ความคิดเห็นที่ 1เป็นความคิดเห็นที่ผมคิดว่าคงจะมีอีกหลายๆคนที่สงสัย จึงอยากแบ่งปันความเห็นกันบ้างครับโหราศาสตร์ มาจากคำภาษาอังกฤษว่า astrology ซึ่งมีที่มาจากคำว่า astro + logic คำว่า astro มาจาก astronomy ซึ่งหมายถึงวิชา ดาราศาสตร์ คำว่า logic หมายถึง ปรัชญา เมื่อรวมความแล้ว astrology จึงหมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักปรัชญาของดวงดาวตามที่มีปรากฎการณ์จริงในจักรวาล ซึ่งนักโหราศาสตร์ในอดีตอาศัยหลักการสังเหตุการณ์ปรากฏการณ์บนฟ้าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขค้นในโลกมนุษย์ และมีการบันทึกเอาไว้ มีการศึกษาเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องจนกลายเป็นศาสตร์ที่ดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน การใช้โหราศาสตร์จึงใช้ตำแหน่งดาวพระเคราะห์ที่โคจรจริงบนท้องฟ้าซึ่งปัจจุบันเรามีปฏิทิน planetary ephemeris ใช้บอกตำแหน่งดาวจริงได้ส่วนพยากรณ์ศาสตร์อื่นๆนั้นแม้จะมีชื่อเรียกเหมือนดาว แต่ก็เป็นการเรียกเปรียบเทียบความหมาย เช่น ในวิชาลายมือ จะมีการเรียก เนินต่างๆบนฝ่ามือ ตามชื่อดาวพระเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้ใช้ตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า ณ ขณะที่พยากรณ์ ใช้เพียงอิทธิพลเปรียบเทียบ ส่วนเลข 7 ตัวนั้น ใช้ตัวเลขแทนชื่อดาวดดยใช้เลขเดียวกับดาวในวิชาโหราศาสตร์ไทยที่แทนสัญญลักษณ์ดวงดาวด้วยตัวเลข ต่างจากโหราศาสตร์สากล ที่ใช้สัญญลักษณ์ แทนดวงดาว ตามความเห็นของเจ้าของกระทู้ นั้นมีความเข้าใจถูกเพียงบางส่วน ในเรื่องของปฏิทินที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัยต่างๆที่ผ่านมา ในปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า วิวัฒนาการของปฏิทินดาราศาสตร์นั้นถือว่ามีการยอมรับในระดับหนึ่งว่ามีความถูกต้องแม่นยำมาก เพราะสามารถคำนวนตำแหน่งดวงจันทร์ได้ถูกต้อง เพื่อที่จะปล่อยยานอวกาศไปยังดวงจันทร์ได้ รวมทั้งดาวอื่นๆ หากเราติดตามข่าวความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศความถูกต้องแม่นยำนั้น วิชาต่างๆไม่ว่าโหราศาสตร์ทั้งไทย หรือต่างประเทศ รวมทั้งศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่มีทุกศาสตร์ ผู้เป็นเจ้าของศาสตร์เหล่านั้น ก็มีภูมิความรู้ที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีความถูกต้องตามหลักการของศาสตร์นั้นๆ ผู้พยากรณ์ต่างหากที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างว่าใครแม่น ใครแม่นกว่า หรือใครไม่แม่น เป็นเรื่องที่นำมาถกเถียงกัน เปล่าประโยชน์ข้อสรุป ใดๆในโลกล้วน เป็นเรื่องของลางเนื้อชอบลางยา คนเป็นหวัดยังมียาหลายขนานให้เลือกตามจริตของคนไข้ฉันใด การเลือกเรียน เลือกใช้วิชาการพยากรณ์ใดๆก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคนฉันนั้น หากรเร้ดังนี้ได้ ความแตกต่างและความแปลกแยกก็จะไม่เกิดขึ้น
