เว็บบอร์ด

กระทู้ ถามตอบโหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์

ปิดปรับปรุงชั่วคราว

เกร็ดเรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆพอประเทืองปัญญา

เกร็ดเรื่องเล่าเล็กๆน้อยๆนี้หวังว่าคงจะมีประโยชน์หรือมีสาระบ้างพอประเทืองปัญญา....อ่านแล้วก็อาจได้แง่คิดไปคนละอย่างสองอย่างตามมุมมองของแต่ละคน....เกิดมาแล้วย่อมไม่พ้นเชิงตะกอน นับวันก็มีแต่จะหมดอายุขัยไปเป็นมั่นคง


ทองคำ - 1 มิถุนายน พ.ศ.2552 00:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นที่ 1
ในสมัยก่อนใครที่บวชเรียนและต้องศึกษาบาลี มีคัมภีร์ที่ต้องเล่าเรียนเป็นหลักเป็นฐานคือคัมภีร์มูลกัจจาย์หรือคัมภีร์กัจจายนะ บทที่ว่าด้วยสนธิ์กัณฑ์ สูตรแรกที่ต้องเรียนมีว่า " อัตโถ อักขะสัญญาโต " หมายถึงเนื้อความรู้ได้ด้วยอักษร สูตรแรกนี้มีเรื่องที่น่าสนใจถึงมิติในมุมมองของแต่ละคน มีคำอธิบายสูตรว่า เนื้อความคืออะไร? ทุกสิ่งทุกอย่าง อันจับต้องได้ก็ตาม จับต้องไม่ได้ก็ตาม เรียกว่า "อัตถะ"แปลว่าเนื้อความ การแปลบาลีเป็นไทยอย่างนี้ ไม่ใช่เนื้อความที่แท้จริง เรียกว่าเป็นการแปลภาษาเท่านั้น เช่นคำว่า "ปุริโส" แปลว่า "บุรุษ" "ปุริโส" เป็นศัพท์บาลี "บุรุษ" เป็นศัพท์ไทย ตัวของบุรุษเท่านั้นเป็นเนื้อความที่แท้จริง และคำว่า "อากาโส" แปลว่า "ท้องฟ้า" "อากาโส"เป็นศัพท์บาลี "ท้องฟ้า"เป็นศัพท์ไทย ความว่างเปล่าเท่านั้นเป็นเนื้อความที่แท้จริง.........มุมมองในการศึกษาสิ่งใดๆก็ดีล้วนมีมิติในการศึกษา...


ทองคำ - 11 เมษายน พ.ศ.2548 00:47น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 2
...........ใจที่ได้รับการอบรมดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์อันใหญ่ คนเราจะทำจะพูดดีหรือเสียก็เพราะใจ ลำพังกายเหมือนรูปหุ่น ใจเหมือนคนชัก รูปหุ่นจะกระดิกพลิกแพลงไปท่าไรก็ส่อใจของคนชักฉันใด อาการกายและวาจาจะเป็นไปอย่างไรก็ส่ออาการของใจฉันนั้น อีกอย่างหนึ่ง กายเหมือนเรือ ใจเหมือนนายเรือ ถ้านายเรือไม่ได้รับความฝึกหัดชำนิชำนาญหรือประมาทไป ก็จะพาเอาเรือไปเป็นอันตรายเสีย ต่อเป็นผู้ได้ศึกษาและมีสติ จึงจะสามารถพาไปถึงท่าฉันใด ใจก็ฉันนั้น ที่ชั่วแลปล่อยให้ละเลิงก็จะชักจูงให้ประพฤติชั่วทางกายทางวาจามีประการต่างๆ ล้วนแต่เป็นส่วนเสียหาย ถ้าได้รับอบรมในทางที่ดีจึงจะชักจูงในทางดี ท่านกล่าวว่า ใจที่ไม่ได้อบรม อาจทำคนให้เสียหายได้ ยิ่งกว่าโจรหรือคนมีเวรจะทำให้เสียอีก ใจที่ได้รับอบรม อาจทำคนให้ดี ยิ่งกว่ามารดาบิดาหรือญาติผู้รักใคร่จะพึงทำให้ได้..........

"แต่ก่อนเมื่อจะเริ่มเรียนศาสตร์ใดใดก็ดี ครูท่านต้องให้ตั้งอยู่ในศีลแลสัจจะ ไม่เบียดเบียนให้ผู้ใดเดือดร้อน ฝึกกล่อมเกลาจิตให้มีเมตตากรุณา อย่าใช้วิชาไปในทางที่เสื่อม ก็จะมีความเจริญแก่ตัว"


ทองคำ - 11 เมษายน พ.ศ.2548 01:10น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 3
"แต่ก่อนเมื่อจะเริ่มเรียนศาสตร์ใดใดก็ดี ครูท่านต้องให้ตั้งอยู่ในศีลแลสัจจะ ไม่เบียดเบียนให้ผู้ใดเดือดร้อน ฝึกกล่อมเกลาจิตให้มีเมตตากรุณา อย่าใช้วิชาไปในทางที่เสื่อม ก็จะมีความเจริญแก่ตัว"

เห็นด้วยค่ะ ถึงแม้จะไม่เคย รับศีล รับสัจจะ อาจเป็นเพราะไม่มีวาสนาที่มีครู และสมัยนี้เอง ครูดีเอง ก็หาได้ยากนัก เห็นเห็นอยู่ว่า เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่โหราศาสตร์เชิงพาณิชย์ไปเสียหมด เป็นเชิงอนุรักษ์ หรือ จักพัฒนา นั้นหาแทบไม่ได้

อ่านแล้วก็ชอบคำพูด และหลายหลายประโยค ของคุณทองคำ มากคะ


คุณยายกลิ่นโสม - 11 เมษายน พ.ศ.2548 07:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 4
ถึงคุณยายกลิ่นโสม.....ครูท่านแต่ก่อนใจท่านละเอียดอ่อนโยนไม่เห็นแก่ลาภอามิสต่างๆ ท่านจะรักและคอยสั่งสอนศิษย์ให้ดำเนินในหนทางที่ถูกต้องดีงาม ความเป็นครูนั้นมีอยู่เต็มเปี่ยมในหัวใจ วันใดที่ครูท่านจากไปยังให้คิดถึงอาลัยไม่รู้หาย...คำของครูนั้นยังไม่เคยลืมเลือน...." ความรู้นั้นไม่ได้อยู่ห่างไกล ธรรมชาติที่รายล้อมรอบตัวเรานั่นไง จะเป็นครูสอนเรา ความดีจะเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ คนเราต้องรู้จักคิดรู้จักไตร่ตรองสอบสวนตนเอง สิ่งที่สอนไว้ก็เพียงพอที่จะรู้ความ หากไม่รู้จักคิดสอนเท่าไหร่ก็คงไม่พอหรอก เมื่อเป็นศิษย์ที่ดี ครูบอกหนึ่ง เราต้องแตกให้ได้สิบ วันใดที่ครูสิ้นไป ยังจะบากหน้าไปหาใครเขาอีก"

วันนี้นั่งจิบกาแฟที่หน้าบ้าน นึกถึงนิทานเรื่องหนึ่งนึกไม่ออกว่าอ่านจากไหน เรื่องมีอยู่ว่า....ครั้งหนึ่งยังมีเนื้อทรายตัวนึง ถูกนายพรานตามล่า ก็วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงไปจนถึงพุ่มไม้พุ่มหนึ่งก็ซุกแอบกลัวตัวสั่นแอบซ่อนอยู่ นายพรานตามมาไม่อาจแลเห็นแต่ด้วยความเป็นนายพรานจึงซุ่มซ่อนตัวอยู่ ณ ที่นั้น เนื้อทรายแอบซ่อนอยู่นานมองไม่เห็นนายพราน จึงคิดว่าตัวเรานี้คงพ้นจากภัยอันตรายเสียแล้วเป็นแน่แท้ เมื่อความหิวกระหายมาเยือนจึงและเล็มใบอ่อนของพุ่มไม้ที่ซุกซ่อนแอบอยู่จนบางตา นายพรานที่ซุ่มซ่อนอยู่แถวนั้นจึงสบช่องมองเห็น จึงเงื้อมพาดลูกศรน้าวธนู ก็ได้ยิงเนื้อทรายนั้นตายอยู่ ณที่พุ่มไม้นั้นนั่นเอง....

" นึกถึงคำครูแล้วก็ให้ใจหาย "


ทองคำ - 11 เมษายน พ.ศ.2548 10:21น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 5
คนเรานั้นบางครั้งชอบมองออกไปไกลตัวจนลืมเรื่องที่ใกล้ตัว เพราะเห็นรู้จักจนเคยชิน แต่ไม่เคยคิดพิจารณา ดุจดั่งบิดามารดาที่ฟูมฟักเรามา ครูบาอาจารย์ สามีภรรยา เมื่อเรามองที่ตัวเราเองโดยไม่เคยเหลียวแลเห็นใจผู้อื่น ย่อมไม่อาจมองเห็นความดีของเขาเหล่านั้นเพราะความเป็นตัวตนของเรานั้นปิดบังตา..ยามที่ท่านและพวกเขาเหล่านั้นจากไป..ก็ได้กลับมาหวลคำนึงว่า..ความรักความดีของท่านแลเขาเหล่านี้หนอ ยากหาผู้ใดที่จะทดแทน..ยามมีชีวิตแลอยู่ด้วยกันกลับไม่แลเห็นค่า...บัดนี้ไม่มีใครแล้ว..

"แต่ก่อนตอนเริ่มเรียนโหราศาสตร์ครูท่านสอนเรื่อง ศีรษะ กาย บาท ว่าเป็นสิ่งสำคัญอย่าเห็นเป็นเรื่องหญ้าปากคอก เราอยากเรียนรู้แต่เรื่องที่ยากๆสลับซับซ้อน แต่เรื่องพื้นๆเรากลับละเลย"


ทองคำ - 11 เมษายน พ.ศ.2548 10:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 6
ผมก็รู้บาลี บางคำ

อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ

อะ แปลว่า ไม่

โรคยา คือ โรค

ปรมา แปลว่า สูงสุด ประเสริฐ

ลาภา คือ ลาภ

อัตตาหิ อัตตาโน นาโถ ตนคือที่พึ่งแห่งตน

อัตตา แปลว่าตัวเอง

นาโถ แปลว่าที่พึ่ง มาจาก นาถ

อัตตานัง อุปมังกเร เอาใจเขามาใส่ใจเรา


เจ้าไกร ณ เชียงฟ้า - 11 เมษายน พ.ศ.2548 17:09น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 7
คุณเจ้าไกร ณ เชียงฟ้า...คนเราไม่มีโรคนับเป็นลาภอันประเสริฐที่ดี..ตนคือที่พึ่งของตน..การเอาใจเขามาใส่ใจเรา...เป็นสิ่งที่ดีทั้งนั้นใครปฏิบัติตามก็จะมีแต่ความสุขไม่เดือดเนื้อร้อนใจ......

วันนี้ไปฟังดนตรีไทยมาเด็กๆเล่นกันน่ารักผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไรยิ้มแย้มแจ่มใสกันดี เพราะเล่นกันด้วยใจรัก นึกถึงเวลาไปต่อเพลง เพลงเดียวกันแต่ครูท่านต่อให้ศิษย์ไม่เหมือนกัน ตามแต่อุปนิสัยและความสามารถ คนที่ซุกซนชอบอะไรพิศดารก็ได้ทางที่โลดโผนไป คนที่เรียบร้อยก็ได้ทางเรียบร้อยไพเราะมีชั้นเชิงอยู่ในทีเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นมีความงามและคุณสมบัติในตัวเองที่แตกต่างกันไปครูท่านยังอธิบายต่อไปอีกว่า เพลงบางเพลงเหมือนผู้หญิงสวยเปรี้ยวโดดเด่นมองครั้งแรกก็ให้หลงใหล แต่ไม่นานก็หมดความได้ปลื้ม บางเพลงเหมือนผู้หญิงที่สวยพิศต้องมองนานๆยิ่งมองก็ยิ่งเสน่หาไม่รู้จืดจาง ทุกคนต้องผ่านวัยเด็ก ทุกคนต้องผ่านการฝึกฝนไม่มีใครเป็นมาแต่เกิด ต้องมานะบากบั่นไม่ย่อท้อ ความรู้ความสามารถยังไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ในชีวิตของคนเรา ความดีความมีน้ำใจความเอื้ออาทรช่วยเหลือซึ่งกันและกันต่างหาก ที่ควรก่อเกิดขึ้นในใจของผู้รักการศึกษา


ทองคำ - 11 เมษายน พ.ศ.2548 22:10น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 8
ที่คุณทองคำ กล่าวนั้นไม่ผิดจริงๆ ดิฉันก็เห็นด้วยอีกล่ะคะ

ไม่ว่า ยุคไหน ก็จะเหมือนกันอยู่อย่าง สนามหญ้าหน้าบ้านคนอื่นมักจะสวยงามกว่าหน้าบ้านตัวเองเสมอ คนเรามักเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ตัวเองมี มักไม่มีความพิเศษ ความพิเศษเช่นนี้ก็เกิดจากการฝึกฝน การทำอย่างต่อเนื่อง

แต่คนโดยส่วนใหญ่ละเลย เลยมองหาแต่ความมหัศจรรย์ที่อื่น แทนที่จะมองหาว่ารอบๆตัวเรา ซึ่งก็มีความมหัศจรรย์..รออยู่


