เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

คุยกันสบายๆ..........ตามประสาโหราศาสตร์ไทย ( 28)

(..เนื่องจากกระทู้ ที่ 27 เดิมมีความยาวมากเรียกได้ช้า จึงขอเปิดเป็นกระทู้ที่ 28 ครับ)

กระทู้นี้ตั้งขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ในแวดวงวิชาโหราศาสตร์ไทย สำหรับผู้ที่ต้องการเปิดโลกทัศน์ และปรารภปัญหาที่มีอยู่ จะได้ช่วยกันอธิบายแก้ไข เพื่อให้เกิดความเข้าใจอันดีต่อวิชาโหราศาสตร์
วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.155.229.40)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
โหราศาสตร์ไทยมีภาคหนึ่งที่สำคัญคือ มหาทักษา ซึ่งเป็นต้นวิชาใหญ่หลายวิชา ตลอดจนข้อมูลในมหาทักษาได้ถูกนำไปใช้ในวิชาโหราศาสตร์ไทยทั้งจันทรคติและสุริยคติอย่างกว้างขวาง พวกเรามักจะคุ้นเคยหรือผ่านมหาทักษากันมาแล้ว เนื่องจากมหาทักษาที่เราใช้อยู่เกี่ยวข้องกับระบบธาตุบนโลก ซึ่งกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต ทั้งรูปธรรมและนามธรรม จำนวนมากมายเกือบทั้งหมด ดังนั้น ศาสตร์และวิชาจำนวนมากของไทยเรา มักจะใช้มหาทักษากันเป็นพื้นฐาน รวมทั้ง ไสยศาสตร์ ศิลปะศาสตร์ วัฒนธรรมประเพณี ที่ครอบคลุมเรื่องสีประจำวัน จำนวนนับ วัตถุ นามที่เรียกขาน และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง จึงจำเป็นต้องเขียนถึงมหาทักษาบ้าง พอให้ต่อเรื่องไปยังดาวที่ใช้ในดวงชะตาได้

ธาตุและพลังงานที่ส่งจากดวงอาทิตย์นั้น มีหลายสาย สายหนึ่งเข้าสู่ระบบธาตุ (ภพ)ในจักรวาล ส่งผ่านเข้ามาในระบบธาตุ(ภพ)ในชั้นบรรยากาศ แล้วจึงเข้ามาสู่โลก ซึ่งเราอ้างอิงมาใช้ในระบบธาตุดวงชะตาราศีจักร ส่วนอีกสายหนึ่งจะส่งมากระทบกับโลกโดยตรง เป็นระบบธาตุ(ภพ)ในธรณี ซึ่งเป็นต้นตอของมหาทักษา ดังนั้นมหาทักษาจึงไม่ใช่ระบบธาตุในดวงชะตาโดยตรง หากธาตุไม่ว่าจากระบบใดเข้าสู่ดวงชะตา ก็จะถูกนำเข้าสู่กลไกของดวงชะตาเหมือนกันทั้งนั้น ควรทราบว่า ทักษาคู่ธาตุ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิชาโหราศาสตร์ใหญ่ที่ เรียกว่า “มหาทักษา” ซึ่งเดิมเป็นโหราศาสตร์จันทรคติระบบหนึ่งซึ่งตกทอดมาแพร่หลายและได้รับความนิยมทั่วไป มีภูมิปัญญาลึกซึ้ง ปัจจุบันแทบจะหาผู้สืบทอดได้ยากแล้ว การนำทักษาคู่ธาตุมาใช้ในดวงชะตา จึงทำให้เข้าใจผิดกันว่านั่นคือมหาทักษา

การเข้าใจมหาทักษามีประเด็นที่สำคัญประการหนึ่งของระบบ คือ ทิศทางของธาตุที่เข้าสู่โลก เราจะเห็นว่า เมื่อเราดูดวงชะตาราศีจักรนั้น ลัคนาและดาวต่างๆโผล่ขึ้นจากขอบฟ้าทางทิศตะวันออกแล้วโคจรโค้งข้ามศีรษะเราในแถบระวิมรรคไปยังทิศตะวันตกด้านหลังของเรา โลกจะม้วนเอากระแสธาตุจากทิศตะวันออกเข้าทางลัคนามาหมุนวนในดวงชะตา คิดดูก็เหมือนราศีจักรเป็นจานวงกลมที่เอาขอบด้านข้างตั้งขึ้นในแนวดิ่ง แต่ธาตุหยาบที่มาจากดวงอาทิตย์เข้ามาเป็นธาตุในธรณีนั้น เข้าทางทิศตะวันออก ที่เป็นภูมิของจันทร์ก่อนแล้วมุ่งพุ่งไปทางตะวันตกเหมือนกัน แต่เบี่ยงเบนกระแสลงต่ำสู่ทิศใต้ ผ่านภูมิอังคาร พุธ (ใต้สุด) แล้วหมุนเวียนขวา ดังนั้น วงจรธาตุที่เป็นต้นเรื่องของมหาทักษาจึงราวกับเข้าทางทิศตะวันออก หมุนเวียนขวาในแนวระนาบกับพื้นดิน เหมือนจานที่นอนแบนราบกับพื้น

แต่เราต้องอย่าลืมที่เคยบอกแล้วว่า กฎเกณฑ์เหล่านี้เป็นเพียงบัญญัติ(สมมุติ) ที่ใช้เฉพาะวิชา เราไม่อาจนำหลักเกณฑ์ข้อเท็จจริงในศาสตร์แขนงอื่น (เช่น วิทยาศาสตร์) มาชี้ถุกชี้ผิดได้ สมัยก่อน เคยมีบางคนพยายามจะพิสูจน์มหาทักษา โดยอ้างผลทางดาราศาสตร์บ้าง ฟิสิกส์บ้าง แต่หากทราบเรื่องมหาทักษา ก็ยังไม่ถูกอยู่ดีเพราะทิศในวิชานี้ ไม่ใช่ทิศจริงๆทางภูมิศาสตร์ เรื่องทิศของภูมิในทักษาคู่ธาตุ เป็นเพียงเปรียบเทียบจากนามธรรมเท่านั้น การกำหนดทิศอย่างเช่น ทิศเหนือที่เป็นภูมิศุกร์นั้นหมายถึง “ที่สูง” ส่วนทิศใต้ที่เป็นภูมิพุธหมายถึง “ที่ต่ำ” เช่น ศุกร์ จึงมักจะหมายถึงน้ำฝน น้ำบริสุทธิ์ รวมถึงเทพเทวดาที่อยู่ในท้องฟ้า ส่วนพุธ มักจะหมายถึง น้ำในห้วยหนองคลองบึง รวมทั้ง มนุษย์ สัตว์ พืชพันธุ์และไม้ล้มลุก ซึ่งเรานำมาใช้ในดวงชะตาบ่อยๆ

ธาตุที่โลกรับจากจักรวาลเข้ามาสู่โลกในดวงราศีจักรนั้นเข้าทางลัคนาทางทิศตะวันออก หมุนวนมาในดวงชะตาในทิศทวนเข็มนาฬิกา ถ้าเรามองไปทางทิศตะวันออก เราจะเห็นธาตุอาทิตย์และดาวต่างๆรวมทั้งลัคนาโผล่ขึ้นขอบฟ้ามาเรื่อยๆ ข้ามศีรษะไปตกเบื้องหลังเราทางทิศตะวันตก แต่ธาตุหยาบที่โลกรับเข้ามาโดยตรงจากดวงอาทิตย์ จะเข้าทางทิศตะวันออก และถูกกลั่นกรองโดยโลก (เหมือนดาวทั่วไปกลั่นกรองธาตุ)ให้ละเอียด ระบบ (ภพ)ของธาตุในส่วนนี้เรียกว่า ธาตุในธรณี เป็นความเปลี่ยนแปลงในโลกเอง การเปลี่ยนแปลงของวงจรธาตุที่ทำให้ละเอียดขึ้นและทำให้ธาตุเปลี่ยนภูมินี้มีหลายขั้นตอน ขั้นตอนจุดเปลี่ยนที่สำคัญในวงจรธาตุนี้คือตำแหน่งเป็นเหมือนจุดร่วมสำคัญซึ่งธาตุมีภูมิธรรมแลกเปลี่ยนกับธาตุละเอียดที่กลั่นกรองมาจากจักรวาลในจักรราศี ก็คือ ขั้นตอนที่เป็นวงจรมหาทักษา (คู่ธาตุ) นี่เอง

ธาตุนามธรรมที่เข้ามาสู่ระบบการเปลี่ยนแปลงของโลกสายนี้ จะเปลี่ยนระดับ (ภูมิ) ไปตามพลังงานธาตุที่ถูกชักนำโดยอิทธิพลของโลกหลายลำดับขั้น แต่จะมีขั้นตอนซึ่งธาตุจะมีสถานะเท่ากับธาตุละเอียดตรงกันกับธาตุจากจักรวาล ซึ่งทำให้แลกเปลี่ยนในดวงชะตาได้ ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญ คือ ทักษาคู่ธาตุ เพราะวงจรธาตุในตำแหน่งนี้ เราอาจจะแปลงภูมิธาตุไปสู่ธาตุในระบบอื่นได้เท่าเทียมกัน เช่น หากเราแปลงพฤหัสในมหาทักษาไปสู่ดวงชะตา หรือธรรมชาติของนามธรรมอื่นในรูปวัตถุ ก็สามารถใช้ธาตุพฤหัสอ่านความหมายได้เลยจนดูเหมือนเป็นธาตุเดียวกัน แต่มีธาตุหลายอย่างที่ผิดแผกจากกัน เช่น ราหู และจันทร์ จึงมักจะแตกต่างกันระหว่างวิชาที่ยึดภูมิธาตุเป็นฐานคนละระดับ ซึ่งทำให้พวกเราบางคนที่ไม่ทราบข้อแตกต่างระหว่างธาตุจากแหล่งต่างๆ อาจจะใช้ผิดหรือเกินเลยไปได้เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นธาตุอย่างเดียวกันทั้งหมด ที่ควรระวังมากที่สุดก็คือ ราหู เนื่องจากราหูในแต่ละวิชามักจะแตกต่างกัน

ดังนั้น ทักษาคู่ธาตุจึงเป็นส่วนหนึ่งในมหาทักษา และมหาทักษาก็เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของระบบธาตุในธรณีเท่านั้น ยังมีส่วนประกอบคือที่สำคัญอื่นๆอีกมาก โดยเฉพาะวงจรทักษาแบบอื่นๆ ซึ่งกลายเป็นความลับ หรือเคล็ดลับที่ใช้กัน แต่บางครั้ง “ลับ” เพราะเป็นของปลอมก็มี โดยเฉพาะวงจรธาตุบางอย่างไม่ใช่ธาตุในธรณี แต่ก็มี 8 ภูมิได้ด้วยเช่นกัน ทำให้เข้าใจไปว่าเป็นมหาทักษา ในทักษาคู่ธาตุเองแต่ละช่องนั้นยังมีภูมิธาตุที่สูงต่ำหลายชั้น ดังนั้น ในขณะเดียวกันธาตุในแต่ละช่องจึงอาจจะมีภูมิธาตุที่ไม่เสมอกัน มักจะมีผู้ใช้วงจรมหาทักษา กับ ทักษาคู่ธาตุสับสนกันอยู่เสมอ โดยเฉพาะการกำหนดวาร (วัน)เกิด ที่แนะนำกันให้ใช้ราหูแทนพุธกลางคืน และการนับทักษาถึงอาทิตย์แล้วเข้าตากลางกับไม่เข้าตากลาง ดังนั้น เราจะกลับไปดูข้อกำหนดในวิชามหาทักษาสักหน่อย เพื่อให้รู้ว่ามาจากเหตุผลอะไร

โดยทั่วไป เราทราบว่าทักษามี 8 ภูมิธาตุ คือ ๑ ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ ๖ แล้วก็มีตากลางอีกหนึ่งเป็น 9 ช่อง เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจคลาดเคลื่อนทำให้สับสนในการใช้มหาทักษามาก เนื่องจากโลกรับธาตุจากดวงอาทิตย์เข้ามาหมุนเวียน ในกรอบธรรมชาติของจักรวาล จึงไม่มีตากลาง ที่เราเห็นตากลางเป็นเพียงเส้นตัดกันสี่เหลี่ยมเท่านั้นเอง ไม่มีความหมายอะไร แต่ภูมิทักษาที่เราเห็นนั้น มีที่ว่างซึ่งไม่ได้แสดงให้ไว้ระหว่าง ๑ อาทิตย์ กับ ๒ จันทร์ คือโลก (ถือว่ากลม) ซึ่งในกรอบธรรมชาติของโลก เมื่อธาตุเริ่มเข้าสู่โลกแล้วเปลี่ยนภูมิจะเป็น ธรณี (ถือว่าแบน) การเรียงลำดับของธรณี กับ อาทิตย์ และจันทร์ในโหราศาสตร์จันทรคติทั่วไป จะเป็น ๑ – ธรณี – ๒ ซึ่งเขาจะไม่เขียนไว้ในทักษา เพราะธรณีไม่ใช่ภูมิธาตุเหมือนช่องอื่น จึงยืมเอาตากลางมาใช้เป็นธรณี ซึ่งจะต้องเข้าใจว่า ธรณีที่กำหนดใช้ตากลางนั้นตำแหน่งของมันไม่ได้สัมพันธ์กับกับธาตุอื่นๆโดยรอบ แต่เกี่ยวกับ ๑ และ ๒ เท่านั้น เพราะกระแสธาตุยังเป็นลำดับเชิงเส้น (เหมือนเช่นราศีจักร) นี่เป็นเหตุให้การนับทักษาจร โดยตามกระแสธาตุเมื่อเข้าสู่ ๑ อาทิตย์ จึงนับเข้าตากลางเพราะเป็น ธรณี เมื่อออกจากธรณี จึงเข้าภูมิจันทร์ต่อไป ธรณีนั้นถือเป็นโลกซึ่งมีธาตุอยู่หลายชนิด ไม่ใช่ธาตุใดธาตุหนึ่ง ดังนั้น เมื่อทักษาตกภูมิกลาง หรือตกธรณี จึงถือว่าภูมิธาตุเป็นกลาง

ต่างจากการพิจารณา ตัวเรา ซึ่งในกรอบดวงชะตาถือเป็น โลก (อยู่บนโลก) ทักษาคู่ธาตุนั้นเป็นคุณสมบัติของตัวเรา เมื่อเราอยู่ตรงกลางจึงยืมตากลางมาใช้ ตัวเราจะสัมพันธ์กับภูมิธาตุทั้ง 8 ของทักษาคู่ธาตุ ดังนั้น ในการใช้ทักษาคู่ธาตุ เพื่อดูธาตุ จึงไม่มีตำแหน่งธรณี เพราะธรณีนั้นอยู่ที่ตัวเราอยู่แล้ว พูดง่ายๆว่า ทักษาเดิมนั้นอ่าน ภูมิธาตุ 8 ธาตุ เป็นคุณสมบัติของเรา รวมทั้งเทวดาเสวยอายุ ก็อยู่ในภูมิ 8 ธาตุนี้ ส่วนทักษาจรอ่านตามกระแสธาตุ เมื่อผ่านอาทิตย์ควรจะเข้าธรณี เหตุที่เมื่อภูมิทักษาเข้าสู่ธรณี ซึ่งถือเป็นภูมิธาตุเป็นกลาง จึงใช้พฤหัสแทนภูมิกลาง เพราะพฤหัสมีธรรมชาติที่เป็นกลางๆ ซึ่งเรามักแทนความยุติธรรม พฤหัสยังจรในอัตราราศีละหนึ่งปีเท่ากับอายุประจำปี และยังเป็นสภาวะธาตุดินที่เป็นวัตถุธาตุส่วนใหญ่ของธรณี (โลก)

หากเราเรียงลำดับธาตุในธรณีตามภูมิทักษาคู่ธาตุให้ครบ แล้วจัดใหม่รูปใหม่ทั้ง 9 ภูมิ ดังนี้

๑.......ธรณี.......๒

๖....................๓

๘....................๔

๕......(ธรณี).....๗

ในผังธาตุนี้ เป็นของสภาวะธาตุ ลำดับ ลม-น้ำ-ไฟ-ดิน เหมือนสภาวะธาตุของราศีในดวงชะตา เพราะได้มาจากแหล่งอันเดียวกันคือกรอบของสุริยจักรวาล เราจะเห็นว่า คู่ธาตุ ๑๗ ๖๔ ๘๓ ๕๒ เล็งยันกันอยู่ คนละฟากของธรณี เรียกแนวแบ่งนี้ว่า “แกนธรณี” เมื่อถือว่าโลกอยู่กับที่ (โดยข้อเท็จจริงโลกหมุนไป)เมื่อมองจากตัวเราบนโลก ธรณีจะเป็นเหมือนแผ่นแบนที่หันสันข้างมาทางเรา ธาตุทั้งหมดจะควงรอบแกนธรณีในช่วงกลางวันและกลางคืนสลับกัน ธาตุที่เป็นคู่หมุนควงรอบแกนธรณี คือ ๑๒ ๖๓ ๘๔ ๕๗ จึงถือว่าควงซ้อนทับกัน การเข้าทักษาจากวารเกิด มีเพียง 7 วัน ไม่มีราหู เราจึงใช้พุธกลางคืนแทนราหูได้ หาก ๔ อยู่กลางวัน ๘ ก็จะอยู่อีกฟากหนึ่ง กลางคืนพุธก็จะหมุนไปทับตำแหน่งราหู หรือ เราอาจจะแปลได้ว่า จันทร์ก็คืออาทิตย์ภาคกลางคืน ในทำนองเดียวกัน แต่ไม่ได้หมายความว่า กลุ่มธาตุข้างหนึ่งเป็นกลางวัน อีกข้างหนึ่งเป็นกลางคืน ทั้งนี้เพราะโดยทั่วไป ดาวคู่ที่หมุนรอบแกนธรณีจะมีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายกัน ซึ่งจะยกเอาไปกล่าวถึงภายหลังในเรื่องของดาวคู่ แต่การใช้พุธกลางคืนแทนราหูนี้ มักใช้ในทางโหราศาสตร์จันทรคติ หากใช้ทางสุริยคติในราศีจักรก็ไม่จำเป็น เพราะเป็นธาตุต่างระบบ ไม่จำเป็นที่ต้องใช้ธาตุราหูจันทรคติซึ่งหมุนรอบแกนธรณีมาเกี่ยวข้องด้วย

ธาตุที่ควงรอบแกนธรณีนี้ เป็นหลักอย่างหนึ่งของทางโหราศาสตร์จันทรคติ ใช้ดูนิสัยใจคอไปจนถึงวัยได้ แต่ก็มีคนลักไก่เอาคุณสมบัติหลายประการของธาตุเหล่านี้มาใช้ในโหราศาสตร์ราศีจักร โดยไม่ได้บอกที่มา และเงื่อนไข ในคราวหน้าจะเอาคุณสมบัติของธาตุบางอย่างที่ได้จากทักษามากล่าวถึงอีกครั้ง


วรกุล - 31 พฤษภาคม พ.ศ.2550 04:46น. (IP: 203.155.229.40)

ความคิดเห็นที่ 2
เรียนถามอาจารย์เรื่องดาวถึงกัน ดาวสัมพันธ์กัน เช่น ดาวกุมกัน-เล็งกัน-โยกกัน-ตรีโกณกัน-จตุโกณกัน มีเท่านี้ใช่ไหมค่ะ หรือว่า มีอย่างอื่นที่มากกว่านี้ไหมค่ะอาจารย์

แล้วความหมายของดาวสัมพันธ์กัน ก็จะส่งผลดีต่อกันใช่ไหมค่ะ

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


ดาหวัน - 31 พฤษภาคม พ.ศ.2550 21:57น. (IP: 58.9.29.250)

ความคิดเห็นที่ 3
ตอบคุณ ดาหวัน (ความเห็นที่ 2) ...........คำว่า “ดาวถึงกัน” กับ “ดาวสัมพันธ์กัน” อาจจะใช้สับสนทำให้เข้าใจผิดได้นะครับ “ดาวถึงกัน” นั้นมีบางอย่างที่ link กัน่งาดห.=.shg-hk.0zbfwfh อยู่ ไม่ว่าจะเป็น ธาตุ พลังงาน กำลัง หรือ เรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่ง ส่วน “ดาวสัมพันธ์” กันนั้น เป็นความสัมพันธ์ที่อาจจะเกิดจากธรรมชาติ หรือ เกิดจากปัจจัยอื่นมาทำให้สัมพันธ์กันก็ได้ อย่างเช่นเราเป็นคนไทย แม้อยู่คนละประเทศก็เรียกว่า “สัมพันธ์กัน” ทางเชื้อชาติ แต่ “ไม่ถึงกัน” เพราะไม่รู้จักมักจี่กันเลย

การ “กุม เล็ง โยค ตรีโกณ จตุโกณ” เรียกว่าเกณฑ์สัมพันธ์ระหว่างดาวและปัจจัย(ที่ไม่ใช่ดาว) เป็นเพียงเกณฑ์ทั่วไปเท่านั้นครับ มักใช้กับปัจจัยที่สถิตอยู่กับที่ ยังมีเกณฑ์อีกมากมายที่เป็นเกณฑ์เฉพาะของดาวแต่ละดวง (ในทางดี และทางไม่ดี) เกณฑ์เนื่องจากราศี เกณฑ์เนื่องจากเกษตรเรือน เกณฑ์เนื่องจากการเคลื่อนที่ เกณฑ์เนื่องจากพลังงาน เกณฑ์เนื่องจากสมดุลของสภาวะธาตุ ฯลฯ นอกจากนี้ยังมีเกณฑ์ที่ทวีตามจำนวนปัจจัย เช่น ปัจจัยเดียว(เช่นดาวเดียว) สองปัจจัย หลายปัจจัย (ปัจจัยกลุ่ม) ในโหราศาสตร์ระบบอื่น เช่นรังสีดาว อาจจะมีอีกหลายสิบแบบ ในโหราศาสตร์ภาระตะก็มี “โยค” (ไม่ได้หมายถึงโยคแบบไทย) อยู่หลายพันแบบ เป็นต้น

