เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

ขอความเห็น ......เกี่ยวกับการศึกษาโหราศาสตร์ไทย / ภารตะ / เลข๗ตัว และ ลายมือ ครับ



ผมมีความเข้าใจเช่นนี้ ไม่ทราบว่าผู้รักการศึกษาบนเส้นทางสายนี้จะมีความเห็น

เป็นประการใดบ้างนะครับ

1. เป็นของแน่ว่า การศึกษาโหราศาสตร์ไทย / ภารตะ

ยากกว่าเลข๗ตัว คือต้องศึกษานานไม่น้อยกว่า 1 – 2 ปีจึ

งจะพอจะพยากรณ์ได้ไม่เสียชื่อครู การทำนายยาก – ง่ายกว่ากัน

ไม่แน่ใจ เพราะเงื่อนไขต่างกัน แต่ที่แน่ๆ เลข๗ตัว ไม่รู้เวลาเกิด ก็พยากรณ์ได้

ส่วนโหราศาสตร์ไทย/ภารตะ หากไม่รู้เวลาเกิด ย่อมยากในการพยากรณ์

เพราะขนาดฝาแฝดเกิดวันเดียวกันเวลาใกล้กัน ชีวิตยังต่างกันมาก

ความรวดเร็ว ฉับไว ช้ากว่าเลข ๗ ตัว แต่เลข ๗ ตัวจะพยากรณ์ให้แม่นยำยากกว่า เพราะไม่ได้คำนึงถึงเวลาเกิด คือไม่ทราบก็พยากรณ์ได้ และก็มีความแม่นยำ

ดังหลายอาจารย์ที่มีชื่อเสียง เช่น สาย อ.นภา อ.เจษฎา อ.ธนกร ฯ

แต่ผู้เรียนหาเรียนแล้วเก่งเช่นครู ดูจะยากมาก เพราะต้องใช้ประสบการณ์ยาวนาน เนื่องจาก ลูกเล่น เลข ๗ ตัวมีมาก บ้างก็เอาทักษามาจับ บ้างก็เอาทั้งทักษา

กาลโยคมาจับบ้างก็ไม่เอา ก็มี และที่สำคัญ เรือน มีดาวมีหมายกว้างมาก

ดาวก็มีด้านดี ด้านเสีย ไม่รู้จะเอาตรงไหนมาทาย จึงมีปัญหาตรงแม่นบ้าง

ไม่แม่นบ้าง ต้องอาศัย สมาธิจิต หรือครูบาอาจารย์ไม่มีตัวตนช่วยดลใจ

ให้ปากพูดพยากรณ์เขาไป บ้างก็ว่าเช่นนั้น

ในส่วนของโหราศาสตร์ไทย / ภารตะ มีความละเอียดมากกว่า

จุดการพยากรณ์ การตีความหมายแคบกว่า คมชัด ฟันธงได้ง่ายกว่า

แต่...ต้องศึกษานานกว่า และที่สำคัญต้องมีเวลาเกิด และที่สำคัญอาจ

ต้องพกพาอุปกรณ์ ซึ่งชีวิตจริง คงไม่มีใครพกอุปกรณ์ตลอดเวลา

ดังนั้นความสะดวกคล่องตัว เลข๗ตัวจะดีกว่ามาก ( ถ้าดูแม่นๆ )