ความคิดเห็นที่ 2ส่งใหม่ครับ มีแก้ไขข้อความตอนท้ายให้ถูกต้องตามที่ขีดเส้นใต้เป็นความคิดเห็นที่ผมคิดว่าคงจะมีอีกหลายๆคนที่สงสัย จึงอยากแบ่งปันความเห็นกันบ้างครับโหราศาสตร์ มาจากคำภาษาอังกฤษว่า astrology ซึ่งมีที่มาจากคำว่า astro + logic คำว่า astro มาจาก astronomy ซึ่งหมายถึงวิชา ดาราศาสตร์ คำว่า logic หมายถึง ปรัชญา เมื่อรวมความแล้ว astrology จึงหมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักปรัชญาของดวงดาวตามที่มีปรากฎการณ์จริงในจักรวาล ซึ่งนักโหราศาสตร์ในอดีตอาศัยหลักการสังเหตุการณ์ปรากฏการณ์บนฟ้าเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ที่เกิดขค้นในโลกมนุษย์ และมีการบันทึกเอาไว้ มีการศึกษาเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องจนกลายเป็นศาสตร์ที่ดำรงอยู่มาถึงปัจจุบัน การใช้โหราศาสตร์จึงใช้ตำแหน่งดาวพระเคราะห์ที่โคจรจริงบนท้องฟ้าซึ่งปัจจุบันเรามีปฏิทิน planetary ephemeris ใช้บอกตำแหน่งดาวจริงได้ส่วนพยากรณ์ศาสตร์อื่นๆนั้นแม้จะมีชื่อเรียกเหมือนดาว แต่ก็เป็นการเรียกเปรียบเทียบความหมาย เช่น ในวิชาลายมือ จะมีการเรียก เนินต่างๆบนฝ่ามือ ตามชื่อดาวพระเคราะห์ แต่ก็ไม่ได้ใช้ตำแหน่งดาวจริงบนท้องฟ้า ณ ขณะที่พยากรณ์ ใช้เพียงอิทธิพลเปรียบเทียบ ส่วนเลข 7 ตัวนั้น ใช้ตัวเลขแทนชื่อดาวดดยใช้เลขเดียวกับดาวในวิชาโหราศาสตร์ไทยที่แทนสัญญลักษณ์ดวงดาวด้วยตัวเลข ต่างจากโหราศาสตร์สากล ที่ใช้สัญญลักษณ์ แทนดวงดาว ตามความเห็นของเจ้าของกระทู้ นั้นมีความเข้าใจถูกเพียงบางส่วน ในเรื่องของปฏิทินที่มีการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัยต่างๆที่ผ่านมา ในปัจจุบันเราต้องยอมรับกันว่า วิวัฒนาการของปฏิทินดาราศาสตร์นั้นถือว่ามีการยอมรับในระดับหนึ่งว่ามีความถูกต้องแม่นยำมาก เพราะสามารถคำนวนตำแหน่งดวงจันทร์ได้ถูกต้อง เพื่อที่จะปล่อยยานอวกาศไปยังดวงจันทร์ได้ รวมทั้งดาวอื่นๆ หากเราติดตามข่าวความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ด้านอวกาศความถูกต้องแม่นยำนั้น วิชาต่างๆไม่ว่าโหราศาสตร์ทั้งไทย หรือต่างประเทศ รวมทั้งศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่มีทุกศาสตร์ ผู้เป็นเจ้าของศาสตร์เหล่านั้น ก็มีภูมิความรู้ที่น่าเชื่อถือได้ว่ามีความถูกต้องตามหลักการของศาสตร์นั้นๆ ผู้พยากรณ์ต่างหากที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่แตกต่างว่าใครแม่น ใครแม่นกว่า หรือใครไม่แม่น เป็นเรื่องที่นำมาถกเถียงกัน เปล่าประโยชน์ข้อสรุป ใดๆในโลกล้วน เป็นเรื่องของลางเนื้อชอบลางยา คนเป็นหวัดยังมียาหลายขนานให้เลือกตามจริตของคนไข้ฉันใด การเลือกเรียน เลือกใช้วิชาการพยากรณ์ใดๆก็ขึ้นกับจริตของแต่ละคนฉันนั้น หากเราเข้าใจดังนี้ได้ ความแตกต่างและความแปลกแยกก็จะไม่เกิดขึ้น