เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 22)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 21 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 22 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.107.196.39)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
เรียนท่านอาจารย์วรกุลฯ ที่เคารพ

ผมเพิ่งเข้ามาชมในเวปของท่านอาจารย์ฯ รู้สึกทึ่งมากที่ท่านอาจารย์ได้ตอบในวิชาโหราศาสตร์แบบแนวทางปรัชญา

เผอิญผมเคยเข้าไปท่องในเวป payakorn.com มา และได้เคยอ่านเกี่ยวกับเรื่อง "ราหูอวตาล" หรือเรียกว่า "ราหู8ภาค" ซึ่งมีให้อ่านเพียงเล็กน้อย และไม่สามารถแสวงหาเพื่อให้ทราบว่า ราหูอวตาล เป็นเช่นไร ราหู8ภาค เป็นเช่นไร

ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ทราบเรื่องของราหูหรือเปล่าครับ ผมไม่สามารถไปเสาะถามจากท่านผู้ใดได้ จึงคิดว่าคงจะได้รับความเอื้อเฟื้อจากท่านอาจารย์ เพื่อเป็นวิทยาทานแด่ผู้อยากรู้ทั่ว ๆ ไปด้วยครับ

ขอกราบของพระคุณอาจารย์ ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ


saridon - 17 มกราคม พ.ศ.2550 11:37น. (IP: 203.152.57.5)

ความคิดเห็นที่ 2
ตอบคุณ saridon (ความเห็นที่ 1)............ผมไม่ทราบเรื่องศัพท์คำนี้ครับ อาจจะเป็นการตั้งชื่อเป็นการเฉพาะ จำได้ว่าเคยอ่านเรื่องทำนองนี้นานมาแล้ว หากจะรู้ที่มาและอธิบายให้ได้คงจะต้องดูต้นเรื่องที่กล่าวถึงเสียก่อน แต่เรื่องราหู เป็นเรื่องที่ทราบกันอยู่ ในโหราศาสตร์ไทย ในจักรราศีจะมีราหูอีก 4 ตำแหน่ง ในโลกมีราหูอีก 2 ชนิด แต่ก่อนมีตำราเรื่องราหู ไม่ได้เห็นนานแล้วครับ คำว่า “คราส” นั้น เขาก็หมายถึงราหูนี่เอง ทั้งๆที่ไม่จำเป็น

การที่เขาเน้นที่ราหู ก็เพราะราหูแปลงกายเปลี่ยนไปได้หลายชนิด ไม่เหมือนดาวอื่นที่แม้มีหลายคุณสมบัติก็จะเป็นดาวเดียวกันนั่นเอง ราหูเป็นเหมือนยักษ์คนละตัวที่กำเนิดแตกต่างกันเลย แต่ในยักษ์ตนเดียวกันนี้ ยังมีราหูช่วงถือศีล กับช่วงราหูเป็นมาร เป็นยักษ์ตนเดียวกันแต่คนละเวลา ดังนั้น จึงมีนิทานเล่าเรื่องราหูกันบ่อยๆ ในทำนองราหู 8 ภาคนั่นเอง

ดาวอื่นๆที่มีภาคแบบราหู ก็ยังมีเกตุ อาทิตย์ และ จันทร์ เรื่องเกตุ ค่อนข้างจะเป็นเรื่องจินตนาการคล้ายราหู คือ เอาหลักโหราศาสตร์หลายอย่างมารวมๆกัน ส่วนอาทิตย์ กับจันทร์ นั้นเป็นหลักโหราศาสตร์จริง ปกติในโหราศาสตร์ไทย อาทิตย์ กับจันทร์ ในจักรวาล เป็นธาตุอย่างหนึ่ง แต่ในโลกจะกลายเป็นธาตุอีกอย่างหนึ่ง โหราศาสตร์จันทรคติ ใช้จันทร์ ถึง 4 ภาค การเล่าเรื่องราหู หรือ จันทร์ เป็นเรื่องยาวทั้งคัมภีร์ แม้จะพอรู้เรื่องที่มา ก็ตีความลำบาก ยิ่งหากไม่ทราบว่า ผู้ที่เอ่ยถึงนั้นเขาเอาส่วนไหนมาจำแนกชื่อใหม่ ยิ่งเล่าไม่ได้ครับ


วรกุล - 17 มกราคม พ.ศ.2550 18:32น. (IP: 203.107.200.65)

ความคิดเห็นที่ 3
เรียนอาจารย์ วรกุล ที่เคารพ

เรียนถามอาจารย์ครับว่า เพราะอะไรเวลา จันทร์ไปสถิตนวางค์ลูกที่ 9 ของราศี มิถุน กันย์ ธนู มีน จึงเรียกว่าหินจันทร์ โดยเฉพาะที่ราศีมีน ซึ่งบางตำราบอกว่ามีโทษร้ายแรง แต่บางตำราก็บอกว่า นวางค์ดังกล่าวเป็นวรโคตรนวางค์ เข็มแข็งและให้คุณ เพราะเป็นนวางค์เกษตรของดาวเจ้าเรือน และถ้าดาวบาปเคราะห์เป็นวรโคตรนวางค์บ้างจะส่งผลในด้านดีหรือด้านร้ายครับ

ขอกราบขอบพระคุณครับ


เด็ก ป. เตรียม - 18 มกราคม พ.ศ.2550 23:47น. (IP: 124.121.162.28)

ความคิดเห็นที่ 4
ขอขอบพระคุณท่านอาจารย์วรกุลฯ มากครับ ที่ได้สละเวลาตอบคำถามให้กับผม สิ่งที่ผมถามเผอิญได้อ่านในเวปของpayakorn เป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์ท่าน ส.แสงตะวัน ท่านได้เขียนเอาไว้ แล้วผู้โพสต์ได้โพสต์เพียงตอนหนึ่งที่กล่าวถึงเรื่องราหูทั้งแปดภาค แต่มิได้อธิบายไว้โดยละเอียด เผอิญผมคิดว่าจะเป็นคุณแก่ผู้ร่ำเรียนทั้งหลายจึงได้โพสต์เข้ามาถามท่านอาจารย์

หากสิ่งที่ผมถามทำให้ท่านอาจารย์ไม่สบายใจ ผมขอกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ


saridon - 19 มกราคม พ.ศ.2550 08:36น. (IP: 203.144.211.51)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบคุณ เด็ก ป. เตรียม (ความเห็นที่ 3)............ทั้งสองเรื่องคือ วรโคตรนวางค์ กับ หินจันทร์ เป็นคนละเรื่องกัน หินจันทร์เป็นตำแหน่งของจันทร์ในราศีของโลก แต่ วรโคตรนวางค์ เป็นตำแหน่งของดาวในจักรราศีสุริยาตร ส่วนใหญ่ หินจันทร์ไม่นำมาทำนายดวงชะตาคนทั่วไป แต่ใช้วางฤกษ์ หรือกำหนดยาม ที่เกิดจากโลกหมุนและจันทร์จรรอบโลก ดังนั้นแม้จะอยู่ในนวางค์สุดท้ายของราศีเหมือนวรโคตรนวางค์ก็ได้ แต่ผลทางธาตุในราศีไม่เหมือนกัน

เปรียบเทียบ เหมือนวรโคตรนวางค์จะอยู่ในบรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์ สูงจากพื้นดินราว 15 ไมล์ อากาศจะหนาวเย็นมาก ใช้ปล่อยบอลลูนสำรวจดี แต่หินจันทร์มาตรงกับตำแหน่งในทะเลซึ่งคลื่นลมแรง คลื่นสูง 3 – 4 เมตร ฤกษ์นี้ไม่ควรออกเรือ จะเห็นว่าไม่เกี่ยวกัน แม้จะมีพิกัดละติจูด-ลองจิจูด อันเดียวกันบนโลก แต่เราไม่ได้เอาบอลลูนมาแล่นในทะเล มีอย่างหนึ่งก็คือ จันทร์ ในสองความหมายนั้นไม่เหมือนกัน เรื่องนี้ต้องเรียนเรื่องฤกษ์ก็จะรู้

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ saridon (ความเห็นที่ 4)............ผมยังไม่เห็นว่าจะต้องไม่สบายใจตรงไหนเลย ถึงจะเป็นข้อเขียนของท่านใดที่อ้างอิงมา หากเราไม่รู้ก็คือไม่รู้ เพราะเป็นศัพท์ที่แต่ละอาจารย์ตั้งขึ้น คุณคิดมากไปนิดหน่อย เรื่องราหูมีเรื่องเล่ามาก และก็เป็นความลับมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ใครจะเอาส่วนไหนมาเล่าเท่านั้นเองครับ


วรกุล - 19 มกราคม พ.ศ.2550 16:35น. (IP: 203.107.205.101)

ความคิดเห็นที่ 8
ตอบคุณ นพ (ความเห็นที่ 6)............ขอบคุณครับที่อุตส่าห์นำบทความของอาจารย์ ส.แสงตะวัน มาลงไว้ให้ผู้ที่สนใจ ผมคงจะไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับบทความของท่านหรอกครับ เพราะผมไม่ได้เป็นศิษย์เรียนจากท่าน อาจจะมีผู้เข้าใจผิดได้ ในอดีต ผมเคยไปสนทนากับท่านราว 3 – 4 ครั้ง พาคนไปดูดวงและขอฤกษ์ แล้วถามอะไรจากท่านบางประการ บางครั้งที่ยังรออยู่ ก็สนทนากับอาจารย์เจียม (จ. แสงวิเชียร) ภริยาของท่านบ้าง บางครั้งท่านก็เขียนจดหมายตามหลังมาให้ข้อคิดอะไรบางอย่าง แต่ขอไม่เขียนถึงเรื่องนี้อีก เป็นอันว่าที่ผมจะเกี่ยวข้องกับท่านมีเพียงนี้เอง ขอจบเพียงเท่านี้

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

จะเล่านิทานอะไรเรื่องหนึ่งให้ฟังเล่นๆ ขอบอกก่อนว่า ไม่ได้ตั้งใจจะหมายถึงท่านผู้ใดทั้งนั้น เรื่องราหู เป็นเรื่องที่เถียงและบลั้ฟกันมานาน ในวงการโหราศาสตร์ ตั้งแต่สมัยผมยังหนุ่ม(มาก)อยู่ อย่างที่ผมเคยบอกคราวก่อนว่า เรื่องราหูมีเรื่องเล่ามาก และก็เป็นความลับมากที่สุดเรื่องหนึ่ง แล้วแต่ใครจะเอาส่วนไหนมาเล่าเท่านั้นเองครับ เหตุที่ราหูเป็นเรื่องขึ้นมา ก็เพราะเรื่องนี้อิงอยู่กับหลักการที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดของโหราศาสตร์ไทย ที่ใครจะตั้งหลักอะไรก็ต้องรู้เรื่องราหูก่อน พอๆกับนาฏศิลป์ โขน ละคร ที่เขาจะตั้งท่ารำ ออกแบบท่าใหม่ ก็ต้องรู้จักแม่บทของท่ารำที่เรียกว่า “ท่าครู” นั่นแหละครับ หากไม่รู้จัก “ท่าครู” มองดูก็รู้ว่าตัวปลอม ในโหราศาสตร์ไทยก็เลยเรียกว่า “ไม้ครู” ใครมีไม้ครูมากหน่อยก็อำฝ่ายตรงข้ามได้นาน แต่บางคนก็เอามาอำบ่อยๆจนกลายเป็นเรื่องที่เขม่นกัน ลามไปเป็นเรื่องอื่นๆภายหลัง กลายเป็นสร้างศัตรูโดยไม่จำเป็น บางคนก็วาจาเชือดเฉือนเผ็ดร้อนหน่อย ด่าโหรไทยเข้าให้กลายเป็นเรื่องชาตินิยมขนาดต่อยกัน โหราศาสตร์ไทยเดิมเลยโดนลูกหลงกันเป็นแถว มีคนเขียนแก้กันเยอะแยะ ถูกมั่งผิดมั่ง แบบร่วมด้วยช่วยกันโพสต์ในเว็บบอร์ดสมัยนี้ สมัยที่ท่านอาจารย์อรุณ (ลำเพ็ญ)ยังอยู่ ท่านทั้งพูดและเขียนแก้ต่างให้หลายเรื่อง แต่ไม่มีใครรวบรวมไว้ได้หมด ยังมีอีกหลายเรื่องที่เล่าไม่ได้ เพราะเล่าแล้วจะรู้เลยว่าใครเป็นใคร

“อาจารย์บางท่าน” ถูกอำเรื่องไม้ครูบ่อยก็อาจจะเจ็บใจ เพราะไม่ใคร่จะรู้เรื่องความลับในโหราศาสตร์ไทย แต่ครั้นกลายเป็นอาจารย์แล้ว จะไปมอบตัวเป็นศิษย์ของสำนักใดสำนักหนึ่งก็เกรงเขาหัวเราะเอา มีวิธีเดียวคือไปยกหลักการของ “บางแห่ง” มาอ้าง เพราะมีหลักอ้างอิงที่ดังกว่า และเป็นที่เชื่อถือกว้างขวางทั่วโลก อาศัยการค้นคว้าที่เอาจริงเอาจัง ก็สามารถหาหลักการแบ็คอัพความเห็นของตนได้(เกือบ)ทุกกรณี ความจริงก็น่าเสียดายบุคคลบางท่านมากนะครับ ที่โดยเนื้อแท้ก็เป็นนักค้นคว้าที่ดี แต่เพราะความที่ไม่มีครูโหรแบบดั้งเดิมสอนให้ ก็เลยทำให้เกิดโหราศาสตร์พันทางขึ้นบางวิชา เหมือนๆกับท่าครูของนาฏศิลป์ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นแหละครับ แม้จะรำท่าเดียวกันก็จริง แต่เท้าอาจจะเป็นบัลเล่ย์อยู่

แต่พอเจอศิษย์โหราศาสตร์ไทยเดิมบางคนที่ซื่อหน่อย ท่านก็ถามเอาเหมือนกันแบบเลียบๆเคียงๆ อาศัยความเป็นคนฉลาด ก็จึงเอาหลักที่พอถามได้มาประยุกต์กับโหราศาสตร์แบบของท่าน ผมเองก็เคยไปคุยกับท่าน เพราะผมเรียนโหราศาสตร์หลายระบบ ก็เลยสนใจไปทุกแห่งที่มีความรู้ ไม่เคยถือเรื่องค่ายเรื่องสำนัก เซ้าซี้ถามมากเข้า โหรท่านหนึ่งก็เลยรับปากว่าจะให้บอกก็ได้ แต่ขอให้ไหว้ครูโหรไทยสักครั้งหนึ่ง แล้วสาบานจะไม่บอกใครว่าท่านไหว้ครูโหรไทย ท่านขอตัวไปคิดดูก่อน แต่ก็เงียบไป ก่อนที่ท่านจะเสีย เข้าใจว่าท่านทราบความจริงแล้ว แต่ไม่มีเวลาแก้ไขอีกหรืออย่างไร เดาไม่ถูก

พอนานไป พวกที่เป็นศิษย์เซ่อก็เริ่มรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไปเพราะเห็นแก่กินก็มี ก็เลยรู้สึกตัว อันที่จริงที่ท่านถามนั่น ท่านถามผิดคน ไปถามเอาคนที่ยังไม่รู้หมด เลยกลายเป็นเรื่องครึ่งๆกลางๆ คนที่รู้เรื่องดีเลยถือโอกาสอำต่อ พอรู้ว่ามีคนฝ่ายหนึ่งจ้องจะดู “ท่าครู” ก็เลยรำไทยเอาเท้าไขว้แบบอินเดียเสียเลย แต่ก็ใช้เถียงได้แบบไม่ตกฟาก นิทานเรื่องนี้ก็จบลงเพียงแค่นี้ ฟังแค่สนุกๆอย่าคิดมาก

ผมยังมีนิทานในวงการโหรที่อาจจะเล่าให้ฟังได้อีกมากเหมือนกัน ไว้ถ้าอยากเพาะศัตรูเยอะๆแบบรอบตัว 360 องศา จะเล่าเรื่อง “กบฏโหราศาสตร์” ให้ฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องสาหัสสากรรฐ์มากกว่านิทานข้างบนเยอะ


วรกุล - 21 มกราคม พ.ศ.2550 17:21น. (IP: 203.107.203.143)

ความคิดเห็นที่ 9
เรียน อ.วรกุล...