เพราะชีวิตจริงคนส่วนใหญ่ก็แค่อยากรู้ เรื่องหลักๆ เพื่อวางแผนทางเดินชีวิตต่อ

หรือต้องระวังเรื่องอะไร ในช่วงนี้เท่านั้น

2. โหราศาสตร์ไทย เลข ๗ ตัว มีหลายสาย หลายสำนัก เช่น

ทางโหราศาสตร์ไทย ก็มี สายอ.อรุณ สายโหรแฉล้ม

สายอ.พลูหลวง สายอ.บุศรินทร์ สายดาวกระจาย ฯ

เลข๗ตัวก็มีหลายสายเช่นกัน สายหมอทองคิ้วน้อย อ.นภา

อ.ธนกร อ.เจษฎา ฯลฯ

ซึ่งแต่ละสายก็มีความแม่นยำทั้งสิ้น มากหรือน้อย

มีฝอยทำนาย เคล็ดวิชา หลักการเดินจุดพยากรณ์ แตกต่างกันไป

ซึ่งแม่นยำขนาดไหน ก็คงไม่ยากต่อการพิสูจน์ ไม่เหมือนทาง

โหราศาสตร์ภารตะ ไม่เห็นมีหลายสาย หลายแนวทาง ซึ่งเข้าใจว่า

มีผู้รู้ไม่มาก มีการสอนน้อย และคงเรียนยากกว่าโหราศาสตร์ไทย

แม้ว่าจะมีความแม่นยำ แต่ด้วยความยาก ซับซ้อนของวิชา

จึงข้าใจว่า ไม่ค่อยมีคนนิยมเรียน อีกทั้งผู้สอนที่รู้จริงเปิดเผยวิชาจริง

ก็คงไม่มี หรือมีน้อยมากๆ เช่นกัน

3. คนที่เรียนทางนี้ต้องมีดวงไหม หากเรียนไปแค่ใช้วิชาเพื่อการงานส่วนตัว

เพื่อสงเคราะห์คนใกล้ชิด ช่วยเหลือคนอื่นๆ ในสังคมบ้าง

ก็คงไม่ต้องคำนึงถึงว่าจะมีดวงหรือเปล่า เพราะอาจเรียนรู้ไปเรื่อยๆ

แต่ก็คิดว่าน่าจะมีความเสี่ยง เนื่องจากเข้าไม่ถึงวิชา แล้วไปปักใจ

เชื่อในสิ่งที่เข้าใจผิด ชีวิตจะผิดทางได้ง่ายๆ เข้าใจว่าคนที่มีดวง

ทางนี้เรียนจึงดีกว่า เหตุเพราะเขาเหล่านั้น จะเข้าถึงวิชาได้ง่ายกว่า

คือเหนื่อยในการเรียนน้อยกว่า เช่น อ่าน 3 เที่ยวก็เข้าใจแล้ว

แต่คนไม่มีดวงทางนี้อาจต้องอ่าน 5 – 6 เที่ยว และความเข้าใจอาจได้

ไม่หมดอีกต่างหาก การเรียนอาจต้องใช้เวลานานกว่า หรือมีอุปสรรค

ในการเรียนมากกว่า หรือไม่พบครูดี หรือพบครูดี แต่ท่านไม่ค่อยเมตตา

เกื้อกูลนัก

หลายคนก็เสียเวลาทุ่มเทมาก เรียนมานาน แต่พยากรณ์ไม่ได้ ได้แต่รู้

คือเรียนรู้ไปตามกระแส หรือตามความชอบ แล้วก็พยากรณ์ไม่ได้

หรือไม่ก็แม่นบ้างไม่แม่นบ้าง ไปตามดวง ซึ่งจะมีมากในตอนนี้

อาจเพราะมีคนเข้ามาเรียนกันมาก หลายคนบอกว่าเรียนเพื่อไป

ช่วยเหลือคน โดยอาจต้องช่วยเหลือตนเองไปก่อน หรือไปพร้อมๆ

กัน ก็เป็นกุศล แต่หากเข้าไม่ถึงวิชาด้วยเหตุไม่มีดวงทางนี้ จะมิเสียวิชา

เสียหายถึงครูหรือ ทำไมครูไม่ดูดวงลูกศิษย์ก่อน ว่าจะเรียนได้ระดับไหน

จะเก่งไหม หรือเรียนได้แค่พอเอาตัวรอด คนจะได้เรียนน้อยลง

จะไม่ไปเสียเวลา เสียพลังงาน

โดยสุดท้ายก็สูญเปล่ากัน เพราะเห็นมีเยอะจริงๆ ที่ไปไม่ถึงดวงดาว

เสียเวลากันมาก การพยากรณ์ น่าจะเริ่มบอกได้แต่ต้นทาง

ว่าผู้เรียนจะเป็นหมอดูได้ไหม เป็นหมอดูประเภทไหน

เรียนแล้วเสียครู เสียวิชาเปล่าหรือไม่ เรียนแล้วนำไปเป็นเครื่องมือ

สร้างความเสียหายในวงการหรือไม่

จริงๆ แล้ว ครูน่าตรวจสอบก่อนสอนศิษย์ทุกท่านไม่ใช่หรือ

หรือว่าท่านสอนด้วยใจเมตตาเท่านั้น ใครใคร่เรียนก็เรียนไป

ถือเป็นการอนุรักษ์วิชาครับ

4. วันเดือนปีเกิด เป็นเรื่องของบุญ – กรรมเก่าส่งผลให้ต้องเป็น

ไปตามชาตากรรมที่ลิขิตไว้ แต่ ยังมีปัจจุบันกรรมที่คนเราทำ

คืออาจทำดี – ไม่ดี สร้างเวรกรรม ซ้ำซาก หรือ สั่งสมบุญมา

ตั้งแต่จำความได้ กรรมใหม่ที่ดี และไม่มดี อาจส่งผลให้

ไม่เป็นไปตาม ลิขิตกรรมที่ขีดไว้แต่อดีต อันส่งผลให้กำเนิดเกิด

มาในวันเดือนปีนั้นๆ ก็ได้นะครับ

นี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้การพยากรณ์ คลาดเคลื่อนไปหรือเปล่าครับ

