ.2548 04:40น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบ 14 คุณ ศ.fa200...........เรื่องการใช้วงรอบธรรมชาตินั้น หากเราใช้เทวดาเสวยอายุตามมหาทักษา ก็เป็นวงรอบของธาตุในธรณี หรือ ธาตุบนโลก แต่หากใช้ตนุลัคน์ อันนั้นเป็นธาตุจากจักรวาล หรือ ธาตุในจักรราศี การที่เราเอามาใช้ปนกัน โดยเอาตนุลัคน์ ไปใช้ในเทวดาเสวยอายุ ต้องไปถามผู้ที่นำมาใช้ครับ ว่าใช้อย่างไร หากเป็นไปตามหลักการแล้ว ถ้าเราเอาธาตุใดเป็นตัวตั้งต้นเข้าวงจรธาตุในเทวดาเสวยอายุ วงจรมหาทักษานั้นจะไม่เคลื่อนคือ หมุนเวียน ดังนั้น จึงนับอายุตามกำลังดาวมหาทักษาไม่ได้ เท่าที่ทำกันมาบางอาจารย์นำเอาวงรอบมหาทักษาพร้อมกำลังดาว กลับไปนับในจักรราศีแทน เคยเห็นอยู่ในนิยายชุด หมอเถาวัลย์ ของอาจารย์อรุณ ลำเพ็ญ วิธีนั้น เป็นเพียงที่ผมชี้ให้เห็นเป็นตัวอย่าง แต่ไม่รับรองว่าเป็นวิธีที่ถูก ที่ใช้อย่างพิสดารกว่านั้นก็มี

สำหรับ การนำตนุลัคน์ มานับวัย เมื่อใช้ในจักรราศี ก็เป็นการนับธาตุจากจักรวาล การนับวงรอบธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นวงรอบในธรณี หรือ ในจักรวาล นั้นมีเหตุอยู่หลายอย่าง แต่ที่เรารู้จักใช้กันบ่อย แบ่งเป็นสองอย่างคือ หนึ่ง เป็นวงรอบที่เกิดจากการเคลื่อนของจุดเจ้าชะตา เช่น ลัคนา หรือ ตนุลัคน์ หรือ จะเป็น อาทิตย์ จันทร์ ตนุเศษ ก็ได้ ปัจจัยจุดเจ้าชะตาเหล่านี้ เปรียบเสมือนดาว ดังนั้น เมื่ออยู่ในจักรวาลที่มีกระแสธาตุขับเคลื่อนหมุนวนอยู่ ตัวมันก็จะเคลื่อนที่ได้เหมือนดาวจรเช่นกัน เมื่อ จุดเจ้าชะตาเคลื่อนที่ไปยังที่ใด ดวงชะตาก็จะเคลื่อนไปตามด้วย การเคลื่อนของเจ้าชะตานี้ไม่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่เป็นเรื่องของธาตุในชีวิตเจ้าชะตาเปลี่ยนแปลงไปเองตามวัฎจักร การพยากรณ์ก็เหมือนตั้งดวงชะตาใหม่ขึ้นมาในวัยนั้น เช่น พวกลัคนาจร ชัณษาจร

สอง วงรอบเกิดจากสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ในพวกวงรอบนี้ เป็นวงรอบที่เกิดจากธาตุแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะต่างจากธาตุที่เป็นของเจ้าชะตาในกลุ่มที่หนึ่ง สิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง มีทั้งที่เกิดจากธาตุในธรณี เช่นมหาทักษาเทวดาเสวยอายุ และ ธาตุในจักรวาล เช่น กาลจักร หรือ ตรีวัย หรือ วงรอบนักษัตร ดังนั้น วงรอบในกลุ่มสองนี้ก็เหมือนกับการดูดาวจรกระทบดาวเดิมในกลุ่มหนึ่ง ทำนองนั้น ส่วนจะดูอย่างใดก็ต้องแล้วแต่วิธีการของแต่ละวิชา ที่คุณเปรียบเทียบสิ่งที่เกิดจากวงจรที่ต่างกันว่าเกิดขัดแย้งกันจะทำนายอย่างใด เป็นความสับสนเรื่องวงจรแล้วครับ วงรอบธาตุในธรณี ก็มีทั้งพวก หนึ่งและสอง วงรอบธาตุในจักรวาลก็มีทั้งหนึ่งและสอง จุดสำคัญที่สุดที่ทำให้ หนึ่ง และ สอง ต่างกันคือ จุดเจ้าชะตานั่นแหละ หากคุณเอามหาทักษา มาใช้กับดวงชะตา หรือ เอา ตนุลัคน์ จากดวงชะตา ไปใช้ในมหาทักษา ซึ่งเป็นคนละวงรอบกัน ก็ต้องใช้ให้เป็น ใช้ให้ถูก ข้อความนี้ย้ำมาหลายครั้งแล้ว อย่าสับสนเมื่อเห็นเป็นวงรอบธรรมชาติ ก็เอามาใช้ปนกันหมด หากไม่มีใครสอน ก็อย่าทำเองด้วย เพราะต้องอาศัยความรู้ชั้นสูงในการเทียบวงรอบ

ผมจะสมมุติว่าตัวเราเอง สมมุติว่าเราเกิดมาแล้วร่างกายก็พัฒนาเติบโตขึ้น ธาตุในกายก็เปลี่ยนไปตามดวงกำเนิด และมีการเคลื่อนไปตามวงรอบเนื่องจากธาตุในตัวเอง นี่เป็นวงรอบในกลุ่มที่ หนึ่งนั่นเอง สมมุติ พออายุ 22 เราไม่ค่อยแข็งแรง เป็นหวัดง่าย แต่สิ่งแวดล้อมของเรา ตามวงจรธาตุในกลุ่มที่สอง หมุนเวียนเปลี่ยนมาตอนอายุ 22 เป็นสิ่งแวดล้อมที่ดี ก็เหมือนอากาศที่ดี ไม่มีฝนไม่มีพายุ แม้เราจะไม่แข็งแรง เหตุการณ์ก็เป็นไปตามสุขภาพเท่านั้น พออายุ 25 บรรยากาศสิ่งแวดล้อมไม่ดี มีมลพิษ ที่ทำให้เราแย่ลง เราก็เจ็บป่วยได้ เพราะสิ่งแวดล้อมไม่ดี การที่จะพิจารณาว่าสิ่งไหนมีอิทธิพลมากกว่ากันนั้น ต้องถือว่าวงจรธาตุที่เป็นตัวเรามีความสำคัญกว่า ส่วนสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งที่ซ้ำเติม หรือ เป็นเหตุคอยส่งเสริมเท่านั้น แต่สิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญมาก หากชีวิต กับสิ่งแวดล้อมดี เลวเป็นไปในทางเดียวกัน จะทำให้เหตุการณ์นั้นรุนแรงขึ้น และสิ่งแวดล้อมจะมีความสำคัญมากขึ้น เมื่อดวงชะตาหมุนมาอยู่ในตำแหน่งที่ธาตุอ่อนแอ เหตุการณ์ก็จะเกิดจากสิ่งแวดล้อมล้วนๆได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอ่านได้จากดวงชะตาชีวิตครับ ไม่ใช่ไปอ่านที่สิ่งแวดล้อม เช่น ฝนตกหนัก ทำให้เราเป็นหวัด ต้องอ่านที่ตัวเราว่าเป็นหวัด แล้วปอดบวม หรือ เป็นอะไรต่อไป ไม่ใช่ไปตามดู ฝน ที่เป็นสิ่งแวดล้อม เพราะฝนเป็นเพียงสาเหตุ แต่มันตกแล้วจะไหลไปทางไหนก็เรื่องของมัน ไม่เกี่ยวกับเราอีก

หรือ จะเปรียบเทียบอีกที เหมือนกับชีวิตเราเป็นเหมือนรถยนต์โฟร์วีลส์ ที่เคลื่อนที่ได้ รถยนต์ทั้งคันคือ ชีวิตที่เคลื่อนที่ไป รถคันนี้ขับเข้าไปในชนบท สิ่งแวดล้อมก็คือ ถนน ดินลูกรัง หลุมบ่อ ท้องนา และป่าเขา สิ่งแวดล้อมนั้นคือ ธรรมชาติ ที่แม้ไม่มีรถยนต์ หรือใครผ่านไปมา มันก็เป็นของมันเช่นนั้นอยู่แล้ว


วรกุล - 12 กันยายน พ.ศ.2548 16:46น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
ผมหลีกเลี่ยงไม่เขียนเรื่องเกณฑ์ดาวเสียนาน เพราะใจจริงแล้วยังไม่อยากให้คนที่เพิ่งเริ่มเรียนใช้ เนื่องจากเกณฑ์ดาวนั้นมีอยู่มากมาย มีทั้งเกณฑ์ทั่วๆไป และเกณฑ์เฉพาะดาวก็มี ในโหราศาสตร์ไทยนั้น ปกติเกณฑ์ดาวที่ใช้กันบ่อยจะมีไม่กี่อย่าง อย่างอื่นๆไม่ใช่ว่าไม่มี เพียงแต่ไม่ใช้เท่านั้น มักจะเก็บไว้ใช้ในกรณีพิเศษ แต่โหราศาสตร์อื่น โดยเฉพาะที่มาจากถิ่นอื่นๆจะมีเกณฑ์ดาวมาก อย่างภารตะ มีโยคเกณฑ์ หรือ ที่ไทยเรียกว่า ดาวเข้ารูป จำนวนมาก เป็นพัน ถึงหมื่นโศลก (สะ-โหลก) ใครเรียนแล้ว ถึงอยากจะใช้ก็ใช้ไม่หมด ก็จำเป็นต้องเลือกใช้เอาที่มีประสิทธิภาพหน่อย เรื่องเกณฑ์ดาวเป็นเรื่องเขียนง่าย และยาก หากเขียนง่ายๆ ก็เขียนรวมๆกันไป ไม่ต้องชี้พื้นฐานข้อแตกต่าง แต่หากจะเขียนให้ยาก ลงลึกรายละเอียด อาจจะได้วิทยานิพนธ์โหราศาสตร์เล่มใหญ่ๆ เลยก็ได้

เกณฑ์ดาว คือ ลักษณะความสัมพันธ์ของดาวเข้ารูป ระหว่างดาวกับดาว หรือ ระหว่างดาวกับเรือน หรือ ราศี ดังนั้น เวลาพบเกณฑ์ดาวเราต้องแยกแยะไว้ก่อนว่า เกณฑ์อะไรกันแน่ เกณฑ์ระหว่างดาว ส่วนใหญ่จะเป็นเกณฑ์ที่ถึงจุดเจ้าชะตาทั้งหลาย ทั้งลัคนา ตนุลัคนา ตนุเศษ อาทิตย์ จันทร์ พฤหัส และดาวที่เป็นเจ้าการแต่ละเรื่อง หรือ การก (กา-รก)ทั้งหลาย นอกเหนือจากนี้ก็มี แต่ไม่รู้จะจำไปทำไม เกณฑ์ระหว่างดาว มีผลระหว่างดาว กับดาว ทำให้คุณภาพดาวดีขึ้นหรือ เสียไป ดังนั้น จึงมักมีผลแรงในกรณีกระทำกรรมใหม่ และผลทางดาวโคจรทั้งหลาย ส่วนเกณฑ์ดาวกับเรือนหรือ ราศีนั้น ต้องระวังให้ดี เพราะต้องทราบก่อนว่าเป็นเรือนชะตาชนิดไหน หากเป็นเรือนภวจักร ก็ต้องรู้ว่า เป็นภวจักรที่กำหนด “ภพ” อย่างใด ส่วนใหญ่ เกณฑ์เหล่านี้มักเกิดจากภวจักร เพราะเรือนชะตาจากราศีจักร มักมีไม่กี่เกณฑ์ เช่นที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทย ที่แย่สุดๆตอนนี้ คือตำราส่วนมากมักเอาเกณฑ์จากภวจักร มาผสมปนเปกันใช้ในราศีจักร และยังไม่ใช่ราศีจักรแบบไทย แต่เป็นราศีจักรฝรั่ง จนนักศึกษาโหราศาสตร์รู่นใหม่ที่เริ่มแก่ตัวมาสอนเขาต่อ ทำเอาตำราเสียไปทั้งสองจำพวก ไม่รู้จะแก้อย่างไรแล้ว เกณฑ์ดาวกับเรือนนี้ มักใช้ทำนายชะตากรรมที่เกี่ยวกับกรรมเดิมหรือ ดวงเดิม ดังนั้น พวกที่ใช้วงรอบธรรมชาติทั้งหลายมักจะเพ่งเล็งดูเกณฑ์นี้มากกว่า เกณฑ์แบบแรก

กรณีศึกษา ขอยกเอาเกณฑ์ดาวในโหราศาสตร์ไทยก็แล้วกัน เกณฑ์ดาว ต่อ ดาว ยังแบ่งออกเป็นอีก สองประเภท คือ เกณฑ์ทั่วไป กับ เกณฑ์พิเศษ เกณฑ์ทั่วไปนั้น เป็นเกณฑ์ร่วมที่เกิดจากราศีธาตุ ที่เราใช้มากก็คือ ตรีโกณ และจตุโกณ แต่ทางไทยเดิมเรียกว่า เป็น 1 5 9 หรือ 1 4 7 10 เพราะเรือนชะตาแบบไทยเป็นเรือนชะตาแบบเชิงเส้น เหมือนกับเอาเชือกมาพันรอบอ่างกลม หรือ เอาแถวรถไฟมาพันรอบสนามวงกลม แต่ละตู้โบกี้คือ แต่ละเรือน เวลาธาตุมันวิ่งจะวิ่งทวนเข็มนาฬิกาไปตามเรือน ต่างกับเรือนชะตาโหราศาสตร์อื่นที่เป็นวงกลมมีจุดศุนย์กลาง ข้อแตกต่างอันนี้ มีผลมากต่อการตีความหลักการพยากรณ์ในโหราศาสตร์ และก็เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งด้วยที่ทำให้จักรราศีแบบโหราศาสตร์ไทยต่างจากโหราศาสตร์อื่น

ส่วน เกณฑ์พิเศษ เป็นเกณฑ์เฉพาะดาว เช่น พฤหัส เป็น 5 และ 9 เสาร์ เป็น 3 และ 10 อังคาร เป็น 4 และ 8 นี่เป็นเกณฑ์ที่ตรงกับโหราศาสตร์อื่นก็จริง แต่พึงระวังเรื่องภวจักร กับประเภทจักรราศีด้วย ส่วนดาวอื่นๆนั้น มีเกณฑ์ที่ตรงบ้างหรือไม่ตรงบ้างกับโหราศาสตร์อื่น ที่มักใช้ในโหราศาสตร์ไทยบางกลุ่มคือ อาทิตย์ เป็น 6 และ 2 จันทร์ เป็น 2 และ 7 พุธเป็น 4 ศุกร์เป็น 3 และ11 ราหู เป็น 12 (ในทิศทวนเข็มนาฬิกา หรือ เป็น 2 ในทิศย้อนจักร บางท่าน ถือ เป็น 8 ในทิศทวนเข็มนาฬิกาด้วยก็มี) นอกจากนี้ มีมติบางอาจารย์ว่า เกตุ เป็น 10 (ทวนเข็มนาฬิกา) และ มฤตยู เป็น 4 บางท่าน จึงเรียกเกณฑ์ดาวชุดนี้รวมกันว่า เกณฑ์ โสฬส หรือ โสฬสเกณฑ์ หมายถึง เกณฑ์สูงสุด แบบเดียวกับพรหม มี 16 ชั้น ชั้น 16 สูงสุด เรียกว่า โสฬสพรหม แต่บางคนว่านับรวมกันทั้งเกตุและมฤตยูดัวยรวมได้ 16 เกณฑ์ คือโสฬส (16) แต่คำนี้ไม่แพร่หลาย ที่บอกไว้เพราะอาจจะไปได้ยินจากที่อื่นแล้วจะสงสัย เท่านั้น

ของแถม.....ปกติความหมาย โสฬส ในตำราเก่าๆจะหมายถึง พิเศษ หรือ สำคัญ หรือ สูงสุด ไม่จำเป็นต้องเท่ากับ 16 ทีเดียว มาตราเงินไทยสมัยก่อนก็มีเงินเป็นโสฬส เช่น 400 เบี้ยเท่ากับ 1 ซีก / 200 เบี้ยเท่ากับ 1 เสี้ยว / 100 เบี้ยเท่ากับ 1 อัฐ / 50 เบี้ยเท่ากับ 1 โสฬส / 16 โสฬส เท่ากับ 1 เฟื้อง / 6400 เบี้ย เท่ากับ 1 บาท / 4 บาท เท่ากับ 1 ทองทิพ หรือ 1 ตำลึง / 8 บาทเท่ากับ 1 ทองทศ หรือ 2 ตำลึง / 4 สลึง เป็น 1 บาท / 4 บาท เป็น 1 ตำลึง / 80 ตำลึงเป็น 1 ชั่ง นี่เป็นมาตราเงินที่มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ดังนั้น คำบางคำอาจติดมาในโหราศาสตร์ได้

ส่วนจำพวก เกณฑ์ ดาวต่อเรือนและราศี พวกเราก็มักจะรู้จัก พวกราศีเกณฑ์ องคเกณฑ์ โกมุทเกณฑ์ ธนูเกณฑ์ ธรรมเกณฑ์ สิงหเกณฑ์ อุดมเกณฑ์ และสารพัดเกณฑ์ดีแล้ว เปิดตำราไหนก็มี พวก พินธุบาทว์ก็เป็นเกณฑ์อย่างหนึ่ง ดังนั้น ก็ต้องระวังเรื่องการใช้ในภวจักร และประเภทจักรราศีด้วยเหมือนกัน นอกจากเกณฑ์เหล่านี้ยังมีที่ใช้เป็นเคล็ดลับอยู่อีกราว 2 – 3 ชุด มีวิธีใช้ที่แยบยล ไม่ได้ดูแบบง่ายๆชั้นเดียว อธิบายเป็นตัวหนังสือไม่ได้ อยากจะเปรียบเทียบคล้ายกับการเดินม้าหมากรุกไทย พวกมือชั้นอาจารย์จะใช้เกณฑ์แบบนั้นจนชำนาญ ถ่ายทอดกันเฉพาะตัวบุคคล หากเห็นใครใช้ก็ไปขอเรียนเอาเองก็แล้วกัน พวกดู ดวง 3 ชั้น 5 ชั้น ก็เป็นดวงเกณฑ์อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน

หากเป็นมืออาชีพเฉพาะที่ทำมาหากิน ดูเร็ว จะไม่ใช้เกณฑ์อื่น ยกเว้นแต่เรื่อง ตรีโกณ และจตุโกณ เพราะเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากมีผลต่อดาวทั่วไปทั้งดาวจรและดาวเดิม ส่วนใหญ่พวกเรานักเรียนที่เรียนโหราศาสตร์ไทย สังเกตุว่าไม่ค่อยจะใช้เกณฑ์ทั้งสองนี้เพราะใช้ไม่เป็น ดูแล้วงง วุ่นวาย แต่ทั้งสองเกณฑ์นี้ เป็นทางร่วมไปสู่โหราศาสตร์ไทยอีกหลายวิชา บางสำนักก็ใช้เกณฑ์แค่นี้เป็นหลักก็พอแล้ว ใช้แล้วก็ติดจนชิน ถ้าเราบังคับเขาไม่ให้ใช้ ตรีโกณ จตุโกณ เอามือปิดเอาไว้ จะทำนายไม่ค่อยออก เหมือนเล่นหมากรุกแล้วไม่ให้ใช้ โคน ม้า เรือ ก็ไปเล่นหมากฮอสเสียเลยก็หมดเรื่อง


วรกุล - 13 กันยายน พ.ศ.2548 04:14น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีความสงสัยเรื่องวิธีการพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตอย่างกว้างๆ (ต่อครับ) เพื่อให้รู้ว่าวัยใดมีแนวโน้มกว้างๆขึ้นลงอย่างไร….การใช้วงรอบธรรมชาติที่เกิดจากจักรวาล อันได้แก่ ชัณษาจร เป็นวิธีการหนึ่งในหลายๆวิธี….ผมมีความสงสัยว่า “ชัณษาจร” สามารถบอกความเป็นไปกว้างๆของชีวิตได้อย่างไร ว่าช่วงอายุใดจะรุ่งโรจน์ประสบความสำเร็จ และช่วงอายุใดจะตกต่ำ ในเมื่อ (ผมเข้าใจเอาเอง) ชันษาจรเป็นเกณฑ์ใช้พิจารณาเหตุการณ์ในแต่ละรอบปีเท่านั้น (scope :1 ปี) เรื่องราวเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปในแต่ละปี ปีนี้ดีมีเรื่องaเกิดขึ้น ปีถัดไปอาจไม่ดีโดยมีเรื่องbเป็นเรื่องหลัก และเรื่องดีและร้ายอาจสลับกันไปในแต่ละปี. ชันษาจรไม่ได้มีลักษณะเป็นการพยากรณ์ช่วงระยะเวลากว้างๆหรือบอกแนวโน้มทิศทางว่าเมื่อไหร่เป็นช่วงขาขึ้นหรือเมื่อไหร่เป็นช่วงขาลง.. หรือ..ชัณษาจรสามารถบอกความเป็นไปของช่วงชีวิตกว้างๆได้โดย ผู้พยากรณ์จำเป็นจะต้องพิจารณาดูชัณษาจรทุกปีและทำการประเมินออกมาเอง หากถูกถามถึงช่วงระยะเวลากว้างๆ คือต้องอ่านชัณษาจรในลักษณะที่คล้ายนำภาพจิกซอร์ในแต่ละปีมาเรียงต่อกันไปพร้อมกับทำการประเมินเรื่องราวต่างๆไปพร้อมๆกัน จึงสามารถตอบได้ว่าวัยใดช่วงอายุใดจะขึ้นหรือจะลง... ทั้งหมดนี้ผมเข้าใจเอาเอง ถูกผิดอย่างไรขอให้อาจารย์ช่วยปรับด้วยครับ ...จากความเข้าใจนี้เองทำให้เกิดมีคำถามต่อว่าหากไม่ทำเช่นนี้(ต้องดูทุกปีและการนำภาพแต่ละปีมาเรียงต่อกันและประเมินเอง) ท่านอาจารย์อรุณ(หมอเถา) หรืออาจารย์โหรท่านอื่นๆ ใช้วิธีการใด ?..ท่านคำนวนเอาโดยประมาณอย่างไรว่าธาตุในจักรวาลได้ถูกบรรจุลงมาแล้วในดวงชะตา ?. เครื่องมือโหรตัวใด? ที่ท่านหยิบยกมาใช้เพื่อบอกให้ได้ว่า ช่วงระยะเวลาใดของชีวิตที่มีลักษณะเป็นช่วงขาขึ้น จะประสบความสำเร็จ /มีชื่อเสียง หรือ ช่วงระยะเวลาใดของชีวิตที่มีลักษณะเป็นช่วงขาลง ต้องตระเตรียมความพร้อมและทำใจรับสัจธรรมของชีวิต.......


ศ.fa200 - 13 กันยายน พ.ศ.2548 17:56น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
ขอบคุณ ศ.fa200 ที่ถามอาจารย์วรกุล เรื่องชันษาจร เพราะอยากจะถามมานานแล้ว แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน เพราะตั้งคำถามแล้วตัวเองงง ทุกที ถามเหมือนคุณ ศ.fa200 คะ ขอบคุณอาจารย์วรกุล มากนะคะ


moon - 13 กันยายน พ.ศ.2548 21:10น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
ขออภัยครับ ความเห็นที่ 17 ย่อหน้าที่ 4 บันทัดที่ 7 ชื่อพรหมชั้นที่ 16 เรียกโดยสามัญว่า “โสฬสพรหม” แต่มีชื่อเฉพาะว่า “อกนิษฐ์” ครับ เป็น “รูปพรหม” ชั้นสูงสุด บางท่านเรียก “อกนิษฐ์พรหม” โบราณท่านเรียกว่า “พรหมลูกฟัก” เพราะใครเข้าถึงพรหมชั้นนี้แล้ว จะอยู่นิ่งเฉยอยู่นานนับเป็นกัลป์ เหมือนลูกฟักที่นอนไม่รู้ไม่ชี้ประมาณนั้น บรรลุนิพพานก็ไม่ได้ ต้องถอยกลับลงมาจากพรหมก่อน

000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 18 คุณ ศ.fa200 และ 19 คุณ moon............เรื่องเกณฑ์ “ชันษาจร” นั้นมีหลายแบบนะครับ ที่ท่านอาจารย์อรุณเอามาสอนไว้เป็นแบบหนึ่ง ดังนั้น เมื่อ เอ่ยชื่อขึ้นมาในที่อื่นๆ ต้องบอกด้วยว่าเป็นของอาจารย์ท่านใดสอน จะได้ไม่เข้าใจไปคนละเรื่อง พอๆกับคำว่า “ลัคนาจร” ต้องรู้ว่าเป็นลัคนาจรแบบไหน เพราะมีวิธีคิดไม่เหมือนกันด้วย เกณฑ์ชันษาจรเป็นเกณฑ์ประเภทจักรราศี

ถ้าใช้ชันษาจร ที่คุณบอกว่าเป็นวิธีใช้พยากรณ์เหตุการณ์ในรอบปีอย่างเดียว นั้น ถูกแค่ครึ่งเดียว วิธีดูดวงชะตา มีวิธีอ่านจากชันษาจรแต่ละปีเพื่อดูเรื่องราว หรือ เราจะตรวจเรื่องราวเพื่อกลับไปหาปีที่จะเกิดเหตุการณ์ก็ได้ เรียกกันง่ายๆว่า “ตรวจดาว(และเรือน)ไปหาเรื่อง หรือ ตรวจเรื่องไปหาดาว(และเรือน)” เช่น สมมุติเราจะดูว่า ปีนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น พบว่าเราจะแต่งงาน ในทางกลับกัน หากถามว่าเราจะแต่งงานเมื่อไร เราก็ไปหาว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นในปีใด ดังนั้น แม้เราจะไม่เห็นแนวโน้มของชีวิต เป็นแนวโน้มเดียว แต่เราจะได้แนวโน้มทั้งสิบสองเรื่องอยู่พร้อมกัน ไม่เหมือนกับ วงรอบธรรมชาติ เช่น เทวดาเสวยอายุที่คุณอ่านวงรอบเดียว เหมือนกราฟเส้นเดียว ดูมันง่ายดีที่จะบอกว่าชีวิตมันจะขึ้นจะลง นั่นเพราะนักเรียนอยากดูง่ายๆ คือ อยากรู้ว่าขาขึ้นหรือขาลงก็พอ แต่ชันษาจรเป็นกราฟทีเดียว สิบสองเส้นที่แตกต่างกันไป ดังนั้น คุณอยากถามเรื่องใด คุณก็ไปไล่ตามเรื่องนั้น เป็นคำตอบได้ ฟังดูเหมือนเป็นงานหนัก แต่ใช้แล้วไม่หนัก และชัดเจนกว่าการที่จะดูว่าชีวิตจะขึ้น หรือ จะลง แล้วค่อยหาว่าขึ้นลงเรื่องอะไร ซึ่งวิธีนั้นอาจจะหลงเหตุบางเรื่องที่ดีในขณะดวงตก หรือ เสียในขณะดวงขึ้นได้ แม้จะมีเรื่องหลายเรื่องอยู่ในเกณฑ์ชันษาจร แต่ในดวงชะตานั้น เรื่องเกี่ยวกับตัวเจ้าชะตาจะมีผลต่อชีวิตมากกว่า ดังนั้นเราจึงอาจดูแนวโน้มเฉพาะจุดเจ้าชะตา เช่น ตนุลัคน์ชันษาปี แทนกราฟเส้นเดียวอย่างระบบอื่นก็ได้

เรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญคือ เรารู้วิธีดูหรือเปล่าว่า เรื่องอะไรดูอย่างใด อย่างเช่น เราดูแนวโน้มของชีวิตที่ตนุลัคน์ ของชันษาจร เราไม่ต้องดูทุกปี ทุกเรื่องก็ได้ แต่หากจะไล่เฉพาะเรือนและดาวเจ้าเรือนที่จะดีหรือไม่ดี หาจุดอ่านอย่างรวดเร็วคร่าวๆ แล้วค่อยไปหยุดดูเหตุการณ์เฉพาะเรือนเฉพาะปีก็ไม่ยาก ที่การพยากรณ์แต่ละวิธีมีเทคนิคที่แตกต่างกันแบบนี้ เป็นสิ่งที่เราควรทำความรู้สึกให้เคยชิน ไม่ใช่เคยชินวิธีที่จะดูกราฟเส้นเดียวสูงๆต่ำๆ กับทุกวิชาโหราศาสตร์ เป็นเรื่องแน่ที่ว่า อาจารย์แต่ละท่านอาจจะใช้เทคนิควิธีอื่นร่วมกับ เกณฑ์ชันษาจร หรือ ลัคนาจรด้วย แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะใช้เกณฑ์ชันษาจรด้วยตัวเองไม่ได้ อย่างบางท่านใช้วงรอบธรรมชาติอยู่หลายอย่าง ตามแต่เรื่อง และเหตุการณ์ ทั้งกว้างและแคบ เพื่อตรวจเหตุการณ์ แล้วจึงค่อยลงลึกในรายละเอียด หากรายละเอียดเป็นที่ไม่น่าพอใจในคำตอบ ก็กลับไปหาจุดใหม่ ทำสลับกันอยู่แบบนั้น อันความรู้ เทคนิคเคล็ดวิธีทางโหราศาสตร์ยังมีอยู่อีกมากมาย เมื่อเรารู้ก็ต้องงัดขึ้นมาใช้เฉพาะเรื่องเฉพาะราวอย่างเหมาะสมกับกรณี ไม่ใช่ใช้ทุกเทคนิคในทุกกรณีนะครับ ขอให้เข้าใจตรงนี้ด้วย คนที่ใช้หลายวิธี ต้องชำนาญทุกวิธีที่ใช้ หากไม่ชำนาญแล้ว ใช้เพียงวิธีเดียวโดดๆจะได้ผลกว่า

ผมเองไม่ได้ใช้เกณฑ์ชันษาจรแบบของท่านอาจารย์อรุณ แต่ใช้เกณฑ์ทางธาตุ ซึ่งเป็นเรื่องของธาตุทุกชนิด ดังนั้นจึงมีหลายแนวโน้มเหมือนกัน จึงต้องเรียนมากกว่าคนอื่น (แต่ไม่ได้เก่งกว่า) ส่วนการคำนวณธาตุที่ลงมาสู่ดวงชะตา ต้องเรียนทางวิชาธาตุจึงจะทราบ แต่ผู้ที่ไม่ได้เรียนทางวิชาธาตุก็ตรวจจากวงรอบธรรมชาติได้อยู่แล้ว เพราะเป็นเกณฑ์ทางอ้อมนั่นเอง ธาตุนั้นมีหลายชนิด เครื่องมือที่จะตรวจชีวิตว่าขึ้น หรือ ลง ก็มีวงรอบธรรมชาตินั่นยังไง สำคัญว่าเราดูเป็นหรือไม่ว่า คนเราจะมีชื่อเสียง เป็นขาขึ้น หรือ ชีวิตเป็นขาลง จะดูดวงชะตาอย่างใด ในการดูชันษาจรใช้ดูเรือนจรสัมพันธ์เข้ามาเพิ่มจากเรือนเดิมด้วย เป็นวิธีเฉพาะของวงรอบธรรมชาติแบบนี้ แนวโน้มชีวิตจึงดูจากดาวและเรือน เหมือนดูดวงเดิม และดวงจรที่ซับซ้อนหน่อย เพียงแต่ไม่ได้มาเรียงต่อกันเป็นเส้นเดียวให้เราเห็นเท่านั้นเอง


วรกุล - 15 กันยายน พ.ศ.2548 04:45น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีความสงสัยเรื่องวิธีการพยากรณ์ความเป็นไปของชีวิตอย่างกว้างๆ (ต่อครับ)....เรื่องวัยครับ...จากบทเรียนนิทานโหรของหมอเถา(วัลย์)1 เรื่องดวงพระ...หลวงตาชื้น พูดว่า "พระภิกษุเพียรคงได้มีโอกาสกลับมาบวชใหม่ในภายหน้าแน่นอนเมื่อถึงวัยพฤหัส" ...จากข้อความตามบทเรียนนี้ผมสงสัยว่า เมื่อถึงวัยพฤหัสนั้นพิจารณาอย่างไรใช้เครื่องมือโหรตัวใหนมาจับ.. หมายถึงวัย8ปี4เดือนที่ตั้งจากตนุเศษหรือไม่ หรือ3วัยในชันษา หรือวัยเทวดาเสวยอายุ ...หากเป็นวัย8ปี4เดือนที่ตั้งจากตนุเศษ รบกวนให้อาจารย์ช่วยขยายบอกกล่าวที่มาที่ไปด้วยครับ.... เพราะในความคิดของผมเองนั้นรู้สึกว่าวัย8ปี4เดือนที่ตั้งจากตนุเศษนั้นน่าจะมีผลในการพยากรณ์น้อยมากเนื่องจากนับตั้งต้นจากจิตใจความนึกคิดของเจ้าชะตา ซึ่งความเป็นจริงส่วนใหญ่ของชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด และการแบ่งวัยก็ดูเหมือนเป็นการแบ่งแบบหยาบๆกว้างๆ รวมๆวัยเด็ก จนถึง25ปี ตนุ กดุมภะ กรรมะ(ทำไมกรรมะต้องมาอยู่วัยที่3 ทั้งๆที่เราชีวิตคนเราก็มีกิจกรรมที่ต้องทำทั้งชีวิต )...และ3วัยสุดท้าย อริ มรณะ วินาศ ล้วนแต่เป็นวัยที่บอกความหมายในทางไม่ดีทั้งนั้นซึ่งคนเรานั้นอาจจะเจอะเจอกับความอริ มรณะ ในช่วงใหนของชีวิตก็ได้ ไม่จำเป็นต้องในช่วงอายุมากๆหรือวัยท้ายๆของชีวิต....รบกวนอาจารย์ช่วยปรับให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องต่อเรื่องวัยด้วยครับ


ศ.fa200 - 16 กันยายน พ.ศ.2548 17:54น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
ขอแย้ง อ.วรกุล ความเห็นที่ 20 ครับ

อกนิษฐพรหม ไม่ใช่ พรหมลูกฟัก ครับ

อกนิษฐพรหม เป็นพรหมชั้นสูงสุดในสุทธาวาสพรหม เป็นผู้สำเร็จอนาคมี ในโลกมนุษย์ จุติแล้วไปอุบัติเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส มี ๕ จำพวก(จำไม่ได้) โดยท่านจะนิพพานในพรหมชั้นนี้

แม้พระพุทธเจ้าเอง ท่านผ่านภพภูมิในทุกๆ ชั้น ยกเว้นแต่พรหมชั้นสุทธาวาส เพราะถ้าเข้าถึงพรหมชั้นนี้แล้ว ก็ไม่สามารถถอยกลับมาอุบัติในภพภูมิต่างๆได้อีก ต้องนิพพานอย่างเดียวเท่านั้น

ส่วน พรหมลูกฟัก คือ อสัญญีพรหม เป็นผู้สำเร็จฌาณ ประเภท อสัญญา คือ กำหนดว่า ตัวสัญญา(จำได้หมายรู้) ในเบญจขันธ์ เป็นกองทุกข์ ถ้าตัดสัญญาเสียได้ก็จะไม่เป็นทุกข์อีก จึงกำหนดว่าต่อไปนี้จะไม่กำหนดสัญญา กับอายตนะใดๆ อีก

พอจุติจากโลกไปแล้ว ก็อุบัติเป็นอสัญญีพรหม ถ้าจุติอริยาบทใดๆ (นั่ง ยืน นอน)ก็ไปอุบัติในอิริยบทนั้นๆในรูปพรหมตลอดเวลา นิ่งงันเหมือนลูกฟัก (เพราะกำหนดดับสัญญาแล้ว) จึงเรียกอย่างนั้นครับ


แบเบาะ - 16 กันยายน พ.ศ.2548 21:06น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
ตอบ 21 คุณ ศ.fa200...........นิทานโหรที่อาจารย์อรุณท่านแต่งชุดหมอเถา(วัลย์) ไม่ใช่บทเรียนตำราโหราศาสตร์นะครับ ดังนั้น คำพูดของตัวละคร ก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องในนิทาน อย่าถือเอาจริงเอาจังถึงกับเอามาวิเคราะห์วิจัยจนเกินไป บทความของอาจารย์ท่านอื่นๆก็เช่นกัน ผมเคยอ่านนิทานชุดนี้มานานมากแล้ว และไม่ได้ไปอ่านอีกเลย ดังนั้น คำกล่าวของหลวงตาชื้น ผมจึงเข้าใจว่าหมายความตามคนทั่วไป นับถึงวัยพฤหัส ก็เป็นไปตามนั้นแหละ คิดสั้นๆ ไม่ต้องไปคิดอะไรมาก พยายามจับข้อคิดที่นิทานสอน ดีกว่ามาจับคำพูดตัวละครเพื่อหาหลักวิชา

ส่วนที่คุณกล่าวถึงวัย 8 ปี 4 เดือนนั้น อัตรานี้คงจะทราบว่ามาจากตรีวัย ที่ตั้งจากตนุเศษ เรือนจากการนับตรีวัย เป็นการชี้เรือน และดาวที่อยู่ในช่วงวัย ดังนั้น การนับ ตนุ กดุมภะ กัมมะ จึงเป็นการชี้เรือน เพื่อดูตำแหน่งที่นับ ไม่ใช่ไปเอาความหมายเรือนมาคิด พอคุณเอาชื่อเรือนมาเป็นความหมายของชีวิต ก็เลยสับสน อย่าง พันธุ ปุตตะ ปัตนิ ในวัยช่วงที่ 3 ไปแล้ว ทุกคนอายุ ตั้ง 51 – 75 ปี จะมาเป็นปุตตะ ปัตนิตอนนั้นได้อย่างไร เอาสามัญสำนึกมาคิดก็ได้ ไม่อย่างนั้นหากจะเรียงตามความหมายชื่อเรือน ทำไมไม่เรียง ตนุ กดุมภะ สหัชชะ พันธุ ปุตตะ ไปตรงๆ......เสียเลย การชี้เรือนสลับที่กัน โดยไม่เรียงลำดับแบบนี้แหละที่ส่อแสดงว่าเป็นการเรียงวัยโดยอาศัยเกณฑ์สำคัญบางอย่าง ตรีวัยนี้โหรเก่าๆใช้กันมาก เพราะเป็นเกณฑ์ราศี มีความแม่นยำดี แต่ต้องมีคนบอกการใช้ให้ถูกต้อง ลำพังอ่านจากตำราคงจะไม่พอครับ

00000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบ 22 คุณ แบเบาะ...........ขอบคุณครับที่มาแย้งแก้ความเห็นของผม ตามที่คุณอธิบายก็เข้าใจดีแล้ว


วรกุล - 18 กันยายน พ.ศ.2548 04:27น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมศ.fa200ขอขอบคุณอาจารย์มากครับที่กรุณาแนะนำให้ความรู้ ตอบคำถาม และชี้แนะแนวทางการเรียนและค้นคว้าวิชาโหราศาสตร์ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง(และดีงาม)... ทุกบทความของอาจารย์ผมจะพยายามอ่านซ้ำให้เข้าใจสมเจตนา... ช่วงนี้ผมจะยังไม่มีคำถาม แต่จะยังคงเฝ้าติดตามอ่านบทความของอาจารย์ไปเรื่อยๆครับ....