โหราศาสตร์ไทยทั่วไปที่เราใช้ “กุม เล็ง โยค ตรีโกณ จตุโกณ” ก็เพราะเป็นเกณฑ์สัมพันธ์ทั่วไปที่เห็นชัด ส่งผลได้ทั้งดีหรือไม่ดีครับ หรืออาจจะดีก่อนไม่ดีทีหลัง หรือไม่ดีก่อนแล้วดีทีหลัง ฯลฯ ได้มากมาย เพราะตัวความสัมพันธ์นั้นเป็นเพียง “เครื่องมือ” ที่จะดึงเอา “สิ่ง” ที่สัมพันธ์กันนั้น เข้ามาหากัน ส่วนเมื่อหากันแล้วจะดีกัน หรือทะเลาะกัน มันไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรง เพียงแต่ตัวเกณฑ์นั้นอาจจะมีผลต่อความสัมพันธ์บ้าง เช่น รถยนต์สองคันวิ่งด้วยความเร็วสูงทั้งคู่ หากใช้ถนน “เล็ง” เข้าหากัน โอกาสที่รถจะประสานงากันตรงๆก็มีมาก เกิดเป็นผลเสียมากกว่าผลดี อะไรแบบนี้ แต่ก็ไม่แน่นอนเสมอไปครับ

โหราศาสตร์ไทยในระดับสูงขึ้นมา จะใช้เกณฑ์เฉพาะของดาวแต่ละดวง เรือนเกณฑ์ และ เรือนเกษตร ร่วมด้วย รวมทั้งเกณฑ์ดาวเคลื่อนที่เช่น พักร มนฑ์ เสริด ดาวจรเข้า ดาวจรจากไป ดาวเบียน และความสัมพันธ์ในกรอบธรรมชาติต่างๆ เป็นต้น เหล่านี้ แต่ต้องใช้โดยมีพื้นฐานความเข้าใจเงื่อนไขของปัจจัยแต่ละอย่างที่ไม่ใช่เกณฑ์ทั่วไปเท่านั้น


วรกุล - 1 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:33น. (IP: 203.155.228.21)

ความคิดเห็นที่ 4
เรียนถามอาจารย์วรกุล ”เรื่องตำแหน่งจุดจอมฟ้า” ครับ ตามที่ผมรู้มาคร่าวๆว่าเนื่องจากประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรดังนั้นจุดจอมฟ้าจึงตั้งฉากกับลัคนา.. ผมมีความสงสัยคำว่า “ฉาก”( 90 อาศา หรือ 270 อาศา) มันเป็นมุมฉาก 90องศาบวกลบศูนย์ (tolerance =0 ) หรือเป็นค่าประมาณคร่าวๆเท่านั้น และหากต้องรู้ตำแหน่งจุดจอมฟ้าจริงๆ กรณีคนเกิดกรุงเทพ เราต้องนำตัวเลขกี่องศาไปบวกกับองศาลัคนาครับ และหากเกิดที่กรุงเทพที่เดียวกันและเวลาเดียวกันแต่เกิดต่างฤดูกัน ตำแหน่งองศาของจุดจอมฟ้าจะต่างกันหรือไม่ครับ


ศ.fa200 - 1 มิถุนายน พ.ศ.2550 23:45น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 5
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 4) ........... ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่า “จุดจอมฟ้า” เป็นของโหราศาสตร์ที่ใช้ตำแหน่งปัจจัยทางดาราศาสตร์ การหาจุดจอมฟ้าเราต้องหาลัคนามาก่อน ดังนั้น หากหาลัคนาโดยใช้เวลานักษัตร ซึ่งสอดคล้องกับปฏิทินที่ใช้เวลานักษัตรเหมือนกันจะไม่มีปัญหา การหาจุดจอมฟ้าก็ทำโดยการบวกองศาลัคนาด้วย 270 องศา และนิยมให้ค่าผิดพลาดราว 3 – 5 องศา (บวก/ลบ 3 องศา) กรณีเกิดที่กรุงเทพ หรือที่ใดก็ไม่ต้องกังวล เพราะเวลานักษัตร ณ ตำบลที่เกิด นั้นมาจากวงกลมฟ้าซึ่งใช้อ้างอิงอันเดียวกัน หากเกิดที่กรุงเทพต่างเวลา(ฤดู เดือน ฯลฯ) กัน เวลานักษัตรจะแตกต่างกันเนื่องจากการแกว่งของแกนโลก จึงเป็นผลให้จุดจอมฟ้าย่อมแตกต่างกันไปด้วย

แต่ในกรณีที่บางท่านนำจุดจอมฟ้ามาใช้ในโหราศาสตร์ไทย มักกำหนดตามเรือนภวจักร ก็บวก 270 องศาเช่นกัน แต่เป็นการใช้วงกลมสมมุติที่ลากผ่านตำบลเกิด จึงต้องเข้าใจวงกลมสมมุติที่ลากผ่านที่ตั้งตำบลที่เกิดว่าไม่ใช่วงกลมที่เส้นศูนย์สูตร หากคุณใช้วงกลมที่เส้นศูนย์สูตร ก็จะงงเพราะแต่ละตำแหน่งบนพื้นโลกจะเบี่ยงเบนไปจากเส้นศูนย์สูตรไม่มากก็น้อย แต่วงกลมที่เส้นศูนย์สูตรก็ยังเบี่ยงเบนออกไปจากระนาบวงกลมที่ใช้เทียบเวลานักษัตร แบบนี้ไม่ต้องให้ข้อผิดพลาด และมักใช้เวลาอาทิตย์อุทัยท้องถิ่นมาหาลัคนา ซึ่งไม่ตรงกันตลอดทั้งปี จุดจอมฟ้าก็ยังคงแตกต่างไปตามลัคนาด้วยเช่นกันครับ


วรกุล - 2 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:11น. (IP: 203.155.228.208)

ความคิดเห็นที่ 6
ขอบพระคุณ อ.วรกุล สำหรับคำแนะนำกระทู้ที่แล้วครับ…

ผมอ่านเรื่อง มหาทักษา ข้างบนนั้นแล้วมีข้อสังสัยครับว่าจำเป็นต้องทราบแผนผังภูมิมหาทักษา, ทิศนามธรรม ไว้ในใจก่อนอ่านหรือไม่ครับ ผมเข้าใจว่า อ.วรกุลอธิบายการส่ง ธาตุ พลังงาน จากดวงอาทิตย์ลงมายังโลก เราอาจจะพิจารณาได้ 2 ลักษณะตามวิธีทางโหราศาสตร์ คือ

1.) ดวงราศีจักร(จะมีระบบธาตุในชั้นบรรยากาศเข้ามาเกี่ยวข้อง) ในบทความนี้เป็นตัวเปรียบเทียบ จึงไม่กล่าวต่อ และ

2.) มหาทักษา (มองตามระนาบแบนๆ ) นี่คือที่เรากำลังศึกษา

ข้อสงสัย เพราะอะไร จึงเริ่มที่ทิศตะวันออกภูมิจันทร์(ในมหาทักษา)ครับ ในเมื่อทิศมหาทักษา เป็นทิศนามธรรม

หรือว่า เนื่องจากเป็นคำอธิบายคู่กับ ดวงชะตาราศีจักร( ลัคนาทางทิศตะวันออก แล้วโลกม้วนรับกระแสธาตุ)

หรือว่า เทียบจากของจริง และมองว่าจันทร์ความหมายทางนามธรรม คือ เริ่มต้นแพร่ออกไป ครับ เลยเป็นภูมิครับ


หนูน้อย - 3 มิถุนายน พ.ศ.2550 12:40น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 7
สวัสดีค่ะอ.วรกุล

หนูไม่ได้แวะเข้ามาที่เว็บบอร์ดนี้เกือบปีพอแวะเข้ามาก็มีเรื่องรบกวนอ. หนูเคยเข้ามาขอคำชี้แนะจากอ.เรื่องเรียนทำอาหารและเรียนป.ตรี ขณะนี้หนูเรียนจบแล้วทั้งสองอย่างด้านอาหารก็ทำงานมาได้เกือบปีแล้วแต่ทำได้สองที่ระยะเวลาก็แค่สั้นๆ ที่นานสุดเกือบ1/2ปี เริ่มแรกหนูได้เป็นกุ๊กต่อมาได้เป็นผจก.ร้านอาหาร ตอนนี้ตกงานมาได้หลายเดือนแล้ว ต้นปีไปดูดวงกับอ.ท่านหนี่งท่านว่าดวงงานหนูจะหมดเดือนก.พ. อันนี้จริงมั๊ยค่ะ เพราะหลายเดือนที่ผ่านมามีแต่คนเรียกสัมภาษณ์แต่ก็ไม่ได้งานหนูไม่รู้เพราะอะไรทั้งๆที่เค้าบอกว่าคุณสมบัติหนูเหมาะสม หนูกลุ้มใจและเครียดมาก ทุกวันนี้ได้แต่เข้าหาธรรมะ ปฏิบัติธรรมตลอด รบกวนอ.แนะนำหนูด้วยค่ะ หนูเกิด29 มกราคม 2511 เวลา06.00น. เช้า กทม.ค่ะ


หมวย - 4 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:43น. (IP: 203.113.34.11)

ความคิดเห็นที่ 8
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 6) ...........คำว่า “มองว่า” อะไรเป็นอะไรแล้วเลยตั้งให้เป็นภูมิอะไรอย่างนั้นไม่ถูกครับ ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นการสมมุติแบบเลื่อนลอย ความจริงการกำหนดทิศหรืออะไรก็ตามมีหลักการคิด ของวิชา ซึ่งต้องอิงของจริง มิฉะนั้นสมมุติไปแล้วไม่ตรงกับธรรมชาติแล้วจะเอามาใช้พยากรณ์ได้อย่างไร โหราศาสตร์มีข้อกำหนดจากสมมุติฐานในแต่ละวิชาที่วางหลักจากธรรมชาติที่พบเห็น ที่เราสมมุติก็เพื่อให้สามารถพัฒนาความคิดต่ออย่างเป็นระบบได้ เหมือนกับเรากำหนดมาตราเงินหรือมาตราวัดความยาว เป็นต้น

ทักษาเริ่มที่จันทร์ ซึ่งเป็นหลักอ้างอิงของวงรอบโหราศาสตร์จันทรคติ เมื่อเทียบกับโลก (ธรณี) ที่หมุนไปรับธาตุจึงตรงกับทิศตะวันออก (อาทิตย์เบี่ยงจากตะวันออกไปทางเหนือเล็กน้อย) ทิศภูมิศาสตร์นั้นมาภายหลังการกำหนดทิศทางของธาตุนั่นเอง เราจะไม่เรียกทิศทางภูมิศาสตร์เลยก็ได้ เพราะไม่ใช่สาระสำคัญของทักษา เว้นแต่หากจะต้องใช้ทิศ ก็อาจเรียกทิศตามภูมิจันทร์ อังคาร ฯลฯ ว่าทิศจันทร์ ทิศอังคาร ซึ่งทำให้เข้าใจยากกว่าการเรียกตามภูมิศาสตร์ ทิศภูมิศาสตร์นั้นเป็นเพียงทิศที่เป็นการเทียบกับธาตุที่เข้าสู่ธรณีเท่านั้น ความสำคัญอยู่ที่ภูมิธาตุของแต่ละคน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับทิศ เรื่องทักษามีความสำคัญ ซึ่งยังไม่อยากอธิบายรายละเอียด แต่จะผ่านเพื่อกลับไปดูราศีจักร เพราะยังมีเรื่องอีกยาวที่ต้องกล่าวถึงมากครับ


วรกุล - 5 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:40น. (IP: 203.155.228.27)

ความคิดเห็นที่ 9
ขอบพระคุณครับ อ.วรกุล...


หนูน้อย - 5 มิถุนายน พ.ศ.2550 08:04น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 10
รบกวนเรียนถามอาจารย์ครับว่า โดยทั่วไปแล้วเราไม่ควรประกอบอาชีพตามดาวในดวงกำเนิดที่เป็นนิจ เป็นประ ใช่ไหมครับ ขอบพนะคูณครับ


หนึ่ง - 5 มิถุนายน พ.ศ.2550 15:48น. (IP: 210.246.80.101)

ความคิดเห็นที่ 11
ตอบคุณ หมวย (ความเห็นที่ 7) ...........ผมไม่มีเวลามากนัก ทุกวันนี้ที่พิมพ์ข้อเขียนและโพสต์ข้อความก็ยังต้องวานเด็ก(หลานๆ)ทำให้ มีแนวโน้มว่าจะไม่ว่างเข้ามาโพสต์ไม่ได้ในอีกเดือนสองเดือนข้างหน้านี้ ให้เด็กค้นดูแล้ว ครั้งก่อนคุณเคยเข้ามาให้ทำนายดวงชะตาก็บอกแล้วว่าไม่รับทำนาย ควรไปถามที่พยากรณ์เราได้ใกล้เคียง เราจะได้ตามถามเขาไปบ่อยๆ ดวงคุณทำงานพวกรับจ้างเขาไม่อยู่คงทนอยุ่แล้ว เป็นเหตุให้หน้าที่การงานที่ทำอยู่ไม่มั่นคง ดวงงานในหน้าที่แบบนี้จะอับอยู่ในช่วง 2 – 3 ปีข้างหน้า ถึงได้งานก็ยังเข้าๆออกๆอยู่ แต่ถ้าทำอะไรส่วนตัว หรือทำงานเล็กๆหน่อยจะไปได้ พอพ้น 2 – 3 ปีแล้วค่อยหางานหลักทำใหม่ แต่มีทางเลือกที่ดีกว่าคือลองสมัครงานไปอยุ่ไกลบ้านหน่อย แบบเชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต หรือไปต่างประเทศแบบ เวียตนาม มาเลเซีย เลย แม้ไม่ค่อยสะดวกสบายแต่จะไปได้ดีกว่าครับ


วรกุล - 5 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:29น. (IP: 203.155.228.196)

ความคิดเห็นที่ 12
ตอบคุณ หนึ่ง (ความเห็นที่ 10) ...........ถ้าโดย “ทั่วไป” ก็ไม่ควรประกอบอาชีพตามดาวในดวงกำเนิดที่เป็นนิจ เป็นประถูกแล้วครับ แต่ส่วนมากหากดาวเหล่านี้มาเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรือนกัมมะ ลาภะ กดุมภะ ที่เราทำมาหากินทำอาชีพของเรามักจะหลีกเลี่ยงได้ยาก แม้จะไม่ไปประกอบอาชีพโดยตรงมันก็มักจะมาพัวพันเกี่ยวข้องด้วยเสมอ พวกหน้าที่การงานบางทีก็ถูกบังคับโยกย้ายไปเกี่ยวกับมันจนได้ จะลาออกหนีไปก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ส่วนมักเราจึงมักหลีกเลี่ยงโดยไม่ใช้มันเป็นสิ่งหลักของงาน เช่น สมมุติ ๑ นิจประ มีแนวโน้มว่ายศตำแหน่งจะไม่ดี ก็ไม่ควรเป็นทหาร ข้าราชการ พนักงานบริษัทเพราะแป้กง่าย ก็หันไปเป็นพ่อค้าทำธุรกิจ แม้ไม่มียศศักดิ์ แต่เจริญได้ อย่าไปทำธุรกิจเกี่ยวกับอาทิตย์โดยตรง เช่น ขายเชื้อเพลิง ทองคำ ของมีค่า ไม่ไปประมูลงานราชการ ฯลฯ เท่านั้น แต่ก็มีดวงบางคนได้ประโยชน์จากดาวนิจประดีเลิศได้เหมือนกัน เป็นที่ดวงเฉพาะแต่ละคนครับ


วรกุล - 6 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:22น. (IP: 203.155.228.128)

ความคิดเห็นที่ 13
กราบอาจารย์วรกุลครับ

ตอนแรกพอตั้งคำถามไปแล้ว มาคิดอีกทีว่าตั้งคำถามแบบนี้กลัวจะถูกอาจารย์ดุเอาอีก (เพราะกลัวถูกดุว่าต้องไปศึกษามาเองก่อน แต่ผมพยายามศึกแล้วครับ แต่โชคไม่ดีที่ไม่มีอาจารย์สอนที่กิจจะลักษณะ เวลามีปัญหาจึงต้องพึ่ง e-teacher เลยดูเหมือนไม่ค่อยช่วยตัวเองก่อน) เมื่อเช้าคิดว่าจะมาบอกเลิกคำถาม อารมณ์ผมไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวครับ เศร้าๆยังไงไม่ทราบ

คราวนี้ผมดีใจมากที่ได้รับคำตอบ ต้องกราบขอบพระคุณจากใจจริงครับ อาจารย์ตอบผมสุดยอดจริงๆครับ เพราะอาจารย์ตอบเหมือนตาเห็นมองทะลุปรุโปร่ง ผมลัคน์ตุลย์ มีเจ้าเรือนกัมมะ(๒)เป็นนิจ ผมพยายามเลี่ยงที่จะไม่ทำงานด้านการเงิน การบัญชี แต่ก็หนีไม่พ้น ไม่ว่าจะทำอะไร จะต้องมาลงที่ให้ผมดูแลเรื่องบัญชีต่างๆ อยู่เรื่อย หรือแม้กระทั่งเคยเปิดร้านอาหารด้วยซ้ำ แต่ไม่ว่าจะเปิดร้านอาหาร หรือทำงานด้านการบัญชี งานมันก็ไม่รุ่งเรืองหรือเป็นใหญ่เป็นโตในหน้าที่การงานครับ คือทำได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ร้านอาหารทำแล้วก็เจ๊ง ผมพยายามทำงานตามดาวที่เด่นที่สุดในดวงคือพุธ(๔)กุมอาทิตย์(๑)ในราศีกันย์ แต่มันก็ไปอยู่เรือนวินาสน์ซะอีก ก็ต้องทำแบบเป็นเบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น งานแปลและเขียนวิจัยพวกนักวิชาการทำ ศจ. รศ. ฯลฯ พวกเขาได้ทั้งซองทั้งกล่องได้ยศได้ตำแหน่งได้ไปแสดงผลงานต่างประเทศโดยที่ผมเป็นผู้ทำวิจัยเขียนวิจัยให้แท้ๆ แต่ผมก็ได้ค่าตอบแทนนิดหน่อยเท่านั้น

อาจารย์ตอบเหมือนตาเห็นชีวิตผมจริงๆ ผมอ่านแล้วอึ้งมากๆครับ กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับ


หนึ่ง - 6 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:40น. (IP: 210.246.80.24)

ความคิดเห็นที่ 14
เรียนถาม อจ วรกุล ครับ

ผม เกิดสงสัยครับว่า ดาวที่ สัมพันธืถึงกันนี่ นอกจาก พวกมุมต่างๆแล้ว มันจะถึงกัน ผ่านเกษตรตัวเดียวกันได้รึเปล่าครับ เช่น ๗ ในราศีพิจิก และ ๘ ในราศีเมษ ถ้ามันสัมพันธืถึงกันได้ มันจะสัมพันธ์กันในสภาพไหนหรือครับ จะเหมือนดาวกุมกันเลยรึเปล่าครับ จะเรียกว่า "คู่มิตร" ได้เลยมั้ยครับ

ไม่ทราบอจ เคยตอบอธิบายใครแล้วรึยัง แต่ผมขอรบกวน อจ หน่อยน่ะครับ

ขอบพระคุณ ครับ


แบงค์ - 7 มิถุนายน พ.ศ.2550 00:43น. (IP: 124.121.2.139)

ความคิดเห็นที่ 15
ตอบคุณ หนึ่ง (ความเห็นที่ 13) ...........ดาวตามที่เล่ามา ๔ อุจ+ ๑ โยคหลัง ๒นิจ อยู่ ๒ นิจไม่เสียนะครับ เพียงแต่อย่าจับ ๒ เป็นงานหลัก และตำแหน่งก็ไม่ดี มีคนดูหมิ่นบ้าง แต่ถ้า ๒ เป็นงานรอง ก็อย่าหลบ จะเกิดผลดีได้ ปกติใครถามผมก็ตอบให้ทุกคน เว้นแต่ที่เคยเขียนไปแล้วแบบยาวๆ ก็แนะให้กลับไปอ่านก่อนมาถามเพิ่มเติมเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็จะเขียนวกเวียนอยู่ที่เบื้องต้นไม่ต้องคืบหน้าไปไหนเลย คำถามของคุณก็เป็นคำถามที่ดี แม้จะถามกว้างๆ เวลาเราถามอะไรกับใครเราควรคิดมาก่อนบ้างแล้วจึงถาม นี่เป็นหลักที่ผมยึดมาตลอด แม้การศึกษาธรรมะก็เช่นกัน ครูสอนแล้ว ผมคิดและลองปฏิบัติอยู่เป็นปีก่อนจะไปถามครูสักคำหนึ่ง ฟังคำถามก็จะรู้เลยว่าปฏิบัติตามท่านแล้วจึงถาม ครูอาจารย์ท่านมีอะไร ท่านจึงเต็มใจให้เราจนหมด การที่เราคิดมาก่อนนั้น เวลาครูอาจารย์จะบอกอะไรแก่เรามันก็จะง่าย เราจะเข้าใจเร็วแล้วถามต่อได้เลย 000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบงค์ (ความเห็นที่ 14) ...........ดาวที่อยู่ในเรือนเกษตรเดียวกันคนละราศีถึงกันได้ คล้ายอยู่ในราศีเดียวกันครับ แต่ไม่เหมือนกับกุมกัน เพียงแต่จะถึงกันผ่านธาตุของเกษตรเจ้าเรือน ดังนั้น เราจึงอ่านประกอบเรื่องได้เป็นส่วนขยาย ทั้งทางเรือนและทางดาว หากอ่าน ๗ ก็เอา ๘ เป็นส่วนขยาย หากอ่าน ๘ ก็เอา ๗ เป็นส่วนขยาย การอ่านเป็นคู่มิตรก็ทำได้ ทั้งเรื่องทางดีและทางเสีย ให้ความหมายคู่มิตรว่า ช่วยเหลือกัน ชอบพอกัน หรือ เกิดจากเพื่อนฝูงก็เป็นได้ อย่างเช่น ลัคน์ธนู ๘ สหัชชะอยู่ปุตตะเป็นนิจ + ๗ กดุมภะวินาสน์ อาจจะชอบคบเพื่อนหรือ สังคมที่ชอบเล่นการพนัน หรือกีฬาโลดโผน มีส่วนทำให้เดือดร้อนเสียเงินทอง เป็นหนี้สิน หรือหยิบยืมกันบ่อยครั้ง อะไรทำนองนี้


วรกุล - 7 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:38น. (IP: 203.155.228.24)

ความคิดเห็นที่ 16
ขอบคุณ อจ มากครับ

(- -") ตัวอย่างที่ยกมา คงไม่เกี่ยวกะผมน่ะฮะ ผมร้อนตัวคับ อิอิ


แบงค์ - 7 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:19น. (IP: 124.121.2.139)

ความคิดเห็นที่ 17
เรียนถามอาจารย์วรกุล เรื่องการพยากรณ์วัยครับ ตามที่ทราบมาการพยากรณ์เพื่อบอกความเป็นไปของชีวิตกว้างๆหรือที่เรียกว่าการพยากรณ์วัยนั้นมีอยู่หลายแบบ.. แบบที่ดูเหมือนว่าจะได้รับการเขียนถึงมากที่สุดคือการพยากรณ์โดยใช้”ตรีวัย” และก็ยังมีการพยากรณ์วัยอีกหลายๆแบบที่ไม่มีในหนังสือโหราศาสตร์ที่จำหน่ายทั่วไป....”การพยากรณ์วัยโดยใช้ตำแหน่งอาทิตย์ในดวงเดิมจรไปรอบจักรราศีตามอัตราการจรที่แน่นอนอันหนึ่ง” ก็ดูเหมือนจะเป็นการพยากรณ์วัยอีกแบบหนึ่งเหมือนกันใช่หรือไม่ครับ รบกวนอาจารย์ช่วยเปิดทัศนะด้วยครับ.