และ ถึงคุณ saridon และคุณ นพ

ผมไปอ่านเจอบทความหนึ่งใน www นี่แหละ เกี่ยวกับพระราหู ผู้เขียนบทความน่าจะเป็นท่าน พล.โท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล ในความเข้าใจผมน่าจะสอดคล้องกับแนวทางที่ อ.วรกุล เพียรสอน นักเรียนโหรในเวปนี้อยู่ ทีแรกผมก็กะจะตัดแปะมาให้ท่านอื่นๆ ลองอ่านดู แต่ก็กลัวว่าจะยาวไป ในความเป็นจริงผมอ่านแล้วก็ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ว่ามีหลายคำศัพท์ที่ค่อนข้างจะคล้ายที่ อ.วรกุล เขียนครับ และหลังจากอ่านบทความนี้ก็มีคำถามทางประวัติศาสตร์อยากถาม อ.วรกุล มากมาย แต่ก็คิดว่าไม่สมควรที่จะถามครับ

เผอิญช่วงนี้คุณ saridon และ คุณนพ เขียนถึงเรื่องทำนองนี้พอดีเลยอยากตัดปะมานำเสนอครับ

อนึ่ง ข้อความ (...) ที่เว้นไว้ข้างล่างก็เพื่อที่บุคคลทั่วไปอ่านแล้วไม่ต้องคิดอะไรมากครับ และจะได้ไม่ออกนอกเส้นทางพระราหูครับ หากอยากทราบทั้งหมดก็คงสามารถไปหากันเองได้นะครับ

ในที่นี้ผมกราบขอ อ.วรกุล ในการนำบทความนี้มาลงด้วยครับ หากบทความนี้เป็นการเข้าใจผิดของผมว่าสอดคล้องกับแนวทางของ อ.วรกุล ก็ขออภัยในความผิดพลาดด้วยครับ หากเป็นแนวทางที่ถูกที่ควร ขอผลบุญแห่งความเอื้อเฝื้อเพื่อแผ่ในที่นี้ ให้ตกแก่ผู้เขียนบทความ และในส่วนตัวผมขอให้เข้าถึง พระพุทธศาสนาและโหราศาสตร์ ยิ่งๆขึ้นไป


หนูน้อย - 22 มกราคม พ.ศ.2550 08:11น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 10
พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล

พระราหูคืออะไร

เรื่องราวของ พระราหู ได้กลายเป็นปัญหาถกเถียงกันมานาน แต่ยังหาข้อยุติไม่ได้คัมภีร์เฉลิมไตรภพ ในวิชาโหราศาสตร์กล่าวถึงเกล็ดตำนานของ พระราหู ไว้ว่า เป็นเทวดาครองวิมานอยู่เหนือโลก พระอิศวรทรงสร้างขึ้นมาจากหัวผีโขมดป่า 12 หัว นำมาบดป่นประพรมด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นเทพบุตรมีอำนาจอยู่ในสวรรค์ ต่อมาเหล่าเทวดาชุมนุมกันกวนน้ำอมฤตได้ชักชวนพระราหูเทพบุตรร่วมกันทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ แต่พระราหูแกล้งแชเชือนเถลไถลเสีย เมื่อเหล่าเทวดากวนน้ำทิพย์เสร็จสิ้น พระราหู ได้แอบเข้าไปดื่มกิน พระอาทิตย์ พระจันทร์ ไปพบเห็นเข้าจึงนำความไปฟ้องร้องพระนารายณ์ ผู้เป็นใหญ่ในแดนสวรรค์ พระองค์ทรงพิโรธขว้างจักรไปถูกพระราหูกายขาดออกเป็น 2 ท่อน เดชะบุญที่ได้ดื่มกินน้ำอมฤตจึงไม่ตาย คงล่องลอยอยู่ในชั้นฟ้าคอยหาโอกาสจับ พระอาทิตย์ พระจันทร์ กลืนกินด้วยความอาฆาตแค้น ทำให้เกิดสุริยุปราคา และจันทรุปราคา ขึ้นในโลก จึงสรุปเอาว่า พระราหูเป็นยักษ์มารมีนิสัยอันธพาลชอบลักขโมย ก้าวร้าว คอยรังควาญสร้างความยุ่งยากเดือดร้อน พากันเกลียดชังรังเกียจ รู้จักพระราหูแต่ในทางที่ชั่วร้าย

คนโบราณมีความเชื่อในเรื่อง พระราหู ไล่จับพระอาทิตย์ พระจันทร์ กลืนกิน ดังนั้นคราใดที่เกิดสุริยุปราคา จันทรุปราคา ขึ้นก็ชวนกันตีเกราะเคาะไม้ จุดประทัด ยิงปืน ให้เกิดมีเสียงดังสนั่นหวั่นไหว นัยว่าอาจทำให้พระราหูเกิดความกลัว รีบคาย พระอาทิตย์ พระจันทร์ จนกลายเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน

นอกจากนั้นพระไตรปิฏกในพระพุทธศาสนา ก็กล่าวถึงเรื่อง พระราหู ไว้ใน จันทิมสูตรและสุริยสูตร ว่าด้วย พระราหู พระอาทิตย์ พระจันทร์ ไว้ว่า

สมัยเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ที่นครสาวัตถี จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูจับกลืนกิน จึงได้ขอให้พระองค์ช่วยเหลือให้พ้นภัยจากอำนาจพระราหู พระองค์จึงร้องขอให้พระราหูยุติการทำร้ายพระจันทร์ แต่พระราหูไม่ยอมฟัง พระพุทธองค์จึงทรงสำแดงปาฏิหาริย์ขับคาถา ทำให้พระราหูรีบคายพระจันทร์ ทำนองเดียวกับ สุริยเทวบุตร ถูกพระราหูไล่จับกลืนกิน พระพุทธองค์ก็ทรงช่วยเหลือให้พ้นภัย

บางชาดกก็กล่าวความในทำนองว่า พระพุทธเจ้าทรงมีฤทธิ์อำนาจเหนือบรรดาพรหม และเทวดาทั้งหลาย จึงนับถือยกย่องพระพุทธเจ้า แต่พระราหูเทวบุตรถือตนว่าเป็นใหญ่เหนือกว่าใครในสวรรค์ จึงไม่ยอมนบนอบต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าและแสดงลักษณะท้าทาย ใคร่ประลองฤทธิ์เดชกับพระพุทธองค์ ดังนั้นวันหนึ่งเมื่อพระราหูทำท่าทีเป็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระองค์กระทำปาฏิหาริย์เนรมิตพระวรกายให้ใหญ่โตมโหฬาร ยิ่งกว่าพระราหูหลายเท่าเหมือนดังแมลงมุมเกาะชายจีวรของพระศาสนา ทำให้พระราหูลดทิฐิมานะหมดความกระด้างกระเดื่อง กลับใจมาเลื่อมใสพระพุทธศาสนา

ข้อความเหล่านี้ทำให้เกิดความสำคัญผิดคิดว่า พระราหู เป็นยักษ์มารสัญลักษณ์แห่งความชั่วร้าย เหตุไฉน (...) รูปพระราหูอมพระอาทิตย์ อมพระจันทร์ (...) จึงทำให้เกิดสงสัยว่าแท้จริงแล้ว พระราหู คืออะไร

ตามทฤษฎีทางโหราศาสตร์ ระบบสุริยคติ ของ(...)ยึดถือว่า ดวงพระอาทิตย์เป็นขุมคลังแห่งแสงและพลังความร้อน อันเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล มีดาวเคราะห์น้อยใหญ่ 7 ดวงเป็นบริวาร ดาวเคราะห์เหล่านี้นอกจากหมุนรอบตัวเองแล้ว ยังโคจรรอบดวงพระอาทิตย์เพื่อรับแสง และพลังความร้อนอยู่ตลอดเวลา

ในบรรดาดาวเคราะห์ทั้งหลาย โลกเราถือได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่มีขุมพลังธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ อยู่อย่างพร้อมมูลที่สุด ทั้งยังมีชั้นบรรยากาศอันหนาแน่นห่อหุ้มอยู่โดยรอบ ชั้นบรรยากาศที่ใสเหมือนดังเรือนกระจกนี้ ไม่เพียงแต่เป็นเกราะป้องกันไม่ให้โลกธาตุหลุดลอยออกไปได้แล้ว ยังควบคุมอุณหภูมิให้เกิดความอบอุ่นเหมาะสม สำหรับเป็นแหล่งกำเนิดของมวลชีวิตด้วยจึงถือว่ามีคุณสมบัติพิเศษยิ่งกว่าดาวเคราะห์ใด ทั้งยังมีดวงจันทร์ เป็นดาวบริวารโคจรไปรอบโลกคอยส่องแสงให้เกิดสว่างในยามค่ำคืนอีกด้วย ชาว(...)จึงจำแนกโลกออกจากระบบสุริยจักรวาลมาเป็นระบบย่อยเรียกว่า " ระบบจันทรคติ" โดยยึดถือดวงจันทร์เป็นใหญ่ เพราะค้นพบนัยความหมายว่า ดวงจันทร์ มีคุณต่อโลกอย่างหาที่สุดมิได้ หากปราศจากดวงจันทร์เสียแล้ว โลกนี้ก็คงอ้างว้างว่างเปล่าเหมือนดังดาวเคราะห์ดวงอื่น ไม่มีมวลชีวิตและธรรมชาติในโลก กล่าวกันว่าข้างขึ้นข้างแรม น้ำขึ้นน้ำลง ประจำเดือนสตรี เป็นได้ชัดว่าเกิดจากอิทธิพลของดวงจันทร์

การที่โลกหมุนรอบตัวเอง และโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ซีกโลกอีกด้านหนึ่งไม่ได้รับแสงสว่างจะบังเกิดเป็น เงามืด เรียกว่า กลางคืน ภายในเงามืดที่หนาวเย็นทำให้ละอองธาตุบังเกิดความชื้น จับตัวกันมีน้ำหนักและควบแน่น บังเกิดปฏิกิริยาเห็นได้จากการเป็นสื่อทางเดินของธาตุไฟได้อย่างดี และมีแรงดึงดูดรุนแรงกว่าในภาคกลางวัน

เหตุที่โลกบังเกิดหดเงามืดขึ้นในภาคกลางคืน เงามืดของโลกที่ทอดตัวออกไปในชั้นบรรยากาศ แผ่ขยายขอบเขตออกไปกว้างไกลสุดพรรณนา ยิ่งไกลออกไปเท่าไหร่ เงามืดก็ยิ่งดำมืดมหึมาเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ท่ามกลางเงามืดของโลก ในภาคกลางคืนนี่แหละทางโหราศาสตร์เรียกว่า " พระราหู" ที่อัดแน่นไปด้วยละอองธาตุทั้ง 4 และคลื่นพลังนานาชนิด แผ่กระจายขึ้นไปในชั้นบรรยากาศที่หนาวเย็นยะเยือก แม้ว่ายิ่งบางเบาก็ตาม แต่คลื่นพระราหูนี้ได้แปลสภาพเป็นสื่ออันทรงประสิทธิภาพของโลก สำหรับรองรับอนุภาคแสงดาวประการหนึ่ง และเป็นเส้นทางลำเลียงระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศลงมาปรุงแต่งกันระบบธาตุในโลก เพื่อให้เกิดรูปธรรมชาติดังที่รู้เห็นกันอยู่ โดยปกติคลื่นบรรยากาศที่อยู่ในเงามืดซึ่งเรียกว่า พระราหู เราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ตั้งแต่แสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดก็ย่างกรายเข้ามาในยามราตรีอันเป็นเวลาสงบร่มเย็น คนเราจะง่วงเหงาหาวนอนอยากพักผ่อน ด้วยเหตุนี้โหราจารย์จึงอุปมาพระราหูว่าเหมือนดังนักพรตผู้ทรงศีล ผู้ใฝ่สันโดษและมักน้อยไม่ใช่ยักษ์มารดังที่เข้าใจกัน นอกจากนั้นดาวเคราะห์ดวงอื่นก็มีเงามืดเรียกว่า พระราหู เช่นเดียวกับโลก ดังนั้น พระราหู ตามความหมายทางดาราศาสตร์จึงแตกต่างกับความเชื่อของคนโบราณ หรือข้อความในพระไตรปิฏกของพุทธศาสนา

แต่ในวิชาโหราศาสตร์ของชาว(...)กล่าวถึงความลึกลับพิศดาร ที่ซ่อนอยู่ภายในขอบเขตเงามืดของโลก ซึ่งเราพบเห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหลังจากแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว ฝุ่นละอองธาตุทั้ง 4 ของโลก ถูกพลังความร้อนของดวงอาทิตย์เผาผลาญจนระเหยระเหิดล่องลอยขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ แปรสภาพเป็นพื้นที่สนามธาตุอันยิ่งใหญ่อยู่ภายในเงามืด ใหญ่โตมโหราฬสุดพรรณนา เกิดปฏิกิริยาจากความหนาวเย็น ทำให้รวมตัวกันแน่นหนากว่าภาคกลางวันพลังกดดันของกระแสธาตุนี้เอง ทำให้คนเราเกิดง่วงเหงาหาวนอน บ้างก็ดื่มเครื่องดองของเมา บ้างก็อยากพักผ่อนสนุกสนาน บ้างก็อยากจำศีลภาวนา วิชาโหราศาสตร์เรียกความควบแน่นของกระแสธาตุภายในเงามืดของโลกในยามค่ำคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนชั้นบรรกาศของโลกว่า " ระบบชั้นบรรยากาศธาตุ" มีการเคลื่อนไหวสั่นสะเทือนเหมือนดังละลอกคลื่นในมหาสมุทร เนื่องจากการหมุนรอบตัวเองของโลกและโคจรไปรอบดวงอาทิตย์ ระบบชั้นบรรยากาศธาตุภายในเงามืดดังกล่าวนี้ วิชาโหราศาสตร์เรียก " คลื่นพระราหู" อันเป็นที่มาของนิทานโหราศาสตร์กล่าวว่า เหล่าเทวดากวนน้ำอมฤตบนสวรรค์ชั้นฟ้าสำเร็จเสร็จสิ้น ถูกพระราหูแอบขโมยดื่มกิน จนกลายเป็นตำนานชาติเวรการประกอบอาชญากรรมกันมาตั้งแต่ครั้งเทวดาสร้างโลก ติดตามจองล้างจองผลาญกันมาจนถึงทุกวันนี้

แท้จริงแล้ววิชาโหราศาสตร์ได้อธิบายให้ทราบว่า ระบบชั้นบรรยากาศของโลกหรือที่เรียกกว่า คลื่นพระราหู นั้น เป็นแหล่งรองรับอนุภาคแสงดาว หรือรัศมีดาว ซึ่งสะท้อนคลื่นพลังแสงมายังโลก ในรูปสีสันสวยสดงดงามผสมผสานกับแสงอาทิตย์ในตอนกลางวัน เมื่อกระทบกับละอองธาตุน้ำก็จะเปล่งประกายเป็นสีรุ้งงามจับตา แต่ในภาคกลางคืนอนุภาคแสงดาวไม่สามารถเดินทางเข้ามาสู่โลกได้ เพราะขาดสื่ออันทรงประสิทธิภาพสูงสุด คือ คลื่นพลังแสงอาทิตย์ด้วยเหตุนี้คลื่นพลังแสงดาวที่เดินทางไกลแสนไกล ถูกบังคับให้ผสมผสานกับระบบธาตุของโลก ไปตามลักษณะของธาตุที่เหมือนกัน หรือเกื้อ***ลกัน ดังบทประพันธ์เกี่ยวกับการผสมธาตุระหว่างอนุภาคแสงดาว กับ ระบบโลกธาตุ ไว้ว่า"เมื่อมิตรก็ชื่นชอบ บ่มีโทษแถลงทัณฑ์ ปางเป็นสัตรูสรร พะบาปะอุบัติเป็น" ดังนี้เป็นต้น

การปรับแต่งแปลงสภาพระบบโลกธาตุในชั้นบรรยากาศท่ามกลางความมืด อุปมาดังเหล่าเทวดาผสมพันธุ์กันบนสวรรค์ชั้นฟ้า อธิบายให้ทราบถึงที่มาของพิธีกวนน้ำอมฤตตามหลักแห่งเหตุผล ซึ่งนักโหราศาสตร์โบราณพยายามศึกษาค้นคว้า จนทราบถึงความลับของธรรมชาติอันเป็นต้นกำเนิดของมวลชีวิต ธรรมชาติ และการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลกตามกฏวัฏจักรอธิบายให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างโลก ชั้นบรรยากาศและดวงดาวในจักรวาล

แต่ระบบชั้นบรรยากาศธาตุที่อยู่นอกโลกหรือคลื่นพระราหูอันเกิดจากการปรุงแต่ง แปลงสภาพของโลกธาตุและอนุภาคแสงดาว บันดาลให้เกิดขั้วบวก ขั้วลบ และความเป็นกลาง ล่องลอยวนเวียนอยู่รอบโลก ถูกแต่งเติมเสริมสภาพให้เกิดความเข้มข้นจากแสงอาทิตย์ แสงจันทร์ อยู่ตลอดเวลา โลกไม่สามารถดึงดูดลงมาผสมกับระบบธาตุบนพื้นโลกได้ เพราะว่าบนชั้นบรรยากาศอันบางเบา ฝุ่นละอองธาตุที่ไร้น้ำหนัก ถูกพลังดึงดูดของจักรวาลต่อต้านขัดขวางไว้เหมือนดังการชักเย่อกัน ระหว่างโลกกับดวงดาว ไม่มีฝ่ายใดแพ้ชนะกัน นักโหราศาสตร์ค้นพบว่าดวงจันทร์ที่โคจรไปรอบโลก คราใดเคลื่อนที่ผ่านมาประสานแรงดึงดูดร่วมกับโลก จึงสามารถแย่งชิงเอากระแสธาตุบนชั้นบรรยากาศ ให้เข้ามาอยู่ในรัศมีที่โลกสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ การดึงดูดกระแสธาตุจากรอบนอกของชั้นบรรยากาศ เข้าสู่ชั้นใน จึงกลายเป็นที่มาของเรื่องสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งมีเทพเจ้าผู้เป็นใหญ่คือ พระอินทร์ ทรงช้างเอราวัณลอยฟ่องอยู่เหนือวิมานเมฆ และคำศัพท์ทางวิชาการโหรเรียกว่า"ฤกษ์บน" และ "ตรียาง-นวางค์" พร้อมที่จะหลั่งไหลลงมาผสมผสานกับธาตุในโลก ดังปรากฏการณ์ฝนตก หรือ ลมพัด ซึ่งเป็นเหตุที่เกิดขึ้นบนพื้นผิวโลกไปตามจังหวะที่เรียกว่า "ฤกษ์ล่าง"