ปัจฉิมลิขิต..อยากให้อาจารย์เขียนเรื่องธาตุต่อครับ "เกณฑ์ทางธาตุ" "ลำดับธาตุทั้ง4" "การแปรเปลี่ยนธาตุ" " ธาตุ4ชั้นกับดาวจร" และเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องธาตุ ตามกาลและโอกาสที่อำนวยครับ.....


ศ.fa200 - 19 กันยายน พ.ศ.2548 19:04น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
ศึกษาโหราศาสตร์มานานพอสมควรแต่ไม่กระจ่างคะ เอาดวงตัวเองศึกษา อาศัยอ่านเอาหลาย ๆตำรา อยากทราบว่าการดูดวงจะต้องดูราศีจักรหรือนวางค์จักรคะ แล้วก็ยังงง ๆ กับกฎ ลบ ๆ บวก ๆ นะคะ รบกวนอาจารย์ช่วยดูดวงหญิงเกิดวันพุธที่ 8 พฤษภาคม 2517 เวลา 04.23 นาฬิกา ที่จ.พิษณุโลก ด้วยนะคะ กราบขอบพระคุณมากคะ


ammm - 20 กันยายน พ.ศ.2548 13:18น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
ตอบ 24 คุณ ศ.fa200...........ช่วงนี้ผมมีเวลาน้อยครับ เสาร์อาทิตย์ก็ไม่ว่างเพราะต้องทำอะไรบางอย่างให้เสร็จ เรื่องในโหราศาสตร์ที่ควรเขียนนั้นมีมาก แต่ก็ต้องคิดแง่มุมที่จะเขียน โดยเฉพาะบางเรื่องอาจจะไปทับซ้อนกับวิชาอื่น กลายเป็นข้อโต้แย้งได้ หวนมาคิดถึงปัญหาพื้นๆที่พวกเราเผชิญอยู่คือการทำนายดวงชะตา ก็มีเรื่องต้องชี้แจงมากจนบางครั้งก็ไม่อยากเขียน เพราะดูเหมือนเขียนเท่าไรก็ไม่หมดปัญหา ผมเคยลิสต์หัวข้อที่จะเขียนไว้มากมาย ก็ต้องขีดออก เพราะเขียนได้ยาก การพูดชี้แจงจะง่ายกว่าการเขียนมาก

000000000000000000000000000000000000000000000000000000

พวกเราที่เรียนมามากคงจะได้คิดแล้วว่า ดวงชะตาของคนเราที่ผูกจากเวลาเกิด ในเวลาที่เราเกิดนั้น แม้เวลาแม่นยำเพียงใด จำนวนคนที่เกิดและวางลัคนาได้ดวงชะตาเหมือนเราอาจมีเป็นร้อยๆคน หากวางชะตาแบบดวงอีแปะ ก็มีคนที่ดวงชะตาเหมือนกันก็อาจมีเป็นหมื่นคน แต่คนเหล่านี้ แม้แต่ฝาแฝดที่เกิดตามกันมา ถูกเลี้ยงดูโดยพ่อแม่และสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ชีวิตก็อาจแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงได้ เมื่อมีใครสักคนหนึ่งในจำนวนนี้ยื่นดวงชะตามาให้เราดู เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาเป็นใครคนใดคนหนึ่งในจำนวนหนึ่งหมื่นคนนี้ ถ้าเราไปถามบรรดาอาจารย์วิชาต่างๆ เราจะได้รับคำตอบว่า ไม่เป็นปัญหาหรอก เพราะการดูในวิชาของเขานั้น ดูองศาดาวละเอียดลงไป บางท่านดูไปที่นวางค์ ตรียางค์ ฤกษ์ หรือ เสกลย่อยละเอียดลงไประดับแค่ 1 - 2 องศาก็รู้ความแตกต่างของชะตาชีวิตแล้ว แต่ถ้าคุณลองศึกษาคำกล่าวนี้ เราก็จะเห็นเป็นเพียงแต่ทฤษฎี ในตำรา แต่ตามข้อเท็จจริงที่เห็นๆ เรากลับพบว่า เวลาที่เขาเหล่านั้นทำนาย ก็ไม่เห็นเคยผูกดวงละเอียดยิบให้ และไม่เคยงัดเอาการทำนายที่ละเอียดยิบนั้นมาทำนายจริงๆเลย ก็เพราะเหตุผลอย่างหนึ่งคือ เวลาเกิดไม่แม่นยำแน่นอน แม้แม่นยำแน่นอน วิธีวางลัคนา ความถูกต้องของปฏิทินดาราศาสตร์ ความถูกต้องของจักรราศี และเทคนิคการทำนาย ก็ล้วนมีปัญหาไปเสียทั้งนั้น หากสมมุติว่ามีคนคนหนึ่งมายื่นวันเดือนปีเกิด และเวลาเกิดให้เราดู เช่น เกิดเวลา 7 โมง 10 นาที เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เวลา 10 นาทีนี้ ต้องบวกหรือ ลบกี่นาทีจึงจะเป็นเวลาที่แท้จริงซึ่งเทวดาเท่านั้นจึงจะรู้ และบรรดาท่านที่คุยว่ามีวิธีดูดวงฝาแฝดแม่นฉมังนัก จะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่เดินมาตรงหน้าเราเป็นฝาแฝดหรือไม่ เป็นคนพี่หรือคนน้อง หากเขาไม่บอกอะไรเรา หรือ เตือนเราว่าเขามีฝาแฝด เราจะดูละเอียดทุกคนหรือไม่

วิชาโหราศาสตร์ส่วนมาก มีวิธีดูละเอียดตรงกับความรู้สึกของเรา เราเองก็เข้าใจตามสามัญสำนึกว่า การที่มีบุคคลจำนวนมากที่มีดวงเหมือนๆกัน วิธีที่จะจำแนกชีวิตที่แตกต่างกันได้คือการดูรายละเอียดลึกลงไป ยิ่งละเอียดมากยิ่งแม่นยำมาก ดังนั้น วิชาใดที่ยิ่งมีการแบ่งละเอียดลงไปมากเท่าไรก็จะเป็นโหราศาสตร์ที่น่าเรียนมากเพียงเท่านั้น ต่างกับวิชาโหราศาสตร์เช่นดวงอีแปะ หรือ โหราศาสตร์ทางธาตุ เป็นวิชาที่สวนกระแสความละเอียดไปทางหยาบมาก เวลาเกิดก็คร่าวๆเช่น เกิดตอนเช้าเวลาพระบิณฑบาท เกิดเวลาควายเข้าคอกตอนเย็นๆ การวางลัคนาก็คร่าวๆไม่มีองศา ดาวต่างๆก็ไม่ต้องดูองศานวางค์ตรียางค์ อ่านเรื่องก็ดูหยาบๆ ปฏิทินก็ไม่ตรงกับดาวบนท้องฟ้า จักรราศีก็ล้าสมัย แต่ทำไมยังมีผู้ร่ำเรียนอยู่ บางคนก็ว่าเพราะมันง่ายดี ใช้หากินได้เร็ว อันนั้นก็ถูกบางส่วนสำหรับคนมักง่าย แต่อันที่จริงแล้วโหราศาสตร์ดวงอีแปะนี้มีกลวิธีในการดูอยู่มากมาย ได้เคยบอกกลไกบางส่วนของโหราศาสตร์แบบนี้มาบ้างแล้ว ว่าใช้ความสัมพันธ์ผ่านทางเกษตรธาตุเจ้าเรือนจึงไม่ต้องขึ้นอยู่กับตำแหน่ง หรือ องศา วันนี้จะบอกบางวิธีคิดที่โหราศาสตร์ดวงอีแปะใช้กันบ่อย โดยจะยกตัวอย่างโหราศาสตร์ทางธาตุเป็นตัวอย่าง

โหราศาสตร์ทางธาตุเองมองความละเอียดของดวงชะตาไปที่ธาตุ และเป็นธาตุที่ปรากฏต่อสายตามากกว่าที่จะลงลึกละเอียดไปถึงทศนิยมขององศาซึ่งต้องใช้แว่นขยายส่องเอา ขณะที่มีคนผู้หนึ่งเอาดวงชะตามาให้เราดูนั้น จะมีสิ่งที่ปรากฏที่ควรต้องรู้ก็คือ บุคคลผู้นี้แสดงธาตุเป็นอย่างไร ขอให้คำนึงข้อเท็จจริงว่า ในบรรดาผู้คนที่มีดวงชะตาดวงอีแป่ะเหมือนกันดิกนั้น มีรูปร่างหน้าตานิสัยใจคอที่แตกต่างกัน โอกาสที่คนทั้งหมดจะเหมือนกันเช่นพิมพ์เดียวกันอย่างสมบูรณ์นั้น หาได้ยากมาก ผมจะสมมุติง่ายๆว่า มีลัคนาของคน 20 คน อยู่ในราศีตุลย์ มีจันทร์และราหูกุมลัคนา มี พฤหัส ศุกร์ อังคารอยู่ในราศีกรกฏเรือนกัมมะ ส่วนดาวอื่นๆก็เหมือนกันทุกอย่าง เมื่อดวงชะตาเป็นเช่นนี้ นักเรียนที่ดูดวงอีแปะจะทำนายได้ไม่ยาก แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่า คำทำนายนี้เหมาะสมกับคนใดใน 20 คนนี้ที่มีชะตาชีวิตที่แตกต่างกัน หากเราทำนายออกไป เป็นที่แน่ว่า เราอาจจะทำนายถูกเพียงคนเดียว แต่ผิดถึง 19 คน บทเรียนเบื้องต้นสำหรับผู้ที่เรียนดวงอีแปะ คือ รูปร่างหน้าตานิสัยใจคอที่แตกต่างกันของคนทั้งหมดนั่นเอง มีส่วนกำหนดชะตาชีวิตของเขาเองแต่ละคน

เหตุผลเรื่องนี้ มาจากความรู้ทางธาตุเอง ดาวจันทร์และราหูนั้นมีภูมิทางธาตุอยู่หลายระดับ ดังนั้น ลักษณะของบุคคลที่มานั่งตรงหน้าเราก็อาจจะมีองคประกอบของธาตุดาวที่กุมลัคนาจริงๆ ไม่เหมือนกันตามส่วนผสมความแก่อ่อนของภูมิแตกต่างกันไปได้นับร้อยๆแบบ นี่ยังไม่ได้สังเคราะห์รวมกับศุกร์ตนุลัคน์ลงไปอีก ดังนั้น ผู้ที่ดูดวงอีแปะ การพิจารณาบุคคลและลักษณะนิสัยจึงสำคัญมาก ในทางปฏิบัติแล้ว การรู้จักเจ้าชะตาอย่างน้อยก็มานั่งให้เห็นต่อหน้า สูงต่ำดำขาว สีผิว การพูดจาเป็นอย่างใดจะทำให้จำแนกแยกแยะได้ว่า ธาตุที่ปรากฏอยู่นั้นเป็นอย่างไร สมมุติอย่างผู้หญิงสองคน มีลัคนาอยู่ราศีมีน ศุกร์เป็นมหาอุจกุมลัคน์ พุธเป็นนิจประกุมลัคน์เช่นกัน หากคนหนึ่งเป็นคนสวย สูงอวบ รูปร่างหน้าตางดงาม ก็แสดงว่า ศุกร์อุจนั้นเด่นในดวงชะตา อีกคนหนึ่ง เป็นคนอ้วนกลม หน้าตาไม่สวย พูดไม่เพราะ ก็แสดงว่า พุธนิจประนั้นเด่นในดวงชะตา ดังนั้น ชะตาชีวิตของคนทั้งสองคนจะไม่เหมือนกัน เมื่อเริ่มเป็นเด็ก คนที่สวยนั้นอาจจะมีคนเอาใจมากกว่า ไม่เรียนมาก โตขึ้นก็จะเบี่ยงเบนไปเป็นดารา อีกคนหนึ่งนั้น เป็นเด็กที่ไม่ใคร่จะมีใครเหลียวมอง ก็อาจจะเรียนอย่างเดียวจนเก่ง โตขึ้นอาจจะจบปริญญาเอกก็ได้

นั่นเป็นตัวอย่างที่ธาตุดาวขณะที่เราเกิดซึ่งมีภพภูมิที่ต่างกัน ทำให้เกิดความแตกต่างของดวงชะตา และเวลาที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ตามวัยและชะตาจรด้วย นี่คือ สิ่งที่นักโหราศาสตร์ทางธาตุเรียกว่า โครงสร้างกรรม ที่แฝงอยู่ในโครงสร้างธาตุในดวงชะตา ซึ่งรายละเอียดในการเรียนเรื่องนี้มีมากกว่าการเรียนดวงชะตาทั่วไป ดังนั้น ในขณะปัจจุบันที่มีราหูจรเข้าราศีมีนอยู่นี้ ก็จะทับลัคนาของทั้งสองคน แต่เรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่หญิงสองคนนี้จะไม่เหมือนกัน คนแรกที่ธาตุศุกร์เด่น เมื่อถูกราหูทับ ก็จะเกิดความยุ่งยากผิดหวังเรื่องความรัก เพศตรงข้าม และกระทบกับชื่อเสียงความเป็นดาราของเธอ แต่คนที่สองที่เป็นธาตุพุธนั้น เป็นคู่ศัตรูโดยตรงกับราหู อาจจะมีเรื่องปัญหาปากเสียงหรือ เอกสารสัญญาฟ้องร้องกันได้ จะเห็นว่า เพียงกำหนดภพภูมิที่ต่างกันของธาตุ การทำนายดาวจรก็จะแตกต่างกัน อย่างลัคนาแรกราศีตุลย์ที่สมมุติ มี พฤหัส ศุกร์ อังคาร อยู่ราศีกรกฎเรือนกัมมะนั้น หากมีบุคคล 3 คน ที่ดวงชะตาเหมือนกันดิก แต่วิถีชีวิตที่ทำให้มีอาชีพต่างกัน คนหนึ่ง อาชีพเป็นนักบริหารคือ พฤหัส คนที่สองเป็นนักดนตรี คือศุกร์ และคนสุดท้ายเป็นทหาร คือ อังคาร เมื่อ เสาร์จรเข้ากรกฎในปัจจุบัน สถานการณ์ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อคน 3 คนนี้ จะแตกต่างกันมาก เพราะเสาร์ ๗ เมื่อ จรทับ ๕ ๖ หรือ ๓ ก็จะเกิดเป็นคู่ศัตรู หนักเบาแตกต่างกัน ในเรื่องที่แตกต่างกัน ดังนั้นบทเรียนขั้นที่สองสำหรับเรา คือเราควรจะต้องรู้ว่าเขาทำอาชีพการงานอะไรอยู่ในปัจจุบัน หรือ ชีวิตเขาเดินไปถึงทางไหนแล้ว เพราะมีส่วนกำหนดคำทำนายที่แตกต่างกันด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะเห็นได้ว่าดาวจรต่างๆที่โคจรไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน จึงมีส่วนทำให้เด็กที่มีดวงชะตาเหมือนกัน มีวิถีชีวิตเบี่ยงเบนไปคนละทางมากขึ้นทุกที จนกระทั่งแม้คนจำนวนมากที่มีดวงชะตาอีแปะเหมือนกันดิก ก็จะไม่มีชะตาชีวิตที่เหมือนกันเลย นี่เป็นข้อเท็จจริงของกลไกทางธาตุที่แสดงออกมาจริง พวกที่เรียนโหราศาสตร์ทางธาตุจึงไม่ต้องไปหวังพึ่งองศาละเอียดของดาวที่ลึกลงไปถึงทศนิยมของฟิลิปดา