( กรณีเข้าถึงวิชาแล้ว ) ซึ่งจะแตกต่างจาก ลายมือ โหง้วเฮ้ง

เพราะลายมือ กับโหง้วเฮ้งนั้น ไม่ว่าเส้นลายมือ สีผิวของเนิน

ในฝ่ามือ หรือ ที่ใบหน้า ย่อมบ่งบอก สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ ซึ่งแน่นอนว่า

เป็นไปตามกรรมปัจจุบัน นอกเหนือจากกรรมในอดีตที่กำหนดมา

เคยได้ยินว่า ลายมือคนเราเปลี่ยนแปลงได้

บางทีมีเส้นใหม่ ๆ เกิดขึ้น บางเส้นที่บางๆ กลับชัดจนสังเกตได้

บางเนินเคยแฟบ สีขุ่น แต่กลับ มีเนื้อ และสีใสขึ้น โหง้วเฮ้ง

เขาก็ว่าอาจเปลี่ยนทุก 5 ปีด้วยซ้ำ ถ้า สร้างบุญกุศลมาก หรือสร้าง

ความชั่วมากๆ ก็จะมีลักษณะเนิน สีผิว รังสี แสดงออกมา ผิดกับ

การพยากรณ์ด้วยดวงดาว ซึ่งจะยึดเวลาเกิด เป็นสำคัญเสมอ

ซึ่งคงจะไม่ได้คำนึงถึง บุญ – กรรมใหม่ๆ ที่ทำในปัจจุบันชาตินี้

อันนี้ไม่เข้าใจจริงนะครับ หรือว่าปุถุชน คนธรรมดา ที่หนาด้วยกิเลส

ส่วนใหญ่อย่างไรเสียก็ต้องเป็นไปตามบุญกรรมเก่าที่ลิตไว้ก่อน

นอกจากจะทำบุญกุศลชั้นสูงจริงๆ เท่านั้นจึงเปลี่ยนดวงชาตาได้

( กรณีใช้วิชาโหราศาสตร์ )

5. สุดยอดของวิชาที่ผมกล่าวมาไม่ว่า โหราศาสตร์ไทย ภารตะ

เลข๗ ตัว ลายมือ โหง้วเฮ้ง เพื่อนๆ พี่ๆ คงศึกษามาไม่มากก็น้อย

ในประสบการณ์ของเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ได้ศึกษากันมา

พอจะเล่าสู่กันฟังบ้างได้ไหมคับว่า ประทับกับครูท่านไหน วิชาอะไร

ขอบพระคุณครับ

จาก คนชอบดูหมอ


ชอบหมอดู - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 203.113.100.170)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
คุณ ชอบหมอดู

อ่านกระทู้ของคุณก็เข้าใจว่าคุณสนใจมาก คงเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งมาอย่างน้อยหนึ่งวิชา และก็รู้จักมอง รู้จักคิด