คุณยายกลิ่นโสม - 12 เมษายน พ.ศ.2548 08:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 9
คุณยายกลิ่นโสมกล่าวไว้น่าฟังมากครับ...รอบๆตัวเรามีความมหัศจรรย์อยู่มาก นั่นแหล่ะครับจะเป็นครูโหรที่แท้จริงของเรา ค่อยๆมองค่อยๆเข้าใจ หากไม่เข้าใจต้องขวนขวาย ตั้งสติให้ดี พินิจพิจารณา หากยังไม่เข้าใจ อาจเป็นเพราะสภาวะจิตที่หยาบหรือละเอียดเกินไปทำให้มองไม่เห็น การมองแต่ละประเด็นต้องชัดเจนในทุกมิติและทุกสภาวะมุมมอง เหมือนคนเราเมื่อสิ้นลมหายใจ ธาตุลมสูญสิ้นไปธาตุไฟก็เย็นลง เมื่อธาตุไฟเย็นลงธาตุน้ำก็เน่าเสีย เมื่อธาตุน้ำเน่าเสียธาตุดินไม่มีสิ่งไรหล่อเลี้ยงก็แห้งไปจนสลายกลายเป็นผง นี่เป็นธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวเรา ที่กล่าวเป็นการพิจารณาในมุมมองมิติเดียวที่ยังหยาบอยู่แท้จริงมีวิธีพิจารณาได้มากกว่านี้ หากพิจารณาละเอียดเราจะได้อะไรมากกว่านี้อีกมากมาย วัตถุธาตุมีทั้งสิ่งที่มีวิญญาณครองและไม่มีวิญญาณครอง มีองค์ประกอบอีกมากมาย ธาตุที่เป็นหลักก็มีเพียง ๔ ธาตุนี้ แต่ในอีกสภาวะหนึ่งต้องเพิ่มธาตุขึ้นอีก ๒ ธาตุ คืออากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอีกแขนงหนึ่งในหลักวิชาของไทยเราการที่เราทุบหินจนละเอียด หรือการที่เราตัดเหล็กขาด การที่เรามองเห็นบุคคลแต่ละบุคคลแยกจากกันก็เพราะอากาศธาตุ

สิ่งต่างๆในโลกนี้จะไปพ้นธาตุนั้นเป็นไม่มี ดั่งที่โบราณท่านเรียกว่าโลกธาตุ การที่ใบไม้สักใบจะมีสีเขียว การที่ดอกไม้สักดอกจะผลิบาน เป็นเพราะ***ส่วนแห่งธาตุทั้งนั้น พื้นฐานอยู่ที่การทำความเข้าใจเรื่องธาตุนี้ให้เข้าใจ ธาตุนั้นไม่ได้ดูที่ลักษณะแต่ให้ดูที่จริตกิริยาแห่งธาตุ เช่นธาตุไฟ จะบอกว่าไฟที่เราเห็นเป็นธาตุไฟนั้นยังใช้ไม่ได้ ต้องลงไปในสภาะเดิมแท้ ถ้าบอกว่าความร้อนเป็นธาตุไฟ ก็เพียงแค่ใกล้เคียง เพราะหากความร้อนเป็นธาตุไฟ แล้วความเย็นล่ะเป็นธาตุอะไร แท้จริงความเย็นก็เป็นธาตุไฟ ธาตุหนึ่งๆไม่อาจดำรงอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง ต้องมีอีก ๓ ธาตุที่เหลือเป็นเหตุใกล้ให้เกิด ค่อยๆคิดค่อยๆศึกษา เราจะมองเห็นความลับที่ซ่อนอยู่ในธรรมชาติมากมาย ที่กล่าวมานี้ก็เป็นหลักการเบื้องต้นของมหาทักษาที่หากใครเล่าเรียนหลักวิชานี้ก็จะต้องเข้าใจ มหาทักษานั้นสอนเราให้เข้าใจธาตุให้รู้จักธรรมชาติ การมองธรรมชาติเป็นธรรมชาติคู่นั้นเช่น ร้อนเย็น สูงต่ำเป็นคู่ธาตุ เช่นนี้ยังไม่สมบูรณ์นัก และยังไม่ใช่วิธีการที่ดีนักเพราะเหตุแห่งสัมพันธภาพ

วันนี้เล่าเรื่อยเปื่อยอะไรก็ไม่รู้เหมือนคนแก่ขี้บ่น จำได้เคยเอาคัมภีร์ใบลานเลข ๗ ตัวมาดูมีเรื่องน่าเล่าเล็กน้อย ปกติเวลาเราอ่านตำราทั่วไปเวลาวางเดือนตำราเลข ๗ ตัวทั่วไปจะบอกว่าเกิดเดือนไหนก็ให้เอาเดือนนั้นตั้งลงเป็นฐานเดือน แต่ในคัมภีร์ใบลานอักขระขอมนี้ท่านกล่าวไว้อีกแบบหนึ่ง....ท่านว่าการวางเดือนให้ดูเมื่อพระจันทร์เสวยฤกษ์ ......ก็เป็นเรื่องข้อแตกต่างๆเล็กๆน้อยๆ..ที่เอามาเล่านี้ไม่ได้บอกว่าอย่างไหนดีกว่าหรืออย่างไหนถูกต้อง ... เป็นเพียงเล่าสู่กันฟังเท่านั้นเอง...

วันนี้อากาศร้อนมากมาก..ไปอาบน้ำคลายร้อน .. คงจะปรับธาตุในตัวให้สบายขึ้น ...เอาวิชาเรื่องธาตุไปใช้ในชีวิตประจำวันได้มากมากก็จะดี กลัวอาหารจะบูดเน่าก็เอาไปอุ่นซ๊ะ...หรือแช่เย็นไว้ ก็จะยืดอายุได้อีก ธาตุลมในตัวแข็งตึงนักให้ปวดเมื่อยก็ไปประคบคลายเส้นกระจายธาตุลมเสียบ้าง ร่างกายก็จะสบายขึ้น.....


ทองคำ - 12 เมษายน พ.ศ.2548 16:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 10
เมื่อคืนดูรายการถึงลูกถึงคน เรื่องของคนพิการคนที่ได้รับอุบัติเหตุที่เกิดจากการเมาสุราแล้วขับรถ เห็นแล้วน่าเศร้าใจมาก คนเราหากมีการยับยั้งชั่งใจใคร่ครวญถึงผลเสียและทุกข์ความเดือดร้อนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้อื่น ก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ผลกระทบก็ไม่ใช่แค่ต้องพิการอย่างเดียว...บางคนยังไม่เคยมีคำแค่ว่าขอโทษ... แต่ขอโทษแล้วจะได้อะไรกลับคืนมาก็เปล่า สังคมบ้านเมืองเรานับวันมีแต่เรื่องเลวร้ายมากขึ้นทุกวัน สังคมปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก การจะไปห้ามคงเป็นเรื่องยาก คงได้แต่เพียงรู้ให้เท่าทันและอย่าตกเป็นเหยื่อของสังคมที่เห็นแก่ตัว อะไรหลีกเลี่ยงได้ก็หลีกเสียอย่าได้เข้าไปข้องแวะกับสิ่งไม่ดี

ทุกวงการมีทั้งคนดีและคนไม่ดี เป็นมาเช่นนี้ตั้งแต่ไหนแต่ไร วงการผู้ศึกษาโหราศาสตร์ก็เหมือนกัน เคยคุยกับคนที่ไปเรียนโหราศาสตร์ตามสถานที่ต่างๆที่มีเปิดสอนหลายคน ฟังแล้วก็เศร้าใจ เห็นใจคนที่อยากศึกษา คนที่อยากศึกษาก็อยากพบเจอครูที่ดีที่สมกับเป็นครูจริงๆ ไม่เห็นแก่ลาภยศชื่อเสียงเงินทอง มีใจรักและสงสารศิษย์ที่มีความตั้งใจอยากศึกษาคนที่จะเป็นครูคนได้นั้นมีเรื่องต้องพึงสังวรอยู่มาก ทั้งในเรื่องของศีลธรรมจรรยา การประพฤติปฏิบัติให้สมกับเป็นครู คำว่าครูเดี๊ยวนี้ก็เปรอะเลอะเทอะไปเหมือนคำว่าโหรหรือโหราจารย์เห็นเรียกกันเป็นว่าเล่น..

สงกราณต์ปีใหม่แล้วขอให้ตั้งใจตั้งตัวประพฤติในสิ่งที่ดีงามให้มีสิริสวัสดิ์เป็นมิ่งขวัญแก่ลูกหลาน เป็นครูให้สมกับที่ทุกคนยกย่อง คนเป็นครูนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายต้องแบกศิษย์ไว้เต็มสองบ่าจนกว่าศิษย์นั้นจะพ้นปากเหยี่ยวปากกา ที่จ้องแทะเล็มให้ตายเสียระหว่างทาง.........


ทองคำ - 13 เมษายน พ.ศ.2548 13:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 11
วันนี้แวะมาเล่าเรื่อง...ความสำคัญผิด ๓ ประการ

วิปัลลาส...เป็นการหลอนตัวเองความหลงเชื่อหรือเข้าใจผิด สำคัญผิดว่าความจริงเป็นของปลอมและความปลอมเป็นของจริง

วิปัลลาส...มี ๓ ประการคือ

๑. สญฺญาวิปัลฺลาส การลวงตัวเองด้วยการมองผิด

๒. จิตฺตวิปัลฺลาส การลวงตัวเองด้วยความคิดผิด

๓. ทิฏฺฐิวิปัลฺลาส การลวงตัวเองด้วยความเห็นผิด

๑. นิทานเรื่องกวางป่าเปรียบเทียบให้เห็นการลวงตัวเองด้วยการมองผิด

มีเรื่องเล่าเป็นนิทานว่า....

ในป่าอันกว้างใหญ่ ชาวนาไถหว่านปลูกพืชอยู่ในที่โล่ง เมื่อชาวนาไม่อยู่ กวางป่ามักเข้ามากินพืชอ่อนที่ขึ้นอยู่ในไร่เป็นประจำ ชาวนาจึงหาวิธีเอาฟางข้าวมาทำเป็นรูปหุ่นผูกขึ้นให้ดูเหมือนคนมีแขนขาใส่เสื้อใส่หมวกมีธนูและลูกศร ครั้นกวางป่าเข้ามากินพืชที่ปลูกไว้ตามปกติ เมื่อเข้ามาใกล้ก็มองเห็นคนปลอมเข้าก็มองเห็นผิดว่าเป็นคนจริงๆจึงตกใจกลัวและวิ่งหนีไป..เพราะกวางป่านั้นเคยเห็นคนมาก่อนจึงฝังใจจำว่าภาพและรูปร่างนั้นๆว่าเป็นคนเมื่อมาเห็นภาพตามที่เคยจำมาจึงสำคัญผิดว่าเป็นคนจริงๆการมองของกวางจึงเป็นการมองที่ผิด..การลวงตัวเองด้วยการมองที่ผิดของคนก็เป็นเช่นดียวกับเรื่องของกวางป๋านี้

๒. นิทานเรื่องนักแสดงกลเปรียบเทียบให้เห็นการหลอกหลอนตัวเองด้วยความคิดผิด

มีเรื่องเล่าเป็นนิทานว่า....

ยังมีศิลปะศาสตร์ชนิดหนึ่งเรื่องว่ากล หรือมายา คือการทำให้หลง

กลนี้ทำให้ก้อนดินดูประหนึ่งว่าก้อนเงินก้อนทองแก่ฝูงชนที่มาดู อำนาจของกลหรือมายานี้สามารถดึงเอาอำนาจแห่งการมองเห็นตามปกติของคนออกไปได้ แล้วสอดใส่การมองเห็นอันมหัศจรรย์อีกอย่างหนึ่งเข้าแทนที่ มายาหรือกลนั้นสามารถทำให้คนหัวหมุนหรือหัวปั่นไปชั่วขณะ หากคนมีสติสัมปชัญญะดีอยู่เขาจะเห็นก้อนดินเป็นก้อนดิน แต่เมื่อคนตกอยู่ในอำนาจมายากลนี้ เข้าจะเห็นก้อนดินเป็นก้อนเงินก้อนทอง ที่สุกปลั่งเหลืองอร่าม เหตุนี้ ความเชื่อ ความสังเกตุ และความคิดของเขาจึงผิดไปหมด ในทำนองเดียวกันกับความคิดความเห็นของเรา เมื่อเป็นมายาที่ทำให้หลงหลอกหลอนตัวเองด้วยความคิดผิด

๓. นิทานเรื่องคนหลงทางเปรียบเทียบให้เห็นการลวงตัวเองด้วยความเห็นผิด

มีเรื่องเล่าเป็นนิทานว่า....

มีป่าแห่งหนึ่งซึ่งมีภูติผีปีศาจแลยักษ์มารจำแลงกายสิงสถิตย์อยู่ เมื่อมีผู้เดินทางเข้ามาในป่าที่ไม่ชำนาญทางไม่คุ้นเคยกับหนทางในป่าแห่งนี้ พวกภูติผีปีศาจแลยักษ์มารก็เนรมิตป่าแห่งนี้ให้เป็นบ้านเมืองที่สวยงามเจริญรุ่งเรื่องดั่งสวรรค์วิมานเมืองพรหม จำแลงกายเป็นเทพบุตรเทพธิดาเนรมิตทุกอย่างให้น่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด เมื่อผู้คนที่ไม่รู้เดินทางผ่านมา ก็หลงเข้าใจว่าเป็นเมืองคนดีเชื่อว่ามรรคาที่สวยหรูนี้จะนำทางไปสู่บ้านเมืองคนดี เขาจึงหันจากทางอื่นอันเป็นทางที่ถูกต้อง เดินหลงมาตามทางของภูติผีปีศาจแลยักษ์มารดังกล่าวอันเป็นทางที่ผิด และนำไปในทางที่ผิดจนถึงบ้านเมืองของภูติผีปีศาจแลยักษ์มาร และต้องทนทุกข์ทรมานไปตามควรแก่เหตุเพราะความเห็นผิด

........................................................