ที่นี้มาถึงคำถามว่า หากมีฝาแฝดคนใดคนหนึ่งเพียงคนเดียวมาหาเรา และเขาก็ไม่บอกว่าเขามีฝาแฝดอยู่อีกคน ไม่บอกว่า เขาเป็นพี่ หรือ น้อง และหากฝาแฝดสองคนนี้หน้าตารูปร่าง พูดจาเหมือนกันดิกอีกด้วย เราจะทำนายได้ถูกอย่างไร เรื่องนี้กลับเป็นเรื่องที่ไม่ต้องจัดการเลย เมื่อเราดูดวงชะตาเขาไปตามปกติ กาลชะตา(กาลจักร)จะนำผู้ที่ดวงชะตาถูกต้องมาหาเราเอง เพราะดวงชะตาของเขาเองมีส่วนกำหนดความถูกต้อง เช่น สมมุติว่า ฝาแฝดผู้พี่มานั่งดูหมออยู่กับเรา ฝาแฝดผู้น้องนั่งเอกเขนกฟังเพลงอยู่ที่บ้าน เราจะทายเรื่องราวของคนที่นั่งอยู่ตรงหน้าได้ตรง หากดวงชะตาหมอดูเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ ก็จะดึงเอาคำตอบที่ถูกต้องมาให้เองได้โดยไม่ตั้งใจ และควรจะเข้าใจว่า ในบรรดาผู้ที่เกิดเวลาเดียวกัน แม้มีจำนวนมากก็จริง แต่เขาเหล่านั้นไม่ได้มาให้เราผูกดูดวงชะตา มีแต่เพียงผู้ที่มาให้เราดูเวลานั้น เป็นผู้ที่ถูกเลือกสรรโดยกาลชะตาที่ตรงกับผู้พยากรณ์ เรื่องนี้อธิบายยาก จะยังไม่อธิบายตรงนี้

นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ หมอดูรุ่นเก่าจะถือ ไม่ทำนายดวงชะตาที่มีผู้อื่นฝากมาให้ทำนาย และไม่นิยมแข่งขันพยากรณ์ทำนายกับใคร เพราะการใช้กาลชะตาประการหนึ่ง กับการที่ต้องตรวจลักษณะและเรื่องราวส่วนตัวด้วย อีกประการหนึ่ง เป็นส่วนสำคัญพื้นฐานในการทำนาย นอกเหนือจากเคล็ดวิธีอย่างอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่เพียงดูวันเดือนปีเวลาเกิดที่มีผู้บอกกันมาเท่านั้น การผูกดวงชะตาของโหราศาสตร์ไทยจึงมีความหมาย ไม่ได้ผูกเล่นๆโดยวิธีสุ่มเอาวันเดือนปีตรงไหนในปฏิทินมาก็ได้ แต่ต้องเป็นบุคคลจริง และวันเวลาที่เกิดจริง และเขาตั้งใจมาดูหมอจริงๆ ดวงอีแป่ะจึงจะทำงานอย่างได้ผลมาก โดยพื้นฐานของกาลจักร(กาลชะตา) โหราศาสตร์จีนซึ่งใช้ยามกำเนิด 2 ชั่วโมงเพื่อวางลัคนา ก็ตรวจสอบชะตาชีวิต พร้อมลักษณะบุคคล จากผู้มาให้ทำนายด้วยวิธีที่คล้ายกันนี้มานานนับร้อยๆปีมาแล้ว


วรกุล - 20 กันยายน พ.ศ.2548 16:40น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27


ตอบ 25 คุณ ammm...........การดูดวงราศีจักร หรือ นวางคจักรก็ต้องแล้วแต่ต้องการใช้ทางไหนครับ มีตำราหลายอย่างก็ต้องแยกแยะให้ดี ส่วนการบวก ลบ อะไรนั้น หากงงก็อย่าไปใช้ ในราศีจักรก็ไม่มีการบวกลบ แต่ดูจากเรื่องราวเหตุผลเป็นแต่ละกรณีเท่านั้น เรื่องดวงชะตาที่บอกวันเดือนปีเกิดมา เห็นว่าตรงกับที่ไปโพสต์ให้อาจารย์ศุภกรดูดวงอยู่แล้ว รอนิดเดียวเดี๋ยวท่านก็คงตอบให้ ผมดูดวงไม่ค่อยถนัด พอตอบได้แต่ปัญหาโหราศาสตร์เท่านั้น


วรกุล - 21 กันยายน พ.ศ.2548 04:06น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
สวัสดีครับอ.วรกุลผมอ่านข้อความข้างบนครับ แล้วเกิดความสงสัยเล็กน้อย ว่า ถึงแม้ว่า จะมีดาวที่เด่นและจะส่งผลหนักกว่าดาวอื่น แต่การทำนายก็จะต้องเอามีอิทธิพลของดาวอื่นด้วยใช่มั้ยครับ อย่างเช่นกรณีที่อ. ยกมา เสาร์ ๗ เมื่อ จรทับ ๕ ๖ หรือ ๓ สมมติว่าคนนั้นเป็นผู้บริหาร มันก็ยังต้องดูอิทธิพลของการที่เสาร์ กระทำกับศุกร์ และอังคารควบคู่ไปด้วย เพียงแต่มันจะ "เบา" กว่า ใช่มั้ยครับที่สงสัยเพราะ ผมเคยประสบปัญหามีคนมาถาม แล้วดวงของเขามีดาวจรไปทับดาวในเรือนๆนึงประมาณ สี่ดวงในนั้นได้ครับ ทำให้ "อ่าน" ยากมากครับ ผมเลยไม่อยากทายอะไรเค้าไปเพราะกลัวจะบาปตัวเองเปล่าๆ


โกวเล้ง - 21 กันยายน พ.ศ.2548 15:06น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
ตอบ 28 คุณ โกวเล้ง...........ถูกแล้วครับ ที่ผมสมมุตินั้นเป็นเพียงตุ้กตาสำหรับอธิบายเท่านั้นเอง ตามความเป็นจริงดาวที่อยู่สัมพันธ์กัน โดยเฉพาะยิ่งอยู่ในราศีเดียวกัน ก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกันทั้งนั้น ความหนักเบาจึงอยู่ที่ภูมิธาตุของดาวในแต่ละคน แม้ดวงชะตาจะเหมือนกันเป็นฝาแฝด 20 คนก็ตาม ในกรณีที่มีดาวมากดวงยิ่งทำนายยากใหญ่ เช่นสมมุติว่ามีดาวถึง 6 – 7 ดวงในราศีเดียวกัน ซึ่งเกิดขึ้นบ่อย เวลามีดาวมาทับเล็ง ก็ต้องจำแนกสะสางว่า ดาวใดจะมีปฏิกิริยาต่อกรณีนี้มากกว่ากัน ยิ่งฝาแฝดคู่ใดที่มีดาวร่วมในราศีหนึ่งราศีใดมากหลายดวง วิถีชีวิตก็จะมีโอกาสแตกต่างจากคู่แฝดกันมากขึ้น มากกว่าฝาแฝดที่มีดาว เพียง 1 – 2 ดวงต่อราศี ซึ่งกรณีหลังจะพบว่าฝาแฝดคู่นั้นมีวิถีชีวิตและกิจกรรมในชีวิตคล้ายกัน ลองคิดดูเองก็ได้ว่าเป็นเพราะอะไร


วรกุล - 22 กันยายน พ.ศ.2548 04:11น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 30
พวกเราส่วนมากเวลาอยากศึกษาโหราศาสตร์เพิ่มเติม ก็เปิดหนังสือ นิตยสาร หรือ เว็บไซท์อ่าน ผมเคยมาเสนอแนะไว้หลายครั้งแล้วว่า เมื่อเราศึกษาพอรู้เรื่องบ้างแล้ว น่าจะดูจากชีวิตจริงของจริง เวลาเกิดอะไรขึ้น หรือได้ยินได้ฟังอะไร ลองนำเอามาเปรียบเทียบกับโหราศาสตร์ ว่าเรื่องเป็นเช่นนั้น ดาวน่าจะเป็นเช่นไร แต่ก็คิดเอาไว้ในใจ เพราะหากพูดออกไปบ่อยๆ คนที่ไม่เข้าใจอาจจะนึกว่าเราสติไม่ดี บางอาจารย์ท่านเล่าว่า มักคิดตลอดเวลา เดินผ่านมาเห็นหมากัดกัน เป็นหมาสีดำกับสีน้ำตาล ที่บังเอิญเจ้าของไปเอาปลอกคอสีส้มมาใส่ให้ ก็เลยแปลความว่า สีดำคือ เสาร์ สีส้มคืออังคาร ก็เลยไม่ถูกกันต้องกัดกันเป็นธรรมดา ฟังดูแล้วก็ขำดี

จริงๆแล้วในชีวิตประจำวันของเราก็มีเรื่องเกี่ยวเนื่องกับโหราศาสตร์มาก เพราะโหราศาสตร์เป็นวิชาที่ศึกษาธรรมชาติพื้นๆที่เกิดในชีวิตของเราชาวบ้าน ไม่ใช่ทฤษฎีที่บางคนชอบวางภูมิกันว่าเป็นของสูง ที่คนธรรมดาสัมผัสไม่ได้ ก็เลยยกตัวเองสูงไปด้วย อย่างเช่น พวกเรามักจะรำคาญเวลามีใครมาบ่นอะไรให้ฟังใกล้ๆ ไม่ชอบคนขี้บ่น นี่เป็นเพราะ พุธ นั่นเอง เป็นเจ้าเรือนสหัชชะและอริของลัคนาโลก ดังนั้น ธาตุพูธของจักรวาล จึงทำให้เกิดอริอยู่เสมอ เมื่อ พุธ เป็นสหัชชะ หมายถึง ไปๆมาๆ วกวน ใกล้ๆ การพูดวกวน(สหัชชะ)นั้นจึงกลายเป็นการบ่น จึงทำให้เกิดอริ คือน่ารำคาญ พวกเราทุกคนจึงรำคาญคนขี้บ่นไปตามธรรมดานั่นเอง นี่เป็นผลทางโลกธาตุ

คนที่มีทุกข์นั้นมี 2 อย่างคือ ไม่อ้วนมาก ก็ผอมมาก เหตุที่อ้วนก็เพราะการมีทุกข์นั้นเป็นเรื่องของเสาร์ หากมีทุกข์เครียดกังวลไม่มากนัก วิธีดับทุกข์ก็ต้องหาความสุข ความสุข คือ ศุกร์ที่เป็นคู่ศัตรูกับเสาร์ เหมือนการเอากลิ่นหอมมาดับกลิ่นเหม็น การหาความสุขนั้น หากไม่ไปเที่ยวเตร่บันเทิง (ศุกร์) ก็ต้องกินอาหารขนมหวาน เพราะเป็นธาตุที่ทำให้ร่างกายรู้สึกเป็นสุข ดับทุกข์ได้ชั่วคราว หากมีความเครียดกังวลลองกินขนมหวานดูสักหน่อยก็จะผ่อนคลายได้ ศุกร์เป็นเรื่องของกลิ่นหอม ของหวานหรือ น้ำตาล เมื่อกินของหวานมากๆก็อ้วนได้ เวลาเห็นใครที่เคยผอมแล้วอ้วน เกิดจากดาวเสาร์ในดวงเขาทำให้เกิดทุกข์กังวล เช่นกุมลัคน์ เล็งลัคน์ ทุกข์เรื่องอะไรก็ทำนายตามนั้น ดังนั้น คนมีทุกข์ เขาจึงให้ใส่บาตรด้วยของหวาน แต่ถ้ามีทุกข์มากจนกินใจจะผอม ทั้งนี้เพราะเสาร์ ราศีมังกร เป็นอริกับอาทิตย์ราศีสิงห์ อาทิตย์คือ กายสังขาร เมื่อเสาร์รุนแรงมากทำให้กายสังขารซูบผอมอ่อนแอลงได้ บางโยคเกณฑ์จึงบอกว่า ดวงชะตาใครที่มีเสาร์เป็นอริต่ออาทิตย์ ร่างกายมักซูบผอม หรือ ไม่ถ้าอ้วนก็ทรุดโทรมไม่แข็งแรง มีโรค ขี้โรค

คนโบราณมักพูดกันว่า “คนหัวล้านมักไม่มีในคุก” เพราะ เส้นผมเป็นเรื่องของเสาร์ เสาร์เป็นความทุกข์และยังหมายถึงความทุกข์ยากในสถานที่จำกัด เมื่อเป็นสถานที่จึงหมายคุกตะรางด้วย ดังนั้น คนที่ติดคุกจึงมีเสาร์ให้โทษแก่ดวงชะตา คนหัวล้าน ไม่มีผม หรือ ผมน้อย คือ ราหูราศีกุมภ์ เสาร์ราศีมังกรเป็นวินาสน์แก่ราศีกุมภ์ เส้นผมจึงมีน้อย เสาร์จึงไม่ถึงตัวเขา ดังนั้น จึงมักสังเกตกันว่า คนหัวล้านไม่มีในคุก ที่พูดกันบ่อยอีกคำคือ “คนหัวล้านมักใจน้อย” หรือ “ใจปลาซิว” ทั้งนี้ก็เพราะ คนหัวล้านคือ ราหูราศีกุมภ์ โผงผาง ท่าทางเป็นนักเลงก็จริง แต่ “กำลังใจ”ไม่ค่อยมี เนื่องจาก อาทิตย์ – หัวใจ จรมาแล้วเป็นประในราศีกุมภ์ ทำให้มักใจน้อย ใจไม่สู้ สู้พวกนักเลงแบบอังคาร อย่าง ทหาร หรือ ช่าง ราศีเมษ ไม่ได้ เพราะอังคารราศีเมษ มีอาทิตย์เป็นอุจ หัวใจจึงเกินร้อย แต่ไม่ชอบแสดงออก ต่างจาก อังคารราศีพิจิกก็เป็นนักเลงที่เอาจริง และชอบแสดงออก เพราะ ราหูเมื่อจรมาเป็นอุจในราศีพิจิก ราหูมักแสดงออกโผงผางให้คนเห็น

พอๆกับสมัยก่อนมักพูดกันว่า “นางงามมัก เสียงไม่เพราะ” เพราะนางงามนั้นคือ ศุกร์ เมื่อศุกร์แรงในราศีมีนเป็นอุจ ราศีนั้น พุธจะเป็นนิจประเมื่อธาตุจรมาถึง ดังนั้น นางงามที่งามจริงๆตามธรรมชาติ จะมีเสียงไม่เพราะ ดาราสาวหลายๆคนก็เหมือนกัน อย่างอดีตนางงามจักรวาลมีอยู่คนหนึ่งที่พวกเรารู้จักดี เธอสวยมากตามธรรมชาติ แต่เสียงใหญ่ไม่เพราะเลย แสดงว่าธรรมชาติตัดสินว่าสวยจริงๆ สมัยนี้ นางงามมักสวยเพราะแต่งหรือ ผ่าตัด ได้รับการตัดสินจากคนว่างามตามสมัยนิยม เลยเสียงดี ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ สาวงามในประวัติศาสตร์จีนที่สวยมากเหมือนนางในวรรณคดีมีอยู่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้ (อาจจะเป็น ไซซี) เธอสวยมากในยุคนั้น รูปร่างสวยงามที่สุด ได้ส่วน***ทั้งอกสะโพก รูปร่าง โดยไม่ต้องแต่งเลย จนถึงชายคนใดเห็นแล้วจะต้องพะวงหลงใหล แต่เธอมีข้อเสียคือ เสียงพูดไม่เอาไหนเลย และยังมีกลิ่นเหม็นในที่ลับบางแห่ง นี่เพราะที่ใดมีธาตุศุกร์เป็นอุจแท้ พุธมักจะเป็นนิจประเมื่อจรมาถึง ในทางกลับกัน “คนเสียงดีมักไม่สวย” เพราะ พุธที่เป็นอุจเกษตรราศีกันย์ ทำให้ศุกร์เป็นนิจ เราจะเห็นนักพากย์หนังสมัยก่อน เสียงไพเราะหวานเชื่อม ใสเหมือนระฆังแก้ว อยากจะเห็นตัวจริง เห็นแล้วจะผิดหวัง เพราะรูปร่างหน้าตามักขี้เหร่ ดูไม่ได้ นักร้องที่เสียงหวาน เสียงดีจริงๆ พุธจะเด่น แต่หน้าตาจะไม่สวยเพราะธาตุศุกร์ที่วนมาถึงแล้วจะด้อย นี่ว่ากันโดยธรรมชาติของโลกธาตุ ไม่ใช่แบบสมัยนิยม

พ่อค้าแม่ค้าเวลาเปิดร้านแต่ละวัน ก็อยากให้ซื้อง่ายขายดีเป็น “ประเดิม” การประเดิมนี้ก็คือ ฤกษ์ในการเริ่มต้นของลัคนา ศุกร์คือ ความสะดวก ง่ายดาย มีเสน่ห์ และยังเป็นสมบัติการเงิน ดวงชะตานี้ก็จะเหมือนมีธาตุศุกร์กุมลัคนา เพื่อให้ดวงชะตาฤกษ์นี้เป็นโชคลาภความดีงาม ความสำเร็จ เมื่อได้เงินมาง่ายๆ ไม่มีใครที่มาต่อรองให้ยุ่งยาก ดวงชะตานี้ก็จะมีพลังงานอยู่ได้ตลอดวัน หากไม่มีอะไรไปขัด ใครเคยเห็นเขายิงจรวดส่งดาวเทียมที่ถ่ายทอดทางโทรทัศน์บ้าง ผู้มีเกียรติแต่ละท่านที่มาเป็นสักขีพยานจะไม่มีใครผูกเน็คไทกันเลย ธรรมเนียมนี้ฝรั่งก็ใช้กันทั่วไป เพราะการผูกมัดอะไรไว้เป็นเครื่องหมายของ “อริ” ความขัดข้อง ทำให้กิจกรรมนั้นไม่สะดวกง่ายดายอย่างที่ต้องการ ดังนั้น ประเพณีเวลามีพิธีฤกษ์ออกรถใหม่ ปล่อยรถ ปล่อยเรือ หรือ เครื่องบินทั้งหลายที่วิ่งเคลื่อนที่ได้นั้น จะไม่มีใครผูกเนคไท นี่เป็นเคล็ดเดียวกับไสยศาสตร์นั่นเอง เวลาหมอไสยศาสตร์จะสะกดวิญญาณ หรือ ไล่ผีสิง เวลาเขาสวดมนต์คาถา แล้วลุกขึ้นจากที่ เขาจะผูกผ้าขาวม้าเป็นปมให้แน่น แล้วจะพบว่าคนที่ถูกผีสิงกระดิกกระเดี้ยไปไหนไม่ได้ การจับสัตว์ใหญ่ๆ ร้ายๆก็ใช้วิธีนี้ สัตว์เหล่านั้นจะวิ่งหนีไม่ออก หรือ แน่นิ่งไป