ศ.fa200 - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 00:43น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 18
อาจารย์คะ ถ้าเจ้าเรือนปุตตะและมรณะ (ดาวดวงเดียวกัน) กุมลัคนาจะเป็นอย่างไรคะ อ่านไม่ออกค่ะ เป็นทั้งเริ่มต้นและสิ้นสุด ขอความกรุณาอาจารย์ด้วยค่ะ


ดาว - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 03:17น. (IP: 58.8.6.99)

ความคิดเห็นที่ 19
กราบขอบพระคุณอย่างสูงครับอาจารย์ ขอบพระคุณทั้งหมดที่อาจารย์กรุณาเขียนตอบรวมถึงหลักในการเรียนรู้ด้วยครับ ผมไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า จันทร์(๒)ของผมไม่เสีย เพราะไม่เคยมีหมอดูคนไหนบอกผมมาก่อน ผมเกลียดจันทร์นิจของผมมาตลอดครับ ผมเรียนบัญชีก็เพราะถูกคุณแม่บังคับ ซึ่งผมเกลียดบัญชีมากๆแต่ก็ต้องมาเรียน ที่จริงผมชอบภาษาศาสตร์มากกว่า พอมาตอนนี้ผมมาศึกษาโหราศาสตร์ มาอ่านตามตำราทั้งซื้อมาอ่านและอ่านในเว็บ ทั้งเว็บไทยเว็บเทศ ผมยิ่งเกลียดจันทร์นิจในดวงผมเข้าไปใหญ่ ขอบพระคุณครับ


หนึ่ง - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 08:46น. (IP: 210.246.80.102)

ความคิดเห็นที่ 20
อาจารย์ครับ พอดีผมเพิ่งได้รับคอนเฟิร์มว่าพรุ่งนี้ผมต้องไปแถวเวิ้งฯด้วย เลยแวะมาเรียนถามว่าอาจารย์เคยเขียนหนังสือโหราศาสตร์ไหมครับ บอกผมด้วยนะครับ พรุ่งนี้ผมจะมองหา


หนึ่ง - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 10:43น. (IP: 210.246.80.102)

ความคิดเห็นที่ 21
อาจารย์ค่ะ พอดีน๋ไปอ่านเจอเรื่องดวงเมืองทางภาคใต้ http://www.yala.go.th/perft/goodyala.htm มีคนทำนายกันมากมาย เลยอยากจะ

ทราบว่า อาจารย์มีความเห็นหรือข้อชี้แนะอย่างไรบ้างค่ะ โดยเฉพาะข้อความนี้

“ การอ่านดวงเมืองแบบที่ผมศึกษามานั้น จะมีการอ่านวัยจร( แน่ใจว่าใช้ศัพท์อะไรแน่) คล้ายๆทักษาเสวยอายุกี่ปีๆ ทำนองนั้น แล้วจึงไล่ปีจร เดือนจร แบบเดียวของอาจารย์อรุณ

ตั้งแต่ เดือน พค ปี ๔๔ เป็นต้นมา วัยจรไปอยุ่ที่ราศีธนู อันเป็นภพอริของดวงเมืองเดิม (ผมวางลัคนาไว้ที่ราศีกรกฏ) ปีจรปีนี้เริ่มที่ราศีเมถุนเมื่อวันที่ ๑๓ พค ๕๐ ตามระบบวรรษจักร ส่วนปีจรปีที่แล้ว ก็ตั้งตนุจรปีไว้ที่ราศีพฤษภ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ “

คือนู๋อยากจะทราบว่าการใช้วิธีการทายจรแบบนี้ใช้ได้หรือเปล่าค่ะ สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนะค่ะ ที่ให้ความรู้กับพวกนู๋เสมอมา


iamenjoy - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:00น. (IP: 58.8.11.10)

ความคิดเห็นที่ 22
อาจารย์ค่ะ พอดีน๋ไปอ่านเจอเรื่องดวงเมืองทางภาคใต้ http://www.yala.go.th/perft/goodyala.htm มีคนทำนายกันมากมาย เลยอยากจะ

ทราบว่า อาจารย์มีความเห็นหรือข้อชี้แนะอย่างไรบ้างค่ะ โดยเฉพาะข้อความนี้

“ การอ่านดวงเมืองแบบที่ผมศึกษามานั้น จะมีการอ่านวัยจร( แน่ใจว่าใช้ศัพท์อะไรแน่) คล้ายๆทักษาเสวยอายุกี่ปีๆ ทำนองนั้น แล้วจึงไล่ปีจร เดือนจร แบบเดียวของอาจารย์อรุณ

ตั้งแต่ เดือน พค ปี ๔๔ เป็นต้นมา วัยจรไปอยุ่ที่ราศีธนู อันเป็นภพอริของดวงเมืองเดิม (ผมวางลัคนาไว้ที่ราศีกรกฏ) ปีจรปีนี้เริ่มที่ราศีเมถุนเมื่อวันที่ ๑๓ พค ๕๐ ตามระบบวรรษจักร ส่วนปีจรปีที่แล้ว ก็ตั้งตนุจรปีไว้ที่ราศีพฤษภ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ “

คือนู๋อยากจะทราบว่าการใช้วิธีการทายจรแบบนี้ใช้ได้หรือเปล่าค่ะ สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนะค่ะ ที่ให้ความรู้กับพวกนู๋เสมอมา


iamenjoy - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:02น. (IP: 58.8.11.10)

ความคิดเห็นที่ 23
อาจารย์ค่ะ พอดีน๋ไปอ่านเจอเรื่องดวงเมืองทางภาคใต้ http://www.yala.go.th/perft/goodyala.htm มีคนทำนายกันมากมาย เลยอยากจะ

ทราบว่า อาจารย์มีความเห็นหรือข้อชี้แนะอย่างไรบ้างค่ะ โดยเฉพาะข้อความนี้

“ การอ่านดวงเมืองแบบที่ผมศึกษามานั้น จะมีการอ่านวัยจร( แน่ใจว่าใช้ศัพท์อะไรแน่) คล้ายๆทักษาเสวยอายุกี่ปีๆ ทำนองนั้น แล้วจึงไล่ปีจร เดือนจร แบบเดียวของอาจารย์อรุณ

ตั้งแต่ เดือน พค ปี ๔๔ เป็นต้นมา วัยจรไปอยุ่ที่ราศีธนู อันเป็นภพอริของดวงเมืองเดิม (ผมวางลัคนาไว้ที่ราศีกรกฏ) ปีจรปีนี้เริ่มที่ราศีเมถุนเมื่อวันที่ ๑๓ พค ๕๐ ตามระบบวรรษจักร ส่วนปีจรปีที่แล้ว ก็ตั้งตนุจรปีไว้ที่ราศีพฤษภ ตั้งแต่วันที่ ๑๓ “

คือนู๋อยากจะทราบว่าการใช้วิธีการทายจรแบบนี้ใช้ได้หรือเปล่าค่ะ สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณอาจารย์เป็นอย่างสูงนะค่ะ ที่ให้ความรู้กับพวกนู๋เสมอมา


iamenjoy - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:03น. (IP: 58.8.11.10)

ความคิดเห็นที่ 24
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 17) ...........เรื่องวัยเป็นเรื่องใหญ่ที่เยอะมาก และก็แตกต่างกันมากเกินไป เพราะมาจากคนละหลักคิด หากอธิบายทุกอย่างจะยาว เช่น เรื่อง “ตรีวัย” โหรรุ่นเก่าใช้กันมาก แต่ตรีวัยก็มีจุดบอดบางราศี ที่คนส่วนใหญ่จะรู้ไม่หมด เวลาเอาเรื่องวัยมาเขียนจึงต้องเขียนบางแง่มุมเท่านั้น ทำให้คนเรียนเข้าใจผิดง่าย อย่างการใช้อาทิตย์เดิม คำนวณวัยจรนั้น เฉพาะที่ใช้กันมีตั้ง 4 – 5 อย่าง แม้ อินทภาส ก็ดูวัยจากอาทิตย์ได้ หากจะแบ่งเป็นสามพวกหยาบๆ ก็จะใช้อาทิตย์ในสามลักษณะ คือ หนึ่ง อาทิตย์คือชีวิต อาทิตย์ที่จรไปคือความเปลี่ยนแปลงของชีวิต กับ สอง อาทิตย์ให้พลังงานแก่ดาววัย คำนวณดาววัยจากวงรอบอื่นแล้วกำหนดเวลาจากอาทิตย์ให้กำลังแก่วัย สาม ใช้อาทิตย์เป็นเสกลเวลาของจักรวาล เพราะในราศีจักร ดวงชะตาจะเปลี่ยนแปลงโดยใช้อัตราจรของอาทิตย์เป็นฐาน แต่การใช้วัย ต้องสอดคล้องกับวิธีทำนายของเราด้วย เพราะไม่อย่างนั้น การปรับแก้ไปมาก็ทำให้ยุ่งยากไปเปล่าๆ อย่างเช่นเราจะเห็นว่าการเปลี่ยนวัยตามตรีวัย 8 ปี 4 เดือน หากใช้ทักษาจร ภูมิละหนึ่งปีเข้าร่วมด้วย ก็จะมีเหลื่อมระหว่างปีที่ทำนายเสมอ

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ดาว (ความเห็นที่ 18) ...........ปุตตะ หมายถึง ริเริ่ม สร้างสรรค์ เด็กๆ บันเทิง สนุกสนาน รายได้ ชั่วคราว สืบต่อ ฯลฯ มรณะ หมายถึง ขาด ไม่ ไร้ สูญ ไม่สนใจ อดทน พรากไป ไม่สนใจ ของแปลก ฯลฯ มรณะ – ปุตตะ กุมลัคน์ (ตนุ) ก็ขาดความคิดสร้างสรรค์ พลัดพรากแต่ยังเล็กวัยเด็ก ขาดความสนุกสนาน ไร้ความสดชื่น ซีเรียส เป็นผู้ใหญ่ (แก่) เกินอายุ (ไม่เป็นเด็ก) มักเด็ดขาด (ไม่สืบต่อ) ประมาทเลินเล่อ ไม่รับผิดชอบ มีโชคลาภลอย มักล้มเหลว(มรณะ)เมื่อเริ่มแรก(ปุตตะ) ไม่โอนอ่อนผ่อนตามใคร อะไรประมาณนี้แหละ


วรกุล - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:23น. (IP: 203.155.229.0)

ความคิดเห็นที่ 25
ตอบคุณ หนึ่ง (ความเห็นที่ 19) ...........เรื่องดาวดวงใดเสียไม่เสียต้องดูดวงชะตาทั้งดวงครับ บางดวงอาจจะเสียแง่มุมหนึ่งแต่อีกแง่มุมหนึ่งก็ไม่เสียได้ ดาวทุกดวงในดวงชะตาเรามีทั้งคุณทั้งโทษ หากเราเรียนอย่างละเอียดแล้วเราจะไม่เกลียดหรือชอบดาวดวงไหนเลย อยากจะให้ไม่ต้องมีดาวมากกว่า เหมือนชีวิตคนเรานั่นแหละ พออายุมากๆแล้วจะพบว่าไม่มีอะไรเป็นทุกข์หรือสุขข้างเดียว การไม่ยึดติดเลยทั้งทุกข์และสุขนั่นจึงเป็นความสุขแท้ ผมไม่เคยเขียนโหราศาสตร์ส่วนตัว มีแต่บทความบ้างนานแล้ว บางอันเขาลอกไปพิมพ์แจกงานวันเกิด งานศพก็มี แต่เขียนวิชาอื่นมีเยอะมาก ไม่ได้ใช้ชื่อนี้ มีบทความโหราศาสตร์ภาคภาษาอังกฤษมีมากกว่าภาษาไทย มีคนเรียบเรียงเป็นภาษาอังกฤษที่ถูกให้ แต่ไม่ค่อยมีสาระลึกซึ้ง เป็นเพียงวิเคราะห์ข่าวโหราศาสตร์โลกตามยุคสมัยเท่านั้น

00000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ iamenjoy (ความเห็นที่ 20) ...........การทายจรมีหลายระบบมากมายเลยครับ ที่คุณคัดมาก็เคยเห็นคุ้นๆอยู่ แต่ไม่รู้ว่าใช้ได้หรือไม่ แล้วแต่ผู้ใช้ครับ ไปวิจารณ์เขาไม่ได้ และก็ขยายความรู้ตรงนี้ไม่ได้ครับ


วรกุล - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:03น. (IP: 203.155.229.77)

ความคิดเห็นที่ 26
กลับไปศึกษามาใหม่ค่ะ 2 มีนาคม 2524 10.38 เชียงใหม่ ลัคนาราศีเมษ 0 เล็งลัคน์ 136 ในเรือน ลาภะ 4 กัมมะ 8 พันธุ57 อริ 2 ศุภะ 9 กดุมถะ 1.ดวงนี้ได้เกณฑ์ คชเกสรีโยค หรือ จตุสดัย ไหมคะไม่แน่ใจว่า ลัคนา ถือว่าเป้นดาวหรือเปล่า 2.ดวงนี้ดูเผินๆ เป็นดวงคนอาภัพรัก เพราะมฤตยูเล็งลัคน์ แต่ดาวเจ้าเรือนปัตนิ ดันไปอยู่ที่เรือนลาภะ ถูกดาวอาทิตย์ เบียน ( บางตำราแกว่า เป็นคู่มิตร นี่คะ ) ไ่ม่ขาดแคลนเรื่องคู่ แต่อยู่กันไม่นาน ดาวมฤตยุเล็งลัคน์ นี่ถือว่า เป้นพินทุบาวทื หรือเปล่าคะ เห็นบางตำราบอกว่าไม่ใช่ เพียงแต่ไม่แน่นอน เนิ่นนานเท่านั้น ตกลงว่า อาภัพหรือไม่อาภัพกันแน่คะ 3. ดาวเจ้าเรือนปัตนิ ไปอยุ่ร่วมกับดาวคู่มิตรและคู่ศัตรู แถมอยู่ในเรือนราหู ความมัวเมา นี่ถือว่า ดีหรือไม่ดีคะ บางตำราก็บอกว่า มีคนมาชอบไม่ได้ขาด แต่บางตำราบอกว่า เป็นเมียน้อย 4. ดาว 4 กับ 8 เล็งกันระหว่างเรือนพันธุกับกัมมะ ถือว่าไม่ดี จะมีการทะเลาะเบาะแว้งกัน บ่อย และ ดาว 4 เป็นเกษตรสลับเรือนกับดาวเจ้าเรือนกัมมะ 7 ที่ไปอยู่ภพอริ นี่คือ เกี่ยวกับเรื่องงาน จะหนักใจเรื่องงาน แถมมี ดาว 5 7 เป็นคู่หนี้สิน อาจเป็นหนี้สินเกี่ยวกับการงาน ไม่พอใจสภาพการทำงาน ทดลอง เอาตำรามาลองอ่านดาวค่ะ แต่ไม่แน่ใจเรื่องการผสมความหมายของภพและลักษณะดาว เพเพราะ บางภพ มีดาวหลายดวงรวมกันอยู่ และเราต้องอ่านความหมายของตัวภพมาผสมกับการอ่านดาวด้วยไหมคะต้องใช้อัตรากี่เาวอ ต้องใช้สัดส่วน ความหมายของภพ กี่% สำหรับการอ่านดาวคะ ขอข้อแนะนำค่ะ แล้วจะลองอ่านดาวไปเรื่อยๆค่ะ ่ ขอบคุณค่ะ


ณกมล - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 18:14น. (IP: 124.157.204.115)

ความคิดเห็นที่ 27
ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ


ดาว - 8 มิถุนายน พ.ศ.2550 19:52น. (IP: 58.8.16.218)

ความคิดเห็นที่ 28
ขอบพระคุณมากครับอาจารย์


หนึ่ง - 9 มิถุนายน พ.ศ.2550 05:46น. (IP: 210.246.80.7)

ความคิดเห็นที่ 29
ตอบคุณ ณกมล (ความเห็นที่ 26) ...........1 / ไม่ใช่จตุสดัยเกณฑ์ครับ 2 / มฤตยูเล็งลัคน์ไม่ถือเป็นพินทุบาทว์ คำว่า “อาภัพคู่” ไม่รู้ใครแปลว่าอะไร เราอาภัพเพราะคู่ หรือ คู่ของเราอาภัพเพราะเรา หรือเราอาภัพเพราะไม่มีคู่ 3 / ถ้าตามดวงนี้เรื่องคู่ก็ไม่ค่อยดีนัก คู่คนแรกๆมักไม่ยืด 4 / ที่อ่านมาก็พอไปได้ครับ เคยบอกมาตั้งแต่กระทู้ต้นๆแล้วว่า ควรแยกอ่านเรือน และอ่านดาวไปทีละอย่างก่อน อ่านเต็มๆนั่นแหละไม่ต้องดูสัดส่วนกี่เปอร์เซ็นต์ ถ้าหากมาอ่านผสมปนเปกันแบบนี้จะทำให้จับหลักการอ่านได้ช้า พออ่านดวงอื่นก็จะงงได้ทุกคน


วรกุล - 9 มิถุนายน พ.ศ.2550 15:56น. (IP: 203.155.229.204)

ความคิดเห็นที่ 30
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

แวะมาทักทายค่ะ หลังจากที่รบกวนอาจารย์มาหลายครั้ง อยากบอกอาจารย์ว่าตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมากๆๆ จากเมื่อช่วงต้นปี 2549 ชีวิตดีขึ้นทันตาเห็นเมื่อตัดความเศร้าหมอง ขุ่นข้องหมองใจออกไปได้ ชีวิตเป็นของเรานี่ค่ะ(คามแค้นยังเหลือนิดหน่อยค่ะ...แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะหายเกลี้ยง)

ชีวิตก็ต้องมีแบบนี้บ้าง ไม่งั้นมันก็ราบเรียบเกินไป ถ้าเกิดมีลูก แล้วลูกถามว่า "แม่เคยอกหักมั๊ย" จะได้ตอบได้ จริงมั๊ยค่ะ

ยังไงก็ต้องขอบพระคุณอาจารย์มากๆๆ นะคะ


ทานตะวัน - 10 มิถุนายน พ.ศ.2550 18:58น. (IP: 203.157.16.246)

ความคิดเห็นที่ 31
สวัสดีครับคุณทานตะวัน อะไรที่เราผ่านพบถือเป็นกำไรชีวิตทั้งนั้น ถึงจะไม่เป็นกำไรตอนนี้ก็จะมาเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า ขอให้คุณโชคดี ตลอดชีวิตต่อไปมีแต่ความสุขสมหวังนะครับ


วรกุล - 11 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:40น. (IP: 203.155.228.143)

ความคิดเห็นที่ 32
ในตอนนี้จะเอาเรื่องบางประการในทักษาคู่ธาตุที่เรานำมาใช้ประโยชน์ในดวงชะตามาดูกันต่อ

ตะวันออก

๑.......๒.......๓

เหนือ ๖.................๔ ใต้

๘.......๕.......๗

ตะวันตก

๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐

๑.......ธรณี.......๒

๖....................๓

๘....................๔

๕......(ธรณี).....๗

เมื่อนำวงจรทักษามาสู่ตัวเราซึ่งอยู่บนธรณี ก็จะทำให้เปรียบเทียบได้กับทิศโดยสัมพัทธ์กับตัวเรา เรื่องทิศของภูมิในทักษาคู่ธาตุ เป็นเพียงเปรียบเทียบจากนามธรรมเท่านั้น เช่น คำว่า “ทิศเหนือ” ที่เป็นภูมิศุกร์นั้นหมายถึง “ที่สูง” ส่วน “ทิศใต้” ที่เป็นภูมิพุธหมายถึง “ที่ต่ำ” ส่วน “ทิศตะวันออก” ที่เป็นภูมิจันทร์ หมายถึง “จุดเริ่มต้น” และ “ทิศตะวันตก” ที่เป็นภูมิพฤหัสหมายถึง “จุดปลายทาง” หรือสิ้นสุด ทิศเช่น ศุกร์ จึงมักจะหมายถึงน้ำฝน น้ำบริสุทธิ์ รวมถึงเทพเทวดาที่อยู่ในท้องฟ้า ส่วนพุธ มักจะหมายถึง น้ำในห้วยหนองคลองบึง รวมทั้ง มนุษย์ สัตว์ พืชพันธุ์และไม้ล้มลุกที่อยู่ในที่ต่ำ จันทร์ หมายถึง การเริ่มต้น เด็กๆ ผู้อ่อนเยาว์ พฤหัสหมายถึง ประสบการณ์ ผู้ใหญ่ ผู้สูงอายุ เป็นต้น ซึ่งเรานำความหมายมาใช้ในดวงชะตาบ่อยๆ

ทิศของทักษาจึงมีเพียง 4 ทิศเท่านั้น เนื่องจากทิศเหล่านี้มีความหมายทางนามธรรม (ปรัชญา) ดังนั้น ทิศเฉียงต่างๆ เช่น ตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นต้น จึงไม่ใช่เรื่องของทักษา แต่เป็นสิ่งที่เปรียบเทียบเมื่อนำทิศทั้งสี่คือ เหนือใต้ ออก ตก ทางปรัชญามาเทียบเคียงกับทิศทางภูมิศาสตร์ เมื่อเทียบทักษากับทิศในแนวนอนนั่นเอง แต่ในดวงชะตาเทียบทิศทางสุริยาตรเป็นแนวดิ่งกับตัวเรา ดังนั้น การเทียบทิศทางภูมิศาสตร์จึงใช้ไม่ได้ในดวงชะตา เช่น ศุกร์ในดวงชะตาไม่ใช่ทิศเหนือ เป็นต้น ขอให้สังเกตว่า โหราศาสตร์จันทรคติยึดถือจันทร์เป็นตะวันออก แทนที่จะเป็นอาทิตย์ เพราะยึดแนวการโคจรของจันทร์รอบโลกเป็นฐานของวงรอบ