หลักฐานการค้นพบที่มาอันน่าพิศวงของการก่อกำเนิด มนุษย์ สัตว์ พืช และสรรพสิ่งทั้งหลายในโลกของนักโหราศาสตร์ นอกจากอธิบายให้คำตอบได้ว่า เหตุใดดวงดาวจึงเข้ามามีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคนเราและความเป็นไปในโลกแล้ว ยังสรุปความเห็นว่าเงามืดของโลกภาคกลางคืนหรือที่เรียกว่า พระราหู เป็นตัวการสำคัญอย่างยิ่ง ถ้าปราศจากเงามืดอันหนาวเย็นดังกล่าวนี้เสียแล้ว ระบบชั้นบรรยากาศธาตุไม่สามารถเดินทางเข้ามาปรุงแต่งแปลงสภาพกับธาตุของโลกได้ ดังนั้นเงาราหูจึงเปรียบดัง ทางเดิน หรือ ท่อลำเลียงธาตุจากชั้นบรรยากาศจากรอบนอกสุดขนาดมหึมา ลงมาสู่ชั้นกลางของบรรยากาศ ก่อนที่โลกจะดึงดูดลงมาปรุงแต่งแปลงสภาพกับธาตุในโลก เพื่อให้เกิดสภาพที่เรียกว่าธรรมชาติขึ้นในโลก รากฐานอันก่อให้เกิดสรรพสิ่งทั้งหลาย แล้วดับสูญไปในรูปวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของ วัฏสงสาร ซึ่งขัดแย้งกับนิพพานธรรมด้วยเหตุนี้ พระราหูจึงเป็นบ่อเกิดของกิเลสตัณหา อุปมาดังมารแห่งพรหมจรรย์ ผู้แสวงหาความหลุดพ้นจะต้องลดละเลิกเพื่อหลีกหนีมายา อุปาทานโดยเชื่อว่าเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

การล่วงรู้ถึงกระบวนการอันซับซ้อนซ่อนเงื่อน ที่แฝงเร้นอยู่ภายในเงามืดของโลกว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่ง ในการกำเนิดสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นเฉพาะในโลกของเรา เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าอนุภาคแสงแห่งดวงดาว ระบบธาตุบนชั้นบรรยากาศ และระบบธาตุในโลก ก็ถูกปรุงแต่งแปลงสภาพให้เกิดภาพมายาอุปาทานขึ้นบนพื้นผิวโลก ในรูปปรากฏการณ์ธรรมชาติ และเห็นว่าพระราหูเป็นเงามืดที่เกิดจากโลก เฉพาะด้านที่แสงอาทิตย์สาดส่องไปไม่ถึงจึงอ้างว่าพระราหูไม่ใช่ดาวเคราะห์ เปรียบเปรยว่าเป็นอสูรกายท่อนหัว ที่ถูกจักรพระนารายณ์ตัดขาดลอยละล่องอยู่บนอากาศเหนือโลก ส่วนท่อนหางลองอยู่ในทิศตรงกันข้าม ก็คือเวลากลางวันและกลางคืนในโลก

แม้ว่าพระราหูจะมีสภาพเป็นอากาศธาตุที่ห่อหุ้มโลกอยู่ก็ตาม แต่เป็นตัวการบันดาลให้เกิดสิ่งทั้งหลายโลดแล่นกันบนพื้นผิวโลก จึงตัดตอนอุปมาเสียใหม่ว่า พระราหู หมายถึง โลก ซึ่งเป็นดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวในจักรวาลที่มี มนุษย์ สัตว์ พืช และธรรมชาติ เกิดขึ้นต่อเนื่องกันไปไม่มีวันสิ้นสุด เปรียบดังพระราหูถูกจักรพระนารายณ์แม้กายขาดออก 2 ท่อน ก็ไม่ตายเป็นอสูรกายคอยรังควาญพวกเทวดาไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรม ในที่สุดมนุษย์ก็กบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า และมีฤทธิ์อำนาจยิ่งกว่าเทวดาเสียอีก เพราะว่าสามารถศึกษาเรียนรู้ความลับของจักรวาล และความเป็นไปในโลกมนุษย์ อันเป็นที่มาของคำว่า ศิวศาสตร์ หรือ โลกศาสตร์ ซึ่งต่อมาเพี้ยนเป็นไสยศาสตร์ ถูกดูแคลนว่าเป็นความเชื่อที่งมงายไร้เหตุผล จนกระทั้งไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้ว พระราหู เป็นอย่างไร แต่นับว่าโชคดีที่ครูบาอาจารย์ของชาว(...) ได้ถ่ายทอดความรู้วิชาโหรราศาสตร์สืบสานหลักปรัชญากันมาไม่ขาดสายจนถึงปัจจุบัน จึงสามารถอธิบายให้เหตุและพิสูจน์ได้ว่าพระราหูคืออะไร

กล่าวโดยสรุปแล้ว พระราหู ก็คือระบบชั้นบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลก ตั้งแต่ระดับชั้นพื้นผิวดิน จนกระทั่งเขตติดต่อกันแดนอวกาศ เฉพาะด้านที่ไม่ได้รับแสงสว่างจากดวงอาทิตย ์อาณาเขตอันกว้างใหญ่ไพศาลตกอยู่ในความมืดมน อนธการดำทะมึน แผ่ขยายขอบเขตออกไปในห้วงจักรวาล หาขอบเขตมิได้ แหล่งที่ร่มเย็นไปจนถึงความหนาวเหน็บต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป็นที่รวมของฝุ่นละอองธาตุ คลื่นพลังนานาประการ อุปมาดังท่อดึงดูดระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศลงมาป้อนให้แก่โลกอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก จึงเป็นรากฐานการก่อกำเนิดสิ่งทั้งหลายที่เรียกว่า ธรรมชาติในโลก วิชาโหราศาสตร์เรียกเงามืดนี้ว่า พระราหู มีคุณสมบัติเป็น อากาศธาตุ หรือธาตุลมไม่ใช่ดาวเคราะห์

ในภาคพยากรณ์ของวิชาโหราศาสตร์ซึ่งต้องการผลที่เกิดขึ้น เป็นปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งหลายในโลก เนื่องจากการปรุงแต่งแปลงสภาพของระบบธาตุจากชั้นบรรยากาศ กับระบบธาตุในโลกมีส่วนสัมพันธ์กับ อนุภาคแสงดาว แสงอาทิตย์ แสงจันทร์ ที่โคจรหมุนเวียนเป็นวงจรจึงเปลี่ยนแปลงกำหนดให้ พระราหู เป็นโลกอีกอย่างหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้พระราหูจึงหมายถึงโลกและเงามืดของโลกหรือภาคกลางวันในโลก อันเป็นขุมคลังแห่งวิทยาการที่ศึกษาไม่มีวันจบสิ้น เพิ่มพูนสติปัญญาให้โลกพัฒนาการรุ่งเรืองจนถึงทุกวันนี้ อย่าดูหมิ่นดูแคลนพระราหู


หนูน้อย - 22 มกราคม พ.ศ.2550 08:13น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 9)............ขอบคุณครับ อ่านแล้วก็ดีเหมือนกัน


วรกุล - 23 มกราคม พ.ศ.2550 04:49น. (IP: 203.107.205.102)

ความคิดเห็นที่ 12
คราวที่แล้ว เขียนถึงธาตุที่เป็นนามธรรมของจักรวาลใหญ่ หรือ เอกภพ ได้แก่ อาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัส ศุกร์ เสาร์ ราหู ซึ่งต้องเน้นหลักคิดสำคัญเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดว่า

หนึ่ง ธาตุเหล่านี้อันที่จริงเป็นเพียงนามธรรมที่ไม่มีชื่อและยังไม่แสดงออกเป็นรูปธรรม เป็นเหมือนสิ่งที่มีอยู่ทั่วไปทุกแห่งหนในจักรวาลใหญ่ที่ว่างๆ แม้ไม่มีดวงอาทิตย์ หรือ ดาวอื่นๆอยู่เลย นามธรรมเหล่านี้ก็มีอยู่ และเป็นสิ่งที่ทำงานตามธรรมชาติของตัวมันเอง ถือเป็นนามธรรมพวกที่หนึ่ง นอกจากนามธรรมเหล่านี้แล้วยังมีนามธรรมอีกจำนวนมากมายที่อยู่ในจักรวาล และก็ไม่มีชื่อ และยังไม่แสดงออกเป็นรูปธรรม เช่นกัน ถือเป็นพวกที่สอง แต่โหราศาสตร์ไม่ได้นำมาพิจารณา เนื่องจากเหตุผลในข้อต่อไป

สอง การที่ธาตุเหล่านี้ได้ชื่อว่า อาทิตย์ จันทร์ ฯลฯ นั้น เกิดจากนามธรรมเหล่านี้ (พวกที่หนึ่ง) เข้ามาอยู่ในกรอบของระบบสุริยจักรวาลด้วย ในระบบสุริยจักรวาลนี่เองที่เป็นเงื่อนไขให้นามธรรมจำนวนหนึ่งของเอกภพ แสดงตัวเด่นเป็นธาตุที่กลายเป็นรูปธรรมได้ และระบบสุริยะได้พัฒนาให้จังหวะธาตุเหล่านี้สอดคล้องกับปัจจัยวัตถุเช่นดาวเคราะห์ (โดยเฉพาะโลก)ที่เคลื่อนที่อยู่ ดังนั้น เราจึงย้อนกลับไปตั้งชื่อนามธรรมในส่วนพวกที่หนึ่งให้สอดคล้องตามธาตุในสุริยจักรวาล ในขณะที่นามธรรมในส่วนที่สองที่ไม่สอดคล้องกับปัจจัยวัตถุในสุริยจักรวาลนั้น ยังคงไม่มีชื่อ แต่ก็อยู่ในทุกหนแห่งเช่นเดิม

ดังนั้น การที่บางคนอาจจะคิดว่า โหราศาสตร์โบราณเป็นระบบดาว 7 ดวง เท่านั้น จึงเป็นความคิดที่ยังไม่ถูก ควรเข้าใจว่า โหราศาสตร์ดั้งเดิมใช้(พบ)ประโยชน์จากเครื่องมือธรรมชาติเพียง 7 - 8 ชนิด เพราะธาตุเหล่านี้ได้แสดงออกเป็นรูปธรรมให้เราศึกษาได้ แต่ก็ยังมีนามธรรมอีกมากมายที่เรายังไม่ได้นำมาศึกษาอย่างจริงจัง ซึ่งนามธรรมที่เหลือในพวกที่สองนี่เอง ที่กลายมาเป็นธาตุในวิชาโหราศาสตร์อื่นๆที่พัฒนามาแล้วแต่เผยแพร่ในวงแคบ แต่เพราะเหตุที่นามธรรมเหล่านี้ไม่มีชื่อบัญญัติไว้และปรากฏในรูปอื่นที่เราไม่คุ้นชินกับมัน จึงทำให้นักโหราศาสตร์ส่วนหนึ่งพลอยสรุปว่า โหราศาสตร์ระบบใดๆในโลกก็รวมอยู่ในต้นตอเดียวกันทั้งนั้น ถึงอย่างไรข้อเขียนต่อไปนี้ ก็จะเข้าสู่ทางโหราศาสตร์พวกแรก เนื่องจาก โหราศาสตร์แนวทางอื่นนั้น อธิบายยาก สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษามาก่อน

ระบบธรรมชาติที่อยู่ภายใต้กรอบของเอกภพ และมีผลต่อเรามาก คือ สุริยจักรวาล จึงทำให้ระบบโหราศาสตร์ส่วนมากอ้างอิงจากกรอบธรรมชาติในสุริยจักรวาลนี้ สุริยจักรวาลเป็นที่มาของการกำหนดจักรราศีของเอกภพและเกณฑ์ส่วนใหญ่ในโหราศาสตร์ โดยทั่วไปเรามักพบว่าการกำหนดสิ่งใดในกรอบใหญ่มักจะครอบคลุมสิ่งที่อยู่ในอาณาเขตเล็กลงมา เช่น กฎหมายของประเทศ ก็จะมีอยู่เหนือกฎหมายของรัฐ กฎหมายของรัฐครอบคลุมเมือง กฎหมายของเมืองครอบคลุม หมู่บ้าน ตำบลต่างๆ แต่ในทางโหราศาสตร์แล้ว สิ่งที่กำหนดเป็นเกณฑ์ในโหราศาสตร์ ต้องกำหนดสอดคล้องกันทุกกรอบ เนื่องจากการศึกษาธรรมชาติที่แปรผันไปนั้น จำเป็นต้องใช้เกณฑ์วัดที่เท่ากัน และเปลี่ยนแปลงไปในทำนองเดียวกัน การกำหนดกรอบที่กว้างใหญ่กว่า จึงมักกำหนดออกไปจากกรอบที่เล็กกว่า เพราะเป็นส่วนที่เรารับรู้จากตัวมนุษย์เอง จึงทำให้โหราศาสตร์ใช้พารามิเตอร์ที่จำกัดมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก จนอาจจะเรียกว่า โหราศาสตร์ปัจจุบันได้ใช้ธรรมชาติที่ควรนำมาพิจารณาได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ด้วยซ้ำไป

ทีนี้ ลองจินตนาการสมมุติว่า สุริยจักรวาลนี้เป็นเสมือนสระน้ำธรรมชาติ แห่งหนึ่งที่อยู่กลางป่า มีต้นไม้อยู่รอบๆริมขอบสระ เมื่อผลไม้ผลหนึ่งหลุดหล่นร่วงลงในน้ำ ก็จะเกิดเป็นคลื่นน้ำเล็กๆที่ค่อยๆทยอยไล่ลูกคลื่นออกไปจากจุดที่มันตก ดังนั้น เมื่อมีผลไม้หลายลูกที่หล่นลงสระในเวลาที่ต่างๆกัน ก็จะเกิดคลื่นเล็กๆอยู่ทั่วไปในสระนั้น คลื่นเหล่านี้ หากเป็นคลื่นที่เสริมกันก็จะทำให้ลูกคลื่นใหญ่ขึ้น สูงขึ้น และอยู่นาน แต่หากเป็นคลื่นที่มีความถี่และขนาดต่างกัน หักล้างกัน คลื่นนั้นก็จะปะทะกันเองจนจางหายไป ทีนี้ถ้าหากปัจจัยที่ทำให้เกิดคลื่นเช่น ผลไม้ที่ตกลงในสระน้ำนั้นมี “เจตนา” ให้หล่นลงอย่างสม่ำเสมอและสอดคล้องกันอย่างต่อเนื่องแล้ว คลื่นน้ำที่เกิดขึ้นเสริมกันก็จะใหญ่มาก และกลายเป็นจังหวะที่เป็นระเบียบคงที่อยู่ตลอดเวลา หากเราไปเห็นน้ำในสระตอนนี้ก็จะตกใจ เพราะสระน้ำสมมุติของเราในขณะนี้ กำลังกระเพื่อมด้วยคลื่นที่เรียบสม่ำเสมอขึ้นลงพร้อมกันเหมือนกับแถวทหารไปตลอด ดูเหมือนสิ่งที่มีชีวิต

โดยทั่วไปแล้ว สระน้ำที่เราสมมุตินี้เป็นไปไม่ได้เลย เพราะผลไม้ที่ตกลงสู่น้ำนั้นไม่มีใครมาควบคุมให้แม่นยำตรงเผง แต่มันจะหล่นลงไปตามยถากรรม หรือ ตามความบังเอิญของมัน ดังนั้น หากมันหล่นลงไปผิดจังหวะแล้ว คลื่นที่เกิดขึ้นก็ไม่มีทางเสริมกับคลื่นที่กำลังเป็นอยู่ได้ ภายในเวลาไม่นานนัก คลื่นน้ำในสระก็จะกลายเป็นคลื่นที่กระจัดกระจายคละกันไปไม่เป็นระเบียบอีกเช่นเดิม นี่เป็นธรรมชาติทั่วไปที่เราพบเห็นกันอยู่ หากการเกิดเหตุในธรรมชาตินี้ไม่มี “เจตนา” มาเกี่ยวข้อง

เมื่อเรากลับไปมองสุริยจักรวาลที่เรานำสระน้ำนี้มาเปรียบเทียบ ถ้าเป็นไปตามยถากรรมแล้ว สุริยจักรวาลนี้ไม่น่าจะมีทางที่จะก่อรูปขึ้นได้เลย และก็จะกลับกลายเป็นไร้ระเบียบในเวลาอันสั้น เป็นที่น่าแปลก เพราะการที่จักรวาลเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีระเบียบได้ อย่างน้อยในชั่วขณะที่เรามองเห็นเมื่อเทียบกับอายุที่ยาวนานนับไม่ได้นี้ ก็เพราะคลื่นหรือวงรอบความเปลี่ยนแปลงนั้นเสริมไปในทางเดียวกัน หากมีวงรอบหรือ คลื่นใดที่ขัดต่อคลื่นความเปลี่ยนแปลงโดยส่วนรวมแล้วก็จะหมดกำลังจางหายไปเสียนานก่อนหน้านี้ คลื่นส่วนรวมที่เป็นอยู่ได้ จึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปทั่วทั้งจักรวาล ดังนั้น เมื่อเราพบว่าคลื่นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากธาตุ(นามธรรม)ในเอกภพ เมื่อมาอยู่ในสุริยจักรวาลนี้เป็นเช่นไร เราก็สามารถคาดเดาถึงวงรอบของคลื่นนามธรรมที่ส่วนอื่นได้ โดยเฉพาะที่ปรากฎในสิ่งมีชีวิตนั่นเอง ความรู้นี้ จึงเป็นที่มาของโหราศาสตร์ ในยุคคลาสสิค สิ่งที่ควรทราบก็คือ สุริยจักรวาลนี่เองที่สะท้อนวงรอบธรรมชาติภายในระบบของมันเองทำให้วงรอบแต่ละพวกแรงขึ้นจนมีอิทธิพลต่อชีวิตบนโลกมาก เพราะเหตุนี้จึงทำให้เราสามารถพยากรณ์ความเป็นไปในอนาคต จากการอ่านสถานะของวงรอบล่วงหน้าจากการคิดคำนวณได้