.......โลกเรานี้มีอะไรอีกมากที่เราอาจนึกไม่ถึง...สิ่งที่คิดว่าถูกอาจผิด สิ่งที่คิดว่าผิดอาจถูก ทุกสิ่งเมื่อต่างกรรมต่างวาระกัน ย่อมแปรเปลี่ยนแตกต่างกันไป สิ่งต่างๆย่อมมีความสมบูรณ์และความงามพร้อมอยู่ในตัวเอง ผ้าฝ้ายหรือผ้าไหม ก็ล้วนงามพร้อมตามจริตกิริยาแห่งตน ผู้เฒ่าผู้แก่สั่งสอนให้ไหว้พื้นดินเคารพแม่พระธรณี เพราะเหตุใด...เหตุนั้นจึงควรสถิตย์ในใจเรา


ทองคำ - 15 เมษายน พ.ศ.2548 16:06น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 12
นึกถึงคุณยายกลิ่นโสมเคยบอกไว้ว่า..เดี๋ยวนี้เห็นมีแต่โหราศาสตร์เชิงพาณิชย์ไปเสียหมด เป็นเชิงอนุรักษ์ หรือ จักพัฒนา นั้นหาแทบไม่ได้...นั่นน่ะสิทำไมถึงหาแทบไม่ได้หรือหาไม่ได้เลย ก็เลยอยากเสนอความเห็นไว้ดีไม่ดีก็เป็นความเห็นของคนคนหนึ่งผิดถูกไม่รู้...ก็มันเป็นเพียงแค่ความเห็นที่มีพื้นฐานและอุปาทานที่ต่างกัน

๑. ที่จริงน่าจะมีห้องสมุดโหราศาสตร์ รวบรวมหนังสือ บทความ ความคิดเห็นดีดี รวบรวมไว้สำหรับผู้ที่สนใจโดยเฉพาะคนที่ห่างไกลตำราหรือครูอาจารย์ หรือสามารถเข้ามาค้นคว้าในเนตได้ โดยเฉพาะคนที่อยู่ต่างจังหวัด..เป็นห้องสมุดโหราศาสตร์ที่ทำอย่างจริงจังเป็นระบบ

๒.น่าจะมีการเปิดสอนเป็นวิทยาทาน สำหรับผู้ที่สนใจศึกษา การให้ความรู้คนน่ะเป็นบุญกุศล

๓.น่าจะมีผลงานการค้นคว้าแบบวิทยานิพนธ์ออกเผยแพร่ ตามความรู้ระบบศาสตร์ใครจะวิจัยเรื่องอะไร ก็มีทุนให้วิจัย

๔.น่าจะมีฝ่ายวิชาการที่ทำงานจริงๆจังๆ จะเป็นแหล่งข้อมูลที่ดีอีกแหล่งหนึ่งนอกจากห้องสมุด

๕.ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่จะมาหวงวิชากันแล้ว คนไม่ดีก็เรียนไม่รู้เรื่องหรอกอันนี้จริงๆ ลดมานะทิฏฐิหันหน้าเข้าหากันไม่ต้องแบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่นานหรอกจะมีผลงานออกมามากมาย จะมีแต่คนชื่นชม

๖.น่าจะมีพิพิธภัณฑ์โหราศาสตร์ให้คนได้เข้ามาดูมาศึกษา ว่าศาสตร์นี้เป็นอย่างไรเด็กๆหรือคนที่ไม่รู้จะได้เข้าใจว่าไม่ใช่วิชาที่หลงงมงาย แต่มีหลักเกณฑ์อันเป็นศาสตร์อยู่ วิชาความรู้ที่อยู่ในที่เปิดเผยมีออกมากมาย เก็บแหล่งที่เป็นโหราศาสตร์มารวบรวมเข้า เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดย่อมได้ไม่ยาก

และที่สำคัญไม่ต้องกลัวว่าใครจะรู้มากกว่าเราหรอก ลูกศิษย์ต้องก้าวหน้ากว่าครูอาจารย์อยู่แล้ว ขอให้รู้มากมากจริงๆเถอะ

ความจริงยังมีเรื่องที่น่าทำอีกมากมาย ที่เล่าๆมาก็มีคนคิดคนทำอยู่นานแล้วแต่ไม่เห็นจะมีกลุ่มใครที่ทุ่มเทเพื่อการศึกษาโดยแท้จริงและเผยแพร่ต่อผู้รักการศึกษาด้วยกันอย่างเอาจริงเอาจังสักที ถ้าใครจะทำก็ลืมเรื่องลาภยศชื่อเสียงตำแหน่งเสียเถอะรกรุงรังเปล่าๆ.....


ทองคำ - 17 เมษายน พ.ศ.2548 18:19น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 13
เรียน คุณทองคำ

เรื่องนี้ที่คุณทองคำเอ่ยมานั้น ดิฉันก็เคยคิดคะ ว่าการที่จะทำได้นั้น ต้องได้กลุ่มคนที่มีแนวร่วม แนวคิด เดียวกัน แต่ข้อทุกข้อที่คุณทองคำเอ่ยมา ดิฉันเห็นว่าเป็นมัน ปัญหาหลัก ทุกข้อไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลย ยิ่งอาจารย์ที่มีอัตตาสูง ย่อมไม่อยากให้ตนเองเสียความสำคัญ

ดิฉันเองก็มีความรู้โหราศาสตร์เพียงเล็กน้อย แต่มีความสนใจในความคิดของคุณทองคำมาก ถ้าหากมีโอกาส มีความเป็นไปได้ ดิฉันก็อยากมีส่วนร่วมและสนับสนุนคะ


คุณยายกลิ่นโสม - 17 เมษายน พ.ศ.2548 21:50น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 14
เรียนคุณยายกลิ่นโสม

พื้นฐานการศึกษาโหราศาสตร์ที่แท้จริงคือคุณงามความดีที่ก่อเกิดขึ้นในหัวใจของผู้ใฝ่รักการศึกษา ความดีจะเป็นครูที่ยิ่งใหญ่ ความงามของหลักวิชาเป็นทางดำเนินที่ต้องอาศัยคุณงามความดีเป็นผู้ชี้นำทาง ยิ่งศึกษาก็ยิ่งมีแต่ความสุขและความสงบเป็นจุดหมายปลายทาง คนเราเกิดมามีชีวิตอยู่เพียงน้อยนิดเมื่อต้องจากกันก็มีแต่คุณงามความดีที่เหลือทิ้งไว้ให้แก่กันด้วยความเมตตากรุณา วันเวลาผ่านไปอายุขัยก็ลดลงไปเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง ชื่อเสียงลาภยศเหมือนภาพลวงตาการปล่อยวางเสียสักน้อยนิดก็ยังมีคุณ แม้ไม่อาจตัดได้ทั้งหมดทั้งสิ้น เพราะเรายังเป็นเพียงแค่ปุถุชนคนธรรมดา ยังมีวาสนาติดตัวอยู่ยากตัดขาด

ความรู้โหราศาสตร์ผมเองมีเพียงน้อยนิด ไม่ได้รู้อะไรมากมาย ลืมเลือนไปเยอะแล้ว โครงการที่เล่ามาเล่นๆแต่ใครทำจริงๆก็อนุโมทนาสนับสนุน เห็นคุณยายกลิ่นโสมตั้งกระทู้ตอบปัญหาช่วยเหลือผู้คน นับเป็นกุศลเจตนาที่ดี แนวทางการตอบก็มีแต่คุณประโยชน์การใช้ถ้อยคำก็เหมาะสมดีงาม สร้างบุญกุศลนี้ต่อไปเถิดครับวิชาความรู้ก็จะเจริญงอกงามก้าวหน้าไปในทางที่ดีที่เหมาะสม

เรื่องโครงการที่เล่ามาคนที่จะทำต้องทำเพราะรักการศึกษาจริงๆ ต้องเสียสละไม่หวังในลาภยศชื่อเสียงเงินทอง หรือว่าต้องให้ใครมาเชิดชูให้ความสำคัญ ถ้าไม่มีผลประโยชน์ต่อตนเองแล้วยังจะมีใครอยากทำ หาได้น้อยคน คนเราโดยส่วนมากมักชอบให้คนชมให้คนยกยอ อยากมีหน้าตามีเกียรติมีชื่อเสียงในสังคม ดีใจที่ยังมีคนอย่างคุณยายกลิ่นโสมที่ยังอยากเห็นและอยากร่วมสนับสนุนให้มีสิ่งดีดีเกิดขึ้นในแวดวงการศึกษาที่ไม่ต้องการหวังผลประโยชน์ส่วนตัว

ที่จริงความรู้โหราศาสตร์นั้นไม่ว่าแขนงไหนล้วนมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่ากันและจะมาเข้าใจกันในจุดๆเดียวกัน คือ เข้าใจชีวิต เข้าใจผู้คน มีเมตตาพรหมวิหารแก่บุคคลทั่วไป ความรู้ยังไม่สำคัญเท่าความตั้งใจที่จะทำเพื่อคนส่วนรวม คนเรานั้นต่างคนต่างกรรมและต่างวาระ ......


ทองคำ - 18 เมษายน พ.ศ.2548 20:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 15
หนังสือเป็นสื่อที่ให้จินตนาการและความรู้ในแง่มุมต่างๆ หลายคนสนใจเรื่องไหนก็ตามหาหนังสือที่มีผู้เขียนแนวนั้นๆมาอ่าน เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตน เหมือนได้ฟังผู้เขียนเล่าถึงประสพการณ์ของตนเองที่ผ่านมา เหมือนผู้เฒ่าผู้แก่มาเล่าเรื่องราวนั้นๆให้ลูกหลานฟัง ถึงแม้หนังสือบางเล่มอาจมีเนื้อหาที่ไม่มาก แต่เพียงเท่าที่เราอยากรู้แค่บรรทัดเดียวก็ดูจะเพียงพอแล้วสำหรับความคิดดีดี

หนังสือโหราศาสตร์ก็มีผู้เขียนออกมาไม่ใช่น้อย ด้วยความตั้งใจเผยแพร่ความรู้ประสพการณ์ที่ผ่านมาเพื่อทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้เข้ามาศึกษา บางคนเขียนด้วยความตั้งใจ บางคนเขียนเชิงพานิชย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ก็นับว่ามีคุณค่าและเป็นความตั้งใจของคนคนนึง หนังสือที่แจกในงานศพหากเราสังเกตุจะเห็นว่ามักเขียนแต่เรื่องที่ดีงามของผู้ตายเรื่องที่ผิดพลาดมักไม่ค่อยพบ เพราะเราถือว่าเมื่อคนเราตายไปแล้วก็หมดบุญหมดกรรมจากโลกนี้ไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาก็อโหสิกรรมต่อกัน คงเหลือไว้แต่สิ่งดีงามให้คนรุ่นหลังยึดถือเป็นแบบอย่างต่อไป

ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถเป็นครูสอนเราได้ทั้งนั้น แต่โบราณจึงสอนให้เป็นคนประหยัดมัธยัดไม่สุรุ่ยสุร่าย กระทำบุญให้จิดใจผ่องใส คนเราเมื่อจิตใจผ่องใส หน้าตาอิ่มเอิบแจ่มใสเบิกบานไม่คิดประทุษร้ายใครก็จะเป็นพื้นฐานของการงานทั้งปวง

ในโลกนี้ไม่มีสิ่งใดดีเลิศยิ่งหย่อนไปกว่ากัน นี่เป็นหลักการพื้นฐาน คนเราอ่านออกเขียนได้ มีวิชาความรู้ลึกซึ้งชั้นสูง เหตุผลหนึ่งก็เพราะ กอไก่ ขอไข่

อย่าทิ้งสิ่งใดและก็อย่ายึดมั่นสิ่งใด ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปตามกาละเวลา ไม่มีสิ่งใดอยู่คงที่เสมอไป " ของของเขาให้เขาไป ของของเราอย่ายึดมั่น" แล้วเราก็จะมีแต่ความสุข


ทองคำ - 19 เมษายน พ.ศ.2548 12:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 16
เมื่อสักครู่ลมพายุพัดมาแรง ต้นไม้ไหวเอน ฝนตกใหญ่ มีฟ้าร้องฟ้าผ่า ธรรมชาตินี้สอนอะไรให้เรามากมาย ลมพายุ กับ ฟ้าผ่า นี่ถือเป็นคู่ธาตุกันที่สามารถแปรเปลี่ยนไปมาซึ่งกันและกันได้ไม่คงที่ ลมพายุก็มีคู่สมพล และฟ้าผ่าก็มีคู่สมพล ที่อยู่คนละฝ่ายที่แน่ชัดและสามารถถ่ายเทซึ่งกันและกัน แม้แต่คู่มิตรคู่ศัตรูก็เป็นเช่นนี้ตามสถานะ เพราะอยู่ในวัฏจักรเดียวกัน

ธรรมชาติสอนอะไรเรามากมาย อย่าปล่อยสิ่งที่ธรรมชาติแสดงออกให้สูญเปล่า ธรรมชาติเป็นครูสอนเราได้ทุกขณะ อย่ามองออกไปสิ่งที่ไกลตัว รอบๆตัวเราล้วนมีแต่ครูอาจารย์ ฝนตกอากาศดีมาก กลิ่นไอดินขึ้นหอมเชียว ไปเดินเล่นสักครู่ดีกว่า


ทองคำ - 19 เมษายน พ.ศ.2548 17:04น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 17
เรียน ถามอาจารย์ทองคำ

อาจารย์คิดเห็นอย่างไรบ้างคะกับการแก้ดวง โดยการเปลี่ยนชื่อ แก้ฮวงจุ้ย ใส่เสื้อผ้า(ตามสี) ใส่เครื่องประดับ ที่ต้องโฉลกตามราศี กราบพระแก้เคล็ด เห็นว่าคนเค้าไปทำเยอะ แห่กันไปทำเลยก็มี อาจารย์คิดว่าได้ผลจริงๆ หรือเปล่าคะ ตามหลักโหราศาสตร์ เห็นอาจารย์โหราศาสตร์ อาจารย์หมอดูหลายๆท่านเหมือนกัน ท่านว่า แก้ไขตามที่ดูให้แล้วจะดีขึ้น รวยขึ้น จนดิฉันเริ่มคิดว่าได้ผลจริงๆหรือ ถ้าได้ผลจริง ตัวอาจารย์ทั้งหลาย ท่านไม่ทำให้ตัวเองบ้างหรือ จะได้มีชีวิตที่ดีขึ้น สบายขึ้น


น้องพร - 20 เมษายน พ.ศ.2548 08:03น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 18
ถึงคุณน้องพร...