พุทธสุภาษิตมีบทหนึ่งว่า “เมื่อถึงคราววิบัติ ปัญญาก็วิปริต” เป็นภาษิตบทที่มีคนนิยมพูดถึงมากสมัยก่อน หลายคนจำภาษิตบทนี้จนขึ้นใจเพราะเห็นมามากแล้วตั้งแต่เด็กจนแก่ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมืองหรือตัวบุคคล หรือ จะเป็นองค์กรบริษัทใด เมื่อใดที่จะเกิดความวิบัติ ชาติจะล่ม บริษัทจะล้ม คนจะฉิบหาย ฐานะจะล้มละลาย สติปัญญาของคนที่มีอำนาจในองค์กรนั้นจะผิดเพี้ยน อย่างเห็นได้ชัด และจะเป็นผู้ทำลายตัวเองและหมู่คณะทุกครั้ง ไม่ต้องรอให้ใครมาทำ บางคนที่อายุใกล้จะสิ้น เขาก็จะทำลายตัวเองด้วยวิธีต่างๆอย่างน่าแปลกใจ เช่น สูบบหรี่ และยาเสพติด มากมายจนผิดปกติ หรือ แส่เข้าไปหาความตาย ดูแล้วเพี้ยนๆในสายตาของคนธรรมดา เพราะมฤตยูเรียกหาเขานั่นเอง เหตุการณ์เช่นนี้ เมื่อเราเห็น ก็พยากรณ์จุดจบได้เลยอย่างแม่นยำตรงเผง ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ผ่านโลกมามากทุกคน ก็จะเห็นเช่นนี้จนเคยชิน

เหตุผลทางโหราศาสตร์ในเรื่องนี้ ก็เป็นเพราะ พฤหัส (ปัญญา) ถูกทำลายนั่นเอง ธรรมดาพฤหัสนั้นเป็นดาวสำคัญที่สุดในดวงชะตา ดวงอาทิตย์นั้นเป็นแหล่งให้ พลังงานแก่ดวงชะตา และดาวต่างๆในจักรวาลก็จริง แต่ดาวอื่นๆรับพลังงานแล้วก็ใช้ไป มีเพียงพฤหัสที่สะสมพลังงานไว้ และยังได้พลังงานจากดาวฤกษ์ด้วย เมื่อใดอาทิตย์ในดวงชะตา ถูกดาวธาตุอื่นเบียดเบียนทำลาย หากพฤหัสยังดีอยู่ดวงเดียว ก็ยังคงอยู่ได้ เป็นที่แน่ว่าดวงชะตานั้นจะไม่ถึงกับอับจน เพราะพฤหัสเหมือนเป็นแบตตารี่ฉุกเฉินups ซึ่งจะจ่ายพลังงานให้แทนอาทิตย์ได้นานพอที่อาทิตย์จะพ้นจากอุปสรรค และเปล่งพลังงานต่อไปได้ แต่หากพฤหัสเสียหายไปอีกดวงหนึ่ง ดวงชะตานั้นจะเป็นอันหมดอายุลง ไม่มีทางจะมีชีวิตต่อไปได้อีกเลย โหราศาสตร์หลายระบบจึงถือ พฤหัสเป็นประธานของจักรวาล ไม่ใช่อาทิตย์ ทางจีนก็เปรียบพฤหัสเป็น เง็กเซียนฮ่องเต้ ประธานแห่งเทพด้วย

พุทธสุภาษิตอีกบทหนึ่งคือ “ผู้กล่าวธรรมมักไม่ประพฤติธรรม” บทนี้ พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งท่านบอกไว้เตือนสตินานแล้ว ตั้งแต่ผมยังเป็นวัยรุ่น นี่เป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะในบรรดาผู้ที่กล่าวธรรมจำนวนมาก ไม่ใช่เป็นผู้ประพฤติธรรมเลย อันธรรมบรรยายนั้น ใครๆก็พูดได้ บางคนเรียนมามาก อ่านมามากกว่าคนอื่น รู้อะไรมากกว่าคนอื่น ทั้งเขียนทั้งพูดเป็นหนังสือและตำรับตำรามากมาย แต่ไม่เคยเอาหลักธรรมเหล่านั้นมาปฏิบัติเลย ดังนั้น เราจึงมักพบเห็นนักบวชบางรูปมีเรื่องอื้อฉาวกับสีกาบ้าง กับเด็กผู้หญิงบ้าง ที่เป็นฆราวาสก็มี บางท่านจบถึงเปรียญธรรม แต่ออกมาชี้นำให้คนหลงมัวเมาในเดียรัจฉานวิชาก็มี ผู้ใหญ่หลายคนมีคนนับถือทั่วบ้านทั่วเมืองเพราะมีวาจาคติธรรมลึกซึ้งน่านับถือ แต่หลังฉากแล้วตัวเขาเองไม่เคยประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่พูดเลย ทางโหราศาสตร์เราจะเห็นว่า พุธ ที่กล่าวธรรม คือพฤหัส นั้น เป็นประ (และ นิจ) ในเรือนพฤหัสทั้งสองเรือน หากพฤหัสไม่ดี การกล่าวธรรมนั้นก็จะเป็นการลวงโลกเท่านั้น แต่พุธอยู่ราศีอื่น กลับไม่มีอะไรมากนัก มีเคล็ดอยู่ว่า หากพุธเป็นนิจประ แต่พฤหัสดีมาก จะพลิกกลับทำให้พุธนั้นดีเด่นกว่าพุธในราศีอื่นทั้งหมด เพราะเป็นเรือนครู โบราณยกย่องมากกว่าพุธที่เป็นเกษตรอุจด้วยซ้ำ

ข้อเขียนวันนี้ เพียงชี้ให้เห็นธรรมชาติของโลก หรือ ธรรมดาโลก ไม่ใช่ธาตุดาวตามดวงชะตาทั่วไป ธรรมชาติของธาตุดาวนี้มีอยู่ในความหมุนเวียนของโลกธาตุ หรือ โลกธรรม ซึ่งที่จริงยังมีอีกมากมาย แต่เขียนหมดก็จะยาวเกินไป เพราะยังไม่เคยได้อธิบายเรื่องโลกธาตุเลย จึงอยากให้คิดถึงข้อคิดเบาๆมากกว่าที่จะเคร่งครัดตามตัวหนังสือ เพราะคราวหน้า ตั้งใจจะเขียนเรื่องหนักสักหน่อยมาสลับกัน


วรกุล - 26 กันยายน พ.ศ.2548 04:25น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 31
สวัสดีครับ อ.วรกุล....วันนี้อ่านข้อเขียน เบาๆ แล้วเลยอยากจะชวนคุย เบาๆ ด้วยครับ......ถ้าอย่างงี้จะตีได้มั้ยครับว่า เวลาเสาร์ทุกข์มาหลายคนดับทุกข์นี้ด้วยน้ำเมา (ราหู) แทน เนื่องจากมันเป็นคู่มิตรกันหรือเปล่าครับ......แต่ทีนี้ ดื่มเสร็จ กลับทำให้ทุกข์ใจกว่าเดิมอีก เพราะมันเสริมส่งกัน.......เอ แต่ผมก็สงสัยนะครับ ว่าทำไมตอนดื่ม (เมา) เราถึง "ลืม" เสาร์ทุกข์นั้นได้ครับ.............ส่วนเรื่อง "ผู้กล่าวธรรมมักไม่ประพฤติธรรม" นั้น ผมเห็นด้วยจริงๆครับ คนที่ผมรู้จักหลายคน มักจะศึกษา และชอบกล่าวธรรมแก่คนอื่นๆ หากแต่พฤติกรรมไม่ทำให้ผมรู้สึกว่า เค้าปฏิบัติได้อย่างที่เค้าศึกษาเลยครับ


โกวเล้ง - 26 กันยายน พ.ศ.2548 15:47น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 32
สวัสดีครับอาจารย์วรกุล ผมมีความสงสัยเรื่องการประจุพลังงานธาตุเข้าสู่ดวงชะตาครับ …..เพื่อให้รู้ว่าธาตุดาวในดวงชะตาจะแสดงผลเมื่อไรนั้น..จะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นตามขั้นตอนต่อไปนี้หรือเปล่าครับ ซึ่งผมมีความเข้าใจไปเอง 3ข้อ ว่า…ข้อ1.ดาวพฤหัสจรทางโหราศาตร์ (ตามวงรอบธรรมชาติ) จะทำหน้าที่ดึงดูดพลังงานธาตุจากดาวในสุริยจักรวาล , ความเป็นมาตรฐานต่างๆและธาตุดาวตามพื้นดวง จะยังไม่ลงมาในทันที ต้องรอให้พฤหัสจรโหราศาสตร์จรเข้ามาทับดาวนั้นๆก่อน ธาตุดาวในดวงชะตาจึงจะทำงาน…จากนั้นรอขั้นตอนต่อไป……ข้อ2. จะเป็นขั้นตอนต่อจากข้อแรก กล่าวคือ ดาวพฤหัสจรปัจจุบันจะทำหน้าที่เป็นบุรุษไปรษณีย์ ทำหน้าที่นำโครงสร้างและพลังงานธาตุดาวที่เกิดในขั้นตอนที่1 มาส่งให้เจ้าชะตาคือลัคน์ …หากขั้นตอนที่1(ข้อ1)เกิดขึ้นแล้วแต่ดาวพฤหัสจรปัจจุบันยังไม่จรมาถึงเจ้าชะตาคือลัคน์ โครงสร้างดาวและธาตุตามข้อ1 ก็จะยังมาไม่ถึงเจ้าชะตา….ข้อ3. ดาวจรปัจจุบัน ที่ถูกดึงดูดพลังงานธาตุตามข้อ1 ก็สามารถทำหน้าที่เป็นบุรษไปรษณีย์ คือทำหน้าที่แทนพฤหัสจรปัจจุบันในข้อ2 ได้เหมือนกัน. และมีผลเท่ากันกับดาวพฤหัสจรปัจจุบัน……จากความเข้าใจเอาเอง3ข้อข้างต้นทำให้เกิดความสงสัย3ข้อต่อว่า..q1. โครงสร้างและธาตุดาวจะมาถึงเจ้าชะตาได้(ตามข้อ2และ3)นั้นต้องเข้าทางลัคนา คือต้องทับลัคน์เท่านั้น ใช่หรือไม่ครับ.. การเล็งหรือตรีโกณกับลัคน์ไม่สามารถนำธาตุดาวเข้าประจุในดวงชะตาได้ใช่หรือไม่ครับ….q2. หากสมมุติให้พื้นดวงชะตานายa มีดาวเสาร์อยู่ราศีพฤษก , ดาวพฤหัสอยู่ราศีเมษ และมีดาวศุกร์อยู่ราศีมีน …คุณสมบัติหรือธาตุดาวเสาร์จะแสดงผลก่อนดาวศุกร์ใช่หรือไม่ครับ… โดยคุณสมบัติหรือธาตุดาวเสาร์จะแสดงผลในวัยเด็ก และคุณสมบัติหรือธาตุดาวศุกร์จะแสดงผลในวัยผู้ใหญ่สูงอายุแล้วใช่หรือไม่ครับ….และถือว่าเป็นบุพกรรมใช่หรือไม่ที่ดาวศุกร์มาแสดงผลในช่วงวัยท้ายๆของอายุ (หากดาวศุกร์เป็นดาวดี)....q3. ต่อจากq2.หากใส่ลัคน์ลงไปที่ราศีกันย์… โครงสร้าง”ปุตตะ” จะแสดงผลในวัยเด็ก ? และโครงสร้างกดุมพะ/ศุภะจะแสดงผลในวัยสูงอายุ ? สอดคล้องกับq2...... ทั้งหมดนี้เป็นความเข้าใจและความสงสัยของผม ขอความกรุณาให้อาจารย์ช่วยปรับทัศนะและช่วยชี้แนะให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องด้วยครับ….


ศ.fa200 - 26 กันยายน พ.ศ.2548 17:22น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 33
ตอบ 31 คุณ โกวเล้ง...........เรื่องเสาร์เป็นทุกข์ แล้วราหูเป็นน้ำเมาก็มองได้นะครับ แต่ถ้ามองให้อยู๋ในประเภทเดียวกัน เสาร์ คือ บ้า ราหูคือ เมา มันจะเข้ากัน ปกติเสาร์เป็นประสาท เป็นคู่สมพลกับพุธความคิด คนที่มีทุกข์จึงมักประสาทเสียเพราะคิดมาก เพราะพุธไปเสริมกำลังของเสาร์ เลยยิ่งทุกข์มากขึ้น เมื่อประสาทเสียจึงกลายเป็นบ้า หรือ ที่ปัจจุบันเรียกว่า จิตเภท หรือ จิตประสาท ต่างกับ โรคจิต คือ มฤตยู อันนั้นเพี้ยนไป เมื่อพุธคิดมาก เวลากินเหล้า คือราหู คู่ศัตรูของพุธ จะทำให้พุธคิดไม่ออก ก็หยุดคิด เสาร์ไม่มีใครเสริม เมื่อเลิกคิด ก็คลายทุกข์ได้เอง พอเลิกเมาก็กลับมาทุกข์ใหม่อีก ปกติทางธาตุมองราหูเป็นโลก เสาร์เป็นแผ่นดิน ถ้ามองทางธรรม เสาร์คือสมถะ(จำกัด) ราหูเป็นบริกรรมภาวนา(หลงกระทำ) ลมหายใจ(ธาตุลมละเอียด) เป็นคู่มิตร จึงเกื้อกุลกัน ก็เป็นอาณาปานสติ

พุทธสุภาษิตสองบทที่ผมยกตัวอย่างมา นึกบาลีได้ไม่ครบ “เมื่อถึงคราววิบัติ ปัญญาก็วิปริต” ดูเหมือนบาลีว่า “วินาสนกาเล.....วิปริตพุทธิ” ม่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านเอามาพาดหัวคอลัมน์เตือนรัฐบาลอยู่สมัยหนึ่ง ส่วน “ผู้กล่าวธรรมมักไม่ประพฤติธรรม” ดูเหมือนบาลีว่า “ธรรมวาที....อธรรมการี” แต่จำไม่ได้ว่าขาดอะไรไปบางคำ ปกติผมเป็นคนไม่ค่อยจำรายละเอียด


วรกุล - 27 กันยายน พ.ศ.2548 04:27น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 34
ตอบ 32 คุณ ศ.fa200..........อ่านคำถามแล้วสับสนเหมือนกัน เกิดจากคุณยังไม่เข้าใจ แต่ก็ไม่รู้ว่าคุณคิดอย่างไรจริงๆ ปกติดวงชะตาของเราที่มีดาวอยู่ครบนั้น มีทั้งดาวที่มีตำแหน่งมาตรฐานต่างๆ และไม่มีมาตรฐาน ดาวจะสัมพันธ์กันเป็นชุด อาจจะต่อเชื่อมกันก็ได้ เรียกว่าเป็นโครงสร้างดาว และเรือน สิ่งเหล่านี้มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเอามาเติม แต่ดาวแต่ดวง และโครงสร้างแต่ละชุดยังไม่แสดงผลเต็มตามคุณสมบัติที่ปรากฏ จะมีธาตุที่ลงมาสู่โครงสร้างเหล่านี้จนครบคุณสมบัติ เช่น อังคารเป็นอุจในดวงชะตา เมื่อยังไม่ถึงเวลาที่เรื่องราวจะแสดงออก ก็จะยังไม่แสดงความเป็นอุจเต็มตัว แต่เรายังไม่ได้พิจารณาโครงสร้างที่อังคารไปเกี่ยวข้อง ว่าธาตุของอังคารจะไปก่อเรื่องราวอย่างใด การเติมธาตุของอังคารอาจจะกลายเป็นความเดือดร้อนก็ได้

วงรอบของพฤหัส เกี่ยวกับพลังงานธาตุ ซึ่งเป็นธาตุคนละอย่างกับธาตุดาว และเกษตรธาตุ พลังงานธาตุนั้นเกี่ยวข้องกับดาวที่มีกำลังทำงาน ส่วนวงรอบธรรมชาติของโลกที่เกิดจากเด็ก ผู้ใหญ่ อะไรแบบนั้น เป็นการพัฒนาไปของอายุ ไม่ได้เกี่ยวกับการเติมธาตุ แต่เป็นการแก่ตัวของวงจรชีวิต พลังงานธาตุมีส่วนในการเติมธาตุให้ธาตุมีกำลังแสดงออกเพราะธาตุที่เติมเข้ามาต้องใช้พลังงาน การส่งพลังงานธาตุไม่จำเป็นที่พฤหัสต้องโคจรไปทับ พลังงานธาตุเคลื่อนที่ได้ตามจักรราศีอยู่แล้ว

การที่คุณยกตัวอย่างมา มีที่เข้าใจผิดอยู่หลายอย่าง และยังเอาวงรอบหลายชนิดเข้ามาพิจารณาร่วมกัน เรื่องวงรอบธรรมชาตินั้นไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่าย หากยังไม่เข้าใจ ก็พยายามจับเรื่องเดียว อย่าเอาวงรอบอื่นมาปนกัน และเรื่องการเติมธาตุ ไม่จำเป็นก็อย่าเพิ่งไปสนใจ เพราะจากที่คุณถามๆมา คุณก็ยังไม่เข้าใจเรื่องดาวและเรือนว่าทำงานสัมพันธ์กันอย่างใด ดังนั้น ธาตุจะเติม หรือ ไม่เติม ก็อ่านให้ออกชัดเจนเสียก่อนว่าจะเกิดอะไร ส่วนจะเกิดเมื่อใด เพราะอะไร ปฏิกริยาเป็นอย่างไร นั้น ต้องคนพอชำนาญขึ้นมาแล้ว จึงจะพิจารณาได้ ต้อง หัดพยากรณ์ดวงเดิมธรรมดาๆ กับดูดาวจรให้เป็นก่อน ชำนาญแล้วจึงค่อยไปจับเรื่องวงรอบ เพราะวงรอบก็ดูคล้ายดาวจรนั่นเอง ส่วนที่แตกต่างกันค่อยมาว่ากันทีหลัง อธิบายอย่างไรตอนนี้ก็เข้าใจยาก เพราะยังเรียนแบบกระโดดข้ามชั้นอยู่ ต้องเข้าใจว่าผมไม่ได้กำลังสอนโหราศาสตร์ แต่กำลังเล่านิทานให้ฟังเท่านั้น

q1 โครงสร้างดาวและเรือนมีอยู่แล้วในดวงชะตา ที่เข้าทางลัคนา คือ ธาตุต่างๆ (รวมทั้งพลังงานธาตุด้วย) q2 การเกิดผลไม่ได้เรียงตามราศี อยู่ราศีใดไม่เกี่ยว คุณเข้าใจเรื่องบุพกรรมของดาวผิดด้วย ถ้าเป็นบุพกรรมของคน ก็ไม่ใช่เอามากล่าวในจังหวะดาวแสดงผลนี้ q3 โครงสร้างเรือนที่มี ปุตตะ ศุภะ ปัตนิ เป็นต้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัยตามลัคนา แต่ไม่เสมอไป แล้วแต่เรือนสัมพันธ์เดิมต่างหาก