จังหวะของธาตุในเอกภพ เมื่อเข้ามาอยู่ในกรอบของสุริยจักรวาล จะถูกอิทธิพลของสุริยจักรวาลเองกำหนดความผันแปรใหม่ ทำให้คุณสมบัติของธาตุ หรือ นามธรรม ที่กล่าวมาแล้วในตอนก่อน เปลี่ยนแปลงคุณสมบัติไป แต่ที่สำคัญอย่างยิ่งก็คือ ธาตุนามธรรมในกรอบของสุริยจักรวาล จะได้รับพลังงานและชีวิตจากดวงอาทิตย์ให้ กลายเป็นรูปธรรมได้ เช่นรูปวัตถุ และร่างกายของสิ่งมีชีวิตบนโลก นี่หมายความว่า แม้มีสิ่งมีชีวิตในสุริยจักรวาลอื่น ซึ่งมีโครงสร้างของจักรวาลไม่เหมือนกับของเรา สิ่งมีชีวิตหรือ มนุษย์ต่างดาวเหล่านั้นก็ควรจะมีรูปลักษณ์แตกต่างไปจากเราด้วย และยังจะมีนามธรรม ความรัก ความเกลียด ฯลฯ แตกต่างกันออกไปได้ หรือ อาจจะเป็นได้ว่า สิ่งมีชีวิตในพิภพอื่นอาจจะไม่รู้จักนามธรรมบางอย่างที่เรารู้จักกันในจักรวาลนี้ เช่น ความรัก ความเกลียด ความกรุณาปราณี อย่างใดอย่างหนึ่ง และในทางกลับกัน มนุษย์เราอาจจะไม่รู้จักนามธรรมอื่นๆอีกมากมาย เพราะอยู่พ้นจากประสบการณ์ สัญชาน และจิตของเราตั้งแต่กำเนิดและฝังลึกอยู่ในพันธุกรรมที่ถ่ายทอดมา

โหราศาสตร์เองก็ยังแบ่งวิธีมองจักรวาลออกเป็น 2 วิธี ได้แก่ หนึ่ง โหราศาสตร์ที่ใช้อาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง เมื่อเรากำหนดราศี และเกษตร โดยอาศัยจังหวะของธาตุในสุริยจักรวาลล้วนๆ ก็จะได้จักรราศี และเรือนเกษตรที่เป็นของสากล ทางดาราศาสตร์ สอง โหราศาสตร์ที่ใช้โลกเป็นจุดศูนย์กลาง บรรดาข้อสมมุติบัญญัติเรื่องราศี เกษตร และความหมายภพ และเรือนก็มีต้นตอมาจากสุริยจักรวาลแต่มีความแตกต่างกันในหลักการมากในระหว่างวิธีการที่ใช้ โดยจักรราศีและเรือนจะถูกผันแปรไปอีกครั้งเมื่อเข้ามาสู่โลก การหมุนของโลกทำให้วงจรธาตุที่ผ่านเข้ามาจัดจังหวะใหม่เป็นเกษตรสองเรือนของไทย ดังนั้น จักรราศี เกษตร และเรือนของไทยจึงไม่ใช่สิ่งที่ใช้เกณฑ์วัดเดียวกันกับสากล หรือ ดาราศาสตร์สุริยจักรวาลทีเดียว ที่ควรโน้ตไว้ตรงนี้ก็คือ ความเป็นเกษตรเจ้าเรือน (เกษตรสองเรือน) ของโหราศาสตร์ไทยจึงเป็นเกษตรที่ถูกแปรรูปจากการหมุนของโลกเพื่อรับธาตุเข้าสู่ระบบของโลกเอง

ข้อความในย่อหน้าที่แล้วนี่แหละเป็นเรื่องสำคัญในโหราศาสตร์ไทย เพราะวงจรของธาตุที่เป็นต้นกำเนิดของจักรราศีในสุริยจักรวาลนั้นเป็นวงจรที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากวงจรธาตุที่หมุนเวียนอยู่ในโลก แต่ทว่าบรรดาตำราโหราศาสตร์ส่วนมาก มักจะเอาหลักวิชาจากจักรราศี และเกษตรทั้งสองแบบมาใช้ปะปนกัน ข้อผิดแผกแตกต่างจากการใช้จักรราศีที่แตกต่างกันนี้ มักจะเหลื่อมซ้อนทับกันได้ในดวงเดิม เมื่อผสมกับความไม่รู้ในขั้นพื้นฐานของข้อกำหนด ทำให้เราพอจะใช้วิชาที่ปะปนกันได้โดยไม่รู้ถึงความแตกต่างมากนัก แต่ในการพยากรณ์จร (ในระดับสูง)นั้น เป็นสิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัด เพราะเมื่อวงจรธาตุมีรูปแบบที่แตกต่างกัน ก็ย่อมจะมีความผันแปรไม่เหมือนกัน ดังนั้น การทำนายในโหราศาสตร์ไทย จึงต้องใช้ให้ถูกกับระบบและวิธีการใช้ด้วย ไม่ว่าการดูดวงเดิม หรือ ดวงจร เนื่องจากทั้งสองระบบมีความแตกต่างกันอยู่มาก และนี่เองเป็นเหตุผลที่ผู้ใช้โหราศาสตร์ไทยจำนวนหนึ่งที่ใช้ปฏิทินและข้อกำหนดตามแบบสากลยังสามารถใช้หลักเกณฑ์โหราศาสตร์ไทยทำนายอยู่ได้ ทั้งนี้ ก็เพราะโหราศาสตร์ไทยมีระบบที่คาบเกี่ยวกันอยู่นั่นเอง ระบบหนึ่งเป็นการมองจากโลกโดยอ้างอิงวงรอบธาตุในสุริยจักรวาล ซึ่งมักจะมีทฤษฎีตรงกันกับสากล ส่วนอีกระบบหนึ่งเป็นระบบธาตุที่เกิดจากการหมุนของโลก ซึ่งมีจักรราศีและระบบเรือนเป็นเอกเทศต่างหาก

ตำแหน่งดาวมาตรฐานที่เรามักใช้กันอยู่ในตำราโหราศาสตร์ไทยนั้น จึงมีที่มาจากทั้งสองวิธี คือ จากดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง และโลกเป็นศูนย์กลาง ดาวที่เป็น อุจ นิจ เกษตรเรือนเดียว องคเกณฑ์ (ราศีเกณฑ์)นั้นเกิดจากตำแหน่งสัมพัทธ์ของโลกกับจักรราศีในจักรวาลที่อาทิตย์เป็นจุดศูนย์กลาง ส่วนเกษตรสองเรือน ประ มหาจักร ราชาโชค ตนุเศษ นั้น มีที่มาที่เกิดจากโลกหมุน ซึ่งทำให้เกิดเรือนชะตาต่างหาก นอกจากนั้น คำทำนายความหมายของดาวที่เราเรียนอยู่จึงมีที่มาจากสองวิธีด้วย แม้เราอาจจะใช้ปนกันได้ในดวงเดิมหรือดวงจรบางส่วน เพราะทั้งสองวิธีมีขั้นตอนการแสดงผลทางนามธรรมไล่เรียงกัน แต่ในดวงชะตาจรที่พยากรณ์ชะตาชีวิตล่วงหน้าแล้ว จะต้องรู้จักการแยกแยะว่าขณะนั้น ธาตุที่แสดงปฏิกิริยาอยู่กำลังอยู่ในวงจรธาตุของระบบใด เนื่องจากเงื่อนไขการพัฒนาไปของเหตุการณ์มีขั้นตอนที่แตกต่างกัน


วรกุล - 26 มกราคม พ.ศ.2550 05:00น. (IP: 203.107.203.221)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน อ.วรกุล

อยากจะขอเรียนถามอาจารย์เกี่ยวกับการนำดวงของคน 2 คนมาพิจารณาความสัมพันธ์กันระหว่างดวงดาว เช่น ถ้านำดวงของทั้งสองมาวางซ้อนกันแล้วปรากฏว่ามีดาวหลายดวงที่ทำมุมเล็งกันอยู่ เช่น ดาว ๖ ดวงชายเล็งกับ ๖ ในดวงหญิง, ดาว๑ เล็งกัน (องศาเท่ากันด้วย), ดาว ๓ เล็งกัน, ดาวเกตุก็เล็งกันอีก รวมถึงดาว๘, ๒ของดวงชายก็ตรีโกณกับดาว ๘,๒ในดวงหญิงเช่นกันกรณีนี้จะตีความได้อย่างไรบ้างคะ โดยเฉพาะการที่มีดาวเดียวกันทำมุมเล็งกันหลายดวงระหว่างดวงหญิงและชาย จะถือว่าดวงดาวทำมุมสัมพันธ์กันในทางดีหรือไม่คะ รบกวนอาจารย์อธิบายเพื่อเป็นวิทยาทานและเพิ่มพูนความรู้ด้วยนะคะ

ขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


novice - 27 มกราคม พ.ศ.2550 10:26น. (IP: 58.9.198.81)

ความคิดเห็นที่ 14
ตอบคุณ novice (ความเห็นที่ 15)............ดาวเหล่านั้นไม่ได้มีความหมายอะไรจริงจังเลยครับ ดวงคนทั่วไปต่างก็มีมีดาวที่อยู่ตรงข้ามกันมากมาย การดูดาวคนสองคนซ้อนเป็นดวงเดียวกันนั้น เราควรถามตัวเองก่อนว่า เอาดวงคนสองคนมาซ้อนกันทำไม ซ้อนแล้วได้อะไร ทำไมจึงเอามาซ้อนกัน เพราะดวงชะตาแต่ละดวงเกิดขึ้นในเวลาเกิดที่ต่างกัน สถานที่ต่างกัน ก็แสดงถึงดวงดาวที่ปรากฏในขณะที่เกิดสำหรับคนผู้นั้น ซึ่งห่างเวลากันมากมาย หากเราจะเอาดวงมาซ้อนกัน แปลว่าเรากำลังดึงอะไรบางอย่างมาไว้ที่จุดพิจารณาเดียวกัน ดังนั้น ต้องหาจุดร่วมว่าคืออะไร

เหมือนอย่างสมมุติ คุณไปรอเพื่อนที่หน้าโรงหนังเวลา 10 โมงเช้า เมื่อไม่เจอก็ขับรถกลับบ้าน เพื่อนของคุณมารอคุณที่เดียวกันเวลาบ่ายสองโมง เมื่อไม่เจอก็ขับรถกลับบ้านเหมือนกัน หากเป็นแบบนี้ เราไปดูร่องรอยที่หน้าโรงหนัง คุณกับเพื่อนมาคนละเวลา แม้จะมีจุดร่วมที่หน้าโรงหนังเหมือนกัน แล้วคุณจะส่งผลอะไรให้เพื่อนของคุณได้บ้าง

ดวงชะตาคนเราทุกคนไม่ได้แบ่งแยกเป็นเลขอย่างที่เราเห็นนั่นหรอก แต่ดวงทั้งดวงคือรหัสของตัวเรา ดาวต่างๆอยู่กันแบบโยงใยเป็นรูปแบบพิเศษเฉพาะของแต่ละคน อยู่ในกล่องทึบที่ปิดแน่นสนิท จะมาแยกดาวเป็นดวงๆ หรือ เป็นส่วนๆไม่ได้ อันที่จริงแล้ว การดูดวงชะตา ต้องดูแต่ละดวง เพราะไม่มีอะไรเลยที่คนสองคนจะมาสัมพันธ์กันด้วยการซ้อนเป็นดวงเดียว (เว้นแต่มีลัคนาอยู่ที่เดียวกันดิกก็จะมีบางส่วนซ้อนกันได้บ้าง) เหมือนกับคุณถ่ายภาพตัวคุณเองมารูปหนึ่ง หากคุณให้เพื่อนถ่ายภาพของเขามารูปหนึ่ง แล้วเอามาซ้อนกัน เอาไฟฉายส่องดู แล้วจึงมาถามว่า ตาของดิฉัน ไปอยู่ใต้ตาของเขา ปากของเขามาอยู่ตรงจมูกของดิฉัน แล้วจะเป็นไรไหม แปลว่าอะไร ทั้งหมดนี้ไม่ได้แปลว่าอะไร แต่คุณเข้าใจอะไรผิดต่างหาก

หากเราจะวิเคราะห์ดวงชะตา เราก็ต้องดูดวงชะตาของแต่ละคน แปลความให้ครบถ้วนเสียก่อน อย่างเช่น ดูว่าเพื่อนคนที่เราคบหา หากมีเวลาเกิดและหน้าตาเช่นนั้นเช่นนี้จะเป็นอย่างไร อนาคตจะทะเลาะกันไหม แล้วไปดูอีกฝ่ายหนึ่งในประเด็นเดียวกันแล้วจึงเอา “เนื้อหา” เรื่องราวมาแมทช์กัน ตอนที่นำคุณสมบัติของอีกฝ่ายเข้ามาดูในดวงอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ทำได้ง่ายๆ หากทำจริงๆ ดวงคนสองคน ต้องผูกดวงถึง 4 ดวงชะตา เพื่อปรับเปลี่ยนธาตุจากดวงหนึ่งมาเข้ากับอีกดวงหนึ่ง เป็นการแปลงรูปสองขั้นตอน ดังนั้น หากมีดาวในดวงสองคนที่เล็ง กันอยู่ เมื่อถ่ายมาสู่ดวงที่สองแล้ว อาจจะกลายเป็นมุมตรีโกณแก่กันก็ได้ เมื่อเป็นแบบนั้นแล้วจึงอ่านดวงชะตา ก็จะแสดงเรื่องราวในดวงชะตาที่สองได้ แต่ถ้าเราแปลงรูปดาวจากดวงที่สองไปยังดวงที่หนึ่งบ้าง รูปดาวอาจจะเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนกัน และแสดงเรื่องราวในดวงแรกไปอีกทางหนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา

หากซ้อนดวงกันแล้วทำนาย นั่นเป็นเพราะไม่ได้ทำนายจากการซ้อนดวง แต่เป็นการดูคุณสมบัติของดาวในราศี แล้วใช้คุณสมบัติของดาวดวงเดียวในราศีเท่านั้นไปวัดกัน เพราะดาวที่อยู่ต่างดวงชะตาจะมาทำปฏิกิริยากันในดวงชะตาดวงเดียวกันไม่ได้ การซ้อนดวงแบบนี้จึงเป็นแค่ภาพลวงตา หรือ หลอกให้เรียนเล่น หากเป็นแบบนี้ไม่ต้องซ้อนดวงชะตาให้งงจะดีกว่า ก็แยกไปดูเรื่องราวตามปกติ คุณคิดดูเถิดว่า สมมุติ ดวงคนหนึ่งมี ๗ อยู่ราศีกรกฏ เหมือนคนอีกเป็นร้อยล้านคน หากซ้อนดวงคนอื่นได้ ถ้าอย่างนั้นดวงใครอีกพวกหนึ่งที่มีดาว ๗ อยู่ราศีมังกรก็จะถูก ดาว ๗ ของคนพวกแรกนี้เล็งไปหมดอีกร้อยล้านคน คนร้อยล้านคนแรก หากคบกับใครต่างพวกกัน อีกร้อยล้านคนหลัง ก็จะเป็นทุกข์หรือสุขตามเสาร์ไปหมดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งใช่ไหม

ดวงชะตาสามารถซ้อนได้ในบางเรื่องเท่านั้น แต่ไม่ใช่เรื่องความสัมพันธ์ของสองดวงชะตาคนสองคนทำนองนี้ การซ้อนดวงชะตาที่มักทำ คือ การซ้อนดวงชะตาสถานที่ กับตัวบุคคล แต่ก็ไม่ได้ดูแบบดาวเป็นดวงๆ สำหรับคนธรรมดามักใช้ในการทำไสยศาสตร์ ทำให้คนผู้นั้นเกิดปัญหา หรือ หากเป็นการพยากรณ์ล่วงหน้า จะมีในดวงจรพิเศษชนิดหนึ่ง เรียกว่า ดวงขับ ดวงขับมีมากมายหลากหลายชนิด ต้องเว้นไว้ให้ผู้เรียนแล้วเท่านั้น มิฉะนั้นก็จะมีปัญหาความไม่เข้าใจ ดวงขับใช้เวลาคำนวณมาก เช่นมักขับดวงอย่างชะตาเมืองกันเป็นเวลานับสิบ หรือ ร้อยปี เพื่อหาจุดที่ถึงเวลาสำคัญตรงกับความเปลี่ยนแปลง ไว้มีเวลาจึงจะเล่าได้ครับ


วรกุล - 28 มกราคม พ.ศ.2550 05:17น. (IP: 203.107.196.32)

ความคิดเห็นที่ 15
เรียน อ.วรกุล ที่เคารพ

หนูเพิ่งจะเข้ามาอ่านเวบบอร์ดได้ไม่นานนัก ขอขอบคุณอาจารย์ที่กรุณาให้ความรู้ทางโหราศาสตร์เป็นวิทยาทาน หนูได้เรียนวิชาโหราศาตร์มาบ้างแต่ไม่แตกฉาน อ่านพื้นดวงไม่คล่อง พออ่านดาวจรก็ยิ่งจับไม่ติดเลย

ขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยค่ะ เกิดวันที่ 16 ตค. 08 เวลา 11.05 สุราษฎร์ธานี ดาวเจ้าเรือนศุภะอยู่พบมรณะ หมายถึงอะไร ดาวเจ้าเรือนกัมมะสถิตย์ภพลาภะ ดาวเจ้าเรือนลาภะสถิตย์ภพมรณะและวินาศหมายถึงได้เงินจากการทำงานแล้วมักหมดไปเก็บรักษาไว้ไม่ได้ใช่หรือไม่คะ อาชีพทำสวนปาล์ม(เพิ่งเริ่มทำ)เหมาะกับดวงไหมคะ

อนึ่งอยากจะใช้วิชาโหราศาสตร์เป็นอาชีพหรือเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้างในยามแก่ตัวลง พอจะเป็นไปได้บ้างไหมคะ

ขอบคุณอาจารย์มากค่ะ..