จากประสบการณ์ของตัวเองที่เคยผ่านการเป็นนักเรียนมาก่อนตอบได้เลยว่าตอนมาเรียนเพราะอยากรู้ ไม่ค่อยเชื่อนักว่าหมอดูจะดูแม่นหรือหมอดูหลอกเอา หรือหมอดูเขาดูด้วยอะไรจึงทายได้คล่อง จึงอยากเรียนรู้ให้มีวิชาไว้ เรียนครั้งแรกก็เรียนไปเรื่อยๆต้องอาศัยเวลาทำความเข้าใจกับสิ่งที่เรียนมา ถามว่าได้มากน้อยเพียงใด อย่างน้อยก็ห้าสิบเปอร์เซ็นต์(เรียนวิชาลายมือค่ะ) พอเริ่มหัดทายให้เพื่อนๆจึงรู้ว่าเราขาดตกบกพร่องที่จุดไหนก็พยายามหาหนังสืออ่านเสริม หนังสือในท้องตลาดมีมากมาย อ่านแล้วก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง (ได้แค่ เล็กน้อย) รู้ว่าตัวเองพื้นฐานไม่แน่นพยากรณ์หาอายุไม่ได้ จึงกลับมาเรียนอีกรอบคราวนี้ตั้งใจและเรียนอยู่นาน เหมือนกับเรียนโหราศาสตร์ไทย ต้องยอมรับว่ากว่าจะเข้าใจไม่ใช่เรื่องง่าย เหตุเพราะตัวเองไม่ได้ใส่ใจ เห็นว่าวิชายาก การเรียนการสอนน่าเบื่อ ตอนหลังจึงเข้าใจตนเองรู้สึกว่าต้องมีอะไรที่เป็นจุดน่าสนใจกว่านี้ ..จนกระทั่งมาเรียนโหราศาสตร์ไทยควบไปกับวิชาดาร า-โหราศาสตร์ เริ่มเรียนกับอาจารย์อารี สวัสดี อาจารย์จุดประกายความคิดไว้หลายอย่าง ตอนแรกเรียนก็งงๆแต่ก็อยากเรียนเพราะชอบมาก(ทำไมไม่รู้..คงเพราะชอบ) เรียนหลายรุ่น อาจารย์จะค่อยๆใส่ความรู้ และยิงคำถามทิ้งท้ายให้ไปค้นหาคำตอบ อาจารย์ไม่บอกทั้งหมด เป็นหน้าที่ของตัวเองที่จะต้องค้นหา ..พอเจอคำตอบรู้สึกว่าดีใจมาก เรียนโหราศาสตร์อย่างนี้สิไม่หลงทาง ช้าไม่เป็นไรเพราะเราไม่ใช่ต้องเป้าว่าจะขึดเป็นอาชีพ ยิ่งหายิ่งพบ และเมื่อมาเรียนวิชาโหราศาสตร์ยูเรเนียนจึงรู้ว่าวิชาโหราศาสตร์มีมากมายเหลือเกิน การเรียนโหราศาสตร์ ดั่งคำที่อาจารย์วรกุลกล่าวไว้ว่า 1.เรียนโหราศาสตร์เพื่อรู้จักตนเอง 2. เรียนโหราศาสตร์ต้องเรียนตลอดชีวิต 3. เรียนโหรสศาสตร์ต้องเข้าใจปรัชญาโหราศาสตร์ด้วย (สามข้อสรุปตรงนี้รู้สึกเหมือนอาจารย์อารี สวัสดี เคยพูดเคยสอนพวกเราทุกคน แถมอีกข้อ 4.นักโหราศาสตร์ที่ดีจะรู้จักถ่อมตน )

ต่อจากนี้จะเล่าตามมุมมองที่พบ คนที่มาเรียนโหราศาสตร์เขาไม่ได้มุ่งหวังที่จะเป็นหมอดู แค่สนใจ บางคนนึกว่าง่าย บางคนอยากรู้เขาทำนายอย่างไรจะได้ทำนายให้ตนเองได้ ....ที่จริงจากที่พบคือ เขาไม่รู้จักตนเอง พอเรียนแล้วเกิดความเข้าใจวิถีชีวิตของตน เกิดการยอมรับ หัดกลับไปทำงานหรือแนวทางที่ตนปารถนา ถ้าคนเองจริงก็ต้องพยายามทดสอบตามแนวที่สอนไป ไม่ทิ้งวิชา ใส่ใจ ค้นหา ช่างสังเกต จับและค้นหาให้เจอ เมื่อเข้าใจและรู้สภาพตนเองจะไม่โทษใคร ยอมรับตนเองในสิ่งที่ตนเองมีและเป็นอยู่ ค่ะ

อีกประการที่คุณว่า ลายมือเปลี่ยนแปลงได้เพราะถึงเวลาที่เขาต้องเปลี่ยนค่ะ ก่อนที่เส้นจะเปลี่ยนเขาต้องผ่านการทดสอบมาแล้วมากมาย แต่สุดท้ายอยู่ที่มนุษย์ทุกคนเข้าใจตนเองมากเท่าใด ถ้าโลภไม่มีวันหมด สุดท้ายบั้นปลายชีวิตที่โหยหาก็ไม่มีอะไรเลย..มีแต่ความว่างเปล่า และเดียวดาย .