วรกุล - 28 กันยายน พ.ศ.2548 05:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 35
น้ำมันกำลังแพงลิบอยู่ตอนนี้ เลยนึกถึงเรื่องพลังงาน ในดวงชะตาของเรา พวกเราที่เรียนใหม่ หรือ กลางๆมักสับสนว่าว่า “กำลังดาว” และ “พลังดาว” มันต่างกันไหม เพราะบางทีก็พบว่าหนังสือเขียนว่าดาวไม่มีกำลังบ้าง ดาวดี ดาวเสีย บ้าง กำลังดาวส่งไม่ถึงบ้าง ดาวไม่ทำงานบ้าง ไม่รู้ว่าขี้เกียจ หรือหมดแรง แล้ว “แรง” นี่มันเป็นกำลัง หรือ พลัง หรือ พลังงาน กันแน่ บางตำราก็ว่าดาวส่งแสง ส่งรังสี ไปราศีโน้นราศีนี้ เรือนนั้นเรือนนี้ แล้วแสงดาวนี่มันคืออะไร เป็นพลังงานไหม หรือ ว่าไม่มีกำลัง มีแต่แสง และดาวให้กำลังแก่กันนี่มันคืออะไร บางอาจารย์ก็ว่าอาทิตย์อยุ่ราศีธาตุน้ำเป็นอาทิตย์ตกน้ำหมดกำลัง อยู่ราศีธาตุไฟแทนที่จะดีกลับทำให้เรือนไหม้ ต้องเรียกรถดับเพลิงเสียอีก เลยตกลงนักเรียนไม่รู้จริงๆว่าอะไรหมายความว่าอะไร ถึงหมอดูที่เทิร์นโปร หรือ เป็นอาจารย์แล้วก็เถอะ อาจจะไม่รู้ เพราะไม่ได้เรียนและไม่ได้ใช้ เพียงแต่พูดตามกันไป

อันที่จริงพูดถึงโหราศาสตร์ทุกระบบแล้ว ไม่ใคร่จะมีตำราสอนเรื่องพลังงานดาว มีเพียงดาวส่งแสง หรือ ดาวทำงานกันเป็นพื้นๆ ทั้งๆที่จริงแล้ว เรื่องพลังงานนี้สำคัญในดวงชะตา ไม่ว่าจะเป็นระบบใด วงรอบธรรมชาติที่ธาตุดาวต่างๆเคลื่อนเป็นวัฏจักรได้ก็เพราะพลังงาน จักรราศีที่ทำงานในดวงชะตาอยู่ ก็ต้องมีพลังงาน มิฉะนั้น จักรราศี และดวงชะตาที่เราเรียนกันอยู่นี้จะใช้ไม่ได้เลย เหตุที่โหราศาสตร์แต่ละระบบไม่สนใจพูดเรื่องพลังงาน เพราะมันเป็นเรื่องซับซ้อนประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็เพราะพลังงานนั้นเป็นอัตโนมัติ จึงไม่อยากสนใจ เหมือนเราเอาปลั้กคอมพิวเตอร์ไปเสียบเต้าไฟฟ้าในบ้าน เรามักสนใจซอฟแวร์ที่ทำงานมากกว่าจะไปสนใจพลังงานไฟฟ้าที่เครื่องอุปกรณ์ในคอมพิวเตอร์ต้องใช้ แต่ถ้าไฟดับบ่อยๆเมื่อไร จึงจะรู้สึกว่าขาดไฟฟ้าไป

ธาตุทุกชนิดในจักรวาล ล้วนแต่ต้องมีพลังงานทั้งสิ้น เปรียบเทียบกับฟิสิกส์ปัจจุบันได้ว่า หากไม่เป็นพลังงานที่แสดงออกมองเห็นได้ ก็ต้องลงไปถึงระดับอนุภาคและอะตอมทีเดียว ล้วนมีพลังงานอยู่ในทุกระดับ แต่ต่างกันกับวิทยาศาสตร์อยู่ที่ว่า พลังงานในวิชาโหราศาสตร์เป็นธาตุอย่างหนึ่ง ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นมวลได้แบบที่ฟิสิกส์บอก ธาตุใดไม่มีพลังงานธาตุ จะหายสูญไปเลย ไม่ว่าจะมีมวลใหญ่โตแค่ไหน นี่คือ คุณสมบัติทางธาตุในโหราศาสตร์ แหล่งพลังงานธาตุในจักรวาลมีอยู่สองแหล่ง หนึ่งคือ ดวงอาทิตย์ของเรานี้ และสองคือ ดาวฤกษ์ที่มีจำนวนมาก พลังงานธาตุจากสองแหล่งนี้ถูกส่งมาให้แก่ดวงดาวต่างๆ ดาวแต่ละดวงจะมีพฤติกรรมพื้นฐานต่อพลังงานไม่เหมือนกัน คือ พวกแรก ดาวพุธ ศุกร์ อังคาร เสาร์ ราหู จะรับพลังงานจากดวงอาทิตย์ แล้วแตกตัวเป็นธาตุดาวและเกษตรธาตุ ดังนั้น พลังงานจากดวงอาทิตย์จึงแฝงอยู่ในเกษตรธาตุ และธาตุดาวนั่นเอง ส่วนดาวอาทิตย์เอง มีพลังงานในตัวเอง เมื่อแตกตัวเป็นเกษตรธาตุ และธาตุดาวแล้ว ก็เรียกว่า “อาทิตย์” หรือ ธาตุดาวอาทิตย์เฉยๆ มีฐานะเท่ากับธาตุดาวอื่น ดังนั้น อาทิตย์ในดวงชะตาโหราศาสตร์ไทย จึงไม่ใช่ดวงอาทิตย์ เพียงเป็นธาตุที่รับพลังงานได้ตรงจากดวงอาทิตย์เท่านั้น ส่วนดาวจันทร์ นั้น เนื่องจากโคจรรอบโลก ดังนั้นนอกจากจะก่อเกิดธาตุ และเกษตรธาตุตามปกติแล้ว ยังมีหน้าที่สะท้อนพลังงานธาตุของอาทิตย์มายังโลก และดาวอื่นได้ด้วย ที่เหลืออีกดวงหนึ่งคือ ดาวพฤหัส ซึ่งสำคัญมาก นอกจากสร้างเกษตรธาตุ และธาตุดาวพฤหัสแล้ว ตัวมันเองยังเป็นแหล่งสะสมพลังงานธาตุจากดวงอาทิตย์และดาวฤกษ์ ซึ่งสามารถจ่ายให้ดาวอื่นๆใช้ได้ แม้แต่ธาตุดาวอาทิตย์เอง ในยามอับแสง จึงสรุปว่า นอกจากพลังงานจากจักรวาลแล้ว แหล่งพลังงานที่ดวงชะตาใช้อยู่ทุกวันจึงมีอยู่ 3 แหล่งคือ ดาวอาทิตย์ จันทร์ และ พฤหัส นี่คือ สามเทพ ของวิชาตรีทิพย์ ซึ่งเป็นวิชาที่สมัยก่อนใช้กัน

ธาตุดาวและเกษตรธาตุ เมื่อผ่านเข้าสู่ดวงชะตาแล้วก็จะมีพลังงานธาตุเข้ามาหล่อเลี้ยงให้ทำงานต่อได้อีก พลังงานนั้นมีหลายระดับ ยังไม่ต้องทราบก็ได้ ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจเสียก่อน คำว่า “กำลังดาว” หมายถึงดาวนั้นมีกำลังในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นดาวดี หรือ ไม่ดี เหมือนคนดี คนเลว ก็แข็งแรงหรือ อ่อนแอได้ ไม่เกี่ยวกับว่าคนดีต้องแข็งแรงกว่าคนไม่ดี สรุปง่ายๆว่า ดาวดี หรือ ไม่ดี จะแสดงคุณสมบัติ( ดี หรือ ไม่ดี) ออกมาได้มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับกำลังดาว กำลังดาวขึ้นอยู่กับพลังงานธาตุที่ได้รับ ต้องเข้าใจหลักตรงนี้ก่อนที่จะไปเรียนอย่างอื่นต่อ

ถ้าเลิกงงย่อหน้าที่แล้ว ทีนี้ธรรมดา พลังงานธาตุจะผ่านเข้าดวงชะตามาให้ทุกวันผ่านทางลัคนา แล้ววิ่งวนตามจักร ทวนเข็มนาฬิกา พอพลังงานธาตุ scan ผ่านเรือนที่มีดาวอยู่ ดาวก็จะดูดซับพลังงานธาตุไว้ใช้แสดงคุณสมบัติดี เลว ออกไป และใช้เพื่อทำปฏิกิริยากับดาวอื่น ในดวงชะตาของเรานี้ พลังงานธาตุจากจักรวาลจึงสามารถส่งมาให้ได้ตลอดเวลา ทำให้ดาวมีกำลังดาว ดาวที่ส่งเสริมกันจะทำให้กำลังดาวแสดงออกดีขึ้น ดาวที่ขัดกัน กำลังดาวจะลดลง ยกตัวอย่าง เช่นดาวคู่มิตร นั้น เหมือนกับเป็นน้ำมันหล่อลื่นซึ่งกันและกัน ทำให้การแสดงออกง่ายดายสะดวกสบาย ดาวคู่ศัตรูนั้น ตรงกันข้ามกับดาวคู่มิตร คือ มักขัดกันให้สะดุดหรือ หยาบกระด้าง ที่จะหานุ่มนวลแนบเนียนเหมือนคู่มิตรนั้นไม่มี จึงทำให้ดาวต้องใช้กำลังไปโดยใช่เหตุ จึงควรเข้าใจด้วยว่า คู่มิตรคู่ศัตรู ไม่ได้ทำให้กำลังดาวในตัวดาวเปลี่ยนแปลง แต่การที่แสดงออกมาได้สะดวก (หรือ ไม่สะดวก) ก็ดูเหมือนกำลังดาวดีขึ้น(หรือ แย่ลง) เหมือนคนวิ่งบนพื้นเรียบ ก็วิ่งเร็วขึ้น แต่ถ้าวิ่งบนพื้นขรุขระ ก็จะช้าลง เพราะถูกใช้ไปในการต้าน แต่คู่ที่ทำให้กำลังดาวเปลี่ยนแปลงคือ คู่สมพล ดาวคู่สมพลนั้น เป็นการเสริมกำลังดาวได้ดีที่สุด ดังนั้น คู่สมพลจึงแสดงคุณสมบัติตัวเองได้สูงสุด เหมือนได้เครื่องยนต์ 2 เครื่องมาเสริมกัน

ด้วยเหตุที่กำลังดาว เกิดจากพลังงานธาตุ ดังนั้น กำลังดาว ยังขึ้นอยู่กับว่าดาวนั้นสถิตอยู่ที่ใดจากอาทิตย์ พฤหัส และจันทร์ เพราะเป็นแหล่งพลังงานธาตุที่ ใช้เสริมนอกเหนือจากเพื่อดำรงธาตุตามปกติในดวงชะตา เช่นการทำงานในชีวิตประจำวัน เพราะการที่ธาตุดาวจะก่อเรื่องราวสัมพันธ์กัน ให้ เกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้นเป็นเรื่องใหญ่นั้น ต้องมีพลังงานสูงพอที่จะทำงานได้ ต้องผ่านมาจากลัคนา และอื่นๆร่วมกันหมด ดาวสามดวงที่เป็นแหล่งพลังงานในดวงชะตานี้จึงเป็นส่วนสำคัญ เพราะเป็นแหล่งสะสมของพลังงานธาตุที่ได้รับมา ปกติดาวที่เป็น 1 3 5 7 9 11 จากดาวสามดวงนี้ จะรับพลังงานได้มากกว่า ดาวที่เป็น 6 8 12 จะรับได้ไม่สะดวก หากรับได้จากทั้งสามดวง พลังงานธาตุก็จะมากและต่อเนื่องดี และเกิดเหตุการณ์ได้มาก และ เป็นเรื่องสำคัญ แต่หากรับจากดาวดวงใดดวงหนึ่ง ต้องถือว่า อาทิตย์ให้พลังงานมาก แต่สั้นๆ พฤหัสให้เรื่อยๆ แต่นาน หรือ เฉพาะตอนที่อาทิตย์เข้ามุมอับจากดาวนั้น ก็มาเอาไปจากพฤหัสได้ ส่วนจันทร์นั้น สะท้อนแสงอาทิตย์ จันทร์จึงให้เป็นช่วงๆ ในช่วงจันทร์มีแสง เช่น ข้างขึ้น เป็นการให้พลังงานน้อย สั้นๆ แต่เพราะเหตุที่จันทร์อยู่ใกล้โลกมาก และรบกวนธาตุบรรยากาศ กับธาตุในธรณีด้วย จันทร์จึงสำคัญในการเติมเต็มพลังงาน จึง มักว่าจันทร์ เป็นผู้จุดชนวนเหตุการณ์จร ในดวงเดิมนั้น หากดาวใดอยู่ในตำแหน่งที่ดี จากจันทร์เพ็ญ หรือ ข้างขึ้น หรือ ข้างแรมต้นๆ ก็จะดีเด่นไม่แพ้ใคร

ส่วนดาวคู่ธาตุนั้น เป็นเรื่องของ “กำลังธาตุ” ไม่ใช่กำลังดาว ธาตุดาวและเกษตรธาตุ เกี่ยวกับ กำลังธาตุ คู่ธาตุดาวจะให้ยืมธาตุถ่ายเทกันได้ ถ้าดาวหนึ่งธาตุอ่อนไป จะมีธาตุจากคู่ธาตุของมันมาช่วยได้ เมื่อใดคู่ธาตุเสียในดวงชะตาทั้งคู่ ก็อัตคัดธาตุหน่อย เหมือนคนถังแตก ไม่มีใครให้ยืม แต่ก็ยังดีกว่าพวกคู่ปรปักษ์ธาตุ หรือ ศัตรูธาตุ หรือ ธาตุที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่ให้ยืมธาตุ และสภาวะธาตุก็อาจขัดขวางกัน พวกที่เสริมหรือขัดแย้งกำลังธาตุนี้ มีผลหลายเรื่อง เพราะธาตุทำงานหลายอย่าง เช่น อังคาร แข็งขยัน นั้นเป็นคุณสมบัติของธาตุอังคาร ไม่ใช่กำลังดาว อังคารเป็น ธาตุลม ก็เป็นคุณสมบัติทางสภาวะธาตุ แม้ไม่ได้เกี่ยวกับกำลังดาวโดยตรง แต่การที่ธาตุต้องรับพลังงานธาตุอยู่เสมอก็จะทำให้ได้พลังงานมาก หรือ น้อยไป จึงมีผลต่อกำลังดาวทางอ้อม พวกดาวอุจ เกษตร มหาจักร นิจ ประ ก็เกี่ยวกับคุณสมบัติทางธาตุ ดังนั้น ที่พูดกันว่า ดาวเป็นอุจ เกษตร มหาจักร มีกำลัง นิจ ประ ไม่มีกำลังดาว นั้นไม่ถูก เพราะกำลังธาตุไม่เหมือนกำลังดาว ดังนั้นที่กล่าวตอนต้นว่า อาทิตย์ตกน้ำก็ดี อยุ่ราศีนั้นราศีนี้ก็ตาม กำลังดาวของอาทิตย์ยังคงมีเท่าที่เป็น แต่กำลังธาตุอาทิตย์อาจจะด้อยลงไปเพราะราศีธาตุ

แต่ไม่ว่ากำลังธาตุ หรือ กำลังดาว สิ่งที่มีบทบาทสำคัญอีกอย่างคือดาวเจ้าเรือนเกษตรนั่นเอง จะสังเกตว่าเราพูดถึงดาวในดวงชะตา แต่ยังไม่ได้พูดถึงเรือน เจ้าเรือนเกษตรใด (ก็คือ ดาวนั่นแหละ ในอีกบทบาทหนึ่ง) เมื่อได้รับพลังงานธาตุ หรือ ธาตุเกษตร คือมีกำลังดาว หรือ มีกำลังธาตุก็ตาม ก็จะส่งกลับเรือนตนเสมอ ดังนั้น เมื่อเจ้าเรือนมีกำลังดี เรือนมันก็จะดีด้วย เราจึงพิจารณาว่า เมื่อเรือนใดเสียหาย คล้ายกับไฟไหม้บ้าน หากเจ้าเรือนมีกำลังดาวและกำลังธาตุดี เรือนนั้นก็ไม่เสียหายมาก แต่ถ้าเจ้าเรือนหมดกำลังดาว และ กำลังธาตุ เรือนก็จะเสียหายไปด้วย เพราะเรือนไม่ได้รับกำลังด้วยตัวเอง แต่อาศัยเจ้าเรือน หรือ ดาวลอยในเรือนรับแทน ดาวลอยในเรือนรับกำลัง (พลังงาน) ให้แก่เรือนได้อย่างเดียว แต่ไม่ได้รับกำลังธาตุให้เรือนที่มันอยู่ เพราะหน้าที่นั้นเป็นของเจ้าเรือนคนเดียว

ดังนั้น กำลังดาว และ กำลังธาตุ ของดาวในดวงชะตา จะเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอทั้งขึ้น หรือ ลง กำลังธาตุนั้นเปลี่ยนแปลงช้ากว่ามาก แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเมื่อทำปฏิกิริยาทางธาตุ หรือ จากวงรอบวัฏจักร แต่กำลังดาวนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้เสมอ เพราะเมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น พลังงานธาตุจะรับมา สะสม และ ปลดปล่อยออกไป รวมทั้งธาตุดาวก็จะเปลี่ยนภพภูมิสถานะไปได้ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงพบว่า บางคนเคยเป็นคนธรรมดา แล้วก็มาเป็นคนมีชื่อเสียง เป็นดารา อยู่ได้สักปีสองปี แล้วดาราก็กลับดับลงไปเป็นคนสามัญอีก นี่คือ อนิจจัง ที่เป็นสามัญญลักษณะของธรรมชาติ

ถ้าอ่านแล้วงงก็ช่วยอ่านใหม่นะครับ นี่พยายามตัดเรื่องยุ่งยากออกไปหลายอย่าง ทั้งเกณฑ์ต่างๆแล้ว เหลืออยู่เท่าที่จำเป็น หากเข้าใจจึงจะต่อไปเรื่องอื่นได้ง่ายขึ้น เพราะนี่เป็นเรื่องที่นำไปสู่ความสลับซับซ้อนหลากหลายในทฤษฎีโหราศาสตร์ดวงอีแปะอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเรียนเรื่องธาตุหรือไม่


วรกุล - 30 กันยายน พ.ศ.2548 04:31น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 36
สวัสดีครับ อ.วรกุล.....อ่านบทความนี้แล้วเข้าใจมากขึ้นเยอะเลยครับ แต่สงสัยเล็กน้อยว่าที่ อ. พูดถึงกำลังดาวนี่ หมายถึงว่า ดาวพฤหัส อาทิตย์ และจันทร์ จร ไปทำมุมกับดาวอื่นๆ ในพื้นดวงใช่รึเปล่าครับ??.....อีกอย่างที่สงสัยก็คือว่า สมมุติว่าดาวคู่สมพลคู่หนึ่งที่อยู่ในเรือนๆหนึ่ง ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่รับพลังงานได้จากสามดาวนั้นๆ (เป็น ๖ ๘ ๑๒) หมายความว่าดาวคู่นั้นจะไม่ได้รับกำลัง (หรือได้รับน้อยมาก) ใช่รึเปล่าครับ? และเป็นเช่นนั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นคู่สมพลก็ตาม (หรือคู่มิตรก็แล้วแต่) แต่โอกาสที่จะไม่เกิดเรื่องตามคุณสมบัติของดาวนั้นๆ ก็ย่อมมีมากใช่รึเปล่าครับ??