เหตุที่เทียบทิศทางภูมิศาสตร์แล้วใช้ไม่ได้ เพราะทักษาคู่ธาตุตามปกติจะควงรอบแกนธรณี แนวตะวันออก - ตะวันตก เหมือนจานแบนของทักษาเอาทิศเหนือ (๖)ตั้งขึ้น ทำให้ทิศใต้ (๔)อยู่ข้างล่าง (เช่นเดียวกับดวงชะตาราศีจักรที่เอาสันของจานแบนดวงชะตาวงกลมตั้งขึ้นในแนวตะวันออก – ตะวันตก เช่นกัน) ทำให้ทิศเหนือ (๖) นั้นเป็นที่สูง และทิศใต้ (๔) คือ ที่ต่ำตามความหมายเดิมได้ ในขณะที่ ภูมิตะวันออก - ตะวันตก ยังคงไม่เปลี่ยนทิศมากนัก และเมื่อเราหันไปทางตะวันออก แนวสุริยาตรหรือระวิมรรค (๑) จะอยู่เยื้องไปทางเหนือของเส้นศุนย์สูตรโดยประมาณ ในขณะที่ แนวตะวันออก – ตะวันตกของจันทร์ หรือ ศศิมรรค ก็มีการแกว่ง ไม่ตรงกับแนวแกนธรณีเสียที่เดียวเนื่องจากโลก (ธรณี)มีการแกว่งรอบแกน แต่เราถือว่าแนวแกนโลกนั้นอยู่กับที่ แต่ข้อกำหนดเหล่านี้ไม่ได้เคร่งครัดเรื่องมุมเรื่องทิศอะไรนัก เพราะภูมิทักษาไม่ได้เกิดจากการวัดมุม แต่เกิดจากนามธรรม เพียงแต่ให้ทราบเอาไว้เท่านั้น

นอกจากนั้น ในมหาทักษาของโหราศาสตร์จันทรคติเองยังมีการวางจุดเจ้าชะตา เช่นโหราศาสตร์ระบบอื่นเช่นกัน ดังนั้น การที่มักมีคนนำเอาทิศภูมิศาสตร์ว่าเป็นศรีบ้าง กาลกิณีบ้าง มาวางฮวงจุ้ย ดี-ร้าย แล้วเรียกว่า เป็นชัยภูมิระบบไทย จึงเป็นเรื่องไม่ถูกทั้งสิ้นทั้งในวิชามหาทักษาเองและวิชาชัยภูมิ นี่ดีที่ทิศต่างๆที่ใช้นั้น มีผลน้อยต่อดวงชะตา เนื่องจากการวางทิศ ดี – ร้าย นั้น ควรต้องวางจุดเจ้าชะตาจากภูมิทักษาให้ถูกต้องก่อน ไม่ใช่มองจากโลก จุดเจ้าชะตานั้นเทียบได้กับทิศตะวันออก ยิ่งการกำหนดตัวอักษรตั้งชื่ออะไรจากวารเกิดยิ่งไม่ถูกใหญ่ เพราะถ้าสมมุติตัวอักษรวรรคที่ตั้งชื่อมีผลจริงๆ ก็จะต้องกำหนดจากจุดเจ้าชะตา ด้วยเช่นกัน มิฉะนั้น อาจจะนำเอาอักขระกาลกิณีมาตั้งเป็นชื่อโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ รวมทั้งการหันทิศบ้านหรือที่ทำงานอะไรก็อาจจะผิดได้ อาจจะหันเข้ากาลกิณีเข้าเต็มๆ เมื่อคิดจากเจ้าชะตา

เมื่อเราหมุนทักษาคู่ธาตุรอบแกนตะวันออก-ตะวันตก หรือ ศศิมรรค ให้ศุกร์ขึ้นที่สูง แล้วพุธลงสู่ที่ต่ำ เราจะแยกธาตุออกได้เป็น 2 กลุ่ม ทั้งสภาวะธาตุ ลม น้ำ ไฟ ดิน ได้แก่ ๘ ๖ ๑ ๒ เรียกว่า “ธาตุเบา” เป็นกลุ่มธาตุที่ขึ้นสูง และ ๓ ๔ ๗ ๕ เรียกว่า “ธาตุหนัก” เป็นกลุ่มธาตุที่อยู่ต่ำ พวกธาตุเบาจะเป็นธาตุละเอียด เบา มักขึ้นที่สูง หรือมีมวลน้อย ส่วนธาตุหนักจะมีมวลมาก น้ำหนักมาก เช่น ๘ ราหู ธาตุลมเบาหมายถึง ลมหายใจ ช่องว่าง (space)รวมอากาศ ลมที่แรกซึมอยู่ในน้ำ หรือผลไม้ ต้นไม้ ในขณะที่ ๓ อังคาร ธาตุลมหนักจะเป็นลมแรงๆที่พัดไปมา พายุ ทั้งที่เป็นแก๊ส และฟองปฏิกิริยาเคมี ๖ ศุกร์ธาตุน้ำเบา หมายถึงน้ำฝน น้ำค้าง ของเย็น เทวดา นางฟ้า ของบริสุทธิ์ พรหมจารี ศิลปเนื้อแท้ของธรรมชาติ ส่วน ๔ พุธธาตุน้ำหนัก เป็นน้ำที่ผ่านสิ่งอื่นมาแล้ว หมายถึงประสบการณ์ความรู้ที่ถ่ายทอดมาก็ได้ เป็นน้ำในต้นหมากรากไม้ที่ปรุงแต่งมา หนุ่มหรือสาวที่ผ่านประสบการณ์แต่งงาน เป็นน้ำบ่อน้ำท่า หรือน้ำในทะเล ซึ่งอยู่ที่ต่ำซึ่งน้ำไหลไปรวมกัน

๑ อาทิตย์ ธาตุไฟเบา คือเปลวเพลิงที่ลามเลียขึ้นที่สูง หมายถึงยอดคน กษัตริย์ พระราชา ประธาน หรือยอดจุดเด่นก็ได้ ๗ เสาร์ธาตุไฟเบา คือความร้อนระอุ เช่น ความร้อนในพื้นดิน ไฟถ่านร้อนที่เป็นสีแดงไปจนถึงดำ โลหะที่ร้อนลวกมือได้เช่นเตารีด เป็นกำลังทำงานและแรงงานกรรมกร ๒ จันทร์ธาตุดิน เป็นความข้นๆยังไม่แข็งแบบเนยอ่อน มีความเป็นดินอ่อน ดินเหลวที่ไม่ไหล เหมือนเพศหญิงซึ่งทั้งเข้มแข็งคงรูปแต่อ่อนโยนต่อสัมผัส การสร้างสิ่งใหม่หรือตัวอ่อน(ทิศตะวันออก) ส่วน ๕ ธาตุดินหนัก เป็นดินที่แห้งแกร่งไปจนถึงดินเผา ดินแกร่งที่ทำครกดิน เหมือนพื้นฐานที่แน่นหนาสำหรับโครงสร้างรับน้ำหนัก ดินที่ตกตะกอนหรือสิ่งที่ตกตะกอนทางความคิด เช่น กฎ ทฤษฎี วัฒนธรรมประเพณี เราจะเห็นว่า ธาตุเบา และธาตุหนักเหมือนกับเป็นดีกรี หรือความเข้มของสภาวะธาตุ นี่คือภูมิของสภาวะธาตุ นั่นเอง เมื่อเราเอา ธาตุในทักษามาผสมกับดาวอื่น จึงแสดงลักษณะวัตถุและสิ่งต่างๆบนโลกได้มากมาย

เราจะสังเกตว่าสีของดาวที่มักใช้กันเป็นสีประจำวันด้วยก็มาจากทักษาคู่ธาตุนั่นเอง พวกธาตุเบาจะเป็นสีโทนอ่อน ส่วนพวกธาตุหนักจะเป็นสีโทนเข้ม ดาวคู่ธาตุจะเป็นสีกลุ่มเดียวกันแต่ต่างโทน เช่น ๖ ศุกร์สีฟ้าเพราะเป็นสีของท้องฟ้า ที่สูงธาตุเบา ๔ พุธสีเขียวเข้ม มาจากสีของพืชพันธ์ที่อยู่ที่ต่ำคือพื้นโลกทั่วไปเป็นธาตุหนัก ๑ อาทิตย์สีแดงเกิดจากธาตุไฟเบา เช่นแสงอาทิตย์ ๗ เสาร์ สีดำหรือแดงเข้มเกิดจากสีธาตุไฟหนักเช่นเหล็กเผาร้อนแต่มีสีดำอยู่ ๒ จันทร์ สีเหลืองอ่อนเกิดจากสีของธาตุดินเบา หรือดวงจันทร์ ซึ่งเป็นดินที่อยู่สูงในท้องฟ้า ๕ พฤหัส สีเหลืองแก่เข้ม เกิดจากธาตุดินหนักที่อยู่ต่ำเต็มไปด้วยแร่ธาตุ ๘ ราหู สีน้ำตาลหรือ สีทราย ธาตุลมเบาบาง เป็นอากาศที่แทรกอยู่ในวัตถุหรือของละเอียด ๓ อังคาร สีชมพูเข้มธาตุลมหนัก คือ ลมที่พัดไปมาพลังงานสูงคล้ายมีไฟ(สีแดง)แทรกอยู่ภายใน บางตำราบอกว่าราหูเป็นสีเขียวอ่อนๆ ก็มี เพราะเป็นคู่ดาวกับพุธสีเขียวเช้มที่อยู่คนละข้างกับแกนธรณีนั่นเอง

หลักสำคัญของทักษาคู่ธาตุเกิดจากวงจร 2 ชนิดร่วมกัน คือ 1 / วงจรของธาตุที่เราเห็น ได้แก่ ๑ ๒ ๓ ๔ ๗ ๕ ๘ ๖ กับ 2 / วงจรของพลังงานธาตุที่เข้าสู่โลกแล้วหมุนเวียนอยู่ในโลก ธาตุในทักษาเป็นนามธรรมที่หมุนเวียนอยู่ในธรณีนานแล้ว ธรรมดาจึงมีธาตุพื้นฐานอยู่เต็มแต่ละภูมิตามปกติ แต่วงจรพลังงานธาตุนั่นเองที่เป็นตัวทำงานที่สำคัญ (เรียกว่า วงจรตัวเคลื่อน) พลังงานจะหมุนเวียนให้กำลังแก่ธาตุ กระตุ้นให้ธาตุทำงานสลับกันไป

เช่นสมมุติเราเอาทรายสักหน่อยหนึ่งใส่ในแก้วน้ำใสๆ เมื่อเราไม่ได้ไปรบกวนมัน ทรายจะตกตะกอนอยู่ก้นแก้วเห็นได้เป็นชั้นสงบนิ่ง แต่เมื่อเราให้พลังงานเขย่าแก้วน้ำนี้ ทรายจะฟุ้งขึ้นมากินเวลานานระยะหนึ่งกว่าจะสงบนิ่งลงไปใหม่ ธาตุในแต่ละภูมิของแต่ละดวงชะตาก็เช่นกัน ปกติธาตุจะอยู่ในภูมิที่ต่ำกว่าระดับที่เราเห็น เมื่อได้รับพลังงานมากระตุ้นธาตุก็จะเปลี่ยนภูมิขึ้นมาสู่ระดับที่เป็นทักษาคู่ธาตุ ภูมิใดที่ได้รับการกระตุ้นแล้วก็จะมีขั้นตอนการเปลี่ยนแปลง จากเริ่มต้นไปสู่ความสงบอีกครั้ง พลังงานส่วนหนึ่งที่อยู่ในธาตุแต่ละภูมิ (เช่นธาตุวารเกิด) จะยังคงสะสมอยู่ในธาตุ และจะค่อยปลดปล่อยออกไป เป็นวงจรพลังงานปลดปล่อย อีกหลายระลอกราวกับคลื่นที่มองไม่เห็น ทำให้เกิดวงรอบการทำงานของธาตุต่อไปอีกหลายวงรอบ วงรอบที่เกิดจากพลังงานปลดปล่อยนี่เอง ทำให้ธาตุในภูมิฟุ้งขึ้นมาอีกได้เป็นระยะๆเป็นเวลานาน เมื่อได้รับพลังงานใหม่ที่สอดคล้องกับวงรอบเดิม ธาตุก็จะทำงานได้อีกครั้งถึงกับรุนแรง เป็นต้นเหตุที่เรานำมานับวัยตามเทวดาเสวยอายุ และทักษาจรได้ และยังใช้ในโหราศาสตร์ไทยอีกหลายวิชา

วงจรของธาตุในทักษาคู่ธาตุ เป็นลำดับขั้นตอนของธาตุที่ได้รับพลังงาน ซึ่งลำดับได้เป็น 8 ขั้นตอนที่เรามักเรียกว่า ภูมิทักษา ที่เรารู้จักกันดี คือ บริวาร อายุ เดช ศรี มูละ อุตสาหะ มนตรี กาลกิณี นั่นเอง ซึ่งจะทบทวนลักษณะของธาตุที่ได้รับพลังงานมากระตุ้นในแต่ละภูมิ(ขั้นตอน)ได้ดังนี้

บริวาร ธาตุเริ่มก่อตัวก่อรูปอัตตาขึ้นมาจากสภาพเดิมที่เป็นนามธรรมไร้สภาพที่หยุดนิ่งอยู่ เมื่อได้รับพลังงาน ธาตุจึงฟุ้งขึ้นมีสภาพเป็นอณูที่แขวนลอยกระจัดกระจายเปะปะไปทั่ว ความหมายนามธรรมนี้จึงเป็น “สิ่งแวดล้อม” การแปลความหมายจึงอยู่ที่สิ่งที่เรากำลังพิจารณาอยู่นั่นเอง หากเป็นชีวิตคนเราทั่วไป สิ่งแวดล้อมย่อมหมายถึง บุตร ภรรยา สามี ข้าทาส ลูกจ้าง สัตว์เลี้ยง เสื้อผ้า ห้องนอนที่อยู่อาศัย ข้าวของเครื่องใช้ การก่อร่างสร้างตัว ปฏิสนธิ จิตใจ เงา เครื่องเครา ส่วนประกอบต่างๆ ชั่วคราว

อายุ ธาตุของอัตตาเริ่มจับตัวหนาขึ้น และเรียงต่อกันเป็นสายโซ่ยาวขึ้น คงรูป ไม่ขาดง่าย ความหมายนามธรรมนี้จึงเป็น “การจับตัวกันและความดำรงอยู่ยืนยาว” หากเทียบกับชีวิตคนเราจึงเป็นความเป็นอยู่ของชีวิตที่ดำรงอยู่และต่อเนื่องมา มีความอุดมสมบูรณ์ หรือครบถ้วนไม่ล้มเหลว ดำเนินไปตามครรลองของชีวิต รวมศูนย์ ความต่อเนื่อง การนับเนื่อง ญาติโกโหติกา ตระกุล บรรพบุรุษ สายเลือด โซ่ เชือก ภาพลายเส้น หนักแน่น เหนียวแน่น ยืดยาว ยาวนาน

เดช ธาตุจะอัดตัวแน่นจนแข็งแกร่งเป็นรูปร่างของอัตตาที่สลายได้ยาก สามารถมีกำลัง หรือกดดันต่อสิ่งอื่น ความหมายคือ “ความหนาแน่น เป็นปึกแผ่นแน่นหนา” จึงมีความหมายเป็น กำลัง อำนาจ ความอดทน แข็งแกร่ง แข็งแรง แน่น บารมี วาสนา ทะเยอทะยาน ดึงเข้าหาตัว มัด พันธนาการ กฎระเบียบ เข้มงวด สั้นๆ

ศรี คือ ธาตุอัตตาที่ก่อรูปร่างครบถ้วน สำเร็จเสร็จสิ้นสุดท้ายแล้วหยุดนิ่งในสภาพสมบุรณ์ จึงหมายถึง “ความสำเร็จบรรลุถึงวัตถุประสงค์” เช่น ความราบรื่น สำเร็จเรียบร้อย จุดสำเร็จ ขั้นตอนสุดท้าย สิ่งสูงสุดที่มุ่งหวัง ความละเอียด รูปที่วาดเสร็จ ส่วนสูงที่สุดของกราฟ ทฤษฎีที่ลงตัว ความลงตัวเหมาะเจาะ ความถี่ เป็นระเบียบ บรรลุธรรม ครบ ง่ายดาย สะดวก ผ่อนคลาย นุ่มนวล อ่อนโยน เหลว

มูละ ธาตุอัตตา เริ่มคลายตัวปลดปล่อยพลังงานที่ยึดเหนี่ยวออกมา และขยับสู่ขั้นตอนสลายตัว ความหมายจึงเป็น “ฐานที่มั่นคง เคลื่อนออกจากที่” ได้แก่ ร่างกาย(เคลื่อนไหว) กำลังผลักดัน การออกจากพื้นฐานเดิมที่ลงตัว พื้นฐานบ้านเรือนสมบัติที่ตั้งมั่น (อสังหาริมทรัพย์) การเคลื่อนตัวที่เป็นนัยสำคัญ(สังหาริมทรัพย์) การโยกย้ายเปลี่ยนที่อยู่ การขนส่งและเดินทางไกล การผจญภัยของชีวิต ความปรารถนา ความมุ่งหวัง ถอนตัว ส่งต่อ จำหน่าย หนี เคลื่อนที่

อุตสาหะ ธาตุเริ่มสลายออกจากการจับตัวเป็นรูป ต่อสู้เพื่อที่จะคงรูปอัตตาเดิม ความหมายจึงเป็น “คลายตัว แรงต้านต่อความสลาย” ได้แก่ ความรู้สึกฝืน ตะเกียกตะกาย หาเลี้ยงชีวิต การต่อสู้เพื่อดำรงคงอยู่ ความเพียรต่อสู้อุปสรรค ลำบาก ความอึดอัดคับใจ เสียใจ ผิดหวัง อาลัย เครื่องมือ อุปกรณ์ บริการ การนับ แจกแจง ติดขัด ทำเอง

มนตรี ธาตุอัตตาปลดปล่อยสละพลังงานออกเพื่อธาตุอื่น ธาตุที่เริ่มก่อตัวที่เป็นนามธรรมเริ่มบรรลุเข้าใจสภาพอัตตาที่กำลังสลายลง ความหมายจึงเป็น “ความสำนึก เข้าใจและเผื่อแผ่ประสบการณ์” ได้แก่ ความช่วยเหลือ เสียสละเพื่อผู้อื่น เผื่อแผ่ การอุปการะ ค้ำจุน ผ่อนคลาย เครดิต ผู้ช่วย หรือที่ปรึกษา ครู คู่ครอง ความเข้าใจ ประสบการณ์ มั่นใจ การทบทวนสู่อดีต เข้าถึงความจริง น่านับถือ เข้าใจปัญหา ปล่อยออกไป ประวัติศาสตร์ ประเพณี

กาลกิณี ธาตุสลายลงไป ไม่สามารถคงรูปอยู่ได้อีก อณูธาตุกลับกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ รูปค่อยจางหายไปกลับสู่ความสงบ ความหมายจึงหมายถึง “กลับสู่ความสงบ ไร้รูปและความหมาย” ได้แก่ ความตาย ความจากไป ความเสื่อมของสังขาร หมดแรง หมดกำลัง เสียรูป สลาย ไม่สำเร็จ ล้มเหลว ความหยาบ ห่าง ตาย ทำลาย ตกตะกอน ยาก อุปสรรค ขาดแคลน

หากเราเอาวัฏจักรทั้ง 8 ภูมิมาแบ่งเป็นสองขั้นตอน ขั้นตอนละ 4 ภูมิ เราจะเป็นได้ว่าเป็นขั้นตอนที่สมนัยกัน 4 คู่ คิอ บริวาร – ก่อตัว มูละ – สลายตัว อายุ – จับตัว อุตสาหะ – กระจายออก เดช – ดึงแน่นขึ้น มนตรี - คลายปล่อย ศรี – หยุดสำเร็จเรียบร้อย กาลกิณี – ดับไป กลับไปต่ำสุด เป็นวัฏจักรขาขึ้นและขาลงที่เกิดจากการดูดและคายพลังงานออกนั่นเอง

กระแสพลังงานเองที่กระตุ้นวงจรธาตุทั้ง 8 ขั้นตอนนี้ หากสังเกตดูเราจะเห็นเป็นลูกคลื่นที่สลับขึ้นลง เหมือนคลื่นเล็กๆอยู่ในกระแส ไม่ได้เป็นกระแสที่เรียบราบทีเดียว ทั้งนี้เกิดจาก วงรอบของจันทร์ ทางจันทรคติ มีข้างขึ้นและแรม ทำให้พลังงานที่กระตุ้นธาตุแกว่งกระเพื่อมขึ้นลงเป็นวัฏจักรแทรกซ้อนอยู่ในวงรอบทักษา เราจะสังเกตว่า ภูมิทักษาที่อยู่ติดกัน จะมีลักษณะธรรมชาติอันใดอันหนึ่งตรงข้ามกับภูมิที่อยู่ถัดไปเสมอ อย่างเช่น บริวาร – ชั่วคราว อายุ – ยาวนาน อายุ- ยาวๆ เดช – สั้นๆ เดช – แข็งแกร่ง ศรี – นุ่มนวล อ่อนโยน ศรี – อยู่นิ่ง มูละ – เคลื่อนที่ มูละ – ผลักดัน อุตสาหะ – กระเสือกกระสน อุตสาหะ – ทำเอง มนตรี – มีผู้ช่วย มนตรี – มั่นใจ กาลกิณี – หมดกำลังใจ กาลกิณี – ดับ สลาย บริวาร – ก่อรูป ฯลฯ ลักษณะเช่นนี้ในดวงชะตาราศีจักรก็มี แต่ซับซ้อนกว่า

ข้างต้นนี้เป็นความหมายในทางหลักของวงรอบธาตุที่เกิดจากวงจรเคลื่อนของพลังงาน ยังคงมีความหมายที่เกิดจากหลักอื่นๆอีกมาก ซึ่งเราจะพิจารณาภายหลัง


วรกุล - 11 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:41น. (IP: 203.155.228.143)