อย่าเรียกว่าอาจารย์เลยครับ ความรู้ผมมีไม่มาก แค่ชอบเล่าโน่นเล่านี่เล่นเอง หากถามว่าคิดเห็นอย่างไรบ้างกับการแก้ดวง อยากบอกว่าต้องแก้ที่ตัวเรา เวลาเรามาเกิด..มาปฏิสนธิ ณ ที่แห่งนั้นเวลานั้นและมีชีวิตจิตใจต้องดำเนินไปเช่นนั้นเพราะเหตุใด เราต้องแก้ที่เหตุนั้น นั่นคือกรรมอันมีทั้งเจตนาและไม่เจตนา อันเป็นส่วนหนึ่งของธาตุปฏิสนธิ ยังมีองค์ประกอบอื่นอีก เจตนาและกรรมอันฝังเป็นอนุสัยอยู่ในจิตสันดานลึกๆของคนเรา และจะแสดงออกมาเมื่อสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยและอาจกระทำผิดหรือถูกได้ หากไม่มีสติสัมปชัญญะประกอบดีพอ ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ใช่การนำเรื่องของทางพระพุทธศาสนามากล่าวแต่เป็นเรื่องของโหราศาสตร์ที่เกี่ยวพันกันอยู่

ส่วนวิธีการต่างๆเช่นการเปลี่ยนชื่อ ใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับตามวันตามสีตามราศี ฯลฯนั้น เป็นเพียงองค์ประกอบส่วนย่อย อยู่แค่การใช้ให้เหมาะสมเท่านั้น ส่วนมากที่กระทำกันในปัจจุบันเพราะเรื่องของผลประโยชน์ และความรู้เท่าไม่ถึงการณ์มากกว่า

คุณน้องพรเข้าใจเปรียบเทียบดีครับและก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ


ทองคำ - 20 เมษายน พ.ศ.2548 14:31น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 19
เรียน อาจารย์ทองคำ( ขอเรียกอาจารย์ นะคะ)

อย่างแรกเลยต้องขอขอบคุณอาจารย์ทองคำ ที่ช่วยแนะนำ โหราศาสตร์ ปรัชญา หรือความรู้อื่นๆ ( ถึงแม้นอาจารย์จะว่า อาจารย์มีความรู้ไม่มากพอ แต่ดิฉันว่าก็ยังมีมากกว่าดิฉันแน่นอน ข้อสำคัญ การเคารพกันเป็นเรื่องของจิตใจ อาจารย์ว่าอย่างนั้นมั๊ยคะ )

เข้ามาวันนี้ยังไม่มีเรื่องถาม ไม่มีเรื่องคุย แต่เข้ามาเพื่อขอกล่าว " ขอบพระคุณ " คะ


คุณยายกลิ่นโสม - 20 เมษายน พ.ศ.2548 15:09น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 20
เรียนคุณยายกลิ่นโสม

ขอขอบพระคุณคุณยายกลิ่นโสมเช่นเดียวกันครับ..การเคารพซึ่งกันและกันเป็นสิ่งที่ดีงาม ..ผมเองแค่ชอบมาเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปตามเรื่องตามประสารู้มั่งไม่รู้มั่ง..บางทีนึกออกบางทีก็นึกไม่ออก..ใครถามอะไรมาก็คงตอบได้เพียงเรื่องพื้นๆ..เรื่องยากๆคงเกินกำลังสติปัญญา.. คิดว่าอ่านเล่นเพลินๆไปละกันครับ...ช่วงนี้พอมีเวลาว่างอยู่พฤหัสหน้าก็คงห่างหายไปเพราะกิจธุระ...ขอขอบพระคุณครับ


ทองคำ - 20 เมษายน พ.ศ.2548 16:10น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 21
เมื่อเราเรียนโหราศาสตร์สิ่งที่สำคัญคือการรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน การมีความกตัญญูรู้คุณต่อครูอาจารย์ มารยาทและจรรยาความประพฤติ เป็นสิ่งที่สำคัญ ถึงความรู้จะมีไม่มากแต่ก็ทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข รู้จักการแบ่งปัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ศาสตร์ทุกศาสตร์มักมีข้อเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อศึกษาไปมากมากมักเกิดความคิดว่าเรานั้นรู้เกินใคร มักเกิดความทนงตน และลืมตน ข้อนี้เป็นข้อควรระวังเป็นอย่างยิ่ง อย่าให้สิ่งเหล่านี้นั้นเกาะกินใจให้มัวหมอง

เมื่อความดีงามก่อเกิดขึ้นในใจแล้ว เมื่อนั้นจึงพร้อมที่ศึกษาหาความรู้ต่อไป การเรียนรู้สิ่งใดใดโดยเข้าสู่หลักวิชาโดยตรงนั้น อาจให้โทษได้จึงต้องมีความระมัดระวัง โบราณเรียกว่าร้อนวิชา เพราะยังเข้าใจหลักวิชานั้นไม่ดีพอ..ไม่สามารถควบคุมตนเองหรือควบคุมวิชานั้นให้อยู่ในกรอบที่ควรประพฤติและที่ที่ควรอยู่ เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้นจะให้โทษมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเสียอีก ความดีงามนั้นจะประคองเราไปให้ตลอดรอดฝั่ง ให้เราได้พบเส้นทางที่ดีงาม ไปจนถึงจุดหมายปลายทางที่เราปรารถนา

การจะเล่าเรียนอะไรก็ตามต้องมีพื้นฐานที่ดีพอ..ไม่เช่นนั้นพอเรียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆจะสับสนและไขว่เขวไปจับต้นชนปลายไม่ถูก และไปต่อไม่ได้ ศาสตร์ทุกศาสตร์เป็นเช่นนี้เหมือนกันหมด โหราศาสตร์เป็นศาสตร์ที่น่าศึกษาเรียนรู้ ปกติเวลาเราเรียนมักไปติดอยู่กับดวงชะตาที่เราผูกขึ้นจนลืมตัวตนของเจ้าชะตาที่แท้จริง ที่เปลี่ยนแปลงไปทุกขณะจิต ดวงชะตาเดิมก็จะเปลี่ยนไปไม่คงที่เมื่อถึงที่สุดอาจเป็นต้นคดปลายตรงก็ได้...แล้วเมื่อเริ่มใหม่ดวงชะตาเดิมก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งนี้เพราะตัวเราหนึ่ง เพราะบุคคลที่สัมพันธ์อุปการะเกื้อหนุนอีกหนึ่ง

เรื่องต่างๆที่เล่ามาอาจไม่มีความรู้อะไรมากมายนักแต่เพียงแค่เรารู้จักคำว่าความดีงาม และความอ่อนน้อมถ่อนตนแล้ว แม้ไม่มีความรู้อะไรมากมาย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขสงบ การศึกษานั้นหากมีวาสนารู้ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ความวิริยะบากบั่น ความตั้งใจดีจะพาเราให้ประสพความสำเร็จ........


ทองคำ - 21 เมษายน พ.ศ.2548 15:38น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 22
คนเรามักตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกที่มองเห็น บางคนนึกว่าเป็นปราการด่านแรกในการเลือกตัดสินใจ ความคิดของคนเรานั้นมีอยู่อย่างหนึ่งคือ จะเชื่อในเมื่อสิ่งนั้นๆเข้ากันกับสิ่งที่ตัวเองคิด หรือสิ่งนั้นสนับสนุนความคิดของตน ในโลกนี้กว้างใหญ่มีอะไรมากมายที่เรายังไม่เคยได้พบได้เห็นและไม่นึกว่าจะมีหรือเหลืออยู่ การยึดมั่นในความคิดเป็นสิ่งที่อันตราย การไม่สามารถควบคุมตนเองได้ก็คือไม่สามารถควบคุมวิชาได้ หลายสิ่งหลายอย่างในโลกนี้ซ้อนกันอยู่การมองในลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งค่อนข้างอันตราย แต่คนเรามักติดอยู่ที่มุมมองและความเชื่อมั่นในตนเอง โลกนี้ถึงวุ่นวายไม่รู้จักจบ ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดแต่เหตุ การแก้ที่เหตุชีวิตก็จะมีแต่ความสงบสุข จิตใจก็จะไม่รุ่มร้อนกระวนกระวาย ความรักความเมตตาเป็นพื้นฐานของความดีงามที่ควรมีอยู่ในใจมนุษย์ทุกคน


ทองคำ - 3 พฤษภาคม พ.ศ.2548 13:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 23
การเรียนรู้โหราศาสตร์ก็เรียนรู้ให้เข้าใจชีวิต ชีวิตนั้นอยู่ที่ไหนก็ศึกษาที่นั้น พื้นฐานการศึกษานั้นไม่ใช่เรื่องสลับซับซ้อนกลับเป็นเรื่องพื้นฐานทั่วไปที่เรารู้และเห็นอยู่ ส่วนความพิศดารต่างๆนั้นก็ขึ้นแต่กลของครูอาจารย์ที่ต้องการล่อให้ศิษย์มีความเชี่ยวชาญเท่านั้นและวาสนาที่แต่ละคนมีไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดก็สำเร็จเหมือนกัน องค์ประกอบของความสำเร็จไม่ใช่หลักวิชาที่เราได้ศึกษาเรียนรู้ แต่องค์ประกอบที่สำคัญคือการเข้าใจชีวิต ถ้าไม่เข้าใจชีวิตก็ไม่เข้าใจโหราศาสตร์ คนที่มีมิจฉาทิฎฐิ ไม่สามารถล่วงสู่สัมมาทิฏฐิได้ฉันใด การไม่เข้าใจชีวิตก็ไม่สามารถล่วงเข้าสู่โหราศาสตร์ได้ฉันนั้น


ทองคำ - 5 พฤษภาคม พ.ศ.2548 14:27น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 24
การเรียนการสอนโหราศาสตร์ในปัจจุบันมีมากมายหลายแขนงแต่ละคนก็มุ่งมั่นพัฒนาวิชาความรู้ของตนให้ก้าวหน้าบางคนก็ลังเลสงสัยว่าไม่ใช่หลักวิชาที่แท้จริงหรือจะจับหลักอะไร.ต่างๆนานา ที่จริงแล้วหลักวิชาเหล่านั้นไม่เคยขัดแย้งกันเลย ..แต่คนเราเองที่เกิดความขัดแย้งขึ้นในจิตใจ กลายเป็นสิ่งนั้นถูกสิ่งนี้ผิดมัดใจเรา การแบ่งแยกในขอบเขตของหลักวิชาการต่างๆเป็นเรื่องอันตรายหากมีวุฒิภาวะในการวินิจฉัยไม่เพียงพอ คนเราหากเข้าใจชีวิตสักนิดนึง วันเวลาที่ผ่านมาก็ไม่เปล่าประโยชน์

การเรียนรู้การดำเนินในปกติธรรมดาของชีวิตที่เรียบง่าย เหมือนดังนึงชีวิตเราที่พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ หมั่นออกกำลังกายดูแลสุขภาพ มีการงานที่ทำด้วยความรัก มีสายตาที่เป็นมิตรกับผู้คน มีโอกาสสร้างบุญสร้างกุศล มีสัมมาคารวะต่อสถานที่คือการให้เกียรติทั้งตัวเราและผู้อื่น สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องในชีวิตของเราที่ดำเนินไป หากจะสนับสนุนหรือขัดแย้งก็ดำเนินไปตามเหตุปัจจัย

ในโลกเรานี้มีเรื่องมากมายที่เราอาจนึกไม่ถึง .... จึงควรดำรงอยู่ในโลกและชีวิตนี้ด้วยสติสัมปชัญญะ


ทองคำ - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2548 14:49น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 25
พอดีไปอ่านเจอนิทานธรรมะ( dhammathai.org )เห็นน่าอ่านเลยเอามาฝาก..อ่านกันเพลินๆ

นิทานเรื่องมะม่วงเทวดา

กาลครั้งหนึ่ง ยังมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งชื่อว่า พระยาทธิวาหนะอยู่ในเมืองพาราณสี พระองค์ได้เก็บมะม่วงสุกผลหนึ่งซึ่งเป็นของเทวดา หล่นลอยมาตามกระแสน้ำ ผลมะม่วงนั้นสุกหอมงดงาม ดูประหลาด พระองค์จึงเสวยอย่างอร่อย แล้วจึงรับสั่งให้นายอุทยานนำเมล็ดไปปลูก และให้รดด้วยน้ำนมสด เจิมด้วยน้ำมันหอม ประดับด้วยดอกไม้หอม ต้นมะม่วงจึงให้ผลงาม หอม หวาน แต่เมื่อพระองค์จะประทาน ไปเมืองอื่น จะให้ทำลายเมล็ดด้วยเหล็กแหลม เพื่อมิให้ขึ้นที่เมืองอื่น

ยังมีพระราชาอีกองค์หนึ่งคิดอิจฉามะม่วงวิเศษ จึงจ้างคนปลอมไปเป็นผู้ดูแลสวนมะม่วงให้พระราชา พอได้ที่ก็ปลูกบอระเพ็ดให้พันต้นมะม่วงจากต้นจนตลอดยอด ครั้นปีรุ่งขึ้นมะม่วงออกลูกมาก็ขมกินไม่ได้ พระราชาจึงไปถามปุโรหิต (ซึ่งเป็นอดีตชาติหนึ่งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ปุโรหิต พิจารณาด้วยปัญญา จึงกล่าวกับพระราชาว่า ต้นมะม่วงนี้มีรสขมเพราะถูกล้อมรอบด้วยความขมจากดินถึงยอด จึงทำให้ผลมีรส ขมด้วย พระราชาจึงให้ถอนต้นบอระเพ็ดออก รวมทั้งขุดดินขม ๆ ทิ้ง แล้วใส่ดินบริสุทธ์ รดด้วยน้ำนมสด จนต้นกลับมีรสหวานอีกครั้ง