โกวเล้ง - 30 กันยายน พ.ศ.2548 15:02น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 37
เรียน อ.วรกุล...

ผมอ่าน คคห. 35 แล้ว อยากขอคำแนะนำจาก อ.วรกุล ครับ เพราะมีคำถามให้คิดไว้ในใจ หากเก็บไว้จะกลายเป็นหมักหมมคิดมากไป คำถามนี้ผมขอถามจากส่วนที่ผมอ่านแล้วคิดว่าผมพออ่านเข้าใจในข้อเขียนบ้าง ส่วนข้อเขียนที่ไม่เข้าใจก็ถามไม่ออก คือ จากข้อความนี้ครับ "ถ้าเลิกงงย่อหน้าที่แล้ว ทีนี้ธรรมดา พลังงานธาตุจะผ่านเข้าดวงชะตามาให้ทุกวันผ่านทางลัคนา แล้ววิ่งวนตามจักร ทวนเข็มนาฬิกา"

ผมไม่ได้พยายามแปลทุกอักษรนะครับ แต่ผมอ่านแล้วแยกได้ ๒ ประเด็นครับ อย่างแรก พลังงานธาตุผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนาของดวงชะตาบุคคลที่เราพิจารณา แต่พอคิดอีกก็ได้อย่างที่สอง คือ พลังงานธาตุผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนาที่เปลี่ยนไปทุกเวลานาที หรือ เรามองลัคนาตัวนี้คือ ลัคนาที่บอกเวลาที่เปลี่ยนไป ณ ขณะนั้น หรือพูดในอีกแบบก็คือ พลังงานธาตุผ่านเข้ามาทางขอบฟ้าทางทิศตะวันออกทุกขณะ เมื่อราศีไหนผ่านขึ้นมาที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกก็จะรับพลังงานธาตุผ่านเข้าดวงชะตา ฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็จะผ่านเข้าดวงชะตาเต็มทั้ง ๑๒ ภพ

ขอถามครับ เดี๋ยวผมจะลืมประเด็น แล้วหลายๆ เรื่องที่ อ. เขียนอ่านยังงงๆ แต่ชอบครับ


หนูน้อย - 30 กันยายน พ.ศ.2548 20:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 38
อ่านทวนอีกที กลายเป็นลืมถามไปครับ คือ ที่ผมคิดนี้อย่างไหนเป็นแนวคิดที่เดินเข้าเส้นทางได้ถูกครับ รบกวน อ.วรกุล แนะนำด้วยครับ


หนูน้อย - 30 กันยายน พ.ศ.2548 20:11น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบ 36 คุณ โกวเล้ง...........กำลังดาวที่ได้จาก อาทิตย์ พฤหัส จันทร์ นั้นเป็นทั้งอาทิตย์ พฤหัส จันทร์เดิม ต่อดาวพื้นดวงเดิม(เดิม กับเดิม) และ อาทิตย์ พฤหัส จันทร์ จร ต่อดาวเดิม (จรกับเดิม)และดาวจร(จรกับจร) ด้วย แต่สำหรับดาวจรกับดาวจรนั้น มีความซับซ้อนกว่ามาก เพราะเข้าไปเกี่ยวข้องกับดาวเดิม อยู่ด้วยหลายทาง ดังนั้น ในการพิจารณาทั่วไป (ที่ไม่ใช่การเรียนทฤษฎี) ก็ไม่ต้องดูในทางดาวจรกับดาวจรก็ได้ เพราะพลังงานธาตุในพื้นดวงเดิมจะถ่ายเทเป็นไปตามกลไกของดวงเดิมของเจ้าชะตา ในขณะที่ดาวจร ต่อดาวจร เป็นการถ่ายเทตามดาวโคจรทั่วไปของจักรวาล ซึ่งจะดูก็ต่อเมื่อพิจารณาดาวจรล้วนๆ ในการพยากรณ์บางระบบ ซึ่งปกติโหรทั่วไปไม่ใคร่จะมีโอกาสใช้

ส่วน ดาวคู่สมพล (และคู่ดาวใด หรือ ดาวใด) ที่ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ได้รับพลังงานจากสามดาว จะได้รับกำลังในการเกิดเหตุการณ์สำคัญน้อย แต่ต้องย้ำว่า มันยังได้พลังงานปกติจากลัคนาอยู่ ไม่ได้ดับไป ปกติโหรจะดูว่าคู่มิตร คู่สมพลบางคู่ มีตำแหน่งสวยๆ แต่ไม่ได้รับพลังงานก็จะอ่อนความหมายไป ไม่ดีเด่นอะไร ดัง บทความของอาจารย์บางท่านเราจะเห็นบ่อยๆ คือ พูดข้ามไปดื้อๆ ไม่อธิบายว่าเป็นเพราะเหตุใด ก็คือ เหตุผลเรื่องกำลังดาว และ กำลังธาตุนี่แหละครับ ที่ว่าโอกาสที่จะไม่เกิดเรื่อง(เต็ม)ตามคุณสมบัติดาวนั้น หรือ เกิดน้อย ก็ถูกต้องแล้วในขั้นต้นนี้ เพราะยังไม่ได้พิจารณาโครงสร้างที่ดาวนั้นร่วมอยู่ด้วย


วรกุล - 1 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:20น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบ 37 คุณ หนูน้อย...........อ่านคำถามอยู่หลายตระหลบ ที่จริงก็ดูเป็นคำถามธรรมดา แต่ยังสงสัยว่าคิดอย่างไร ตอบแบบง่ายๆก่อน ลัคนาคนเราอยู่ในราศีใด พลังงานธาตุ(และธาตุต่างๆ) ก็เข้าทางราศีนั้นนั่นแหละ เข้าสู่ดวงชะตา “ของเรา” แล้วก็วิ่งทวนจักรไปจนครบรอบ 12 ราศี ทีนี้คำถามของคุณที่ว่า “(1 ) พลังงานธาตุผ่านเข้าดวงชะตาทางลัคนาที่เปลี่ยนไปทุกเวลานาที หรือ เรามองลัคนาตัวนี้คือ ลัคนาที่บอกเวลาที่เปลี่ยนไป ณ ขณะนั้น (2) หรือพูดในอีกแบบก็คือ พลังงานธาตุผ่านเข้ามาทางขอบฟ้าทางทิศตะวันออกทุกขณะ เมื่อ ราศีไหนผ่านขึ้นมาที่ขอบฟ้าทางทิศตะวันออกก็จะรับพลังงานธาตุผ่านเข้าดวงชะตา ฉะนั้นวันหนึ่งๆ ก็จะผ่านเข้าดวงชะตาเต็มทั้ง ๑๒ ภพ” (1) ที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆอันนั้นคือ ลัคนาดาราศาสตร์ ไม่เกี่ยวกับดวงชะตาเราซึ่งมีลัคนาอยู่แล้ว และจริงๆแล้วคำว่า ลัคนาดาราศาสตร์ก็ไม่ใช่ “ลัคนา” จริงๆตามโหราศาสตร์ เพราะเกิดมีคนไปเรียก “จุดโผล่ฟ้า” หรือ ราศีที่โผล่ขึ้นมาตอนนั้นว่าเป็นลัคนาอยู่เรื่อยๆ แต่โหราศาสตร์นั้น ถือลัคนาเมื่อมีคนเกิด ราศีนั้นจึงจะมีความหมายเป็นลัคนา (2) และขณะที่โลกหมุนไป แม้จะมีราศีหมุนขึ้นมามากมายสักเท่าไรก็ไม่ใช่ราศีในดวงชะตาของเรา แต่เป็นราศีของจักรวาล ธาตุทั้งหลายจะเข้าดวงชะตาได้ทางลัคนาของเราเท่านั้น ลัคนาเดียว ไม่มีทางอื่นอีก ผมเคยเขียนให้แล้วว่า ดวงชะตาเราเหมือนห่วงยางเล่นน้ำของเด็กที่มีจุกเป่าลมอยู่ที่ลัคนานั่นเอง ดวงชะตาเรา ทั้งดาว เรือน และราศี ก็เป็นเฉพาะของเราหมดมาตั้งแต่เกิด คุณคงสับสนเรื่องดวงชะตา กับจักรราศีแล้ว


วรกุล - 2 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 41
ขอบคุณ อ.วรกุล ครับ


หนูน้อย - 2 ตุลาคม พ.ศ.2548 13:01น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียน อ.วรกุล...

ผมขอเขียนแสดงความเข้าใจที่ผมเข้าใจ อยากให้ อ.วรกุล ตรวจสอบแนวคิดครับว่าพอจะอยู่ในหลักเกณฑ์ได้ไหมครับ ทั้งนี้ศัพท์บางคำผมอาจจะใช้ไม่ถูกหรือไม่เหมาะสม คือ อาจจะมีศัพท์บัญญัติไว้แล้วแต่ผมไม่ทราบหรือยังไม่กระจ่าง หรือไม่ได้นำมาใช้และอาจนำมาสร้างศัพท์เอง ขอให้ อ.วรกุล แนะนำแก้ไขด้วยครับ อนึ่งบางสิ่งที่ผมเขียน ขอบรรยายตามความเข้าใจ ณ เวลาที่เขียนนี้ อาจจะมีซ้ำซ้อนกับข้อความของ อ.วรกุล ที่เขียนไปแล้วบ้าง อย่างไรแท้จริงแล้วก็นำแนวคิดมาจากบทความของ อ.วรกุล เพียงแต่ขึ้นกับการอ่านเข้าใจของผมเองครับ ความเรื่องมีดังนี้ครับ

เรื่องวงรอบธรรมชาติ ที่กระทู้ที่ 8 คคห. 30 อ.วรกุล ตอบคุณ โกวเล้ง

แรกทีเดียว ผมคงต้องเขียนอธิบายเรื่องวงรอบธรรมชาติที่ผม(คิดว่า)เข้าใจก่อนครับ เพราะมีสิ่งที่คาใจ และคิดไม่แตก ว่าวงรอบที่พิจารณานี้สอดคล้องกันหรือผิดแผกแตกต่างกันอย่างไร ผมขอสมมติว่าดวงชะตาหนึ่งมีลัคนาที่ราศีเมษ เมื่อเรานับวงรอบอายุ ตั้งต้นวงรอบที่ 1 ที่ราศีเมษนับอายุย่างเป็น 1 แล้วนับอายุไล่ไปทวนเข็มนาฬิกาจนอายุย่าง 12 ปีตกที่ราศีมีน แล้วให้กระโดดหนึ่งตา ข้ามราศีเมษ แล้วไปตั้งต้นนับวงรอบที่ 2 ที่ราศีพฤศภ เป็นอายุย่าง 13 ปีไล่ไปทวนเข็มนาฬิกาอีกครั้งมาประชิดวงรอบ 12 ปี ที่ราศีเมษ และทำทำนองเดียวกัน ข้ามราศีตั้งต้นในวงรอบที่ 2 นี้คือ พฤศภ เริ่มวงรอบใหม่ที่ราศีมิถุนนี่คือ วงรอบที่ 3

การนับผมมองว่า เรา นับไม่ให้ซ้ำ หรือ ทับ วงรอบที่มาก่อน เราจึง "กระโดด" เพราะ ราศีที่เรากระโดดนั้น เรานับเป็นจุดตั้งต้นวงรอบธรรมชาติเดียวกับวงรอบที่เราอยู่ในปัจจุบันก่อนเราจะกระโดด

วงรอบที่ยกตัวอย่างนับอายุนี่ (ผมขออภัยออกตัวไว้ก่อน ผมไม่ทราบว่า วิธีนี้ทำนายใช้อย่างไรและไม่ทราบว่าเรียก ชันษาจรหรือ ลัคนาจร กันแน่ เพียงเคยผ่านตาครับ ที่เคยเขียนมั่วครับ) เมื่อมองอายุย่าง ในแต่ละวงรอบก็คือ อนุกรมเบญจเพส 13, 25, 37, 49, 61,… ในข้อเขียนของ อ.วรกุล บอกว่าจะมีการจัดตัว รอรับธาตุใหม่ และ ที่มาของอนุกรมชุดนี้คือ วงรอบธรรมชาติของธาตุที่เกิดจากดวงอาทิตย์ และ พฤหัส

การอ่านวงรอบธรรมชาติต่างๆ ผมเข้าใจว่าเป็นการดูการซ้อนทับของดาวเดิมแต่ละดวงที่มาทับ ดาวเดิมที่ลอยในราศีในจุดตั้งต้นใดๆ ที่เรากำหนด ในกรณีของคน จุดตั้งต้นก็คือ ดวงชะตาที่เราเกิด ทั้งนี้เราต้องอาศัยระยะเวลาของดาวที่จะวนครบรอบราศีจักรมาเป็นตัวกำหนด วงรอบธรรมชาติ

เราอาจจะกำหนดวงรอบธรรมชาติ "เวลา" โดยอาศัยดาว 1 ดวง สัมพันธ์กับการเดินทางรอบราศีจักร เช่น อาทิตย์ใช้เวลา 1 ปี, จันทร์ใช้เวลา 1 เดือนจันทรคติ นอกจากนี้ อังคาร ใช้ 1 ปีครึ่ง, พุธและศุกร์ราว 1 ปี, พฤหัส 12 ปี, เสาร์ราว 30 ปี และราหู 18 ปีครึ่ง

นอกจากนี้เรากำหนดวงรอบธรรมชาติจากดาว 2 ดวงก็ได้ เช่น ดังวงรอบ อนุกรมเบญเพส อาทิตย์กับพฤหัส ใช้เวลา 12 ปี ดาวทั้งสองดวงจะมีระยะเวลาหนึ่งมาสถิตอยู่ตำแหน่งเดิมกับจุดเริ่มต้น(ดวงชะตาเกิด)

ข้อสงสัยของผมที่คิดยังไงก็ไม่เนียน

1.) ตัวอย่างอย่างเช่น ดาวเสาร์สมมุติอยู่ราศีเมษ เมื่อจรครบวงรอบแรกมาบรรจบที่ราศีมีน แล้ววงรอบที่ 2 ละครับเราจะเริ่มนับที่ไหน หากกระโดดไปหนึ่งตาเช่นกัน จะเกิดการไม่เท่ากันเหลื่อมล้ำระหว่าง ตำแหน่งดาวกับวงรอบธรรมชาติ... นี่คือ สิ่งที่ผมคิดไม่ออกครับ ไม่ทราบผมมองข้ามจุดไหนไปหรือครับ หรือเป็นการมองผิดตั้งแต่แรก

2.) มาจากข้อสงสัยแรก (ข้อนี้เขียนขึ้นหลังจาก เขียนจบข้อความข้างล่าง วงรอบธรรมชาติของ ดาวมากกว่า 1 ดวงแล้วครับ ขอผ่านไปอ่านข้างล่างก่อนครับ) สมมติคนที่เกิดมี อาทิตย์อยู่สิงห์ และเสาร์อยู่ที่เมษ เมื่อเวลาผ่านไป 1 วงรอบธรรมชาติครั้งแรก อายุย่าง 31 ปี และผ่านวงรอบธรรมชาติครั้งสอง อายุย่าง 61 ปี

ผมสงสัยว่าตำแหน่งดาวในแต่ละการเริ่มวงรอบใหม่ตำแหน่งจะยังอยู่เหมือนดวงชะตาแรกเกิดหรือไม่ครับ

*** เพิ่มครับ มานั่งอ่านอีกรอบผมควรจะยกตัวอย่าง วงรอบ อาทิตย์-พฤหัส จะได้สอดคล้องตั้งแต่ต้น แต่ดันมานับ อาทิตย์-เสาร์ เหตุทั้งนี้เป็นเพราะผมเคยเขียนถาม อ.วรกุล ครั้งหนึ่งโดยยกเสาร์เป็นหลักครับ

..........................................................................