ความคิดเห็นที่ 33
เรียน อาจารย์วรกุล

ดิฉันมีความสงสัยเรื่องคราสนะคะ ดิฉันเป็นนักศึกษาโหราศาสตร์ไทยพื้นฐานจากห้องเรียนวันเสาร์ของท่านอาจารย์เศก ที่วัดไตรมิตร ท่านอ. เศกได้กล่าวถึงช่วงเดือนสิงหาคมปีนี้นี้ที่จะมีการเกิดคราส อันเนื่องมาจากช่วงที่อาทิตย์จรเข้าสู่ราศีสิงห์ เล็งกับราหูในราศีกุมภ์ ซึ่งเมื่อพระจันทร์โคจรเคลื่อนเข้ามาในราศีสิงห์จะเกิดคราสขึ้น ทำให้เกิดผลต่อเจ้าชะตา ขึ้นกับว่าอยู่ในภพใดก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องนั้นๆ

ดิฉันจึงมีความสงสัยว่าคราสที่จะเกิดขึ้นนี้จะเป็นชนิดใด คือจันทรุปราคาหรือสุริยุปราคา เมื่อไปตรวจสอบว่าคราสนี้น่าจะเกิดในวันเวลาใด พบว่าน่าจะเป็นช่วง วันที่ ๑๐-๑๑ กันยายน (ดูจากโปรแกรมสุริยายาตรา ของคุณพลังวัชร นะคะ เพราะมือใหม่ยังไม่มีปฎิทินคะ) เมื่อมาอ่านบทความสุริยุปราคาแรกของปี 2550 กับเหตุการณ์ประเทศไทย ของ อาจารย์วิโรจน์

จึงพบว่าวันที่ จะเกิดคราสก่อนคือวันที่ ๒๘ สิงหา กรณีนี้พระจันทร์เคลื่อนเข้าราศีกุมภ์ อิทธิพลที่จะเกิดขึ้นจะแตกต่างและอ่านอย่างไรคะ

ณ วันที่ ๒๘ สิงหาคม มีดาวเสาร์ พุธ และศุกร์โคจรอยู่ในราศีสิงห์ด้วย ขณะที่ราศีกุมภ์มีเกตุและมฤตยูจรอยู่ด้วย อย่างนี้จะอ่านอย่างไรคะ ผลกระทบต่อคนที่มีลัคนาราศีสิงห์จะเป็นอย่งไรคะ ต้องเอาหน้าที่ของดาวเดิมมาทำนายใช่ไหมคะ เจอดาวเยอะๆมารวมกันแบบนี้นักศึกษาใหม่อ่านไม่ออกคะ ดิฉันก็มีลัคนาราศีสิงห์เช่นกันคะ อาทิตย์เป็นเจ้าเรือนตนุ อยู่ที่ปุตตะ ส่วนจันทร์เป้นเจ้าเรือนวินาศน์ เป็นอุจน์ที่กัมมะ ถ้าเกิดจันทคราสจึงควรจะทายว่ามีผลกระทบกับงาน สุริยคราสจะมีผลกับงานที่ริเริ่มใหม่ หรือไม่ อย่างไร ตอนนี้กำลังหางานอยู่นะคะ สมัครทั้งในและต่างประเทศ ยังรอผลอยู่นะคะ นอกจากนี้ดาวศุกร์ของเจ้าเรือนกัมมะ และเจ็ดเจ้าเรือนอริซึ่งไปได้มหาจักรที่เรือนกัมมะ มารวมกันอยู่ที่ราศีสิงห์ลัคนา เมื่อเกิดคราสทั้งสองครั้งนี้ งานที่หวังไว้คงต้องทำใจกระมังคะ ดาวพุธกดุมพะ และลาภะ จะโดนฤทธิ์คราสไปด้วยไหมคะ แล้วมฤตยูและเกตุที่ราหูจะเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างไรบ้าง

ท่านอาจารย์การเวก (กรวิก) แนะนำให้เข้ามาโพสต์เรียนถามอาจารย์วรกุลคะ

ด้วยความเคารพ


ศิรพรรณ - 12 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:53น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 34
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ.. หลังจากได้อ่านความคิดเห็นที่32ผมมีความเข้าใจและตีความเรื่องจุดเจ้าชะตา(จันทร์)ดังข้างล่างต่อไปนี้ รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ด้วยครับ. ข้อ1 เราจะไม่สามารถวางจุดเจ้าชะตาในภูมิทักษาได้ หากเราไม่รู้ตำแหน่งจันทร์เวลาเกิด (เราต้องรู้ว่าเกิดข้างขึ้น/ข้างแรม มากน้อยกี่ค่ำ) ข้อ2.1 คนเกิดตอนพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง จุดเจ้าชะตา(จันทร์) จะอยู่ทิศตะวันออก(๒) ของภูมิทักษาคู่ธาตุ 2.2 คนเกิดตอนพระจันทร์มืดสนิท จุดเจ้าชะตา(จันทร์) จะอยู่ทิศตะวันตก(๕) ของภูมิทักษาคู่ธาตุ ข้อ3 หากสมมุติตัวอักษรวรรคที่ตั้งชื่อมีผลจริง อักษรวรรคอาทิตย์ จะเป็นอักษรวรรคกาลีของคนเกิดตอนพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง ข้อ4 ตำแหน่ง ตะวันตกเฉียงใต้ จะเป็นตำแหน่งศรีของคนเกิดตอนพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง


ศ.fa200 - 12 มิถุนายน พ.ศ.2550 23:26น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 35
เรียน อ.วรกุล...

ชื่อเรียก "ทักษา, มหาทักษา, ทักษาคู่ธาตุ,เทวดาเสวยอายุ... (อาจมีชื่ออื่นอีก)" ผมเรียกชื่อเหล่านี้แล้วบางทีงงสับสน คิดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน ผมเข้าใจ ดังนี้ครับ

ทักษา, มหาทักษา ผมนึกถึง บริวาร อายุ เดช...

ทักษาคู่ธาตุ ผมนึกถึงแผนภูมิ ๑๒๓๔๗๕๘๖ พร้อมทั้งคู่ธาตุ

เทวดาเสวยอายุ นึกถึง การแบ่งย่อยคาบเวลาเป็น 8 ส่วน และแต่ละส่วนย่อยนั้นก็แบ่งย่อยอีก 8 ส่วน ทำดั่งนี้ไปเรื่อยๆ

ขอความกรุณาจาก อ.วรกุลช่วยปรับแก้ความเข้าใจ ให้กระจ่างด้วยครับ

ขอบพระคุณครับ


หนูน้อย - 13 มิถุนายน พ.ศ.2550 08:05น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 36
ตอบคุณ ศิรพรรณ (ความเห็นที่ 33) ...........ผมมีเวลาน้อย ขอตอบสั้นๆ จันทรคราสช่วงสิงหาคมนั้นเป็นเรื่องธรรมดานี่ครับ ปีๆหนึ่งจะเกิดจันทรคราส และสุริยคราสหลายหน ตามปกติคราส มีทั้งคราสทางโหราศาสตร์และคราสทางดาราศาสตร์ คราสดาราศาสตร์นั้น เกิดตามมุมองศาของอาทิตย์ จันทร์ โลกมาตรงกันเป็นเงามืดเงามัว ส่วนคราสโหราศาสตร์ถือเอาราศีที่ราหู จันทร์ อาทิตย์มาอยู่ในราศีที่เล็งกัน ซึ่งคราสทั้งสองแบบจะมีผลต่อเจ้าชะตาคนใดคนหนึ่งเมื่อจุดคราสนั้นไปตรงเข้า(หรือใกล้เคียง)กับองศา (สมผุส) ลัคนา หรือ ดาวดวงใดดวงหนึ่งในดวงเดิม ซึ่งหากมีเรื่องราวเดิมอยู่ก่อนแล้ว ก็จะก่อให้เกิดผลทั้งระบบเรือนและระบบดาวได้ ที่คุณถามมา ไม่ดูดาวเดิมเลย แม้จะดูลัคนาเดิม แต่ถ้าไม่ตรงองศาหรือใกล้เคียง ผลที่เกิดจากคราสก็จะอ่อน ไม่เห็นจะเป็นอะไร ยิ่งไปดูแต่ดาวจร ดาวดวงไหนจะถูกคราสก็เป็นเรื่องของมัน เราไม่ได้ไปเป็นเจ้าของดาวนี่ ไปวุ่นวายกับมันทำไมกัน ปีๆหนึ่งมีคราสหลายครั้ง ก็ช่างมันประไร หากคราสมีผลจริงกับคนราศีสิงห์ แล้วเป็นอะไรก็เป็นเหมือนกันหมดหลายร้อยล้านคนจะเป็นไปได้อย่างไร คุณค่อยๆเรียนไป ก็เป็นเอง

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 34) ...........1 / 2 / ไม่รู้ว่าเอาเรื่องการเกิดกับข้างขึ้นแรมมาจากไหน การหาจุดเจ้าชะตาทางจันทรคติ ก็คล้ายกับการหาลัคนาของราศีจักร แต่มีวิธีอ้างอิงหาจุดเจ้าชะตาหลายแบบ ไม่จำเป็นที่ต้องตั้งจันทร์เพ็ญไว้ทางทิศตะวันออกเสมออย่างที่คุณคิด เช่นอาจจะนับทั้งปีเกิด เดือนเกิด และวารเกิด รวมทั้งดิถี ค่ำ ขึ้น แรม เมื่อได้จุดเจ้าชะตาแล้วจึงตั้งทิศตะวันออกไว้ที่จุดเจ้าชะตา ถือเป็นทางเข้าของธาตุเฉพาะตัวเจ้าชะตาเองเหมือนๆลัคนา ทิศนี้ใช้สำหรับธาตุเท่านั้น เพื่อให้รู้ว่าธาตุสำหรับเราจะเคลื่อนไปทางไหน หากจะดูทิศภูมิศาสตร์ก็ต้องไปดูจากทิศของโลก จุดเจ้าชะตาของโหราศาสตร์จันทรคติมีหลายแบบ ต้องไปเรียนเอาจากวิชานั้นๆ หรือถามตัวอย่างจากพวกวิชาเลข 7 ตัวบางแบบที่ใช้จันทรคติก็ได้ 3 / ก็ไม่ถูกอีก หากวรรคอักษรมีผลก็ต้องหมุนภูมิทักษาใหม่ อย่างเช่นสมมุติผมมีภูมิเสาร์เป็นจุดเจ้าชะตาในดวงเรา เป็นวรรคบริวาร ภูมิพุธก็เป็นกาลกิณีจึงจะถูก 4 / ก็เหมือนข้อ 3 / น่ะแหละ ทิศใดเป็นกาลกิณี เป็นศรีต้องนับจากจุดเจ้าชะตา เฉพาะตัว มิฉะนั้นก็จะเป็นภูมิทั่วๆไป

โหราศาสตร์จันทรคติใช้วงรอบจันทร์สำหรับอ้างอิงเวลาและตำแหน่ง การดูจันทร์เพ็ญ จันทร์ดับนั้นเกี่ยวกับดิถี ที่ใช้นับอิทธิพลของจันทร์ ไม่ได้นับเอาง่ายๆ ผมไม่อยากเปิดประเด็นนี้ หากเปิดก็จะมีคำถามไปเรื่อยๆ จนกลับไปที่เดิมไม่ได้ อีกราว 1 – 2 เดือนนี้ผมอาจจะต้องลาพักปิดกระทู้ไปราวร่วมครึ่งปี กำลังวุ่นๆเรื่องส่วนตัวทำให้ไม่ว่างเลย ต้องย้ายถิ่นฐานไปด้วย


วรกุล - 13 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:10น. (IP: 203.155.229.192)

ความคิดเห็นที่ 37
ขอบพระคุณคะอาจารย์ จะพยายามศึกษาต่อไปคะ

ขอให้อาจารย์รักษาสุขภาพด้วยนะคะ

ด้วยความเคารพ


ศิรพรรณ - 13 มิถุนายน พ.ศ.2550 22:12น. (IP: 161.200.255.162)

ความคิดเห็นที่ 38
ขอบพระคุณอาจารย์ที่สละเวลาให้คำแนะนำตอบคำถามและให้ความรู้ตลอดมา...ขอให้อาจารย์มีสุขภาพพลานามัยที่แข็งแรง และขอให้มีโอกาสได้พักผ่อนบ้างครับ


ศ.fa200 - 14 มิถุนายน พ.ศ.2550 00:06น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 39
ตอบคุณ หนูน้อย (ความเห็นที่ 35) ...........เรื่องนี้ก็เขียนมาตลอด วงรอบในธรรมชาติมีอยู่มากมาย การที่วงรอบใดแสดงเด่นขึ้นมาเพราะ 1 / สอดคล้องกับจักรวาลส่วนใหญ่ หากไม่สอดคล้องก็จะจางหายไป 2 / วงรอบใดที่มีกำลัง เช่น มหาทักษา เกิดจากพลังงานทำให้ทำงานซ้ำๆกันไม่รู้จบหลายชั้น เหมือนกับเราตีระฆัง พลังงานที่ทำให้ระฆังดัง นั้นเป็นทั้งเหตุและผลที่ต่อเนื่องกันไปหลายวงรอบ ทำให้ธาตุเกิดปฏิกิริยาขึ้นมา กระแสธาตุในจักรวาลนี้แม้กระทั่งกรรมของเรา ที่ถูกกระตุ้นด้วยวงรอบพลังงานเหล่านี้ ก็คือที่มาของการเกิดเรื่องราวจากทักษาต่างๆ และดาวเสวยอายุนั่นเอง


วรกุล - 14 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:22น. (IP: 203.155.229.208)

ความคิดเห็นที่ 40
สวัสดีค่ะ อ.วรกุล

มีคำถามมาขอคำชี้แนะค่ะ อาจไม่ค่อยเกี่ยวกับโหราศาสตร์ แต่อีกบอร์ดนึงแนะนำให้มาถามท่านน่ะค่ะ

สามีดิฉันอยู่กับดิฉันดีๆ ไม่มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งอะไรเลย วันนึงอยู่ดีก็หายไปซะเฉยๆ ติดต่อไม่ได้ มาทราบทีหลังว่าไปติดผู้หญิงหน้าตาขี้เหร่ และเป็นเด็กเที่ยวกลางคืน และตอนนี้เกลียดขี้หน้าดิฉันเอามากๆ แม้แต่พี่น้องเค้าเองยังงง ว่าทำไมเค้าถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้ หน้าตาหมองคล้ำ หงุดหงิดตลอดเวลา

พอจะแนะนำได้มั้ยคะ ว่าจะแก้ได้อย่างไรบ้าง หรือจะไปพบพระหรือผู้มีวิชาท่านไหน ในกรณีที่ไม่สามารถเอาเจ้าตัวไปได้ หรือทำอะไรกับเจ้าตัวได้เลย(เช่น ให้กินของ ใช้ผ้าถุงแม่ หรือถูกตัว)เพราะเจ้าตัวหนีหายไปอยู่กับผู้หญิงคนนั้น

ถ้าท่านพอทราบ หรือช่วยได้ ขอความกรุณาด้วยนะคะ(ขออนุญาตให้วันเกิดเค้านะคะ เพื่อจะประกอบการพิจารณาว่าจะแก้ปัญหานี้อย่างไร พุธ 28 กรกฎาคม 2525 เวลาประมาณ 19.00 น. กทม.ค่ะ)

ปล.มั่นใจมากค่ะ ว่ามันมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เพราะเค้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนภายในเวลาไม่กี่วัน


ทุกข์ใจมาก - 14 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:45น. (IP: 202.57.150.211)

ความคิดเห็นที่ 41
อาจารย์ครับความหมายของ ปรมเกษตร อตินิจ มหาอุจจ์ คืออะไรครับแล้วต่างกับ เกษตร นิจ อุจจ์ อย่างไรครับ


ต้น - 15 มิถุนายน พ.ศ.2550 01:09น. (IP: 203.113.50.14)

ความคิดเห็นที่ 42
เรียน อ.วรกุล ที่นับถือ

ผมขออนุญาติเรียนถามอาจารย์ว่า ถ้าผมจะไม่ใช้ทักษาในการอ่านพื้นดวงกำเนิดเลยจะได้ไหมครับ จะอ่านแบบเรือนสัมพันธ์กัน และอ่านความหมายดาว คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล ตามที่อาจารย์สอนในกระทู้ต้นๆ เท่านี้จะได้ไหมครับ เพราะพอเอาภูมิทักษา บริวาณ อายุ เดช ฯลฯ มาอ่านด้วยมันงงจังครับ อ่านเพียงที่ผมเรียนอาจารย์เท่านี้จะได้เรื่องไหมครับ (ในกรณีที่ผมอ่านไม่ผิด)

ที่ผมเรียนถามนี้ เพราะผมไปคุยกับหมอดูคนหนึ่ง เขาทักผมว่า "ทำไมคุณดูดวงไม่อ่านทักษาเข้าประกอบด้วย อ่านอย่างนี้มันจะไม่ได้ความหมายครบนะ" ผมจึงลังเลครับ ผมไม่อยากอ่านทักษาประกอบเลย มันยากครับ อ่านแค่คู่มิตร คู่สมพล คู่ธาตุ ได้แค่นั้นครับ เอา บริวาณ อายุ เดช ฯลฯ มาอ่านไม่ได้ครับ

อาจารย์ตอบผมเท่าที่พอจะเจียดเวลาได้เท่านั้นก็พอครับ ผมแค่ไม่มั่นใจในตัวเองน่ะครับ


หนุ่ม - 15 มิถุนายน พ.ศ.2550 07:00น. (IP: 210.246.80.29)

ความคิดเห็นที่ 43
ตอบคุณ ทุกข์ใจมาก (ความเห็นที่ 40) ...........ดูดวงแล้ว ดวงเขาก็จะมีเรื่องแบบนี้แหละครับ ปกติดวงใครไม่มีเรื่องแสดงอยู่ก่อน ใครมาทำไสยศาสตร์อะไรก็จะไม่ได้ผล กรณีของคุณน่าเห็นใจ หากตัดใจสงสัยเชื่อว่าไม่มีเรื่องส่วนตัวอะไรมาก่อนจริง แล้วมาเปลี่ยนแปลงเป็นแบบนี้ก็ฟันธงได้ว่า “ถูกของ” แน่ครับ ช่วง 2 ปีนี้ ดวงก็ยังอ่อนแออยู่ หากไม่มีเรื่องนี้ ก็อาจจะมีเรื่องร้ายแรงเป็นอันตรายต่อชีวิตได้เหมือนกัน ดูเปราะบางว่าจะคิดสั้นได้ ต้องระวัง

ที่จริงการแก้ไสยศาสตร์นั้น ควรจะต้องสืบสาวราวเรื่องให้ได้ก่อนว่า “ใครทำ” “ใช้วิชาอะไร” “ทำวิธีไหน” ผูกเงื่อนอย่างไรก็ตัดเงื่อนนั้นทิ้งไม่ยากนัก กรณีนี้แม้ไม่รู้คำตอบเหล่านี้ แต่ก็พอเดาวิชาและวิธีทำได้ แก้จริงๆก็แก้ได้ไม่ยาก แต่เจ้าตัวเขาต้องแก้เอง หรือร่วมมือด้วย ในเมื่อผู้กระทำทำแล้วบังคับให้เขาหลงใหลไป ที่ยากก็คือ เขาจะไม่ให้ความร่วมมือในการแก้ กลายเป็นเรื่องที่แก้ยาก เหมือนเราจะจับลิงที่บาดเจ็บขาหัก มาเข้าเฝือกใส่ยาก็จะหาย แต่ลิงไม่ยอมให้จับ อธิบายก็ไม่ฟัง นี่แหละครับเป็นปัญหามากที่สุด การที่จะแนะนำให้คุณไปแก้ หรือ ใครมาแก้โดยไม่มีเขาอยู่ด้วย จะได้ผลที่อ่อนเกินไป ยิ่งดวงมีสุขภาพทางจิตไม่ดีแบบนี้ ก็ยิ่งหวังผลได้ยาก

การทำไสยศาสตร์เสน่ห์ยาแฝดแบบนี้ มีวิธีคือทำให้ของเข้าตัวไป แล้วใช้วิญญาณพวกโอปปาติกะ(ผี)ข่มไว้ เพียงแค่นี้ หากนำตัวไปให้ผู้ที่รู้ดีแก้ให้ ไม่กี่ครั้งก็ถอนได้ แต่เขาจะรู้ตัวก่อนเพราะโอปปาติกะนั้นรู้ก่อนว่าจะถูกไล่ การแก้คือต้องทำไสยศาสตร์ซ้ำเข้าให้ แล้วหลอกให้เขากินของแก้เข้าไปสู้ ก็อาจจะทำให้เขาถูกของเดิมอาละวาดทำลายกลายเป็นคนไม่สมประกอบ ไม่ว่าร่างกายและจิตใจได้ เป็นคนไม่เต็มเต็งไปตลอด ส่วนการแก้ระยะไกลต้องใช้ผู้มีวิชาดีมาก ก็ทำได้ แต่ตอนนี้ยังแนะนำให้ไปหาตัวไม่เจอ หากเจอพวกหลอกลวงจะยิ่งแย่

มีวิธีที่แก้ได้ แต่ก็ติดขัดปัญหาวิธีการเหมือนกัน เมื่อเร็วๆนี้ คุณคงทราบข่าวที่มีคุณหมอคนหนึ่งที่ดูเหมือนถูกคุณไสย แล้วถูกจับส่งโรงพยาบาล อันที่จริงวิธีนี้ดีที่สุด เพราะไสยเวทระดับต่ำนี้ ยังควบคุมร่างกายและจิตใจได้ไม่เบ็ดเสร็จ การรักษาทางจิตเวช เป็นเรื่องที่ไม่ยากเลย แต่ในกรณีของคุณหมอท่านนั้น ญาติต้องใช้กำลังผู้รู้จักหรือมีเส้นสายพอสมควร เนื่องจากหากเป็นคนธรรมดา เราจับบังคับใครไปโรงพยาบาล ก็เสี่ยงต่อการผิดกฏหมาย และหากไม่มีคนไข้ไปด้วย หมอท่านก็ไม่รับ เนื่องจากมีงานล้นมืออยู่แล้ว ดังนั้น หากจำเป็นก็ต้องปรึกษาหมอจิตเวชตามโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งก็จะติดปัญหา คือหลอกให้เขากินยารักษาไม่ได้ จะพาตัวมาก็ไม่ได้อีกด้วย คนส่วนมากก็จะติดขัดเรื่องนี้ ทำให้ต้องหันไปทางไสยศาสตร์กันหมด