คติธรรม นิทานเรื่องนี้ยกมาให้เห็นว่า แม้แต่ผลไม้ยังกลับกลายเป็นของดีและชั่วได้ ด้วยความเกลือกกลั้วไปด้วยรสหวานและรสขม ใจของมนุษย์ย่อมกลายเป็นชั่ว หากเกลือกกลั้วไปกับคนพาล เราจึงควรเลือกคบแต่นักปราชญ์ ซึ่งจะนำซึ่งความสุขความเจริญมาให้


ทองคำ - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2548 20:17น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 26
มีอีกเรื่องน่าอ่านดี

...วันนี้ "ขออภัย" มิได้มีเจตนาจะล่วงเกิน "พูด-เขียน" ให้เกิดความหยาบคาย ต่ำช้า ขออนุญาตพูดเรื่อง "หมา" สักวัน

ปกติคนกับหมา มีส่วนที่เกี่ยวพันใกล้ชิดกันมาตลอด เพียงแต่ว่า คนเป็นสัตว์ประเสริฐ ประเสริฐตรงที่มีคุณธรรมประจำใจ รู้ดีชั่ว บุณบาป รู้ว่าอะไรควรทำ อะไรควรเว้น รู้จักพัฒนาหาความเจริญก้าวไปข้างหน้า หาความสุขใส่ตน ส่วนหมาเป็นสัตว์เดรัจฉานมีพฤติกรรมทำไปตามสัญชาตญาณของความโง่เขลา จึงจัดได้ว่า คนสูง หมาต่ำ สิ่งที่เรามองว่าต่ำนี่แหละ ถ้ารู้จักมองอีกมุมหนึ่งด้วยปัญญา มองอย่างมีศิลปะ บางทีเราอาจจะได้ข้อคิดจากเรื่องต่ำๆ หมาๆ นี้ก็ได้

เรื่องมีอยู่ว่า มีหมาตัวหนึ่งอาศัยอยู่ในป่าลึก ในค่ำของคืนวันหนึ่ง เป็นคืนวันเพ็ญเดือนหงายขึ้นสิบห้าค่ำ พระจันทร์เต็มดวง ทอแสงนวลใย ส่องโลกให้สวยงามยิ่งนัก เจ้าหมาป่าเฝ้าแต่มองจ้องดวงจันทร์ ใจก็พลันคิดไป คิดทะเยอทะยานอยากใหญ่ใฝ่ฝันอันเจิดจ้า ว่าข้านี่แหละหนา อยากจะเป็นดวงจันทร์ อยากจะทำหน้าที่ส่องโลก ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้เชยชม ด้วยแรงแห่งความปรารถนาสักครู่ใหญ่ต่อมาปัญญาแบบหมาๆ ก็เกิดผุดขึ้นในใจ ความฝันอันสูงส่งจะเป็นจริงได้จะต้องพึ่งพาอาศัยท่านผู้มีฤทธิ์ ท่านผู้มีความศักดิ์สิทธิ์ คงจะให้เราสถิตบนนภา รำพึงแล้วมิรอช้า รีบมุ่งหน้าสู่อาศรมฤาษี รีบบอกเอ่ยเผยวจีว่าข้ามาครานี้ขอพึ่งพา ขอท่านจงโปรดเมตตา จงได้เนรมิตให้ข้าเป็นดวงจันทร์ ความฝันพลันเป็นจริง เขาดีใจมากล้นในวาสนาของตนที่ได้ก้าวมาเป็นใหญ่เป็นโต โอ้โฮ...โอ้โฮ...นี่ หรือวาสนาเรา เขาเพิ่งจะปลื้มมิทันนาน ได้พบพาลอุปสรรค ดวงจันทร์อันเป็นที่รักจำต้องแปรเปลี่ยนไป เพราะเจ้าเมฆก้อนใหญ่ไหลพัดผ่านมา ปกคลุมแสงสว่างที่เคยผ่องใสนวลใยพลันมืดลง คิดแล้วไม่ยอมปลงตรงไปหาท่านฤาษีอีกครา อย่ากระนั้นเลยพ่อท่าน ขอกรุณาจงเป่าเสก อยากจะได้เป็นเอกขอเป็นเมฆเถิด คงจะเลิศกว่าดวงเดือน

ฤาษีท่านขยันรีบผลุนผลันแสดงฤทธิ์ธา ได้เป็นเมฆสมใจใครหรือจะมาสู้ข้า แม้นเจ้าหมู่ดารา ยังเกิดไฝฝ้าจนหมดงาม ได้เป็นเมฆคะนองเมฆมิทันนาน มีเหตุการณ์เข้ามาใหม่ คือได้เกิดลมพายุใหญ่ พานพัดเมฆให้ต้องกระจาย จิตใจเจ้าหมาต้องเร่าร้อน ต้องวิ่งว่อนพบฤาษี คถณพ่อครับ ช่วยลูกทีลูกอยากจะเป็นลม(พายุ) ที่ไหนร้อนระอุ ข้าจะพัดให้ร่มเย็น พอเป็นลมสมใจหมายก่อความวุ่นวายไม่ยอมหยุด จนมาสะดุดย่อท้อเมื่อเจออุปสรรค พัดผลักแล้วผลัก เจ้าลมยักษ์เกิดอ่อนแรง เมื่อได้เจอของแข็ง พัดจอมปลวกไม่ยอมพัง เป็นเหตุให้มานั่งจับเจ่าเป็นทุกข์ใจ

ซมซานไปพบพ่อฤาษีว่าลูกนี้จนปัญญา ขอเลื่อนอาสาขอเป็นจอมปลวกต่อไป เป็นได้ไม่นานเท่าไหร่เจ้าควายใหญ่เข้ามาขวิด ขวิดแล้วขวิดจนหวุดหวิดพังทลาย เป็นจอมปลวกนึกว่าดีแล้ว ยังไม่แคล้วมาแพ้ควายได้ เห็นทีจะเบื่อหน่ายขอเป็นควายเถอะเจ้าประคุณ เจ้าควายเปลี่ยวแสนเกเรชอบเที่ยวเตร่อาละวาด ทำแบบไม่ฉลาดขวิดของขาดเสียหาย ต้องเดือดร้อนถึงเจ้าของควาย ต้องวุ่นวายหาเชือกมะนิลามาใส่คอจนมั่นคง

หมดโอกาสทรนงได้ยืนงงเหงาหงอย ต้องเดือดร้อนท่านฤาษีช่วยอีกทีขอเป็นเชือก ฤาษีไม่มีทางเลือกเสกให้เป็นเชือกต่อไป ได้เป็นเชือกสมใจหมายคงสบายแล้วแหละเรา แม้แต่ควายยังโง่เขลา ยอมแพ้เราไปหนึ่งราย เหตุการณ์ไม่ใช่หยุดลงแค่นี้ สุดที่จะเดา เพราะเจ้าหนูน้อยแวะเวียนมากัด เฝ้าเอาเขี้ยวมาแทะเล็ม เชือกใหญ่แสนใหญ่ ทนไม่ไหวกับเขี้ยวหนู เห็นท่าจะทนไม่อยู่ถูกเจ้าหนูกัดไป คิดแล้วแค้นต้องวิ่งแจ้นสู่อาศรม บอกกล่าวพ่ออย่างตรอมตรมขมขื่นในอุรา ช่วยลูกอีกทีเถิดหนาว่าเป็นหนูคงดี ออกจากเชือกขอเลือกมาเป็นหนู เป็นได้เพียงชั่วครู่ถูกแมวขู่กีดกิน เฮ้อ...ขอเป็นแมวเถิดครับพ่อ (ขอตลอดเรื่อง) จะได้ไม่ท้อต่อฝีมือใคร คงฉลาดว่องไวป้องกันภัยได้ทุกแง่ พอเป็นแมวมิทันไร ถูกหมาใหญ่เข้ามารังแก เห็นท่าจะแย่เป็นแมวต่อไปไม่ไหว ตัดสินใจอำลา วิ่งกราบบาทา ลูกขอเป็นหมาดังเดิม...

เฮ้อ...เหนื่อย...เป็นโน้นเป็นนี่...เสียจนเหนื่อยอ่อนเพลีย


ทองคำ - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2548 20:36น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 27
อีกสักเรื่องอันนี้พระพยอมท่านเล่าไว้

วันก่อน...มีเด็กเขียนจดหมายมาถามอาตมา...ว่า

หลวงพ่อครับ...ช่วยตอบปัญหาผมทีเถอะ...

ผมหาทางออกไม่ได้...

พ่อผมรับราชการ...เป็นครู...

กินเหล้า ทั้งวัน..

พอเมากลับบ้าน...ก็อาละวาด...เตะแม่...เตะน้อง...ถีบผม...

ทำลายข้าวของในบ้าน...

มีทรัพย์สมบัติอะไรในบ้าน...ขนไปขาย...กินเหล้าหมด...

ครอบครับผมกำลังเดือดร้อนมาก...

ผมกำลังตัดสินใจอยู่ว่า...

ผมควรจะฆ่าพ่อให้ตาย...เพื่อความสุขของแม่และน้องๆ...

หรือ...ผมควรจะฆ่าตัวเองตาย...เพื่อให้พ้นทุกข์...

หลวงพ่อช่วยตอบปัญหาให้ผมด่วนนะครับ...ว่า...

ผมจะฆ่าใครดี...ระหว่างพ่อ...กับผม

อาตมาอ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว...เศร้าใจจริงๆ...

สังคมบ้านเรา...ทำไมถึงได้เลวร้ายได้ขนาดนี้...

อาตมารีบตอบจดหมายทันทีเลย...

กลัวจะไม่ทันการณ์...เด๊่ยวเกิดมีใครตายเสียก่อน...

หนู...อาตมาได้รับจดหมายของหนูแล้ว...

รู้สึกเห็นใจเป็นอย่างมาก...

อาตมาเห็นด้วย...ว่าควรมีการตายกันไปขเางหนึ่ง...

เพื่อคนที่เหลือ...จะได้มีความสุข...

ซึ่งอาตมาต้องยืมมือหนู...ในการฆ่าครั้งนี้...

ผู้ที่จะต้องตาย...

ไม่ใช่หนู...

และก็ไม่ใช่พ่อของหนู...

แต่สิ่งที่หนูจะต้องฆ่า...ในทันทีที่ได้รับจดหมายจากอาตมาก็คือ...

หนูจะต้องฆ่ากิเลส...

กิเลสที่มันเกาะกินหัวใจพ่อ...ทำให้พ่อติดเหล้า...

กิเลสที่มันเกาะกินใจหนู...ที่ทำให้หนูเกลียดพ่อ...

ถ้าหนูฆ่ากิเลสทั้งสองตัวนี้ได้แล้ว...

ครอบครัวของหนู...จะอยู่เป็นสุข...

ตกลงเรื่องนี้...ไม่มีใครตาย...

ลูก...เอาจดหมายพระพยอมให้พ่ออ่าน...

พ่อได้คิด...เลิกเหล้า...

พอพ่อเลิกเหล้า...ลูก...ก็ไม่เกลียดพ่อ...

ทุกคนมีความสุข...

รวมทั้งพระด้วย...

(คัดลอกมาจาก dhammathai.org มีเรื่องน่าอ่านสนุกๆได้คติธรรมเยอะ ลองไปอ่านดูนะครับ )


ทองคำ - 6 พฤษภาคม พ.ศ.2548 20:44น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 28
ในโลกในจักรวาฬ ในความเห็นความมีความเป็น ความเข้าใจในสิ่งไหนๆใดๆทั้งหมด ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่ว่ากันว่ามีอยู่ในโลก หากจะว่ามีแล้ว ก็มีอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น สิ่งเดียวที่ว่าคือความมีอยู่นั่นเอง สิ่งที่มีไปแปรไปเป็นไปต่างๆทั้งหลาย เป็นเพียงแต่อาการของสิ่งที่มีอยู่ก่อนเท่านั้น เปรียบเหมือนกับหินหรือปูนที่เขาย่อยเขาทำให้ละเอียด แล้วเอามาทำเป็นนั้นเป็นนี้ เช่นสร้างโบสถ์ก็เป็นโบสถ์ สร้างศาลาก็เป็นศาลา สร้างกุฏีวิหารบ้านเรือน ก็เป็นไปได้ทุกอย่างตามที่ทำนั้น

ของละเอียดรวมกันเข้าก็เป็นของหยาบ เมื่อของหยาบกระจายออกไปก็เป็นของละเอียดอีก ถ้าจะว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็มีแค่นี้ ไม่เห็นต้องพูดหรือกำหนดอะไรกันมากมาย และของละเอียดหรือหยาบนั้นก็เพราะมีการเข้าไปตั้งไปว่าไปกำหนดจึงมีขึ้นเป็นไป

อันธาตุ 4 นั้น หากจะดูกันอย่างธรรมดาก็จะมี 4 อย่างคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ หากจะดูกันให้ชัดถูกต้องกันเข้าไปก็จะมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น

น้ำขุ่นย่อมทำลายความใสของตนเสีย น้ำใสก็ทำลายความขุ่นของตนเช่นกัน ผู้วุ่นวายขัดข้องไปในสิ่งต่างๆเขาก็ทำลายสิ่งควรได้ควรถึง คือความสุขสงบอันแสนวิเศษเสียแล้ว ก็ผู้ใดหาความขัดข้องไม่มีเลยในทุกสิ่ง ผู้นั้นถึงแล้วในความได้ที่ถูกต้องอันสมบูรณ์


ทองคำ - 10 พฤษภาคม พ.ศ.2548 04:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 29
การศึกษาสอนให้เรารู้จักการเรียนรู้ เรียนรู้ความเป็นคน เรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกัน เรียนรู้ที่จะอภัยให้แก่กันและกัน เมื่อคนเรามีปัญหา คือสิ่งที่รบกวนจิตใจ สิ่งที่จิตใจไม่เห็นพร้องและไม่อาจยอมรับกับปัญหานั้นๆ การแก้ไขก็ต้องแก้ที่จิตใจ เมื่อจิตใจฟุ้งซ่านก็เหมือนยิ่งขมวดปมปัญหา เมื่อจิตใจผ่อนคลายรู้จักความสงบ ปัญหาก็ผ่อนคลาย แต่ไม่ได้หมายถึงปัญหาหมดไป ปัญหาจะหมดไปได้ต้องอาศัยปัญญาเข้ามาแก้ไข ชีวิตของคนเราไม่มีใครไม่เคยผ่านอุปสรรคความทุกข์ยาก สิ่งที่ผ่านมาล้วนเป็นครูสอนตัวเราได้เป็นอย่างดี คนเราในชีวิตแม้จะผ่านพบอะไรมากมายเมื่อถึงที่สุดของชีวิต ก็เหลืออยู่เพียงคำๆเดียว...คือ อโหสิกรรม..