นอกจากนี้วงรอบธรรมชาติเมื่อพิจารณา ก็ได้ออกมาหลายแบบโดยคร่าวๆ สมมติผมมองวงรอบเสาร์เป็น 30 ปีนะครับ (บางทีเห็นเป็น 29 ปีครึ่ง) ได้ว่า

วงรอบ อาทิตย์-พฤหัส 12 ปี

วงรอบ อาทิตย์-เสาร์ 30 ปี

วงรอบ อาทิตย์-พฤหัส-ราหู ราวๆ 36-37 ปี

วงรอบ อาทิตย์-พฤหัส-เสาร์ เมื่ออายุย่าง 61 ปี

แต่ทั้งนี้เราอาจจะต้องรวมจันทร์เข้าไปด้วยในทุกๆ กรณี

ทั้งนี้ความหมายของ วงรอบธรรมชาติ แต่ละวงนี้จะมีความหมายอย่างไรครับ จะอ่านตามความหมายของคู่ดาวแต่ละคู่หรืออย่างไรครับ และนำไปใช้อย่างไร

ผมเคยสนใจโหราศาตร์การเมืองด้วย (ยังไงๆ ตอนนี้ก็คงต้องบอกว่าก็สนใจอยู่ดี) มีวงรอบธรรมชาติของ พฤหัส-เสาร์ ที่ทุกๆ 20 ปีจะมากุมกันในราศีหนึ่งๆ เป็นการเปลี่ยนยุค แต่ผมก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ว่า "ความหมาย" อะไรที่นำมาใช้ในการแบ่งยุค

ขอบพระคุณล่วงหน้าครับ


หนูน้อย - 4 ตุลาคม พ.ศ.2548 11:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 43
ตอบ 42 คุณ หนูน้อย...........เรื่องอายุเบญจเพส เป็นวงรอบธาตุทั่วไปในชีวิตมนุษย์ ต่างกับ ลัคนาจร หรือ ชันษาจร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นวิธีคิดจากพลังงานธาตุ ของดวงชะตา หรือ การเคลื่อนของอัตตา ซึ่งมีหลายระบบมากมาย เอามาคิดรวมกันไม่ได้ เหมือนกับ ทักษาจรนั้นมีวิธีนับอายุ และนับภูมิทักษาหลายแบบ เอามารวมกันนับไม่ได้ เรื่องวงรอบธรรมชาตินั้นผมเคยเล่าให้ฟังแล้วว่ามีวงรอบ หรือ วงจรอยู่ในธรรมชาติมากนับไม่ถ้วน การที่โหราศาสตร์บางระบบเลือกเอาบางวงจรมาใช้ ก็เพราะมันสอดคล้องกับวิธีทางโหราศาสตร์ที่ใช้อยู่ จึงจะนำมาพยากรณ์ได้ เหมือนกับ แม่กุญแจก็ต้องใช้ลูกกุญแจของมัน จึงจะไขกุญแจนั้นได้ ทั้งนี้เพราะลูกกุญแจนั้นมีรอยหยักที่ตรงกันกับรอยหยักในรูกุญแจพอดี แต่ ถ้าเอาลูกกุญแจลูกอื่นมาไขแม่***ญแจอีกตัวหนึ่งจะไขไม่ออก ที่แย่ไปกว่านั้น คือถ้าไม่ได้ใช้ลูกกุญแจที่มีอยู่แล้ว แต่กลับเอาแผ่นทองเหลืองมาจะสร้างทำลูกกุญแจเองโดยใช้เดาเอาว่ารอยหยักในรูแม่กุญแจควรจะเป็นรอยหยักอย่างใด แบบนี้คงอีกนานมากกว่าจะสำเร็จ

ผมเคยบอกหลักวงรอบธรรมชาติมาแล้ว แต่คุณไม่ได้จับเอาหลักนั้นมาตั้งให้มั่นคง กลับไปเอาเรื่องปลีกย่อยมาเป็นกฎ และก็เอาหลายเรื่องมาชนรวมกันไม่ยอมแยกแยะเลย หลักของวงรอบธรรมชาติมีอยู่ว่า 1/ เป็นวงจรของอะไร 2 / อัตราของวงรอบจะคิดจากอะไร อย่างไร เริ่มต้นจากไหน 3 / ต้องสอดคล้องกับวิธีทางโหราศาสตร์ที่ใช้อยู่ และ ก็เคยบอกแล้วว่า วงรอบธรรมชาติเป็นสาขาหนึ่งในสามของโหราศาสตร์ (1/ ดวงชะตาจากจักรราศี 2 / วงรอบธรรมชาติ 3 / ดวงชะตาจากโลกหมุน) ดังนั้นการที่เราจะเอาเรื่องบางอย่างมาคิดเองตั้งแต่ต้นจะไม่มีทางสำเร็จ ถึงจะเอามาถามเท่าไร ก็จะผิดอยู่นั่นเอง ผมก็คงต้องตอบว่า “ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่ ไม่ใช่............” แบบนี้ไปไม่รู้จบ พอๆกับคิดจะสร้างระบบโหราศาสตร์เองทั้งหมด ซึ่งทำไม่ได้ เนื่องจากระบบโหราศาสตร์ไม่ได้สร้างมาง่ายๆเพียงชั่วชีวิตคนคนเดียว ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ไปหาเรียนระบบใดระบบหนึ่งจนจบเสียก่อน แล้วจึงค่อยมาคิดพิจารณาต่อยอด หากไม่ยอมเรียนเลย แล้วมานั่งคิดสร้างจินตนาการเอาเองจากคำพูดเพียงไม่กี่คำ ที่โน่นบ้าง ที่นี่บ้าง อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพจิตของตัวเองมาก

ผมเคยต้องช่วยรักษาเด็กคนหนึ่ง บิดามารดาเขาส่งมาให้ช่วยแก้ไข เพราะเขาไม่ยอมไปหาจิตแพทย์ ก็เป็นแบบนี้ คือ เขาไปอ่านการ์ตูนวิทยาศาสตร์พบว่า คอมพิวเตอร์นั้นสร้างขึ้นมาจากเม็ดทราย (ซิลิก้า) เม็ดเดียว เขาจึงออกไปเก็บเม็ดทรายหน้าบ้านมาหนึ่งกระป๋อง แล้วเที่ยวถามใครต่อใครว่าจะสร้างคอมพิวเตอร์ได้อย่างไร แต่ไม่ยอมเรียนหนังสือ ไม่ยอมอ่านอะไร เรียนแค่ ม. 1 แล้วไม่ยอมเรียนอีกเลย บอกใครๆต่อใครว่าจะสร้างคอมพิวเตอร์จากเม็ดทรายให้ได้ แล้วแกก็ไปซื้อสายไฟฟ้ามาต่อกับเม็ดทรายเป็นพวงๆ ทำอยู่หลายปี แล้วก็เปลี่ยนไปมุขใหม่ เพราะไปเห็นว่ารูปพระพุทธเจ้านั้น มักจะเห็นภาพเขียนนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิเสมอ แกเลยสรุปว่า เพราะต้นโพธินี่เองมีกระแสควอนตัมไดนามิคส์แรง ทำให้ได้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วแกก็เลยไปนั่งใต้ต้นโพธิบ้าง ตอนนี้โตเป็นหนุ่มแล้ว (ปัจจุบันอายุราว 35 ) หนวดเครายาว ก็ยังไม่บรรลุธรรมเสียที ผมเองก็ไม่มีปัญญาแก้ไขเขา เพราะเขาไม่ยอมไปหาจิตแพทย์ แม้ผมจะหลอกล่อให้กินยาได้สักพัก เขาก็เกิดรู้ทันเสียอีก มีอีกคนหนึ่ง จบปริญญาตรี เขาบอกว่าเขาสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ก็มีลูกมีเมีย ตามปกติ ทุกวันนี้เขาก็ยังเชื่อว่าตนเองเป็นพระอรหันต์วันละหลายๆครั้ง เพราะนั่งสมาธิแล้วรู้สึก “ซ่าๆ” แถวท้ายทอยเสมอ ใครจะอธิบายอย่างไรก็ไม่ยอมเชื่อ และไม่ยอมอ่านหนังสือธรรมะด้วย เพราะเชื่อว่าทุกคนผิดหมด ไม่น่าเชื่อเลยว่าจบปริญญาตรีมาได้

โหราศาสตร์จากวงรอบธรรมชาติ ไม่ได้คิดมาง่ายๆ ดังนั้น อยากให้คุณไปหาเรียนระบบใดระบบเดียวมาให้จบเสียก่อน แล้วจึงมาใคร่ครวญว่าเขาสร้างมาอย่างใด เหมือน มีบางท่าน คิดจะเรียนโหราศาสตร์จากเว็บทางอินเตอร์เน็ท โดยใช้วิธีถามเอา ถามแบบนี้อีกเท่าไรก็ไม่มีทางคิดระบบโหราศาสตร์ขึ้นเองได้ ผมเองเรียนวิชามาหลายสิบปีแล้ว ยังไม่เคยคิดระบบโหราศาสตร์เองได้สักระบบเดียวเลย เพราะแค่เรียนที่มีคนคิดไว้ดีแล้ว ก็ยังเรียนไม่รู้จักหมด หากตอบคำถามคนอื่นให้รู้เองได้โดยไม่ต้องเรียน ผมก็ไปคิดเอาเองไม่ดีหรือ

ลัคนาจร ก็อย่าง ชันษาจรก็อย่าง และทั้งสองอย่างนี้มีวิธีคิดแตกต่างกันเท่าที่รู้ ราวๆ 30 ระบบ พอๆกับ การนับทักษา ปัจจุบันมีวิธีนับทักษาที่นับอายุ และเข้าตานั้น ออกตานี้ ที่เผยแพร่แล้ว แตกต่างกันอยู่ราว 12 วิธี แต่ที่รู้ยังมีอีกราว 10 วิธี หากเอาวิธีเหล่านั้นมาปนกัน ก็คงต้องไปนั่งใต้ต้นโพธิคู่กับเด็กคนนั้นแน่ๆ นี่เพราะไม่รู้ “วิธีคิด” แบบใช้ปัญญา แต่จับแพะมาชนแกะ วิธีคิดแบบวงรอบธรรมชาตินั้น เป็น “ศาสตร์” ศาสตร์หนึ่งทีเดียว ไม่มีทางที่จะอธิบายให้ฟังจนเข้าใจได้หมดในที่นี้ได้ ที่นำมาเล่าให้ฟังเพื่อจะได้รู้จักแยกแยะว่าอะไรอยู่ตรงไหนเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อให้ไปคิดระบบโหราศาสตร์วงรอบขึ้นมาเอง


วรกุล - 5 ตุลาคม พ.ศ.2548 07:47น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 44
เรียนท่านอาจารย์วรกุล

ขอเรียนถามเรื่องของดาวอังคารที่โคจรอยู่ในราศีเมษ ขณะนี้ โคจรพักร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนครั้งก่อนที่ดาวเดินเข้ามาใหม่ๆช่วงเดือนกรกฎาคม ถึงกันยายน ครั้งนั้น ดาวโคจรตามปกติ ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในชีวิตครั้งนั้นแล้ว ขณะนี้ดาวพักร์ เหตุการณ์จะเกิดขึ้นซ้ำเหมือนเดิมไหมคะ

หรือไม่น่าจะซ้ำเดิม เพราะดาวจรแต่ละดวงได้เปลี่ยนตำแหน่งกันไปหมดแล้ว จำได้ที่ อาจารย์สอนไว้ว่า ต้องดูดาวให้ครบทั้ง 10 ดวง

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตคนขณะที่ดาวโคจรพักร์ จะรุนแรงมากกว่าดาวเดินตามปกติไหม หรือต้องขึ้นอยู่กับดาวทั้ง 10 ดวงที่ทำงาน ถ้ามีเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องเดิมๆหรือเป็นเรื่องใหม่(ในเมื่อดาวอังคารยังอยู่ที่เดิม ราศีเดิม)

ขอบคุณค่ะ


ทิพย์ - 6 ตุลาคม พ.ศ.2548 14:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 45
ตอบ 44 คุณทิพย์..........ดาวอังคารที่โคจรอยู่ในราศีเมษ ขณะนี้ โคจรพักร์ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องดูว่าเป็นเหตุการณ์ชนิดใดระดับใดด้วยครับ ดังนั้น จึงตอบได้ก่อนว่ามีทั้งซ้ำและไม่ซ้ำเดิม กรณีที่ดาวดวงใดดวงหนึ่งโคจรอยุ่ในราศีใด ตัวมันเองเมื่อถึงเวลามันก็ทำงานได้โดยลำพัง ไม่เหมือนกรณีที่ต้องดู ดาว 10 ดวงในดวงชะตาเดิม เพราะตัวมันซึ่งเป็นดาวจรดวงเดียวก็สามารถทำให้ดาวในดวงเดิมมีปฏิกิริยาได้แล้ว แต่ปฏิกิริยาที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นั้น มีหลายระดับ ในที่นี้จะเอาง่ายๆ แยกเป็นสามระดับก็พอ คือ หนึ่ง....โดยส่วนตัว สอง.. โดยโครงสร้างดาว เป็นทีม สาม......โดยวัย

1 / โดยส่วนตัวมันเองจะมีผลต่อเรือนและราศีที่จรอยู่ เช่น หากใครมีลัคนาอยู่ราศีเมษ อังคารทับลัคนา ย่อมมีผลต่ออารมณ์ และ ร่างกาย สุขภาพได้ ตามความหมายเรือนตนุ เช่น โมโห ทำอะไรเร็ว ปวดศีรษะ และ หากมีดาวเดิมกุมลัคน์อยู่ อังคารเมื่อทับ ก็จะเกิดปฏิกิริยาทางธาตุดาว หรือ ทางดาวขึ้น เช่น เดิมมีพุธอยู่แล้ว อังคารทับพุธ แม้เป็นอังคารเกษตรก็ทำให้มีเรื่องโต้เถียง โต้แย้งได้ จะหนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่ดวงแต่ละคน ดาวจรอื่นๆจะเพียงมาเสริมเรื่องหรือ ขยายความขัดแย้งนั้นบ้าง เหตุการณ์นี้เกิดจากธาตุดาว ถ้าเคยเกิดแล้ว มีโอกาสเกิดซ้ำแน่ เว้นแต่คุมสติฝืนไว้เท่านั้น เพราะพวกธาตุดาวนี้ เราควบคุมด้วยธาตุตัวเราเองได้ และจะเกิดรุนแรงมากน้อยเพียงใด ไม่เหมือนกันแต่ละครั้ง เพราะดาวอื่นๆมาแทรกแซงไม่เหมือนกัน และจะเกิดเร็วช้าต่างกันไปแต่ละครั้งด้วย ดังนั้น จะไปดูองศาดาวไม่ได้ และดาวโคจรพักร ก็แสดงผลในข้อนี้ด้วยเหมือนกัน ดาวอังคาร มีความหมายถึงการกระทำ ความขยัน อะไรแบบนี้ อาจจะลุกขึ้นมาขยันออกกำลังเต้นแอโรบิคก็ได้ เมื่อจรพักร ก็เลิกทำ ผลมักไม่รุนแรงอะไร ฝืนได้

2 / โดยโครงสร้างดาวเป็นทีม จะเป็นเพราะดาวอังคารเองต้องยักย้ายถ่ายเท พลังงาน และ มีปฏิกิริยาสัมพันธ์กันดวงเดิม และดาวโคจรอื่นๆ ดังนั้น หากมีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในครั้งก่อนแล้ว จะเกิดเรื่องซ้ำอีกยาก เรื่องที่เกิดเป็นทีมนี้ คือความสัมพันธ์ ทางเรือน หรือ ความสัมพันธ์ทางดาว จะเป็นเรื่องใหญ่ หรือ มีข้อสังเกตว่า เป็นเรื่องที่มีความสัมพันธ์กับผู้อื่น และเรื่องอื่นๆ ชนิดที่มีผลเปลี่ยนแปลง ด้วย เช่น ย้ายบ้าน ไม่ใช่อังคารมาถึงแล้วจะย้ายบ้านกันทุกครั้ง มักจะมีปัญหาอื่น ที่ดาวอื่นทำงานอยู่ด้วย เช่น เรื่องการเงิน การงาน การแต่งงาน เป็นหนี้สิน ฯลฯ อะไรแบบนั้นที่สัมพันธ์ถึงด้วยเสมอ ดาวอังคารจะทำงานในระบบดาวจรที่สัมพันธ์กับเรื่องราวในดวงเดิม ส่วนดาวโคจรพักรนั้นในหน้าที่เป็นทีม มีผลมากกว่าการทำงานเดี่ยว เพราะดาวโคจรพักร ทำให้ธาตุและระดับพลังงานเกิดความเปลี่ยนแปลงผิดปกติ เกิดปฏิกิริยาต่อเนื่องถึงดาวอื่นได้ง่ายกว่าดาวโคจรปกติ (ผมจะเขียนเรื่องนี้ แต่ชีวิตนี้ยังเบื่อเขียนบทความอยู่เลย) ดังนั้น เหตุการณ์แม้ดาวโคจรพักรก็จะจะขึ้นอยู่กับดาวอื่นที่โคจรอยู่ด้วย ไม่ต้องถึงกับดาวทั้ง 10 ดวง (แบบดวงเดิม) เพียงแต่ดูดาวที่ร่วมทีมมาก่อเรื่องด้วยก็พอ ส่วนใหญ่ก็จะมีไม่ต่ำกว่า 3 – 4 ดวงเป็นอย่างน้อย เรื่องรุนแรงหรือไม่ จึงไม่ได้เกิดจากการโคจรพักร แต่จะเกี่ยวกับคุณสมบัติดาวที่มาทำงานร่วมกัน

3 / โดยวัย นี่สำคัญมากเหมือนกัน เพราะเหตูการณ์อาจจะไม่มีผลซ้ำรอบเหมือนเดิมเลย เช่น ดาวนี้ หรือ ทีมนี้ มาแล้วเราพบแฟนควงแขนกันไปแต่งงานตอนอายุ 20 บัดนี้ มันมาอีก ตอนเราอายุ 95 เราจะแต่งงานอีกเป็นไปไม่ได้ เพราะดาววัยนั้น ย่อมแก่เฒ่าชราไปพร้อมกับตัวเรา ใครจะมายั่วยวนอย่างไรก็ไม่มีผลแล้ว ดังนั้น หากดาวแสดงว่ามีการแต่งงานอีก ก็ต้องแปลไปเป็นเรื่องอื่น หรือมิฉะนั้นก็ต้องตรวจสอบว่ามีความเกี่ยวพันไปถึงคนใกล้ชิดหรือเปล่า เพราะ หลานชาย หลานสาว อาจจะแต่งงาน แต่เราต้องไปเป็นเจ้าภาพก็ได้ ดังนั้น การเกิดเหตุการณ์โดยวัยมักจะเกิดซ้ำเดิมได้ แต่เปลี่ยนรูปเสมอ ต้องดูให้ออก ข้อนี้ไม่ต้องสนใจดาวพักร เพราะไม่เกี่ยว


วรกุล - 7 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:31น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 46
.......กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 10....ครับ.............


วรกุล - 7 ตุลาคม พ.ศ.2548 04:33น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 47
สวัสดีค่ะ ดิฉันเกิดวันที่ 21 ตุลาคม 2521 วันเสาร์ แรม 5 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเมีย เวลา 23 นาฬิกา อายุ 27 ปี อยากทราบเรื่องดวง ความรักเป็นอย่างไรบ้างเพราะช่วงนี้มันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ส่วนการงานจะมีการเจริญก้าวหน้ารึเปล่าคะ ขอบคุณ อาจารย์ มากนะคะ


หน่อย - 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2548 21:27น. (IP: 58.10.169.62)

ความคิดเห็นที่ 49
ผมเกิดวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2513 เวลา 10.35 น. อยากทราบว่าอนาคตที่เหลืออยู่จะเป็นอย่างไรบ้างครับ


my heart - 27 พฤษภาคม พ.ศ.2551 23:10น. (IP: 124.121.181.181)