มีวิธีทางออกเรื่องนี้อยู่ แต่เป็นทางไสยศาสตร์ การที่จะแนะให้คุณทำอะไรเอง ไม่มีทางได้ผล เพราะคุณไม่มีอำนาจที่ฝึกมา คุณลองทำตามนี้ หนึ่ง หาองค์ทรงเจ้าแม่กวนอิม ควรเป็นทรงจริง เพราะ องค์เจ้าแม่กวนอิม ทรงเปลี่ยนและกำบังรูปได้ ผีชั้นกิ้กก้อกแบบนี้ จะมองไม่เห็นท่าน หากได้ทรงปางเมตตาก็จะดีมาก ถ้าหาไม่ได้จริงๆ ลองไปที่ ซอย 101/1 ถนนสุขุมวิท เขตบางนา เข้าถนนซอย 101/1 ไปราว 2 – 3 กิโลเมตร จะมีตลาดมหาสินทางขวา ทางด้านซ้ายตลาดมหาสินมีตึกแถว เข้าไปสัก 30 เมตรจะพบตึกแถวห้องตำหนักที่ใช้ทรง ถามใครก็ได้ โทรไปตรวจจองเวลาก่อน ที่ 02-398-5061 ผู้ไม่เกี่ยวข้องกรุณาอย่าโทรไปรบกวน เวลาทรงจะเริ่มราว 11 โมง แต่ต้องถามวันเวลาก่อน จดวันเดือนปีเกิดสามีไปให้ตำหนักเทียบเป็นจีนก่อน เอาเสื้อที่สามีคุณมักใส่ไปด้วย สัก 2 – 3 ตัว ร่างทรงเป็นหญิงใจดีมีเมตตา เรียนข้อเท็จจริงให้เจ้าแม่ท่านทราบ ท่านจะแนะนำและหาวิธีให้เอง มีคนแปลภาษาจีนให้ ปกติไม่ต้องเสียเงินอะไร มีเพียงค่าธูปเทียนเล็กน้อยตามศรัทธา ไม่ต้องเอาธูปเทียนของเราไป ท่านใช้ทางเมตตา จะช้า แต่ไม่มีอันตราย

สอง ที่บ้าน เอาใบต้นทับทิมอย่างน้อย 3 ใบ อธิษฐานบูชาพระพุทธในโบสถ์ไหนก็ได้ ที่เก่าแก่สักหน่อย เอาใบทับทิมชุบน้ำมนต์ในโบสถ์ กลับบ้านจุดธูป 3 ดอกระลึกถึงเจ้าแม่กวนอิม แช่ใบต้นทับทิมลงในถ้วยหรือขันน้ำ หากทำได้ก็ให้เขารดศีรษะเมื่ออาบน้ำ ถ้าทำไม่ได้ ไม่เป็นไร เอาใบทับทิมทั้ง 3 ใบซ่อนไว้ในหมอนของเขา เย็บตะเข็บคืนให้สนิท หรือจะซ่อนไว้ใต้ที่นอนบริเวณศีรษะที่เขานอนก็ได้ ถ้าเขาขอเปลี่ยนหมอนก็ย้ายใบทับทิมด้วย อย่าวางหมอนปลายเท้า อย่าเหยียบหรือนั่ง ทำได้เลยก่อนข้อหนึ่ง

สาม ลองติดต่อโรงพยาบาลจิตเวช เช่น รพ.บ้านสมเด็จ ศรีธัญญา กัลยาราชนครินทร์ ว่ามีแพทย์ผู้ให้คำปรึกษาโดยไม่มีคนไข้ไปด้วยได้ไหม คำตอบคาดว่าไม่ได้ ลองติดต่อ รพ.เอกชนที่ไม่แพง หมอมักอนุโลมให้ แต่โอกาสที่จะให้คนไข้กินยาคงหวังยาก ข้อนี้หากเราทำตามข้อ 1 / 2 / มาแล้ว อาการพอคุยกันรู้เรื่องได้จึงพามาหาหมอ หรือหลอกให้กินยา สักไม่กี่เดือนก็หายได้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร จะแนะนำชื่อคุณหมอให้ ตอนนี้ผมก็ไม่มีข้อมูลในมือ คงต้องวานคุณให้สอบถามเอง

อย่างไรก็ตาม ดวงเขาไม่พ้นเรื่องเหล่านี้ในอนาคตก็มีได้อีก ข้อควรระวังสำหรับเราทุกคนคือไม่กินหรือใช้ ในสิ่งที่มีผู้นำมาให้โดยไม่รู้ที่มาชัดเจน หรือของคนแปลกหน้า ถ้าไม่กินตลอดไปเลยยิ่งดี หากเสียดายของ ก็ยกให้ผู้อื่นไปเสีย จะไม่เป็นไร จะเลี่ยงปัญหาไสยศาสตร์สำหรับผู้มีจุดอ่อนได้

0000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ ต้น (ความเห็นที่ 41) ........... “ปรมเกษตร อตินิจ มหาอุจจ์” ภาษาอย่างเรา ก็หมายถึง ซุปเปอร์เกษตร ซุปเป้อร์อุจ อะไรแบบนั้นแหละครับ ปกติโหรมักหมายถึง “เกษตรแท้ นิจแท้ อุจแท้” เพราะดาวที่เป็นอุจ เกษตร นิจ ประ ในราศี ยังมีความดีเลวมากน้อยเหลื่อมล้ำกันอยู่ คำว่า “แท้” จึงมักหมายถึง “ดีแท้ เลวแท้” ซึ่งกลายเป็นความหมายที่หลวม เนื่องจากแต่ละคนให้เหตุผลไปตามทางที่ตนเองดู ดังนั้น การที่จะคุยกับใครจึงต้องรู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

1 / ตามความนิยมเสียงข้างมากลากไปในปัจจุบัน ถือว่าปรมเกษตร อตินิจ มหาอุจจ์ในราศี แล้วในดวงนวางค์ต้องเป็น เกษตร นิจ อุจ ด้วย คือเอาว่าเป็นเกษตร นิจ อุจ แน่ๆ บางคนถึงกับว่าเป็น “เกษตรบริสุทธิ์ ฯลฯ” อะไรประมาณนั้น 2 / กำหนดองศาของ อุจเกษตรนิจประในราศี หากได้องศานั้น ก็เป็น ปรมเกษตร อตินิจ มหาอุจจ์ 3 / แต่คนส่วนน้อยที่ไม่นิยมใช้ดวงนวางค์ตัดสินคุณภาพดาว และก็ไม่ถือว่าดาวเกษตร ประ อุจ นิจ เป็นดาวดีหรือเสีย แต่จะดูจากในดวงชะตา ถือว่าดาวเหล่านี้เมื่อกำลังสูงหรือต่ำสุด สุดเสกล จึงจะถือว่าเป็นปรมเกษตร อตินิจ มหาอุจจ์ อย่างสมมุติ เสาร์เป็นนิจ แล้วอังคารเจ้าเรือนเป็นนิจ เข้าไปอีก นี่ถือว่าเป็น “อตินิจ” ขั้นต้นๆได้แล้ว แต่ยังมีอตินิจที่เสียมากกว่านั้นอีกมาก ก็ถือเป็นอตินิจไปหมด ไม่ต้องตั้งชื่อแล้ว

ความเห็นที่ 3 / นี่แหละครับเป็นความหมายดั้งเดิมของ อตินิจ มหาอุจจ์ ในโหรไทย ส่วนความเห็นที่ 1 / และ 2 / มาทีหลัง เป็นความหมายของปรมเกษตร ซึ่งเป็นของโหราศาสตร์ต่างประเทศ เดิมไทยไม่มีปรมเกษตร มีแต่เกษตร ประเฉยๆ แต่เมื่อมีเกษตรที่ดีกว่าเกษตรทั่วไป บางทีก็เรียกว่า “มหาเกษตร” “ศุภเกษตร” “วัฒนเกษตร” “อุดมเกษตร” ฯลฯ แล้วแต่เรื่องราว ซึ่งเป็นการใช้เฉพาะวิชา แต่เดี๋ยวนี้กลายเป็นเรื่องของดวงนวางค์ และองศา มาตัดสินไปหมด แต่ไม่มีใครให้นิยามไว้ชัดๆ ใครอยากเรียกอะไรก็เรียกไป จะร้องเรียนแจ้งความอะไรก็ไม่ได้ ก็เพียงรู้เอาไว้เท่านั้น พูดมากไปเดี๋ยวก็มีคนว่าดูดวงนวางค์ ดูองศาไม่เป็นอีกจนได้ ตำราโหรเดี๋ยวนี้ ผสมผเสปนเปกันหมด ทั้งไทย ภารตะ ฝรั่ง มอญ ลาว จีน แขก ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้ว ขืนไม่พูดตามกันก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง


วรกุล - 15 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:23น. (IP: 203.155.228.63)

ความคิดเห็นที่ 44
ตอบคุณ หนุ่ม (ความเห็นที่ 42) ...........คุณอยากจะอ่านแค่ไหนก็อ่านได้นี่ครับ ตามที่ผมบอกวิธีอ่านนั้นก็ใช้อ่านได้แล้ว เหมือนกับมาถามว่า อยากจะกินข้าวผัดไม่ใส่พริกไทยได้ไหม คุณยังไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องอ่านมาก

....1 / เพราะดวงชะตาคนไม่เหมือนกัน การอ่านแบบง่ายๆนั้น บางดวงก็แปลความหมายออกได้ชัด แต่บางดวงก็แปลไม่ออก หรือกำกวม ดังนั้น การอ่านทางอื่นก็จะทำให้ชัดขึ้น หรือเลือกทางทำนายที่ถูกได้

.....2 / การที่ผมหยิบเอาส่วนง่ายมาบอกก่อน ก็เหมือนสอนว่ายน้ำ เพียงสอนให้ว่ายวัดวา พอให้ไม่จมน้ำและข้ามคลองได้ พอไม่ตื่นเต้นแล้วอยากจะว่ายออกแม่น้ำ คุณจะพบอุปสรรคและคลื่นลมอีกมากมาย ก็จะพบว่าว่ายวัดวามันเหนื่อย อาจจะต้องว่ายกรรเชียงหรือว่ายกบเพื่อผ่อนแรง ซึ่งเป็นเทคนิคที่แตกต่างกัน เหมือนอย่างเราเรียนและผ่านพบโหราศาสตร์มากเข้า เราจะพบว่ามีแง่มุมของชีวิตที่ควรต้องอ่านให้ออกเมื่อจำเป็นอีกมากมาย หากอ่านเพียงเรื่องง่ายๆ เช่น กินข้าว ไปทำงาน ไปโรงเรียน แต่พอมีผู้ถามเรื่องคอขาดบาดตาย เกี่ยวกับการตรวจสอบคุณสมบัติที่สำคัญๆ ที่มีผลมาก ว่าจะเดินไปทางไหน จะแนะนำอย่างไรดี เราจะไม่มีคำตอบในเรื่องนั้นๆเลย เพราะเราไม่ได้เรียนไม่ได้ใช้ ก็จะถึงทางตัน ดังนั้น การเรียนแต่ละเทคนิคเมื่อพบสถานการณ์ซับซ้อนมากขึ้น ก็จะตอบได้ ให้คำปรึกษาได้

......3 / การเรียนนั้น หากเราไม่รู้สึกถนัด จะไม่ต้องอ่านก่อนก็ได้ อย่างทักษา ไม่อยากอ่านก็อย่าเพิ่งอ่าน ขอเพียงให้อ่านวิธีของเราจนคล่องก็เพียงพอตอนนี้ เมื่อใดรู้สึกคล่องแล้ว ก็ลองเอาดวงเก่ามาอ่านเพิ่มทีละตัว เช่น อ่าน กาลกิณี อย่างเดียวทุกดวงชะตา ก็จะเห็นเองว่าพออ่านแล้ว กาลกิณีมันไปแสดงตัวอยู่ตรงไหน จนเราคล่องเรื่องกาลกิณี ขนาดเห็นดวงใครก็ทักได้แม่น วันหลังคุณจะเห็นเองว่า หากเราเปลี่ยนกาลกิณีไปเป็นตัวอื่น เช่น อายุ เดช ฯลฯ เราจะแทรกคำนี้ไปตรงไหน คุณก็จะชำนาญไปเอง และจะมั่นใจตัวเองมากขนาดฟันธงใครก็ได้ ผมเองก็แทบไม่เอ่ยถึงทักษาเลยเป็นเวลานานมาก เพื่อตัดความซับซ้อนลง และให้เห็นว่า เราก็ทำนายได้โดยที่ยังไม่ต้องดูทักษา อาจารย์บางท่านไม่ได้อ่านทักษาเลยก็มี เพราะในราศีจักรก็มีคำตอบเท่ากับทักษา แต่อยู่ในตอนหลังๆซึ่งคนส่วนมากยังเรียนไม่ถึง

ที่ผมตอบนี้ ผมบอกเหตุผลล่วงหน้าไปในอนาคตนั่นเอง แต่ตอนนี้จะใช้วิธีการในขอบเขตที่บอกก่อน อย่างมีสมาธิเพียงพอที่จะไม่หลงอ่านตามสิ่งที่ทำให้ให้เราออกนอกทาง นั่นแหละจะทำให้ชำนาญ วันหลังก็จะพัฒนาได้เอง และเป็นเร็วกว่าใครที่ยังอ่านดวงไม่เป็นเลย แต่จะเอาทั้งทักษา นวางค์ ตรียางค์ ดวงเมือง วางฤกษ์ ฯลฯ มาดูพร้อมกัน เหมือนกับคนที่ไม่ยอมหัดว่ายน้ำเลย แต่มาฝึกเคล็ดวิธีพลิกมือสับน้ำเข้าเส้นชัยว่ายน้ำโอลิมปิค หรือเหมือนคนที่มาด่าว่าครูที่ไม่ยอมบอกเคล็ดลับยิมนาสติคการควงตัวสามชั้นตีลังกาหลัง แต่เพียงบอกให้ก้าวเท้าเดินให้ตรงก่อนยังไม่ยอมหัดเลย การหัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ชำนาญไปทีละอย่างนั่นแหละจะให้เราเป็นเร็วกว่าคนที่หัดหลายอย่างแต่ไม่ชำนาญเลยสักอย่างเดียว


วรกุล - 16 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:37น. (IP: 203.155.228.109)

ความคิดเห็นที่ 45
มีคำถามมาขอคำชี้แนะค่ะ

เราก้อเป็นคนนืง ที่กำลังจะแต่งงานตกลงกับแฟนแล้ว แต่เราโดนมือที่ 3 (แฟนเก่า ) ราวี แล้วแฟนเราก้อเปลื่ยนไป จนห่างกันแล้ว ไม่ได้เจอกันเลย จนเค้ามาบอกเลิก เสียใจมาก แล้วมีคน บอกโดนของ แบบฝังรูป และโดนของต่ำ งง มากเลยทำงัยดี แฟนเกิด 20 กย 2520 เวลา 05.00 น กทม

รบกวนถามว่าโดนจริงไหมคะ

รู้มาว่าผู้หยิงคนนั้นเกิด 3 กพ 2521


ทุกข์ใจเหมือนกัน - 16 มิถุนายน พ.ศ.2550 23:48น. (IP: 124.120.47.84)

ความคิดเห็นที่ 46
ตอบคุณ ทุกข์ใจเหมือนกัน (ความเห็นที่ 45) ...........น่าเห็นใจที่ว่าทุกข์ใจ แต่ขอตัวไม่ตอบครับ ไม่อยากเปิดทำนายดวงชะตาในกระทู้นี้ และเรื่องชู้สาวก็เป็นเรื่องที่มีมากมายในสังคม ทุกรูปแบบ การตอบอะไรไป หรือไปถามใคร คำตอบนั้นไม่ว่าถูกหรือผิด ก็อาจจะทำให้เป็นที่ระแวงกันเปล่าๆ เป็นกรรมที่ไม่ดีสำหรับผู้ตอบ หมอดูเป็นผู้รับบาปกรรมแทนเจ้าของทุกข์อยู่แล้ว ก็ต้องใช้ความระวังในการกระทำกรรม ไม่ใช้พร่ำเพรื่อเกินไป


วรกุล - 17 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:06น. (IP: 203.155.229.214)

ความคิดเห็นที่ 47
กราบขอบพระคุณอ.วรกุลมากค่ะ

ดิฉันได้ติดต่อไปยังตำหนักเจ้าแม่กวนอิมท่านแล้วค่ะ ท่านที่รับสายแจ้งให้ไปเที่ยงของวันเสาร์ที่ 23 นี้ พร้อมกับนำ วัน เวลาเกิด ของสามีไปด้วย

ขอบพระคุณอาจารย์อีกครั้งนะคะ ที่ช่วยชี้แนะทางให้ ดิฉันก็ไม่ทราบอะไรเกี่ยวกับการทรงหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เท่าใดนัก นอกจากไหว้พระเข้าวัดตามธรรมดา อาจสนใจด้านโหราศาสตร์บ้าง แต่ไม่มีความรู้มากนัก และก็ไม่คิดว่าจะมาเจอเรื่องแบบนี้กับคนใกล้ตัวด้วย

ขอบพระคุณท่านมากค่ะ


ทุกข์ใจมาก (ความเห็นที่ 40) - 18 มิถุนายน พ.ศ.2550 12:19น. (IP: 202.57.156.165)

ความคิดเห็นที่ 48
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ เรื่องจุดเจ้าชะตาในภูมิทักษา ผมมีเรื่องสงสัยว่า การตั้งจุดเจ้าชะตาในภูมิทักษานั้นมีหลายวิธี ไม่ว่าจะตั้งจากวารเกิด และตั้งจากลำดับการเกิด และตั้งจากปีเกิด ซึ่งการตั้งจากปีเกิดก็มีทั้งแบบที่ให้นับตั้งต้นจากลำดับการเกิด และนับตั้งต้นที่ภูมิอาทิตย์ และหากพิจารณาหลายๆเกณฑ์ประกอบกันก็จะมีภูมิกาลกิณีเต็มไปหมด เช่น นายa เป็นบุตรชายคนที่2 เกิดปีฉลู วันพุธ ผลที่ตามมาก็คือ ภูมิอาทิตย์จะเป็นภูมิกาลกิณีของลำดับการเกิด และ ภูมิจันทร์จะเป็นภูมิกาลกิณีของปีเกิด และภูมิอังคารจะเป็นภูมิกาลกิณีของวารเกิด..โหราศาสตร์ไทยดั่งเดิมพิจารณาเรื่องนี้อย่างไรครับ แล้วในกรณีของทักษาจร การนับตั้งต้นจากภูมิวารเกิดเป็นวิธีการที่ครูโหรไทยใช้มาแต่ดั้งเดิมใช่หรือไม่ครับ รบกวนอาจารย์ช่วยปรับทัศนะให้ด้วยครับ.


ศ.fa200 - 18 มิถุนายน พ.ศ.2550 23:58น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 49
ขอรบกวน อจ วรกุลด้วยครับ

ผมบังเอิญพาคนรู้จักไปหาหมอดูผู้หนึ่งมา เค้าไม่คิดเงินแบบเจาะจง เต็มใจให้เท่าไหรเท่านั้น ตามอินเตอร์เน็ตนี่ ชื่อดังคนหนึ่งเลยครับ ใช้วิธีการดูโดยไพ่ยิบซี ผสมกับ ราศีจักร ทำนายเพื่อนผมได้แม่นมาก ผมจึงขอ ให้เค้าช่วยดูให้ด้วย เค้าดูให้ผมแล้ว บอกผมว่า พ่อผมกำลังแย่ ใกล้หมดบุญแล้ว เจ้ากรรมนายเวรกำลังตามติดอยุ่ ต้องรีบทำบุญ สังฆทาน กับบริจาคผ้าไตร หรือไม่ก็บริจาคพระพุธทณูป อะไรต่างๆครับ คือ ผมพูดไม่เก่งเท่าไหร ผมตอนนี้ นอนไม่หลับเลยครับ ห่างพ่อมา 3-4ปีแล้ว ปกติพ่อจะมีน้องสาวอยู่ด้วยเป็นเพือ่น แต่ตอนนี้น้องสาวขึ้นมา กทม อีกคน เลยต้องอยู่คนเดียว อาจารย์ช่วยเหลือผมสักนิดได้มั้ยครับ ถ้ามันเป็นอย่างไร อะไรจริงๆ ผมจะได้กลับ บ้านเกิด ไปอยู่กับพ่อผมทันที ไม่ต้องทำนายรายละเอียดให้ผมก็ได้ครับ แค่บอกผมหน่อยครับ ว่าผมต้องกลับบ้านทันที ผมจะไม่สนเรื่องเรียน เรื่องงานกลับทันที จะรีบพาน้องสาวกลับไปด้วย

พอ่ผมเกิดวันที่ 25 พฤษจิกายน 2501 เวลาไม่แน่นอน ไม่ 6 โมงเช้า ก็ 6 โมงเย็นครับ เกิดที่ จ.สุราษฎร์ธานี ปัจจุบัน รับราชการเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ แต่ไม่เจริญครับ เพราะหนี้สินจากการกู้ไปทำบริษัทกับเพื่อนแล้วเจ๊งเยอะ จำใจต้องหันมาปล่อยเงินกู้ควบไปด้วย เก็บดอกเบี้ย ร้อยละ 5 มีลูกค้า แม่ค้าเต็มไปหมดรักพอ่ผมทุกคนเพราะใจดีไม่มีก็ไว้ก่อน รูปร่างอ้วนกลม(แต่สมัยก่อนผอมเกร็ง) ผิวดำแดง ปากห้อย ไม่สูงเท่าไหร ประมาณ 165-170ซมมีพี่น้อง 4คน พอ่ผมเป็นคนที่ 3 มีโรคประจำตัวมากมายหลายโรคครับ เบาหวาน ความดัน หัวใจ ต้อหิน และอีกมากมาย ชีวิตเหนื่อยมาตลอดผมรู้ดี มีหนี้สินที่ไม่ได้สร้างมากมาย อันเก่าใกล้หมดอันใหม่แทรกเข้ามาไปรับของคนอื่นมาไว้ทั้งนั้นครับ หย่ากับแม่ผมนานแล้วครับ แต่ยังเจอกันตลอด คือไปๆมาๆหาผมกับน้องทุกวัน แต่ไม่ค่อยคุยกันกับแม่เท่าไหร