ทองคำ - 11 พฤษภาคม พ.ศ.2548 23:46น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 30
คุณทองคำครับ ผมอยากขอคำแนะนำครับ

1.)ผมอยากทราบเกี่ยวกับการศึกษาทางธรรมะของ พระและฆราวาส ผมแทบจะไม่ทราบเรื่องนี้เลย ไม่เคยได้เอะใจนึก ตอนนี้รู้สึกสนใจ อยากทราบว่ามีการศึกษาสอนกันอย่างไร ผมเข้าไปเปิดดูในเวปธรรมะ เช่น ของมหามกุฎ ก็ไม่เข้าใจ ในหลักสูตรว่าศึกษาเนื้อหาอะไรบ้าง หรือ อย่างศัพท์ที่เรียกว่า นักธรรมเอก นักธรรมโท เปรียญ 9ประโยค ไม่เข้าใจระบบการพิจารณา หากว่า เราสนใจ เราจะไปได้แค่ไหนครับ

2.)ไปลองอ่าน “ตรรกวิทยา” มาบ้าง(ไม่จบ) ไม่ค่อยกระจ่าง แต่ก็ได้ความคิด เมื่อลองเปิดอ่านพระไตรปิฎกออนไลน์ ก็ดูน่าสนใจดี ทั้งในวิธีเขียนและเนื้อหา ผมอยากทราบลำดับปรัญชาที่พระท่านศึกษานะครับ เราอาจจะไม่จำเป็นต้องค้นหาแนวคิด แบบตะวันตกมากก็ได้ หากแต่อ่านพระไตรปิฎกก็อาจจะเป็นแบบฝึกหัดทางปรัชญาได้ครือๆ กัน หรือปรัชญาความรู้ที่พระท่านศึกษา อาจจะทำให้เห็นอะไรจริงในทางโหราศาสตร์แบบเหตุและผล ได้บ้างมั้งครับ


หนูน้อย - 12 พฤษภาคม พ.ศ.2548 13:21น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 31
ถึงคุณหนูน้อย

หลักสูตรการเรียนของพระและฆราวาสนั้นมีข้อต่างที่เห็นได้ชัดคือ พระนั้นเมื่อบวชแล้วต้องหมั่นเพียรสละสิ้นกิเลสทั้งหลาย และดำรงตนให้เหมาะในสมณเพศ การศึกษาก็มีนักธรรมตรีโทเอก (ศึกษาธรรมวินัยที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน) และเปรียญ ๑ - ๙ (ศึกษาบาลีเพื่อดำรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกและพระพุทธศาสนา) เราที่เป็นฆราวาส นั้นอาจไม่ต้องเรียนบาลีก็ได้แต่ถ้าสามารถศึกษาได้ก็เป็นสิ่งที่ดี เมื่อเราเป็นฆราวาสยังต้องข้องแวะกับเรื่องของทางโลกมากมาย อาจมีครอบครัว มีสามี-ภรรยา มีบุตร-ธิดา ดังนั้นเราต้องแยกแยะให้ถูกว่าขณะนี้เรายังดำรงเพศฆราวาส จะตัดทิ้งสามี-ภรรยา บุตร-ธิดา โดยไม่เหลียวแลไม่ได้ จึงมีธรรมสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนให้เป็นผู้รู้สิ่งที่ควรประพฤติปฏิบัติ เช่นการเป็นสามีที่ดีการเป็นภรรยาที่ดี การเป็นบุตร-ธิดาที่ดี โทษของการเที่ยวกลางคืน การประกอบสัมมาอาชีวะ ซึ่งก็คือการดำรงตนให้เหมาะกับเพศภาวะที่เป็นอยู่ แต่ไม่ได้ทิ้งในหลักคำสอนของพระพุทธองค์

ในพระไตรปิฎกนั้นแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ส่วนพระวินัย(ข้อประพฤติปฏิบัติของพระ)ส่วนของพระสุตตันตปิฎก(คำสอนพระธรรมที่แสดงไว้ในโอกาสต่างๆ) ส่วนที่ ๓ นั้นว่าด้วยพระอภิธรรม(ว่าด้วยหลักปรมัติล้วนๆ คือความจริงแท้)

ส่วนว่าด้วยพระอภิธรรมนั้นหากเราอ่านเอาจากพระไตรปิฎกเองแล้ว ก็ยากที่จะศึกษาให้เข้าใจได้ จึงให้เริ่มศึกษาจากหนังสือพระอภิธรรมมัตตถสังคหะ ซึ่งมีทั้งหมด ๙ ปริเฉท(บท) ซึ่งกล่าวถึงเรื่องของ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นเรื่องที่น่าศึกษามาก

นอกจากศึกษาตามแบบที่กล่าวมาแล้ว ในส่วนของการปฏิบัติ สมาธิ-วิปัสสนา นั้นในปัจจุบันมักปฏิบัติตามสายพระป่า ส่วนใหญ่เป็นสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโตหรือจะเป็นสายอื่นก็ได้ทั้งสิ้น เพราะจะลงกันที่มหาสติปัฏฐาน ๔ เหมือนกัน

แต่การเจริญสมาธิในสมัยโบราณนั้นมีเรื่องที่น่าสนใจและพระเถระผู้ใหญ่ได้ศึกษากันมานานแล้ว มูลกรรมฐานเป็นหนังสือแสดงการเจริญพระกรรมฐานแต่โบราณ มีส่วนที่น่าสนใจเช่นการเจริญธาตุการเรียกธาตุ การตั้งธาตุ การเดินธาตุ การสมาสัปป์เข้าศอกเข้าคืบจนชำนาญ นั่นคือการเข้าใจความเป็นธาตุจริงแท้ และสามารถเรียกธาตุได้จริงแต่อาจเป็นอันตรายในการฝึกฝนได้ เรื่องนี้อาจารย์คุณหลวงวิศาลดรุณกรก็เคยได้เล่าไว้บ้าง

พระไตรปิฏกนั้นหรือพระพุทธธรรมในพระพุทธศาสนา จะใช่เรื่องของตรรกะหรือปรัชญาหรือไม่ ขอให้ลองอ่านในคำนำหนังสือพุทธรรมของท่านพระธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตโต) ในปัจจุบันเป็นพระพรหมคุณาภรณ์ ท่านกล่าวไว้ได้ดีมากเพราะไม่ปรารถนาจะถกเถียงกับผู้ใดว่าเป็นตรรกะหรือปรัชญา ให้เป็นหน้าที่ของปรัชญาเองว่าจะสามารถตีความครอบคุมพระพุทธศาสนาได้ครบถ้วนหรือไม่

หากคุณหนูน้อยต้องการศึกษาเพื่อให้มองเห็นอะไรสักอย่างไม่เพียงเฉพาะโหราศาสตร์คุณหนูน้อยก็จะได้สิ่งนั้นสมใจนึก แต่ให้เข้าใจไว้ว่าโหราศาสตร์ก็คือโหราศาสตร์ พระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์นั้นคือสิ่งจริงแท้ที่จะพาเราให้สามารถดำรงตนอยู่ได้อย่างมีความสุขที่แท้จริง


ทองคำ - 12 พฤษภาคม พ.ศ.2548 17:05น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 33
โหราศาสตร์นั้นเมื่อศึกษาใช้ให้ดีก็มีคุณ เมื่อใช้ในทางที่ผิดก็ให้โทษ ไม่เพียงแก่ตัวเราเองแต่กลับเป็นกรรมกับบุคคลรอบข้าง โดยเฉพาะวจีกรรม ดังนั้นการศึกษาโหราศาสตร์แขนงใดใดก็ดีจึงต้องระวังให้มาก ต้องควบคุมตนเองให้ได้ทั้ง กาย วาจา ใจ หากยังควบคุมไม่ได้ จะควบคุมวิชาได้อย่างไร เมื่อถูกวิชาครอบงำก็เหมือนหมอกเมฆทมึนที่เข้าบังจันทร์ ให้มัวหมองสิ้นแสงยามราตรี ให้จิตใจรุ่มร้อนสับสน สุดท้ายก็สิ้นลมท่ามกลางมรรคา

จิตใจคนเรานั้นหยั่งยาก โลกเรานี้เป็นเช่นนั้นเอง ทุกสิ่งที่เห็นเป็นดังภาพมายาที่ล่อลวงให้หลง ความปรารถนาของคนเราล้วนไม่มีที่สิ้นสุด

หากเราเคยศึกษาศาสตร์โบราณต่างๆในสมัยโบราณ เราจะเข้าใจถึงทางดำเนินของความคิดที่ครูอาจารย์ในแต่ละสาขาได้ผูกขึ้นไว้ ไม่ว่าดนตรีไทย งานจิตรกรรม การทำอาหาร ฯลฯ มากมาย ซึ่งแตกต่างออกไปจากปัจจุบันมากมายนัก และบางอย่างหลักการเดิมแท้ที่เป็นหัวใจของศาสตร์ก็แทบลบเลือนหายไปจากความทรงจำแล้ว

หลักความเป็นจริงย่อมต้องเป็นจริงไม่ว่าอยู่ในที่ใดใด หลักความเป็นจริงไม่ใช่สถิติ ไม่ใช่ตรรกะ ไม่ใช่ปรัชญา หากหลักความเป็นจริงนั้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สภาพธรรมชาติจะพึงมีพึงเป็นขึ้นต่างกาลต่างวาระ และต่างมิติในความแปรเปลี่ยน เมื่อสิ่งหนึ่งเปลี่ยนไปสิ่งอื่นที่เกี่ยวเนื่องก็จะเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอก

ศึกษาโหราศาสตร์แล้วก็หวนมองตัวเราเอง มองสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา ด้วยสายตาที่เปี่ยมความหวังว่าเราจะไม่กระทำอกุศลกรรมใดใดอีกต่อไป

โลกเรานี้เต็มไปด้วยมายา...


ทองคำ - 14 พฤษภาคม พ.ศ.2548 16:41น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 34
ขอบคุณครับ เป็นแง่คิดที่เพลินดีครับ


นร. - 14 พฤษภาคม พ.ศ.2548 22:52น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 35
ขอบคุณคุณ นร. ครับ อ่านเล่นๆเพลินๆกันน่ะครับ

เอานิทานเรื่อง ไก่วิเศษ มาอ่านกันสนุกดีเหมือนกันครับ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายตัดฟืนคนหนึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองพาราณาสี วันหนึ่งเที่ยวเก็บฟืนในป่า และกลับมาไม่ทันประตูเมืองปิด เมื่อมืดลงจึงไปอาศัยอยู่ในศาลเจ้านอกเมือง ซึ่งในศาลเจ้านั้นมีไก่นอนอยู่ก่อน ๒ ตัว เมื่อเวลาใกล้รุ่ง ไก่ตัวหนึ่งก็ถ่ายลงมาถูกไก่ตัวที่นอนอยู่ข้างล่าง ไก่ตัวข้างล่างก็ถามว่าใครถ่ายมาถูกเรา ตัวบนก็ตอบว่า เราเองแหละ เราไม่ได้พิจารณาจึงถ่ายลงไป เมื่อพูดแล้วกลับถ่ายซ้ำลงไปอีก ไก่ทั้งสองจึงทะเลาะกัน และอวดกำลัง ความวิเศษของกันและกัน ไก่ตัวล่างว่าใครได้กินเนื้อเราในตอนเช้าจะได้ทรัพย์พันหนึ่งในเวลาเช้า ไก่ตัวบนก็ว่าใครได้กินเนื้อล่ำของเราจะได้เป็นพระมหากษัตริย์ ใครกินเนื้อภายนอกถ้าเป็นชายจะได้เป็นเสนาบดี ถ้าเป็นหญิงจะได้เป็นอัครมเหสี ถ้ากินเนื้อติดกระดูกจะได้เป็นขุนนาง ถ้าเป็นบรรพชิตจะได้เป็นอาจารย์ของพระยา เมื่อชายตัดฟืนได้ยินดังนั้น จึงย่องไปจับไก่ตัวบนฆ่าให้ตาย และนำไปให้ภรรยาย่างอย่างดี และบอกว่าเมื่อเราได้กินแล้วจะได้เป็นพระราชา เจ้ากินแล้วจะได้เป็นพระมเหสี ดังนั้นก่อนที่จะกิน เราควรจะชำระล้างร่างกายให้สะอาดในแม่น้ำก่อน เมื่อพูดกันดังนั้นแล้วจึงพากันไปอาบน้ำ โดยวางไก่ไว้ริมตลิ่ง ปรากฎว่ามีลมแรงพัดเอาไก่ลอยน้ำไป

เวลานั้นยังนายควาญช้างคนหนึ่ง ขี่ช้างลงไปอาบน้ำทางใต้น้ำ เห็นภาชนะลอยมาเก็บขึ้นดูจึงเห็นว่าเป็นไก่ จึงนำไปให้ภรรยา และยังมีพระดาบสตนซึ่งเป็นอาจารย์ของควาญช้าง พระดาบสผู้นี้ได้ฌาณโลกีย์ รู้เหตุต่าง ๆ จึงรีบมายังบ้านของควาณช้าง เลือกเอาเนื้อล่ำให้ควาณช้างกิน เนื้อนอกให้ภรรยาควาญช้าง ส่วนพระดาบสจึงได้เนื้อติดกระดูก และบอกว่าอีก ๗ วันท่านจะได้เป็นพระยามหากษัตริย์

อีก ๗ วันต่อมาเกิดข้าศึกยกทัพมาล้อมเมือง พระราชาเมืองพาราณสีบอกให้ควาณช้างแต่งตัวเป็นพระราชาออกไปรบ แล้วพระองค์แต่งเป็นนายตรวจ พระราชากลับถูกธนูยิงตาย นายควาญช้างจึงให้เอาทรัพย์สมบัติในคลังหลวงออกมา ประกาศว่าอยากได้ทรัพย์สมบัติจงช่วยกันไปรบ ปรากฏว่าคนไปรบมากมาย ชนะศึกได้ในวันเดียว เหล่าเสนาบดีเห็นว่านายควาญช้างเป็นผู้มีปัญญา สามารถปกป้องบ้านเมืองไว้ได้สมควรที่จะยกขึ้นเป็นกษัตริย์ ภรรยาจึงได้เป็นพระมเหสี ส่วนพระดาบสก็ได้เป็นพระอาจารย์ของพระยา

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเคยทำบุญไว้ ถึงเวลาบุญก็ส่งผลเอง ใครก็มาเอาไปไม่ได้


ทองคำ - 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 06:37น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 36
เรื่องนี้ก็สนุกดี....นิทานเรื่องหมาไล่เนื้อ.....