ปอ - 29 มกราคม พ.ศ.2550 14:45น. (IP: 203.156.59.83)

ความคิดเห็นที่ 16
ตอบคุณ ปอ (ความเห็นที่ 17)............ต้องขออภัย ผมไม่สะดวกในการดูดวงชะตาให้ ที่ถามเกี่ยวกับดาวและเรือนในดวงชะตาคุณ ก็ต้องวิเคราะห์ดูดวงชะตาทั้งดวงก่อนจะตอบนั่นเอง จะให้ตอบดื้อๆตามที่ตั้งคำถามมา ผมตอบไม่ได้ พอเรียนมามากแล้ว ก็จะเป็นคนเรื่องมากไปด้วย กลายเป็นไม้แก่ดัดยาก ขอโทษด้วยครับ


วรกุล - 30 มกราคม พ.ศ.2550 05:10น. (IP: 203.107.193.115)

ความคิดเห็นที่ 17
เรียนถาม อจ.วรกุลครับ

คือ ลัคนา กับตนุลัคน์ ที่เรือนทั้ง 12 แตกต่างกัน ( ตนุลัคน์ไม่ได้เป็นเกษตรอ่ะครับ ) หากลัคนาคือเหตุการณ์ในขณะแรกเกิด แล้วตนุลัคน์คือเหตุการณ์ในภายหลัง ที่เกิดจาก เจ้าเรือนลัคนาไปแสดงผลที่เรือนอื่นนั้น ผมอยากทราบว่ามีกฎเกณ หรือ ตัววัดในเรื่องนี้มั้ยครับ ว่าเมื่อไหร ที่ เรือนทั้ง 12 ของตนุลัคน์ จะเกิดขึ้นมาครับ เมื่อไหรที่มันจะแสดงผลเหตุการณ์ออกมาตามตนุลัคน์ด้วยน่ะครับ

อย่างเช่นถ้า ในตอนที่เกิดนั้น เจ้าเรือนลัคนา สถิตเรือนกดุมพะ ตามทักษาวันเกิดเป็นอุตสาหะ เพราะฉะนั้นเราบอกได้หรือเปล่าครับว่าเวลาที่เหตุกาณ์ในเรือนของตนุลัคน์จะเกิดขึ้นมาได้ คือ ตอนที่ ดาวตนุลัคน์นั้นจรมาอยู่ที่เดิม แล้วก็มี ทักษา หรือส่วนประกอปของตนุลัคน์นั้นเหมือนกับตอนเกิดแบบนั้นหรือครับ?


แบงค์ - 30 มกราคม พ.ศ.2550 17:56น. (IP: 124.121.0.96)

ความคิดเห็นที่ 18


กราบเรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

ก่อนอื่นหนูขอขอบพระคุณอาจารย์ที่กรุณาตอบคำถามคราวก่อนที่หนูเรียนถามว่าอาจารย์ผูกดวงวิธีอะไร และอาจารย์ก็กรุณามาตอบให้หายสงสัยแล้ว หนูจำไม่ได้ว่าโพสต์คำถามไว้ที่กระทู้ที่เท่าไหร่ หนูหาไม่พบค่ะ

หลังจากเรียนโหราศาสตร์มาได้เกือบ 2 ปีโดยอ่านตำราเอาเองและถามอาจารย์วรกุลและผู้รู้ท่านอื่นๆ หนูมีเรื่องรบกวนเรียนปรึกษาค่ะ เพราะหนูเริ่มงงอีกแล้ว คือว่า หนูคิดว่าตอนนี้หนูสามารถอ่านพื้นดวงในราศีจักรได้พอสมควร แต่มันยังจืดๆ เช่น ตนุ-กัมมะ-กดุมภะ เจ้าชาตาสนใจในการทำมาหากินให้เกิดรายได้ ฯลฯ มันจืดๆ ค่ะ หนูจึงลองไปหาตำราเนื้อหาวิชาการเรื่องทักษามาอ่านเพิ่ม

พอมาอ่านถึงเรื่องที่เขาเขียนว่า ปีที่ดาวเจ้าเรือนปัตนิตกภูมิเดชหรือศรี จะได้แต่งงาน หนูก็รีบผูกดวงตัวเอง ปรากฎว่าปีที่หนูแต่งงานนั้น บริวารเดิมเป็นบริวารจร....กาลกิณีเดิมเป็นกาลกิณีจร คือทุกอย่างไปเป็นเหมือนเดิม และหนูเกิดวันพุธ ลัคน์ตุลย์ เจ้าเรือนปัตนิคืออังคาร(๓)เป็นกาลกิณีกำเนิด วันแต่งงานปัตนิ-กาลกิณีเดิม-เป็นกาลกิณีจร เสียอีก ก็ยังได้แต่งงานค่ะ และหนูดูรูปดวงแล้ว วันที่แต่งงาน ปัตนิก็ทับลัคน์ แถมตนุลัคน์ก็เล็งปัตนิเขม็ง ราหูก็เล็งเจ้าเรือนปัตนิเดิมอีก พฤหัสตรีโกณลัคน์เข้าศุภะ ฯลฯ เข้าตำราทั้งหมด....ทำให้สงสัยค่ะ

ที่สงสัยคือ ในเมื่อ ๓ กาลกิณีเดิม+จรคือเจ้าเรือนปัตนิทับลัคน์ ทำไมยังแต่งงานล่ะคะ หรือว่าหนูดูอะไรผิด หรือเข้าใจอะไรผิดคะอาจารย์ หนูแต่งงานมาแล้ว ปีนี้ก็เข้าปีที่ 18 แล้วค่ะ

และจะทำอย่างไรที่จะทายให้มันได้คำทำนายที่มีรสชาติหรือมีคำทำนายมากๆ หน่อยได้คะ คือหนูทายได้แค่ที่เขียนตัวอย่างข้างบนน่ะค่ะ มันทื่อๆ จืดๆ ค่ะ กราบขอบพระคุณในความกรุณาของอาจารย์มากค่ะ


หนู - 31 มกราคม พ.ศ.2550 14:50น. (IP: 210.246.80.9)

ความคิดเห็นที่ 19
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

จะติดตามหาความรู้ด้านโหราศาสตร์ จากข้อเขียนของอาจารย์ต่อไป ขอบคุณค่ะ


ปอ - 31 มกราคม พ.ศ.2550 15:09น. (IP: 203.156.59.86)

ความคิดเห็นที่ 20
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 19)............ข้อความนี้ไม่ถูกทีเดียวครับ ที่ว่า หากลัคนาคือเหตุการณ์ในขณะแรกเกิด แล้วตนุลัคน์คือเหตุการณ์ในภายหลัง ที่เกิดจาก เจ้าเรือนลัคนาไปแสดงผลที่เรือนอื่นนั้น ผมไม่ทราบว่าเป็นความเห็นของใคร ดังนั้น เมื่อคุณถามถึงกฎเกณฑ์ ตัววัดอะไรที่ว่า จึงตอบไม่ได้

ลัคนาแสดงความสัมพันธ์ระหว่างเรื่องราว และก็เป็นกรอบอ้างอิงอ่านเรื่องที่สัมพันธ์ระหว่างเรือน หากเหตุการณ์เกิดขึ้นตามเรื่องของเรือน ก็จะเกิดเหตุการณ์ภายหลังต่อๆมาและก็จบในความสัมพันธ์เรือนที่อ่านได้นั้น เหตุการณ์ภายหลังไม่ได้กระโดดไปเกิดที่ตนุลัคน์ หรือ อะไรอย่างอื่น คุณอาจจะเข้าใจผิด หรือมีใครมาบอกอะไรผิดๆ เพราะตนุลัคน์นั้นใช้อ่านผลที่เกิดกับเจ้าชะตา เช่นสมมุติเราอ่านที่ลัคนาว่า กัมมะ – อริ การงานจะต้องเหนื่อยยากลำบาก เมื่ออ่านจากตนุลัคน์ เป็นลาภะ ก็หมายความว่า เป็นลาภผลรายได้ของเจ้าชะตานั่นแหละ

ส่วนเรื่องกำหนดเวลาเกิดเหตุการณ์ตามดวงเดิมนั้นเป็นเรื่องของดาวจร การดูดาวจรไม่ได้ดูเพียงดาวเดินมาอยู่ที่เดิมอย่างนั้นครับ อธิบายตรงนี้ยาก ต้องไปเรียนเอาหน่อย เพราะดวงเดิมที่แสดงผลตามดาวจรมีหลายแบบ และหลายขั้นตอน ดังนั้นเวลาที่แสดงผลอาจจะตั้งแต่เดี๋ยวเดียว 5 นาที ไปจนถึงตลอดชีวิตก็ได้


วรกุล - 31 มกราคม พ.ศ.2550 16:50น. (IP: 203.107.205.112)

ความคิดเห็นที่ 21
ดาวมันมีร่วมกัน ส่งผลถึงกันด้วยนี่ครับถ้ามันร่วมกันก็คือ มีอะไรอยู่ด้านสาเหตุ ถ้ามันเป็นตรีโกณหรือมันโยค ก็แปลว่าเหตุนั้นแสดงออกมาเป็นผลด้วยดาวนั่นมั้งครับ ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่าครับ ผมแสดงความเห็นเฉยๆน่ะครับ อ่านของ พี่หนู อ่ะครับ


แบงค์ - 31 มกราคม พ.ศ.2550 16:52น. (IP: 124.121.5.212)

ความคิดเห็นที่ 22
อ่ะ อาจารย์วรกุลมาตอบแล้ว หุหุ ผมนกว่าคงมาตอบพรุ่งนี้ ด้านบนเลยแสดงความเห็นไป

ด้านบนนั่นผมพิมพ์ตอนยังไม่เห็นคำตอบของ อจ.น่ะครับ

ขอบพระคุณอาจารย์ครับ ที่แนะนำครับ


แบงค์ - 31 มกราคม พ.ศ.2550 17:00น. (IP: 124.121.5.212)

ความคิดเห็นที่ 23
อจ.ครับ อยากถามครับ ถ้าดาวลอย อย่างเช่น ดาว ๕เป็นเกษตรในเรือนกดุมพะ เล็ง กับดาว ๑ ดาว ๕ เป็นตรีโกณกับดาว ๓ แล้วก็โยคกับดาว ๘ (สมมุตน่ะครับ คิดว่าคงไม่เกินความจริงไป) ถ้าเป็นแบบนี้ อ่านดาว ๕ ในเรือนกดุมพะ ร่วมกับดาว ๑ ที่เล็งกันด้วยใช่มั้ยครับ ดาว ที่เป็นตรีโกณ กับโยคนั้น คือ ตัวที่รับ ความเป็น ดาว ๕กับดาว๑ มาแสดงออกมา ใช่รึเปล่าครับ สมมุติผมเอาดาว ๕เป็นประธานในตัวเรื่องอ่ะครับ

อันนี้ผมคิดเอาเองครับ ผสมกับอ่านๆข้อความต่างๆในกระทู้เว็บนี่ละครับ


แบงค์ - 31 มกราคม พ.ศ.2550 17:24น. (IP: 124.121.5.212)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบคุณ หนู (ความเห็นที่ 20)............ผมเองก็จำอะไรไม่ค่อยได้ว่าตอบใครไปแล้วบ้าง การที่เราอ่านดวงชะตาพื้นดวงแล้วมันจืดๆ ก็เพราะเรายังพลิกแพลงความหมายและดัดแปลงไม่เป็น ซึ่งจริงๆแล้วก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะการที่เราเรียนตามหลักการและอ่านให้ถูกนั้นดีกว่าการอ่านพลิกแพลงลวดลาย แต่ไม่ตรงกับความจริง อย่างที่มีบางคนมักอ่านอยู่ บางเรื่องฟังดูน่าทึ่งดี แต่ไม่ได้มีเรื่องอะไรตามนั้นเลยในชีวิต อย่างเช่น เขาทายว่าเนื้อคู่คุณจะเป็นหนุ่มรูปหล่อแต่ตาเข มีใฝใต้คางสองเม็ด เวลาเดินกระโผลกกระเผลกหน่อย ชอบแคะฟันแล้วดีดทิ้ง ขับรถเปอโยต์สีครีม ล้อด้านหลังหลุดทั้งสองล้อ อะไรประมาณนี้ คนฟังอ้าปากหวอ เพราะคิดว่าหมอดูมีญาณวิเศษ แต่คอยแล้วคอยเล่าไม่เห็นมีมาเลย

การดูตามหลักก่อนจะดี หากเราเป็นคนคิดและช่างสังเกต หากอะไรรู้ว่ามันไม่ตรง ก็ลองคิดหาเหตุผลว่าอะไรจึงจะตรง อย่างเช่นสมมุติมีตำราว่า จันทร์อยู่เรือนกดุมภะแล้วจะรวย ลองเหลียวดูทั่วๆหน่อยว่า จันทร์แปลว่าอะไรได้บ้าง กดุมภะแปลว่าอะไร อย่างกดุมภะแปลว่าสมบัติ อาจจะเป็นวัตถุสมบัติ หรือคุณสมบัติก็ได้ เราเป็นคนประณีต มีเมตตา กรุณาแบบจันทร์บ้างไหม นั่นหละ คือกดุมภะ หรือ คุณสมบัติของเรา คิดไปเรื่อยๆแบบนี้ ต่อไปเราก็จะรู้จักตัวเองมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากที่สุด และจะรู้จักความหมายเรือน รู้จักดาว ที่ไม่มีใครบอกเพราะเขาไม่รู้จักเรา แล้วต่อไปก็รู้จักพลิกแพลง หากรู้จักแต่งสำนวนที่สละสลวยดี ต่อไปเราก็ทำนายได้ไม่จืด และก็ไม่มั่วด้วย

คนที่แต่งภาษาพลิกแพลงบางคนมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ก็มี คือ ใช้ภาษาพัวพันซับซ้อนไม่ให้จับได้ว่าใช้หลักอะไร หรือ ใช้คำแปลดาวหรือเรือนที่เป็นเคล็ดอย่างไร และก็มักเติมคำอะไรที่ใช้ทางจิตวิทยา คำพูดเหวี่ยงแหครอบคลุมไปหมด ผลจริงๆเป็นอย่างไรก็นับว่าทายถูก ดังนั้น เมื่อมีใครมาพูดภาษาวกวน ก็ลองเอาถอดข้อความดูว่าเขาเอามาจากไหน ส่วนใหญ่คำแปลเรือน หรือ ดาว ก็มาจากดวงโลกบ้าง ธาตุบ้าง คู่ดาวบ้าง อะไรพวกนี้ ลองจับดู วันหลังก็จะเห็น หากเราจะหัดบ้าง ก็ตั้งประโยคจืดๆขึ้นมาดู แล้วลองขยายความหรือ เปลี่ยนความหมายเล่นทีละชิ้น แบบเล่นแต่งตัวตุ้กตาของเด็กๆ เราก็จะได้ไอเดียว่าควรจะแต่งตัวประโยคของเราอย่างไรเหมือนกัน

เรื่องทักษาเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความหมายพลิกแพลงมาก และเขาหวงแหนกัน แม้ความหมายพื้นๆ พวกเราเองก็ยังใช้กันไม่ค่อยเป็น การดูทักษาจร และดาวจรอย่างที่คุณยกตัวอย่างมา ก็ยังเป็นเพียงคำสอนแบบเบื้องต้น การเกิดเหตุการณ์จากดวงเดิมนั้น ไม่ได้ดูง่ายๆแบบที่เขาสอน ที่เราพิสูจน์ดูจากดวงเราก็เป็นวิธีที่ถูก แต่ถ้าเรามีดวงคนอื่นที่เชื่อถือได้เอามาพิสูจน์ด้วย เราก็จะเห็นว่าตรงบ้าง ไม่ตรงบ้าง ต่อไปอาจจะเบื่อจนไม่อยากดูโหราศาสตร์อีก เพราะแต่ละคนมักพูดเพียงบางส่วน หรือไม่ก็จำเขามาสอนโดยไม่เคยพิสูจน์ ผมเองก็ไม่รู้ที่จะทำอย่างไรเหมือนกัน จะไปชี้ว่าใครผิด ใครถูก ใครหลอก ก็ทำไม่ได้ บางอาจารย์ก็แต่งตำราหลอกคนเรียน ให้พวกหน้าม้าคอยยกย่องชมเชย สร้างชื่อเสียงให้ตนเองก็มี วิชาที่ตนเองใช้ กับวิชาที่ตนสอน ไม่ตรงกัน ได้แต่สงสารคนเรียนโหราศาสตร์ บางคนเชื่อเขาเสียเงินจนแทบหมด ก็ยังไม่ได้เรียนอะไรที่จับเป็นหลักใช้ได้จริงๆก็มี อยากให้คุณใช้ทักษาเดิมดูดวงเดิมไปก่อน อย่าดูในดวงจร หรือใช้ทักษาจร เพราะมีเคล็ดวิธีลูกเล่นมากที่คนทั่วไปไม่รู้ เดี๋ยวจะเบื่อโหราศาสตร์เสียก่อน


วรกุล - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:13น. (IP: 203.107.204.86)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 25)............อ่านดาว ๕ ร่วมกับ ๑ ที่เล็งมาด้วยถูกต้องครับ แต่ต้องระวังว่าร่วมด้วยตัวความหมายดาว เป็น ๕ + ๑ ไม่ใช่เอาเรือน หรือ เจ้าเรือน มาอ่านร่วม ส่วนดาวที่เป็นตรีโกณ โยค หรือ เป็นเกณฑ์อื่นๆนั้นอ่านได้หลายแบบ การอ่านในลักษณะ พฤหัสเป็นตัวแก่น (ที่คุณเรียกว่า “ประธาน”) นั้น ก็ทำนองเดียวกับ ๑ ที่เล็ง แต่ ๓ และ ๘ เป็นมุมส่งเสริมกำลังของดาว ๕ สำหรับ เรื่องการแสดงผลผ่านทางเกณฑ์ เรื่องนั้นเป็นเรื่องยาวหน่อย เพราะเกณฑ์ดาว เป็นเรื่องใหญ่ จำแนกตามลักษณะเกณฑ์ และ เรื่องของปัจจัยที่ใช้เกณฑ์ ตำรามีบอกไว้น้อย ส่วนใหญ่จึงใช้กันเปะปะ ไม่ตรงตามข้อกำหนดของเกณฑ์ ดังนั้น การแสดงผลผ่านทางเกณฑ์ (เช่น โยค ตรีโกณ จตุโกณ) หากเรียนระดับนี้ก็ยังไม่ควรไปสนใจครับ มีทางผิดได้มาก เหมือนคนตาบอดหัดเดินไปตลาดใหม่ๆ รับรองต้องชนใครแน่ๆ ไม่มีทางไปได้ตลอดทาง