ผมเกิดวันที่ 22 ธันวาคม 2528 6.30 สุราฎร์ธานี

น้องสาวผมเกิด 31 ตุลาคม 2531 ประมาณ 10.00 น ทีเดียวกันครับ

ขออภัย อจ จริงๆครับ ที่ต้องรบกวน ทั้งๆที่ไม่อยากรบกวนให้ตรวจดวงเท่าไหร เพราะทราบว่า อจ.ไม่ค่อยว่าง แต่ผมร้อนใจมากเหลือเกินครับ กว่าจะพิมพ์เสร็จซักท่อนคิดนานเหลือเกิน ขอได้โปรดช่วยเหลือผมสักครั้งนะครับ ผมต้องการทราบแค่เรือง พ่อผมเท่านั้นครับ

ขอบพระคุณ อจ เป็นอย่างสูงครับ


แบงค์ - 19 มิถุนายน พ.ศ.2550 01:02น. (IP: 124.121.1.32)

ความคิดเห็นที่ 50
อจ ครับ มันเกี่ยวกับ ๗ กับ ๖ในดวงผม ที่มันอยู่ วินาศน์ กำลังจะย้าย ลงมาเรือนศุภะเล็งกันกับ ดาว ๘ และ ๐ รึเปล่าครับ รบกวน อจ ช่วยแนะนำได้รึไม่ครับ ว่า มันมีทางแก้ไขได้อย่างไรบ้าง ผมสุดๆแล้วครับตอนนี้ โทรไปหาพ่อ ก็บอกว่าปกติดี ไม่มีอะไร ไปหาหมอตลอด ยาก็กิน แต่ผมกลัวมากเลยครับ เห็นน้องสาวผมก็ลัคนา ราศีธนูเหมือนกันถ้าโรคจะกำเริบ โรคอะไรอจทราบหรือไม่ครับ จะป้องกันไว้ก่อน จะปลอดภัยรึเปล้าครับ


แบงค์ - 19 มิถุนายน พ.ศ.2550 11:02น. (IP: 124.121.2.202)

ความคิดเห็นที่ 51
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 48) ...........ทักษาเป็นแผนภูมิเดินของธาตุ ดังนั้น ใครเมื่อตั้งต้นเดินจากอะไรก็เป็นไปตามคุณสมบัติของสิ่งที่เดินนั้น การเดินทักษาจากจากอะไรเราจึงต้องทราบความหมายของสิ่งที่เดิน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ดังนั้น ที่ว่ามี “กาลกิณี” หลายตัว ก็เป็นกาลกิณี คือ ภูมิที่ธาตุในเรื่องนั้นอ่อนลง สลายลง อย่างเช่นเราเดินทักษาจากวารเกิด ซึ่งธาตุวารเกิดเป็นลำดับของธาตุที่สร้างเป็นสิ่งแวดล้อมรอบตัวเรา ดังนั้น จึงมีผลต่อร่างกายและจิตใจของเรา กาลกิณีจากวารเกิดก็คือจุดอ่อนในร่างกายและจิตใจเราเป็นเบื้องแรก เช่น พุธ เป็นกาลกิณี พูดจาไม่เรียบร้อย หยาบกระด้าง ดังนี้เป็นต้น เราอาจจะเข้าทักษาจากอะไรก็ได้ เช่น สมมุติเราบอกว่า ๑ เป็นการงานอาชีพประจำตัวเรา กาลกิณีคือ ๖ ก็จะเป็นจุดอ่อนของงานอาชีพประจำตัวเรานั่นเอง

แต่การเข้าทักษาแม้ว่าจะดูเป็นอิสระ อยากจะเข้าอะไรก็ได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ “ผล” ที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าทักษาเช่นนั้นต่างหาก เพราะหากวงรอบที่เราคิดขึ้น ไม่ได้มีส่วนสัมพันธ์กับตัวเราเลย ถึงแม้เราจะเข้าทักษาไปก็ไม่มีความหมายอะไร หลายวิชาที่เข้าทักษาจากธาตุที่สำคัญต่างๆ จึงต้องเข้าโดยมีหลักความสัมพันธ์ที่วางไว้ก่อน ต้องถามผู้สอนว่า การเข้าจากปัจจัยนั้น หมายความว่าอะไร และเกิดผลได้เมื่อใด

000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000000

ตอบคุณ แบ้งค์ (ความเห็นที่ 49) ...........ที่จริงคำถามของคุณไม่น่าตอบเลย ผมเคยเตือนในกระทู้นี้หลายหนแล้วว่า การที่เราไปให้ใครทำนาย จะเสียเงินหรือไม่ก็ตาม หากพยากรณ์แล้วเราไม่เชื่อหรือยอมรับไม่ได้ ก็ไม่ควรจะไปให้ทำนายแต่แรก คนที่ชอบหาหมอดูก็จะมีแต่รับเรื่องเหลวไหลมาใส่ในหัว พอคำทำนายไม่ดีก็เดือดร้อนต้องไปรบกวนใครต่อใครให้มาพิสูจน์คำทำนายเหล่านั้นให้ และก็ทำต่อไปเป็นทอดๆ อย่างสมมุติผมตอบว่า คำของหมอดูคนนั้นเชื่อถือไม่ได้ คุณก็คงยังระแวงแคลงใจ ต้องไปถามคนอื่นอีก หรือหากบอกว่าเชื่อถือได้ คุณก็ต้องไปหาคนมาพิสูจน์คำพูดนี้ซ้ำอยู่ดี แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ยิ่งคุณจะเชื่อจนถึงกับละทิ้งการงานกลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะเชื่อหมอดู หากไม่เกิดอะไรจริง ก็เป็นความเสียหายซึ่งไม่มีใครมาชดใช้ให้ คนโบราณเขาไม่ดูหมอกันมากเท่าคนเดี๋ยวนี้ เพราะคำหมอดูเหมือนสาปแช่ง หากแช่งว่าไม่ดี ก็อาจทำให้ไม่ดีจริงๆได้ จึงไม่มีใครดูหมอกันบ่อย สักปีหนึ่งดูสักทีก็ถือว่ามากเกินไปแล้ว

หมอดูบางคนก็มีอคติหรือเป็นโรคจิต ถ้าหญิง หรือ ชายมาถาม ก็มักทายว่าผัวมีเมียน้อย หรือเมียมีชู้ทุกคนไป แถมยังสำทับว่าหากไม่เชื่อ ให้ดูว่าแฟนของคุณถนัดขวาใช่ไหม หากเสยผมด้วยมือซ้ายแสดงว่าเขามีชู้ มีเมียน้อยเก็บไว้จริงๆ ตอนนี้เขากำลังวางแผนฆ่าคุณแล้วไปอยู่กับเมียน้อย ฟังแล้วก็เดือดเนื้อร้อนใจ ต้องไปหาหมอดูอีก 20 – 30 คน เพื่อให้ช่วยดูว่าคำทำนายนี้จริงไหม กับ คำทำนายว่า มีเคราะห์ หมดอายุ จะต้องตายแน่ๆ ได้ยินจนชินหู ไม่รู้สำนักไหนชอบสอนอย่างนี้

“เจ้ากรรมนายเวร” ตัวจริงก็ตัวเรานั่นแหละ ผลกรรมที่เรากระทำมันจะตามติดเราไปเหมือนเงาตามติดตัว หากถึงที่ตายแล้ว ถึงจะไปทำบุญ ทำสังฆทานอะไรก็ไม่ได้แก้ไขอะไรได้ เพียงแต่การทำบุญเช่นนั้น หากทำใจให้เป็นกุศลได้ก็จะได้อาศัยอารมณ์กุศลนี้ไปเกิดในสุคติภพถัดไปเท่านั้น ดวงคุณพ่อของคุณในเมื่อเวลาไม่แน่นอน หมอดูคนนั้นเขาจะทำนายจากอะไร หากใช้ไพ่ยิบซีก็มีผิดได้มาก ตรวจจากวันเกิดที่บอกมาหากเกิดตอนเช้า ก็จะมีเรื่องที่ไม่ดีมาหน่อย แต่ไม่ถึงกับตาย และก็ไม่ตรงกับคุณสมบัติส่วนตัวที่เล่ามา เกิดเวลาอื่นก็ดูไม่เข้าเค้า มีแต่ที่ว่าเกิด 6 โมงเย็นนั้นเป็นไปได้ เรื่องโรคภัยไข้เจ็บก็ยังคงเป็นอยู่ตามธรรมดา แม้จะมีกำเริบในช่วง 2 ปีต่อไปนี้บ้างก็ไม่เห็นหนักหนาถึงกับชีวิต เรื่องเงินทองจะเป็นปัญหาสำคัญมากกว่า และต้องระวังเงินทองที่ได้มาจากการทำผิดศีลธรรม เช่น เกี่ยวข้องกับค้ายาเสพติดและการพนัน จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นเรื่องราวที่ไม่ดีได้ แต่ถ้าไม่ไปข้องแวะกับเรื่องผิดศีลธรรม ดวงน่าจะมีลาภผลดี อีก 2 – 3 ปีข้างหน้า

เรื่องใครจะหมดอายุ หมดบุญ หมอดูดูไม่ได้หรอก เพียงแต่ไปเข้าใจกันผิดเองว่า อะไรที่เกี่ยวกับความตาย แสดงว่าจะตาย ซึ่งในดวงคุณพ่อของคุณ ก็ไม่มีเรื่องอะไรทำนองนี้ นอกจากจะคิดทำร้ายตัวเอง ก็ไม่มีใครคาดเดาได้ ดวงของเจ้าชะตามีจุดอ่อนที่ต้องระวังอุบัติเหตุที่อาจจะไปทำให้ใครบาดเจ็บ และระงับอารมณ์ ไม่ไปทะเลาะกับใครจนเป็นเรื่องรุนแรงเท่านั้น เพราะสาเหตุเช่นนี้แหละจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำลายตัวของเขา มากกว่าโรคภัยไข้เจ็บเสียอีก


วรกุล - 19 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:26น. (IP: 203.155.229.154)

ความคิดเห็นที่ 52
ขอขอบพระคุณ อจ วรกุลมากครับ ตอนนี้ผมซึ้งมากเหลือเกินแล้วครับ ผมเองเพราะหุนหัน คิดไม่ดี จึงต้องเข้ามาขอรบกวน อจ และด้วยกังวลมากเรื่องนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ต้องขอโทษ อจ ด้วยจริงๆครับ จริงๆเมื่อวานพอได้ฟังผมก็เงียบพูดไม่ออกทันที เพราะเค้าทราบถึงพ่อผมมีโรคภัยอะไรเยอะ ใจผมไม่อยากปักใจเชื่อ แต่มันก็ลังเลสับสนมากเลยครับ ผมเป็นคนคิดมากเรื่องแบบนี้อยู่แล้วพอโดนกระทบก็แย่มากเลยครับ ผมจะจำคำสอนของ อจ ไว้ฝังใจเลยครับ ผมทราบแล้วครับว่าถ้าถึงที่จริงๆคงไม่มีใครช่วยอะไรได้แล้ว ดูท่าผมคงไม่เหมาะกับโหราศาสตร์เท่าไหร เพราะคิดมากนี่เองครับ แถมเชื่อคนง่ายอีกด้วย

ขอขอบพระคุณ อจ มากครับ ที่ได้แนะนำสอนผมให้เข้าใจอะไรมากขึ้นครับ


แบงค์ - 19 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:47น. (IP: 124.121.8.249)

ความคิดเห็นที่ 53
เรียน อาจารย์วรกุลครับ

พอดีผมได้ไปตั้งกระทู้เกี่ยวกับดาว เกตุ ที่กระทู้ของอาจารย์การเวก ท่านได้แนะนำให้มาโพสต์ถาม ที่กระทู้อาจารย์แทนครับ เข้ามาเวบนี้ ตั้งนานไม่เคยเข้ากระทู้ ของอาจารย์เลย พอดี อาจารย์การเวก แนะนำมาเลยลองคลิกเข้ามาดู ได้ความรู้เยอะมากเลยครับ

คือผมอยากทราบเกี่ยวกับดาว เกตุ ที่อยู่ราศี กรกฎ (ภพพันธุ)(ลัคน์เมษ)น่ะครับ ว่าจะทายเกี่ยวกับการสัมผัสทางด้านจิตวิญญาณ ได้หรือเปล่า แล้วยิ่ง ถ้ามีมฤตยูเล็งลัคน์ กับพฤหัสที่เป็นเกษตร แต่อยู่เรือนวินาศน์ ด้วยแล้ว จะหนีเรื่องพวกนี้พ้นมั้ยครับ เพราะ บางครั้งจะรู้สึกเหมือนตัวเองแปลกๆ ไม่เหมือนคนอื่น บางทีก็อยากจะยอมรับว่าเรื่องพวกนี้มีจริงนะแต่บางทีก็คิดว่า อืม มันคงไม่จริงหรอก มันไร้สาระจะตาย อะไรแบบนี้เป็นต้นน่ะครับ แล้วอีกเรื่องคือ ผมรู้สึกว่าจะเรียนโหราศาสตร์ไม่สำเร็จสักที ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พอจะเริ่มได้เรียน ก็มักจะมีเหตุการณ์มาทำให้ ต้องอดเรียนทุกครั้งไป (เรื่องนี้เป็นบ่อยมาก)และรบกวนถามอีกเรื่องนึงคือ คนที่สวดมนต์บ่อยๆ มีโอกาสที่จะโดนพวกคุณไสย หรือว่าโดนของ ได้มั้ยครับ ยังไงรบกวนสอบถามแค่นี้ก่อน ขอบคุณมากครับที่กรุณาสละเวลามาตอบให้


ซำเหมา ^_^ - 19 มิถุนายน พ.ศ.2550 20:19น. (IP: 210.246.72.126)

ความคิดเห็นที่ 54
กราบเรียน อ.วรกุลที่เคารพ

ที่จริงตามอ่านข้อเขียนของอาจารย์อยู่เกือบทุกวันค่ะแล้วก็กลับไปอ่านของเก่าด้วย ไม่ทราบว่าจะพูดยังไงดีค่ะ ดีจริงๆ ขอขอบพระคุณอาจารย์มากค่ะ


จีน - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 01:46น. (IP: 125.24.216.80)

ความคิดเห็นที่ 55
มีความรู้สึกเหมือนคุณจีนค่ะ ติดตามอ่านตลอด วันนี้มาที่ทำงานเร็วก็รีบออนไลน์เข้ามาอ่านทันที ยิ่งอ่านคำตอบข้างบนให้คุณแบงค์ก็ยิ่งซึ้ง เมื่อก่อนก็ชอบไปดูหมอดูเหมือนกัน แต่เลิกทำอย่างนั้นมาหลายปีแล้ว เพราะเวลาหมอดูบอกว่าไม่ดีหรือบางทีโชคร้ายเพื่อนพาไปดูหมอที่เขาไม่ค่อยสุภาพก็ทายหยาบคาย กลับบ้านหงุดหงิดยิ่งไปกว่าเดิม เลิกดูหมอไปนานแล้วค่ะ แต่ยังคงอ่านตามนิตยสาร

พอดีวันนี้อ่านในนิตยสารฉบับหนึ่ง ทึ่งมาก เพราะเขาทายว่าคนราศีนี้(ราศีของดิฉัน)ระวังเคล็ดขัดยอก ทำไมเขาทายตรงมากทั้งๆที่ทายคนทั้งโลก ดิฉันกำลังเข้าเฝือกนิ้วอยู่เพราะไม่เจียมตัวไปนับสต๊อกสินค้าเหล็ก นิ้วโป้งทั้งสองนิ้วปวดบวมอักเสบเคล็ดต้องเข้าเฝือก บางมีอ่านตามนิตยสารจะไปว่าเขาว่าทายหว่านแหก็ไม่ได้เต็มปาก ปะเหมาะบางทีก็มีแม่นเหมือนกัน

แค่อยากคุยกับอาจารย์มั้งค่ะ เห็นเครื่องนี้มีเข้ามาในกระทู้อาจารย์บ่อยมาก ดิฉันเองก็เลยติดตามกระทู้อาจารย์ด้วย ไม่มีอะไรรบกวนถามอาจารย์ค่ะ ขอบพระคุณที่อาจารย์เขียนความรู้โหศาสตร์ให้อ่านเป็นความรู้กัน


อิม - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 06:31น. (IP: 210.246.80.70)

ความคิดเห็นที่ 56
เรียนอ.วรกุลค่ะ

อาจารย์คะ รบกวนช่วยแจ้งผู้ดูแลเวบ ให้ช่วยลบวันเดือนปีเกิดของสามีดิฉันออก จาก40 ได้มั้ยคะ เกรงว่าจะมีผู้ไม่หวังดี มานำไปผูกโดยคิดในทางไม่ดีน่ะค่ะ และที่ดิฉันแจ้งวันเกิดสามีกับท่านก็เพื่อประกอบการพิจารณาในการให้คำแนะนำ มิได้ตั้งใจจะให้ท่านทายดวง เพราะทราบดีว่ากระทู้นี้เปิดขึ้นเพื่อให้ความรู้ทางโหราศาสตร์ มิใช่เพื่อทำนายเฉพาะ

ขอความกรุณาท่านอาจารย์ด้วยนะคะ


ทุกข์ใจมาก - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 12:58น. (IP: 202.57.156.239)

ความคิดเห็นที่ 57
ตอบคุณ ซำเหมา ^_^ (ความเห็นที่ 53) ...........ปกติ เกตุเป็น 4 และมฤตยูเล็งลัคน์ เป็น 7 ก็เป็นเกณฑ์จตุโกณส่งธาตุถึงลัคนาอยู่แล้ว พฤหัสวินาสน์เป็นเกษตร เหมาะกับการเรียนวิชาลึกลับ แต่เกรงว่ารูปดาวแบบนี้จะเป็นวิชาที่เปิดเผยได้ยาก หรือลึกลับเกินไปอย่างไสยศาสตร์เวทย์มนต์มากกว่าจะเป็นโหราศาสตร์ นี่ยังไม่ได้กล่าวถึงว่า ดี หรือไม่ดี อย่างไร เพราะการที่พฤหัสเป็นวินาสน์ ทำให้เรียนชนิดเป็นรูปแบบต่อเนื่องมักขัดข้อง ต้องเรียนแบบผ่อนส่ง หรือ ไปทีละท่อนตามความหมายของพฤหัสวินาสน์(ขาดๆหายๆ) ถ้าเป็นการศึกษาสามัญ ก็เป็นการศึกษานอกโรงเรียนนั่นเอง หากเรียนลักษณะนี้ก็จะสำเร็จด้วยดี เมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เนื่องจากพฤหัสเข้ามุมตรีโกณแก่เกตุ ต่อไปอาจจะเชี่ยวชาญเป็นอาจารย์ได้

การที่เกตุ มฤตยู เปิดให้ลัคนารับสิ่งเหนือธรรมชาติได้มีทั้งดีและไม่ดี เพราะหากการคุ้มครองดวงชะตาไม่ดีลักษณะเช่นนี้จะกลายเป็นจุดอ่อนทางสุขภาพจิต และร่างกาย อาจจะเกิดโรคภัย โรคประจำตัว โรคทางจิตใจที่หายยาก ในขั้นกลางๆ อาจจะเรียนทางวิชาเก่าโบราณได้ดี มีลางสังหรณ์ มักได้รับหรือขุดค้นได้สิ่งแปลกโดยไม่คาดคิด แต่การยุ่งเกี่ยวกับเรื่องลึกลับอย่างไสยศาสตร์ก็จะเสี่ยงด้วย เพราะมฤตยูเล็ง แต่พฤหัสหลบลัคนา หากดวงชะตาไม่ดี หรือ มีกำลังอ่อนวันใด ก็เป็นผลเสียได้ทั้งนั้น อย่างตัวคุณ ก็ควรหลีกเลี่ยงการร่วมพิธีทางไสยศาสตร์ การทรง การครอบครู ที่ไม่เหมาะแก่ตน (เช่น ครอบครูนาฏศิลป์ โดยไม่ได้หากินทางนี้) ระวังไม่รับการเจิมจากคนทรง หรือแม้แต่การรดน้ำมนต์ที่ไม่ใช่น้ำพระพุทธมนต์จากใครก็ตาม

การสวดมนต์ ต้องดูว่าสวดมนต์อะไร หากสวดบูชาคุณพระรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือ ถือศีล ภาวนา ก็จะถูกคุณไสย หรือ ไสยศาสตร์ทั่วไปที่ไม่เจาะจงได้ยาก เว้นแต่ ถูกมุ่งกระทำโดยตรง ต้องพิจารณาแต่ละคนซึ่งมีแรงต้านทานไม่เหมือนกัน แต่ถ้ามักสวดมนต์พวกที่ชอบอัญเชิญ เชิญ สิ่งต่างๆ เช่น เชิญเทพเทวดา อะไรแบบนี้ ทำให้กายสังขารเปิดง่าย หากพื้นฐานของจิตไม่ดี อาจจะถูกมนต์ ของลึกลับ หรือวิญญาณชั้นต่ำเข้าสิงได้ง่ายขึ้น


วรกุล - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:23น. (IP: 203.155.229.242)

ความคิดเห็นที่ 58
เห็นอาจารย์วรกุลบอกกล่าวว่าจะ้ต้องว่างเว้นกระทุ้นี้ไปอีกหลายเดือนแล้วเสียดายครับ

ผมได้ติดตามอ่านกระทู้ของอาจารย์มาตลอด

ได้เรียนรู้และทำความเข้าใจเพิ่มเติมอย่างเอกอุอย่างที่หาที่ไหนไม่ได้ เพราะความรู้ที่อาจารย์มอบให้เป็นวิทยาทานนั้นมีค่ามากเหลือประมาณ

ยอมรับว่าหลายๆครั้งผมยังไม่ค่อยเข้าใจบทความที่อาจารย์เขียนนัก

แต่พอเวลาผ่านๆไปเหมือนมันซึม เอากลับมาคิดมาทบทวนบ่อยๆก็เกิดเห็นภาพเกิดความเข้าใจขึ้นมาก็มี

อาจารย์ครับผมตั้งใจว่าผมจะรวบรวมบทความของอาจารย์ที่โพสต์ไว้ทั้งหมดตั้งแต่ต้น(หลายปีทีเดียว)ซึ่งผมเก็บรวบรวมไว้ เอาไปใส่ในบลอก

เพื่อง่ายและสะดวกแก่การค้นข้อมูล

เพราะในกระทู้จะมีถามตอบ และค้นหัวข้อได้ช้าต้องไล่ดูทุกกระทู้ซึ่งบางทีใช้เวลานาน

ผมเริ่มต้นไปบ้างแล้ว

แต่ที่สุดแล้วผมคิดว่าควรจะมาขออนุญาตอาจารย์ก่อน

จึงเรียนมาเพื่อขออนุญาต

และสุดแล้วแต่อาจารย์จะเห็นสมควรครับ


จีระนันท์ - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:48น. (IP: 124.121.36.241)