มีเรื่องเล่าว่า...

มีพระองค์หนึ่ง...ชอบทำอะไรแปลกๆ...

วันหนึ่ง...พวกกรุงเทพฯ...เอากฐินไปทอดที่วัด...

จัดงานกันใหญ่โต...มีหนัง...มีลิเก...มีดนตรี...

ผู้คนแห่กันมามืดฟ้ามัวดิน...

ก่อนทอดกฐิน...

ผู้คนมารวมกันเต็มศาลา...

หลวงพ่อเรียกเด็กวัดมา...

บอกให้ไปเอาเนื้อจากโรงครัวมาก้อนหนึ่ง...แล้วเอาเชือกมาด้วย...

หลวงพ่อจัดการ...เอาเนื้อ...ผูกติดกับหลังหมา...

ผูกเสร็จ...ก็ปล่อยหมา ...

หมาเห็นเนื้ออยู่บนหลัง...ก็ไล่งับ...

พอหัวโดดงับ...ตัวก็ขยับหนี...

เพราะหมามันกัดหลังตัวเองไม่ถึง...

ยิ่งโดดงับเร็ว...ก้อนเนื้อก็หนีเร็ว...

โดดไม่หยุด...เนื้อก็หนีไม่หยุด...น่าสงสารหมามาก...

หมาโดดอยู่นาน...งับเท่าไหร่...เนื้อก็ไม่เข้าปากสักที...

ผู้คนบนศาลา...พากันหัวเราะชอบใจ...

หัวเราะเยาะหมา...ว่าทำไมมันถึงโง่ยังงี้...

ไล่งับ...จะกินเนื้อ...ที่ตัวเองไม่มีทางไล่ตามทัน ตลอดชีวิต...

หลวงพ่อ...มองดูด้วยความสนุกสนานจนหนำใจแล้ว...

ก็แก้เชือกออกมากหลังหมา...

แล้วหันมาพูดกับญาติโยมว่า...

มนุษย์เรา...มีความรู้สึกว่า...ตัวเองพร่อง...ตัวเองยังไม่เต็ม...

ต้องเติมตลอดเวลา...เติมไม่หยุด...เพื่อให้ตัวเองเต็ม...

เราอยากสวย...อยากทันสมัย...

ไปหาซื้อเสื้อผ้าที่สวยที่สุด...ทันสมัยที่สุดใส่...

ดีใจได้เดือนเดียว...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...สวยกว่า...ทันสมัยกว่า...

อยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่...

ซื้อเสร็จ ๓ เดือน...รุ่นใหม่ก็โผล่มาอีกแล้ว...

ซื้อคอมพิวเตอร์ทันสมัยที่สุด...

๒ เดือนต่อมา...มีรุ่นใหม่กว่าออกมา...ของเราตกรุ่น...

ซื้อรถเบนซ์...ทันสมัยที่สุด...แพงมาก...

ขับได้ ๖ เดือน...มีรุ่นใหม่ออกมาอีกแล้ว...

ทันสมัยกว่า...แพงกว่า...ของเรากลายเป็นเชย...

เราต้องก้มหน้าก้มตา...ทำงานทั้งวัน ทั้งคืน...หาเงินมา...

เพื่อมาทำให้ตัวเองทันสมัย...

ซื้อเสื้อผ้าใหม่...มือถือใหม่...คอมพิวเตอร์ใหม่...รถยนต์คันใหม่...

เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส...

เพื่อไม่ให้ตัวเองตกรุ่น...

ปัจจุบัน...

เรากำลังไล่งับความทันสมัย...เหมือนหมาที่ไล่งับเนื้อบนหลังของมัน...

ทั้งที่รู้ว่า...ต่อให้ไล่งับทั้งชีวิต...ก็ไม่มีทางตามทัน...

น่าสงสารไหมโยม...

คนเต็มศาลา...เมื่อกี้หัวเราะครึกครื้น...

ด่าว่า...หมามันโง่...

ตอนนี้เงียบสนิท...เหมือนไม่มีคนอยู่...

ไม่รู้ว่า...กำลังสงสารหมา...

หรือ...กำลังทบทวนความโง่...ตัวเอง


ทองคำ - 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 06:46น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 37
อีกสักเรื่อง..เพิ่งอ่านจบมาเมื่อสักครู่.....สนุกมาก ของพระพิจิตรธรรมพาที

เรื่องรู้จักพอก่อสุข

ธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้มีมากมายนับได้ ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ การนำธรรมาปฏิบัติในชีวิตจริงนั้นไม่ต้องหยิบมาใช้ทุกพระธรรมขันธ์ เราเลือกใช้ธรรมที่เหมาะกับเรา ท่านเรียกว่า ธรรมนุธรรมปฏิบัติ หมายถึงปฏิบัติข้อธรรมที่สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของเรา ถ้าอยากเป็นเศรษฐีให้ปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า "หัวใจเศรษฐี" ถ้าอยากเป็นที่รักของคนทั่วไปก็ปฏิบัติธรรมที่เรียกว่า พรมวิหาร ๔

ในฤดูกาลเข้าพรรษาปีนี้ ขอให้เลือกข้อธรรมบางประการมาปฏิบัติ เมื่อมีข้อธรรมนั้นอยู่ประจำใจตลอดเวลา ชีวิตจะมีความสุขมากขึ้น ดั่งคนขับแท็กซี่คนหนึ่งมีความสุขในชีวิตเพราะเขามีธรรมประจำใจ

วันนั้น ผู้เขียนเรียกแท็กซี่คันหนึ่งเพื่อให้ไปส่งที่วัดมหาธาตุ ตกลงจ่ายค่าโดยสาร ๕๐ บาท ผู้เขียนนั่งเบาะหน้าคู่กับคนขับ เมื่อรถแล่นไปได้พักหนึ่ง คนขับแท็กซี่ถามว่า

"ท่านบวชพระมานานแล้วหรือ" ผู้เขียนตอบว่า "บวชมานานแล้ว" เขาถามต่อว่า

"ท่านบวชแล้วมีความสุขดีหรือ"

"ก็เรื่อยๆ นะ" ผู้เขียนตอบแล้วถามกลับไปบ้างว่า "คุณขับแท็กซี่มานานหรือยัง"

"นานแล้วครับ ผมขับแท็กซี่มา ๒๗ ปีแล้วครับ"

"มีความสุขมากครับ ผมขับแท็กซี่แล้วผมดับทุกข์ได้" เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ทำให้ผู้เขียนนึกถึงเรื่องสิทธารถะที่พายเรือข้ามฟากขึ้นทันที

"คุณขับแท็กซี่ตลอดเวลา ไม่เคยประกอบอาชีพอื่นเลยหรือ" ผู้เขียนถามต่อ

เขาตอบว่า "ผมเคยขับรถที่กระทรวงแห่งหนึ่ง แต่ผมอยู่ไม่ได้ ผมไม่ชอบระบบราชการที่เล่นพรรคเล่นพวกกันเหลือเกิน ทำราชการต้องมีเส้นสายครับ ค่าของคนไม่ได้อยู่ที่ผลของงาน ค่าของคนอยู่ที่ว่าเป็นคนของใคร ผมเบื่อหน่ายจึงลาออกไปเป็นพนักงานขับรถที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ผมก็อยู่ไม่ได้"

"ทำไม ที่มหาวิทยาลัยนั้นก้มีการเล่นพรรคเล่นพวกเหมือนกันหรือ"

"ไม่ใช่อย่างนั้น ผมขอถามหน่อย คนเราเรียนหนังสือไปเพื่ออะไร คนเรียนมากเป็นคนฉลาดมากขึ้นใช่ไหม"

"ก็ควรจะเป็นเช่นนั้น"

"คนเรียนมากฉลาดมากควรมีความสุขมากขึ้นใช่หรือไม่แต่ผมว่าไม่จริง ประสบการณ์ที่มหาวิทยาลัยแห่งนั้นสอนผมว่า คนเรียนมากฉลาดมากกลับทุกข์มากขึ้น พวกดอกเตอร์ครูบาอาจารย์ที่ นั่นมีความทุกข์เหลือเกิน ตัวเองทุกข์คนเดียวไม่พอ ยังพลอยให้นิสิตนักสึกษาทุกข์ไปด้วย ที่เป็นเช่นนั้นแสดงว่าต้องมีอะไรผิดพลาดในระบบการศึกษาของชาติเป็นแน่"

"คุณเห็นว่าผิดพลาดอย่างไร" ผู้เขียนซักถามต่อ

"ผมว่าครูบาอาจารย์สอนผิด พวกเขาสอนให้คนมีความทุกข์แทนที่จะสอนให้คนมีความสุข ผมไปเตือนพวกเขาให้เปลี่ยนวิธีสอนใหม่เพื่อให้นิสิตนักศึกษามีความสุข พวกเขาไม่เชื่อผม ผมจึงลาออกมาขับแท็กซี่เลยครับ"

"คุณบอกพวกเขาว่าอย่างไร"

"อักษรไทยมีพยัญชนะกี่ตัว" เขาย้อนถาม

"สี่สิบสี่ตัว" ผู้เขียนตอบ

"ในสี่สิบสี่ตัวนี้ ท่านทราบไหมว่าอักษรตัวไหนดี และตัวไหนชั่ว ผมไปบอกพวกครูบาอาจารย์ให้สอนว่าอักษรตัวไหนเป็นตัวดี และตัวใดเป็นตัวชั่ว เด็กจะได้ไม่ทุกข์ พวกครูบาอาจารย์ไม่ฟังผมพวกเขาบอกว่าหนังสือไม่มีตัวดีตัวชั่ว มีแต่ตัวกลาง ๆ"

ผู้เขียนถามเขาว่า "อักษรอะไรคือตัวดี อะไรคือตัวชั่ว"

"ตัวชั่วมี ๓ ชั่ว คือ ล ก ล ตัวดีมี ๓ ตัว คือ พ ห ช"

"ล ก ล หมายถึงอะไร"

เขาตอบว่า "ท่านเป็นพระไม่รู้เรื่องนี้ได้อย่างไร พระพุทธเจ้ายังสอนไว้ว่า โลภ โกรธ หลง นั้นไง มันชั่วใช่ไหม ท่าน"

"ใช่แล้ว โลภ โกรธ หลง เป็นอกุศลมูล คือรากเหง้าของความชั่ว คุณเล่นย่ออย่างนี้ใครจะไปรู้ แต่ว่า พ ห ช คืออะไรเป็นตัวดีจริงหรือเปล่า"

เขาตอบว่า "เพื่อนขับแท็กซี่ด้วยกันมีความทุกข์มาก พวกเขาบ่นว่า ค่าเช่ารถแพง รายได้ก็น้อย แต่ผมไม่ทุกข์ เพราะผมใช้ พ พาน คือ รู้จักพอ คนเราถ้ารู้จักพอจะมีความสุขใช่ไหม"

ผู้เขียนเห็นด้วยกับคำตอบของเขา เพราะพระพุทธเจ้าตรัสว่า "สนฺตุฏฺฐี ปรมํ ธนํ ความรู้จักพอเป็นยอดทรัพย์ คนจนมีสองประเภทคือ คนจน เพราะ ไม่มี คนจนเพราะ ไม่พอ คนส่วนใหญ่จน เพราะไม่รู้จักคำว่า "พอ"

ความไม่พอใจจนเป็นคนเข็ญ

พอแล้วเป็นเศรษฐีมหาศาล

จนทั้งนอกทั้งในไม่ได้การ

ต้องคิดอ่านแก้จนเป็นคนพอ

คนที่มีความสุขในชีวิตต้องเป็นคนรู้จักพอ หมายถึงว่า "ความพอใจในสิ่งที่มี ยินดีในสิ่งที่ทำ" ใครไม่มีสิ่งที่ตัวชอบก็ต้องชอบสิ่งที่ตัวมี ภาษิตฝรั่งว่า "นกตัวเดียวในกำมือดีกว่านกสองตัวบนต้นไม้" คนไทยทุกวันนี้หลงอยู่ในวัตถุนิยม ได้เท่าไรก็ไม่รู้จักพอ

ผู้เขียนถามคนขับแท็กซี่ต่อไปว่า "ห คืออะไร"

เขาตอบว่า "ห คือรู้จักให้ ผู้โดยสารต่อราคากับผมผมลดให้เขาบ้าง ถ้าผู้โดยสารขอให้ผมไปส่งต่ออีกนิด ผมก็ไปให้ ผมถือว่าผมให้บริการแก่ผู้โดยสาร ผู้โดยสารก็ให้ค่าโดยสารแก่ผม"