ผมกำลังคิดว่าจะเอาเรื่องมาอธิบายเสริมให้ ทั้งเรือน และดาว ไว้ขอให้พ้นข้อเขียนไปอีกสัก 2 ตอน ที่ต้องเขียนเอาไว้ใช้อ้างอิงกรอบธรรมชาติที่ใช้ในโหราศาสตร์ไทยเสร็จคร่าวๆเสียก่อน ทีนี้จะได้อ้างง่ายขึ้น เวลาเขียนกฏ หลัก หรือ ความหมายต่างๆ จะได้รู้ว่ามาจากไหน อยู่ในกรอบไหน ไม่สับสนกัน ก็จะเข้าใจโหราศาสตร์ไทยได้ดีขึ้น


วรกุล - 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:05น. (IP: 203.107.196.140)

ความคิดเห็นที่ 26
ครับ ขอบคุรอจ.วรกุลมากครับ เดี่ยวผมจะรออ่าน เรื่องที่อจ.จะเขียนครับ


แบงค์ - 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 10:09น. (IP: 124.121.13.47)

ความคิดเห็นที่ 28
ตอบคุณ หนู (ความเห็นที่ 29)............มีหลักสำคัญอย่างหนึ่งที่คนเรียนโหราศาสตร์ไม่ค่อยรู้ คือ “โหราศาสตร์นั้นมีลักษณะเลือกปมทำนาย” ข้อความนี้หมายความว่า ดวงคนเราทุกคนไม่เหมือนกัน ประเด็นที่เป็นจุดเด่นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้น สมมุติเรามองว่า ดวงคนนี้มีอังคารอยู่ราศีพฤษภ แล้วมีบ้านใหญ่ ดังนั้นเราเห็นใครมีอังคารอยู่ที่เดียวกันก็น่าจะมีบ้านใหญ่ด้วย ข้อสรุปนี้จะไม่แน่นอน เพราะดวงคนเราอาจจะเลือกประเด็นที่เด่นในดวงชะตาไม่เหมือนกัน สาเหตุก็เกิดจากดาวดวงอื่นนั่นเองเป็นตัวแปร แม้แต่ฝาแฝดที่เกิดเวลาใกล้กัน ก็มีประเด็นเด่นแตกต่างกันได้ ข้อนี้เป็นอุทาหรณ์ในการดูดวงชะตา

การทำนายตามหลักการนั้นทำได้ แต่ประเด็นที่ทำนายนั้นอาจจะไม่เป็นจุดเด่นเพียงพอ ส่วนใหญ่เขาจึงต้องใช้ปัจจัยหลายๆอย่างมาชี้อะไรในเรื่องเดียว ไม่ใช่ดูอะไรทีเดียวแล้วก็จบ สมมุติบ้านรกรุงรัง เราอาจจะต้องดู ศุภะ ที่อยู่ที่อาศัยเป็นอันดับแรก หากมีอริ มรณะ วินาสน์ สหัชชะ มาอยู่ ก็หมายถึงมีสิ่งที่ไม่ใช้ ใช้แล้ว หรือ ของที่อยู่ผิดที่ มาวางอยู่เกะกะ หรือ เจ้าเรือนศุภะไปเป็นประเสียเอง ดาวศุภะกุมมฤตยู ราหู เกตุ อะไรเหล่านี้ หากเป็นบ้านของตนเองควรจะดูพันธุ ด้วยรองลงมาในทำนองเดียวกัน กดุมภะ สิ่งของเครื่องใช้มักเป็นประ หรือ ตกอริ มรณะวินาสน์ คือกระจัดกระจายเกะกะ ละทิ้ง ทางทักษา ก็ดูดาวมูละ หมายถึงที่อยู่อาศัยได้ หากกุมพวกมฤตยู เกตุ ราหู กาลกิณี ในบ้านก็วุ่นวายหรือ รกรุงรัง ไม่น่าอยู่ได้เช่นกัน หากเป็นนิสัยจริงๆ ดาวเหล่านั้นที่ว่าอาจจะไปกุมลัคนาเลยก็เป็นได้ การดูแบบนี้ เมื่อมีสิ่งใดบ่งชี้ทางหนึ่งก็ไปดูอีกทางหนึ่งเป็นทางสอบดู ว่าเป็นเรื่องใดแน่ เพราะแปลได้หลายอย่าง แต่อย่าลืมหลักในย่อหน้าที่แล้วด้วย

เรื่องการทำนายให้คนอื่นแล้วตรง บางทีเกิดจากดาวจร เช่น เกตุ มฤตยู ราหู จรทับถึง พฤหัส พุธเดิมในดวงชะตา ทำนายมั่วๆก็ถูกได้ แต่เราอาจจะเป็นได้ชั่วคราวช่วงที่ดาวจรอยู่ พอดาวจรออกก็หายไป ดังนั้น ในดวงเดิมคนที่มี พฤหัส พุธ เกตุ มฤตยู ราหู ถึงกัน จึงเป็นนักทำนายได้แม่นดี แม้บางคนอาจจะไม่ค่อยรู้วิชาเท่าไรนัก แล้วแต่ความสัมพันธ์ระหว่างดาว พฤหัส พุธ เกตุ มฤตยู ถึงกันบางคนถึงระดับเป็นอาจารย์ได้ แต่หากราหูร่วมด้วย มักจะพยากรณ์ได้แม่น แบบแปลกๆ โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจ ใบ้หวยซี้ซั้วก็ถูก ดังนั้น หากดาวเหล่านี้จรถึงกันบ่อย เราก็ดูหมอให้ใครแบบไม่ค่อยมีวิชาได้ ก็อาจจะแม่นกว่าพวกเรียนเก่ง แต่ไม่มีดวงหมอดู


วรกุล - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:10น. (IP: 203.107.205.90)

ความคิดเห็นที่ 30
ตอบคุณ หนู (ความเห็นที่ 31)............๓ ๔ อังคารพุธกุมลัคน์ มักจะปากคอจัดจ้านเชือดเฉือนหน่อยใช่ครับ เรื่องการ “ถึงกัน” ของปัจจัยมีอยู่หลายแบบ เช่น ดาวถึงกัน ธาตุถึงกัน เรือนถึงกัน กำลังธาตุถึงกัน กำลังดาวถึงกัน อาจจะรวมไปถึง เรื่องถึงกัน กรรมถึงกัน (กับคนที่เกี่ยวข้อง) อะไรแบบนี้ เป็นเรื่องยาวหลายชั้นแล้วแต่ชนิดของปัจจัย การถึงกันนั้นอาจจะ ร่วมกัน ผสมรวมกัน ช่วยกัน เบียนกัน เป็นอุปสรรคแก่กัน ก็เป็นได้อีก ดังนั้น หากจะเรียนจริงๆก็ยังต้องศึกษาไปทีละอย่าง ตำราที่สอนเบื้องต้นมักจะเขียนคร่าวๆ เพียงเพื่อให้รู้จักเท่านั้น

อย่างเช่นการถึงกันของธาตุ เช่น พฤหัส พุธ เกตุ มฤตยู ราหู อย่างที่ว่ามา การดูเบื้องต้นใช้การถึงกันโดย ร่วมเล็งกัน ร่วมเรือนเกษตร รวมทั้งมุม 1 4 7 10 ถูกแล้ว แต่น้ำหนักไม่เท่ากัน บางอย่างถึงกันได้หลายแบบในเวลาเดียวกัน แต่ในขั้นสูงขึ้นไปถึง advance หากมีเงื่อนไข ก็สามารถถึงกันได้อีกหลายอย่าง นี่ว่าโดยหลักโหราศาสตร์ไทย ยังมีเกณฑ์อื่นในโหราศาสตร์แบบอื่นๆอีกมาก

อย่างดวงคุณ ๙ เล็งลัคนา ๕ เล็ง ๐ เรือนอาทิตย์ ๑ ๑ ร่วม ๔ วินาสน์ ๔+ เป็นตนุเศษ ๕ เรือนราหูราศีกุมภ์ มักขี้สงสัยอยากรู้เหตุผลและก็สนใจโหราศาสตร์หรือ ศาสนาได้ แต่จะเป็นไปได้แบบไม่ต่อเนื่อง (วินาสน์) เป็นพักๆ หรือ ไม่ได้เรียนเป็นกิจจะลักษณะอย่างที่ว่า แบบนี้ก็มีดวงหมอดู หรือ หากสวดมนตร์คาถา มักจะได้ผลขลังๆโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจได้เหมือนกัน เหตุที่ผมไม่อยากทำนายในกระทู้นี้ เพราะการทำนายใช้เวลามากและก็เหนื่อย ทายผิดก็เป็นบาปเวรกรรม และจะติดใจผู้รับคำทำนายไปตลอดชีวิตได้ ผู้ทำนายก็อาจเป็นบาปกรรมไม่ดี เป็นโทษมากด้วย ถ้าไม่พร้อมก็ไม่อยากทำนายให้ใคร


วรกุล - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:02น. (IP: 203.107.201.29)

ความคิดเห็นที่ 31
เรียน อาจารย์วรกุล ที่เคารพ

กราบขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ คำอธิบายของอาจารย์ชี้ให้หนูเห็นตำแหน่งดาวที่ชัดเจนดีแล้วค่ะ หายสงสัยแล้วค่ะ

และก็อยากจะเรียนอาจารย์ว่าที่อาจารย์กล่าวว่า ๕ อยู่ราศีกุมภ์เรือนราหูทำให้สนใจโหราศาสตร์หรือศาสนาได้ ตรงนี้ตรงที่สุดค่ะและเรียนไม่ต่อเนื่อง(วินาสน์) (อันนี้หนูขอรวมไปถึงเรียนปริญญาเอกด้วยค่ะ คือไปเรียน ป.เอก แต่ก็หนีเขากลับมาค่ะ ไม่ชอบเพราะเบื่อสังคมเพื่อนฝูงมากๆ ชอบเรียนเองเรียนคนเดียวเลยไม่ได้ปริญญาเอกมานอนกอดเพราะดวงหนู ศุภะ-วินาสน์-วินาสน์) ที่อยากจะเรียนอาจารย์คือ เป็นเวลาหลายปีแล้วที่หนูจะอธิฐานในใจก่อนนอนทุกคืนว่า ถ้าชาติหน้ามีจริง หนูขอเกิดเป็นผู้ชายและได้บวชเรียนตลอดชีวิต บวชแบบพระธุดงอยู่ป่าเป็นพระนักปฏิบัติวิปัสนากรรมฐานนะคะ ไม่ใช่พระในเมือง เป็นผู้หญิงมีอุปสรรคในการบวชหลายอย่างรวมทั้งสรีระร่างกาย เขียนอย่างนี้ผู้ที่บังเอิญมาอ่าน อาจจะดูแล้วเว่อร์หรือเพ้อเจ้อ แต่เป็นเรื่องจริงที่อยู่ในใจ ถ้าไปเขียนอย่างนี้ที่อื่นอาจเหมือนว่าผู้เขียนพยายามทำตัวเป็นว่ามากับพระหรือเอาพระศาสนานำหน้า แต่เขียนที่กระทู้ของอาจารย์ปลอดภัยดี แค่อยากจะเล่าให้อาจารย์อ่านเพื่อ feedback ให้อาจารย์ทราบว่าที่อาจารย์กล่าวนั้นตรงกับตัวหนูเท่านั้นเองค่ะ

กราบขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งสำหรับคำอธิบายที่อาจารย์เมตตาตอบให้ทุกครั้ง ดูไม่ค่อยสุภาพนักที่มายิงคำถามบ่อยๆ จะรออ่านสิ่งที่อาจารย์จะเขียนต่อๆ ไปค่ะ..........ขอแสดงความนับถืออย่างสูง


หนู - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 07:12น. (IP: 210.246.80.14)

ความคิดเห็นที่ 32
เรียน อ.วรกุล

ดิฉันได้อ่านจากกระทู้เก่าของอาจารย์ว่าการอ่านชะตานั้นให้อ่านเรือนก่อน แล้วนำดาวมาขยายอีกที(ดิฉันขอไม่เอาเรื่ององศากับนวางค์มาประกอบนะค่ะ เดี๋ยวตีกันยุ่ง เพราะเพิ่งเริ่มศึกษาค่ะ) ขอยกตัวอย่างนะค่ะ สมมติว่า ลัคนาราศีพิจิก มีดาว อังคาร พุธ และศุกร์ อยู่ที่ราศีพิจิกด้วย ปัญหาของดิฉันคือ

1. ดาวอังคารเป็นเกษตรภพตนุและอริ ดาวพุธเป็นเกษตรภพมรณะและลาภะ ส่วนดาวศุกร์เป็นเกษตจรภพปัตนิและวินาศน์ จะผสมเรือนอย่างไรค่ะ มันเยอะไปหมดเลย ตนุ-อริ-ปัตนิ-มรณะ-ลาภะ-วินาศน์ หรือว่าให้ดูแยกเฉพาะภพของเจ้าเรือนเกษตรอย่างเช่น

1.1 อังคารเกษตรภพตนุและอริ อาจแปลว่า เจ้าชะตามักพบกับอุปสรรค แต่ก็จะสามารถผ่านไปได้(เพราะอังคารเป็นเกษตรกุมลัคนา หมายถึงเข้มแข็ง?) อุปสรรคอาจเกิดจากความใจร้อนวู่วามหรือความเจ้าอารมณ์ของเจ้าชะตาเอง(ขยายความตามความหมายของดาวอังคาร)หรืออาจเกิดจากคนในเครื่องแบบ (ดาวอังคาร ตำรวจ ทหาร???)

1.2 ดาวพุธเกษตรภพมรณะและลาภะ อาจหมายถึง เจ้าชะตาต้องมีการเดินทางไกลถึงจะเกิดความสำเร็จ เพราะพุธมาอยู่ร่วมเรือนกับลัคนา (ในกรณีของดาวพุธดิฉันไม่ทราบว่าจะเอาดาวมาขยายอย่างไรค่ะ เพราะพุธหมายถึง การพูดหรือความคิด)

1.3 ดาวศุกร์เกษตรภพปัตนิและวินาศน์ อาจหมายถึง เจ้าชะตาอาจมีการลงทุน (ดาวศุกร์หมายถึงการเงินและความรัก?) ร่วมกับเพศตรงข้ามอย่างลับๆ (วินาศน์) หรือเจ้าชะตาอาจมีหุ้นส่วนที่ไม่เปิดเผย??? ส่วนความเป็นประของดาวศุกร์จะมาในรูปของการลงทุนอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร หรือ หุ้นส่วนมักก่อปัญหาให้เจ้าชะตา อย่างนี้หรือเปล่าค่ะ

อ่านอย่างนี้ "ทื่อ" เกินไปไหมค่ะ หรือว่าผิดไปไกลสุด***่เลย ขออาจารย์โปรดชี้แนะด้วยค่ะ ดิฉันเพิ่งเริ่มศึกษาความรู้ยังน้อยนิดมากนัก ขออาจารย์โปรดอย่ารำคาญเลยนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ


นภาพร - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 14:57น. (IP: 210.246.64.227)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียนถามอาจารย์วรกุล...ผมมีความสงสัยเรื่องวงรอบของทักษา(บริวาร-กาลกิณี) รบกวนอาจารย์ช่วยชี้แนะให้ความรู้ด้วยครับ:- วงรอบทักษามี8ช่อง และหากมีการปรับให้เดินลัดตากลาง จะทำให้ 1วงรอบมี9ช่อง หรือ 9ปีเป็นหนึ่งวงรอบ.ในความคิดเห็นของผมนั้นดูเหมือนว่าวงรอบทักษาจะไม่สัมพันธ์กับวงรอบจักรราศี ( 1วงรอบ เท่ากับ12 ปี ) เราจำเป็นจะต้องปรับให้วงรอบทักษาเท่ากับวงรอบของจักรราศีหรือไม่ครับ หรือ 9ปีเป็น1วงรอบก็ถูกต้องดีอยู่แล้วครับ.