ความคิดเห็นที่ 59
ตอบคุณ ทุกข์ใจมาก (ความเห็นที่ 56) ...........ผมเองก็เป็นผู้โพสต์ข้อความขาจรเหมือนกันครับ เข้าใจว่า wm คงจะมาตรวจข้อความอยู่บ่อยๆ ถ้าเห็นก็คงลบออกตามความประสงค์ของคุณ ถ้าทำได้ แต่ที่คุณคิดว่าจะมีคนนำวันเดือนปีไปคิดในทางไม่ดี หากหมายถึงเอาไปทำพิธีกรรมอะไร ก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ หากเป็นคนไม่รู้จักก็ทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเป็นคนรู้จัก วันเดือนปีนั้นก็ไม่ได้สื่อให้เป็นผลอะไร แม้ไม่มีวันเดือนปี คนที่จะทำก็ทำได้อยู่แล้ว


วรกุล - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 17:00น. (IP: 203.155.228.24)

ความคิดเห็นที่ 60
ขอบพระคุณ อาจารย์วรกุลมากครับ ตอบโดนใจเหลือเกิน


ซำเหมา ^_^ - 20 มิถุนายน พ.ศ.2550 19:44น. (IP: 210.246.69.32)

ความคิดเห็นที่ 61
เรียนถามอาจารย์วรกุลครับ.. เรื่องตรีวัย ครับ ตามหนังสือต่างๆ ได้เขียนลำดับของตรีวัยไว้ ดังนี้... ตนุ กดุมฎะ กรรมมะ , สหัสชะ ศุภะ ลาภะ , พันธุ ปุตตะ ปัตนิ , อริ มรณะ วินาศ ผมมีความสงสัยเรื่องที่มาที่ไปของตรีวัยว่า ลำดับของดาวเจ้าวัยที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อดวงชะตาเรานั้น ลำดับต่างๆมาจากอะไร เช่น ทำไมลำดับที่2 จึงเป็นกดุมฎะ ทำไมลำดับที่3จึงเป็นกรรมมะ ทำไมลำดับที่4จึงเป็นสหัชะ เป็นต้น และผมยังสงสัยต่อไปอีกว่าหากลำดับต่างๆนั้นมาจากปรัชญาการดำเนินชีวิตปกติของคนเรา ระยะเวลาช่วงวัยต่างๆของแต่ละคนเท่ากันหรือ ? หากจะว่าวัยกรรมะ คือวัยของการทำงาน แต่ละคนก็มีระยะเวลาของการทำงานไม่เท่ากัน บางคนเริ่มทำงานตอนอายุ 25ปี แต่บางคนก็เริ่มทำงานตอนอายุ18ปีเท่านั้น และบางคน60ปีแล้วยังต้องทำงานหนักหาเลีย้งชีพอยู่เลย ซึ่งไม่ตรงกับลำดับวัยกรรมะที่ตำราส่วนใหญ่ให้เริ่มที่ 16ปี 8 เดือน จนถึง 25ปีเต็ม... ตัวเลข8ปี4เดือนมาจากวงรอบธรรมชาติอะไรหรือเปล่าครับ..หากไม่ได้มาจากวงรอบหรืออัตราการเคลื่อนที่ของอะไร เราก็สามารถกำหนดให้วัยหนึ่งๆสั้นหรือยาวนานมากกว่านั้นก็ได้ใช่หรือเปล่าครับเช่น 5ปีหรือ9ปีเป็นต้น


ศ.fa200 - 21 มิถุนายน พ.ศ.2550 00:35น. (IP: 202.69.143.90)

ความคิดเห็นที่ 62
ตอบคุณ จีระนันท์ (ความเห็นที่ 57) ..........ที่ผมอาจจะต้องพักกระทู้ก็เพราะเรื่องที่ทำมาหากินส่วนตัวที่ต้องดูแล ราว 2 – 3 เดือนข้างหน้า กำลังจะต้องย้ายถิ่นฐานไปไกลจากที่อยู่นี้และก็ต้องใช้เวลาเซ็ทอะไรหลายอย่างทำให้ไม่มีเวลา ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีเวลาอยุ่แล้วแม้แต่จะเข้าเน็ท ได้แต่อาศัยหลานๆซึ่งตอนนี้ก็ไปโรงเรียน (เปิดเทอม) ทำการบ้านอยู่ ช่วยโพสต์และเซฟให้ เรื่องข้อเขียนจะเอาไปใส่บล็อกก็ตามใจครับ ไม่แน่ใจว่าต้องขอwmที่นี่ด้วยหรือไม่ แต่ผมยังเขียนไม่ได้ละเอียดเท่าที่ต้องการจะเขียน การเขียนเป็นหนังสือนั้นช้ากว่าพูดมาก แต่ก็มีเวลาเรียบเรียงได้ดีกว่า ยังเสียดายหลายเรื่องที่ยังเขียนออกมาไม่ได้ หากไม่ว่างจริงๆอาจจะเข้ามาราวเดือนละ 2 – 3 ครั้ง มีงานวิชาการบางอย่างที่จำเป็นต้องทำด้วย ล้วนแต่ต้องใช้เวลามาก


วรกุล - 21 มิถุนายน พ.ศ.2550 04:54น. (IP: 203.155.229.30)

ความคิดเห็นที่ 63
ตอบคุณ ศ.fa200 (ความเห็นที่ 61) ..........วัยของตรีวัยไม่ได้มาจาก “ชื่อ” ของเรือน ตนุ กดุมภะ กัมมะ ฯลฯ นี่ครับ การที่นับเรือนเหล่านี้จากตนุเศษ ก็เพื่อที่จะเอาเกษตรเจ้าเรือนเหล่านี้มาตั้งเป็นวัย เมื่อตั้งเป็นวัยแล้ว ชื่อเรือนเหล่านี้ก็ไม่ได้ใช้โดยตรงอีก แต่จะเอาไปใช้ทางอ้อม ซึ่งบางคนก็ใช้ บางคนก็ไม่ได้ใช้ แต่ก็ไม่ได้เอาความหมายองเรือน “ตนุ กดุมภะ กัมมะ ฯลฯ” มาใช้แสดงชีวิตมนุษย์ ดังนั้น ที่ว่า “วัยกัมมะ เริ่มจาก 16 ปี 8 เดือน ถึง 25 ปี” จึงไม่ใช่ ต้องแก้เป็นว่า “เจ้าเรือนกัมมะเกษตรเริ่มแสดงอิทธิพลจาก 16 ปี 8 เดือน ถึง 25 ปี” เช่น ตนุเศษอยู่ เมษ เสาร์ ๗ ก็คือกัมมะเกษตร หมายถึง วัย ๗ เริ่มแสดงอิทธิพล จากอายุ 16 ปี 8 เดือน ถึง 25 ปี แต่จะเป็นอิทธิพลอย่างใด ต้องไปสอนกันในวิธีดูดวงชะตาจากตรีวัย

ส่วนตัวเลข 8 ปี 4 เดือนนั้น เกิดจากการ เอา 25 ปี หารด้วย 3 เพราะถือว่าวัยมนุษย์มี 100 ปี แบ่งเป็น 4 ช่วง ช่วงละ 3 วัย (ตรีวัย) รวม 25 ปี ตัวเลขเหล่านี้เป็นอัตราส่วนของเกณฑ์ที่ได้มาจากฐานวงรอบราศีจักรตามอัตราโคจรของดวงอาทิตย์ มีการใช้ 108 ปีซึ่งเป็นตัวเลขอ้างอิงของระบบทั้งในทักษาและราศีแทน ทำให้แต่ละวัยตกวัยละ 9 ปี ซึ่งการใช้ตัวเลขอะไรนั้นมีเหตุผลลึกๆอยู่ หลายท่านก็ไม่ได้ใช้ตัวเลขนี้ การใช้ตัวเลขอื่น โดยทฤษฎีนั้นทำได้ แต่หากตัวเลขไม่สอดคล้องกับจักรวาล ก็นำมาใช้ได้จำกัดมาก เพราะการตรวจตรีวัยนั้น ก็เพื่อนำมาใช้ในการดูดวงชะตา หากใช้อัตราที่ไม่ได้ประโยชน์ ก็จะใช้พยากรณ์จรไม่ถูกด้วย


วรกุล - 21 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:32น. (IP: 203.155.228.164)

ความคิดเห็นที่ 64


เคยได้ครับความอนุเคราะห์จากอาจารย์ มาครั้งหนึ่ง เรื่องดวงชะตาที่รุ่งเรืองในบั้นปลายของชีวิต ก็รู้ตัวว่าต้องไปศึกษาต่ออีกมาก เลยย้อนไปอ่านบทความของอาจารย์ในกระทู้เก่าๆ ก็ยอมรับครับว่ายังเข้าใจไม่หมดครับ แต่ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากครับ

หลังจากได้อ่านติดตามอ่านความรู้ของอาจารย์ต่อมา พอดีได้เจอคำอธิบายเมื่อเร็วๆ นี้ของอาจารย์เรื่อง อริ มรณะ และ วินาศน์ ให้คุณ ก็เกิดข้อสงสัยขึ้นอีกแล้วครับ ต้องกลับไปทบทวนความรู้ต่ออีกซักพัก แต่ก็ยังสงสัยครับ คือว่า แล้วอย่างนี้เวลาตีความว่าดาวใดจะให้คุณ โทษ ควรมีหลักอย่างไรดีครับ เพราะเท่าที่ติดตามอ่านมา แม้แต่ดาวคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล ก็ยังให้โทษได้ (สมมุติว่าไม่นับเรื่องทักษาน่ะครับ พอดีผมไม่ค่อยสันทัด)

เดิมนั้น ผมถือตลอดว่า คู่ดาว 3 คู่นั้น (คู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพล) ให้คุณเสมอ รวมทั้งดาวมาตรฐานดีต่างๆ ถ้าถึงลัคน์แล้วให้คุณ ส่วน 3 เรือนดังกล่าวนั้นให้โทษ จะมีกรณีที่ให้คุณได้ก็ต่อเมื่อ เจ้าเรือนทั้ง 3 นั้น ครองเรือนอื่นด้วย (เกษตรระบบ 2 เรือน) เช่น ปุตตะ-มรณะ จากไปหาสิ่งใหม่ๆหรือชีวิตใหม่, อริ-ศุภะ ผ่านอุปสรรคไปหาความเจริญก้าวหน้า เป็นต้น แต่ถ้าครองเรือนเดียว เช่น อาทิตย์ จันทร์ และราหู นั้น เวลาเป็นเจ้าเรือน 3 เรือนดังกล่าว ผมตีความว่าให้โทษอย่างเดียว (โดยเฉพาะดวงกำเนิด – ดวงจรยังดูไม่ค่อยได้เลยครับ) – ไม่ทราบว่าพอถือเป็นหลักกว้างๆ ได้หรือไม่ครับ???

นอกจากนี้ สำหรับดาวที่ครอง 2 เรือนนั้นตามสูตรผมก็คือ ต้องผ่านร้ายก่อนดี “เสมอ” ซึ่งก็ทำให้หลายครั้งผมงง เวลาเจอกรณี ดีก่อนร้าย พวกที่รวยมาจน หรือ เสียคนตอนแก่ นี่แหละครับ

ผมขอยกตัวอย่าง เพื่อรบกวนอาจารย์วรกุล ช่วยอนุเคราะห์ด้วยครับ คือว่า เมื่อพูดถึงเรื่อง 3 เรือนให้โทษนี้ ว่าสามารถให้คุณได้ ผมสังเกตุว่าคนที่มีลัคน์ราศีกรกฎนั้นมีดาวเจ้าเรือน อริ มรณะ วินาศน์ เป็น คู่ธาตุ คู่สมพล และคู่มิตร กับดาวเจ้าเรือนลัคน์ ตามลำดับ ผิดกับราศีอื่นที่อย่างน้อยต้องมีเรือนหนึ่งในสามเป็นคู่ศัตรู (เมื่อเป็นเรือนให้โทษ และเจ้าเรือนยังเป็นคู่ศัตรู ก็พอทำให้คิดได้ว่า เมื่อเจ้าเรือนนั้นมามีอิทธิพล ก็น่าจะเป็นด้านโทษชัดเจน) อย่างนี้ พอจะเป็นหลักได้หรือไม่ครับ ว่าคนราศีนี้จะได้รับคุณจาก 3 เรือนดังกล่าว

ขออนุญาตสมมุติดวงชะตาหุ่นของคนที่มี ลัคน์อยู่กรกฎ ที่มีดาวทั้ง 3 “ถึง”ในแบบต่างๆ นะครับ เช่น จันทร์ก็อยู่ ตุลย์ กุมพุธ (คู่มิตร-วินาศน์) ราหู (คู่สมพล-มรณะ) ก็มาเล็งอยู่เมษ พฤหัส (คู่ธาตุ-อริ) ก็มากุมลัคน์อีก เป็นอุจจ์ด้วย (สมมุติให้เป็นเป็นราศีทวารและมุมสัมพันธ์แรงๆ น่ะครับ) อย่างนี้จะตีความอย่างไรดีครับ ว่าตกลงว่าเจ้าเรือนลัคน์ได้รับ คุณหรือโทษ (โดยเฉพาะ ราหู ซึ่งเป็นเจ้าเรือนมรณะโดดๆ) และจะได้รับอย่างไร (ถ้าต้องดูดาวเจ้าเรือนที่จันทร์อยู่(กรณีนี้เป็นศุกร์) ผมสมมุติให้อยู่กันย์นะครับ – เป็นเรือนที่ความหมายกลางๆ)

อาจารย์ครับ กรณีชะตาหุ่นที่ยกตัวอย่าง ดาวเจ้าเรือนให้โทษ ถึงเจ้าเรือนลัคน์หมด และต่างก็ถึงกันเองด้วยในมุมแรงๆ ทั้งสิ้น ถือเป็นการให้น้ำหนักรวมหรือไม่ครับ (หมายถึงซ้ำเติมกันให้หนักยิ่งขึ้น) ถ้าเป็นอย่างนั้น ความเป็นคู่มิตร คู่ธาตุ คู่สมพลก็สามารถรวมกันออกฤทธิ์ทางลบต่อจันทร์ (โดยเฉพาะ เมื่อศุกร์ซึ่งเป็นเจ้าเรือนที่จันทร์อยู่ก็อ่อนกำลังด้วย) ใช่หรือไม่ จันทร์ดวงนี้ถือว่า “ยับเยิน” หรือไม่ครับ

การตีความตรงนี้ ผมก็มีความสงสัยที่มาจากหลักการที่ว่า เวลามีดาวหลายดวงมาสัมพันธ์ ต้องแยกให้ออกว่าดาวใดให้คุณ ดาวใดให้โทษ และให้คุณ-โทษ เรื่องอะไร และอย่างไร ห้ามใช้หลักดาวดีจะไปช่วยเฉลี่ยโทษ หรือดาวร้ายจะมาเฉลี่ยคุณ แต่จากที่อ่านมา พบว่าหลายครั้ง การวิเคราะห์จะนำเอาดาวอื่นๆ ที่สัมพันธ์อยู่นั้นมาตีความร่วมด้วย และ“คลุกกัน”ก่อนชั่งน้ำหนักดาวทั้งกลุ่มที่สัมพันธ์นั้น แล้วมาออกคำทำนายเป็นให้คุณหรือโทษโดยรวม (คล้ายๆ เฉลี่ยๆ กันอยู่ดี)

ถึงตรงนี้ อาจารย์พอทราบแล้วใช่ไหมครับ ว่าผมสับสนจริงๆ

(ปล. ตอนอาจารย์ บอกว่าเครื่องเสีย แล้วงดตอบไปหลายวัน ผมใจหายเลยครับ – ที่พึ่งพาทางด้านนี้หายากจริงๆ ครับ - แล้วนี่อาจารย์ก็จะต้องพักยาวอีกระยะเหรอครับเนี่ย)


เดชา - 21 มิถุนายน พ.ศ.2550 20:06น. (IP: 124.120.217.191)

ความคิดเห็นที่ 65
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 29....ครับ..........

คำถามที่ 64 ที่ค้างอยู่จะตอบในกระทู้นี้นะครับ............


วรกุล - 22 มิถุนายน พ.ศ.2550 05:02น. (IP: 203.155.229.74)

ความคิดเห็นที่ 67
กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 29....ครับ.........

กระทู้นี้ยาวมากพอสมควรแล้ว ทำให้เรียกขึ้นได้ช้า จึงขอปิดเพื่อขึ้นกระทู้ที่ 29....ครับ.........


วรกุล - 22 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:47น. (IP: 203.155.229.93)

ความคิดเห็นที่ 66
ตอบคุณ เดชา (ความเห็นที่ 64) ..........คำถามของคุณเกิดจากการเข้าใจผิดที่เกิดจากการอ่านตำราที่สอนผิดประการหนึ่ง และเกิดจากการที่ไม่ได้ฝึกอ่านระบบเรือนและระบบดาวแยกกันตั้งแต่แรก

1 / ในระบบเรือนนั้น เรือนทุกเรือนมีสิทธิ์ที่จะให้คุณหรือให้โทษได้ทั้งนั้น การที่เราอ่านเรือนและเจ้าเรือนนั้นโดยพื้นฐานก็เพื่อให้ทราบเรื่องราวหรือนิทานชีวิตที่ยังไม่มีการระบุความดีเลวแต่อย่างใด เช่น สมมุติว่าเราอ่าน ตนุ – อริ ความหมายคือ “เจ้าชะตาจะผ่านพบอุปสรรค” ความหมายเช่นนี้ไม่ได้ดีหรือเลวเลย เจ้าเรือนก็ไม่ได้เสียเพราะตกเรือนอริ มรณะ วินาสน์ เว้นแต่พวกเราชอบไปคิดขาด หรือคิดเกินกันไปเอง เรือนที่คิดว่าดี เช่น ศุภะ ลาภะ อะไรเช่นนี้ก็เลวได้เหมือนกับเรือนอื่นๆ การที่ให้ฝึกอ่านเรือน โดยไม่ให้อ่านดาวเลย จะทำให้เราชำนาญในการดูเรื่องราว (ไม่ใช่ดูดีเลว) เอาไว้ในความคิดก่อนจนความคิดนิ่งดีแล้ว จึงค่อยไปดูอย่างอื่น

2 / ในระบบดาวนั้น ดาวทุกดาวก็มีสิทธิ์ในการให้คุณหรือให้โทษได้เช่นกัน การที่เราอ่านดาวนั้น ก็เพื่อให้ทราบความดีเลวของดาว เพราะดาวเป็นตัวแสดงธาตุ และกำลังดาว ผมได้เขียนเรื่องดาวมาหลายตอนแล้ว และกระทู้ที่ 29 ถัดไปนี้ก็กำลังสรุปความหมายส่วนหนึ่งตามที่คุณสงสัยพอดี ดาวคู่ธาตุ คู่มิตร คู่สมพล คู่ศัตรูนั้น ต้องจำแนกคุณสมบัติและหน้าที่ของดาว ซึ่งจะเป็นคู่ส่งเสริม หรือขัดแย้งกันพร้อมกันก็ได้ในคนละเรื่องกัน ขอให้ลองอ่านดู

ดังนั้น เบื้องต้น เราจึงดูเรือนเพื่อให้ทราบเรื่องราว แล้วดูดาวเพื่อให้ทราบดีเลว เมื่อแยกแยะได้ดีแล้ว เราจึงจะดูร่วมกันไปได้ ในเมื่อตราบใดยังไม่ชำนาญก็อย่าเพิ่งเอาความเป็นเจ้าเรือนและเป็นดาวมาปนกันโดยพลการ โดยเฉพาะหากจะปนกัน ก็อนุญาตให้ดูด้านกำลังดาวเท่านั้น หากกำลังดาวดี ความหมายเรือนก็จะดีด้วย ไม่ว่าเป็นเรือนอะไรทั้งนั้น ห้ามไปปนกันกับความดีเลวของดาว เวลาพูดถึงดีเลว เราต้องรู้ว่าดีเลวเรื่องอะไร เป็นดีเลวของใครหรืออะไร และก็ไม่ให้เอาดาวมายำ หรือชั่งน้ำหนักรวมกัน ใครพวกมากกว่าถือว่าชนะ แบบนั้นไม่ได้

ส่วนเรื่องการดีก่อนร้าย หรือ ร้ายก่อนดีนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องตายตัว และก็เป็นเรื่องยาวที่ต้องศึกษาภายหลัง เพราะเกิดจากคุณสมบัติทางธรรมชาติของดาวและเรือนอีกหลายอย่าง ดวงชะตาที่คุณสมมุติมาในคำถามนั้น คุณเอาเจ้าเรือนและดาวมาคิดรวมกันหมด เช่น บอกว่า “ราหู เจ้าเรือนมรณะมาเล็งจันทร์” นั้นพูดผิด ราหูเล็งจันทร์น่ะใช่ แต่ไม่ใช่เจ้าเรือนมรณะมาเล็งจันทร์ เพราะเป็นคนละเรื่อง เจ้าเรือนมรณะมาเล็งจันทร์ไม่ได้ เพราะมุมทุกมุมเป็นของระบบดาว ไม่ใช่ระบบเรือน ระบบเรือนไม่มีมุม แต่จันทร์ตกเรือนมรณะได้ เพราะเป็นเรือนที่หมายถึงมุมที่เป็น 8 จากดาว อย่าเพิ่งเอาเจ้าเรือนกับดาวมาปนกัน หากคิดเช่นนี้ก็จะงงและไม่มีทางก้าวหน้าได้ ผมตอบย้ำเช่นนี้มานับสิบครั้งแล้วในหลายกระทู้


วรกุล - 22 มิถุนายน พ.ศ.2550 16:47น. (IP: 203.155.229.93)

ความคิดเห็นที่ 68
หนูกลุ้มใจมากค่ะ อ.ช่วยหนูได้ไหมค่ะ หนูเคยทำธุรกิจเสื้อผ้ามีรายได้ดี แต่ตอนนี้มันแย่มาก หนูพยายามทำใจและยอมรับ คิดว่าจะไปทำงานบริษัทเพื่อหารายได้เพิ่ม กับค้าขายอาหาร อาจารย์ช่วยตอบหนูทีนะคะว่าหนูควรจะทำอย่างไหนถึงจะมีอุปสรรคน้อยลง หนูไม่รู้จะทำอย่างไรแล้วค่ะ หนูเกิด 9 มิ.ย. 2519 เวลา 20.19 ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ


ออย - 14 กรกฎาคม พ.ศ.2550 18:14น. (IP: 203.153.171.30)