ลี - 13 สิงหาคม พ.ศ.2551 19:44น. (IP: 202.57.168.190)

ความคิดเห็นที่ 2
ผมเองศึกษาโหราศาสตร์ยูเรเนียนอยู่ และมีความรู้โหราศาสตร์ไทยไม่มากนัก แต่เชื่อว่าข้อมูลที่ใช้ในการพยากรณ์ของโหราศาสตร์ไทยและยูเรเนียนไม่ต่างกันมากนัก คือ ใช้วันเดือนปีเวลาสถานที่เกิดของเจ้าชะตา จึงขออนุญาตแสดงความเห็นดังนี้ครับ

1. ที่บอกว่าโหราศาสตร์ไทย/ภารตะ หากไม่รู้เวลาเกิด ย่อมยากในการพยากรณ์นั้น ผมว่าไม่ใช่ครับ สมมติว่าเราไม่มีปฏิทินโหรอยู่ในมือนะครับ หากทราบวันที่และเดือนเกิด เราก็จะทราบตำแหน่งอาทิตย์, ทราบปีเกิด ก็รู้ตำแหน่งพฤหัสและเสาร์, ยิ่งทราบว่าเกิดขึ้นหรือแรมกี่ค่ำ ก็พอจะประมาณตำแหน่งจันทร์ได้ เท่านี้เราก็มีข้อมูลดาว 4 ดวงที่มีอิทธิพลสำคัญ นำมาประกอบกับดาวจรบนท้องฟ้าปัจจุบันที่เราพอจะจำได้คร่าวๆ ก็สามารถออกคำพยากรณ์ไปได้มากมายแล้ว โดยที่ไม่ต้องทราบเวลาเกิดและไม่ต้องมีปฏิทินโหรอยู่ในมือครับ

ผมเคยพบอาจารย์หลายท่านออกคำพยากรณ์ได้แม่นยำเฉียบขาด ด้วยข้อมูลไม่กี่ตัวที่ว่ามานี่ล่ะครับ ไม่ต้องมีอุปกรณ์มากมายอะไรเลย

2. ที่ว่าภารตะไม่เห็นมีหลายสาย ผมว่าเพราะเราไม่รู้หรือเปล่าครับว่ามีหลายสาย ตอนที่อินเดียระดมความเห็นคำนวณค่าอายนางศ แม้ว่าได้ข้อสรุปแล้วว่าจะใช้ของนายลาหิรี แต่ก็ยังมีโหรภารตะใช้ค่าอายนางศที่อาจารย์ของตนเองคำนวณแตกต่างกันไปอีก สะท้อนให้เห็นว่า ไม่ได้มีความเห็นไปในทางเดียวทั้งหมด

นอกจากนี้ ความหลากหลายของสำนักอาจารย์เป็นเรื่องปกติ คนเราเรียนวิชาเดียวกัน ก็ย่อมมีจริตและความเห็นในการตีความที่ต่างกัน แต่อย่างไรก็ตาม โหราศาสตร์คือวิชาเดียวกัน ไม่ได้แบ่งแยกออกจากกันหรอกครับ

ลองเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาดูนะครับ เรามีศาสดาคือพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว คำสอนของพระองค์ก็มีเป้าหมายสูงสุดชัดเจนเพียงอย่างเดียว แต่ในการปฏิบัติธรรม กลับมีหลายสำนัก หลายอาจารย์ ที่มีความเห็นในแนวทางปฏิบัติต่างกันไปบ้าง แต่สุดท้ายแล้ว หลักธรรมก็เป็นหลักธรรมข้อเดียวกัน ไม่ได้แตกต่างกันหรอกครับ บรรดาลูกศิษย์ต่างหากที่ชอบแบ่งแยกและอวดอ้างอาจารย์

3. ผมเองศึกษาโหราศาสตร์โดยมีเป้าหมายหลักคือใช้ดูดวงตนเองและคนใกล้ชิด ไม่ได้คิดจะไปประกอบอาชีพ และผมเองก็เห็นคนจำนวนมากศึกษาโหราศาสตร์โดยมีเป้าหมายคล้ายๆกับผม และผมก็เห็นอาจารย์ที่มีความรู้ลึกซึ้ง พยากรณ์แม่นยำ ทั้งที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพนักพยากรณ์เป็นหลัก ดังนั้น เป้าหมายในการเรียนไม่ได้มีผลต่อความรู้ความเข้าใจในการศึกษาโหราศาสตร์หรอกครับ

คนที่เรียนแล้วไม่เข้าใจ เท่าที่ผมเห็น ส่วนใหญ่ไม่ได้มาจากครูหรอกครับ แต่มาจากเจ้าตัวเองนั่นแหละว่า ทุ่มเทพยายามมากพอหรือยัง


pallas (pallas-at-horauranian-dot-com) - 19 สิงหาคม พ.ศ.2551 10:29น. (IP: 125.25.146.188)