ศ.fa200 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:26น. (IP: 124.157.228.41)

ความคิดเห็นที่ 34
ตอบคุณ นภาพร (ความเห็นที่ 36)..........คำถามแบบนี้ผมไม่ได้รำคาญหรอกครับ เพียงแต่ที่ไม่ค่อยจะตอบเพราะว่าร้อยคำถามก็ร้อยคำตอบ ส่วนมากผมจะสนับสนุนให้เอาหลักไปดูเอง หากวิเคราะห์ได้ถูกหลัก จับทางได้ จะได้ไม่ต้องมาถามอีกเพราะหมดปัญหา ผมเคยเขียนแล้วว่า การถามคำถาม กับ การถามปัญหา นั้นไม่เหมือนกัน หากตอบคำถามแล้วไม่หมดปัญหา หากตอบปัญหาก็อาจจะหมดคำถามได้

เวลามีดาวหลายดวงกุมกัน ขั้นแรกเราก็ดูทีละดวงแยกกันก่อนสิครับ พยายามอ่านให้ง่าย แต่เคลียร์เข้าไว้

1 / อังคารเป็น ตนุ - อริ เจ้าชะตาเป็น ตัวเอง และ อุปสรรคพร้อมกัน หมายความว่า เมื่อมีชีวิตอยู่มักจะต่อสู้อุปสรรคเสมอ อังคารเป็นเกษตร แสดงว่า ต่อสู้อย่างยาวนานจนเป็นลักษณะนิสัยของตน หรือนิสัยนักสู้ ขยันต่อสู้ บ่ ยั่นไม่เกรงกลัวอุปสรรค (อย่าเพิ่งไปอ่านถึงผู้อื่นเช่น ทหารตำรวจ)

เสร็จแล้วเอา พุธ ศุกร์มาขยายอังคาร ทางเรือนก่อน อย่าเพิ่งอ่านดาว พุธ มรณะ- ลาภะ ความสูญเสีย การโยกย้าย ที่สำเร็จ หรือ ผลสำเร็จทางการศึกษา (พุธ ) จากการจากพรากโยกย้าย ก็แสดงว่าชีวิตที่ว่าต้องต่อสู้อุปสรรค มีการสูญเสีย หรือ โยกย้ายไปลำบากก่อนจะมีความสำเร็จ ศุกร์ ปัตนิ – วินาสน์ ครอบครัว ที่แยกจากกัน หรือ ไม่ได้ร่วมอยู่ด้วยกัน เนื่องจากฐานะไม่ดี หรือ ไม่มีความสุข (ศุกร์ ประ) เราอ่านรวมๆว่า

ชีวิตเจ้าชะตามักจะต้องต่อสู้ เป็นลักษณะนิสัยของตน ไม่เกรงกลัวอุปสรรค จำเป็นต้องโยกย้ายไปเพื่อความสำเร็จหางการศึกษา เนื่องจากฐานะไม่ดี จึงทำให้ครอบครัว มักไม่ได้ร่วมอยู่ด้วยกัน อ่านเรือนแบบเนื้อๆ เอาดวงใดดวงหนึ่งเป็นหลัก อ่านความหมายอังคารในฐานะเป็นหลักได้ดวงเดียว อย่าเพิ่งเอาความหมายดาว พุธ ศุกร์มาแทรกขณะอ่านอังคารเต็มที่ หากทำเช่นนี้ก็ไม่สับสน

2 / อ่านพุธเป็นหลักบ้าง พุธ มรณะ – ลาภะ พุธเป็นการเรียนการศึกษา เจ้าชะตามักต้องจากเรียนไปไกลบ้าน เพื่อความสำเร็จ + อังคาร ตนุ – อริ ตนเองต้องเพียรพยายาม + ศุกร์ ปัตนิ – วินาสน์ ก็ต้องแยกจากครอบครัวไปอีกเหมือนเดิม

3 / อ่านศุกร์เป็นหลักบ้าง ศุกร์ ปัตนิ – วินาสน์ (ประ) ศุกร์เป็นความรัก และการครองคู่ คู่ครอง หรือ ฐานะการเงิน ก็อาจจะอ่านว่า ครอบครัวต้องแยกจากกันไกลเพราะฐานะการเงินไม่ดี หรือ มีปัญหาการอยู่ร่วมกัน + พุธ มรณะ – ลาภะ จากไปเพื่อความสำเร็จเหมือนเดิม

ที่จริงจะอ่าน 1 / 2 / หรือ 3 / ก็ใกล้เคียงกัน ข้อสำคัญคือต้องอ่านตามวัยอันสมควร หากเป็นเด็กก็ดูเรื่องการเรียนการศึกษา ครอบครัวก็เป็นครอบครัวเดิม ครั้น เติบโตแล้วค่อยเปลี่ยนเรื่องไป เช่น เจ้าชะตาประกอบอาชีพที่เป็นทหารต้องต่อสู้ เหน็ดเหนื่อย หรือ เป็นทนายว่าความ เป็นตำรวจทำคดี จนประสบความสำเร็จ หรือ หากเป็นการเงินการลงทุน มีหุ้นส่วนไม่คงทนแยกจากกัน เป็นคู่ครอง ก็อาจจะพบโดยบังเอิญ หรือ พบในถิ่นไกล ชีวิตมนุษย์เรามีเรื่องหลายเรื่อง แต่ดาวมีชุดเดียว ก็ต้องอ่านที่ละเรื่องที่ถูกถาม เลือกเรื่องที่เข้ากัน ไม่ใช่เอามาทุกเรื่องที่นึกออก หัดผสมทีละเรือนก่อน ให้เป็นประโยคแก่นหลัก แล้วเอาเรื่องอื่นมาเป็นองคประกอบรอง ถ้าเรียนเองก็ต้องฝึกทำไปแบบนี้ หรือ หาหนังสือที่เขาสอนเบื้องต้นมาดู พยายามเลือกความหมายที่ง่ายๆมาก่อนครับ อย่าเพิ่งแตกประเด็นมาก ก็จะพอไปได้ ยังไม่ต้องแต่งอะไรให้เลอเลิศสละสลวย

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 37)............อ่านดูแล้วคุณยังสับสนเรื่องวงรอบที่แตกต่างกัน วงรอบจะมีกี่ภูมิ หรือ ราศี ไม่เกี่ยวกันนี่ครับ วงรอบของทักษาเกิดจากการหมุนของธาตุ (เช่น วันเกิด) ได้ทุกธาตุ ตามภูมิ แต่ในราศีจักรนั้น ที่ว่า 12 ปี เป็นของพฤหัสดวงเดียว ธาตุดวงอื่นเช่น อาทิตย์ 12 เดือน จันทร์ 30 วัน อะไรแบบนี้ยังมีอีกหลายดวง การที่จะครบรอบในระยะกี่ปี กี่วัน ไม่ใช่ธาตุดวงเดียวกันเอามาเทียบกันเพื่ออะไร ในทักษา ปกติก็นับเพียง 8 ภูมิ หากดูเพียงวงรอบทักษา การที่นับ 9 ภูมินั้นเป็นการปรับเวลาครบรอบเพื่อให้เข้ากับราศีจักรและใช้ดาวที่โคจรได้ตรงกันเท่านั้น เหตุที่นับ 9 ภูมิเพราะราศีจักรใช้เกณฑ์เลขพื้นฐาน 108 เช่นอายุมนุษย์ 108 ปีเท่ากันกับมหาทักษา 9 x 12 = 108 หมายความว่าทักษาหมุน 12 รอบ หรือ ราศีจักรหมุน 9 รอบ ก็จะเท่ากัน ดังนั้น หากนำทักษามาเข้าดวงชะตาก็ควรนับ 9 ภูมิเข้าตากลาง ยกเว้นการนับอย่างอื่นนั้นไม่ใช่ผิด แต่เป็น ทริ้ก ที่มีเหตุผลที่อธิบายได้ ตามวิธีของแต่ละคนที่นำมาใช้ ยกเว้นเป็นวิธีที่อุปโลกน์ขึ้นมาเอง ต้องพูดกันลึกกว่านี้ครับ ผมยังไม่อยากไปกระทบวิชาของผู้อื่น


วรกุล - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:12น. (IP: 203.107.201.225)

ความคิดเห็นที่ 35
สิ่งสำคัญที่ถูกกำหนดโดยจังหวะของธาตุในสุริยจักรวาลก็คือ สภาวะธาตุ ที่โหราศาสตร์ทั่วไปเรียกว่า ธาตุ นั่นเอง ธาตุที่เป็นดินน้ำลมไฟนี้ เดิมเป็นมหาภูตรูป แต่โหราศาสตร์ได้พัฒนาความหมายไปมากกว่านั้น หมายถึง สภาวะที่คงอยู่ของธาตุในจักรวาล ซึ่งแสดงรูปที่แตกต่างกันออกเป็น 4 รูป คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โหราศาสตร์ทางธาตุ ถือว่าสภาวะธาตุเหล่านี้เกิดมาจากสถานะดั้งเดิมอันเดียวกัน แต่เพราะจังหวะของธาตุที่สร้างขึ้นในสุริยจักรวาลทำให้ธาตุดั้งเดิมแยกตัวออกยันกันอยู่อย่างสมดุล สมดุลของสภาวะธาตุเป็นเรื่องละเอียด และสภาวะธาตุทั้งสี่นี่เองเป็นที่มาของจำนวนราศี 12 ราศี ในสุริยจักรวาล รวมทั้งเกษตรราศี ซึ่งเป็นพื้นฐานของการแบ่งวิชาโหราศาสตร์หลายวิชา เนื่องจากการสร้างราศีจักรจากสภาวะธาตุเป็นเรื่องยาวที่ต้องอธิบายมาก ทั้งเรื่องของแสง (แบบโหราศาสตร์) หรือ กระแสธาตุ ตลอดจนการเคลื่อนที่สัมพัทธ์ของวงจรธาตุเมื่อได้กำลังจากดวงอาทิตย์ แม้ตำราตะวันตกบางเล่มมีกล่าวถึงเรื่องนี้อยู่ด้วย แต่ก็จะเป็นคนละทางกับโหราศาสตร์ไทย รวมทั้งเมื่อโลกหมุนรับธาตุจากสุริยจักรวาลเข้ามา เกิดจักรราศีของโลกเอง และเป็นที่มาของระบบเกษตรสองเรือน ในข้อเขียนนี้จึงต้องกระโดดข้ามตรงนี้ไปก่อน แล้วจะค่อยมาแกะให้ดูในตอนต่อๆไป

ธาตุในจักรวาลใหญ่หรือเอกภพในสุริยจักรวาลนี้ เมื่อตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงอาทิตย์ จะมีความหมายสำคัญในเรื่องชีวิต ซึ่งมีต้นตอจากดวงอาทิตย์นั่นเอง ธาตุอาทิตย์ หมายถึงชีวิต และจิตใจ ซึ่งเรามักใช้กันบ่อยที่สุด ลองสังเกตว่า ขณะที่เรารู้สึกถึงตัวเราเอง เราจะรู้สึกว่ามันอยู่ในอก ไม่ใช่อยู่ในสมอง โบราณเชื่อว่าจิตเราปกติมีที่ตั้งอยู่ในหัวใจ ในห้องของหัวใจเป็นที่ตั้งของจิตที่เกิดจากนามธรรม ซึ่งจะแสดงออกเป็นความรู้สึกได้ เรียกว่า หทัยวัตถุ เป็นสิ่งที่มีรูปขนาดเล็กเท่าเมล็ดพืชเท่านั้น หทัยวัตถุ เป็นรูปชนิดที่คงอยู่ได้เนื่องจากกรรม เรียกว่า กัมมชรูป (กัม – มะ –ชะ –รูป) รูปอันเกิดแต่กรรม กรรม(บำรุง)รักษาเอาไว้ เมื่อหมดกรรมแล้วตาย หทัยวัตถุนี้จะสลายตามไปด้วย ดังนั้น เมื่ออยู่ในดวงชะตาโลกที่มีลัคนาอยู่ราศีพิจิก อาทิตย์ในราศีสิงห์ตามจักรราศีสุริยาตร (สุริยจักรวาล) จึงเป็นตำแหน่งของหัวใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในท้อง หรือ ปุตตะ เป็นที่ตั้งของหทัยวัตถุ และเป็นที่ตั้งของจิตในทรวงอกนั่นเอง

จันทร์ ซึ่งปกติ เป็นนามธรรมของการเพิ่มจำนวน ในสุริยจักรวาลจึงเป็น อารมณ์ความนึกคิดปรุงแต่ง ของสิ่งมีชีวิต เพราะจันทร์เพิ่มขยายจำนวนจำนวน ฟุ้งไป เพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นพันธุ หรือ แหล่งกำเนิดเพิ่มจำนวน เช่น มารดาในดวงโลก นิสัยจันทร์จึงเลือกมาก เพราะอยากได้อะไรมักเพิ่มทวีอยุ่เสมอ แต่สำหรับจันทร์นี้ เป็นธาตุในกลุ่มพิเศษ เนื่องจากมีนามธรรมที่ชื่อ “จันทร์” อยู่หลายอย่าง ในโหราศาสตร์ไทยเบื้องต้นมักใช้ปนกัน ดังนั้น การใช้จันทร์ ตามปฏิทินหรือในดวงชะตาก็ตาม พวกโหรที่รู้ดีจะใช้จันทร์แตกต่างกันไป มักจะมีสูตรคำนวณจันทร์แปลกๆ หลงอยู่ในตำราเก่าๆอยู่เสมอ คนที่ไม่รู้จึงฉีกทิ้งเสีย เพราะเห็นว่าเป็นสูตรที่ “ผิดความจริง” โดยที่ไม่รู้ว่าอะไรคือ “ความจริง” นี่เป็นผลให้ตำราคราสบางชนิดถูกฉีกทิ้งไปด้วย

ไม่อยากบรรยายทีละธาตุแล้ว เรื่องมันเยอะ เพราะวันหลังยังต้องมาพูดซ้ำอีก เอาย่อๆ อังคาร ซึ่งปกติเป็นนามธรรมของการเก็บพลังงานแล้วปลดปล่อยออกไป จึงหมายถึงการทำงานและสมรรถภาพ สมรรถนะ ในสิ่งมีชีวิต เมื่ออยู่ในดวงโลก ความเป็นตนุในเรือนลัคนาโลก จึงเป็นแหล่งรับเข้าธาตุจากสุริยจักรวาล แล้วปลดปล่อยพลังงานด้วยการกระทำทางมรณะ ราศีพิจิก

พุธ ที่เคยเป็นทำหน้าที่ส่งผ่าน เคลื่อนที่ จึงทำหน้าที่ สื่อสารทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรม ข่าวสาร และภาษา รวมทั้งประสบการณ์ จากชีวิตหนึ่งไปยังอีกชีวิตหนึ่ง ในดวงโลกเมื่อเป็นสหัชชะ จึงเป็นการย้ายที่ หรือส่งผ่านสิ่งอื่น โดยเป็นผู้ให้บริการรับใช้ คือ อริ ในดวงชะตาโลก

พฤหัส ซึ่งปกติมักขยายกว้างไกลออกไป จึงแทรกอยู่ใน ปัญญา ความรู้ จึงเป็นสิ่งที่แผ่ขยาย คือ ศุภะ ในดวงโลก และ หลุดพ้นไปจากความยึดเหนี่ยวของโลก คือวินาสน์ ทำให้พฤหัสไม่ยึดติดอะไร มักปล่อยวาง หรือ ทำอะไรง่ายๆ มีอะไรก็หยวนๆ

ศุกร์ ปกติที่เป็นความสอดคล้องกลมกลืน ความสำเร็จ จึงเป็นความสุข ของชีวิต ในดวงโลกศุกร์เป็นทั้งกดุมภะ และปัตนิ คือสมบัติและการครองเรือน ครองคู่ เป็นความสุขทางโลก ศุกร์ความสำเร็จ เมื่อสำเร็จทางธรรม จึงเป็นการหยุดนิ่งสงบ

เสาร์ ปกติที่เป็นการหดตัวแน่น ที่จริงในสุริยจักรวาลเป็น ความสมถะ หรือ สมาธิ แต่ความสมถะมักจะเป็นสิ่งฝืนกับกิเลสนิสัยของสิ่งมีชีวิต เสาร์ในดวงโลกเมื่อเป็นกัมมะการงานอาชีพ จึงเป็นงานหนักที่เกิดจากความหนักแน่นมั่นคงของเสาร์ ซึ่งมักจะเป็นความทุกข์แก่คนทั่วไป การหดตัวของเสาร์ จึงกลายเป็นนิสัยจู้จี้ (เน้นอะไรแคบๆ) ละเอียด ตรงไปตรงมา แต่ก็มีพลังงานแฝงสูง

ราหู ปกติที่เป็นความยึดติดตรึง ในสุริยจักรวาลจึงกลายเป็นอวิชชา ความโง่หลงงมงาย ในดวงโลกที่เป็นลาภะ จึงกลายเป็นการแสวงหาความสำเร็จเพราะความยึดติด ราหูเมื่อเป็นวัตถุสิ่งของทั่วไป เป็นสิ่งที่ไม่เคลื่อนไหวมักยึดติดที่เดิม เช่นเป็น ของหมักดอง ของค้างนานๆ หรือ หมักหมม หมักหมมนานเข้าก็สกปรก เหม็นตึๆ หรือหมักกลั่นเป็นสุรายาดอง ราหูจึงกลายเป็นสุรา ของมึนเมา พวกนักเลงชอบกินเหล้า ติดยา ติดการพนัน ที่จริงใครติดอะไรก็เกิดจากราหูได้ทั้งนั้น แม้แต่ติดธรรมะเนื่องจากหลงยึดมั่นถือมั่น

ความหมายของธาตุเหล่านี้ ที่ยกตัวอย่างมาสั้นๆ ก็เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงเมื่อธาตุเปลี่ยนมาอยู่ในกรอบของระบบในสุริยจักวาลและดวงชะตาโลกที่เกิดจากโลกหมุนเท่านั้น เพราะเราเองก็หาอ่านได้ทั่วไปอยู่แล้ว ความหมายเหล่านี้ยังมีอีกมากมายในตำราโหราศาสตร์ทั่วไปที่เรามักพบอยู่เสมอ ดังนั้น เมื่ออ่านหนังสือที่แนะนำความหมายของ(ธาตุ)ดาวอันใดอันหนึ่งแล้ว สิ่งที่ควรทำก็คือ พยายามนึกว่า ความหมายเหล่านั้นมันอยู่ในกรอบของระบบธรรมชาติใด เพราะบรรดาหลักการโหราศาสตร์ที่เราเรียน ไม่ว่าจะเป็นการผสมภพ กระทบดาว เข้าทักษา ดาวมาตรฐาน ตรวจวัยจร วัยเสวยอายุ ตรีวัย ดาวจร หรือ การนับวงรอบ เกณฑ์ต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีรากฐานมาจากกรอบระบบที่แตกต่างกัน หรือ ความสัมพันธ์ระหว่างกรอบระบบ ส่วนที่มาของคู่ดาว และความหมายพลิกแพลงต่างๆ จะมาจากทั้งสามระบบ ดังนั้น คู่ดาวต่างๆ บางครั้งจึงดูเหมือนกับขัดกัน หรือ บางคู่ก็เป็นทั้งคู่ที่ขัดแย้งและคู่ที่ส่งเสริมกันทั้งสองอย่าง หากเราแยกแยะที่มาของความหมายว่าเป็นในกรอบของระบบใด เราก็จะทราบหลักโหราศาสตร์แท้จริงที่นำมาใช้ทำนายได้