ผู้เขียนเห็นด้วยกับเขา สังคมอยู่ได้เพราะมีการให้และการรับจิตที่คิดจะให้สบายกว่าจิตที่คิดจะเอา ในครอบครัวใด ทุกคนคิดแต่จะเอาจะไม่มีใครได้ แต่ถ้าทุกคนคิดจะให้ทุกคนจะได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ปูชโก ลภเต ปูชํ, วนฺทโก ปฏิวนฺทนํ ผู้บูชาเขาย่อมได้รับการบูชาตอบ ผู้ไหว้เขาย่อมได้รับการไหว้ตอบ" และว่า "ททมาโนปิโย โหติ ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก"

ผู้เขียนถามต่อไปว่า "แล้ว ช คืออะไร"

รถแท็กซี่ติดไฟแดงอยู่หน้าสุด ไฟเขียวส่งสัญญาณขึ้นแล้วคนขับแท็กซี่ยังไม่ยอมออกรถ เพราะสนทนาธรรมเพลิน รถคันหลังจึงบีบแตรไล่ คนขับแท็กซี่จึงกล่าว่า "ไฟเขียวเพิ่งขึ้น เขาบีบแตรไล่ผมแล้ว ไม่รู้จะรีบไปไหน ผมโดนบีบแตรไล่เป็นประจำ แต่ผมไมโกรธหรือหัวเสีย เพราะผมใช้ ช ช้างครับ

"หมายถึงอะไร"

ช่างเขาเถอะ ผมโดนบีบแตรไล่ผมก็คิดว่าช่างเขาเถอะนั่นคือ การปล่อยวางแบบหนึ่ง ทำให้สบายใจดี

...ใครชอบใครชังช่างเถิด

ใครเชิดใครแช่งช่างเขา

ใครเบื่อใครบ่นทนเอา

ใจเราร่มเย็นเป็นพอฯ

เมื่อรถแท็กซี่ถึงวัดมหาธาตุ ผู้เขียนจ่ายค่าแท็กซี่ไป ๖๐ บาท เพิ่มจากราคาที่ตกลงกันไว้ ๑๐ บาทเลย แต่เขาขอรับเพียง ๕๐ บาท เมื่อถามว่าเพราะเหตุไร เขาตอบว่า

"ผมไม่เอาหรอกครับ ผมรู้จักพอ"

แล้วเขาก็ขับรถต่อไปอย่างมีความสุข เพราะเขามีธรรมประจำใจสามข้อเท่านั้น คือ รู้จักพอ(สันโดษ) รู้จักให้ (ทาน) และรู้จักปล่อยวาง (จาคะ)


ทองคำ - 15 พฤษภาคม พ.ศ.2548 06:55น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 38
ขอขอบพระคุณ คุณทองคำ ในคำแนะนำที่ 31 และ 32 ด้วยครับ ได้อ่านในวันศุกร์ที่ 13 แต่เปิดหาเวปที่คุณทองคำแนะ จนไม่ได้ให้เวลาเขียนตอบขอบคุณ


หนูน้อย - 16 พฤษภาคม พ.ศ.2548 10:30น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 39
ไม่เป็นไรหรอกครับคุณหนูน้อย..ผมเองก็ไม่รู้อะไรมากนักแค่ผิวเผินเอง ขอให้คุณหนูน้อยประสบความสำเร็จดั่งที่ใจปรารถนานะครับ

วันนี้เอาเรื่องกรรมมาให้อ่าน ท่านพระธรรมปิฎกท่านเขียนไว้

ลักษณะของหลักกรรมนี้ เป็นเรื่องที่น่าพิจารณา เพราะกรรมเป็นหลักใหญ่ในพระพุทธศาสนา

จะต้องมีการเน้นอยู่เสมอ หลักการของศาสนานั้น ก็เหมือนกับหลักการปฏิบัติทั่วไปในหมู่มนุษย์

เมื่อเผยแพร่ไปในหมู่มนุษย์วงกว้าง ซึ่งมีระดับสติปัญญาต่างกัน มีความเอาใจใส่ต่างกัน มี

พื้นเพภูมิหลังต่างๆกัน นานๆเข้าก็มีการคลาดเคลื่อนเลือนลางไปได้ จึงจะต้องมีการทำความ

เข้าใจกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ



เรื่องกรรรมนี้ก็เหมือนกัน เมื่อเผยแพร่ไปในหมู่ชนจำนวนมากเข้า ก็มีอาการที่เรียกว่าเกิดความ

คลาดเคลื่อน มีการเฉไฉ ไขว้เขวไปได้ ทั้งในทางการปฏิบัติและความเข้าใจ หลักกรรมในพระ

พุทธศาสนานี้ ท่านสอนไว้เพื่ออะไร ที่เราเห็นชัดก็คือ เพื่อไม่ให้แบ่งคนโดยชาติกำเนิด ให้แบ่ง

โดยความประพฤติ โดยการกระทำ นี่เป็นประการแรก ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าประพฤติดังที่

พระพุทธเจ้าตรัสว่า "กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ"



คนไม่ใช่ต่ำทรามเพราะชาติกำเนิด แต่คนจะเป็นคนต่ำทราม ก็เพราะกรรมคือการกระทำคน

มิใช่จะเป็นพราหมณ์เพราะชาติกำเนิด แต่เป็นพราหมณ์ คือผู้บริสุทธิ์ คือคนดีคนประเสริฐ ก็

เพราะกรรมคือการกระทำตามหลักการนี้ พระพุทธศาสนายึดเอาการกระทำ หรือความประพฤติ

มาเป็นเครื่องแบ่งแยกมนุษย์ ในแง่ของความประเสริฐหรือความเลวทราม ไม่ให้แบ่งแยกโดย

ชาติกำเนิด ความมุ่งหมายในการเข้าใจหลักกรรมประการที่สองที่ท่านเน้น ก็คือการรับผิดชอบ

ต่อตนเอง คนเรานั้นมักจะซัดทอดสิ่งภายนอกซัดทอดปัจจัยภายนอก ไม่รับผิดชอบต่อการ

กระทำของตนเอง เวลามองหาความผิดต้องมองไปที่ผู้อื่นก่อน มองที่สิ่งภายนอกก่อน แม้แต่

เดินเตะกระโถน ก็ต้องบอกว่าใครเอากระโถนมาวางซุ่มซ่าม ไม่ว่าตนเดินซุ่มซ่าม เพราะฉะนั้น

จึงเป็นลักษณะของคนที่ชอบซัดทอดปัจจัยภายนอก แต่พระพุทธศาสนาสอนให้รับผิดชอบการ

กระทำของตนเองให้มีการสำรวจตนเองเป็นเบื้องต้นก่อน



ประการต่อไป ท่านสอนหลักกรรม เพื่อให้รู้จักพึ่งตนเอง ไม่ฝากโชคชะตาไว้กับปัจจัยภาย

นอก ไม่ให้หวังผลจากการอ้อนวอนนอนคอยโชค ให้หวังผลจากการกระทำ หลักกรรมในพระ

พุทธศาสนาสอนว่า "ความสำเร็จเกิดขึ้นจากการกระทำตาม ทางของเหตุผล"

อีกเรื่องเป็นเรื่องกรรมเหมือนกัน อาจารย์สุชีพ ปุญญานุภาพ ท่านเขียนไว้น่าอ่านดี

การที่คนเกิดมาไม่เหมือนกัน เช่นบางคนฉลาด บางคนโง่ บางคนรูปร่างงามบางคนตรงกัน

ข้าม บางคนเกิดในตระตูลต่ำ บางคนเกิดในตระ***ลสูง เมื่อถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้ ? ถ้าตอบ

แบบวิทยาศาสตร์ ก็ตอบว่า การที่ฉลาดหรือโง่ ร่างกายสมประกอบหรือไม่ จนหรือมั่งมีก็

เพราะไปเกิดในมารดาบิดาที่มีเหตุแวดล้อมดีเลวผิดกัน ความเป็นไปจึงผิดกันเป็นอันว่าบิดา

มารดาถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ให้ด้วย เหตุแวดล้อมประกอบด้วย จึงเป็นเช่นนั้น จึงเป็นอันว่า ตอบ

ด้วยหลักพันธุกรรมและเหตุแวดล้อม คราวนี้ถ้าถามต่อไปว่า เหตุไฉนเล่าจึงไปเกิดเป็นลูกของ

คนมีบ้าง จนบ้าง มีส่วนประกอบทางกายและจิตใจสมบูรณ์บ้างบกพร่องบ้าง ทำไมจึงต่างๆ

กันไป ทำไมจึงไม่เกิดในที่ดีๆ เหมือนกันหมด ? ในที่สุดก็จะต้องซัดให้ความบังเอิญ แต่ใน

ปัจจุบันเราเลิกทฤษฎีบังเอิญกันแล้ว ทุกสิ่งต้องมีเหตุผล ไม่ใช่บังเอิญ บังเอิญเป็นคำที่เราใช้

กันในเมื่อยังหาเหตุผลไม่ได้เท่านั้น



ทางพระพุทธศาสนาสอนว่า กรรม คือการกระทำในชาติก่อน ได้จัดสรรเสร็จ ให้ไปเกิดใน

ฐานะนั้นๆ ได้รับการถ่ายทอดทางกายดีหรือเลว ได้ประสบสิ่งแวดล้อมดีหรือเลว แล้วแต่กรรม

นำไป ไม่ใช่พระเจ้าสร้าง ทุกคนสร้างตัวเองด้วยการกระทำของตนในกรณีเช่นนี้ เราจะไม่ไป

โทษคนโน้นคนนี้ว่าสร้างเราไม่ดี แต่เราจะสร้างตัวเราใหม่ในชาตินี้ด้วยการทำดี อบรมให้เกิด

อุปนิสัยใจคอที่ดีงามได้ตามประสงค์อาจมีผู้แย้ง จะให้เห็นด้วยตาตามเคยว่า กรรมรูปร่าง

เป็นอย่างไร จึงจัดสรรได้ และติดตามคนได้ ?



ข้อนี้เปรียบด้วยพลังงานซึ่งติดไปกับลูกศร เวลายิงไปในอากาศ ลูกศรแล่นไปเรื่อยๆนั้นเรา

เห็นพลังงานหรือเปล่า ? หรือผู้ที่ได้รับสถาปนาเป็นพระมหากษัตริย์ถ้าไม่แสดง พระองค์เสด็จ

ปะปนไปในที่ต่างๆ และเราไม่รู้มาก่อน มีอะไรติดตามไป เป็นเครื่องแสดงให้เห็นบ้างว่าท่าน

ผู้นี้เป็นพระราชา เพราะพระองค์ก็มีอวัยวะร่างกายเหมือนคนธรรมดาทุกอย่าง แต่ท่านก็คง

เป็นพระราชาอยู่นั่นเอง การที่กรรมติดตามคนนั้น ท่านเปรียบเหมือนเงาของคน จะขู่หรือ

ปลอบไม่ให้ติดตามก็ไม่ได้ พระพุทธศาสนาเปรียบกรรมว่า เป็นเนื้อที่ วิญญาณเป็นพืช แสดง

ว่ากรรมกับวิญญาณมีส่วนสัมพันธ์กัน เนื้อที่ดี พืชก็งอกงามดี คนเราจะดีเลว เพราะการกระ

ทำของตนเช่นนี้ จึงควรอย่างยิ่งที่จะเลือกทำแต่กรรมดี ละเลิกความชั่วเสีย เมล็ดทุเรียน เก็บ

ความสามารถในการเป็น ต้น มีใบดอก และลูกทุเรียนไว้ได้ในตัวเอง เมื่อถึงคราวก็เจริญเติบโต

เป็นต้นทุเรียนฉันใด วิญญาณก็มีกรรมติด ไปด้วย อย่างซ่อนเร้น ไม่เห็นตัว แต่เมื่อปรากฏตัว

ออกมา ก็ปรากฏตามลักษณะที่กำหนดของกรรมนั้นๆ


ทองคำ - 16 พฤษภาคม พ.ศ.2548 22:00น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 40
วันก่อนได้พบนักเรียนของมูลนิธิ ฯ เล่าถึงได้ไปเรียนเรื่องอินทภาศบาทจันทร์มา ชมอาจารย์ผู้สอนด้วยความประทับใจในการสอนที่ละเอียด ใจเย็นเอาใจใส่ในการสอนเป็นอันดี นับเป็นคุณครูที่ลูกศิษย์ชื่นชมท่านหนึ่ง พูดมากไปเดี๊ยวจะถูกหาว่าโปรโมทสร้างกระแสเอา เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ศิษย์ชื่นชมในการสอนของครูอาจารย์ ฟังแล้วชื่นใจดี

กระทู้นี้ก็เพลิดเพลินมานานพอแล้ว ก็คงขอจบกระทู้เพียงนี้ ดีใจที่ได้เข้ามาที่เว็ปนี้ ที่แต่ละคนสุภาพและมีน้ำใจกันเป็นอันดี ขอขอบคุณทุกท่านที่แวะเวียนมาเป็นเพื่อน หากมีเวลาคงได้แวะมาเยี่ยมอีก........ทองคำ


ทองคำ - 19 พฤษภาคม พ.ศ.2548 01:34น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 41
กราบขอบพระคุณอาจารย์ ทองคำมากคะ

ที่กรุณาเล่าเรื่องที่มีทั้งปรัชญา โหราศาสตร์ และพุทธศาสนา ซึ่งให้เประโยชน์ มุมมอง แง่คิด ต่างๆ ที่สามารถนำมาปรับใช้ได้ทั้งในวิชาโหราศาสตร์ และการปรับใช้ในการดำเนินชีวิต หากอาจารย์มีเวลา...ก็แวะมาเยี่ยมเยียนกันอีก.....นะคะ


คุณยายกลิ่นโสม - 3 มิถุนายน พ.ศ.2548 14:10น. (IP: 0.0.0.0)

ความคิดเห็นที่ 43
พึ่งเข้ามาครั้งแรกครับ ขอเข้ามาให้กำลังใจและขอชื่นชมในผลงานครับชอบมากๆครับ ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมาก อยากให้มีแบบนี้อีกต่อไปเรื่อยๆครับ ขอบคุณมากครับ


a19 - 21 มิถุนายน พ.ศ.2550 12:12น. (IP: 125.25.133.204)