เมื่อเราพิจารณารูปธาตุวัตถุใดๆ เราจึงต้องคำนึงถึงธรรมชาติแท้ของธาตุดาวเอาไว้ก่อน ความหมายของธาตุดาวเหล่านี้ บางครั้งเรียกว่า “ความหมายราก” หรือ “ความหมายทางปรัชญา” ซึ่งมักใช้กันเกร่อจนผิดความจริงไป ความหมายรากของธาตุนี้เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเป็นหลักโหราศาสตร์ที่เป็นต้นเรื่องของวิชา เช่น อังคาร มีธรรมชาติเป็นความยืดหยุ่นรับพลังงานเข้าเก็บสะสมไว้แล้วปล่อยออกมา จากความหมายรากนี้ จึงเป็นความหมายที่เกิดจากหน้าที่ที่อังคารกระทำ เมื่อมันเข้าทำปฏิกิริยากับอย่างอื่นแล้ว โดยธาตุตัวมันเองจะแสดงความหมายบริสุทธิ์ของมันออกมาและทำให้สิ่งรอบข้างที่มาสัมพันธ์กับมันมีคุณสมบัติตามธรรมชาตินั้นด้วย ดังนั้น ธาตุที่มีอังคารอยู่ อย่างเช่น สปริง หนังสติ้ก เหล็กและโลหะ จึงล้วนแต่มีอังคารเป็นองคประกอบอยู่มาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าสิ่งเหล่านี้คืออังคาร จะเห็นว่า เมื่อเอาสปริง หนังสติ้ก เหล็กและโลหะ มาเผาไฟขับไล่ธาตุของอังคารออกไป สิ่งเหล่านี้ก็จะหลอมละลาย หมดความยืดหยุ่นก็ไม่เป็นอังคารอีก

หรืออย่างคนเราเมื่อมีธาตุอังคารมาก ในขณะปกติก็จะสะสมพลังงานเข้าไว้ในตัวตลอดเวลา จนเต็มความจุของมันเหมือนลุกโป่งที่เป่าจนโป่งพอง ดังนั้น อังคารเองก็จะปลดปล่อยพลังงานที่เก็บสะสมไว้ออกไป เป็นเหตุที่ต้องทำสิ่งโน้นสิ่งนี้ไม่หยุด กลายเป็น “ความขยัน” เพราะเมื่อได้ปลดปล่อยพลังงานแฝงออกไปก็จะรู้สึกสบาย แต่เพราะการที่ดำรงชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว อังคารก็จะเก็บเอาพลังงานเข้ามาอีกจนเต็มอยู่เสมอ กลายเป็นแรงผลักดันทางจิตวิทยาให้ปลดปล่อยออกไปอีก หากอังคารเข้ากุมอาทิตย์ ในลักษณะที่เป็นปฏิกิริยาโดยตรง ขาดความนุ่มนวลเสียการควบคุม การปลดปล่อยนั้นจะเป็นไปโดยเน้นการรวมศูนย์ตามลักษณะของอาทิตย์ จนเกิดความเข้มไปในทางเดียว อังคารปล่อยพลังงานออกทันทีอย่างเปะปะ จึงกลายเป็นปฏิกิริยาที่รวดเร็ว บังคับควบคุมยาก เหมือนเราเจาะลูกโป่งด้วยเข็มแหลมเป็นรูให้พลังงานพุ่งออก แทนที่จะคลี่คลายออกโดยกลไกยืดหยุ่นของอังคารเอง เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นรวดเร็วก็จะกลายเป็นอุบัติเหตุจนบาดเจ็บได้ เนื่องจากโลกหมุนเอาอังคารมาเป็นมรณะในดวงโลก เหมือนผลักดันหน้าที่ซ้อนให้อังคารเบี่ยงเบนเข้าตำแหน่งที่เป็นมรณะนั้น แต่ถ้าหากธาตุอังคารและอาทิตย์ เข้าทำปฏิสัมพันธ์กันอย่างดี ธาตุและพลังงานเข้าส่งเสริมให้แสดงธรรมชาติออกมาอย่างดีแล้ว อังคารและอาทิตย์ จะเป็นความเข้มแข็งและมีคุณประโยชน์ จะแสดงออกเป็นบารมี และอำนาจ ผลักดันตำแหน่ง เกียรติคุณ ความสามารถและยศศักดิ์ให้พุ่งสูงและต่อเนื่องคงทนหาได้ยาก

จะเห็นได้ว่า หากจะมองอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ หลักการเบื้องต้นพื้นฐานของโหราศาสตร์ก็เป็นกฏเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ได้ทั้งสิ้น หากเราจะยอบรับสมมุติฐานคุณสมบัติ หรือ คำจำกัดความของธาตุที่บังเกิดจากนามธรรมเหล่านี้ ความหมายของธาตุที่ต่อเนื่องมาอย่างหลากหลายจากความหมายรากต่างหาก ที่ควรจะพิจารณาความเป็นข้อเท็จจริงที่ละเอียดกว่า อย่างเช่น อังคารที่เป็นทหาร ก็ควรจะเป็นทหารที่ต้องฝึกฝนและใช้กำลังอยู่เสมอ อังคารที่มีอยู่ในตัวนักกีฬาหรือ ผู้ที่ชอบเล่นกีฬามาก มักจะมีกำลังสะสมเกินกว่าคนทั่วไป รูปร่างของอังคารมักจะทำให้เกิดกล้ามเนื้อกำยำล่ำสัน วัตถุที่เป็นกลไกถ่ายเทพลังงาน (แม้จะเป็นไม้ หรือ พลาสติค) เช่น รถยนต์ โช้คอัพ สปริง ลูกบอล ลูกเทนนิส เป็นสิ่งที่รับพลังงานเข้าแล้วปลดปล่อยพลังงานออกมา ก็จึงเป็นอังคารดัวยเหมือนกัน อาหารที่เกิดจากอังคารมักจะเหนียว เด้งดึ๋ง อย่างปลาหมึก ลูกชิ้น และเผ็ดร้อน อย่างพวกพริก ทำให้เลือดหมุนเวียนเร็วขึ้น อย่างนี้เป็นต้น หลักการหรือคำทำนายสำเร็จรูปทางโหราศาสตร์ที่เราเรียนกันเบื้องต้น จนกลายมาเป็นข้อความที่นักเรียนมักใช้ท่องจะกันเหมือนนกแก้วนกขุนทองนั้น จึงต่างล้วนมีที่มาจากธรรมชาติของธาตุบริสุทธิ์เหล่านี้นั่นเอง

ยังมีกรอบธรรมชาติที่เป็นวงแคบใกล้ตัวเรามากลงไปกว่ากรอบระบบทั้งสามอยู่อีกอย่างหนึ่งที่เคยบอกมาแล้ว คือ โลกส่วนตัวของเรา กรอบธรรมชาตินี้เป็นเรื่องซับซ้อนที่มีอยู่นอกตำรามากที่สุด เพราะกรอบนี้จะสัมพันธ์ทั้งความรับรู้ ตัวตนและกรรม ของเจ้าชะตาเอง หากมีโอกาสจะเขียนถึงภายหลัง


วรกุล - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:16น. (IP: 203.107.201.225)

ความคิดเห็นที่ 36
ขออภัยครับ แก้ข้อความความเห็นที่ 39 ย่อหน้าที่ 2 “ราศีพิจิก” แก้เป็น “ราศีเมษ” ดังนี้

ดังนั้น เมื่ออยู่ในดวงชะตาโลกที่มีลัคนาอยู่ราศีเมษ อาทิตย์ในราศีสิงห์ตามจักรราศีสุริยาตร (สุริยจักรวาล) จึงเป็นตำแหน่งของหัวใจที่เกิดขึ้นตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในท้อง หรือ ปุตตะ เป็นที่ตั้งของหทัยวัตถุ และเป็นที่ตั้งของจิตในทรวงอกนั่นเอง


วรกุล - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 12:03น. (IP: 203.107.193.33)

ความคิดเห็นที่ 37
ขอบคุณอาจารย์วรกุลมากๆ ค่ะ ดิฉันจะค่อยๆ ลองศึกษาดู พอจะจับหลักการได้แล้ว แล้วดิฉันอาจเอาการบ้านมาส่งให้อาจารย์ตรวจอีกนะค่ะ

ขอบคุณค่ะ


นภาพร - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 12:16น. (IP: 210.246.64.56)

ความคิดเห็นที่ 39
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ผมคิดอยู่นานหลายสัปดาห์ว่าจะถามอาจารย์ดีหรือไม่ แต่พอไม่ถามก็ไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี คิดอยู่คนเดียวไม่มีใครให้คำปรึกษา ผมจึงขอรบกวนอาจารย์ด้วยครับ

ผมเกิดวันที่ 24 เมษายน 2514 เวลา 10.30 น. กรุงเทพฯ ผมมีคำถามดังนี้ครับ

- วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2550 ดาวอังคารจะย้ายเข้าราศีมังกร ทับอังคารและราหูเดิม เล็งลัคนา ซึ่งมีดาวเสาร์ทับอยู่ และทักษาจรอังคารเป็นกาลกิณี และเป็นมหาอุจจ์ด้วย อย่างนี้ผมจะมีเคราะห์หนักใช่ใหม่ครับ จะเป็นอย่างไรบ้างครับ

- ลัคนาจรผมตกราศีมังกรพอดีและดาวเจ้าเรือนไปทับลัคนา อย่างนี้ใช่ฆาตอำภุภุมโมหรือเปล่าครับ

- ช่วงนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดี ขับรถเกือบชนหลายครั้ง บางครั้งก็มีคนวิ่งตัดหน้ารถจนเกือบเบรคไม่ทัน ไม่นับรวมถูกของมีคมบาดหลายครั้งครับ ควรจะทำอย่างไรดี

ขอขอบพระคุณอาจารย์ล่วงหน้าครับ


เด็ก ป.เตรียม - 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 22:51น. (IP: 124.121.161.181)

ความคิดเห็นที่ 40
ตอบคุณ สุธาวาส (ความเห็นที่ 42)..........เรื่องสภาวะธาตุของโหราศาสตร์ แม้อาจจะแนวคิดมาจากมหาภูตรูป แต่ก็มีข้อสมมุติที่ไม่เหมือนกันทีเดียว ฟังดูเป็น “ความเชื่อ” มากไปหน่อย แต่ก็ไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านัก คือ สภาวะธาตุของสุริยจักรวาลเดิมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว สภาวะธาตุอิงอาศัยรูปนาม เมื่อมีรูปนาม จึงบังเกิดสภาวะธาตุ แล้วแยกออกเป็นสองส่วน คือ รูปธรรม (ฝ่ายวัตถุ)ที่มีพลังงานต่ำ กับ นามธรรม (ฝ่ายจิต)ที่มีพลังงานสูง ในสภาพที่แยกออกเป็น ส่วนข้นแข็ง และส่วนไหวตัวง่าย ส่วนข้นแข็งแยกออกเป็น สภาวะธาตุดิน และธาตุน้ำ ส่วนไหวตัวง่ายแยกออกเป็น สภาวะธาตุลม กับ ธาตุไฟ จังหวะของธาตุจากดวงอาทิตย์ที่เคลื่อนไปคล้ายคลื่นจะแกว่งตัวสลัดเอาดินและน้ำ ไฟและลม แยกออกจากกันแต่ยันกันอยู่ตรงข้ามด้วยแรงที่ดึงดูดเพื่อกลับรวมตัวกันใหม่ เหมือนเราเอาของผสมมาแกว่งเร็วๆ มันก็จะแยกกันด้วยแรงเหวี่ยง เมื่อใดที่จังหวะธาตุหยุด มันก็กลับรวมกันใหม่ได้ คำว่าสภาวะธาตุ เป็นสภาพ หรือ สถานะ ไม่ใช่ตัวดิน หรือน้ำ หรือ เปลวไฟที่เราเห็น เช่น สิ่งที่ข้น รวมตัวกัน คือ สภาวะธาตุดิน สิ่งที่ไหล แทรกซึมได้ คือสภาวะธาตุน้ำ อะไรประมาณนี้ สภาวะธาตุที่เล็งยันกันในราศี จึงเกิดจากสมดุลของจังหวะธาตุในสุริยจักรวาล

สภาวะธาตุทางโหราศาสตร์ไม่ได้เป็นตัวรูปนาม แต่เมื่ออิงอาศัยรวมเข้ากับรูปนามก็จะมีสภาพเช่นนั้น เช่น หากสภาวะธาตุน้ำ รวมกับ อังคาร อังคารก็จะมีสภาวะธาตุน้ำด้วย การที่เรามักเข้าใจว่า พุธ ศุกร์ ธาตุน้ำอะไรนั่น เป็นเพราะเกิดจากมหาทักษา ซึ่งเป็นธาตุในธรณี แต่ธาตุในจักรวาลจะเกิดจากสภาวะธาตุในราศี เช่น พฤหัสธาตุไฟ และ ธาตุน้ำ สภาวะธาตุไม่มีเสีย ไม่สูญ จนกว่ารูปนามดับหมด สภาวะธาตุก็กลับรวมกันเป็นหนึ่ง แล้วดับไปเหมือนตอนเริ่มแรก


วรกุล - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:46น. (IP: 203.107.205.126)

ความคิดเห็นที่ 41
คำถามของคุณเด็กป.เตรียมจะตอบในกระทู้นี้นะครับ

กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว เพราะมีแต่ข้อความยาวๆ ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 23....ครับ..........


วรกุล - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 04:50น. (IP: 203.107.205.126)

ความคิดเห็นที่ 42
ตอบคุณ เด็ก ป.เตรียม (ความเห็นที่ 43)..........ผูกดวงดูรู้สึกคุ้นๆ ดูเหมือนคุณเคยมาถามครั้งหนึ่ง ดวงชะตาแบบนี้เป็นดวงที่ล่อแหลม แม้มีคู่ธาตุ คู่มิตร แต่หากทำกรรมใด กรรมนั้นก็เป็นเหมือนบูเมอแรงสะท้อนกลับมาตรงตัวเราได้เร็วในดวงนี้ ดาวอังคารจรเข้ามังกรไม่ดีจริง แต่เพราะเสาร์มาทับลัคน์กรกฎอยู่ก่อนนานแล้วด้วย พฤหัสอริเดิมจรเป็นตรีโกณช่วยเจ้าชะตาได้บ้าง แต่เสาร์อังคารแรงกว่าทำเกณฑ์เข้าหาอาทิตย์และเสาร์นิจเดิมอีก และยังปลุกราหูเดิมตื่นขึ้นมาเล็งลัคนา เข้าไปด้วย ก็ต้องระวังควบคุมอารมณ์ให้มาก จะขับขี่รถรา ทำอะไรต้องระวัง อย่าหุนหันพลันแล่น ต้องระงับโทสะ ไม่ให้มีความขัดแย้งกับใคร อาจจะเป็นคดีความรุนแรงได้ หากเล่นปืน ก็ต้องระวังปืนลั่น อย่าไปทะเลาะกับใคร หรือ เที่ยวกลางคืนระยะนี้ ต้องระวังจะถูกปืน หรือ วัตถุระเบิดได้ โดยเฉพาะเพศตรงข้าม หากมีม้อบมาชวนไปชุมนุมก็อย่าไปกับเขา ช่วงนี้มีเคราะห์จริง ไม่ค่อยปลอดภัย ดวงนี้จะมีลักษณะคล้ายๆกันแบบนี้อยู่บ่อยๆช่วงจังหวะดาวจร หากควบคุมอารมณ์ไว้ และรอบคอบ จะผ่านไปได้ทุกครั้งครับ

ลัคนาจรมีหลายวิธี ปกติถือดาวฆาตุที่ลัคนาเดิม คือ กรกฏ ก็เป็นอังคาร อำพุภุมโมถูกแล้ว ลัคนาจรมังกรบางวิธีก็ใช้อังคารมีผลด้วยจริง ถึงอย่างไรอังคารก็เข้าฆาตุทับอังคารเดิม คำว่าฆาตุไม่ได้หมายถึงร้าย แต่จะแรงกว่าเดิมเท่านั้น ช่วงสงกรานต์ อาทิตย์จรเข้าเรือนอังคารอาจจะมีเรื่องไม่ดี เดินทางต้องรอบคอบ เดือนถัดไปอาจจะเจ็บป่วยได้ เข้าเดือนกันยา – ตุลา ก็ยังต้องระวังอีกที ดวงชะตาก็ยังไปได้ ผมไม่มีเวลาวิเคราะห์ดวงชะตาในกระทู้นี้ น่าจะไปถามผู้ที่ทำอยู่ประจำ ผูกดวงละเอียด สอบลัคนาดูอีกที

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว เพราะมีแต่ข้อความยาวๆ ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 23....ครับ..........


วรกุล - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 16:30น. (IP: 203.107.204.35)

ความคิดเห็นที่ 43
เรียนอาจารย์วรกุลที่เคารพ

ผมเคยถามอาจารย์ครั้งนึงเกี่ยวกับเรื่องดวงแรง อาจารย์บอกว่าผมเป็นคนดวงแรงชนิดนึง ผมจะจดจำคำแนะนำไว้ยึดปฏิบัติตลอดไปครับ (ไม่ใช่แต่เฉพาะช่วงนี้)

ขอขอบพระคุณอาจารย์อย่างสูงครับ


เด็ก ป.เตรียม - 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 20:19น. (IP: 124.121.164.109)

ความคิดเห็นที่ 44
ขอรบกวนถามหน่อยครับว่า ชื่อโหรในสมัยรัชกาลที่ 5 มีใครพอทราบบ้างครับ หรือว่าสามารถไปค้นหาที่ไหนได้ครับอาทิเช่น พระสมิงเมือง หรือว่าพระสิงห์เมืองมีบ้างไหมครับ


sing - 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 22:43น. (IP: 202.133.156.122)

ความคิดเห็นที่ 45
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 23....ครับ..........


วรกุล - 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2550 05:02น. (IP: 203.107.204.26)